หน้า 1 จากทั้งหมด 2

เสือภูเขาพิชิตเส้นทางใหม่ในลาวเหนือ

โพสต์: 14 พ.ค. 2013, 09:50
โดย ทวีศักดิ์ ไชยเขียว
เสือภูเขาพิชิตเส้นทางใหม่ในลาวเหนือ
(เส้นทางวงกลมจากแขวงบ่อแก้ว(ห้วยทราย)-เมืองเวียงภูคา-แขวงหลวงน้ำทา-เมืองสิง-เมืองมอม-บ้านเชียงกก-เมืองเมิง-บ้านปงนานูน-ห้วยทราย 6วัน 6 คืน 470 กิโลเมตร) โดย ทวีศักดิ์ ไชยเขียว 17-04-2013
ถนนที่เลี้ยวลดคดเคี้ยวสักปานใดก็ไม่มากไปกว่าสองทิศทางคือโค้งซ้ายและโค้งขวา จากตีนเขาขึ้นสู่ยอดก็ไม่มากไปกว่าการขึ้นและลงเท่านั้น ไม่แตกต่างไปจากตัวโน๊ตดนตรีสูงๆต่ำๆที่สร้างความไพเราะเพราะพริ้ง พื้นถนนที่เรียบงามแต่งแต้มด้วยสีแนวกลางและขอบข้างก็ถูกล้อเลียนด้วยเส้นทางขรุขระและฝุ่นละอองที่คละคลุ้งในบางช่วง จากกายสัมผัสความเย็นชื้นของป่าดงดิบสู่ไอแดดที่แผดเผาของภูเขาหัวโล้นและป่าไหม้ไฟ ไม่แตกต่างไปกว่าสีสันที่จิตกรละเลงบนผืนผ้าใบได้อย่างมีชีวิตชีวา จะมีความสวยงามและความลงตัวใดเกินไปกว่าสิ่งที่ธรรมชาติได้สรรสร้าง แขนสองข้างสองขาสองตาทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์และตั้งใจ สองเฒ่าวัยเกษียณผู้พิศมัยในการขับขี่จักรยานเสือภูเขาเป็นชีวิตจิตใจ บุญน้อม ปัญโญใหญ่ผู้เคยเป็นโรคหัวใจโต และทวีศักดิ์ ไชยเขียว ผู้ที่เคยผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ได้พาตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติเหล่านั้นอย่างกลมกลืน เมื่อได้ชื่นชมแล้วก็อยากจะหยิบยื่นประสบการณ์ที่ล้ำค่าให้กับผู้ที่สนใจอย่างไร้ขีดจำกัด หากท่านคิดว่าสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นและหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของการเดินทางท่องเที่ยวของเสือภูเขาอย่างหยุดยั้งไม่ได้ ผู้เขียนก็หวังว่าเส้นทางนี้ก็น่าสนใจไม่น้อยและจะมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์หลงเหลืออยู่บ้าง
การเดินทางเกือบจะเป็นหมันเสียแล้วเมื่อจักรยานคู่ใจพยศพาตีลังกาเพียงสองวันก่อนการเดินทาง เข่าขวาสาหัสช้ำบวมและห้อเลือด เข่าซ้ายอาการน้อยหน่อย ข้อมือซ้ายเคล็ดจนหยิบจับอะไรไม่มั่นคง อุ้งมือขวาปวด ร้อนผะผ่าว หากไม่มีถุงมือและกางเกงขายาวก็จะแย่กว่านี้ ชั่วโมงแรกประคบเย็น จากนั้นประคบร้อนวันละหลายครั้ง การเคลื่อนไหวตัวในวันแรกแทบร้องไห้ วันที่สองพอเดินได้อย่างเชื่องช้าพร้อมตระเตรียมสัมภาระอย่างทุลักทุเล วันที่สามตัดสินใจออกเดินทางโดยไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ไม่มีก้าวใดเลยที่จะไม่เจ็บปวดแต่พยายามเก็บอาการอย่างน้อยก็ให้เพื่อนร่วมทางเห็นว่าเรามีความพร้อม คิดว่าสภาพร่างกายจะฟื้นขึ้นได้เองซึ่งเป็นไปดังความคาดหมายสามารถฝ่าด่านอรหันต์จากตีนเขาถึงปลายฟ้าจนจบสิ้นการเดินทาง สิ่งที่ช่วยประคบร้อนที่นำติดตัวไปด้วยคือใบพลับพลึง ตัดเป็นท่อนแค่คืบ เมื่อพักคราใดเจอกองไปเป็นต้องเผาและห่อผ้าประคบ
หลังจากจัดการหนังสือเดินทางด่านขาออกที่ท่าเรือบั๊กเชียงของแล้วซื้อตั๋วเรือข้ามฟากคนละ 40 บาท ค่าจักรยานอีกคันละ 20 บาท แต่ขากลับเรือลาวเก็บคันละ 40 บาทเท่าคน ประมาณสองสามนาทีก็ขึ้นฝั่งลาวจัดการเขียนเอกสารแนบหนังสือเดินทางที่ช่องขาเข้าประเดี๋ยวเดียวก็เรียบร้อย แต่ถ้าไปวันหยุดหรือเลยสี่โมงเย็นจะต้องจ่ายโอทีอีกคนละ 40 บาท(เข้ากระเป๋าเจ้าหน้าที่) เคยมีคนโวยวายเจ้าหน้าที่อยู่เหมือนกันแล้วท่านก็จะปิดประตุช่องติดต่อทันทีอย่างไม่แยแสเช่นกัน จนคุณต้องไม่ได้ไปไหนเลยทีเดียว สุดท้ายต้องไปง้องอนจนได้(เฮ้อ) เมื่อขึ้นฝั่งได้สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงคือขับรถทางด้านขวาครับ เราสองคนมักเผลอไผลอยู่เสมอจนอีกคนจะตะโกนบอก “ขวาๆ” อยู่ตลอด
การขับขี่เป็นไปอย่างระมัดระวังเพราะอาการปวดร้อนของหัวเข่านั่นเอง สองเราขี่เลียบโขงมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกประมาณ 5 กิโลเมตร ไปอู่จอดรถของบริษัทอาคเนย์ ของคุณจ้ำซึ่งมีพันธะสัญญาในการขนถ่านหินจากเมืองเวียงภูคามาส่งยังท่าเรือห้วยทราย คุณจ้ำมีรถพ่วงอยู่ห้าสิบกว่าคัน จากการช่วยเหลือติดต่อประสานงานของคุณเจี๊ยบ(ผู้จัดการเหมืองฝ่ายคนไทย) คุณเจี๊ยบ(จิราพล กาญจนกามล)เคยเป็นอดีตนักปั่นทีมเขต 5 เชียงใหม่ด้วย เราจึงได้รับความกรุณาจากคุณจ้ำให้อาศัยไปกับรถบรรทุกขากลับซึ่งเป็นรถเปล่า ทำให้ผมมีโอกาสพักร่างกายไปอีกหลายชั่วโมง ซึ่งมีระยะทางร่วม 108 กิโลเมตร
(บุญน้อมขึ้นไปผูกรถอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้เกิดความมั่นใจ) เมื่อถึงปลายทางก็จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมสัมภาระ ปั่นเบาๆจากบ่อแร่ถ่านหินไปเมือง “เวียงภูคา” ระยะทาง 12 กิโลเมตร แล้วชมบ้านชมเมืองของเขาไปตามถนนตัวเมืองซึ่งมีขนาดเท่าหมู่บ้านใหญ่ในบ้านเราแต่ก็ไม่หรูหราเท่านะครับ เป็นถนนลูกรังและดินแดง บ้านส่วนใหย่เป็นไม้มุงด้วยหญ้าคา ฝาไม้ใผ่สาน ระหว่างเสาใต้ถุนบ้านจะเป็นที่เก็บฝืนเตรียมไว้พอใช้ในปีหนึ่ง
แวบเข้าไปดูโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง พวกเด็กๆก็กรูกันเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังทักทาย “สบายดีๆๆๆ” พอจะถ่ายรูปกลับวิ่งหลบกล้องกันพัลวันแต่กลับชอบมาดูหลังกล้องว่ามีใครอยู่ในกล้องบ้าง จากนั้นข้ามถนนไปอีกฟากดูโรงเรียนมัธยม(มัธยมสมบูรณ์) ไม่มีนักเรียน ครูกำลังประชุมกันอยู่ จากนั้นปั่นขึ้นไปบนเนินเขาเป็นจุดสูงสุดของเมืองเป็นวัด ด้วยสัมภาระที่หนักหน่วงทำให้รถหงายเงิบล้มลงอย่างไม่เป็นกระบวนท่า ดีที่ไม่ซ้ำรอยเดิม(55)
ร้อนนักก็แวะคุยตามบ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็จะมาห้อมล้อมด้วยความสนใจมาดูคนมาดูรถ โดยเฉพาะเสือบุญน้อมนั้นมีหน้าตาเหมือนฝรั่งอยู่มากไว้หนวดเครายาวเฟื้อย แลกเปลี่ยนซักถามกันตามสมควร เราทั้งสองเคยคลุกคลีกับชนเผ่าทางเหนืออยู่หลายปีจึงพอจะรู้ภาษาของชนหลายเผ่า พอรู้ภาษาเขาบ้างก็ได้เห็นการแสดงออกถึงความเป็นมิตร ความเป็นกันเองอย่างออกนอกหน้าจนสังเกตได้ชัด
ขมุหรือลาวเทิง ซึ่งมีถึงร้อยละ 60....พวกเราแลกเงินที่ธนาคารพัฒนาลาวคนละ 1,000 บาท และได้ 260,๐๐๐ กีบ(สองแล้นหกหมื่นกีบกีบ) แล้วตระเวนหาที่พักก็ได้ “เรือนพักทองมีชัย” หลังละ 150 บาท เหลือห้องเตียงเดียว ถ้าจะพักเตียงคู่ก็จะให้แขกห้องอื่นย้าย เราบอกว่าไม่จำเป็น เสือบุญน้อมนอนในห้องส่วนผมออกมากางเต้นที่ระเบียงด้านนอก ตกดึกอากาศหนาวจนนอนไม่ได้ ผ้าขาวม้าผืนเดียวให้ความอบอุ่นไม่พอต้องลุกขึ้นมานั่งหลับๆตื่นๆจนถึงรุ่งเช้า
เช้าวันที่สองของเมืองลาว ออกจากเฮือนพักได้ก็มุ่งตรงไปตลาดเช้า หาของกินที่ถูกปากถูกใจได้ยาก ก็จะซื้อได้ข้าวเหนียวนึ่ง พวกปลากระป๋อง ไข่ต้ม ข้าวโพดนึ่ง พวกปิ้งย่างอะไรไม่กล้าซื้อกิน มีนมถั่วเหลือง ขนม กล้วย น้ำส้ม เสือบุญน้อมยิ่งเลือกมากกว่าเพราะเป็นมุสลิมมีปลากระป๋องเป็นอาหารหลัก ผมมีอินทะผาลัมติดไปบ้างกินกับข้าวเหนียวมื้อละเม็ดสองเม็ดพอเป็นอาหารเสริม หลังจากนั้นก็มุ่งตรงไปทางทิศเหนือสู่เมืองหลวงน้ำทา 6๐ กิโลเมตร
ทางราดยางตลอดสาย มีเขาบ้างแต่ก็โอเคนะ
อากาศเย็นสบายมีหมอกบางเบาคล้ายหน้าหนาว ใช้เวลา 6 ชั่วโมงถึงหลวงน้ำทา ก่อนถึงตัวแขวง(จังหวัด) 8 กิโลเมตรแวะกินน้ำอ้อยคั้นใส่น้ำก้อนเย็นชื่นใจ ถือโอกาสช่วงพักคุยกับเด็กอนุบาลลูกสาวเจ้าของร้านชื่อ “นางดาว”ได้เกร็ดความรู้ภาษาลาวบ้าง....จ.จอก...ย.ยุงและ ย.ยา...ต...ตา..น...นก...บ..แบะ(แพะ)..ฝ...ฝน...พ..พู (ภูเขา)..ฟ..ไฟ...ม..แมว...ร..เรด้า...ว..วี(พัด)...ห...ห่าน...ฮ..เฮือน (บ้าน) เมื่อถึงหลวงน้ำทาแล้วสิ่งแรกต้องหาที่พักกันก่อนและก็ได้เฮือนพัก “โชคชัยทอนรีสอร์ท” เตียงคู่ห้องแอร์ คืนละ 150 พันกีบ( 150,๐๐๐ กีบ)ประมาณ 6๐๐ บาท อาบน้ำนอนผ่อนคลายสุดๆ ตื่นขึ้นมาตอนเย็นออกตระเวนไปตามถนนในเมือง ทุกเย็นวันอังคารและวันศุกร์จะมีแผงขายลอตเตอรี่ไปทั่วเมือง ซื้อสองพันกีบได้รางวัลเลขสามตัวสองล้านห้าแสนกีบ (ประมาณหนึ่งหมื่นบาท) พบเห็นพวกฝรั่งบ้างประปราย มีร้านจักรยานให้เช่าเป็นชั่วโมง ร้านที่มีมากคือร้านเป็ดปิ้ง ร้านค้าเล็กๆตั้งโต๊ะเตี้ยๆข้างถนนก็จะขายข้าวซอย ข้าวฟืน และขนมเกลือ ข้าวซอยมีหน้าหมูลักษณะคล้ายๆน้ำพริกอ่อง ส่วนข้าวฟืนและขนมเกลือ(เป็นห่อ)จะปรุงรสเองด้วยพริกน้ำตาลและผงชูรส พอมีเวลาเหลือก่อนค่ำจึงปั่นขึ้นไปดูเจดีย์(พระธาตุ)บนเขาทางตะวันตกของเมือง ได้มองเห็นทิวทัศน์ของเมืองอย่างกว้างไกล เจดีย์นี้สร้างเมื่อเจ้าแขวงเป็นชาวพุทธ ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยของที่นี่ คนส่วนส่วนใหญ่จะเป็นลาวเทิง (ขมุ)ซึ่งนับถือผี มีลาวเทิง “ระเมด”เพียงเผ่าเดียวที่นับถือพุทธและมีวัด เจ้าแขวงคนปัจจุบันเป็นเผ่า “ไทยดำ” ซึ่งนับถือผีเช่นกัน
เราย้อนกลับไปในเมืองอีกครั้งที่ถนนสายกลาง มีตลาดกลางคืนขายพวกอาหาร ผลไม้ เครื่องดื่ม จะมีชาวต่างชาติ(บ้าง)ซื้อมานั่งกินที่โต๊ะด้านหน้าซึ่งมีประมาณสิบตัว สนนราคาจานละ ห้าพันกีบสิบพันกีบแล้วแต่ชนิด ถ้าไก่เป็นตัวก็มี สรุปได้ว่าพอกินแก้ขัดได้
เจอสาวสวิสคนหนึ่งเดินทางฉายเดี่ยวมาเที่ยวในลาวหลายสัปดาห์แล้ว เชิญให้นั่งร่วมโต๊ะ คุยถูกคอกับเสือบุญน้อมจนผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินจึงขอตัวกลับที่พักก่อน คิดว่าจำที่พักได้ขี่รถตระเวนหาก็ไม่เจอ จำชื่อโรงแรมก็ไม่ได้ เข้าไปใกล้ๆบริเวณนี้คุ้นๆก็ไม่เจออีก จนขี่มาเจอเสือบุญน้อมแล้วช่วยกันหาที่พักจนเจอ เขาจำชื่อที่พักได้ ผิดกับเรา555 มาก่อนแต่ถึงพร้อมกัน
เป้าหมายของเราวันต่อมาคือ “เมืองสิง” ระยะทางประมาณ.60.กิโลเมตร เป็นป่าเขาสวยเย็น ขึ้นๆลงๆไม่สูงมากนัก จนใกล้เป้าหมายเข้าไปนั่นแหละ 555 หนักหน่อยแต่ราดยางนะครับ ประมาณ 4 ชั่วโมง ขีดจำกัดทางขึ้นเขาของเราคงได้ประมาณนี้แหละ ถ้าเดินทางต่ออีกก็จะไปค่ำกลางทางก็จะลำบากในการหาที่นอนที่กินแต่ถ้าเรามีกันสี่ห้าคนก็ลุยได้เหมือนกันนะ นี่เพียงสองคนถือว่ากำลังพลน้อยไปหน่อย เมื่อลงเขาก็มองเห็นทิวทัศน์เมืองสิงห์เป็นลักษณะแอ่งกระทะขาดใหญ่คล้ายเชียงตุงในพม่า แม้จะมองดูว่าเป็นที่ราบแต่ดูว่ารถลื่นไหลได้ดีเมื่อเราจะขยับออกแรงเพียงเล็กน้อยก็ตาม ประมาณว่าห้าถึงแปดกิโลเห็นจะได้ แสดงว่าทางลาดเอียง นึกในใจว่าถ้ากลับทางเดิมคงอืดน่าดู ผมไม่ได้เดินทางตามแนวประวัติศาสตร์ที่มีคนแนะนำแต่เก็บเกี่ยวเอาสิ่งที่พบเห็นมากกว่า เมืองสิงห์เป็นเมืองเล็กๆแต่หมู่บ้านบริวารที่กระจายออกไปทุกทิศทาง
เราหาที่พักได้ที่ “ที่พักและห้องอาหารพูวิว 2” ค่าที่พักราคา “หกสิบพันกีบ”ประมาณ 240 บาท พักห้องติดกันกับสาวเกาหลีกับสาวญี่ปุ่น มากันสองคน เข้าพักพร้อมๆกับเรา
ตกเย็นขี่รถตระเวนไปตามถนนต่างๆ ไปตลาด ไปท่ารถ มีร้านจีนตั้งอยู่มากมายกำระบบเศรษฐกิจไว้ในมืออย่างมั่นคง ร้านคนท้องถิ่นมีไม่กี่ร้าน ไปดูวัดวาอารามแต่ก็ไม่แตกต่างกันกับวัดอื่นโดยทั่วไป
ออกมาเที่ยวในเมือง เจอสาวสวิสคนเดิมเช่ามอเตอร์ไซค์มากับเพื่อนใหม่ชาวเยอรมันคู่หนึ่ง วัยไล่เลี่ยกัน เอ่ยปากชวนเที่ยวเธอบอกเดี๋ยวจะเดินทางกลับแล้ว เอาไว้เจอกันที่เมืองไทยก็แล้วกัน ความสวยของเธอลดลงไปเยอะเพราะวันนี้ไม่รู้ว่าเอวเธอหายไปไหน ได้ยินเสียงเพลงออกดังเลยแวะเข้าไปดูก็พบว่ามีการตอกบั้งไฟยักษ์เป็นกลุ่มๆ จะแข่งขันบั้งไฟในวันที่แปดเดือนหน้า ไปทางทิศใต้พบวัดน้ำแก้วหลวง(ฟักทองใหญ่) มีการบวชพระเณรหลายรูป ได้เก็บภาพมาบางส่
เราได้แวะไปสอบถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่สำนักงานท่องเที่ยว จึงตัดสินใจที่ไม่เดินทางย้อนกลับเส้นทางเดิมคือกลับหลวงน้ำทาและเวียงภูคาเส้นทางที่เรามา เปลี่ยนเป็นเส้นทางใหม่ได้ 2 เส้นทางคือ
เส้นที่ 1 เมืองสิงห์-เมืองลอง - บ้านเชียงกก–เมืองเมิง-บ้านปงนานูน-ห้วยทราย ระยะทางประมาณ 240 กิโลเมตร
เส้นที่ 2 เมืองสิงห์-เมืองลอง-บ้านเชียงกก-บ้านเซียงดาว-บ้านปงจอมแสง-บ้านปงลื้อ-เมืองต้นผึ้ง-แขวงห้วยทราย ระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตร
หมายเหตุ เส้นทางที่สองแยกขวาก่อนถึงเมืองเมิง เลาะเลียบไปตามฝั่งแม่น้ำโขงเป็นเส้นทางก่อสร้างใหม่ ได้รับการยืนยันจากทหารในพื้นที่ว่าทางง่ายกว่าไม่ค่อยขึ้นภูเขา แต่ช่วงสุดท้ายคือเมืองต้นผึ้งถึงแขวงห้วยทรายนั้นเป็นทางคอนกรีตและทางราดยางตลอดสาย ระยะทาง 52 กิโลเมตร

เราต้องออกเดินทางกันแต่เช้าประมาณ 5-6 โมง เพราะอากาศเย็นสบาย มีน้ำติดตัว 3 ขวด อาหารสำรอง อย่างน้อยข้าวเหนียวอาหารกระป๋องเพราะจะไม่มีที่ซื้อหาระหว่างทางและไม่ควรไว้ใจกับการบอกระยะทางของชาวบ้าน เช่นบอกว่า “ไม่ไกลหรอก “ “เดี๋ยวเดียวก็ถึงแล้ว”ฯลฯ แม้เจ้าหน้าที่เองก็ยังบอกผิดไปเกือบ 20 กิโลเมตร ออกเดินทางจากเมืองสิงห์มุ่งลงทางใต้มาได้ 5-6 กิโลเมตรเป็น “บ้านน้ำด้าย” เผ่าลื้อ พูดคุยกันปรากฏว่าเสือบุญน้อมรู้จักกับญาติของพวกเขาที่อยู่ทางเมืองไทยที่อพยพไปอยู่ที่บ้านเวียงหมอก ตำบลห้วยซ้อ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เสือบุญน้อมกินข้าวกับปลากระป๋องที่นั่น ส่วนผมไม่รู้จะกินอะไรที่สุดต้องขอซื้อข้าวเหนียวกับชาวบ้านและอะไรก็ได้ที่กินได้ แม้ว่าตนเองไม่ชอบก็ตามติดกระเป๋าไปด้วย ผมเองก็ได้รับความสงเคราะห์ช่วยไปตัดใบพลับพลึงมาให้ 2-3 ใบ สำหรับไว้ประคบกลางทาง ชาวบ้านเรียกพลับพลึงว่า”วีโล” ออกบ้าน “น้ำด้าย”มาอีกหมู่บ้านหนึ่งก็เข้าสู่ทางลูกรัง เต็มไปด้วยฝุ่น เพราะมีรถบรรทุกของจีนวิ่งขนส่งผลิตผลทางการเกษตรอยู่ทั้งวัน จีนได้ลงทุนพวกชาวบ้านลงแรงได้รับส่วนแบ่งกันไม่รู้กี่มากน้อย พืชส่วนใหญ่ที่มองเห็นได้แก่ฟักทอง แตงโม กล้วยหอม ปลูกกันเป็นทิวแถวท่ามกลางขุนเขา โดยเฉพาะกล้วยนั้นมีระบบท่อส่งน้ำด้วย ระยะทางเมืองสิงห์ถึงเมืองลองที่เจ้าหน้าที่บอก 40 กิโลเมตร เอาเข้าจริงๆเกือบ 50 กิโลเมตร เราแวะเข้าไปในตลาดสดเมืองลองเพื่อหาซื้อของกินอีกบ้าง เนื่องจากอากาศร้อนมากเลยแวะพักที่วัดท้ายเมืองประมาณครึ่งชั่วโมง เจอพระรูปหนึ่งอายุเพียง 15 ปี อยู่กับสามเณรอีกสองรูป
ออกเดินทางต่อไปยังบ้านเชียงกกอีก 21 กิโลเมตร ชาวบ้านเชียงกกเป็นเผ่าลื้อ ที่จริงการใช้ภาษาไทยก็น่าจะสื่อสารได้เพราะชาวบ้านมีจานดาวเทียมและดูทีวีไทยกันทั้งนั้น ช่องไหนละครเรื่องใดรู้หมด ไปอีกกิโลเมตรกว่าก็ถึงบ้านเชียงกกใหม่ติดแม่น้ำโขง ซึ่งตรงข้ามกับดินแดนพม่าจังหวัดท่าขี้เหล็ก
ในที่สุดเราก็ได้เข้าพักที่ “เซียงกกรีสอร์ท”หนึ่งในสองของเรือนพักที่นี่ "เชียงกกรีสอร์ท"เป็นของคนจีนมีอยู่ประมาณ 10 หลังเล็กๆ เตียงคู่กางมุ้ง มีพัดลมให้ตัวหนึ่ง มีห้องน้ำ น้ำไฟที่นี่ไม่ค่อยสะดวกนัก ไฟ 3 หลอด ดีหลอดเดียว จับไม้กวาดทำความสะอาดกันเอง ไม่มีระบบการเก็บขยะ ขว้างทิ้งกันเกลื่อนพื้นหญ้า ราคาที่พัก 5๐,๐๐๐ กีบ(ห้าสิบพัน)ประมาณ 2๐๐ บาท ที่นี่ไม่มีเรือโดยสารตามที่เจ้าหน้าที่เมืองสิงห์บอก มีแต่เรือสินค้าที่ต้องขอโดยสารไป ค่าโดยสารก็ไม่แน่นอนประมาณ 500 บาท หรือ 1,000 บาทค่่อคน (เจ้าหน้าที่ที่ชียงกกคนหนึ่งบอก) แต่ต้องล่องเรือไปประทับตราที่ด่านข้างหน้าอยู่ตลาดใกล้ “เมืองเมิง” ซึ่งถ้าเราเลือกเส้นทางที่สองคงจะพบด่านนั้นเพราะอยู่ติดแม่น้ำโขง
ที่นี่ไม่มีรายการบันเทิงเริงรมย์อะไรนอกไปจากเสียงของนกร้องตามธรรมชาติ รถสองคันถูกยกขึ้นไว้บนระเบียง ผมถึงกับรำพึงว่า “ที่รัก ไม่มีวันที่เราจะพรากจากกัน”
เราออกเดินทางกันแต่เช้า ตามเส้นทางจะลงคลองอยู่สองครั้ง แต่ก็ขี่ลุยข้ามได้ จากประสบการณ์ส่วนตัวต้องระวังอยู่สองอย่างไม่ให้เปียกน้ำนั่นคือเท้าและหว่างขา มันจะรำคาญทรมานมากและแห้งช้าอีกต่างหาก เส้นทางเลาะเลียบไปตามฝั่งแม่น้ำโขงเห็นเรือสินค้าวิ่งขึ้นและล่องอยู่เป็นระยะ เย็นสบายดีภูเขาไม่ค่อยสูงชัน ออกจากบ้านเชียงกก กม.ที่ 16 หยุดกินข้าวเช้าที่นี่เสือบุญน้อมเขามีข้าวเหนียวกับปลากระป๋อง ส่วนผมมีข้าวเหนียวกับอินทะผาลัมไม่กี่เม็ด ทหารทั้งชุดก็ทยอยมาคุยกับเรา มีประมาณสิบกว่าคน ดูพวกเขาออกจะตื่นเต้นเพราะไม่ค่อยมีใครผ่านมาทางนี้ เดินทางต่อถึงกิโลเมตรที่ 21 พบค่ายทหารอีกและขี่รถลุยน้ำข้ามไปได้ จอดคุยกันสองสามประโยคก็เดินทางต่อ กิโลเมตรที่ 31 เจอวัดเจอบ้าน “เชียงดาว”มีร้านขายของชำ
อากาศร้อนมากเลยแวะอาบน้ำผ่อนคลายกันที่แม่น้ำสายหนึ่ง แล้วเดินทางต่อ กม.ที่ 35 แยกขวาไปบ้านปงจอมแสง(เส้นทางที่สอง) แต่เราเลือกเส้นทางที่ 1 คือเข้าเมืองเมิง กิโลเมตรที่ 42 บ้านผางาม ผมตั้งชื่อให้ว่าบ้านเอื้อมเมฆ เพราะว่าสูงจริงๆคิดว่าจะลงก็ขึ้นอีก ขึ้นอีกเรื่อยๆ ทางก็เป็นหินลอยเป็นส่วนใหญ่ และมีอีกลูกที่ยิ่งกว่าเอื้อมเมฆไปอีกไม่รู้จะเรียกอะไรดี น้ำก็หมด เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า 29 กิโลเมตร นี่มันก็สี่สิบกว่าแล้ว จนถึง กม.ที่ 46 ก็เข้าสู่ตัว “เมืองเมิง” เสียที จุดแรกเป็นปั๊มน้ำมันและร้านค้าพอดี เราซื้อน้ำกินยังกับอูฐเลยทีเดียว เสือบุญน้อมบอก “พักก่อนเถอะพี่ ข้างหน้าที่เราจะไปจะหาที่กินที่นอนลำบาก เดินทางขนาดนี้น่าจะพอแล้ว” เอ้าพักก็พัก จากปั๊มน้ำมันถึงสี่แยกเลี้ยวซ้ายไปเพียงไม่กี่ร้อยเมตรก็เจอเฮือนพัก เป็นอาคารชั้นเดียวแบ่งเป็นห้องๆไม่ถึงสิบห้อง ตรงข้ามก็เป็นห้องครัวและโต๊ะกินข้าว ชื่อ “ร้านอาหาร-เรือนพักเพ็ดสงคาม”
ถึงบ่ายสองแก่ๆแล้ว หิวก็หิว ที่นี่ไม่มีอาหารขาย คงไม่ค่อยมีแขกพักนั่นเอง เจ้าของก็คะยั้นคะยอให้เราพักสองห้องแต่เราไม่ยอม(เทคนิคการขาย) เมื่อห้องมีเตียงคู่อยู่แล้วทำไมต้องจ่ายเพิ่ม “คนไทยมีเงินหลาย” โธ่สมพรปากเถอะครับเพ่ “ทำไมไม่เอารถจักรมา” ผมอธิบายว่าการนำรถจักรเข้ามานั้น ต้องไปทำพาสปอร์ตรถก่อน เมื่อข้ามฝั่งมาแล้วต้องทำประกันภัยลาวอีกมันยุ่งยาก อาบน้ำเสร็จก็ไปหาอะไรกินอยู่บนเส้นทางหลักที่เราจะเดินทางต่อไปนั่นแหละ เป็นตลาดเช้าด้วย จะไม่เช้ายังไงครับ เข้า ๕.๐๐น. เลิก ๕.๓๐ น.สินค้าก็มีอาหารป่า หน่อไม้ขม กล้วย และอื่นๆอีกสองสามอย่าง ผมตื่นเช้ามาไม่ถึง ๕.๓๐น.ด้วยซ้ำแม่ค้าหนีไปสี่ห้าคนแล้ว
บ่ายนี้จัดหนัก มื้อเดียวไปถึงเย็นเลย เป็นข้าวผัดใส่ไข่ตบตูดด้วยน้ำมะพร้าว เจ้าของร้านบอกโชคดีนะที่วันนี้หุงข้าว หลายวันแล้วไม่ได้หุง เขาขายเฝอ (ก๋วยเตี๋ยว) ร้านนี้ขายของชำเล็กน้อย ขายอาหารและทำเสริมสวยอีก มีแฟนเป็นข้าราชการ พ่อก็เป็นราชการฝ่ายปราบปรามยาเสพติด แฟนเพิ่งได้รับเงินเดือน ๓ เดือนรับทีคิดเป็นเงินไทย ๘,๐๐๐ บาท ไม่ได้ถามแต่เขาเล่าเอง แล้วที่ตั้งใจถามครูคนหนึ่งเขาบอกว่าได้เงินเดือนคิดเป็นเงินไทย ๑๐,๐๐๐ บาท ก็ไม่เชื่อหรอกแต่อย่าไปถามเขาเลย แค่เราบอกจักรยานเราราคาประมาณห้าล้านกีบ ความรู้สึกเขาก็แทบจะบีบคอเราตายแล้ว เธอมีลูกชายสองคน พูดดีนะแต่เค็มมาก กล้วยน้ำหว้าลูกเดียวก็คิด เงิน ข้าวผัดจานและน้ำมะพร้าวกระป๋อง ปาไปเจ็ดแปดสิบบาท (ฮ่วย) ทำไมรีบตักจริงแม่คุ้ณ
บอกข่าวดีให้เสือบุญน้อมรู้ เขารีบไปจัดหนักเหมือนกันด้วยมาม่า ๒ ห่อและอื่นๆอีกเล็กน้อย ค่ำนี้น้ำประปาไม่ค่อยไหลเขาบอกคนใช้เยอะ ดึกๆหน่อยจึงได้อาบน้ำอย่างสำราญใจ หลังอาหารแล้วก็ขี่รถเที่ยว ผังเมืองเขาจัดได้ดี เจอผู้คนที่ไหนก็ไม่ละเลยจะกล่าวคำว่า “สบายดี”
เช้าวันต่อมาล้อจักรยานออกตัวไม่ถึง ๐๕.๓๐ น.ด้วยซ้ำ เช้าเป็นพิเศษ มาม่าคนละสองถุงใส่ไข่สองฟอง กินยังไงก็ไม่หมด วันนี้เป็นวันโลกาวินาศจริงๆ หลังอาหารเช้ายางหลังเสือบุญน้อมรั่ว ไปจอดร้านซ่อมที่อยู่ติดกับตลาด ขอซ่อมเองปรากฏว่านอกจากจะรั่วแล้วยางนอกยังผุอีก หายางเปลี่ยนก็ไม่ได้ขนาดจึงรองด้วยยางในสองชั้น กว่าจะออกจากเมืองเมิงได้ก็เป็นเวลา ๐๗.๒๐ น, เดินทางได้สองชั่วโมงกว่าพบ”บ้านน้ำทา” เป็นหมู่บ้านมูเซอดำ มีร้านซ่อมของครูคนหนึ่งที่นี่สภาพยางรองทะลุไปหนึ่งชั้นแล้ว แกะยางออกมาสลับหน้าหลังรองไปสามชั้น คุยกันถูกคอเขาไม่คิดเงินค่าเติมลม ขอบใจหลายเด้อ.....
จากนั้นก็เดินทางต่อ นับจากเมืองเมิงกิโลที่ ๓๐ ยางหลังของผมรั่วเสียงดังอย่างแรง แกะเปลี่ยนยางขาดไปประมาณ ๑ เซนติเมตร พอดีมียางสำรองไปด้วย กิโลที่ ๓๘ มีแม่น้ำมีร้านค้า เราจึงแวะลงอาบน้ำกินข้าวใต้สะพานเหล็ก พวกเด็กๆชาวบ้านวิ่งกรูกันมาดูคนแปลกหน้า ชะเง้ แลดูเห็นว่าเราไม่สนใจก็เอาก้อนหินโยนลงมาบ้าง เอากิ่งไม้ทิ้งลงบ้าง พอเรากินอะไรจนเกลี้ยงด้วยความหิว พวกเด็กก็เลิกราไปเอง เข้าใจว่าเขาคงมาขออะไรเรากิน แต่ความเมตตาก็มีขีดจำกัดนะครับโดยเฉพาะในภาวะข้าวหายากหมากไม่มีอย่างนี้ หลังจากอาบน้ำก็เดินทางต่อไปอีก ๑๐ กิโลเมตรถึง กม.๔๘ ปากทางบ้านน้ำยู้ กำลังขึ้นเขาเสือบุญน้อมโซ่ขาด อุปกรณ์ต่อโซ่ก็ไมมี พอดีว่าใกล้บ้านชาวบ้าน ได้ตะปู ๓ นิ้วผอมมาตัวหนึ่ง ค้อนตอกตะปู พอต่อโซ่เสร็จเข้าตีนผีไม่ได้อีกประแจหกเหลี่ยมไม่มี จำต้องทำให้โซ่ขาดอีกทีแล้วสอดเข้าไปในตีนผีก่อนจึงต่อในภายหลัง สาเหตุเพราะว่าโซ่ไม่มีน้ำมันหล่อลื่น บังเอิญเปลี่ยนเกียร์ระหว่างขึ้นเขา จึงทำให้โซ่บิดตัวอย่างแรงจนขาด ลงจากเขาเจอร้านซ่อมเลยขอน้ำมันหยอดโซ่จนเปียกโชก ตะวันใกล้ลับขอบฟ้าเสือบุญน้อมขอจอดทำละหมาดข้างทาง หลังจากนั้นเดินทางต่อถึงกิโลเมตรที่ ๖๐ ตะวันตกดินแล้วแต่ยังไม่ค่ำถึงบ้าน “ภูสว่าง”แวะร้านค้าซื้อของกิน คุยไปคุยมาเป็นคนลาวโยน (โยนก) พูดภาษาเหนือเหมือนกัน ขอซื้อไข่คนละสองฟองแต่ขอให้ต้มให้ด้วย ข้าวไม่พอเขาก็แบ่งให้กิน ขอกางเต๊นท์เขาก็อนุญาต แต่เกรงว่าหมูที่เลี้ยงปล่อยจะไปรบกวนแน่ ให้ไปนอนหลังบ้านใหม่ซึ่งเป็นที่เก็บข้าวติดห้องน้ำห้องส้วม สะดวกดี ปัดกวาดขยะพอได้ที่ก็กางเต็นท์นอน ยังถูกรบกวนจนได้ไม่ใช่หนูแต่เป็นตุ๊กแก ยิ่งดึกยิ่งหนาวเหมือนคืนแรกในลาว นอนไม่ค่อยหลับเหมือนกัน(เฮ้อ) ตื่นมาแต่เช้าช่วยเสือบุญน้อมแกะยางออกมารองเป็นสามชั้น เติมพลังอีกนิดด้วยนมกล่องและขนม ขอบคุณ คุณปั๋น จำปาหลด เจ้าของบ้านสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง
เช้าสุดท้ายที่เมืองลาว อุณหภูมิกำลังดี ๑๙ องศาฯ ออกเดินทางเวลา ๐๖.๑๐ น. ออกจากหมู่บ้านก็ปีนขึ้นเขาทันที สองกิโลเมตรกว่าแทบสำรอก อีก ๒๓ กิโลเมตรก็ถึงเส้นทาง R 3 A ซึ่งเป็นเส้นทางหลักจากห้วยทรายไปยังหลวงน้ำทา รวมระยะทางจากเมืองเมิงถึงปากทาง ๘๓ กิโลเมตร เลี้ยวขวามุ่งตรงไปห้วยทรายอีก ๓๓ กิโลเมตร เสือบุญน้อมแวะซื้อข้าวเหนียวกินกับปลากระป๋องที่ปากทาง ส่วนผมยังหาอะไรไม่ได้ ที่สุดเราก็เดินทางถึงแขวงห้วยทราย มีบางช่วงที่ต้องขับขี่รถทางเดียว หลังจากผ่านกระบวนการผ่านแดนขาออกแล้ว ต้องจ่ายเพิ่มอีกคนละ ๔๐ บาทเป็นค่านอกเวลาเพราะวันนี้เป็นวัน l
หยุดทำการ เราลงเรือข้าฝั่งไทยอย่างไม่รอช้า....ลาก่อนประเทดลาว ๖วัน ๖ คืน กับระยะทาง ๔๗๐ กิโลเมตร (ขาดเหลือ ๑๐ กม.)หวังว่าคงจะได้กลับมาเยือนอีก เมื่อข้ามมาถึงเชียงของฝั่งไทยแล้ว เป้าหมายของเสือบุญน้อมคือร้านอาหารเจ ส่วนผมอะไรก็ได้ ปรากฏว่าร้านปิดจึงไปร้านไอศกรีมแทนส่วนผมก็จัดหนักเช่นเดียวกัน
ระยะทางเป็นเครื่องพิสูจน์กำลังของม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ความอดทนเป็นเครื่องพิสูจน์เสือภูเขา การเดินทางในครั้งนี้ได้ให้ประสบการณ์แก่เราหลายอย่าง เมื่อเราเจออุปสรรคปัญหาจึงได้รู้ว่าเราบกพร่องอะไร เราขาดการเตรียมพร้อมในเรื่องไหนเพื่อจะได้แก้ไขในโอกาสต่อไป หวังว่าข้อเขียนชิ้นนี้จะมีประโยชน์อยู่บ้างขอเป็นกำลังใจให้กับนักปั่นทุกท่านที่มีแนวคิดอยากจะค้นคว้าแสวงหาการเดินทางที่ไม่จบสิ้น............สวัสดีครับ (โฮก)
(อยากสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ทวีศักดิ์ฯ โทร ๐๘๑-๒๗๓๒๗๒๑ หรือ บุญน้อม โทร ๐๘๕-๗๒๐๙๕๕๐)

Re: เสือภูเขาพิชิตเส้นทางใหม่ในลาวเหนือ

โพสต์: 17 พ.ค. 2014, 19:27
โดย ทวีศักดิ์ ไชยเขียว
เวอร์ชั่นนี้ดีกว่าครับ..พอมีภาพประกอบนิดหน่อย..วันเวลาผ่านไปสองสามปีไม่ทราบว่ามีใครติดตามไปเส้นทางนั้นบ้าง...อยากจะกลับไปทักทายผู้มีน้ำใจตามรายทางที่ผ่าน..อยู่เหมือนกัน...มิตรภาพระหว่างทาง...

Re: เสือภูเขาพิชิตเส้นทางใหม่ในลาวเหนือ

โพสต์: 15 ส.ค. 2014, 08:18
โดย ทวีศักดิ์ ไชยเขียว
การที่ไม่มีภาพประกอบ จึงทำให้ไม่น่าติดตาม อย่างไรก็ตามผมคิดว้าเส้นทางนี้ก็น่าสนใจไม่น้อย..ยิ่งช่วงทางจากเมืองสิงไปเมืองมอมและต่อจากเมืองมอมได้มีการสร้างสะพานข้ามน้ำโขงไปยังฝั่งพม่า...วกมายังท่าขี้เหล็กเข้าสู่เมืองไทยได้..ถ้าจะไปจริงขอให้หาข้อมูลให้แน่ใจก่อนนะครับ..เที่ยวทีเดียวได้สองประเทศเลย..

Re: เสือภูเขาพิชิตเส้นทางใหม่ในลาวเหนือ

โพสต์: 04 ก.ย. 2014, 11:14
โดย ch_doi
เพิ่งเห็นกระทู้นี้ครับ รายระเอียดการเดินทางดีมากครับ อยากทำได้แบบนี้เหมือนกัน
แต่ฝีมือยังอ่อนหัด ขายังอ่อน แรงไม่ดีเพราะปั่นยังไม่ครบปี มีโอกาสอยากขอตามรอยปั่นบ้างครับ :D

Re: เสือภูเขาพิชิตเส้นทางใหม่ในลาวเหนือ

โพสต์: 08 ก.ย. 2014, 06:46
โดย ทวีศักดิ์ ไชยเขียว
คุณเชิงดอยครับ....
ถ่อมตัวจริง ขาแข็งขาอ่อนไม่มีผลสักเท่าไร...อยู่ที่ใจสู้...กับเวลาว่าเราพอมีเวลาไหม...ปั่นแบบสบายๆเหนื่อยก็พัก..ถ่ายรูปไป..หิวก็หาอะไรกิน..ไปเถอะครับ...อย่าคิดมาก..คิดว่าเรายังเป็นวัยรุ่นเดินทางไปพักแรมอย่างลูกเสือก็แล้วกัน..มีปัญหาอะไรไปแก้เอาข้างหน้า..สนุกครับ

Re: เสือภูเขาพิชิตเส้นทางใหม่ในลาวเหนือ

โพสต์: 16 ก.ย. 2014, 06:46
โดย ทวีศักดิ์ ไชยเขียว
แนะนำเส้นทางใหม่..เส้นนี้ก็น่าสนใจไม่น้อย..ชมบรรยากาศริมแม่น่ำโขงยาวเลย..ทั้งฝั่งไทยลาวและพม่าลวคือเส้นทางแขวงบ่อแก้ว(เมืองห้วยซาย)-เลียบน้ำโขงไปทางตะวันตกไปเมืองห้วยผึ้ง-บ้านปงลื้อ-บ้านปงจอมแสง-บ้านเชียงดาว-บ้านเชียงกก-เมืองลอง-เมืองสิง(อาจไปเที่ยวด่านจีน)-แขวงหลวงน้ำทา-เมืองเวียงภูคา-แขวงบ่อแก้ว(ห้วยซาย)...ครบทริปวงกลมพอดีระยะทางประมาณ 520 กิโลเมตร..

Re: เสือภูเขาพิชิตเส้นทางใหม่ในลาวเหนือ

โพสต์: 19 ก.ย. 2014, 05:22
โดย ทวีศักดิ์ ไชยเขียว

โค้ด: เลือกทั้งหมด

[size=200]อัพเดทข่าวสารครับ...เดี๋ยวที่อำเภอเชียงมีสะพานข้ามถึงประเทศลาวแล้วครับ..ถ้ามีพาสปอร์ตต้องไปที่ด่านข้ามสะพงานแห่งเดียวเท่านั้น..ซึ่งมีทางแยกขวามือก่อนถึงเชียงของประมาณ5กม.แต่ถ้าใช้ใบผ่านแดนชั่วคราวต้องข้ามที่ท่าเรือครับ[/size]
หากท่านเดินทางโดยรถทัวร์สู่เชียงของ.คงต้องขี่รถเล็กกลับมาที่สะพาน(กรณีที่มีพาสปอร์ต).....แต่ถ้ามีรถไปส่งก็ตรงไปที่สะพานก่อนเข้าตัวเมืองได้เลย....ใบผ่านแดนทำที่ว่าการอำเภอ..จากท่ารถไปก็ประมาณ500เมตรอยู่ซ้ายมือ...ไปท่าเรืออีกประมาณ2กม.เขาเรียกว่า "ท่าเรือบั๊ก"

Re: เสือภูเขาพิชิตเส้นทางใหม่ในลาวเหนือ

โพสต์: 19 ก.ย. 2014, 14:49
โดย เจ้าขรราชนคร
กำลังจะเริ่มปั่นพรุ่งนี้ครับ 20-26 กันยายน 2557 เริ่มจากเชียงของ-ห้วยทราย-ต้นผึ้ง-เมืองมอม-เมืองเซียงกก-เมืองลอง-เมืองสิง-หลวงน้ำทา - วกกลับมาห้วยทรายและเชียงของ ครับ กลับมาแล้วจะรายงานให้สมาชิกทราบโดยทั่วกัน

Re: เสือภูเขาพิชิตเส้นทางใหม่ในลาวเหนือ

โพสต์: 08 มี.ค. 2016, 20:32
โดย Ard
สุดยอดมาครับ ผมกำลังจะตามรอยท่านไป พอถึงเชียงดาวคงจะเลือกเส้นทางที่ 2 เป็นข้อมูลที่เสาะหามานานหายากจริงๆ

Re: เสือภูเขาพิชิตเส้นทางใหม่ในลาวเหนือ

โพสต์: 17 มี.ค. 2016, 13:49
โดย ทวีศักดิ์ ไชยเขียว
Ard เขียน:สุดยอดมาครับ ผมกำลังจะตามรอยท่านไป พอถึงเชียงดาวคงจะเลือกเส้นทางที่ 2 เป็นข้อมูลที่เสาะหามานานหายากจริงๆ
ยินดีครับ...ดีใจที่ข้อเขียนมีประโยชน์อยู่บ้าง...ปั่นให้สนุกนะครับ

Re: เสือภูเขาพิชิตเส้นทางใหม่ในลาวเหนือ

โพสต์: 18 มี.ค. 2016, 20:27
โดย Ard
อยากทราบว่าออกจากต้นผึ้งประมาณ 9 โมงเช้า คืนแรกน่าจะไปนอนที่บ้านอะไร ระยะทางเท่าไร ไปทางเชียงกกนะครับ

Re: เสือภูเขาพิชิตเส้นทางใหม่ในลาวเหนือ

โพสต์: 09 เม.ย. 2016, 21:52
โดย Ard
ไปมาแล้วครับ 4คืน5วัน จากต้นผึ้ง ปงจอมแสง เชียงดาว เชียงกก เมืองลอง เมืองสิง หลวงน้ำทา ดอนไซ พิมนสิน ด่านสากลเชียงของ จุดพักนอน ปงจอมแสง เมืองลอง หลวงน้ำทา พิมนสิน ช่วงบ้านมอมถึงเมืองสิงทางลูกรัง หินลอย ฝุ่น หลวงน้ำทาถึงพิมนสิน เขา ๆๆๆ ขอบคุณเจ้าของกระทู้ครับ

Re: เสือภูเขาพิชิตเส้นทางใหม่ในลาวเหนือ

โพสต์: 24 เม.ย. 2016, 16:56
โดย ทวีศักดิ์ ไชยเขียว
ขอโทษครับพึ่งมาเปิดเจอ...เก่งจริงที่ไปลุยมาแล้ว ครั้งแรกก็ตื่นตาตื่นใจดีครับ...รางวัลก็ได้ตามรายทางนั่นแหละครับ

Re: เสือภูเขาพิชิตเส้นทางใหม่ในลาวเหนือ

โพสต์: 27 เม.ย. 2016, 22:10
โดย Ard
555 เหนื่อยก็เหนื่อย หนาวก็หนาว

Re: เสือภูเขาพิชิตเส้นทางใหม่ในลาวเหนือ

โพสต์: 05 พ.ค. 2016, 01:02
โดย NO.7
สุดยอดมากครับ