ThaiMTB.com

ขอถามหลายข้อหน่อยนะคะ..
สงสัยมานานค่ะ..(ประมาณ 2 เดือนได้)
ว่าอุปกรณ์ส่วนใดของรถที่ส่งผลต่อการไหลลื่น...ชุดเกียร์? ล้อ?
แล้วชุดขับเคลื่อนที่มีหลายๆแบบ ไม่ว่าจะเป็น campagnolo,shimano และอื่นๆ เวลาใช้งานแล้วแตกต่างกันอย่างไรเหรอคะ..สามารถทำให้เราปั่นได้เร็วขึ้นหรือเปล่า?..

ขอขอบคุณนะคะ สำหรับความรู้จากเว็บบอร์ดที่มีเข้ามาให้ทุกครั้งที่มีคำถาม

ตามที่เคยๆอ่านจากเหล่าเกจิในนี้....เค้าบอกชุดล้อครับ....อันอื่นๆรอเกจิอีกทีนะครับ....จะอัพรถหรือครับระวังจะแซงคุณ บางนา คำฟู นะครับ...ฮิๆๆ

อุปกรณ์ต่างๆ ไม่ได้ช่วยอะไรมากมายหรอกครับ

คุณกิ๊ฟใจเย็นๆครับ เราเพิ่งจะปั่นได้ไม่กี่วันกี่เดือน ทำได้ขนาดนี้ก็เก่งแล้วครับ อย่าเพิ่งรีบอัฟรถมากเกินไป เดี๋ยวอัพแล้วไม่ได้อย่างที่คิดหวังไว้ จะพาลเบื่อไปเลย
ค่อยเป็นค่อยไป ขี่ให้ร่างกาย ค่อยๆปรับสภาพ เราจะเพิ่มความทนทานได้เองแล้วเดี๋ยวก็ขี่ได้เร็วเอง

EPO เขียน:อุปกรณ์ต่างๆ ไม่ได้ช่วยอะไรมากมายหรอกครับ

คุณกิ๊ฟใจเย็นๆครับ เราเพิ่งจะปั่นได้ไม่กี่วันกี่เดือน ทำได้ขนาดนี้ก็เก่งแล้วครับ อย่าเพิ่งรีบอัฟรถมากเกินไป เดี๋ยวอัพแล้วไม่ได้อย่างที่คิดหวังไว้ จะพาลเบื่อไปเลย
ค่อยเป็นค่อยไป ขี่ให้ร่างกาย ค่อยๆปรับสภาพ เราจะเพิ่มความทนทานได้เองแล้วเดี๋ยวก็ขี่ได้เร็วเอง

ขอบคุณค่ะที่ให้กำลังใจกิฟท์ค่ะ..อย่างน้อยก็ยังไม่ท้อแท้ว่าปั่นไม่เคยทันกลุ่มซักทีค่ะ..ตอนแรกๆก็คิดว่าตัวเองจะไปไหวหรือเปล่า..แต่พออ่านจากพี่ๆเพื่อนๆมาโพสต์ ถึงเพิ่งเข้าใจว่า..มันต้องใช้เวลา..ซ้อมบ่อยๆก็จะช่วยได้...

อ่อนล้า เขียน:ตามที่เคยๆอ่านจากเหล่าเกจิในนี้....เค้าบอกชุดล้อครับ....อันอื่นๆรอเกจิอีกทีนะครับ....จะอัพรถหรือครับระวังจะแซงคุณ บางนา คำฟู นะครับ...ฮิๆๆ

เชื่อได้เลยค่ะ...ว่ากิฟท์ปั่นไม่ทันใครแน่ๆค่ะ..อาจจะแรงเยอะช่วงแรก..แล้วหลังจากนั้นก็หอบค่ะ..หมดแรง..

ใจเย็นๆ ครับ ข้อมูลความรู้อยู่ใน Internet นี่เพียบเลยครับ นั่งอ่าน เป็นเดือนๆ ยังไม่หมดครับ
Google ช่วยคุณได้ครับ อยากรู้เกี่ยวกับอะไร เฟรม ชุดขับเคลื่อน ล้อ หาอ่านได้ไม่มีหมด...

ดีแล้วครับที่สงสัยก็ถาม ผมกลัวเสือกิ๊ฟจะท้อแท้ ที่ปั่นไม่ทันคนอื่น ไม่อยากให้เลิกครับ เสือสาวนักปั่นยิ่งมีน้อยๆอยู่

EPO เขียน:ดีแล้วครับที่สงสัยก็ถาม ผมกลัวเสือกิ๊ฟจะท้อแท้ ที่ปั่นไม่ทันคนอื่น ไม่อยากให้เลิกครับ เสือสาวนักปั่นยิ่งมีน้อยๆอยู่

ไปทริปเบียงคี่ครั้งแรกก็เกือบถอดใจเหมือนกันค่ะ..รู้สึกว่าทำไมเราปั่นจนขาแทบจะหลุดแล้วยังตามเค้าไม่ทันซักที..
แต่พอเจอทริป on the road เดือนถัดมา ได้ซ้อมมากขึ้น รู้สึกแรงดีขึ้นนิดหนึ่ง(นิดเดียวนะคะ)...

หากท่านใดมีความรู้หรือประสบการณ์ตามที่กิฟท์ตั้งกระทู้ถาม..เชิญแนะนำนะคะ...

ขอออกความเห็นด้วยคนครับ ปั่นแล้วไหลลื่น เป็นเพราะล้อหรือชุดขับเคลื่อนกันแน่

คำว่าไหล น่าจะวัดกันตรงที่ไม่ปั่นแล้วปล่อยให้รถมันไหล ทดสอบด้วยการปล่อยรถลงเนิน ถ้าไปไกลที่สุดก็หมายถึงไหลดีที่สุด ทั้งนี้น้ำหนักรถรวมคนปั่นต้องเท่ากัน แรงลมปะทะก็มีส่วนอยู่บ้าง จึงทำให้ความสำคัญตกไปอยู่ที่ล้อ เพราะไม่ได้ใช้ชุดขับเคลื่อน ซึ่งล้อก็มีส่วนประกอบคั้งแต่ยางนอก-ใน ขอบล้อ ซี่ และดุม โดยเฉพาะดุมถือว่าสำคัญเป็นอันดับแรก จึงเห็นได้ว่านักปั่นหลายท่านจะเลือกเปลี่ยนอะไหล่บางชิ้น จนสุดท้ายต้องเปลี่ยนทั้งชุดล้อ เพราะเปลี่ยนทีละอย่างก็ไหลได้ดีขึ้น

คำว่าลื่น น่าจะมีส่วนเกี่ยวพันระหว่างชุดล้อกับชุดขับเคลื่อน ตามความเข้าใจของผมนะครับ หมายความว่าพอออกแรงปั่นเท่ากัน โดยคนและรถน้ำหนักรวมในการทดสอบเท่ากัน ใช้แรงเท่า ๆ กัน แล้วรถมันเคลื่อนตัวไปข้างหน้าได้ดีกว่า หมายความว่ามันลื่นกว่า ซึ่งองค์ประกอบส่วนนี้ก็มีตั้งแต่ล้อลื่น จานเวลาปั่นแล้วเบาน่อง เฟืองหลังและตีนผีลื่นไม่สะดุด โดยมีโซ่เป็นตัวจักรในการหมุน พร้อมทั้งการหล่อลื่นต่าง ๆ สังเกตุง่าย ๆ อยากรู้ว่าลื่นเป็นอย่างไร ก็ลองปั่นรถที่ยังไม่ใส่หล่อลื่นตามจุดหมุน แล้วใช้รถคันเดิมคนปั่นคนเดิม เพียงแต่หล่อลื่นจุดหมุนต่าง ๆ ดู ก็จะรู้ว่าลื่นมันตอบสนองความรู้สึกอย่างไรบ้าง

นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบในเรื่องขนาดของรถกับคนปั่น วัสดุต่าง ๆ เช่น เฟรม เป็นต้น ซึ่งองค์ประกอบทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับคุณลักษณะของอุปกรณ์แต่ละชนิด และผู้ชำนาญการมักจะให้คำตอบว่า ของแพงย่อมดีกว่าทนกว่า แบบที่เรียกว่าเบาแต่แพงนะครับ แต่ที่สุดแล้วของแพงแต่ไม่มีแรงปั่น ก็ไม่ไหลลื่นนะครับ

ตอบแบบกว้างๆนะครับ ให้แยกย่อยว่า อุปกรณ์ยี่ห้อใด รุ่นไหนดี หรือ ดีกว่ายังไง อันนี้ต้องรอผู้เคยใช้และทดสอบมาบอกกัน
ส่วนใดของรถที่ทำให้ปั่นแล้วไหลลื่น.... เรียกว่าทุกส่วนของรถเลยครับที่ทำให้ปั่นได้คล่องแคล่วลื่นสบาย คือรถที่ขนาดเข้ากับตัวผู้ขี่ มีการปรับระยะองศาต่าง เช่น คอแฮนด์ - หลักอาน - อาน อันนี้ก็มีส่วนล่ะ

ส่วนจุดอื่นๆ ก็อย่างที่มีผู้กล่าวไว้ จุดหมุนทุกจุดทั้งล้อ และ ชุดขับเคลื่อนต่าง ของจักรยานสำคัญทุกส่วน แม้กระทั่ง สายเบรคสายเกียร์ ถ้าเราดูแลให้ดี หมั่นใส่ใจกับจุดพวกนี้ อุปกรณ์เดิมๆ ที่ติดรถอยู่ ก็เพียงพอกับการใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพแล้วครับ ..

ชุดล้อ ขอไม่ยกยี่ห้อหรือรุ่นนะ เพราะเยอะมาก ราคาก็หลายระดับ แต่ถ้ามันดีกว่าเดิม ใช้แล้วเห็นผลครับ ..อย่างน้อยเจ้าของเองแหล่ะที่อุปทานทางความคิดว่า เปลี่ยนมาใหม่ต้องดีกว่าเดิม แต่จะดีกว่า หรือเร็วกว่ามากเท่าไหร่ ก็แล้วเจ้าของเองล่ะ ว่ามีกำลังขับเคลื่อนได้เท่าไหน

ชุดขับเคลื่อน ก็เช่นกัน มีความต่างในระดับราคา แต่ในระดับราคาที่สูงกว่า น้ำหนักก็ย่อมเบากว่าโดยวัสดุที่ใช้ประกอบก็จะมีความพิเศษขึ้น จะเลือกใช้แบบไหน ผู้ใช้เลือกได้ตามความถนัดในยี่ห้อ ส่วนจะดีกว่าหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความรู้สึกส่วนตัวเลย ถ้าปรับเซตถูกต้อง การเปลี่ยนเกียร์ก็จะนุ่มลื่นขึ้นนะ

ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับกำลังผุ้ใช้ด้วยน่ะครับ ว่าจะใช้งานอุปกรณ์พวกนี้ได้ถึงระดับไหน แต่ถ้าเป็นผู้ที่ใช้ออกกำลังกายทั่วไป ความละเอียดอ่อนในเรื่องอุปกรณ์ไม่น่ามากนัก แค่ความรู้สึกส่วนตัวมากกว่า ถ้าเปลี่ยนแล้วมีกำลังใจขี่ได้มากขึ้น ได้ซ้อมบ่อยขึ้น ก็จะขี่ได้ดีขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง ไม่ได้ดีที่อุปกรณ์ทั้งหมด แต่ตัวเองก็จะได้พัฒนาตามไปด้วยครับ นี่ล่ะครับ ความสนุกของการอัพรถตัวเอง

ประเด็น ปั่นแล้วไหลลื่น เป็นเพราะล้อหรือชุดขับเคลื่อน คิดว่าน่าจะได้คำตอบแล้ว จากความเห็นข้างบน

ผมขอแชร์ความคิดในเรื่องการอัพรถนะครับ การอัพรถในความหมายของผมไม่รวมถึงการอัพเพื่อความสวยงาม แต่อัพเพื่อการใช้งานจริงนะครับ

กีฬาจักรยาน ผมคิดว่าความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ความเร็วสูงสุดไปทั้งหมดหรอก ผมว่ามันอยู่ที่ความทนทาน ความสม่ำเสมอซะมากกว่า

อย่างเช่น จักรยานเดิมๆ คันนึง ใหม่ออกห้าง เจ้าของมือใหม่นำไปปั่น ได้ความเร็วสูงสุด 35 กม/ชม แต่ได้แปบเดียว 5 วินาทีได้ หลังจากนั้นหมดแรง เอาใหม่อีกรอบ เอารถไปอัพ ทั้งชุดล้อ ชุดขับเคลื่อน แล้วมาปั่นอีกรอบ รอบนี้ได้ความเร็ว 35-37 แต่ได้ระยะเวลานานขึ้นมากกว่าเดิม (ยังไม่รวมถึงการซ้อมมากๆ ก็จะทำให้แข็งแรงและทำปั่นดีมากกว่าเดิม) ผมว่าตรงนี้แหล่ะ คือ ประโยชน์ของการอัพรถ การอัพรถคือการหาอุปกรณ์ที่ช่วยผ่อนแรงของเราให้สามารถออกแรงเท่าเดิม แต่ทำให้เราขี่ได้ทนขึ้น นานขึ้น ได้ระยะทางมากขึ้นด้วยความเร็วเท่าเดิม ซึ่งมีผลมากจากอุปกรณ์ที่เบาขึ้น ความลื่นไหลที่มากกว่าของติดรถ และด้วยความเบาและลื่นไหลนี่เองจึงส่งผลให้ ราคาค่างวดขึ้นไปเป็นหลักแสน

มาถึงที่ว่า ทำไมต้องคาร์บอน ตามความคิดของผม จุดเด่นของคาร์บอนไม่ได้อยู่ที่น้ำหนักเบาหรอก อลูเบากว่าคาร์บอนมีให้เห็นเยอะไป แต่จุดเด่นของคาร์บอนคือการซับแรงสั่นสะเทือนที่ดีกว่าอลูมีเนียมหรือที่ได้ยินคุ้นหูว่า มันนุ่มนั่นแหละ การซับแรงสั่นสะเทือนมีผลต่อความเมื่อยล้า ของกล้ามเนื้อ บางคนถึงกับบอกว่า "แค่หลักอานอลูกับหลักอานคาร์บอน การซับแรงก็ต่างกันแล้ว" ยิ่งสะเทือนมากความเมื่อยล้ายิ่งมากตาม ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการปั่นลดตามไปด้วย

การปรับรถจะเชื่อใครดี ผมว่าเชื่อได้ทุกคน แต่สุดท้ายเชื่อตัวเองดีที่สุด ฟังคนอื่นมามากเท่าไร ก็เอามาลองใช้กับตัวเองให้มากเท่านั้น สไตล์แต่ละคนไม่เหมือนกัน เทคนิคแต่ละคนไม่เหมือนกัน (บางคนเทคนิคอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีพาณิชย์ อาชีวะ ด้วย ) เอาที่ลองแล้วเหมาะกับตัวเราที่สุดนั่นแหล่ะ ที่สำคัญคือเรื่องแบบนี้ต้องอาศัยเวลา ลองวันสองวันบางทีไม่รู้หรอก ต้องอดทนกับมันหน่อย

ปั่นไม่ทันกลุ่มซักที ไม่ต้องกังวลครับ เอาแค่วันนี้คุณปั่นได้ดีกว่าเมื่อวาน และตั้งใจว่าพรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้ ก็พอแล้วครับ

ปล.ชอบกระทู้แบบนี้จัง ท่านอื่นมีความเห็น อย่างไร แชร์ประสบการณ์กันนะครับ

90% อยู่ที่แรงเราครับ ใจเย็นๆ ขี่บ่อยๆ ซ้อมเยอะๆ เด๋วแรงมาเอง

ผมก็ชอบ กระทู้แบบนี้เหมือนกันครับ

ถ้าให้ตอบง่ายๆ เปลี่ยนชุดล้อ หรือไม่ก็ลดขนาดยาง ก่อนเพราะจะเห็นผลทันตาเห็นเนื่องจากใช้แรงเท่าเดิมปั่นได้ไกลขึ้น ต่อมาเปลี่ยนระบบขับเคลื่อน เพราะจะทำให้ใช้แรงได้น้อยลงเมื่อปั่นระยะทางเท่าเดิม งงไหมครับ

จากประสปการณ์ที่ขี่จักรยานมา น้อยนิด(แต่ไม่น้อยกว่า 600 วัน) แรกๆ ศึกษาข้อมูลในเวปต่างๆ ส่วนใหญ่ใน bikelove อะครับ ผมเริ่มด้วย รถ MTBตัวเริ่มต้น(ประมาณ trek 3900)เดิมๆ ล้อ 2.0 ปั่นด้วยความเร็วคงที่ 12 km/h ครับเหนื่อยมากๆ แต่ก็ปั่นเอารอบขา ที่ 85รอบต่อนาที แทนครับ ปั่นเดี่ยวๆ วันละ 20 km ความเร็ว 12-18 km/h ปั่นอยู่อย่างนั้น ร่วม 6 เดือน ระหว่างนั้นเปิดเวปดูว่ามีกลุ่มไหนทีี่พอจะไปเที่ยวด้วยได้บ้าง เมื่อรอบขาเริ่มนิ่ง ที่ 85 รอบแล้ว ก็เริ่มเพิ่มความเร็วมาเป็น 20 km/h เริ่มออกเที่ยวกับกลุ่มต่างๆ ในวันอาทิตบ้างเสาร์บ้างที่มีระยะทางไปและกลับรวมไม่เกิน 80 km แต่ก็ยังซ้อมปั่นทุกวันเหมือนเดิม แต่ได้ความเร็วเพิ่มขึ้นทุกครั้งหลังออกทริประยะทางไกลๆ เมื่อถึงจุดๆหนึ่งเมื่อการซ้อมไม่ส่งผลให้ความเร็วหรือแรงเพิ่มมากขึ้น เพราะคนอื่นเค้าซ้อมได้ระยะมากกว่า ซ้อมมาอึดกว่า ก็เริ่มหาเครื่องทุ่นแรง อย่างแรกเลยก็ชุดล้อครับ ความรู้สึกแรกเลย ทำไมมันลื่นมันเบาอย่างนี้นะ น้ำหนักล้อรวมยางและเฟื่องหายไปมากกว่า ครึ่งโลได้ แต่ก็มีข้อเสียนะครับ ทำให้ผมขี้เกียจปั่นกับล้อเดิม และก็ทำให้แรงน้อยลง เนื่องจากชินกับการไม่ต้องออกแรงมาก ผมว่ายาวแล้วเอาเท่านี้ละครับ

ปล.ทุกวันนี้เอารถMTBตัวเริ่มต้นเดิมๆยางลมอ่อนๆหน่อย ซ้อม 3-4 วัน/สัปดาห์ เอารถที่ติดอุปกรณ์เต็มช้อม 1-2 วันก่อนออกทริป ครับ

ทริป Bianchi วันอาทิตย์ 31 คนล้อใหม่ช่วยบังลมให้คนเชียงใหม่ด้วยเน้อ
เดินทางมาไกลสงสัยจะปั่นไม่ครบทริป