ThaiMTB.com

ผมขอเปิดบอร์ดนี้เป็นที่รวบรวมข้อมูล ศึกษา วิธีการใช้ ตลอดจนวิธีเทรนนิ่งที่ถูกวิธี และปัญหาที่พวกเราพบจากการใช้ Power meter ระบบต่างๆที่ขายในท้องตลาด จะได้เป็นข้อมูลให้แก่ท่านที่สนใจ โดยจะมีเพื่อนๆ ที่ใช้ Power watt meter มาให้ข้อมูล แชร์ประสพการณ์ร่วมกัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านที่มีความสนใจ Power Watt meter นะครับ โดยผมจะโปรยข้อมูลอุปกรณ์ประเภทนี้ให้ฟังคร่าวๆก่อน ในตลาดเมืองไทยมีขายอยู่ดังนี้
1.SRM Germany เป็นวัตต์มิเตอร์ที่ ขาจาน Crank set
2.Power2Max Germany เป็นวัตต์มิเตอร์ที่ ขาจาน Crank set
3.Power Tab -Cycle opps USA เป็นวัตต์มิเตอร์ที่ ดุมล้อหลัง Rear Hub
ในอนาคตอันใกล้จะมีผู้ผลิตรายใหม่เข้าตลาด เช่น Garmin และ LOOK โดยทั้ง 2 แบรนด์นี้ เป็นวัตต์มิเตอร์ที่ตัวลูกบันได Paddle
ท่านใดมีข้อสงสัย สอบถาม เชิญเลยนะครับ ผมรู้ผมจะตอบ ถ้าไม่รู้เดี๋ยวจะเชิญผู้ที่รู้มาให้ข้อมูลครับ กระทู้นี้ไม่ได้หวังผลในเรื่องการขาย ปัจจุบันมีคนใช้อุปกรณ์พวกนี้มากขึ้น ถ้าอำนวยความสะดวกในเรื่องข้อมูลมากขึ้นน่าจะเป็นประโยชน์ ต่อผู้ใช้ครับ ยี่ห้อไหนดีไม่ดี เดี๋ยวรู้กันเอง

ขอบคุณ สำหรับข่าวสาร กำลังรอดู ตัวของ garmin ครับว่าราคา น่าคบหรือเปล่า อิอิ

ถามมา อับดุลย์ตอบได้

ดีมากครับ

ดีเลยครับพี่นุ.....ผมบอกได้อย่างเดียวว่า ผมเพิ่งรู้ว่าซ้อมจักรยานด้วย watt meter มันหนักและคือนรกชัดๆครับ เคยคิดว่าวิ่งอ่ะเหนื่อยกว่า แต่ตอนนี้ไม่คิดอย่างนั้นแล้วครับพี่ ถึงจะรู้ว่ามาถูกทางแล้วก็เถอะ!

วัตต์คืออะไร อับดุลย์เอ๊ย

Toll เขียน:ดีเลยครับพี่นุ.....ผมบอกได้อย่างเดียวว่า ผมเพิ่งรู้ว่าซ้อมจักรยานด้วย watt meter มันหนักและคือนรกชัดๆครับ เคยคิดว่าวิ่งอ่ะเหนื่อยกว่า แต่ตอนนี้ไม่คิดอย่างนั้นแล้วครับพี่ ถึงจะรู้ว่ามาถูกทางแล้วก็เถอะ!

ผมบอกคนที่ใช้ หรือกำลังจะใช้อยู่เสมอ ว่า อุปกรณ์นี้ไม่ใช่ของแต่งรถสวย โดยเด็ดขาด อย่าซื้อโดยขาดสติ เพราะซื้อมาแล้วมันจะทำให้เราเหนื่อยมากขึ้น รถหนักขึ้นหน่อยนึง ใช้แล้วติด ไม่มีแล้วขี่ไม่สนุกเลย แต่โดยรวมแล้ว ผมเชื่อว่าคนที่ใช้แล้ว แฮปปี๊มากๆครับ มันทำให้เจ้าของรถคันนั้นแข็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดๆๆๆ ข้อแนะนำเพิ่มเติม เมื่อซื้อแล้วเข้าหากลุ่มที่ใช้ด้วยกันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะพวกนี้บางท่านมีความเข้าใจในระดับลึกซึ้ง เกินที่จะมาอธิบายบนนี้ เพราะอาจเจอคนที่กวนตีน+ขวางโลกได้ ทำให้เสียอารมณ์ไปก็มี เลยไม่ได้ความรู้ดีๆกันเลยก็บ่อยครั้ง ผมถึงต้องมาเขียนในบ้านผมเนี่ยละครับ จะได้ช่วยกันปกป้องคนที่ไม่อยากเปลืองตัว เปลืองหัวใจ ผมอาจจะใช้วิธีถามมาให้แล้วเอามาตอบแทนนะครับ ส่วนตัวผมเอง ผมบอกได้คำเดียวครับ เหตุผลที่ซื้อเพราะ เพื่อนผมซื้อ นั่นหมายถึง ผมจะไม่ต้องเสียเวลาไปหาข้อมูลเอง เพราะผมไม่ใช่คนเก่งในเรื่องหาข้อมูลประเภทนี้ ผมใช้วิธีคบกับคนที่เก่งเรื่องแบบนี้ แล้วซ้อมด้วยกัน แค่นี้ก็ทำให้ผมแข็งแรงได้เช่นกัน ใครลองทำแบบผมบ้างไม่เสียหลายนะครับ

นะตอนนี้ Power Meter น่าจะเป็นหนทางเดียวที่จะบอกเราว่าทุกครั้งที่ออกไปขี่นั้นผลเป็นเช่นไร หรือบอกให้เบาหน่อยเพราะกำลังจะป่วย

อยากจะขอให้เริ่มจากbasic ไล่step 1,2,3เลยจะมากไปไหมครับ ผมคิดว่าการเริ่มต้นทำความเข้าใจจากพื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญพี่เห็นด้วยไหมครับ ผมยอบรับตรงๆเลยว่าไม่เข้าใจหลักการของ watt meterเลยแม้แต่น้อยฟังโปรๆเขาคุยกันก็ได้แต่ทำตาปริบๆ แต่อยากทราบรายละเอียดเพื่อนำมาพัฒนาตัวเองครับ....ขอบคุณพี่นุครับ

นักจักรยานหลายๆคนคงจะสงสัยว่าทำไมจะต้องใช้ Power meter เพื่อวัดค่าพลังงานของเราให้ออกมาเป็นวัตต์ แล้วอัตราการเต้นของหัวใจนั้นไม่เพียงพอรึอย่างไรเพราะด้วยสนนราคาค่าตัวของอุปกรณ์ที่ใช้วัดวัตต์ได้นั้นชั่งแพงเสียเหลือเกินขนาดตัวที่ถูกที่สุดแล้วยังเกือบสองหมื่นบาท ลงทุนไปแล้วมันจะคุ้มกับค่าเงินรึเปล่า ซึ่งก็คงจะมีคำถามทำนองนี้ผุดขึ้นมาในหัวของคนที่สนใจเหมือนกับผมเมื่อ 8ปีที่แล้ว สุดท้ายผมเสียดายมากครับ ที่เสียดายคือเวลาที่ผมเสียไปไม่ยอมตัดสินใจใช้วัตต์เสียแต่เนิ่นๆ เราก็จะมาดูกันไปเรื่อยๆนะครับว่า “ทำไม”

บันทึกการออกกำลังกาย
บันทึกการออกกำลังกายของเราออกมาได้อย่างเป็นสถิติ โดยบางยี่ห้อนั้นสามารถเลือกบันทึกได้ทุก 0.5วิ 1วิ 5วิ 10วิ ซึ่งตอนเราปั่นอยู่จะไม่ค่อยเห็นประโยชน์ในจุดนี้หรอกครับแต่เมื่อไรที่เราอัพโหลดข้อมูลเหล่านั้นเข้าโปรแกรมวิเคราะห์แล้วล่ะก็ มันจะเป็นดั่งเพชรที่ได้รับการเจียรนัยอย่างดีเลย ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ข้อมูลของแต่ละคนด้วนยะครับ
เราสามารถดูได้ถึงจุดแข็งจุดด้อยที่ควรจะพัฒนาอย่างไร รึจำลองวัตต์ที่คู่ต่อสู้เราใช้แล้วนำมาฝึกเพื่อเอาชนะ ยกตัวอย่างเช่นการแข่งขันประเภทลู่ 4000เมตร คู่แข่งเราใช้วัตต์เฉลี่ย450ที่5นาทีเขาจึงได้ที่หนึ่ง เราก็เอาค่า 450วัตต์มาเป็นเกณฑ์การซ้อม5นาทีของเรา

เพิ่มความหมายให้อัตราการเต้นของหัวใจ
โดยทั่วไปแล้วหัวใจไม่ได้บอกว่าเราพัฒนาไปขนาดใหนแล้วเพียงแต่บอกว่าหัวใจเรากำลังเต้นเท่าไรเท่านั้นเอง เนื่องด้วยอัตราการเต้นของหัวใจนั้นมีปัจจัยภายนอกมากมายที่ทำให้อัตราการเต้นเปลี่ยนไป เช่นน้ำในร่างกายน้อยหัวใจเต้นเร็วขึ้น อากาศเย็นจะเต้นน้อยลง การนอนพักผ่อนคืนก่อนปั่น ความเครียด บุหรี่ และอีกอื่นๆอีก
หัวใจจะคล้ายๆกับวัดรอบของเครื่องยนต์นั่นล่ะครับ 3500รอบของเครื่องยนต์รถบ้านกับรถแข่งมันแตกต่างกันอย่างมากเลยนะครับ อย่างผมดูการแข่ง Tour de France ความเร็ว45 หัวใจเต้น 98-115 แล้วของตัวคุณล่ะครับ นี่ยังไม่ใช่ของระดับ Jan, Lance, Fabian, Cadel อะไรนะครับแค่ลูกทีมธรรมดา
หัวใจจะเต้นช้าลงเมื่อเราซ้อมหนักต่อเนื่อง เช่นปั่น 280วัตต์ หัวใจเต้น 160 อีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมาปั่นที่วัตต์เท่าเดิมคือ 280 หัวใจเต้น 158 เห็นมั๊ยครับว่าหัวใจนั้นยากที่จะยึดเป็นเครื่องมือการซ้อมที่ถูกต้อง
รับรู้ถึงการพัฒนา
นับว่าข้อนี้เป็นอะไรที่น่าสนใจและตื่นเต้นสำหรับเรานักปั่นทุกๆท่านที่อดทนหน้าสู้ดินหลังสู้แดดเป็นเวลานานๆเพื่อที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงในจุดนี้ล่ะครับ แล้ววัตต์มันช่วยเราได้อย่างไร
ผมได้เขียนไปในข้อแรกแล้วว่าเก็บข้อมูลได้ เราก็สามารถนำข้อมูลเมื่อเดือนที่แล้วมาเปรียบเทียบกับเดือนต่อมาได้อย่างง่ายดาย
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
การใช้วัตต์นั้นเราสามารถเซ็ตจักรยานให้เหมาะสมกับตัวเรามากที่สุดถึงแม้คุณจะเคยไปวัดตัวมาแล้วรึเข้าอุโมงค์ลมมาก็ตาม ที่ผมบอกอย่างนี้เพราะการที่เราไปวัดตัวมา จริงอยู่ว่าคุณได้ช่วงรถที่เหมาะสมกับสรีระร่างกายของคุณแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะผลิตวัตต์ได้มากที่สุดจากการเซ็ตรถแบบนั้น มันจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ดีเท่านั้นเอง
การที่คุณมีวัตต์คุณสามารถเปรียบเทียบได้ว่าการเซ็ทรถแบบใหนที่จะทำให้คุณผลิตวัตต์ออกมาได้มากที่สุดโดยที่ยังลู่ลมและสบายในการปั่น เวลาผมเซ็ทรถให้ลูกค้าอันดับแรกที่คำนึงคือความสบายในการปั่นเพราะถึงแม้รถจะเซ็ทออกได้ได้สวยงามขนาดใหนแต่คุณไม่มีความสบายในการปั่น คุณก็อาจจะไม่อยากปั่นมันบ่อยๆ
ยกตัวอย่างนะครับ Armstrong และ Indurian ท่าปั่นไทม์ไทร์ของสองคนนี้ไม่ได้จะแตกต่างจากรถถนนเท่าไรเลยแต่ทำไมเขาจึงคว้าชัยสเตจไทม์ไทร์อยู่เรื่อยๆ เพราะเขามีท่าปั่นที่เหมาะสมที่สุดในเรื่อง
• ความสบาย โดยเฉพาะ Lance ก้มคอมากไม่ได้เพราะมีปัญหากระดูกคอ
• เป็นท่าที่ผลิตวัตต์ออกมาได้มากที่สุดโดยยังซึ่งคงไว้ตามหลักอากาศพลศาสตร์
จากประสบการณ์ส่วนตัวในการเซ็ทรถไทม์ไทร์ กดคอลง2เซ็นต์รถดูโปรมากและหลังก็ระนาบตรงลู่ลมมากๆ แต่ออกไปปั่นปั่นแล้วแรงหายหมดเหยียบเท่าไรก็ไม่ไปขี่ได้20กิโลก็หมด วัตต์ตกไปกว่า20-30วัตต์ พอเอาความสูงคอขึ้นเท่าเดิมสามารถปั่นวัตต์ออกมาได้เท่าเดิมได้ระยะทางเท่าเดิม

tiphippo เขียน:อยากจะขอให้เริ่มจากbasic ไล่step 1,2,3เลยจะมากไปไหมครับ ผมคิดว่าการเริ่มต้นทำความเข้าใจจากพื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญพี่เห็นด้วยไหมครับ ผมยอบรับตรงๆเลยว่าไม่เข้าใจหลักการของ watt meterเลยแม้แต่น้อยฟังโปรๆเขาคุยกันก็ได้แต่ทำตาปริบๆ แต่อยากทราบรายละเอียดเพื่อนำมาพัฒนาตัวเองครับ....ขอบคุณพี่นุครับ

พอได้มั๊ยครับ

สายตาเลื่อนลอยเริ่มเคลิบเคลิ้มในรสพระธรรมครับ

gregwatana เขียน:นักจักรยานหลายๆคนคงจะสงสัยว่าทำไมจะต้องใช้ Power meter เพื่อวัดค่าพลังงานของเราให้ออกมาเป็นวัตต์ แล้วอัตราการเต้นของหัวใจนั้นไม่เพียงพอรึอย่างไรเพราะด้วยสนนราคาค่าตัวของอุปกรณ์ที่ใช้วัดวัตต์ได้นั้นชั่งแพงเสียเหลือเกินขนาดตัวที่ถูกที่สุดแล้วยังเกือบสองหมื่นบาท ลงทุนไปแล้วมันจะคุ้มกับค่าเงินรึเปล่า ซึ่งก็คงจะมีคำถามทำนองนี้ผุดขึ้นมาในหัวของคนที่สนใจเหมือนกับผมเมื่อ 8ปีที่แล้ว สุดท้ายผมเสียดายมากครับ ที่เสียดายคือเวลาที่ผมเสียไปไม่ยอมตัดสินใจใช้วัตต์เสียแต่เนิ่นๆ เราก็จะมาดูกันไปเรื่อยๆนะครับว่า “ทำไม”

บันทึกการออกกำลังกาย
บันทึกการออกกำลังกายของเราออกมาได้อย่างเป็นสถิติ โดยบางยี่ห้อนั้นสามารถเลือกบันทึกได้ทุก 0.5วิ 1วิ 5วิ 10วิ ซึ่งตอนเราปั่นอยู่จะไม่ค่อยเห็นประโยชน์ในจุดนี้หรอกครับแต่เมื่อไรที่เราอัพโหลดข้อมูลเหล่านั้นเข้าโปรแกรมวิเคราะห์แล้วล่ะก็ มันจะเป็นดั่งเพชรที่ได้รับการเจียรนัยอย่างดีเลย ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ข้อมูลของแต่ละคนด้วนยะครับ
เราสามารถดูได้ถึงจุดแข็งจุดด้อยที่ควรจะพัฒนาอย่างไร รึจำลองวัตต์ที่คู่ต่อสู้เราใช้แล้วนำมาฝึกเพื่อเอาชนะ ยกตัวอย่างเช่นการแข่งขันประเภทลู่ 4000เมตร คู่แข่งเราใช้วัตต์เฉลี่ย450ที่5นาทีเขาจึงได้ที่หนึ่ง เราก็เอาค่า 450วัตต์มาเป็นเกณฑ์การซ้อม5นาทีของเรา

เพิ่มความหมายให้อัตราการเต้นของหัวใจ
โดยทั่วไปแล้วหัวใจไม่ได้บอกว่าเราพัฒนาไปขนาดใหนแล้วเพียงแต่บอกว่าหัวใจเรากำลังเต้นเท่าไรเท่านั้นเอง เนื่องด้วยอัตราการเต้นของหัวใจนั้นมีปัจจัยภายนอกมากมายที่ทำให้อัตราการเต้นเปลี่ยนไป เช่นน้ำในร่างกายน้อยหัวใจเต้นเร็วขึ้น อากาศเย็นจะเต้นน้อยลง การนอนพักผ่อนคืนก่อนปั่น ความเครียด บุหรี่ และอีกอื่นๆอีก
หัวใจจะคล้ายๆกับวัดรอบของเครื่องยนต์นั่นล่ะครับ 3500รอบของเครื่องยนต์รถบ้านกับรถแข่งมันแตกต่างกันอย่างมากเลยนะครับ อย่างผมดูการแข่ง Tour de France ความเร็ว45 หัวใจเต้น 98-115 แล้วของตัวคุณล่ะครับ นี่ยังไม่ใช่ของระดับ Jan, Lance, Fabian, Cadel อะไรนะครับแค่ลูกทีมธรรมดา
หัวใจจะเต้นช้าลงเมื่อเราซ้อมหนักต่อเนื่อง เช่นปั่น 280วัตต์ หัวใจเต้น 160 อีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมาปั่นที่วัตต์เท่าเดิมคือ 280 หัวใจเต้น 158 เห็นมั๊ยครับว่าหัวใจนั้นยากที่จะยึดเป็นเครื่องมือการซ้อมที่ถูกต้อง
รับรู้ถึงการพัฒนา
นับว่าข้อนี้เป็นอะไรที่น่าสนใจและตื่นเต้นสำหรับเรานักปั่นทุกๆท่านที่อดทนหน้าสู้ดินหลังสู้แดดเป็นเวลานานๆเพื่อที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงในจุดนี้ล่ะครับ แล้ววัตต์มันช่วยเราได้อย่างไร
ผมได้เขียนไปในข้อแรกแล้วว่าเก็บข้อมูลได้ เราก็สามารถนำข้อมูลเมื่อเดือนที่แล้วมาเปรียบเทียบกับเดือนต่อมาได้อย่างง่ายดาย
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
การใช้วัตต์นั้นเราสามารถเซ็ตจักรยานให้เหมาะสมกับตัวเรามากที่สุดถึงแม้คุณจะเคยไปวัดตัวมาแล้วรึเข้าอุโมงค์ลมมาก็ตาม ที่ผมบอกอย่างนี้เพราะการที่เราไปวัดตัวมา จริงอยู่ว่าคุณได้ช่วงรถที่เหมาะสมกับสรีระร่างกายของคุณแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะผลิตวัตต์ได้มากที่สุดจากการเซ็ตรถแบบนั้น มันจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ดีเท่านั้นเอง
การที่คุณมีวัตต์คุณสามารถเปรียบเทียบได้ว่าการเซ็ทรถแบบใหนที่จะทำให้คุณผลิตวัตต์ออกมาได้มากที่สุดโดยที่ยังลู่ลมและสบายในการปั่น เวลาผมเซ็ทรถให้ลูกค้าอันดับแรกที่คำนึงคือความสบายในการปั่นเพราะถึงแม้รถจะเซ็ทออกได้ได้สวยงามขนาดใหนแต่คุณไม่มีความสบายในการปั่น คุณก็อาจจะไม่อยากปั่นมันบ่อยๆ
ยกตัวอย่างนะครับ Armstrong และ Indurian ท่าปั่นไทม์ไทร์ของสองคนนี้ไม่ได้จะแตกต่างจากรถถนนเท่าไรเลยแต่ทำไมเขาจึงคว้าชัยสเตจไทม์ไทร์อยู่เรื่อยๆ เพราะเขามีท่าปั่นที่เหมาะสมที่สุดในเรื่อง
• ความสบาย โดยเฉพาะ Lance ก้มคอมากไม่ได้เพราะมีปัญหากระดูกคอ
• เป็นท่าที่ผลิตวัตต์ออกมาได้มากที่สุดโดยยังซึ่งคงไว้ตามหลักอากาศพลศาสตร์
จากประสบการณ์ส่วนตัวในการเซ็ทรถไทม์ไทร์ กดคอลง2เซ็นต์รถดูโปรมากและหลังก็ระนาบตรงลู่ลมมากๆ แต่ออกไปปั่นปั่นแล้วแรงหายหมดเหยียบเท่าไรก็ไม่ไปขี่ได้20กิโลก็หมด วัตต์ตกไปกว่า20-30วัตต์ พอเอาความสูงคอขึ้นเท่าเดิมสามารถปั่นวัตต์ออกมาได้เท่าเดิมได้ระยะทางเท่าเดิม

กระจ่างแจ้ง แจ่มภพ เลยพี่ ขอบคุณครับ