อรุณสวัสดิ์ครับท่านพี่และผู้มีเกียรติทุกท่าน ขอบพระคุณท่านพี่ที่เข้ามาเยี่ยมและให้ข้อคิด สำหรับตัวหนังสือมีวิธีแก้ไข ให้โตได้ ไปที่หน้าคอม ฯ ขวามือสุดจะพบ ... ปรากฏ กดดูจะมีตัวหนังสือบอกว่า setting and more กดดูจะมีอักษรบอกว่า zoom และจะเห็นค่าเพิ่มความโตของเพล็ท คลิกเพิ่มให้ขยายขึ้น ๆ อักษร(ตัวหนังสือก็จะขยายตามครับ) ทดลองดูครับผมว่าตามคอมของผมนะครับ แต่คิดว่าคงใกล้เคียงกันลุงเนตร เขียน: ↑27 เม.ย. 2021, 13:51 "..สวัสดีครับ ท่านน้อง Deang Sarapee และสมาชิก www.thaimtb.com ทุกท่าน
..ขอบคุณมาก ที่สละเวลาพยายามนำสิ่งดีๆมาโพสท์แสดงไว้ ณ ที่นี้ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่ท่านทั้งหลาย
..ปล. ตัวอักษร "เอน + ลายเส้นผอม + ช่องไฟชิด" รู้สึกว่าอ่านยาก ไม่ทราบว่า มีท่านอื่นคิดเหมือนกันบ้างหรือไม่ครับ.
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
= เป็นบทความที่ดีมาก ๆ รีเรให้อ่านกันชัดๆ ง่ายๆ สบายตาครับ =
ศีลธรรมประจำชาติไทยมีมานาน แสนนานนับร้อยปีพันปีมาแล้วในเพราะกิเลสของพวกท่าน บางคนบางกลุ่ม ตามที่เป็นข่าว "ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวืนาศ" คนไทยห่างไกลศีลธรรมออกไปเรื่อยๆ ผู้นำก็ไร้ศีลธรรม และนี่ก็คือ"ความวิบัติ"
ยังไม่สายครับ ทำที่ตัวเราครอบครัวเรา ทุกคนในชาติร่วมกัน เราจะปลอดภัยครับ"[/color][/size]
......จักรยานธุดงค์..........
- Deang-sarapee
- ขาประจำ
- โพสต์: 4438
- ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
- Tel: 0814730594
- team: รักรถรักธรรม
- Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
- ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐
Re: ......จักรยานธุดงค์..........
- ไฟล์แนบ
-
- ผมคิดได้สมัยเรียนว่าประเทศไทยเรานั้นถูกชาติตะวันตกที่เขาอ้างว่าเจริญแล้ว พากันไม่ขึ้นศาลไทย กลายเป็นสภาพสิทธินอกอาณาเขตไป ซึ่งไทยเราเจ็บปวดมาก ก็ได้มีการปรับปรุงแก้ไขกันมา จนสามารถยืนอยู่ในเวทีโลกได้อย่างสง่าผ่าเผย ปัจจุบันนี้เหตุการณ์นั้นกำลังจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง และจะรุนแรงยิ่งกว่า จึงอยากวิงวอนให้ผู้เป็นใหญ่ทั้งหลายคิดจุดนี้บ้าง ที่ว่าจะรุนแรงกว่า เพราะเขาจะใช้สงครามเศรษฐกิจเข้ารุกรานเรา เมื่อโควิดจางหายไป คู่ค้าขายของเราก็จะหายไปพร้อมโควิด อันเนื่องมาจากความยุติธรรมที่เขาไม่มั่นใจในกระบวนการของเรา วันนี้เวลานีขอให้ผู้มีอำนาจเชื่อนักวิชาการ อาจารย์ธรรมศาสตร์ จุฬา ฯ ได้ออกมาขอร้องวิงวอน ซึ่งภาพเหล่นี้ไม่เคยปรากฏมาก่อนครับ
ความรู้ทางประวัติศาสตร์ เรื่องระบบกฎหมายและระบบวิธีพิจารณา
ในสมัยรัชกาลที่ 4 ประเทศไทยได้ติดต่อทำการค้าและมีไมตรีกับชาวต่างชาติมากขึ้น ประเทศมหาอำนาจในทางการค้า และด้านการทหาร คงหนีไม่พ้นประเทศอังกฤษและประเทศฝรั่งเศส แม้กระทั่งประเทศจีน ซึ่งถือว่าเป็นประเทศศูนย์กลางอำนาจทางการค้า ยังต้องพ่ายแพ้ให้แก่ประเทศอังกฤษจนต้องสูญเสียเกาะฮ่องกงให้แก่ประเทศอังกฤษไป
การล่มสลายของประเทศจีนในครั้งนั้น ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของประเทศไทย ซึ่งสร้างความลำบากพระทัยให้แก่ในหลวงรัชกาลที่ 4 เป็นอย่างมาก ด้วยจีนนั้นเป็นประเทศที่ไทยเองยังยอมส่งบรรณาการให้ แต่กลับมาพ่ายแพ้แก่ฝรั่งอั้งม้อ คือประเทศอังกฤษ ทำให้ไทย จำต้องเดินหน้าเข้าสู่วงจรอำนาจของประเทศอังกฤษด้วยการทำสนธิสัญญาเบาวริ่ง ดูเหมือนจะเป็นการผูกมิตรเพื่อให้การค้านำการรบประเทศไทยจึงยังคงเป็นเอกราชมาได้โดยไม่ถูกยึดดินแดนเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ
อันที่จริงสนธิสัญญาเสรีทางการค้านั้น มิได้เพิ่งมาริเริ่มทำกันในสมัยรัชกาลที่ 4 แต่ก่อนหน้านี้ในสมัยรัชกาลที่ 3 ก็ได้เคยมีการทาบทามเพื่อทำสัญญาการค้าเสรีแล้ว แต่พระองค์ไม่ทรงเห็นด้วยที่จะทำการค้าอย่างเสรีด้วยเห็นว่า สยามจะเสียเปรียบฝรั่ง แต่เมื่อประเทศจีนยังแพ้แก่อังกฤษในสงครามฝิ่น ประเทศสยามจึงต้องจำยอมที่จะทำสัญญาการค้าเสรีกับอังกฤษ ดังนั้น เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย พระราชินีแห่งอังกฤษได้ส่ง เซอร์จอห์น เบาริ่ง เข้ามาทำสนธิสัญญาการค้าเสรี จึงสามารถตกลงกันได้สำเร็จ และตั้งชื่อสนธิสัญญาฉบับดังกล่าวว่า “สนธิสัญญาเบาว์ริ่ง”
นอกจากข้อตกลงเรื่องการค้าในสนธิสัญญาเบาว์ริ่งแล้ว ยังมีข้อตกลงที่เกี่ยวกับการดำเนินคดีในกรณีคนในบังคับของอังกฤษกระทำความผิดในประเทศไทยไม่ต้องขึ้นศาลไทย แต่ให้ขึ้นศาลกงสุลของประเทศอังกฤษแทน นับว่าเรื่องนี้นำความขมขื่นใจมาสู่คนไทยเป็นอย่างมาก หากคนในบังคับอังกฤษมาทำการปล้นฆ่า ข่มขืนคนไทย แต่กลับไม่ต้องถูกพิพากษาและลงโทษตามกฎหมายไทยโดยศาลไทย ทำให้ประเทศไทยเสียอำนาจอธิปไตยทางศาลอย่างรุนแรง ต่อมา สนธิสัญญาเบาว์ริงได้กลายเป็นแม่แบบของการที่ประเทศอื่น เข้ามาทำสัญญาแบบเดียวกันอย่างรวดเร็ว มีทั้งหมด 14 ประเทศที่ทำสนธิสัญญากับสยามตามลำดับ
1856 สหรัฐอเมริกา
1856 ฝรั่งเศส
1858 เดนมาร์ค
1859 โปรตุเกศ
1860 เนเธอร์แลนด์
1862 เยอรมนี
1868 สวีเดน
1868 นอรเวย์
1868 เบลเยี่ยม
1868 อิตาลี
1869 ออสเตรีย-ฮังการี
1870 เสปน
1898 ญี่ปุ่น
1899 รัสเซีย
ปัญหานี้ ยังความขมขื่นพระราชหฤทัยแก่พระมหากษัตริย์ไทยเป็นอย่างมาก จนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ได้ดำเนินการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างๆ โดยเสด็จเยือนประเทศต่างๆ เพื่อกระชับไมตรี และทรงส่งพระราชโอรสไปร่ำเรียนยังต่างประเทศเพื่อให้รู้ถึงขนบธรรมเนียมของประเทศต่างๆ เพื่อนำมาพัฒนาประเทศไทย พระราชโอรสพระองค์หนึ่งคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ พระโอรสในเจ้าจอมมารดาตลับ ได้ถูกส่งไปเรียนกฎหมายยังประเทศอังกฤษ สภาพบ้านเมืองตอนนั้น สยามประเทศ เป็นที่หมายตาของนาๆ ประเทศ ดีที่ว่า พระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชอัจฉริยภาพผูกไมตรีกับนาๆ ประเทศไว้แล้ว จึงไม่มีประเทศใดกล้าหักหาญน้ำใจแย่งชิงแผ่นดินไทยได้ แต่อย่างไรก็ดี ฝรั่งเศสซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจ ก็ใช้อุบายยึดเอาสิบสองจุไทยของเราไปได้เป็นแห่งแรก และนำมาซึ่งการเสียดินแดนอีกหลายแห่งเป็นลำดับต่อมา รวมถึงการเสียแหลมมาลายูให้แก่อังกฤษด้วย
ผลจากการเสียดินแดน ทำให้คนที่เคยอยู่ในบังคับของศาลไทย ย้ายไปอยู่ในบังคับของศาลกงสุลอังกฤษและฝรั่งเศส การเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตทางศาลยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ความวุ่นวายในการศาลของบ้านเมืองยิ่งมีมากขึ้น ดังนั้น เมื่อพระราชโอรสได้เสด็จกลับมาจากการเรียนกฎหมายที่ประเทศอังกฤษ จึงทรงปรึกษากับพระราชโอรสและพระเจ้าน้องยาเธอทบทวนกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย และยอมรับว่ากฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของไทยนั้นล้าหลังและป่าเถื่อนไม่เหมือนกับนาๆ อารยะประเทศ จึงทรงมีพระราชวินิจฉัยให้ปรับปรุงกฎหมายเสียใหม่ ในครั้งนั้น ทรงลำบากพระทัยในการเลือกระบบกฎหมายว่าจะใช้ คอมมอนลอว์แบบอังกฤษ หรือซีวิลล์ลอว์แบบฝรั่งเศสดี พระราชโอรสซึ่งทรงร่ำเรียนกฎหมายมาจากอังกฤษมีความชำนาญในด้านกฎหมายอังกฤษมากกว่า ทรงเสนอให้เลือกกฎหมายแบบอังกฤษ แต่พระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าประเทศไทยยังไม่มีคำพิพากษาที่จะนำมาเป็นบรรทัดฐานเพื่อให้เป็นกฎหมายได้อย่างประเทศอังกฤษ ทั้งการสั่งสมคำพิพากษาแต่ละคดีจนเป็นกฎหมายได้นั้น ต้องใช้เวลานาน จึงทรงเลือกใช้ประมวลกฎหมายแบบอย่างประเทศฝรั่งเศส และไม่มีวิธีการอื่นใดที่จะทำได้เร็วไปกว่าการ “ลอก” กฎหมายของประเทศที่ใช้ซิวิลล์ลอว์อยู่ก่อนแล้ว จึงได้ทรงพระกรุณาแต่งตั้งคณะกรรมการร่างกฎหมายที่ประกอบด้วยนักกฎหมายไทยและต่างประเทศทำการร่าง (หรือบางทีอาจจะเรียกว่าลอก แต่มิใช่ลอกทั้งหมด เพียงแต่ใช้เป็นแม่แบบ) กฎหมายของประเทศต่างๆ เช่น ประเทศเยอรมัน ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ซึ่งสามารถทำการร่างเสร็จภายในเวลาเพียง 11 ปี
ในด้านการศึกษากฎหมายไทย พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ (พระบิดา) ได้ทรงเปิดโรงเรียนกฎหมาย และทรงทำหน้าที่เป็นครูด้วยพระองค์เอง โรงเรียนกฎหมายนั้น ปัจจุบันคือ เนติบัณฑิตไทย ผลิตนักกฎหมายไทยอย่างมีคุณภาพ
ในด้านวิธีพิจารณาคดี ในหลวงทรงเลือกแบบของอังกฤษ รวมถึงระบบศาลเดี่ยวแบบอังกฤษด้วย เหตุที่พระราชโอรสทรงจบจากประเทศอังกฤษ เรียนรู้และเข้าใจระบบศาลของอังกฤษ และระบบวิธีพิจารณาแบบอังกฤษได้เป็นอย่างดี ทำให้ประเทศไทยใช้ระบบวิธีพิจารณาแบบกล่าวหา คู่กับระบบกฎหมายแบบซีวิลลอว์ ซึ่งมีลักษณะผิดฝาผิดตัว นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ด้วยการแก้ปัญหาโดยวิธีเลือกใช้ระบบกฎหมายแบบฝรั่งเศส ทำให้ฝรั่งเศสและประเทศซีวิลลอว์ ยอมรับและไม่มีปัญหาในด้านกฎหมายและศาลกับประเทศไทยอีกต่อไป ส่วนในด้านระบบวิธีพิจารณาและระบบศาล การเลือกแบบอังกฤษ ทำให้ประเทศอังกฤษพอใจและยอมรับระบบกฎหมายและระบบศาลของประเทศไทย นับแต่นั้นมา สิทธิสภาพนอกอาณาเขตของประเทศต่างๆ จึงสิ้นสุดไป ต่างพากันยอมรับกฎหมายและการวินิจฉัยคดีของศาลไทยตลอดมาจนถึงปัจจุบัน
natjar2001law ที่ 22:57:00
เป็นห่วงเรื่องทำนองนี้มากครับ. - 307028.jpg (102.85 KiB) เข้าดูแล้ว 867 ครั้ง
- ผมคิดได้สมัยเรียนว่าประเทศไทยเรานั้นถูกชาติตะวันตกที่เขาอ้างว่าเจริญแล้ว พากันไม่ขึ้นศาลไทย กลายเป็นสภาพสิทธินอกอาณาเขตไป ซึ่งไทยเราเจ็บปวดมาก ก็ได้มีการปรับปรุงแก้ไขกันมา จนสามารถยืนอยู่ในเวทีโลกได้อย่างสง่าผ่าเผย ปัจจุบันนี้เหตุการณ์นั้นกำลังจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง และจะรุนแรงยิ่งกว่า จึงอยากวิงวอนให้ผู้เป็นใหญ่ทั้งหลายคิดจุดนี้บ้าง ที่ว่าจะรุนแรงกว่า เพราะเขาจะใช้สงครามเศรษฐกิจเข้ารุกรานเรา เมื่อโควิดจางหายไป คู่ค้าขายของเราก็จะหายไปพร้อมโควิด อันเนื่องมาจากความยุติธรรมที่เขาไม่มั่นใจในกระบวนการของเรา วันนี้เวลานีขอให้ผู้มีอำนาจเชื่อนักวิชาการ อาจารย์ธรรมศาสตร์ จุฬา ฯ ได้ออกมาขอร้องวิงวอน ซึ่งภาพเหล่นี้ไม่เคยปรากฏมาก่อนครับ
-
- 308969.jpg (5.2 KiB) เข้าดูแล้ว 867 ครั้ง
-
- เราได้เห็นบรรดาเด็ก ๆ ออกมากระทำต่อศาลชนิดไม่เกรงกลัว ภาษา ตชด.เรามักจะพูดติดปากว่า "หมาไม่กลัวน้ำร้อน" แล้วบรรดาผู้ใหญ่ก็คือพ่อแม่เด็ก ๆ เหล่านั้น ต่างก็ออกมาปกป้องลูก นับวันแต่จะทวีมากขึ้น ๆ จึงอยากออกมาฝากข้อคิดบ้างอย่าเอาแต่มั่นใจเพียงอำนาจที่ตนมี อย่าลืมนะครับวลีเด็ดยังใช้ได้อยู่ "ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
ผมนำเสนอเพื่อให้ได้คิดเรื่องแบบนี้ถ้ารู้แล้วไม่บอกไม่กล่าวถือว่าไม่รักบ้านเกิดเมืองนอน ชีวิตคนเราอาจพลาดพลั้งได้ การแก้ไขย่อมได้รับการอภัย ประวัติศาสตร์ย่อมซ้ำรอยเสมอ ๆ อย่าประมาทเฝ้าติดตามด้วยความห่วงใย เรากำลังเข้าสู่ยุคศิวิไลซ์มิใช่หรือ ด้วยความปรารถนาดีจากคนแก่คนหนึ่งครับ แม้จะไม่มีใครได้ยินผมก็ภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งของคำว่า "กัลญาณมิตรครับ" - 292493.jpg (114.18 KiB) เข้าดูแล้ว 865 ครั้ง
- เราได้เห็นบรรดาเด็ก ๆ ออกมากระทำต่อศาลชนิดไม่เกรงกลัว ภาษา ตชด.เรามักจะพูดติดปากว่า "หมาไม่กลัวน้ำร้อน" แล้วบรรดาผู้ใหญ่ก็คือพ่อแม่เด็ก ๆ เหล่านั้น ต่างก็ออกมาปกป้องลูก นับวันแต่จะทวีมากขึ้น ๆ จึงอยากออกมาฝากข้อคิดบ้างอย่าเอาแต่มั่นใจเพียงอำนาจที่ตนมี อย่าลืมนะครับวลีเด็ดยังใช้ได้อยู่ "ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
- ลุงเนตร
- ขาประจำ
- โพสต์: 19861
- ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 19:20
- Tel: 0898133936
- team: อิสระ
- Bike: Trek 3900, Dark Rock ทัวร์ริ่ง
- ตำแหน่ง: ๔๖๕ ซอยจ่าโสด ถนนทางรถไฟเก่า แขวง,เขตบางนา กทม.๑๐๒๖๐
- ติดต่อ:
Re: ......จักรยานธุดงค์..........
"..สวัสดีครับ ท่านน้อง และสมาชิกทุกท่าน../..ขอบคุณมากครับ สำหรับสิ่งดี ๆ ที่สรรหามาให้ไว้เป็นวิทยาทาน.."
*..ยิ่งปั่น..ยิ่งแข็ง..แรงยิ่งดี..โรคไม่ค่อยมี..ไม่ทุกข์..*
- Deang-sarapee
- ขาประจำ
- โพสต์: 4438
- ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
- Tel: 0814730594
- team: รักรถรักธรรม
- Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
- ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐
Re: ......จักรยานธุดงค์..........
อรุณสวัสดิ์ท่านพี่ครับ ขอบคุณกำลังใจที่มอบให้ เดี๋ยวนี้กระทู้คงจะเหลือไม่กี่รายที่ยังคงนำเสนอต่อไป สังเกตุมวลมหาสมาชิกหายไปเกือบหมดครับ เกิดอาการท้อพอสมควร คิดอยากหยุดนะครับแต่นิสัยที่เราฝึกมาติดต่อกันเป็น ๑๐ ปี มันกลายเป็นสันดานไปแล้ว ๕๕๕ อยากนำเรียนสมาชิกทุกท่านไม่ใช่จะมีผมคนเดียวแต่มีดาราเยอะเลยอยากหยุดเช่นกรณีของแอ๊ด คาราบาวโพสต์เป็นข่าวว่า :
ยังไง ? แอ๊ด คาราบาว ขอยุติบทบาท โอดความขัดแย้งในสังคมไทยมากเกิน ด้านแฟนเพลงเช้าไปถามในคอมเมนต์ว่าเกิดอะไรขึ้น
14 พ.ค. 2564 - ยืนยง โอภากุล หรือ "แอ๊ด คาราบาว" ศิลปินคนดัง ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Add Carabao เป็นรูปภาพของตนเองในสมัยก่อน โดยมีข้อความในรูปว่า "ชีวิตไร้สาระขนาดไหน ยังไม่สายเกินที่จะแก้ไข แม้ชีวิตจะเหลือน้อยสักเพียงใด ก็ยังไม่สายเกินกว่าจะทำดี"
ขณะที่แคปชั่นในโพสต์ เจ้าตัวระบุว่า "ความขัดแย้งในสังคมไทยมันมากเหลือเกิน ขอยุติบทบาทเเต่เพียงเท่านี้ ดูแลตัวเองด้วยครับพี่น้อง"
ภายหลังโพสต์ดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ออกไป ได้สร้างความงงงวย และสงสัยให้แก่แฟนเพลงน้าแอ๊ด เป็นจำนวนมาก หลายคนเข้ามาสอบถามนคอมเมนต์ว่า โพสต์ดังกล่าวสื่อถึงอะไร และเกิดอะไรขึ้น ขณะที่บางส่วนเองก็ได้เข้ามาพิมพ์ข้อความเชิงให้กำลังใจ
ปัจจุบันนี้สังคมไทยแตกแยกเป็นชิ้นดี ยากที่จะประสานกันแล้วครับ ผมเห็นด้วยกับ น้าแอ๊ด ที่จะหยุดกิจกรรมต่าง ๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับการบ้านการเมือง มีหลาย ๆ เรื่องผมก็ไม่เข้าใจแก ทำให้เข้าใจผิด ทั้ง ๆ หวังดี คนดังทั้งหลายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมวุ่นวาย ใครรู้ตัวหยุดแบบน้าแอ๊ด จะลดความขัดแย้งได้เพิ่มขึ้น ตั้งหน้าทำมาหากินกันไป เวลากับชีวิตมันเหลือน้อยไปทุกวัน "ชีวิตนี้น้อยนัก" จริง ๆ ครับ
- ไฟล์แนบ
-
- BB1gJd6J.jpg (25.01 KiB) เข้าดูแล้ว 841 ครั้ง
-
- ยังไง ? แอ๊ด คาราบาว ขอยุติบทบาท โอดความขัดแย้งในสังคมไทยมากเกิน ด้านแฟนเพลงเช้าไปถามในคอมเมนต์ว่าเกิดอะไรขึ้น
14 พ.ค. 2564 - ยืนยง โอภากุล หรือ "แอ๊ด คาราบาว" ศิลปินคนดัง ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Add Carabao เป็นรูปภาพของตนเองในสมัยก่อน โดยมีข้อความในรูปว่า "ชีวิตไร้สาระขนาดไหน ยังไม่สายเกินที่จะแก้ไข แม้ชีวิตจะเหลือน้อยสักเพียงใด ก็ยังไม่สายเกินกว่าจะทำดี" - BB1gJlZ2.jpg (25.06 KiB) เข้าดูแล้ว 841 ครั้ง
- ยังไง ? แอ๊ด คาราบาว ขอยุติบทบาท โอดความขัดแย้งในสังคมไทยมากเกิน ด้านแฟนเพลงเช้าไปถามในคอมเมนต์ว่าเกิดอะไรขึ้น
-
- 305733.jpg (181.58 KiB) เข้าดูแล้ว 841 ครั้ง
-
- 312023.jpg (220.47 KiB) เข้าดูแล้ว 841 ครั้ง
-
- 312024.jpg (217.42 KiB) เข้าดูแล้ว 841 ครั้ง
-
- 316351.jpg (196.2 KiB) เข้าดูแล้ว 841 ครั้ง
-
- 318329.jpg (194.43 KiB) เข้าดูแล้ว 841 ครั้ง
-
- 319752.jpg (173.16 KiB) เข้าดูแล้ว 841 ครั้ง
-
- 319753.jpg (211.46 KiB) เข้าดูแล้ว 841 ครั้ง
-
- 319754.jpg (157.64 KiB) เข้าดูแล้ว 841 ครั้ง
-
- 320933.jpg (199.16 KiB) เข้าดูแล้ว 841 ครั้ง
-
- 320933_0.jpg (199.16 KiB) เข้าดูแล้ว 841 ครั้ง
-
- 320934.jpg (176.95 KiB) เข้าดูแล้ว 841 ครั้ง
-
- 320934_0.jpg (176.95 KiB) เข้าดูแล้ว 841 ครั้ง
-
- 323968.jpg (228.98 KiB) เข้าดูแล้ว 841 ครั้ง
-
- 323969.jpg (196.39 KiB) เข้าดูแล้ว 841 ครั้ง
-
- 325439.jpg (209.94 KiB) เข้าดูแล้ว 841 ครั้ง
-
- ช่วงที่ไม่ได้เดินทางไปทางใด เราก็ไม่งดการออกกำลังกายเพื่อไว้ต้านภัยโรคร้ายโควิด เรารู้ตัวว่าเราคือผู้สูงวัยกัน ดังนั้นต้องทำให้ร่างกายแข็งแรงไว้ ในขณะที่เราทำให้ร่างกายแข็งแรง จำไว้ครับ จิตใจก็ต้องให้แข็งแรงไว้ด้วย
กายแข็งแรงต้องมีการเคลื่อนไหว(ออกกำลัง) จิตใจที่เข้มแข็งต้องฝึกทำสมาธิ ภาวนาครับ สรุป "กายต้องเคลื่อนไหว ใจต้องสงบ นิ่ง ครับ" - 325440.jpg (246.14 KiB) เข้าดูแล้ว 841 ครั้ง
- ช่วงที่ไม่ได้เดินทางไปทางใด เราก็ไม่งดการออกกำลังกายเพื่อไว้ต้านภัยโรคร้ายโควิด เรารู้ตัวว่าเราคือผู้สูงวัยกัน ดังนั้นต้องทำให้ร่างกายแข็งแรงไว้ ในขณะที่เราทำให้ร่างกายแข็งแรง จำไว้ครับ จิตใจก็ต้องให้แข็งแรงไว้ด้วย
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
- Deang-sarapee
- ขาประจำ
- โพสต์: 4438
- ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
- Tel: 0814730594
- team: รักรถรักธรรม
- Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
- ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐
Re: ......จักรยานธุดงค์..........
อรุณสวัสดิ์ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ ภาวะสงครามในยุคนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เห็น ผมเฝ้าติดตามการถล่มกันของชาติตะวันออกกลาง อิสราเอลกับกลุ่มฮามาส คิดแล้วเสียวครับ หวั่นเหลือเกินว่าสงครามโลกครั้งที่ ๓ คงหนีไม่พ้น นี่ละครับกิเลส ตัณหา ที่ไม่ลงตัวของคน พุทธศาสานาของเราไม่ได้สอนให้ให้ ฆ่า ให้ทำร้าย ทำลาย ให้เบัยดเบียน ใครที่ไปทำถือว่าไม่ใช่ศิษย์ของพระตถาคต พุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาที่ได้รับการรับรองจาก UN ให้เป็นศาสนาแห่งสันติสุข สันติภาพ
นอกจากสงครามที่กำลังก่อตัว คนบนโลกยังต้องผจญกับการลงโทษของธรรมชาติด้วยการให้เชื้อโควิด ๑๙ ล้างสถานที่อโคจรให้สะอาด ในเชียงใหม่แหล่งใหญ่ที่กำลังแพร่เชื้อขณะนี้ตรวจพบใน คุก นับพันคน อย่าประมาทกันนะครับ ที่อโคจรทั้งหลายอย่าไปเด็ดขาด
คำว่า“อโคจร”เป็นคำพระที่คุ้นหูชาวบ้านมากคำหนึ่งในยุคที่โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา Covid-19 ระบาดในไทยอยู่ในปัจจุบัน เพราะผู้คนที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่วนมากเข้าไปในที่สื่อมวลชนเรียกว่า อโคจรทั้งสิ้น เริ่มตั้งแต่สนามมวย จนถึงผับ บาร์ และไนท์คลับ โดยเฉพาะที่นักการเมือง หรือไฮโซเข้าไปหาความสำราญ เช่น ผับ บาร์ ย่านซอยทองหล่อ จนกลายเป็นคลัสเตอร์ในการระบาดของไวรัสวายร้ายตัวนี้ กลายเป็นที่โจทย์ขานไปทั่วเมือง ว่า เป็นนักการเมืองไม่ควรไปที่อโคจรที่ว่านั้น
อโคจร ในความหมายแบบไทยๆ คือสถานที่ที่ไม่ควรเข้าไป เพราะจะก่อให้เกิดความเสียหาย เป็นข้อห้ามพระสงฆ์ ที่มีในพระวินัยและประกาศของคณะสงฆ์ วารสารบาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม พ.ศ.2561 ตีพิมพ์งานวิจัยเรื่อง อโคจรในพระวินัยปิฎกกับสังคมในปัจจุบัน โดยนวลวรรณ พูนวสุพลฉัตร ที่อธิบายความหมาย อโคจร ว่า หมายถึงสถานที่ที่พระภิกษุไม่ควรเข้าไป และตัวบุคคลที่ภิกษุไม่ควรเข้าไปคบหา สมาคม และคลุกคลีด้วย เช่น ซ่องโสเภณี บ่อนการพนัน สถานบันเทิงยามราตรี ร้านขายสุรา แหล่งมั่ววสุมยาเสพติด ตลอดจนโรงแรม ห้างสรรพสินค้า และย่านตลาด เป็นต้น ประเภทอโคจร มี 6 เมื่อเข้าไปมีโทษทางวินัยเรียกว่า โลกวัชชะ คือชาวโลกติเตียน เป็นขี้ปากชาวบ้านว่างั้นเถอะ
ทั้ง 6 ประเภทนั้นได้แก่ 1.หญิงแพศยา หมายถึง โสเภณี ที่หากินในทางกามคุณทุกชนิด จะเปิดเผย หรือไม่ก็ตามแต่มิได้ห้ามเด็ดขาด หากสงฆ์รับนิมนต์ทำกิจศาสนาได้ แต้ต้องสำรวม ระวังตนให้ดี 2.หญิงหม้าย ไม่ว่าผัวตาย ผัวทิ้ง หรือ ทิ้งผัวล้วนแต่น่ากลัวต่อพรหมจรรย์ 3.สาวเทื้อ ที่ครองตัวเป็นโสด ถ้าจะคบต้องระมัดระวังตัว ประพฤติตนให้เหมาะสม 4.ภิกษุณี ที่ห้ามเพราะภิกษุณี ถือว่าครองตนเป็นโสดจะคบหาก็ต้องดูความพอเหมาะพอควร มีบทบัญญัติมากทีเดียวว่า ภิกษุจะต้องวางตัวอย่างไรในการคบหา ภิกษุณีหากละเมิดถูกปรับอาบัติตามลำดับความผิด 5 บัณเฑาะก์ หมายถึงกะเทย บุรุษที่ถูกตอน มักมีความต้องการทางกามกับบุรุษเพศ 6.ร้านขายสุรา ยาเสพติด รวมถึงสถานบันเทิงเริงรมย์ต่างๆ ภิกษุเข้าไป ในที่ที่กล่าวนี้ย่อมเป็นที่รังเกียจของผู้พบเห็น
นอกจาก 6 ข้อ ดังกล่าวยังมีประกาศและคำสั่งคณะสงฆ์อีกจำนวนหนึ่ง ที่เกี่ยวกับอโคจร
1.ประกาศห้ามไม่ให้ภิกษุประกอบการกิน นอกธรรมเนียมของสมณะ พ.ศ.2456
2.ห้ามภิกษุทำเสน่ห์ยาแฝด อาถรรพณ์ พ.ศ.2467
3.ประกาศห้ามเกี่ยวข้องเรื่องราชการ พ.ศ.2476
4.ห้ามเป็นสมาชิกสมาคม หรือสโมสรคฤหัสถ์ พ.ศ.2476
5.ห้ามไปจดเลขสลากกินแบ่งและซื้อ หรือมีสลากกินแบ่งไว้เป็นของตัว พ.ศ.?2480
6 ห้ามเรียกเงินค่าเวทมนตร์คาถา และห้ามทดลองของขลัง พ.ศ.2495
7.ห้ามเที่ยวที่ตากอากาศ พ.ศ. 2497
8.ห้ามแสดงตนเป็นอาจารย์บอกเลขสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือสลากกินรวบ พ.ศ.2498
9.ห้ามพักแรมในสถานที่ที่เป็นที่รังเกียจทางพระวินัย พ.ศ.2501
10.ให้เจ้าอาวาสเตือนพระเณรไม่ให้ไปตลาดนัดท้องสนามหลวง และยืนดูขบวนเสด็จ พ.ศ.2501
11.ห้ามถือกล้องถ่ายรูป กล้องส่องทางไกล พ.ศ.2503
อย่างไรดก็ตาม สังคมปัจจุบันอนุโลมได้บางกรณีคือ 1.โรงแรมที่พักในต่างประเทศ 2.ที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ 3.ห้างสรรพสินค้าและร้านค้า ที่ไม่ได้เดินชอปปิ้ง 4.ที่จำหน่ายสลาก 5.ที่จำหน่ายสินค้ามือ2
ปัจจุบันทัศนคติเกี่ยวกับอโคจรบางแห่งเปลี่ยนไป เช่น เข้าโรงแรมได้ เมื่อร่วมสัมมนาทางวิชาการ หรือเดินทางไปต่างประเทศ ต้องพักในโรงแรม ที่อโคจรนอกจากที่กล่าวแล้ว ปัจจุบันจัดเป็นอโคจรด้วย เช่น ตลาดนัดจตุจักร ห้ามไปเดินเลือกซื้อสินค้า หรือที่จำหน่ายสินค้าผิดกฎหมาย หรือสื่อลามกอนาจาร เพราะไปที่ดังกล่าว จะตกเป็นโลกวัชชะ สำหรับภิกษุ และสามเณร ทั้งสิ้น
ส่วนฆราวาสที่เป็นบุคคลสาธารณะ ก็ต้องระมัดระวังยิ่งขึ้น มิเช่นนั้นก็จะกลายขี้ปากชาวบ้านและสื่อดังเช่น อโคจร ย่านซอยทองหล่อ นั่นแล เครดิตจาก SootinClaimon.Com ขอบคุณมากครับ
นอกจากสงครามที่กำลังก่อตัว คนบนโลกยังต้องผจญกับการลงโทษของธรรมชาติด้วยการให้เชื้อโควิด ๑๙ ล้างสถานที่อโคจรให้สะอาด ในเชียงใหม่แหล่งใหญ่ที่กำลังแพร่เชื้อขณะนี้ตรวจพบใน คุก นับพันคน อย่าประมาทกันนะครับ ที่อโคจรทั้งหลายอย่าไปเด็ดขาด
คำว่า“อโคจร”เป็นคำพระที่คุ้นหูชาวบ้านมากคำหนึ่งในยุคที่โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา Covid-19 ระบาดในไทยอยู่ในปัจจุบัน เพราะผู้คนที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่วนมากเข้าไปในที่สื่อมวลชนเรียกว่า อโคจรทั้งสิ้น เริ่มตั้งแต่สนามมวย จนถึงผับ บาร์ และไนท์คลับ โดยเฉพาะที่นักการเมือง หรือไฮโซเข้าไปหาความสำราญ เช่น ผับ บาร์ ย่านซอยทองหล่อ จนกลายเป็นคลัสเตอร์ในการระบาดของไวรัสวายร้ายตัวนี้ กลายเป็นที่โจทย์ขานไปทั่วเมือง ว่า เป็นนักการเมืองไม่ควรไปที่อโคจรที่ว่านั้น
อโคจร ในความหมายแบบไทยๆ คือสถานที่ที่ไม่ควรเข้าไป เพราะจะก่อให้เกิดความเสียหาย เป็นข้อห้ามพระสงฆ์ ที่มีในพระวินัยและประกาศของคณะสงฆ์ วารสารบาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม พ.ศ.2561 ตีพิมพ์งานวิจัยเรื่อง อโคจรในพระวินัยปิฎกกับสังคมในปัจจุบัน โดยนวลวรรณ พูนวสุพลฉัตร ที่อธิบายความหมาย อโคจร ว่า หมายถึงสถานที่ที่พระภิกษุไม่ควรเข้าไป และตัวบุคคลที่ภิกษุไม่ควรเข้าไปคบหา สมาคม และคลุกคลีด้วย เช่น ซ่องโสเภณี บ่อนการพนัน สถานบันเทิงยามราตรี ร้านขายสุรา แหล่งมั่ววสุมยาเสพติด ตลอดจนโรงแรม ห้างสรรพสินค้า และย่านตลาด เป็นต้น ประเภทอโคจร มี 6 เมื่อเข้าไปมีโทษทางวินัยเรียกว่า โลกวัชชะ คือชาวโลกติเตียน เป็นขี้ปากชาวบ้านว่างั้นเถอะ
ทั้ง 6 ประเภทนั้นได้แก่ 1.หญิงแพศยา หมายถึง โสเภณี ที่หากินในทางกามคุณทุกชนิด จะเปิดเผย หรือไม่ก็ตามแต่มิได้ห้ามเด็ดขาด หากสงฆ์รับนิมนต์ทำกิจศาสนาได้ แต้ต้องสำรวม ระวังตนให้ดี 2.หญิงหม้าย ไม่ว่าผัวตาย ผัวทิ้ง หรือ ทิ้งผัวล้วนแต่น่ากลัวต่อพรหมจรรย์ 3.สาวเทื้อ ที่ครองตัวเป็นโสด ถ้าจะคบต้องระมัดระวังตัว ประพฤติตนให้เหมาะสม 4.ภิกษุณี ที่ห้ามเพราะภิกษุณี ถือว่าครองตนเป็นโสดจะคบหาก็ต้องดูความพอเหมาะพอควร มีบทบัญญัติมากทีเดียวว่า ภิกษุจะต้องวางตัวอย่างไรในการคบหา ภิกษุณีหากละเมิดถูกปรับอาบัติตามลำดับความผิด 5 บัณเฑาะก์ หมายถึงกะเทย บุรุษที่ถูกตอน มักมีความต้องการทางกามกับบุรุษเพศ 6.ร้านขายสุรา ยาเสพติด รวมถึงสถานบันเทิงเริงรมย์ต่างๆ ภิกษุเข้าไป ในที่ที่กล่าวนี้ย่อมเป็นที่รังเกียจของผู้พบเห็น
นอกจาก 6 ข้อ ดังกล่าวยังมีประกาศและคำสั่งคณะสงฆ์อีกจำนวนหนึ่ง ที่เกี่ยวกับอโคจร
1.ประกาศห้ามไม่ให้ภิกษุประกอบการกิน นอกธรรมเนียมของสมณะ พ.ศ.2456
2.ห้ามภิกษุทำเสน่ห์ยาแฝด อาถรรพณ์ พ.ศ.2467
3.ประกาศห้ามเกี่ยวข้องเรื่องราชการ พ.ศ.2476
4.ห้ามเป็นสมาชิกสมาคม หรือสโมสรคฤหัสถ์ พ.ศ.2476
5.ห้ามไปจดเลขสลากกินแบ่งและซื้อ หรือมีสลากกินแบ่งไว้เป็นของตัว พ.ศ.?2480
6 ห้ามเรียกเงินค่าเวทมนตร์คาถา และห้ามทดลองของขลัง พ.ศ.2495
7.ห้ามเที่ยวที่ตากอากาศ พ.ศ. 2497
8.ห้ามแสดงตนเป็นอาจารย์บอกเลขสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือสลากกินรวบ พ.ศ.2498
9.ห้ามพักแรมในสถานที่ที่เป็นที่รังเกียจทางพระวินัย พ.ศ.2501
10.ให้เจ้าอาวาสเตือนพระเณรไม่ให้ไปตลาดนัดท้องสนามหลวง และยืนดูขบวนเสด็จ พ.ศ.2501
11.ห้ามถือกล้องถ่ายรูป กล้องส่องทางไกล พ.ศ.2503
อย่างไรดก็ตาม สังคมปัจจุบันอนุโลมได้บางกรณีคือ 1.โรงแรมที่พักในต่างประเทศ 2.ที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ 3.ห้างสรรพสินค้าและร้านค้า ที่ไม่ได้เดินชอปปิ้ง 4.ที่จำหน่ายสลาก 5.ที่จำหน่ายสินค้ามือ2
ปัจจุบันทัศนคติเกี่ยวกับอโคจรบางแห่งเปลี่ยนไป เช่น เข้าโรงแรมได้ เมื่อร่วมสัมมนาทางวิชาการ หรือเดินทางไปต่างประเทศ ต้องพักในโรงแรม ที่อโคจรนอกจากที่กล่าวแล้ว ปัจจุบันจัดเป็นอโคจรด้วย เช่น ตลาดนัดจตุจักร ห้ามไปเดินเลือกซื้อสินค้า หรือที่จำหน่ายสินค้าผิดกฎหมาย หรือสื่อลามกอนาจาร เพราะไปที่ดังกล่าว จะตกเป็นโลกวัชชะ สำหรับภิกษุ และสามเณร ทั้งสิ้น
ส่วนฆราวาสที่เป็นบุคคลสาธารณะ ก็ต้องระมัดระวังยิ่งขึ้น มิเช่นนั้นก็จะกลายขี้ปากชาวบ้านและสื่อดังเช่น อโคจร ย่านซอยทองหล่อ นั่นแล เครดิตจาก SootinClaimon.Com ขอบคุณมากครับ
- ไฟล์แนบ
-
- BB1gR6FO.jpg (19.84 KiB) เข้าดูแล้ว 838 ครั้ง
-
- กระทรวงสาธารณสุขของปาเลสไตน์ ระบุว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากปฏิบัติการถล่มกาซาของอิสราเอล เพิ่มเป็น 212 คน รวมทั้งเด็ก 61 คน และผู้หญิง 36 คน ส่วนฝั่งอิสราเอลอยู่ที่ 10 คน ขณะที่เจ้าหน้าที่ 2 คน ที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาหยุดยิง ระบุว่า อิสราเอลได้ปฏิเสธเสียงเรียกร้องจากผู้ไกล่เกลี่ยภายนอก รวมทั้งอิยิปต์ ที่ขอให้หยุดยิง เพราะผู้นำทั้งฝ่ายการเมืองและกองทัพ ต่างยืนยันความตั้งใจที่จะสร้างคจวามเสียหายอย่างหนักให้กับโครงสร้างทางทหารของฮามาส ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการหยุดยิง
กลุ่มผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน (Reporters Without Borders) ได้เรียกร้องให้ศาลอาญาระหว่างประเทศ เข้าสืบสวนกรณีอิสราเอลโจมตีอาคารในกาซา ที่เป็นที่ตั้งสำนักงานของสื่อนานาชาติ รวมทั้ง AP ที่อาจถือเป็นการก่อ "อาชญากรรมสงคราม" ได้ ขณะที่ล่าสุด เมื่อวันจันทร์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นการโจมตีนองเลือดที่สุดในวันเดียว เครื่องบินรบของอิสราเอล 54 ลำ ได้ระดมใช้ปฏิบัติการถล่มทางอากาศอย่างหนักหน่วงต่อเป้าหมาย 35 แห่ง ในกาซา ภายในเวลา 20 นาที ที่รวมทั้งเหล่าผู้บัญชาการฮามาส และเครือข่ายอุโมงค์ที่ยาวกว่า 10 กิโลเมตร ที่ใช้ในการเคลื่อนไหวของนักรบฮามาส จรวดและอาวุธอื่นๆ
นับตั้งแต่ความขัดแย้งปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม อิสราเอลโจมตีเป้าหมายในฉนวนกาซาไปแล้ว 766 แห่ง ขณะที่ปาเลสไตน์ยิงจรวดเข้าไปในฝั่งอิสราเอล 3,200 ลูก - BB1gR6FQ.jpg (32.13 KiB) เข้าดูแล้ว 838 ครั้ง
- กระทรวงสาธารณสุขของปาเลสไตน์ ระบุว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากปฏิบัติการถล่มกาซาของอิสราเอล เพิ่มเป็น 212 คน รวมทั้งเด็ก 61 คน และผู้หญิง 36 คน ส่วนฝั่งอิสราเอลอยู่ที่ 10 คน ขณะที่เจ้าหน้าที่ 2 คน ที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาหยุดยิง ระบุว่า อิสราเอลได้ปฏิเสธเสียงเรียกร้องจากผู้ไกล่เกลี่ยภายนอก รวมทั้งอิยิปต์ ที่ขอให้หยุดยิง เพราะผู้นำทั้งฝ่ายการเมืองและกองทัพ ต่างยืนยันความตั้งใจที่จะสร้างคจวามเสียหายอย่างหนักให้กับโครงสร้างทางทหารของฮามาส ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการหยุดยิง
-
- การเมืองตะวันออกกลางเป็นดินแดนการประลองสงครามข่าวสารของสำนักข่าวยักษ์ใหญ่ต่างประเทศมาเป็นเวลากว่า 30 ปี ในช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซีย (1990 ถึง 1991) ซีเอ็นเอ็น (CNN) เป็นสำนักข่าวเดียวที่รายงานสดสงครามอ่าวเปอร์เซียอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ช่วงนั้นไม่มีคู่แข่ง สามารถรายงานข่าวแบบไหน ช่วงไหนก็ได้
ขณะนี้มีสำนักข่าวต่างประเทศยักษ์ใหญ่ 5 แห่งแข่งกันรายงานข่าวต่างประเทศ นอกจากอัลจาซีรา (Al Jazeera), ซีเอ็นเอ็น, บีบีซี (BBC) ตอนนี้มีสำนักข่าวยักษ์ใหญ่น้องใหม่จากจีนและรัสเซียเข้ามาสมทบ ซีจีทีเอ็น (China Global Television Network) และอาร์ที (Russia TV)
แต่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ข่าวร้อนคือภาพตึกอัลโซรุก 11 ชั้นในพื้นที่ฉนวนกาซาที่มีสำนักข่าวต่างประเทศรวมทั้งอัลจาซีราและสำนักข่าวเอพีที่ถูกกองทัพอากาศอิสราเอลระดมยิงทำลายจนตึกทั้งหลังพังทลายลงมา
สำนักข่าวอัลจาซีราโดดเด่นที่สุด ได้รายงานข่าวอย่างละเอียดการต่อสู้ระหว่างนักรบกลุ่มฮามาสกับทหารอิสราเอลตั้งแต่เริ่มมีการปะทะขับเคี่ยวกันมากว่าหนึ่งอาทิตย์ มีการรายการข่าวชั่วโมงต่อชั่วโมง พร้อมทั้งข่าวอัปเดตการต่อสู้อย่างสม่ำเสมอ ในขณะเดียวกัน สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นเอ็นและสำนักข่าวบีบีซีก็มีการรายงานข่าวความขัดแย้งนี้เช่นกัน แต่จะให้รายละเอียดที่ต่างกัน
อัลจาซีราจะเน้นประเด็นกรณีชาวปาเลสไตน์ในเขตกาซาถูกรังแก ซึ่งเกิดจากการกดขี่ของรัฐบาลอิสราเอลและกลุ่มอิทธิพลการเมืองในประเทศ การรายงานสดจากพื้นที่จะมีภาพเด็กวัยรุ่นออกมากต่อต้านตำรวจ ขว้างก้อนหิน ยิงหนังสติ๊กสู้กับกองทัพอิสราเอล พร้อมทั้งสัมภาษณ์ชาวปาเลสไตน์ที่มีสมาชิกในครอบครัวถูกฆ่าตาย หรือชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการจู่โจมทั้งทางอากาศและพื้นดิน
อัลจาซีรามักจะตอกย้ำว่าการปะทะครั้งนี้มีสาเหตุใหญ่มาจากตัวนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู (Benjamin Netanyahu) ผู้ซึ่งดวงอนาคตการเมืองกำลังริบหรี่ อาจจะถูกเขี่ยออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเร็ว ๆ นี้ เพราะไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ตามที่ได้มอบหมาย เจ้าตัวต้องการกอบกู้อนาคตการเมืองตัวเอง ด้วยวีธีการตอบโต้อย่างรุนแรงกับกลุ่มฮามาสซึ่งเคยเป็นคู่อริทางการเมืองอยู่แล้ว
ที่น่าสนใจคือ ซีเอ็นเอ็นและบีบีซีใช้เวลาส่วนใหญ่พยายามอธิบายถึงความจำเป็นที่กองทัพอิสราเอลต้องปฏิบัติการอย่างเด็ดขาดและต่อเนื่องในพื้นที่กาซา เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มฮามาสสามารถยิงจรวดถล่มใส่บ้านช่องคนอิสราเอล จนทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 8 คน ฝั่งปาเลสไตน์เสียชีวิตแล้ว 119 คน
ทั้งสหรัฐอเมริกาและอังกฤษถือว่ากลุ่มฮามาสเป็นกลุ่มก่อการร้าย ที่พยายามเสี้ยมไม่ให้เกิดสันติภาพในตะวันออกกลาง และประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาอ้างอิงอยู่บ่อยครั้งในรายงานข่าวของสำนักข่าวสองแห่งนี้คือ ความมุ่งมั่นของกลุ่มฮามาสที่จะกำจัดชาวยิวให้หมดไปจากโลกใบนี้
การที่ทหารอิสราเอลทำลายตึกมีสำนักข่าวต่างประเทศ โดยเฉพาะอัลจาซีราและเอพี อาจเป็นเพราะว่าสำนักข่าวสองแห่งนี้ถูกกล่าวหาจากเจ้าหน้าที่อิสราเอลว่า รายงานข่าวด้วยความเห็นอกเห็นใจกลุ่มฮามาสและวัยรุ่นชาวปาเลสไตน์ ซึ่งความจริงแล้วนักข่าวของเอพีมีชื่อเสียงในการรายงานข่าวแบบเจาะลึกการเมืองอิสราเอลมาเป็นเวลานานแล้ว มักมีบทวิจารณ์นโยบายและการกระทำของนายกรัฐมนตรีคนนี้ ส่วนเหตุผลที่รัฐบาลอิสราเอลนำมาอ้างว่า กลุ่มฮามาสใช้ตึกนี้เป็นกำบังของฐานที่มั่นยิงจรวดใส่ที่มั่นทหารอิสราเอล ซึ่งทางสำนักข่าวสองแห่งได้ปฏิเสธอย่างแข็งขัน
ครั้งนี้ไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่สำนักข่าวต่างประเทศในตะวันออกกลางถูกตกเป็นเป้าการโจมตี ย้อนกลับไปในช่วงสงครามอิรัก นักข่าวโทรทัศน์อัลจาซีราที่กรุงแบกแดดถูกยิงเสียชีวิต เพราะฝ่ายทหารอเมริกันเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ก่อการร้าย
นอกจากนี้ยังมีสถานีข่าว 24 ชั่วโมงที่รองลงมาคือ สถานีเอ็นเอชเค (NHK) ของญี่ปุ่น, อารีรัง (Arirang) ของเกาหลีใต้, ดีดับบลิว (DW-Deutsche Welle) ของเยอรมนี, ฟรานส์ 24 (France 24) ของฝรั่งเศส และซีเอ็นเอ (Channel News Asia) ของสิงค์โปร์
ในสมัยของรัฐบาลชวน หลีกภัย ก็เคยมีแนวที่จะพัฒนาสถานีข่าว 24 ชั่วโมงเช่นกัน โดยตั้งใจใช้ชื่อว่า ‘Thailand International Television Network’ แต่ปรากฎว่าต้องใช้งบประมาณมหาศาล แผนงานนี้เลยถูกยกเลิกไป
เครดิตข่าวจาก Beartai - BB1gRdhy.jpg (98.59 KiB) เข้าดูแล้ว 838 ครั้ง
- การเมืองตะวันออกกลางเป็นดินแดนการประลองสงครามข่าวสารของสำนักข่าวยักษ์ใหญ่ต่างประเทศมาเป็นเวลากว่า 30 ปี ในช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซีย (1990 ถึง 1991) ซีเอ็นเอ็น (CNN) เป็นสำนักข่าวเดียวที่รายงานสดสงครามอ่าวเปอร์เซียอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ช่วงนั้นไม่มีคู่แข่ง สามารถรายงานข่าวแบบไหน ช่วงไหนก็ได้
-
- ทุกเช้าเรา ๒ คน ปู่-ย่า ต้องออกกำลังเสมอ ๆ เพื่อความไม่ประมาท ร่างกายที่แข็งแรงจะยังพอต้านโรคภัยไข้เจ็บได้ เรียกว่าใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท "กายต้องเคลื่อนไหว ใจต้องสงบ นิ่ง" เป็นประจำที่เจอวัดเราจะเข้าไปกราบพระเพื่ออุทิศส่วนกุศลและภาวนาขอให้มนุษย์โลกที่ประพฤติดีปฏิบัติดี ให้คลาดแคล้วปลอดภัยจากภัยทั้งโรคระบาดและสงคราม ขอสันติสุขกลับคืนสู่โลกโดยไว
ภาพที่นำมาเสนอเป็นภาพของการปั่นออกกำลังประจำเช้าวันที่ ๑๘ พ.ค.๖๔ ครับ โชคดีและ สวัสดีครับ.
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
- ลุงเนตร
- ขาประจำ
- โพสต์: 19861
- ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 19:20
- Tel: 0898133936
- team: อิสระ
- Bike: Trek 3900, Dark Rock ทัวร์ริ่ง
- ตำแหน่ง: ๔๖๕ ซอยจ่าโสด ถนนทางรถไฟเก่า แขวง,เขตบางนา กทม.๑๐๒๖๐
- ติดต่อ:
Re: ......จักรยานธุดงค์..........
"..สวัสดีครับ ท่านคุณน้อง Dang sarapee และสมาชิกทุกท่าน (มีผู้หนึ่งใดใครเข้ามาดูบ้างไหมน้า) ขอบคุณมากครับ สำหรับสาระดีๆที่นำมาให้เป็นวิทยาทาน ณ ที่นี้.."
*..ยิ่งปั่น..ยิ่งแข็ง..แรงยิ่งดี..โรคไม่ค่อยมี..ไม่ทุกข์..*
- Deang-sarapee
- ขาประจำ
- โพสต์: 4438
- ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
- Tel: 0814730594
- team: รักรถรักธรรม
- Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
- ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐
Re: ......จักรยานธุดงค์..........
อรุณสวัสดิ์ท่านพี่ที่เคารพ ขอบพระคุณมากครับที่เข้ามาเยี่ยมเยียน ท่านพี่สังเกตุบ้างไหมครับ เวลาที่โรคร้ายระบาดปกติแล้วเราจะได้เห็นบทบาทของสภากาชาดไทย แต่ระยะนี้ไม่ปรากฏว่าบทบาทของสภากาชาด ที่ผมนำเสนอเรื่องนี้เพราะ มีเพื่อนเขามากระซิบและส่งเรื่องสภากาชาดมาให้ ผมจึงคิดว่าน่าจะเอามาฝากแฟน ๆ ในห้องนี้บ้าง เรามาติดตามกันครับ
ธิดากรมพระยาดำรงฯถูกหมาบ้ากัดสิ้นชีพ! เป็นที่มาของ “สถานเสาวภา” ช่วยชีวิตคนไทยได้มาก!!
...
สถานเสาวภา สถานที่ผลิตวัคซีนและเซรุ่มป้องกันพิษสุนัขบ้า พิษงู และไข้ทรพิษ ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของสภากาชาดไทย ได้ช่วยชีวิตคนไทยจากพิษร้ายเหล่านี้ไว้ได้มาก มีกำเนิดเนื่องมาจากหม่อมเจ้าหญิงธิดาองค์หนึ่งของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีผู้วางรากฐานกระทรวงมหาดไทย ต้องสละพระชนม์ชีพด้วยพิษร้ายจากสุนัขบ้า ขณะที่เมืองไทยยังไม่มีความรู้ในเรื่องนี้
ทั้งนี้ในปี ๒๔๕๕ ขณะที่ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พร้อมกับครอบครัว ได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวไปประทับที่พระราชวังสนามจันทร์ นครปฐม วันหนึ่งมีหมาบ้าตัวหนึ่งวิ่งเข้ามาในบ้านพักขณะที่เด็กๆกำลังวิ่งเล่นกัน เด็กๆจึงพากันวิ่งหนี แต่หม่อมเจ้าหญิงบันลุศิริสาร หรือ “ท่านหญิงเภา” พระธิดาวัย ๑๓ ชันษาล้มลง ถูกหมาบ้ากัดมีรอยแผล ๒ เขี้ยวที่ขา ท่านหญิงไม่รู้สึกเจ็บเท่าใดนัก แต่ผู้ใหญ่ตกใจไปตามกัน จึงต้องวิ่งหาหมอที่ชำนาญในการรักษาพิษสุนัขบ้า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯรับสั่งให้ส่งไปรักษาที่สถานปาสเตอร์ เมืองไซ่ง่อน แต่พอติดต่อกับเรือก็ทราบว่าเรือเพิ่งออกไปเมื่อวาน ต้องรออีก ๑๕ วันจึงมีเที่ยวใหม่ เลยต้องให้หมอคนหนึ่งมารักษาตามวิธีของไทย กินยา ทายา ไม่กี่วันแผลก็หาย ท่านหญิงก็แจ่มใสเหมือนแต่ก่อน จนเชื่อกันว่ารักษาหายแล้ว
เมื่อกลับมากรุงเทพฯก็ปรกติดีมาสัก ๓ เดือน จนลืมเรื่องที่ถูกหมาบ้ากัดกันไปแล้ว อยู่มาวันหนึ่งท่านหญิงเภาเกิดตัวร้อนขึ้นมา ก็คิดกันว่าเป็นไข้ธรรมดา แต่มีอาการแปลกอย่างหนึ่งคือ เมื่อส่งถ้วยยาหรือถ้วยน้ำดื่ม ให้ถือ มือท่านหญิงที่จับถ้วยจะสั่นทั้งสองข้าง เมื่อวางแก้วจึงหาย แต่ก็ยังไม่เฉลียวใจนึกว่าเป็นไข้ธรรมดา แต่มือก็สั่นหนักขึ้นทุกทีจนตัวสั่น จึงได้ไปรับหมอปัว ซึ่งภายหลังได้เป็น พระยาอัศวินอำนวยเวช มาดู
พอหมอปัวมาเห็นเข้าก็หน้าเสีย แอบกระซิบกับกรมพระยาดำรงฯว่า เป็นโรคกลัวน้ำด้วยโรคพิษสุนัขบ้า ไม่มีทางจะรักษาให้หายเสียแล้ว กรมดำรงฯก็ไม่อยากจะเชื่อ เพราะคนไข้แม้จะทรุดจนต้องนอนก็ยังพูดจาได้ แต่อาการมือสั่นก็ตรงตามตำราฝรั่งที่ว่าเป็นโรคกลัวน้ำ จึงต้องยอมเชื่อ บอกผู้ใกล้ชิดให้รู้กันว่าเป็นโรคกลัวน้ำจากพิษสุนัขบ้ากัด แต่ไม่ให้ใครรู้ว่าจะไม่รอด เพราะไม่อยากจะให้โศกศัลย์จนคนไข้ใจเสียไปด้วย
อาการของท่านหญิงเภาทรุดลงอย่างรวดเร็ว พอดึกของคืนนั้นก็สิ้นชีพิตักษัย หลังมีอาการครั้งสุดท้ายนี้ไม่ถึง ๒๔ ชั่วโมง แต่ไม่มีอาการอย่างที่เล่ากันว่า คนที่ตายด้วยพิษสุนัขบ้า มักร้องเป็นเสียงเห่าหอน หรือน้ำลายฟูมปากอย่างสุนัข
ด้วยความโศกเศร้าที่ต้องเสียพระธิดาไปด้วยโรคที่คนไทยยังไม่มีความรู้จะรักษาชีวิตไว้ได้นี้ กรมพระยาดำรงฯจึงกราบบังคมทูนพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯขอพระบรมราชานุญาตใช้ตึกหลวงที่ถนนบำรุงเมืองเป็นที่ผลิตและฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ให้ชื่อว่า “ปาสตุรสภา” ตามชื่อ หลุยส์ ปาสเตอร์ นักเคมีชาวฝรั่งเศส ผู้ค้นพบวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯก็มีทรงสนับสนุน และได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดปาสตุรสภา เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๔๕๖
ในปี ๒๔๖๐ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯทรงโปรดเกล้าฯให้โอนปาสตุรสภาจากกระทรวงมหาดไทย ไปขึ้นกับสภากาชาดไทย พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น “สถานปาสเตอร์” ต่อมาในปี ๒๔๖๓ ได้ทรงบริจาคทรัพย์ส่วนพระองค์ให้แก่สภากาชาดไทย เพื่อจัดสร้างที่ทำการของสถานปาสเตอร์แห่งใหม่ขึ้นที่ถนนพระราม ๔ และพระราชทานนามว่า “สถานเสาวภา” เพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์และเทิดพระเกียรติสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีเปิดเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๔๖๕ ซึ่งเป็นสถานที่ทำการของสถานเสาวภาและสภากาชาดไทยในปัจจุบัน
- ไฟล์แนบ
-
- สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงนิพนธ์ไว้ใน “นิทานโบราณคดี” เรื่อง “อนามัย” ตอนหนึ่งว่า
“...ที่สถานเสาวภา มีรูปหม่อมเจ้าหญิงบรรลุศิริสาร อย่างปั้นครึ่งตัวหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ตั้งอยู่รูปหนึ่ง เป็นอนุสรณ์ซึ่งเธอเป็นมูลเหตุให้เกิดสถานปาสเตอร์ในเมืองไทย ฉันไปเห็นรูปนั้นเมื่อใด ก็นึกว่าเธอคงไปสู่สุคติภูมิ เพราะชีวิตของเธอช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ในเมืองไทยได้มาก...” - 625822.jpg (39.81 KiB) เข้าดูแล้ว 780 ครั้ง
- สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงนิพนธ์ไว้ใน “นิทานโบราณคดี” เรื่อง “อนามัย” ตอนหนึ่งว่า
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
- ลุงเนตร
- ขาประจำ
- โพสต์: 19861
- ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 19:20
- Tel: 0898133936
- team: อิสระ
- Bike: Trek 3900, Dark Rock ทัวร์ริ่ง
- ตำแหน่ง: ๔๖๕ ซอยจ่าโสด ถนนทางรถไฟเก่า แขวง,เขตบางนา กทม.๑๐๒๖๐
- ติดต่อ:
Re: ......จักรยานธุดงค์..........
"..สวัสดีครับ ท่านน้อง Dang Sarapee และสมาชิกแสนกว่าท่าน ขอบคุณมากสำหรับกำเนิดสภากาชาดไทย.."
*..ยิ่งปั่น..ยิ่งแข็ง..แรงยิ่งดี..โรคไม่ค่อยมี..ไม่ทุกข์..*
- Saturn Sky
- ขาประจำ
- โพสต์: 44127
- ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ธ.ค. 2008, 17:24
- Tel: ☎ หมดเวลา 555+☎
- team: ช่วงสับสน555
- Bike: ★จำยี่ห้อไม่ได้อ่ะ5555..•
- ตำแหน่ง: secret
Re: ......จักรยานธุดงค์..........
สวัสดีค่ะคุณพี่แดง สุดท้ายย ทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปจริง ๆ ค่ะ 55555 เวปนี้เงียบเหงาสุด ๆ จริง ๆ
เปล่า"หยิ่ง"!!! แค่ นิ่ง ดูเชิง
- Deang-sarapee
- ขาประจำ
- โพสต์: 4438
- ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
- Tel: 0814730594
- team: รักรถรักธรรม
- Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
- ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐
Re: ......จักรยานธุดงค์..........
สวัสดียามเช้าครับท่านพี่ ช่วงนี้ท่านพี่หายเงียบไปเลย ไม่ทราบไปปั่นเที่ยวอยู่ ณ แห่งหนตำบลใด อย่างไรก็ขอให้มีความสุข ปลอดภัย ในทุกที่ทุกสถานก็แล้วกันนะครับ ว่าง ๆ เข้าไปเยี่ยมกระทู้ คุณลุงแดง-คุณป้าอ๋อย บ้างนะครับ ขอบคุณครับ
สวัสดีครับคุณน้องแอ๊ว เช่นกันคุณน้องหายยยยยย ไปนานนนนนน เลยนะครับ คุณพี่เชื่อว่า คุณน้องสบายดี มีความสุข แน่นอน ขอแสดงความยินดีและดีใจด้วย ถ้ามีเวลาอยากจะเรียนเชิญไปกระทู้คุณลุงคุณป้า ไปช่วยกันเผยแพร่ธรรมะกันบ้างนะครับSaturn Sky เขียน: ↑04 ก.ย. 2021, 21:41 สวัสดีค่ะคุณพี่แดง สุดท้ายย ทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปจริง ๆ ค่ะ 55555 เวปนี้เงียบเหงาสุด ๆ จริง ๆ
เวป ไทยเอ็มทีบี ตั้งแต่ปีที่แล้วที่มีการปรับแต่งปรากฏแฟน ๆ หายเกลี้ยง และยังไม่พอเข้าไปตามหากระทู้ก็ลำบาก สุดท้ายก็เงียบเหงาอย่างที่คุณน้องว่ามาจริง ๆ ครับ ไม่รู้เมืื่อไหร่จะกลับไปเหมือนเดิมอีก ขอบคุณมากนะครับที่ยังคิดถึงกันเข้ามาเยี่ยมเยียนกัน คุณพี่ยังรำลึกถึงตลอดเวลา โชคดีมีเงินนะครับ ๕๕
viewtopic.php?f=587&t=1772820&start=570
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
- Deang-sarapee
- ขาประจำ
- โพสต์: 4438
- ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
- Tel: 0814730594
- team: รักรถรักธรรม
- Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
- ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐
Re: ......จักรยานธุดงค์..........
อรุณสวัสดิ์ท่านที่เคารพทุกท่าน เมื่อวันที่ ๑/๑๐/๖๔ เกิดวาตภัยในเขต อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ต้นยางนาที่ถนนเชียงใหม่ - ลำพูน นัยว่าเป็นถนนวัฒนธรรม ถูกลมพายุพัดล้ม ๑๐ ต้นทับบ้านเรือนเสียหายหลายสิบหลัง รวมทั้งบ้านผมด้วย เป็นอะไรที่เหนื่อยมาก ๆ ครับ จากวันที่ ๑ ต.ค.จนถึงวันนี้ ๑๘ ต.ค.ยังไม่มีอะไรคืบหน้า เรามีหน้าที่ต้องซ่อมสร้างบ้านที่เสียหายรวมทั้งทรัพย์สินต่าง ๆ โชคดีที่มีกำลังใจจากเพื่อน ๆ ญาติมิตรสนิททั้งหลายมาให้กำลังใจครับ
การที่จะรู้ว่าใครมี "กำลังใจ" หรือไม่ ย่อมต้องมีเหตุแสดงให้เห็น เช่น เมื่อเกิดปัญหาชีวิต เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ฯลฯ คนที่มีกำลังใจ จะไม่กลัวและพร้อมจะต่อสู้เพื่อให้อุปสรรคเหล่านี้หมดไป หรือสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ โดยไม่ย่อท้อ ผิดกับคนที่ขาดกำลังใจ มักจะมีอาการตรงข้าม อันเนื่องมาจากเกิดความกลัว ความขลาดที่จะเผชิญปัญหา จึงเกิดวิตกจริต รู้สึกหดหู่ซึมเศร้าอยู่เป็นนิตย์ มองเห็นแต่ปัญหา หาทางออกไม่เจอ อย่างไรก็ดี กำลังใจเป็นสิ่งที่สร้างให้เกิดขึ้นได้ และทำได้หลายประการ ดังที่กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จะได้ ยกตัวอย่างบางวิธีมาเสนอดังต่อไปนี้
ขจัดความกลัว โดยทั่วไปคนจะกลัว 4 เรื่องคือ กลัวผี กลัวคน กลัวภัยเฉพาะหน้า และกลัวเหตุร้ายจะมาถึง คนที่มีความกลัวอยู่ในนิสัยหรือที่เรียกว่า คนขลาด นั้น ยากที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต แม้จะมีความพร้อมในด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ หรือทรัพย์สินเงินทอง ดังนั้น เราอาจจัดความกลัวได้ 2 วิธีคือ
วิธีของพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงสอนว่า สิ่งที่ขจัดความกลัวได้ผลที่สุดคือ การแผ่เมตตาจิต ปลูกฝังไมตรีให้เป็นธรรมะประจำใจ เพราะทันที่ที่เรามีเมตตาจิต เราจะไม่กลัวสิ่งใดมาทำอันตราย เพราะเราจะคิดดีต่อผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา จึงเสมือนมีเครื่องคุ้มกันภัย และคุ้มกันใจให้หายกลัว
ส่วนอีกวิธีคือ วิธีแบบจิตวิทยา เป็นการสอนวิธีขจัดความกลัว โดยให้เชื่อใน ความเป็นจริง คือ ให้รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร เช่น เรากลัวบางคน เพราะเราไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร แต่หากศึกษาให้รู้ประวัติ รู้นิสัยใจคอของเขา ก็จะหายกลัว เป็นต้น ความกลัวเป็นศัตรูร้ายแรงของกำลังใจ การฝึกขจัดความกลัว จะเป็นหนึ่งในวิธีสร้างกำลังใจโดยตรง ยิ่งเรากลัวน้อยลงเท่าไร เราก็ยิ่งมีกำลังใจมากขึ้นเท่านั้น
ขจัดความหวาดวิตก ซึ่งเป็นภัยร้ายที่ทำลายทั้งสุขภาพ และความคิด ดังนั้น เราจะต้องแก้โดยหัดมองโลกในแง่ดี คิดในทางบวก คิดว่าต้อง ทำได้ อยู่เสมอ เพราะหากเรามัวแต่กลัวปัญหาอุปสรรค และคิดว่าทำไม่ได้ ก็จะเกิดปริวิตก และทอนกำลังใจตนเอง อีกทั้งจะต้องหาอะไรทำอยู่เสมอ อย่าปล่อยตัวปล่อยใจให้ว่าง ความวิตกก็จะหมดไป เพราะมัวแต่ทำงานไม่มีเวลาไปคิดฟุ้งซ่าน ไร้สาระ
การเป็นตัวของตัวเอง คือ มีความคิดอ่านเป็นของตน ในทางที่มีเหตุมีผล มีความถูกต้องเหมาะสม หรือพูดง่ายๆ ว่ามีหลักการของตนเอง ไม่ยอมให้ใครชักจูงให้ผันผวน ไปจากแนวคิดของตน คนเหล่านี้คือ ผู้ที่มีกำลังใจแท้ คือ มีกำลังใจที่จะต่อสู้ และกำลังใจที่จะหักห้ามตนเอง ไม่ให้ทำผิดจากหลักการที่ตั้งไว้
การสร้างนิสัยสดชื่น ความสดชื่น เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความสามารถ ที่จะมีชีวิตอยู่ และพร้อมเติบโตก้าวหน้าต่อไป ทำให้ผู้อยู่ใกล้มีความสุขสดชื่นไปด้วย แม้ว่าในความเป็นจริง เราอาจจะมีทุกข์ แต่หากเราเอาแต่โศกเศร้าทุกข์ร้อน นอกจากจะทำให้เรารู้สึกอ่อนแอ ทั้งร่างกายและจิตใจแล้ว ผู้คนก็จะพากันหนีห่าง ดังนั้น เราจึงควรสร้างนิสัยสดชื่นไว้อยู่เสมอ ด้วยการสร้างสิ่งแวดล้อมรอบตัว ให้สดชื่นแจ่มใส เช่น ปลูกไม้ดอกในบ้าน หัดมองโลกในแง่ดี /ขบขัน ประกอบคุณงามความดี เช่น ทำบุญ จะทำให้รู้สึกอิ่มเอิบสดชื่นเช่นกัน
นอกจากวิธีการข้างต้นแล้ว เรายังสามารถเพิ่มพูนกำลังใจให้มากขึ้น ด้วยการนำข้อคิด คำคม คำสอนที่เป็นคติจากหนังสือ คำพูด หรือการดำรงชีวิตที่ดีของผู้อื่น มาเป็นแบบอย่างได้ เช่นคำคมที่ว่า อัจฉริยะมีเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ นอกนั้นเกิดจากหยาดเหงื่อ และความเพียรพยายาม /อย่าทำความชั่ว เพราะคิดว่าผิดนิดเดียว และอย่าละเว้นทำดี เพราะคิดว่าได้กุศลน้อยนิด เป็นต้น การสร้างกำลังใจด้วยวิธีการต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว แม้จะต้องฝืนใจทำบ้างในเบื้องต้น แต่เชื่อว่า ถ้าเราฝึกบ่อยๆ ให้เกิดความเคยชิน จนเป็นนิสัย ก็จะทำให้เรากลายเป็นคนเข้มแข็ง และมี "กำลังใจ" อันเป็นพลังผลักดันให้ชีวิตประสบความสำเร็จในทุกๆ ด้านต่อไป
ขอบคุณบทความดี ๆ จาก Kapook.com ครับ
ประมวลภาพต้นยางนาต้นที่ ๕๘ หน้าบ้านแม่ใหญ่ ถูกพายุพัดล้มทับบ้าน พังเสียหาย ครอบครัวของเราได้รับการดูแลจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะญาติสนิท มิตรสหายต่างพากันมาให้กำลังใจ เป็นความประทับใจและอบอุ่นมาก ๆ ยามยากแบบนี้ จะไม่ลืมพระคุณครับ
รายละเอียดต่าง ๆ นำไปเล่าในกระทู้ ทัวร์ริ่ง ชื่อ คุณลุงแดง - คุณป้าอ๋อย พาเที่ยว ครับ ติดตามได้นะครับขอบคุณมากครับ
การที่จะรู้ว่าใครมี "กำลังใจ" หรือไม่ ย่อมต้องมีเหตุแสดงให้เห็น เช่น เมื่อเกิดปัญหาชีวิต เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ฯลฯ คนที่มีกำลังใจ จะไม่กลัวและพร้อมจะต่อสู้เพื่อให้อุปสรรคเหล่านี้หมดไป หรือสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ โดยไม่ย่อท้อ ผิดกับคนที่ขาดกำลังใจ มักจะมีอาการตรงข้าม อันเนื่องมาจากเกิดความกลัว ความขลาดที่จะเผชิญปัญหา จึงเกิดวิตกจริต รู้สึกหดหู่ซึมเศร้าอยู่เป็นนิตย์ มองเห็นแต่ปัญหา หาทางออกไม่เจอ อย่างไรก็ดี กำลังใจเป็นสิ่งที่สร้างให้เกิดขึ้นได้ และทำได้หลายประการ ดังที่กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จะได้ ยกตัวอย่างบางวิธีมาเสนอดังต่อไปนี้
ขจัดความกลัว โดยทั่วไปคนจะกลัว 4 เรื่องคือ กลัวผี กลัวคน กลัวภัยเฉพาะหน้า และกลัวเหตุร้ายจะมาถึง คนที่มีความกลัวอยู่ในนิสัยหรือที่เรียกว่า คนขลาด นั้น ยากที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต แม้จะมีความพร้อมในด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ หรือทรัพย์สินเงินทอง ดังนั้น เราอาจจัดความกลัวได้ 2 วิธีคือ
วิธีของพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงสอนว่า สิ่งที่ขจัดความกลัวได้ผลที่สุดคือ การแผ่เมตตาจิต ปลูกฝังไมตรีให้เป็นธรรมะประจำใจ เพราะทันที่ที่เรามีเมตตาจิต เราจะไม่กลัวสิ่งใดมาทำอันตราย เพราะเราจะคิดดีต่อผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา จึงเสมือนมีเครื่องคุ้มกันภัย และคุ้มกันใจให้หายกลัว
ส่วนอีกวิธีคือ วิธีแบบจิตวิทยา เป็นการสอนวิธีขจัดความกลัว โดยให้เชื่อใน ความเป็นจริง คือ ให้รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร เช่น เรากลัวบางคน เพราะเราไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร แต่หากศึกษาให้รู้ประวัติ รู้นิสัยใจคอของเขา ก็จะหายกลัว เป็นต้น ความกลัวเป็นศัตรูร้ายแรงของกำลังใจ การฝึกขจัดความกลัว จะเป็นหนึ่งในวิธีสร้างกำลังใจโดยตรง ยิ่งเรากลัวน้อยลงเท่าไร เราก็ยิ่งมีกำลังใจมากขึ้นเท่านั้น
ขจัดความหวาดวิตก ซึ่งเป็นภัยร้ายที่ทำลายทั้งสุขภาพ และความคิด ดังนั้น เราจะต้องแก้โดยหัดมองโลกในแง่ดี คิดในทางบวก คิดว่าต้อง ทำได้ อยู่เสมอ เพราะหากเรามัวแต่กลัวปัญหาอุปสรรค และคิดว่าทำไม่ได้ ก็จะเกิดปริวิตก และทอนกำลังใจตนเอง อีกทั้งจะต้องหาอะไรทำอยู่เสมอ อย่าปล่อยตัวปล่อยใจให้ว่าง ความวิตกก็จะหมดไป เพราะมัวแต่ทำงานไม่มีเวลาไปคิดฟุ้งซ่าน ไร้สาระ
การเป็นตัวของตัวเอง คือ มีความคิดอ่านเป็นของตน ในทางที่มีเหตุมีผล มีความถูกต้องเหมาะสม หรือพูดง่ายๆ ว่ามีหลักการของตนเอง ไม่ยอมให้ใครชักจูงให้ผันผวน ไปจากแนวคิดของตน คนเหล่านี้คือ ผู้ที่มีกำลังใจแท้ คือ มีกำลังใจที่จะต่อสู้ และกำลังใจที่จะหักห้ามตนเอง ไม่ให้ทำผิดจากหลักการที่ตั้งไว้
การสร้างนิสัยสดชื่น ความสดชื่น เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความสามารถ ที่จะมีชีวิตอยู่ และพร้อมเติบโตก้าวหน้าต่อไป ทำให้ผู้อยู่ใกล้มีความสุขสดชื่นไปด้วย แม้ว่าในความเป็นจริง เราอาจจะมีทุกข์ แต่หากเราเอาแต่โศกเศร้าทุกข์ร้อน นอกจากจะทำให้เรารู้สึกอ่อนแอ ทั้งร่างกายและจิตใจแล้ว ผู้คนก็จะพากันหนีห่าง ดังนั้น เราจึงควรสร้างนิสัยสดชื่นไว้อยู่เสมอ ด้วยการสร้างสิ่งแวดล้อมรอบตัว ให้สดชื่นแจ่มใส เช่น ปลูกไม้ดอกในบ้าน หัดมองโลกในแง่ดี /ขบขัน ประกอบคุณงามความดี เช่น ทำบุญ จะทำให้รู้สึกอิ่มเอิบสดชื่นเช่นกัน
นอกจากวิธีการข้างต้นแล้ว เรายังสามารถเพิ่มพูนกำลังใจให้มากขึ้น ด้วยการนำข้อคิด คำคม คำสอนที่เป็นคติจากหนังสือ คำพูด หรือการดำรงชีวิตที่ดีของผู้อื่น มาเป็นแบบอย่างได้ เช่นคำคมที่ว่า อัจฉริยะมีเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ นอกนั้นเกิดจากหยาดเหงื่อ และความเพียรพยายาม /อย่าทำความชั่ว เพราะคิดว่าผิดนิดเดียว และอย่าละเว้นทำดี เพราะคิดว่าได้กุศลน้อยนิด เป็นต้น การสร้างกำลังใจด้วยวิธีการต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว แม้จะต้องฝืนใจทำบ้างในเบื้องต้น แต่เชื่อว่า ถ้าเราฝึกบ่อยๆ ให้เกิดความเคยชิน จนเป็นนิสัย ก็จะทำให้เรากลายเป็นคนเข้มแข็ง และมี "กำลังใจ" อันเป็นพลังผลักดันให้ชีวิตประสบความสำเร็จในทุกๆ ด้านต่อไป
ขอบคุณบทความดี ๆ จาก Kapook.com ครับ
ประมวลภาพต้นยางนาต้นที่ ๕๘ หน้าบ้านแม่ใหญ่ ถูกพายุพัดล้มทับบ้าน พังเสียหาย ครอบครัวของเราได้รับการดูแลจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะญาติสนิท มิตรสหายต่างพากันมาให้กำลังใจ เป็นความประทับใจและอบอุ่นมาก ๆ ยามยากแบบนี้ จะไม่ลืมพระคุณครับ
รายละเอียดต่าง ๆ นำไปเล่าในกระทู้ ทัวร์ริ่ง ชื่อ คุณลุงแดง - คุณป้าอ๋อย พาเที่ยว ครับ ติดตามได้นะครับขอบคุณมากครับ
- ไฟล์แนบ
-
- cats๑.jpg (290.78 KiB) เข้าดูแล้ว 745 ครั้ง
-
- 550980.jpg (283.52 KiB) เข้าดูแล้ว 745 ครั้ง
-
- 550981.jpg (225.4 KiB) เข้าดูแล้ว 745 ครั้ง
-
- 550982.jpg (229.8 KiB) เข้าดูแล้ว 745 ครั้ง
-
- 550983.jpg (192.16 KiB) เข้าดูแล้ว 745 ครั้ง
-
- 550984.jpg (192.54 KiB) เข้าดูแล้ว 745 ครั้ง
-
- 550985.jpg (203.27 KiB) เข้าดูแล้ว 745 ครั้ง
-
- 550988.jpg (205.16 KiB) เข้าดูแล้ว 745 ครั้ง
-
- 550989.jpg (198.04 KiB) เข้าดูแล้ว 745 ครั้ง
-
- 550991.jpg (156.76 KiB) เข้าดูแล้ว 745 ครั้ง
-
- 550992.jpg (240.29 KiB) เข้าดูแล้ว 745 ครั้ง
-
- 550993.jpg (223 KiB) เข้าดูแล้ว 745 ครั้ง
-
- 550994.jpg (225.22 KiB) เข้าดูแล้ว 745 ครั้ง
-
- 550995.jpg (211.58 KiB) เข้าดูแล้ว 745 ครั้ง
-
- 550997.jpg (243.44 KiB) เข้าดูแล้ว 745 ครั้ง
-
- 551011.jpg (192.53 KiB) เข้าดูแล้ว 745 ครั้ง
-
- 553278.jpg (214.7 KiB) เข้าดูแล้ว 745 ครั้ง
-
- 553335.jpg (173.15 KiB) เข้าดูแล้ว 745 ครั้ง
-
- 553872.jpg (156.59 KiB) เข้าดูแล้ว 745 ครั้ง
-
- 556022.jpg (199.9 KiB) เข้าดูแล้ว 745 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
- Deang-sarapee
- ขาประจำ
- โพสต์: 4438
- ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
- Tel: 0814730594
- team: รักรถรักธรรม
- Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
- ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐
Re: ......จักรยานธุดงค์..........
พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ แห่งวัดเจติยาคีรีวิหาร ได้เทศนาแก่คณะนิตยสาร คนพ้นโลก เมื่อวันเสาร์ที่ 5 เม.ย. 2523 แก่ก่อนที่ท่านจะละสังขารเนื่องจากเครื่องบินตก เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2523 มีความดังนี้
กำหนดใจให้สงบก่อน หักความร้อน ความวุ่นวายของจิต...
...คำว่าพ้นโลกนี้ คือหมายถึงว่า พ้นไปจากโลกอันนี้
โลกนี้มีอยู่ 3 โลก ที่ธรรมะเรียกว่าโลก คือ กามโลก 1 รูปโลก 1 อรูปโลก 1 มีเท่านี้เรียกว่าโลก
ทีนี้คณะคนพ้นโลก คือ พ้นจากโลกทั้ง 3 นี้ คือ พ้นจากกามโลก รูปโลก อรูปโลก
และทางที่จะพ้นจากกามโลก รูปโลก อรูปโลก นั้นเป็นอย่างไร ท่านก็แสดงในมัชฌิมาปฏิปทาทางสายกลาง ย่อลงมาก็คือ ทาน ศีล ภาวนา นี้เอง
ทาน ศีล ภาวนานี้ เป็นทางพ้นโลกทั้ง 3 เหตุไฉนจึงเป็นทางพ้นโลกทั้ง 3 เราจะบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนาประเภทใดนี้ พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระอานนท์ ในศิริมานันทสูตรโดยย่อๆ ว่า ดูก่อนอานนท์ ท่านที่จะพ้นโลกทั้ง 3 คือ กามโลก รูปโลก อรูปโลก นี้
เมื่อบุคคลผู้มีศรัทธา ความเชื่อก็เลื่อมใส บำเพ็ญในทาน ศีล ภาวนา ไม่ต้องพูดถึง ศีล สมาธิ ปัญญา อันบุคคลผู้ที่บำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนาเป็นผู้แสวงบุญนั้นเพื่อลาภสักการะ หรือเพื่อยศ เพื่อความสรรเสริญ เพื่อความสุขในกามโลก รูปโลก อรูปโลกนี้ ยังไม่ได้จัดเข้าเป็นข้อปฏิบัติที่ให้ถึงธรรมปฏิบัติโดยแท้ ยังไม่อาจพ้นไปจากโลกได้ เพราะธรรมเหล่านี้มีอยู่ในโลก ความมีลาภก็มีอยู่ในโลก ความมียศก็มีอยู่ในโลก ความเสื่อมลาภก็มีอยู่ในโลก ความเสื่อมยศก็มีอยู่ในโลก ความเสื่อมสรรเสริญก็มีอยู่ในโลก ความนินทาก็มีอยู่ในโลก ความสุขก็มีอยู่ในโลก ความทุกข์ก็มีอยู่ในโลก
ทีนี้ผู้บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนานี้ หวังลาภสักการะหรือหวังลาภหวังยศ หวังความสรรเสริญ หวังความสุขนั้น ยังไม่จัดเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมอันเป็นที่ดับทุกข์ ยังไม่พ้นโลก ผู้บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา
เมื่อเป็นผู้ที่มุ่งหวังที่จะทำลายกิเลสตัณหา อันเป็นตัวเหตุตัวปัจจัยให้เกิดทุกข์อยู่ร่ำไป ให้เกิดอยู่ในกามโลก รูปโลก อรูปโลก นี้จึงเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมอันเป็นที่ดับทุกข์
ถ้าผู้บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา คือ ผู้แสวงบุญ มุ่งหวังที่จะต้องทำลายแต่กิเลส ตัณหา อันเป็นตัวเหตุตัวปัจจัย เป็นตัวกรรมวัตร กิเลสวัตร คือ เป็นตัวสมุทัย เป็นตัวให้เกิดทุกข์
นี้จึงจะพ้นไปเสียจากโลกทั้ง 3 ได้
การที่จะพ้นไปเสียจากโลกทั้ง 3 คือ ทาน ศีล ภาวนานี้เท่านั้น ฉะนั้นการบำเพ็ญท่าน ศีล ภาวนา ถ้าไม่มุ่งหวังที่จะทำลายกิเลสตัณหาแล้ว มันก็ไม่พ้นไปเสียจากโลกได้ เมื่อไม่พ้นไปเสียจากโลกได้ ส่วนบุญที่เกิดจากการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา นั้นมีอยู่หรือไม่ มีอยู่ ได้รับผลอยู่ ไม่ปฏิเสธว่าไม่ได้รับ ได้รับผลอยู่ แต่ได้ผลเพียงมนุษย์สุข สวรรค์สุขเท่านั้น ไม่พ้นไปจากทุกข์ เพราะเหตุไม่ได้เจตนาที่จะทำลายกิเลสตัณหานั้นให้สิ้นไปหมดไป จึงไม่พ้นทุกข์ สุขที่ได้รับจากการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนามีอยู่ มีมนุษย์สุข สวรรค์สุขเท่านั้น แต่ไม่พ้นไปจากทุกข์ ส่วนการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา เพื่อมุ่งหวังที่จะทำลายกิเลสตัณหาอย่างเดียวให้หมดไป ให้สิ้นไป ให้ดับไป ไม่มุ่งหวังอะไร สุขก็ได้ ทุกข์ก็พ้น
ให้พากันมุ่งหน้ามุ่งตาที่จะทำลายกิเลสตัณหาให้ออกไปจากจิตใจของเราเท่านั้นให้หมดไปสิ้นไป จึงจะพ้นไปเสียจากโลก
ธรรมที่จะพ้นไปเสียจากโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเบื้องต้นประวัติของท่าน ท่านแสดงในอริยมรรคปฏิปทา ประกอบไปด้วยองค์ 8 ประการนี่เอง ดังจะนำมาแสดงโดยย่อๆ เพียงข้อต้น คือ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ สัมมาสังกับโปความดำริชอบ เพียงแค่นี้
ความเห็นชอบ เห็นสิ่งที่เป็นเหตุให้พ้นไปเสียจากโลกนี้ ท่านเห็นอย่างไร
ความเห็นชอบนั้น คือ เห็นว่า นี้ทุกข์ นี้เป็นเหตุเกิดทุกข์ นี่ธรรมเป็นที่ดับทุกข์ นี่เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่ดับทุกข์นี้ทุกข์ คือ เห็นว่า ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นทุกข์ เห็นเหตุให้เกิดทุกข์ คือ เห็นตัณหา ความอยาก อันทุกข์ทั้งหลาย ทุกข์ในกามโลก รูปโลก อรูปโลก ที่จะปรากฏขึ้น ก็เพราะเหตุแห่งตัณหา คือ ความอยาก ฉะนั้นธรรมเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ท่านจึงเจาะจงบ่งชื่อตัณหาว่า ยายงฺตณฺหา ตัณหาคือความอยากนี้ เป็นเหตุให้เกิดกามภพ รูปภพ อรูปภพ ไม่มี มีแต่ตัณหาเท่านี้ ความยินดี ความกำหนัด ความเพลิดเพลินลุ่มหลง |ฮึกเหิมตามความกำหนัด ความยินดี คือ ความใคร่ ความรัก ความปรารถนาในกามารมณ์ ความทะเยอทะยานอยากเป็นโน่นเป็นนี่ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็นในสิ่งที่|ตนไม่ชอบ ไม่พอใจ
ตัณหา คือ ความอยากเหล่านี้
เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่พ้นไปจากโลกได้ หรือไม่พ้นไปจากกามโลก รูปโลก อรูปโลกได้ เพราะเหตุแห่งตัณหา
มีปัญญา สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ รู้ชอบ ในธรรมเป็นที่ดับทุกข์ ความทุกข์ทั้งหลายมี่จะดับไป ความเห็นว่า ต้องทำตัณหานี่แหละให้สิ้นไป ดังที่ท่านตรัสว่า ธรรมอันที่ดับทุกข์นั้น คือ ทำตัณหาความอยากนี่แหละให้สิ้นไป ดับตัณหาความอยากนี่แหละ โดยไม่เหลือนั้นๆ เสียให้สิ้นไปจากใจของตน
พึงละ พึงสาง พึงสร้าง พึงปลดปล่อย ตัดขาดจากตัณหา คือ ความอยากนี้นี่แหละให้สิ้นไป ทุกข์จึงจะดับ เพราะเหตุแห่งตัณหา เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
ถ้าผู้ต้องการจะพ้นไปจากทุกข์ พ้นไปจากโลก กามทุกข์ รูปทุกข์ อรูปทุกข์ ก็ต้องดับเสียซึ่งตัณหาให้หมดให้สิ้นไป เราจึงจะพ้นไปจากโลกได้ นี้ปัญญาสัมมาทิฏฐิ ปัญญา สังกับโป ท่านรู้ธรรมอันที่ดับทุกข์ ด้วยประการอย่างนี้
ปัญญาสัมมาทิฏฐิ ความรู้ชอบ เห็นชอบในข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมอันเป็นที่ดับทุกข์ ย่นลงก็คือ ทาน ศีล ภาวนา หรือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้
การบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ถ้าไม่มุ่งหวังที่จะทำลายกิเลสตัณหาให้หมดไป ให้สิ้นไปแล้ว ก็ไม่มีทางพ้นไปจากทุกข์ พ้นไปจากโลกนี้ได้ ถ้าเราบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา มุ่งหวังที่จะทำลายกิเลสตัณหาอย่างเดียวให้หมดให้สิ้นไป คือที่ว่าพ้นไปจากโลก
เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมอันที่ดับทุกข์โดยแท้ ไม่ต้องมีความสงสัยเลยดังนี้
สวัสดีครับ ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ ช่วงนี้ผมและคุณนายต้องอยู่ดูแลบ้านและเตรียมหลักฐานต่าง ๆ ที่จะนำเสนอหน่วยงานเช่น เทศบาลสารภี อบจ.เชียงใหม่ ฯ ที่เขาจะมาดูแลให้ความช่วยเหลือเยียวยา จากวันที่ ๑ - ๒๕ ต.ค.๖๔ นับตั้งแต่วันเกิดเหตุ ในส่วนของป่าไม้ได้มาตรีตราต้นยางและขนไปหมดแล้ว เหลือแต่เศษไม้กิ่งก้านที่ไร้ค่า ทิ้งไว้ให้เราได้ชื่นชม ยังไม่ทราบว่าจะมีหน่วยงานไหนมาช่วยขนไปทิ้ง เราคงไม่มีปัญญา แต่เชื่อครับว่าต้องมีหน่วยงานมาดูแลครับ
ตลอดห้วงเวลาที่ผ่านมาญาติธรรมเพื่อนฝูงก็ทะยอยเดินทางมาให้กำลังใจไม่ขาดครับ มีสิ่งหนึ่งที่ผมจะสะกิดเตือนผู้ที่มีส่วนได้เสียกับประชาชน ให้ได้ตระหนักซึ่งตัวผมเองไม่นึกคิดว่าจะเกิดความคิดแบบนี้ขึ้นเลย แต่พอผ่านไป ๆ หลายวันผมนั่งคิด นอนคิด รู้สึกได้ครับว่า "เออ...หมดสมัยคนรุ่นเก่าเต่าล้านปีแล้วจริง ๆ " ติดตามครับจากนี้ไปใครควรที่จะได้มีสิทธิ์ดูแลชาติบ้านเมืองต่อไป
กำหนดใจให้สงบก่อน หักความร้อน ความวุ่นวายของจิต...
...คำว่าพ้นโลกนี้ คือหมายถึงว่า พ้นไปจากโลกอันนี้
โลกนี้มีอยู่ 3 โลก ที่ธรรมะเรียกว่าโลก คือ กามโลก 1 รูปโลก 1 อรูปโลก 1 มีเท่านี้เรียกว่าโลก
ทีนี้คณะคนพ้นโลก คือ พ้นจากโลกทั้ง 3 นี้ คือ พ้นจากกามโลก รูปโลก อรูปโลก
และทางที่จะพ้นจากกามโลก รูปโลก อรูปโลก นั้นเป็นอย่างไร ท่านก็แสดงในมัชฌิมาปฏิปทาทางสายกลาง ย่อลงมาก็คือ ทาน ศีล ภาวนา นี้เอง
ทาน ศีล ภาวนานี้ เป็นทางพ้นโลกทั้ง 3 เหตุไฉนจึงเป็นทางพ้นโลกทั้ง 3 เราจะบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนาประเภทใดนี้ พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระอานนท์ ในศิริมานันทสูตรโดยย่อๆ ว่า ดูก่อนอานนท์ ท่านที่จะพ้นโลกทั้ง 3 คือ กามโลก รูปโลก อรูปโลก นี้
เมื่อบุคคลผู้มีศรัทธา ความเชื่อก็เลื่อมใส บำเพ็ญในทาน ศีล ภาวนา ไม่ต้องพูดถึง ศีล สมาธิ ปัญญา อันบุคคลผู้ที่บำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนาเป็นผู้แสวงบุญนั้นเพื่อลาภสักการะ หรือเพื่อยศ เพื่อความสรรเสริญ เพื่อความสุขในกามโลก รูปโลก อรูปโลกนี้ ยังไม่ได้จัดเข้าเป็นข้อปฏิบัติที่ให้ถึงธรรมปฏิบัติโดยแท้ ยังไม่อาจพ้นไปจากโลกได้ เพราะธรรมเหล่านี้มีอยู่ในโลก ความมีลาภก็มีอยู่ในโลก ความมียศก็มีอยู่ในโลก ความเสื่อมลาภก็มีอยู่ในโลก ความเสื่อมยศก็มีอยู่ในโลก ความเสื่อมสรรเสริญก็มีอยู่ในโลก ความนินทาก็มีอยู่ในโลก ความสุขก็มีอยู่ในโลก ความทุกข์ก็มีอยู่ในโลก
ทีนี้ผู้บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนานี้ หวังลาภสักการะหรือหวังลาภหวังยศ หวังความสรรเสริญ หวังความสุขนั้น ยังไม่จัดเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมอันเป็นที่ดับทุกข์ ยังไม่พ้นโลก ผู้บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา
เมื่อเป็นผู้ที่มุ่งหวังที่จะทำลายกิเลสตัณหา อันเป็นตัวเหตุตัวปัจจัยให้เกิดทุกข์อยู่ร่ำไป ให้เกิดอยู่ในกามโลก รูปโลก อรูปโลก นี้จึงเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมอันเป็นที่ดับทุกข์
ถ้าผู้บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา คือ ผู้แสวงบุญ มุ่งหวังที่จะต้องทำลายแต่กิเลส ตัณหา อันเป็นตัวเหตุตัวปัจจัย เป็นตัวกรรมวัตร กิเลสวัตร คือ เป็นตัวสมุทัย เป็นตัวให้เกิดทุกข์
นี้จึงจะพ้นไปเสียจากโลกทั้ง 3 ได้
การที่จะพ้นไปเสียจากโลกทั้ง 3 คือ ทาน ศีล ภาวนานี้เท่านั้น ฉะนั้นการบำเพ็ญท่าน ศีล ภาวนา ถ้าไม่มุ่งหวังที่จะทำลายกิเลสตัณหาแล้ว มันก็ไม่พ้นไปเสียจากโลกได้ เมื่อไม่พ้นไปเสียจากโลกได้ ส่วนบุญที่เกิดจากการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา นั้นมีอยู่หรือไม่ มีอยู่ ได้รับผลอยู่ ไม่ปฏิเสธว่าไม่ได้รับ ได้รับผลอยู่ แต่ได้ผลเพียงมนุษย์สุข สวรรค์สุขเท่านั้น ไม่พ้นไปจากทุกข์ เพราะเหตุไม่ได้เจตนาที่จะทำลายกิเลสตัณหานั้นให้สิ้นไปหมดไป จึงไม่พ้นทุกข์ สุขที่ได้รับจากการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนามีอยู่ มีมนุษย์สุข สวรรค์สุขเท่านั้น แต่ไม่พ้นไปจากทุกข์ ส่วนการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา เพื่อมุ่งหวังที่จะทำลายกิเลสตัณหาอย่างเดียวให้หมดไป ให้สิ้นไป ให้ดับไป ไม่มุ่งหวังอะไร สุขก็ได้ ทุกข์ก็พ้น
ให้พากันมุ่งหน้ามุ่งตาที่จะทำลายกิเลสตัณหาให้ออกไปจากจิตใจของเราเท่านั้นให้หมดไปสิ้นไป จึงจะพ้นไปเสียจากโลก
ธรรมที่จะพ้นไปเสียจากโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเบื้องต้นประวัติของท่าน ท่านแสดงในอริยมรรคปฏิปทา ประกอบไปด้วยองค์ 8 ประการนี่เอง ดังจะนำมาแสดงโดยย่อๆ เพียงข้อต้น คือ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ สัมมาสังกับโปความดำริชอบ เพียงแค่นี้
ความเห็นชอบ เห็นสิ่งที่เป็นเหตุให้พ้นไปเสียจากโลกนี้ ท่านเห็นอย่างไร
ความเห็นชอบนั้น คือ เห็นว่า นี้ทุกข์ นี้เป็นเหตุเกิดทุกข์ นี่ธรรมเป็นที่ดับทุกข์ นี่เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่ดับทุกข์นี้ทุกข์ คือ เห็นว่า ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นทุกข์ เห็นเหตุให้เกิดทุกข์ คือ เห็นตัณหา ความอยาก อันทุกข์ทั้งหลาย ทุกข์ในกามโลก รูปโลก อรูปโลก ที่จะปรากฏขึ้น ก็เพราะเหตุแห่งตัณหา คือ ความอยาก ฉะนั้นธรรมเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ท่านจึงเจาะจงบ่งชื่อตัณหาว่า ยายงฺตณฺหา ตัณหาคือความอยากนี้ เป็นเหตุให้เกิดกามภพ รูปภพ อรูปภพ ไม่มี มีแต่ตัณหาเท่านี้ ความยินดี ความกำหนัด ความเพลิดเพลินลุ่มหลง |ฮึกเหิมตามความกำหนัด ความยินดี คือ ความใคร่ ความรัก ความปรารถนาในกามารมณ์ ความทะเยอทะยานอยากเป็นโน่นเป็นนี่ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็นในสิ่งที่|ตนไม่ชอบ ไม่พอใจ
ตัณหา คือ ความอยากเหล่านี้
เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่พ้นไปจากโลกได้ หรือไม่พ้นไปจากกามโลก รูปโลก อรูปโลกได้ เพราะเหตุแห่งตัณหา
มีปัญญา สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ รู้ชอบ ในธรรมเป็นที่ดับทุกข์ ความทุกข์ทั้งหลายมี่จะดับไป ความเห็นว่า ต้องทำตัณหานี่แหละให้สิ้นไป ดังที่ท่านตรัสว่า ธรรมอันที่ดับทุกข์นั้น คือ ทำตัณหาความอยากนี่แหละให้สิ้นไป ดับตัณหาความอยากนี่แหละ โดยไม่เหลือนั้นๆ เสียให้สิ้นไปจากใจของตน
พึงละ พึงสาง พึงสร้าง พึงปลดปล่อย ตัดขาดจากตัณหา คือ ความอยากนี้นี่แหละให้สิ้นไป ทุกข์จึงจะดับ เพราะเหตุแห่งตัณหา เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
ถ้าผู้ต้องการจะพ้นไปจากทุกข์ พ้นไปจากโลก กามทุกข์ รูปทุกข์ อรูปทุกข์ ก็ต้องดับเสียซึ่งตัณหาให้หมดให้สิ้นไป เราจึงจะพ้นไปจากโลกได้ นี้ปัญญาสัมมาทิฏฐิ ปัญญา สังกับโป ท่านรู้ธรรมอันที่ดับทุกข์ ด้วยประการอย่างนี้
ปัญญาสัมมาทิฏฐิ ความรู้ชอบ เห็นชอบในข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมอันเป็นที่ดับทุกข์ ย่นลงก็คือ ทาน ศีล ภาวนา หรือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้
การบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ถ้าไม่มุ่งหวังที่จะทำลายกิเลสตัณหาให้หมดไป ให้สิ้นไปแล้ว ก็ไม่มีทางพ้นไปจากทุกข์ พ้นไปจากโลกนี้ได้ ถ้าเราบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา มุ่งหวังที่จะทำลายกิเลสตัณหาอย่างเดียวให้หมดให้สิ้นไป คือที่ว่าพ้นไปจากโลก
เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมอันที่ดับทุกข์โดยแท้ ไม่ต้องมีความสงสัยเลยดังนี้
สวัสดีครับ ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ ช่วงนี้ผมและคุณนายต้องอยู่ดูแลบ้านและเตรียมหลักฐานต่าง ๆ ที่จะนำเสนอหน่วยงานเช่น เทศบาลสารภี อบจ.เชียงใหม่ ฯ ที่เขาจะมาดูแลให้ความช่วยเหลือเยียวยา จากวันที่ ๑ - ๒๕ ต.ค.๖๔ นับตั้งแต่วันเกิดเหตุ ในส่วนของป่าไม้ได้มาตรีตราต้นยางและขนไปหมดแล้ว เหลือแต่เศษไม้กิ่งก้านที่ไร้ค่า ทิ้งไว้ให้เราได้ชื่นชม ยังไม่ทราบว่าจะมีหน่วยงานไหนมาช่วยขนไปทิ้ง เราคงไม่มีปัญญา แต่เชื่อครับว่าต้องมีหน่วยงานมาดูแลครับ
ตลอดห้วงเวลาที่ผ่านมาญาติธรรมเพื่อนฝูงก็ทะยอยเดินทางมาให้กำลังใจไม่ขาดครับ มีสิ่งหนึ่งที่ผมจะสะกิดเตือนผู้ที่มีส่วนได้เสียกับประชาชน ให้ได้ตระหนักซึ่งตัวผมเองไม่นึกคิดว่าจะเกิดความคิดแบบนี้ขึ้นเลย แต่พอผ่านไป ๆ หลายวันผมนั่งคิด นอนคิด รู้สึกได้ครับว่า "เออ...หมดสมัยคนรุ่นเก่าเต่าล้านปีแล้วจริง ๆ " ติดตามครับจากนี้ไปใครควรที่จะได้มีสิทธิ์ดูแลชาติบ้านเมืองต่อไป
- ไฟล์แนบ
-
- 210962.jpg (108.95 KiB) เข้าดูแล้ว 740 ครั้ง
-
- 210963.jpg (171.58 KiB) เข้าดูแล้ว 740 ครั้ง
-
- ตลอดเวลา ๒๕ วัน/คืน ที่เกิดเหตุการณ์ ผมคิดตรึกตรองทุก ๆ ปัญหาและทางออกของชีวิต ผมเชื่อเรื่อง "กรรมและกฏแห่งกรรม" เราสองคน ปู่และย่า ไม่เคยเพิกเฉยละเลยที่จะสร้างกรรมดีอันมี ทาน ศีล ภาวนา โดยเฉพาะเรื่องการบำเพ็ญภาวนา ซึ่งคือหัวใจของพุทธศาสนา
วันนี้ เวลานี้ เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้มาย้ำให้เราสองคนเชื่อมั่นในคุณของพระรัตนตรัย ถ้าเราไม่เคยสร้างกรรมดีมาเลย ต้นยางที่ ๕๘ นี้ต้องล้มตรงฟาดลงมา ไม่ต้องเอี้ยวลำต้นล้มลงตรงช่องว่างของบ้านพอดิบพอดีวันนั้นเราจะเสียหายทั้งหลัง ซึ่งจะเป็นความเสียหายที่รุนแรงมาก ๆ
มาเข้าประเด็นที่คาใจครับ เกี่ยวกับความช่วยเหลือและกำลังใจ ทุกพื้นที่ในบ้านเมืองของเรา จะเห็นได้ว่าภัยพิบัติเกิดขึ้น ในภาพแต่ละจังหวัดผมจะเห็น บรรดาตัวแทนของประชาชน(สส.)พากันไปให้กำลังใจและนำสิ่งของไปเยี่ยมเยียนแม้จะน้อยนิด แต่ก็ทำให้ประชาชนนั้น ๆ มีรอยยิ้ม
แปลกที่ อ.สารภี ครับ ผมไม่เห็นมี สส.หรือนักการเมืองคนใดเลยที่ปรากฏกาย ที่ช้ำใจสุด ๆ ก็พรรคการเมืองของคนเชียงใหม่ ไม่โผล่หน้ามาเลย ผิดกับช่วงที่มีการเลือกตั้ง โผล่มาเช้ามาเย็น จนแอบรำคาญ ๒๕ วันแล้วที่ผมฝันเห็นพรรคการเมืองนั้นครับ
ขอชื่นชม "พรรคก้าวไกล" ครับตั้งแต่วันแรกที่ต้นยางล้ม น้อง ตี๋ ตัวแทนพรรค มาเยี่ยม ครั้งแรกน้องคงคิดว่าไม่เสียหายมาก แต่พอน้องได้เข้าไปดูภายในน้องได้เห็นความเสียหาย รู้สึกได้ว่าจากสีหน้าตาและแววตาของน้อง เศร้าและรู้สึกได้ถึงความห่วงใยและเป็นทุกข์ร่วมกับเราสองคน ปู่ - ย่า
ยามที่ว่างหลังสวดมนต์ภาวนา เราสองคนจับเข่าคุยกันถึงประเด็นนี้ เราเคยรักเคยชอบพรรคที่ว่า ตั้งแต่เริ่มตั้งพรรค จนถูกยุบพรรคและมาตั้งพรรคใหม่ และเราก็เชื่อมั่นศรัทธาในผู้นำพรรค บัดนี้ผู้นำต้องมีอันเป็นไปแต่วาสนาบารมียังคงมีอยู่ แต่บรรดาลูกพรรคหาเดินตามแนวทางของหัวหน้าพรรคไม่ สรุป "เอาแต่ได้"
เราสองคนจึงตกลงใจว่านับแต่นี้ต่อไป เราทั้งสองจะเป็นกระบอกเสียงและสนับสนุน คนรุ่นใหม่ ให้มานำพาประเทศชาติของเราต่อไปดีกว่า คนเก่าเต่าล้านปีที่งมโข่งอวดฉลาด เห็นประชาชนเป็นเบี้ยคิดเอาแต่ได้ ลำพองใจว่า "เอาเสาไฟมาตั้งแล้วติดป้าย แค่นี้ชาวบ้านก็เลือกแล้ว" คอยดูครับ คำนี้จะเป็นตำนานไปแล้วล่ะ
ผมและคุณนายไม่เคยออกโรงและสนับสนุนพรรคใดออกนอกหน้า ถึงเวลาเลือกเราก็จะไปใช้สิทธิ์ แต่วันนี้เวลานี้ถึงเวลาแล้ว ถ้าเมื่อมีฤดูเลือกตั้งเราสองคนจะช่วย เด็กรุ่นใหม่หาเสียง โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ แต่เราจะตอบแทนน้ำใจ ของน้อง ตี๋ ตัวแทนพรรคก้าวไกล ที่วันที่เราประสบภัยน้องและพรรคของน้อง ได้ดูแลเรามาเยี่ยมถามไถ่แทบทุกวัน และวันที่มีการประชุมสภาประชาชนที่ศาลากลาง จว.เชียงใหม่ พรรคก้าวไกล ก็ได้นำปัญหาของเราไปนำเสนอไม่ขาดตกบกพร่อง(ผมติดตามการประชุมครับ) ขอบคุณน้ำใจที่ให้ยามยาก
สรุปเราสองคนน่าจะ โง่ มานาน คำโบราณกล่าวไว้ว่า "ยามทุกข์ยาก จึงได้เห็นธาตุแท้ของคน" ต่อไปนี้อย่าหวัง..."กู..ไม่เลือก...พวกมึง".
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
- Deang-sarapee
- ขาประจำ
- โพสต์: 4438
- ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
- Tel: 0814730594
- team: รักรถรักธรรม
- Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
- ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐
Re: ......จักรยานธุดงค์..........
พิธีสืบชะตาตามความเชื่อชาวล้านนา
ที่มา มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 มิถุนายน 2561
คอลัมน์ ล้านนาคำเมือง
ผู้เขียน ชมรมฮักตั๋วเมือง สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เผยแพร่ วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2561
“พิธีสืบจ๊ะต๋า” พิธีสืบชะตา เป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของชาวล้านนา ที่เชื่อกันว่าเป็นการต่ออายุหรือต่อชีวิตของบ้านเมืองหรือของคนให้ยืนยาว มีความสุข ความเจริญ
ตลอดจนเป็นการขจัดภัยอันตรายต่างๆ ที่จะบังเกิดขึ้นให้แคล้วคลาดปลอดภัย
แบ่งเป็น 3 ประเภทคือ
1. สืบชะตาคน
นิยมทำเมื่อขึ้นบ้านใหม่ ย้ายที่อยู่ใหม่ ได้รับยศหรือตำแหน่งสูงขึ้น วันเกิดที่ครบรอบ เช่น 24 ปี 36 ปี 48 ปี 60 ปี 72 ปี เป็นต้น หรือฟื้นจากป่วยหนัก หรือมีผู้ทักทายว่าชะตาไม่ดี จำเป็นต้องสะเดาะเคราะห์และสืบชะตา เป็นต้น
2. สืบชะตาบ้าน
นิยมทำเมื่อคนในหมู่บ้านประสบความเดือดร้อน หรือเจ็บไข้ได้ป่วยกันทั่วไปในหมู่บ้าน หรือตายติดต่อกันเกิน 3 คนขึ้นไป ถือเป็นเสนียดของหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านอาจพร้อมใจกันจัดในวันปากปี ปากเดือน หรือปากวัน คือวันที่หนึ่ง สอง หรือสามวันหลังวันเถลิงศก เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล บางท้องถิ่นมีการทำพิธีในวัดประจำหมู่บ้าน
3. สืบชะตาเมือง
จัดขึ้นเมื่อบ้านเมืองเกิดความเดือดร้อนจากอิทธิพลของดาวพระเคราะห์ตามความเชื่อทางโหราศาสตร์ เพราะทำให้บ้านเมืองปั่นป่วนวุ่นวาย เพราะการจลาจลการศึก หรือเกิดโรคภัยแก่ประชาชนในเมือง
เจ้านายท้าวพระยาบ้านเมืองจึงจัดพิธีสืบชะตาเมือง เพื่อให้อายุของเมืองได้ดำเนินต่อเนื่องสืบไป
เครื่องประกอบพิธีสืบชะตามีประกอบด้วย ไม้ค้ำยาวเท่าตัว 3 ท่อน ทำจากไม้ง่ามมีขนาดประมาณกำมือได้รอบ หรือโตกว่าเล็กน้อย ไม้ค้ำเล็กขนาดหัวแม่มือยาว 1 ศอก จำนวนเท่าอายุ หรือมากกว่าแต่ไม่เกิน 108 บันได 7 ขั้น หรือ 9 ขั้น กระดาษทอง เงิน หมากพลู บุหรี่ เมี่ยง ข้าวตอก ดอกไม้ร้อยด้วยด้าย เรียกว่า ลวดคำ ลวดเงิน ลวดหมาก ลวดเมี่ยง ลวด นำมามัดกับบันไดที่ทำ
หม้อน้ำดื่มและกระบวย หม้อเงิน หม้อทอง เสื่อ หมอน (ใหม่) ไม้สะพาน ใช้ไม้ไผ่หรือไม้เนื้อแข็ง ทำ 2 สะพานทำให้ติดกัน ตุงค่าคิง (ธงยาวเท่าตัวของเจ้าภาพ) เทียนค่าคิง สีสายเท่าคิง (เทียนยาวเท่าตัว และฝ้ายยาวเท่าตัวชุบด้วยน้ำมันพืชสำหรับจุดเป็นพุทธบูชา) กระบอกทราย หรือข้าวสาร ใช้ไม้อ้อยาวเท่านิ้วมือบรรจุทรายหรือข้าวสาร จำนวน 2 กระบอก
กระบอกน้ำ ใช้ไม้อ้อ 12 กระบอก เทียน 4 เล่มหรือเท่าอายุ แต่ไม่เกิน 108 ช่อน้อย ตุงไชย จำนวน 4 หรือเท่าอายุ แต่ไม่เกิน 108 ข้าวเปลือก 1 หมื่น (10 ลิตร) ข้าวสาร พัน (หนึ่งลิตร) งอกมะพร้าว หน่ออ้อย หน่อกล้วยกล้วยแก่ เครือ มะพร้าว 1 ทะลาย สะตวงหรือกระทงกาบกล้วยใส่เครื่องสรรพโภชนาหาร ฝ้ายมงคล (ด้ายสายสิญจน์) อย่างสุดท้ายที่สำคัญคือบายสีนมแมวจีบด้วยใบตองประดับดอกไม้ต่างๆ ใส่ข้าว ขนม ผลไม้
นําเครื่องประกอบพิธีทั้งหมดนำมารวมกันตั้งกันไว้ มีไม้ค้ำใหญ่ 3 อันเป็นหลัก ให้ปลายของไม้แต่ละเล่มค้ำสุมรวมกัน แล้วนำของต่างๆ วางไว้ที่โคนไม้ค้ำ มัดรวมกับไม้ค้ำบ้าง ไว้ข้างบนสุดยอดไม้ค้ำบ้าง
การสืบชะตาโดยทั่วไปใช้พระสงฆ์ประกอบพิธี 9 รูป เพื่อสวดพระปริตร สวดชยันโต ให้ศีลให้พร ฟังเทศน์สังคหะและเทศน์สืบชะตาตัวแทนที่เข้าไปนั่งในสายสิญจน์ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและครอบครัว
เป็นพิธีกรรมที่ทำมาแต่ครั้งพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน ของประกอบพิธีทุกอย่างล้วนมีความหมาย มีปริศนาธรรมแฝงอยู่ทุกอย่าง เป็นประเพณีอย่างหนึ่งที่ชาวล้านนาได้ปฏิบัติสืบต่อๆ กันมา เป็นสิ่งที่มีคุณค่า ควรรักษาสืบทอดต่อไปตลอดนานเท่านาน
เมื่อวันที่ ๒๗/๑๐/๖๔ ทาง จ.เชียงใหม่ และ จ.ลำพูน ได้ร่วมกันทำพิธีสืบชะตาให้กับผู้ประสบภัยจากต้นยางล้มในครั้งนี้ ที่บริเวณศาลหลักเมือง ระหว่างแดน ๒ แดน คือ เขตต่อแดนเมือง ลำพูน กับ เชียงใหม่ นิมนต์พระมาร่วมทำพิธี และพระสงฆ์จาก อ.สารภี ได้รวบรวมปัจจัยช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามความหนักเบา ที่บ้านผมได้รับปัจจัย ๑๕,๐๐๐ บ.กราบขอบพระคุณความเมตตาของคณะสงฆ์สารภีไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
ที่มา มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 มิถุนายน 2561
คอลัมน์ ล้านนาคำเมือง
ผู้เขียน ชมรมฮักตั๋วเมือง สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เผยแพร่ วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2561
“พิธีสืบจ๊ะต๋า” พิธีสืบชะตา เป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของชาวล้านนา ที่เชื่อกันว่าเป็นการต่ออายุหรือต่อชีวิตของบ้านเมืองหรือของคนให้ยืนยาว มีความสุข ความเจริญ
ตลอดจนเป็นการขจัดภัยอันตรายต่างๆ ที่จะบังเกิดขึ้นให้แคล้วคลาดปลอดภัย
แบ่งเป็น 3 ประเภทคือ
1. สืบชะตาคน
นิยมทำเมื่อขึ้นบ้านใหม่ ย้ายที่อยู่ใหม่ ได้รับยศหรือตำแหน่งสูงขึ้น วันเกิดที่ครบรอบ เช่น 24 ปี 36 ปี 48 ปี 60 ปี 72 ปี เป็นต้น หรือฟื้นจากป่วยหนัก หรือมีผู้ทักทายว่าชะตาไม่ดี จำเป็นต้องสะเดาะเคราะห์และสืบชะตา เป็นต้น
2. สืบชะตาบ้าน
นิยมทำเมื่อคนในหมู่บ้านประสบความเดือดร้อน หรือเจ็บไข้ได้ป่วยกันทั่วไปในหมู่บ้าน หรือตายติดต่อกันเกิน 3 คนขึ้นไป ถือเป็นเสนียดของหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านอาจพร้อมใจกันจัดในวันปากปี ปากเดือน หรือปากวัน คือวันที่หนึ่ง สอง หรือสามวันหลังวันเถลิงศก เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล บางท้องถิ่นมีการทำพิธีในวัดประจำหมู่บ้าน
3. สืบชะตาเมือง
จัดขึ้นเมื่อบ้านเมืองเกิดความเดือดร้อนจากอิทธิพลของดาวพระเคราะห์ตามความเชื่อทางโหราศาสตร์ เพราะทำให้บ้านเมืองปั่นป่วนวุ่นวาย เพราะการจลาจลการศึก หรือเกิดโรคภัยแก่ประชาชนในเมือง
เจ้านายท้าวพระยาบ้านเมืองจึงจัดพิธีสืบชะตาเมือง เพื่อให้อายุของเมืองได้ดำเนินต่อเนื่องสืบไป
เครื่องประกอบพิธีสืบชะตามีประกอบด้วย ไม้ค้ำยาวเท่าตัว 3 ท่อน ทำจากไม้ง่ามมีขนาดประมาณกำมือได้รอบ หรือโตกว่าเล็กน้อย ไม้ค้ำเล็กขนาดหัวแม่มือยาว 1 ศอก จำนวนเท่าอายุ หรือมากกว่าแต่ไม่เกิน 108 บันได 7 ขั้น หรือ 9 ขั้น กระดาษทอง เงิน หมากพลู บุหรี่ เมี่ยง ข้าวตอก ดอกไม้ร้อยด้วยด้าย เรียกว่า ลวดคำ ลวดเงิน ลวดหมาก ลวดเมี่ยง ลวด นำมามัดกับบันไดที่ทำ
หม้อน้ำดื่มและกระบวย หม้อเงิน หม้อทอง เสื่อ หมอน (ใหม่) ไม้สะพาน ใช้ไม้ไผ่หรือไม้เนื้อแข็ง ทำ 2 สะพานทำให้ติดกัน ตุงค่าคิง (ธงยาวเท่าตัวของเจ้าภาพ) เทียนค่าคิง สีสายเท่าคิง (เทียนยาวเท่าตัว และฝ้ายยาวเท่าตัวชุบด้วยน้ำมันพืชสำหรับจุดเป็นพุทธบูชา) กระบอกทราย หรือข้าวสาร ใช้ไม้อ้อยาวเท่านิ้วมือบรรจุทรายหรือข้าวสาร จำนวน 2 กระบอก
กระบอกน้ำ ใช้ไม้อ้อ 12 กระบอก เทียน 4 เล่มหรือเท่าอายุ แต่ไม่เกิน 108 ช่อน้อย ตุงไชย จำนวน 4 หรือเท่าอายุ แต่ไม่เกิน 108 ข้าวเปลือก 1 หมื่น (10 ลิตร) ข้าวสาร พัน (หนึ่งลิตร) งอกมะพร้าว หน่ออ้อย หน่อกล้วยกล้วยแก่ เครือ มะพร้าว 1 ทะลาย สะตวงหรือกระทงกาบกล้วยใส่เครื่องสรรพโภชนาหาร ฝ้ายมงคล (ด้ายสายสิญจน์) อย่างสุดท้ายที่สำคัญคือบายสีนมแมวจีบด้วยใบตองประดับดอกไม้ต่างๆ ใส่ข้าว ขนม ผลไม้
นําเครื่องประกอบพิธีทั้งหมดนำมารวมกันตั้งกันไว้ มีไม้ค้ำใหญ่ 3 อันเป็นหลัก ให้ปลายของไม้แต่ละเล่มค้ำสุมรวมกัน แล้วนำของต่างๆ วางไว้ที่โคนไม้ค้ำ มัดรวมกับไม้ค้ำบ้าง ไว้ข้างบนสุดยอดไม้ค้ำบ้าง
การสืบชะตาโดยทั่วไปใช้พระสงฆ์ประกอบพิธี 9 รูป เพื่อสวดพระปริตร สวดชยันโต ให้ศีลให้พร ฟังเทศน์สังคหะและเทศน์สืบชะตาตัวแทนที่เข้าไปนั่งในสายสิญจน์ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและครอบครัว
เป็นพิธีกรรมที่ทำมาแต่ครั้งพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน ของประกอบพิธีทุกอย่างล้วนมีความหมาย มีปริศนาธรรมแฝงอยู่ทุกอย่าง เป็นประเพณีอย่างหนึ่งที่ชาวล้านนาได้ปฏิบัติสืบต่อๆ กันมา เป็นสิ่งที่มีคุณค่า ควรรักษาสืบทอดต่อไปตลอดนานเท่านาน
เมื่อวันที่ ๒๗/๑๐/๖๔ ทาง จ.เชียงใหม่ และ จ.ลำพูน ได้ร่วมกันทำพิธีสืบชะตาให้กับผู้ประสบภัยจากต้นยางล้มในครั้งนี้ ที่บริเวณศาลหลักเมือง ระหว่างแดน ๒ แดน คือ เขตต่อแดนเมือง ลำพูน กับ เชียงใหม่ นิมนต์พระมาร่วมทำพิธี และพระสงฆ์จาก อ.สารภี ได้รวบรวมปัจจัยช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามความหนักเบา ที่บ้านผมได้รับปัจจัย ๑๕,๐๐๐ บ.กราบขอบพระคุณความเมตตาของคณะสงฆ์สารภีไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
- ไฟล์แนบ
-
- เสร็จจากตักบาตรพระเราก็ไปร่วมพิธีสืบชะตาหลวงที่คณะสงฆ์ อ.สารภี เมื่อเวลา ๐๘.๐๐ น.เช้านี้หลวงปู่ครูบาน้อย แห่งวัดศรีดอนมูล ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของคนสารภี ก็มาเป็นผู้นำในการสวดถอนสืบชะตาในครั้งนี้ด้วย
ฝ่ายฆราวาสก็มีท่านผู้ว่า จ.เชียงใหม่ ผวจ.ลำพูน นายอำเภอ สารภี นายอำเภอเมืองลำพูน ตลอดจน นายก อบจ.นายกเทศบาลสารภี และปราชาชนมาร่วมงานอย่างล้นหลามคับคั่ง - 568552.jpg (131.08 KiB) เข้าดูแล้ว 732 ครั้ง
- เสร็จจากตักบาตรพระเราก็ไปร่วมพิธีสืบชะตาหลวงที่คณะสงฆ์ อ.สารภี เมื่อเวลา ๐๘.๐๐ น.เช้านี้หลวงปู่ครูบาน้อย แห่งวัดศรีดอนมูล ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของคนสารภี ก็มาเป็นผู้นำในการสวดถอนสืบชะตาในครั้งนี้ด้วย
-
- บรรดาผู้ว่าราชการและคนสำคัญ ๆ ที่มาในงาน ต่างพากันไปผูกผ้าเรียกขวัญต้นยางที่ยังอยู้ ขอให้อยู่คู่สารภี อย่าล้มอย่าทำลายคนอีกเลย ต่อจากนี้ไปชีวิตจะกลับเข้าสู่ปกติ
การเยียวยาสำหรับผู้เสียหายหนัก ๆ ๗ รายก็ขอให้ทาง อบจ.เร่งรัดเยียวยาให้เร็วที่สุด สงสารบางบ้านยังไม่มีที่ซุกหัวนอนเลย อย่าให้เป็นคลื่นกระทบฝั่ง นะครับ
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
- Deang-sarapee
- ขาประจำ
- โพสต์: 4438
- ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
- Tel: 0814730594
- team: รักรถรักธรรม
- Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
- ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐
Re: ......จักรยานธุดงค์..........
สวัสดีครับท่านผูมีเกียรติที่เคารพ วันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดของบรรดาลูกศิษย์ลูกหาพระสายวัดป่า เพราะวันนี้เป็นวัน พระครูวินัยธรมั่น ภูริทตฺโต
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ได้พูดถึงหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต หรือนามตามสมณศักดิ์ว่า พระครูวินัยธรมั่น ภูริทตฺโต (20 มกราคม พ.ศ. 2413 - 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492) เป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ชาวจังหวัดอุบลราชธานี ผู้เป็นบูรพาจารย์สายพระป่าในประเทศไทย ว่า
พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้ปฏิบัติตนตามแนวทางคำสอนพระศาสดาอย่างเคร่งครัด และยึดถือธุดงควัตรด้วยจริยวัตรปฏิปทางดงาม จนได้รับการยกย่องจากผู้ศรัทธาทั้งหลายว่าเป็นพระผู้เลิศทางธุดงควัตร ท่านวางแนวทางในการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนาตามหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้าให้แก่สมณะประชาชนอย่างกว้างขวาง จนมีพระสงฆ์และฆราวาสเป็นลูกศิษย์จำนวนมาก
แนวคำสอนของท่านเป็นที่รู้จักกันดีในนามว่า คำสอนพระป่า (สายพระอาจารย์มั่น) หลังจากท่านมรณภาพลง ในปี พ.ศ. 2492 ยังคงมีพระสงฆ์ที่เป็นลูกศิษย์ของท่านสืบต่อแนวปฏิปทาธรรมปฏิบัติของท่านสืบมา โดยลูกศิษย์เรียกว่า พระกรรมฐานสายวัดป่า หรือ พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ท่านได้รับยกย่องจากผู้ศรัทธาให้เป็น พระอาจารย์ใหญ่สายวัดป่า หรือ พระอาจารย์ใหญ่แห่งวงศ์พระกรรมฐานวัดป่า สืบมาจนปัจจุบัน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ได้พูดถึงหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต หรือนามตามสมณศักดิ์ว่า พระครูวินัยธรมั่น ภูริทตฺโต (20 มกราคม พ.ศ. 2413 - 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492) เป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ชาวจังหวัดอุบลราชธานี ผู้เป็นบูรพาจารย์สายพระป่าในประเทศไทย ว่า
พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้ปฏิบัติตนตามแนวทางคำสอนพระศาสดาอย่างเคร่งครัด และยึดถือธุดงควัตรด้วยจริยวัตรปฏิปทางดงาม จนได้รับการยกย่องจากผู้ศรัทธาทั้งหลายว่าเป็นพระผู้เลิศทางธุดงควัตร ท่านวางแนวทางในการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนาตามหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้าให้แก่สมณะประชาชนอย่างกว้างขวาง จนมีพระสงฆ์และฆราวาสเป็นลูกศิษย์จำนวนมาก
แนวคำสอนของท่านเป็นที่รู้จักกันดีในนามว่า คำสอนพระป่า (สายพระอาจารย์มั่น) หลังจากท่านมรณภาพลง ในปี พ.ศ. 2492 ยังคงมีพระสงฆ์ที่เป็นลูกศิษย์ของท่านสืบต่อแนวปฏิปทาธรรมปฏิบัติของท่านสืบมา โดยลูกศิษย์เรียกว่า พระกรรมฐานสายวัดป่า หรือ พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ท่านได้รับยกย่องจากผู้ศรัทธาให้เป็น พระอาจารย์ใหญ่สายวัดป่า หรือ พระอาจารย์ใหญ่แห่งวงศ์พระกรรมฐานวัดป่า สืบมาจนปัจจุบัน
- ไฟล์แนบ
-
- ที่ประชุมใหญ่สมัยสามัญขององค์การยูเนสโก ครั้งที่ 40 มีมติรับรองการร่วมเฉลิมฉลองในวาระครบรอบบุคคลสำคัญและเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ในวาระปี 2563-2564 โดยเป็นที่น่ายินดีที่ประเทศไทยได้รับการยกย่องบุคคลสำคัญของโลก 2 รายการ ได้แก่ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้รับยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของโลก สาขาสันติภาพ ในวาระครบรอบ150 ปีชาตกาล (20 มกราคม 2563)
20 มกราคม 2563 ถือเป็นอีกหนึ่งวันสำคัญของเมืองไทย
เพราะเมื่อย้อนอดีตไปเมื่อ 150 ปีที่แล้ว ในวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2413 นี่เป็นวันถือกำเนิดของ “หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต” พระเกจิชื่อดังหนึ่งในปูชนียบุคคลของบ้านเรา ซึ่งได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโก ให้เป็น “บุคคลสำคัญของโลก สาขาสันติภาพ” ในช่วงปลายปี 2562 ที่ผ่านมา
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เป็นพระเกจิอาจารย์ทางวิปัสสนาชื่อดัง ได้รับยกย่องสรรเสริญอย่างยิ่งจากบรรดาศิษย์ผู้อยู่ใกล้ชิดท่าน ว่าเป็นอาจารย์วิปัสสนาชั้นเยี่ยมแห่งยุคสมัย ท่านมีศิษยานุศิษย์และคนเคารพนับถือมากมายทั่วประเทศไทย รวมไปถึงในต่างประเทศ
หลวงปู่มั่นนอกจากจะมีหลักธรรมคำสอนชั้นสูงแล้ว ท่านมียังประวัติอันงดงามน่ายกย่อง นับเป็นอีกหนึ่งปูชนียบุคคลอันทรงคุณค่ายิ่งของสยามประเทศ สมกับการได้รับยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก - 24023.jpg (42.65 KiB) เข้าดูแล้ว 726 ครั้ง
- ที่ประชุมใหญ่สมัยสามัญขององค์การยูเนสโก ครั้งที่ 40 มีมติรับรองการร่วมเฉลิมฉลองในวาระครบรอบบุคคลสำคัญและเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ในวาระปี 2563-2564 โดยเป็นที่น่ายินดีที่ประเทศไทยได้รับการยกย่องบุคคลสำคัญของโลก 2 รายการ ได้แก่ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้รับยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของโลก สาขาสันติภาพ ในวาระครบรอบ150 ปีชาตกาล (20 มกราคม 2563)
-
- ประวัติหลวงปู่มั่นโดยสังเขป
หลวงปู่มั่น ถือกำเนิดในวันพฤหัสบดี เดือนยี่ ปีมะแม วันที่ 20 มกราคม 2413 ที่บ้านคำบง ต.โขงเจียม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี (ปัจจุบันคือ บ้านคำบง ต.สงยาง อ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี) ท่านเป็นบุตรชายในสกุลแก่นแก้ว มีบิดาคือนายคำด้วง มารดาคือนางจันทร์
อนุสรณ์สถานหลวงปู่มั่น บ้านคำบง จ.อุบลฯ สถานที่ ที่หลวงปู่มั่นถือกำเนิด
อนุสรณ์สถานหลวงปู่มั่น บ้านคำบง จ.อุบลฯ สถานที่ ที่หลวงปู่มั่นถือกำเนิด
หลวงปู่มั่นเป็นคนร่างเล็ก ผิวขาวแดง มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่เด็ก เมื่ออายุได้ 15 ปี ท่านบรรพชาอยู่ที่วัดบ้านคำบง ถิ่นกำเนิดของท่าน
เมื่อบวชได้ 2 ปี ท่านจำเป็นต้องสึกออกไปตามคำขอร้องของบิดา แต่ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นในพระพุทธศาสนาอยู่ไม่เสื่อมคลาย ครั้นเมื่อพออายุได้ 22 ปี ท่านได้มาศึกษาพระธรรมคำสอน ในสำนักพระอาจารย์เสาร์ ( หลวงปู่เสาร์ ) กนฺตสีโล ที่ “วัดเลียบ” ในตัวเมืองอุบลฯ
จากนั้นท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2436 ที่ “วัดศรีทอง” หรือ “วัดศรีอุบลรัตนาราม” อ.เมือง จ.อุบลราชธานี พระอริยกวี (อ่อน) โดยพระอุปัชฌายะให้นามฉายาว่า “ภูริทัตโต” ที่แปลว่า “ผู้ให้ปัญญา ผู้แจกจ่ายความฉลาด”
วัดศรีอุบลรัตนาราม วัดที่หลวงปู่มั่นบวชแล้วได้รับฉายาว่า ภูริทัตโต
วัดศรีอุบลรัตนาราม วัดที่หลวงปู่มั่นบวชแล้วได้รับฉายาว่า ภูริทัตโต
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต มีความแน่วแน่มุ่งมั่นกับการศึกษาพระธรรมวินัย การปฏิบัติธรรม รวมถึงการออกเดินธุดงค์เป็นประจำนับแต่เริ่มต้นอุปสมบทจนถึงบั้นปลายของชีวิต
สำหรับหนึ่งในหลักธรรมสำคัญของหลวงปู่มั่น ก็คือ ”ปฏิปทา” ซึ่งนอกจากหลวงปู่มั่นจะยึดเป็นแนวทางปฏิบัติแล้ว ท่านยังใช้อบรมสั่งสอนศิษยานุศิษย์ต่าง ๆ มากมาย จนเกิดเป็นปฏิปทาพระธุดงคกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น
ขณะที่เส้นทางของการบรรพชิตนั้น ตลอด 57 ปีของการบวช ท่านได้ธุดงค์อาศัยอยู่ตามป่าตามเขา ก่อนในช่วงระยะ 5 ปีของบั้นปลายชีวิตที่ย่างเข้าวัยชรา จึงได้พำนักเป็นหลักแหล่ง ณ วัดป่าภูริทัตตถิราวาท หรือ วัดป่าหนองผือ ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
ในช่วง 5 ปีหลังที่พำนักอยู่ที่วัดป่าหนองผือนี้ ท่านได้สั่งสอนอบรมศิษยานุศิษย์เป็นจำนวนมาก ชื่อเสียงล่ำลือไปทั่วมีประชาชนนับถือทั่วประเทศ จนกระทั่งท่านอาพาธหนักเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2492
วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร สถานที่ประชุมเพลิงหลวงปู่มั่น
วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร สถานที่ประชุมเพลิงหลวงปู่มั่น
จากนั้นหลวงปู่มั่นได้มรณภาพลงอย่างสงบ เมื่อวันที่ 11 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2492 โดยคณะศิษย์ได้ร่วมจัดงานประชุมเพลิงท่าน ณ วัดป่าสุทธาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร เมื่อวันที 30 เดือนมกราคม พ.ศ. 2493 สิริรวมอายุได้ 80 ปี - 34619.jpg (251.85 KiB) เข้าดูแล้ว 726 ครั้ง
- ประวัติหลวงปู่มั่นโดยสังเขป
-
- ตั้งแต่ต้นยางล้มลงตลอดแนวนับได้ ๑๐ กว่าต้น ระยะนี้ก็มีการมาตัดทอนต้นยาง พร้อมแต่งกิ่งก้านให้โปร่งเพื่อไม่ให้ต้านลม ถามว่าทำไมไม่ตัดให้ต่ำลง คนคุมการทำงานก็ตอบว่า "มันจะทำให้ไม่สวย" ถาม "ไม่สวยแต่ปลอดภัย จะเอาแบบไหน" ตอบ "เขาสั่งให้ทำแบบนี้ครับ" เอวัง...กะลาแลนด์
- 11787.jpg (276.13 KiB) เข้าดูแล้ว 726 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
- Deang-sarapee
- ขาประจำ
- โพสต์: 4438
- ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
- Tel: 0814730594
- team: รักรถรักธรรม
- Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
- ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐
Re: ......จักรยานธุดงค์..........
พระผู้มีพระภาคตรัสกับพระเจ้าปเสนทิโกศล ว่า "ดูก่อนมหาบพิตร กำลังใจพึงรู้ได้ในคราวมีอันตราย ก็กำลังใจนั้นจะพึงรู้ได้ด้วยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่ใส่ใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้"
สวัสดียามบ่ายท่านที่รัก "ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันไป" ไม่อยากจะรื้อฟื้นคำนี้มาใช้เลย สมัยที่ยังรับราชการต่อสู้ทั้ง ศัตรูของชาติ ศัตรูภายในชาติ ฯ เรียกได้ว่าเกิดอาการ "ท้อ" บ้าง คำว่า ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดินกันไป จึงเป็นคำที่ผมใช้มาอย่างได้ผล และไม่คิดเลยว่า ประโยคดังกล่าวจะได้กลับมาปลอบใจตัวเองอีกครั้ง
เราสองคน ปู่ - ย่า ลาออกจากราชการมาตั้งสิบกว่าปี รู้ได้โล่งอกโล่งใจ เหมือนชีวิตมีความสุข ได้ปั่นจักรยานทัวร์ท่องเที่ยวไปเป็นที่สนุกสนาน ทั้งในประเทศต่างประเทศ โดยไม่ต้องห่วงกังวล นอกจากนี้ยังได้ปฏิบัติธรรมในสถานที่ต่าง ๆ เป็นการเสริมบุญบารมีของเราไปด้วย
วันนี้เวลานี้ คำว่า ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันไป หวนกลับมาให้ได้ใช้อีกครั้งเมื่อสภาวะบ้านที่ถูกต้นยางนา ล้มทับเสียหายทั้งหลังยังไม่รู้จะได้รับการเยียวยาจากภาครัฐ เป็นเงินเท่าใด ในขณะที่เราต้องสำรองจ่ายไปหลายแสนบาทแล้ว เพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ด้วยความสุข ธรรมะเยียวยาได้เสมอ เรายังมีกำลังใจที่ดีครับเพราะ "ธรรมดาของโลก"
สวัสดียามบ่ายท่านที่รัก "ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันไป" ไม่อยากจะรื้อฟื้นคำนี้มาใช้เลย สมัยที่ยังรับราชการต่อสู้ทั้ง ศัตรูของชาติ ศัตรูภายในชาติ ฯ เรียกได้ว่าเกิดอาการ "ท้อ" บ้าง คำว่า ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดินกันไป จึงเป็นคำที่ผมใช้มาอย่างได้ผล และไม่คิดเลยว่า ประโยคดังกล่าวจะได้กลับมาปลอบใจตัวเองอีกครั้ง
เราสองคน ปู่ - ย่า ลาออกจากราชการมาตั้งสิบกว่าปี รู้ได้โล่งอกโล่งใจ เหมือนชีวิตมีความสุข ได้ปั่นจักรยานทัวร์ท่องเที่ยวไปเป็นที่สนุกสนาน ทั้งในประเทศต่างประเทศ โดยไม่ต้องห่วงกังวล นอกจากนี้ยังได้ปฏิบัติธรรมในสถานที่ต่าง ๆ เป็นการเสริมบุญบารมีของเราไปด้วย
วันนี้เวลานี้ คำว่า ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันไป หวนกลับมาให้ได้ใช้อีกครั้งเมื่อสภาวะบ้านที่ถูกต้นยางนา ล้มทับเสียหายทั้งหลังยังไม่รู้จะได้รับการเยียวยาจากภาครัฐ เป็นเงินเท่าใด ในขณะที่เราต้องสำรองจ่ายไปหลายแสนบาทแล้ว เพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ด้วยความสุข ธรรมะเยียวยาได้เสมอ เรายังมีกำลังใจที่ดีครับเพราะ "ธรรมดาของโลก"
- ไฟล์แนบ
-
- ไม่เป็นไรครับ "ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันไป" เมื่อปี ๒๕๖๓ เราเดินทางท่องเที่ยวไทย เกิดแนวคิดใหม่เนื่อจากพื้นที่ ทั่วไทยยกเว้นภาคใต้ เราได้ปั่นกันแล้ว ก็มานั่งคิดว่าเราควรร่นระยะเวลาการเดินทาง โดยอาศัยรถยนต์ รถไฟ เรือบิน แทนการปั่นจากบ้านไปซึ่งจะเสียเวลามาก
เราได้คิดเรื่องรถพับก็ได้คุยกับทาง MJ.Bike ซึ่งคุณเมธาก็เห็นชอบ เราจึงขอให้คุณเมธา ฯ ช่วยประกอบให้ ๒ คัน เมื่อกลางปีผมต้องเข้ารับการผ่าตัดต้อกระจกถึง ๒ ครั้ง (ผ่า ๒ ข้าง) สรุปว่าทั้งปี ๖๓ ไม่ได้ปั่นเลย รถที่สั่งคุณเมธา ฯ เราเห็นว่าจะทำให้คนอื่นต้องมาเสียเวลารอ จึงยกสิทธิ์นี้ให้คนอื่นได้ไป ไว้หายดีแล้วค่อยสั่งใหม่
เมื่อเดือนปลายกันยายน ๖๔ ทางร้าน หางดงไบค์ ติดต่อมาว่าทาง Dahon Folding Bike ออก Boardwalk D7 รุ่นปี 2022 สอบถามให้เราสั่งจองเหลือแค่ ๓ คันสุดท้ายแล้ว (ตามโควต้า) ก็เลยตกลงสั่ง รวมทั้งลุงป๊อก
ขณะนี้ได้รับรถเรียบร้อยต่อไปนี้การเดินทางของเรา ต้องเปลี่ยนรูปแบบใหม่ติิดตามพวกเรากันนะครับ
-
- 586731.jpg (189.06 KiB) เข้าดูแล้ว 716 ครั้ง
-
- 586732.jpg (249.93 KiB) เข้าดูแล้ว 716 ครั้ง
-
- 586733.jpg (146.22 KiB) เข้าดูแล้ว 716 ครั้ง
-
- 586734.jpg (161.75 KiB) เข้าดูแล้ว 716 ครั้ง
-
- 586735.jpg (246.18 KiB) เข้าดูแล้ว 716 ครั้ง
-
- เมื่อ ๑๓/๑๑/๖๔ เราได้ทดสอบดาฮอน ปั่นระยะทางใกล้ ๆ ได้ ๔๐ กว่ากิโล ออกจากบ้าน - ลพ แวะสถานโบราณเมืองลำพูน วกกลับเข้ามาทาง บ.ธิ แวะวัดป่าเป้า กลับบ้านแวะวัดช่างเพี้ยน กลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ
ผลการปั่นเป็นที่ชื่นชอบครับ ราบรื่นถูกอกถูกใจเราทั้ง ๓ คน คราวนี้คงไม่น่ามีปัญหาเรื่องการขึ้นรถ ต่าง ๆ การเดินทางคงจะสดวกมากขึ้น ประหยัดเวลาได้อีกมาก - 586736.jpg (209.58 KiB) เข้าดูแล้ว 716 ครั้ง
- เมื่อ ๑๓/๑๑/๖๔ เราได้ทดสอบดาฮอน ปั่นระยะทางใกล้ ๆ ได้ ๔๐ กว่ากิโล ออกจากบ้าน - ลพ แวะสถานโบราณเมืองลำพูน วกกลับเข้ามาทาง บ.ธิ แวะวัดป่าเป้า กลับบ้านแวะวัดช่างเพี้ยน กลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
- ลุงเนตร
- ขาประจำ
- โพสต์: 19861
- ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 19:20
- Tel: 0898133936
- team: อิสระ
- Bike: Trek 3900, Dark Rock ทัวร์ริ่ง
- ตำแหน่ง: ๔๖๕ ซอยจ่าโสด ถนนทางรถไฟเก่า แขวง,เขตบางนา กทม.๑๐๒๖๐
- ติดต่อ:
Re: ......จักรยานธุดงค์..........
"..สวัสดี ท่านน้องแดง สารภี ยินดีด้วยกับการได้ดาฮอน มาปั่นถูกใจ - โดนกาย ด้วยครับ.."
*..ยิ่งปั่น..ยิ่งแข็ง..แรงยิ่งดี..โรคไม่ค่อยมี..ไม่ทุกข์..*