![รูปภาพ](http://image.ohozaa.com/i/87e/vujAQs.jpg)
WATT ตอน 1
อะไรคือ"วัตต์"
บทความนี้เป็นบทเสริมที่จะมาคุยกันเรื่องของ"วัตต์" หรือ Power Meter กันคร่าวๆนะครับ รวมถึงการใช้งานแบบ"คร่าวๆ" อย่าคิดว่าจะต้องลงลึก เพราะผมอยากให้ทั้งคนที่ไม่ทราบได้ทราบว่ามันคืออะไร และอยากให้คนที่มีอยู๋แล้ว ได้ใช้งานได้อย่าง "ชัดเจน"
ก่อนอื่นต้องท้าวความให้ท่านไปอ่านซีรีส์บทความเรื่อง"มาฝึกซ้อมเพื่อพัฒนาฯ" ที่ว่าด้วยระบบการใช้พลังงาน(ตอนที่ 1) และเรื่องของฮาร์ทเรท(ตอนที่ 2) ก่อนจะเข้าใจได้กระจ่างขึ้น แต่หากขี้เกียจอ่าน ผมจะสรถปทั้งหมดเป็น 2 บรรทัดดังนี้ครับ
"การฝึกซ้อมจักรยานคือการฝึกร่งากายให้ทำงานอยู่ในแต่ละช่วงพลังงานในระยะเวลาต่างๆตามแต่การออกแบบสูตรฝึกนั้นมา"
คีย์เวิร์ดของมันได้แก่ "ช่วงพลังงานต่างๆ" ซึ่งแปลง่ายๆมันก็คือ "ความหนัก" ระดับต่างๆกันนั่นเอง ซึ่งแนวคิดการพัฒนาเช่นนี้มีมานานแล้วครับและใช้ผ่านเจ้า Heartrate Monitor หรือวัดชีพจรมาตลอด ทว่ามีปัจจัยมากมายที่ทำให้ชีพจรไม่สามารถนำมา"จำกัด"ช่วงความหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ และด้วยเหตุนี้จึงได้กำเนิดระบบการวัดความหนักด้วยแรงที่เราออกส่งไปที่รถขึ้นมาช่วง 1980s ซึ่งนักวิทยาศาสตร์การกีฬาได้ค้นพบว่า การเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานของร่างกายสัมพันธ์กับแรงที่นักจักรยานออกแรง
ถ้าจะเรียกให้ชัดเจนก็คือ ฮาร์ทเรทจำกัดโซนการปั่นด้วยการดู"การตอบสนองของร่างกาย" ส่วนวัตต์จำกัดโซนการปั่นโดย "ดูแรงที่ออกส่งลงไปยังรถจักรยาน" เอาล่ะครับ หวังว่าน่าจะพอเข้าใจที่มา ที่ไปกันบ้าง ดังนั้นการใช้งานมันไม่ต่างอะไรกับฮาร์ทเรทครับ ติดแล้วคุณไม่ได้เร็วขึ้น รถไม่ได้แรงขึ้น แต่ติดแล้วเอาไปซ้อมต่อได้
ก่อนจะไปพูดถึงการใช้งาน มาจำแนกชนิดของ Power Meter กันก่อนนะครับ (ชื่อเรียกสามัญคือ"Power Meter" ชื่อเรียกเล่นๆสากลคือ"Power Unit" และชื่อเรียกบ้านเราคือ "วัตต์มิเตอร์")
1.Indirect Power Meter หรือกลุ่มที่ไม่ได้วัดด้วยการวัดแรงกระทำโดยตรง อาจวัดด้วยการคำนวนความเร็ว แรงลม น้ำหนัก ความเร่ง นำมาแสดงผลเป็นพลังงานที่ใช้ในการเคลื่อนที่ หรือวัดแรงสั่นของโซ่ที่ตึงด้วยแรงที่เราส่งลงไปออกมาเป็นพลังที่ใช้เช่นกัน กลุ่มนี้เราอาจเรียกได้ว่าเป็น Calculate Base หรือ"ฐานการคำนวน" มีความคลาดเคลื่อน บวกลบ5 จนถึง บวกลบ 12 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู๋กับชนิดและปัจจัยแวดล้อม
ฟังแบบนี้ดูแล้วไม่น่าใช้สินะครับ แต่ความคลาดเคลื่อนดังกล่าวจะน้อยลงเรื่อยๆหากตัวเลขที่วัดมาได้มากจากระยะเวลานานๆ ยิ่งนานเท่าไหร่ยิ่งแม่นยำ พบว่าวัตต์มิเตอร์ตระกูลนี้ให้ค่าการใช้งานนานกว่า 20-30 นาทีขึ้นไปแทบไม่ผิดเพี้ยนต่างจากระบบวัดโดยตรงเลยด้วยซ้ำ และมีราคาที่ถูกกว่ามาก ดังนั้นหากเข้าใจวิธีการทำงานระบบการซ้อมด้วยวัตต์ ตัวเลือกแบบนี้ก็น่าสนใจในงบประมาณที่จำกัดครับ
ยี่ห้อที่เคยผ่านกลุ่มนี้เช่น iBike, Polar พิกัดราคาตั้งแต่ 8,000 บาทจนถึง 20,000 บาท
2.Direct Power Meter กลุ่มนี้ทำงานด้วยการวัดแรงบิดที่เกิดขึ้นจริงจากแรงที่ส่งออกมากระทำกับอุปกรณ์ จะวัดจากจาน ขาจาน บันได ดุมล้อ กระโหลก แกนไสปเดอร์ จะวัดด้วยโลหะบิดตัวกี่แกน ละเอียดแค่ไหนก็ตาม หากวัดจากแรงกระทำจริงแล้วคำนวนต่อระยะเวลาส่งออกมาก็ถือว่าเป็นกลุ่มนี้ครับ มีความแม่นยำตั้งแต่บวกลบ 0.5 จนถึง บวกลม 8 เปอร์เซ็นต์ ต้องถือว่าเป็นกลุ่มอุปกรณ์มาตรฐานน่าเชื่อถือและใช้งานได้ดี ความต่างอยู่ที่ราคา รายละเอียดยิบย่อยเช่นการเปลี่ยนถ่าน การเปลี่ยนใบจาน ความสะดวกในการใช้งาน ยี่ห้อต่างๆมากมายคุ้นหูกันดี SRM, Quarq, PowerTap, Rotor LT, Power2Max, Pioneer, Infocrank, Stages, Garmin Vecter ราคาตั้งแต่ 15,000-130,000 บาท
ก่อนจบเรามาดูความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับวัตต์นะครับ
-ใครกดวัตต์ได้มากกว่ากัน??
นี่เป็นความเข้าใจผิดแรกสุดครับ หลายๆคนที่มาติดวัตต์หรือกำลังสนใจวัตต์จะเทียบเคียงวัตต์กับนิสัยการใช้ไมล์วัดความเร็ว มันแน่นอนครับว่าคน 2 คนคนหนึ่งได้ av 40 ย่อมเร็วกว่าคนที่ได้ av 25 ไม่ว่าจะอ้วนผอม ดำ ขาว ลมแรง ขึ้นเขา ลงเนิน แต่วัตต์ไม่ใช่แบบนั้น
...วัตต์คือแรงกระทำในการผลักมวลจักรยานออกไปข้างหน้า ซึ่งมวลนั้นรวมน้ำหนักจักรยาน และน้ำหนักคนขี่ แรงกระทำที่มาต้านก็ได้แก่ แรงลม แรงเสียดทานถนนซึ่งมีผลจากขนาดยางและแรงดันลมในล้อ ความชันของพื้นที่ และความแอโร่ไดนามิคส์ ซึ่งปัจจัยทั้งหมดนี้เองที่ทำให้เราไม่สามารถบอกได้ว่า นาย ก. กดได้ 300 วัตต์ จะเร็วกว่านาย ข. ที่ได้ 180 วัตต์ ตัวนี้ต้องต่อตอน 2 ครับถึงจะอธิบายได้ชัดเจน
-วัตต์วัดจากจานต้องดีที่สุด
เป็นที่ทราบกันดีว่าการวัดวัตต์จากดุมหลัง จะเกิดความสูญเสียแรงไปบ้างจากระบบขับเคลื่อนนิดหน่อย และวัดจากบันไดและขาจานอาจก่อให้เกิดความ"แกว่ง"ของค่าได้ จึง"เชื่อกันว่า" วัดจากตัวแกนจานหรือไสปเดอร์ย่อมดีที่สุด ความจริงก็คือ... วัดจากไหนก็ได้ผลเดียวกันครับ เพราะอะไร?
การใมช้งานวัตต์เราใช้งานมันโดยเทียบโซนต่างๆจากเปอร์เซ็นต์ของค่าวัตต์"ส่วนตัว"ของคนๆนั้น นาย ก. มีค่ากลางนี้ 250 วัตต์ ก็จะเทียบกับค่านี้เสมอ ไปขี่อีกคันนึงทดสอบก็อาจจะได้ 180 วัตต์ ก็จะเทียบเปอร์เซ็นต์จาก 280 วัตต์ ดังนั้น ... วัดตรงไหนก็วัดไปครับ จะได้มากกว่าหรือน้อยกว่ากันไม่ใช่เรื่องที่จะนำมาคิด ขอให้มันวัด 100 ครั้ง ได้ค่าต่างกันตามเปอร์เซ็นค์ความคลาดเคลื่อนที่รับได้ก็พอ
-ตัวไหนแม่นที่สุด??
ต้องตอบว่าไม่มี Power Unit ตัวไหนที่จะ"แม่น"จนคลาดเคลื่อน 0% แต่ทุกตัวมีความคลาดเคลื่อนกันทั้งสิ้น ผมจะยกตัวอย่างดังนี้นะครับ
สมมุติว่า วัตต์จริงๆคือ 100 วัตต์
ตัวแรกคลาดเคลื่อนบวกลบ 1%
จะได้ค่าวัตต์ 99-101 วัตต์ถือว่าใช้งานได้
ตัวที่สองคลาดเคลื่อนบวกลบ 2%
จะได้ค่าวัตต์ 98-102 วัตต์ถือว่าใช้งานได้
ตัวที่สามคลาดเคลื่อนบวกลบ 4%
จะได้ค่าวัตต์ 96-104 วัตต์ถือว่าใช้งานได้
...นั่นแปลว่าตัวแรกถึงแม้จะแสดงผลไม่ถูกต้อง แต่ก็อยู่ในระดับที่ใกล้เคียง ส่วนตัวสุดท้าย จะเห็นว่าค่าความเป็นไปได้ที่ข้อมูลที่ได้จะแกว่งสูงกว่ามาก สมมุติว่าออกแรงกระทำ 100 วัตต์เท่าเดิม แต่วินาทีแรกแสดงผลมา 96 และวินาทีต่อไปแสดงผล 104 ก็ยังถือว่าไม่ผิดเพี้ยนตามมาตรฐานของมัน แต่จะเพี้ยนจนใช้งานไม่ได้หรือไม่ต้องอยู่ที่คนนำไปใช้ครับ
...และยิ่งจำนวนค่าที่วัดได้มากเท่าไหร่ ก็จะได้กลุ่มค่าวัตต์เข้าใกล้ค่าสมบูรณ์มากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นสรุปความเชื่อนี้คือ
Power Meter ที่แม่นที่สุด ขึ้นอยู่กับการใช้งานที่ต้องการ หากต้องการวัดวัตต์กันเป็น 2-3 วินาที ก็คงต้องดูตัวที่แม่นยำมากๆ แต่หากต้องการใช้ค่าวัตต์ยาวๆ 30 นาทีขึ้นไป บอกได้เลยครับว่า มันแม่นพอๆกันหมดครับ
ตอนหน้า ...มีวัตต์แล้วจะใช้อย่างไรดี? เรื่องนี้พบเห็นบ่อยๆว่ามีวัตต์แล้วใช้วัตต์ผิดวิธี เหมือนมีปืนเลเซอร์แล้วเอาไปเขวี้ยงใส่กระต่ายเพื่อล่าสัตว์ครับ ...
ตอนที่ 2
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... &t=1214434