รายงานทริป เชียงใหม่ - อรัญประเทศ - ปอยเปต - เสียมราฐ - นครวัด- นครธม
- หนูเบนท์
- ขาประจำ
- โพสต์: 1773
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 08:27
- team: ชมรมจักรยานวันอาทิตย์ เชียงใหม่
- Bike: Jamis Dragon
- ติดต่อ:
Re: รายงานทริป เชียงใหม่ - อรัญประเทศ - ปอยเปต - เสียมราฐ - นครวัด- นครธม
ปราสาทบายน
รอบ ปราสาทบายนที่เสียมเรียบจะปรากฏภาพโดยเฉพาะภาพแกะสลักอายุนับพันปีเหล่านั้น รอบปราสาทบายนจะเห็นภาพของ "การประดั่ญ" เรียกเป็นภาษาไทยว่า ภาพการต่อสู้ อยู่บนกำแพงปราสาทบายน "มวย" เป็นศาสตร์อันยิ่งใหญ่ มรดกของขอมแห่งสุวรรณภูมิ
ขอม เป็นคนละชนชาติกันกับ ขะแมร์ หรือกัมพูชาในทุกวันนี้มวยนี่มันมีมานานตั้งแต่สมัยขอมเรืองอำนาจคำว่า มวย เอง เป็น ภาษาขะแมร์ แปลว่า "หนึ่ง"ทั้งหมดนี้ไทยรับคำมาจากขะแมร์เพราะอิทธิพลความรุ่งเรืองของขะแมร์ที่รับมาจากขอม มาจากคำว่า "เนี๊ยะประดั่ญเลขมูย" อันมีความหมายว่านักสู้อันดับหนึ่ง และเรียกกันสั้น ๆ ว่า"เนี๊ยะมูย" และคนไทนำมาเรียกสั้น ๆ ว่า "นักมวย"
- หนูเบนท์
- ขาประจำ
- โพสต์: 1773
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 08:27
- team: ชมรมจักรยานวันอาทิตย์ เชียงใหม่
- Bike: Jamis Dragon
- ติดต่อ:
- หนูเบนท์
- ขาประจำ
- โพสต์: 1773
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 08:27
- team: ชมรมจักรยานวันอาทิตย์ เชียงใหม่
- Bike: Jamis Dragon
- ติดต่อ:
- ทิวากร
- ขาประจำ
- โพสต์: 6639
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 08:24
- Tel: 081-977692สอง
- team: ขุนหาญทีม
- Bike: เปลี่ยนเป็นเทคแล้ว
Re: รายงานทริป เชียงใหม่ - อรัญประเทศ - ปอยเปต - เสียมราฐ - นครวัด- นครธม
เห็นแล้วก็อยากไปอีกครับ ขอบคุณภาพสรุปทริปครับป๋า
คุณไม่รู้หรอกว่าอะไรคือของปลอม ถ้ายังไม่เคยเห็นของจริง
บึงกาฬ-ชายแดนลาวเวียดนาม-ฮานอย..กดครับ
สำราจเส้นทางสายใหม่ ไปกัมพูชาพริบตาเดียว ชมนครวัด นครธมด้วยกัน..กดเบาๆครับ
อุ้มผาง ทีลอซู ถนนลอยฟ้า http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 6&t=267185
เวียงจันทน์-หลวงพระบาง http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 6&t=332042
บึงกาฬ-ชายแดนลาวเวียดนาม-ฮานอย..กดครับ
สำราจเส้นทางสายใหม่ ไปกัมพูชาพริบตาเดียว ชมนครวัด นครธมด้วยกัน..กดเบาๆครับ
อุ้มผาง ทีลอซู ถนนลอยฟ้า http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 6&t=267185
เวียงจันทน์-หลวงพระบาง http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 6&t=332042
- หนูเบนท์
- ขาประจำ
- โพสต์: 1773
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 08:27
- team: ชมรมจักรยานวันอาทิตย์ เชียงใหม่
- Bike: Jamis Dragon
- ติดต่อ:
Re: รายงานทริป เชียงใหม่ - อรัญประเทศ - ปอยเปต - เสียมราฐ - นครวัด- นครธม
ปราสาทบายน นครธม
ไม่กว้างนักเดินๆ ขึ้นๆ ลง สักพัก ก็ทั่ว...แต่ก็นับรูปหน้าที่แกะสลักบนหินไม่ครบ อิอิ..
เราออกจากนครธม ไปทางทิศตะวันตก..พบบริเวณกว้างใจกลางพระนคร
เป็น"ลานช้าง" นั้นเอง
ลานช้าง
• ปีที่สร้าง : สร้างในต้นพุทธศตวรรษที่ 18
• รัชสมัย : รัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และมีการบูรณะเพิ่มเติมสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 8
• ศิลปะ : เป็นศิลปะแบบบายน
• ศาสนา : ศาสนาพุทธนิกายมหายาน
• ลานช้าง ตั้งอยู่บริเวณกลางเมืองพระนครหลวง หันหน้าเข้าสู่ลานกว้างเรียกว่าสนามหลวง ลักษณะเป็นระเบียงยาวประมาณ 350 เมตร สูงจากพื้น 3 เมตร ผนังฐานพลับพลาสร้างด้วยหินสลักเป็นรูปช้างและครุฑพ่าห์พื้นพลับพลาเป็นหินตั้งอยู่ด้านหน้าประตูพระราชวังมีมุขยื่นออกมาทั้งสองด้าน คือมุขช้างเอราวัณและมุขรูปครุฑพ่าห์มีบันไดขึ้นลงได้ 5 ทาง บันไดใหญ่ที่สุดอยู่ตรงกลาง ซึ่งเป็นทางพระราชดำเนินที่จะใช้ลงไปยังสนามหลวงของพระมหากษัตริย์เท่านั้น
• จุดประสงค์ของการสร้างลานช้าง เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับพระมหากษัตริย์นั่งทอดพระเนตรการสวนสนาม การซ้อมรบ และการเฉลิมฉลองต่างๆ ตลอดจนการต้อนรับพระราชอาคันตุกะ
• ภาพสลักนูนสูงรูปช้างและครุฑ ฐานระเบียงมีภาพสลักนูนสูงเป็นรูปช้างตลอดแนว เรียกว่า ลานช้าง และมีภาพครุฑแบกที่สวยงามเรียกว่าระเบียงครุฑหรือลานพระเกียรติ
• ภาพสลักนูนสูงรูปม้าห้าหัว ด้านทิศเหนือของลานช้างบริเวณใกล้ฐานลานพระเจ้าขี้เรื้อน มีภาพม้าห้าหัวหรือม้าพลาหะอันเป็นอวตารปางหนึ่งของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรที่คอยช่วยเหลือผู้คนให้พ้นจากปีศาจร้าย
• ภาพสลักนูนสูงรูปหงส์ ทางด้านทิศตะวันออกตรงข้ามกับทางเข้าประตูชัยของนครธม มีภาพสลักรูปหงส์ และบนฐานลานช้าง ถ้ามองไปยังทิศตะวันตก จะพบโคปุระซึ่งนำไปสู่ปราสาทพิมานอากาศและพระราชวังหลวง
ไม่กว้างนักเดินๆ ขึ้นๆ ลง สักพัก ก็ทั่ว...แต่ก็นับรูปหน้าที่แกะสลักบนหินไม่ครบ อิอิ..
เราออกจากนครธม ไปทางทิศตะวันตก..พบบริเวณกว้างใจกลางพระนคร
เป็น"ลานช้าง" นั้นเอง
ลานช้าง
• ปีที่สร้าง : สร้างในต้นพุทธศตวรรษที่ 18
• รัชสมัย : รัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และมีการบูรณะเพิ่มเติมสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 8
• ศิลปะ : เป็นศิลปะแบบบายน
• ศาสนา : ศาสนาพุทธนิกายมหายาน
• ลานช้าง ตั้งอยู่บริเวณกลางเมืองพระนครหลวง หันหน้าเข้าสู่ลานกว้างเรียกว่าสนามหลวง ลักษณะเป็นระเบียงยาวประมาณ 350 เมตร สูงจากพื้น 3 เมตร ผนังฐานพลับพลาสร้างด้วยหินสลักเป็นรูปช้างและครุฑพ่าห์พื้นพลับพลาเป็นหินตั้งอยู่ด้านหน้าประตูพระราชวังมีมุขยื่นออกมาทั้งสองด้าน คือมุขช้างเอราวัณและมุขรูปครุฑพ่าห์มีบันไดขึ้นลงได้ 5 ทาง บันไดใหญ่ที่สุดอยู่ตรงกลาง ซึ่งเป็นทางพระราชดำเนินที่จะใช้ลงไปยังสนามหลวงของพระมหากษัตริย์เท่านั้น
• จุดประสงค์ของการสร้างลานช้าง เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับพระมหากษัตริย์นั่งทอดพระเนตรการสวนสนาม การซ้อมรบ และการเฉลิมฉลองต่างๆ ตลอดจนการต้อนรับพระราชอาคันตุกะ
• ภาพสลักนูนสูงรูปช้างและครุฑ ฐานระเบียงมีภาพสลักนูนสูงเป็นรูปช้างตลอดแนว เรียกว่า ลานช้าง และมีภาพครุฑแบกที่สวยงามเรียกว่าระเบียงครุฑหรือลานพระเกียรติ
• ภาพสลักนูนสูงรูปม้าห้าหัว ด้านทิศเหนือของลานช้างบริเวณใกล้ฐานลานพระเจ้าขี้เรื้อน มีภาพม้าห้าหัวหรือม้าพลาหะอันเป็นอวตารปางหนึ่งของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรที่คอยช่วยเหลือผู้คนให้พ้นจากปีศาจร้าย
• ภาพสลักนูนสูงรูปหงส์ ทางด้านทิศตะวันออกตรงข้ามกับทางเข้าประตูชัยของนครธม มีภาพสลักรูปหงส์ และบนฐานลานช้าง ถ้ามองไปยังทิศตะวันตก จะพบโคปุระซึ่งนำไปสู่ปราสาทพิมานอากาศและพระราชวังหลวง
- หนูเบนท์
- ขาประจำ
- โพสต์: 1773
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 08:27
- team: ชมรมจักรยานวันอาทิตย์ เชียงใหม่
- Bike: Jamis Dragon
- ติดต่อ:
Re: รายงานทริป เชียงใหม่ - อรัญประเทศ - ปอยเปต - เสียมราฐ - นครวัด- นครธม
สวัสดีช่างภาพใหญ่ทิวากร เขียน: เห็นแล้วก็อยากไปอีกครับ ขอบคุณภาพสรุปทริปครับป๋า
ไปห่างชม Angkor กันเดือนเดียวเอง...ถ้ารู้แบบนี้ตามไปด้วยตั้งแต่ต้น..คงได้ภาพสวยๆ อีกเยอะ
- หนูเบนท์
- ขาประจำ
- โพสต์: 1773
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 08:27
- team: ชมรมจักรยานวันอาทิตย์ เชียงใหม่
- Bike: Jamis Dragon
- ติดต่อ:
Re: รายงานทริป เชียงใหม่ - อรัญประเทศ - ปอยเปต - เสียมราฐ - นครวัด- นครธม
ออกจากลานช้าง
มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกอีก สองข้างทางมีต้นไม้ร่มรื่น
พบปราสาทตาสม ตั้งอยู้ในดงไม้..
ปราสาทตาสม
• ปีที่สร้าง : สร้างในปีพุทธศตวรรษที่ 18 (พ.ศ. 1724-1763)
• รัชสมัย : รัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และทำการขยายเพิ่มเติมในรัชสมัยของพระเจ้าอินทรวรมันที่ 2
• ศิลปะ : เป็นศิลปะแบบบายน
• ศาสนา : ศาสนาพุทธ นิกายมหายาน
• ปราสาทตาสม เป็นปราสาทขนาดเล็กหากเปรียบเทียบกับปราสาทตาพรหมหรือปราสาทบันทายกเดย ปราสาทแห่งนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่
โคปุระด้านนอกและกำแพงล้อมรอบ โคปุระด้านในและปรางค์ประธานพร้อมกับระเบียงคตทั้งสี่ด้าน มีบรรณาลัยอยู่ในระเบียงคต กำแพงด้านนอกมีความกว้าง 200 เมตร ยาว 240 เมตร เส้นทางเข้าสู่ทิศตะวันออกเข้าสู่โคปุระด้านในจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ระเบียงคตรอบปรางค์ประธานมีความยาว 30 เมตร กว้าง 20 เมตร บรรณาลัยอยู่ทางทิศเหนือและใต้ด้านละหลัง เนื่องจากถนนจะตัดผ่านด้านหลังปราสาททางด้านทิศตะวันตก นักท่องเที่ยวจึงนิยมเข้าสู่ปราสาททางทิศตะวันตก
• นางอัปสร-เสากรอบประตู รูปแบบของปราสาทตาสมอาจกล่าวได้ว่าเป็นยุคต้นๆ ของศิลปะแบบบายน โดยสังเกตได้จากลักษณะของนางอัปสร และลักษณะของเสากรอบประตูที่เป็นแปดเหลี่ยมและมีลายสลักลักษณะเป็นดอกไม้และใบไม้อยู่โดบรอบ คล้ายคลึงกับปราสาทบายนมาก
• พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ลักษณะเด่นของปราสาทตาสมอีกอย่างก็คือพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ซึ่งอยู่บนยอดของปรางค์ประธานและโคปุระที่กำแพงด้านนอกมีพระพักตร์ทั้งสี่ทิศรูปแบบลักษณะเช่นนี้เหมือนกับปราสาทบายน
มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกอีก สองข้างทางมีต้นไม้ร่มรื่น
พบปราสาทตาสม ตั้งอยู้ในดงไม้..
ปราสาทตาสม
• ปีที่สร้าง : สร้างในปีพุทธศตวรรษที่ 18 (พ.ศ. 1724-1763)
• รัชสมัย : รัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และทำการขยายเพิ่มเติมในรัชสมัยของพระเจ้าอินทรวรมันที่ 2
• ศิลปะ : เป็นศิลปะแบบบายน
• ศาสนา : ศาสนาพุทธ นิกายมหายาน
• ปราสาทตาสม เป็นปราสาทขนาดเล็กหากเปรียบเทียบกับปราสาทตาพรหมหรือปราสาทบันทายกเดย ปราสาทแห่งนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่
โคปุระด้านนอกและกำแพงล้อมรอบ โคปุระด้านในและปรางค์ประธานพร้อมกับระเบียงคตทั้งสี่ด้าน มีบรรณาลัยอยู่ในระเบียงคต กำแพงด้านนอกมีความกว้าง 200 เมตร ยาว 240 เมตร เส้นทางเข้าสู่ทิศตะวันออกเข้าสู่โคปุระด้านในจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ระเบียงคตรอบปรางค์ประธานมีความยาว 30 เมตร กว้าง 20 เมตร บรรณาลัยอยู่ทางทิศเหนือและใต้ด้านละหลัง เนื่องจากถนนจะตัดผ่านด้านหลังปราสาททางด้านทิศตะวันตก นักท่องเที่ยวจึงนิยมเข้าสู่ปราสาททางทิศตะวันตก
• นางอัปสร-เสากรอบประตู รูปแบบของปราสาทตาสมอาจกล่าวได้ว่าเป็นยุคต้นๆ ของศิลปะแบบบายน โดยสังเกตได้จากลักษณะของนางอัปสร และลักษณะของเสากรอบประตูที่เป็นแปดเหลี่ยมและมีลายสลักลักษณะเป็นดอกไม้และใบไม้อยู่โดบรอบ คล้ายคลึงกับปราสาทบายนมาก
• พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ลักษณะเด่นของปราสาทตาสมอีกอย่างก็คือพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ซึ่งอยู่บนยอดของปรางค์ประธานและโคปุระที่กำแพงด้านนอกมีพระพักตร์ทั้งสี่ทิศรูปแบบลักษณะเช่นนี้เหมือนกับปราสาทบายน
- หนูเบนท์
- ขาประจำ
- โพสต์: 1773
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 08:27
- team: ชมรมจักรยานวันอาทิตย์ เชียงใหม่
- Bike: Jamis Dragon
- ติดต่อ:
Re: รายงานทริป เชียงใหม่ - อรัญประเทศ - ปอยเปต - เสียมราฐ - นครวัด- นครธม
ออกจากปราสาทตาสม ย้อนกลับมา ลานช้าง แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามถนน
เพื่อไปชมปราสาทตาพรหม
ปราสาทตาพรหม เป็นปราสาทเก่าที่ถูกต้นไม้กลืน
แต่ละปีนางอัปสรถูกต้นไม้รัดจากรัดตัว นานปีเข้าจนเหลือแต่ใบหน้า ต้นไม้ไม่ได้กลืนแต่นางอัปสร
แม้แต่ปราสาท และเทวสถานต่างๆ ก็ไม่เว้น
ปราสาทตาพรหม
• ปีที่สร้าง : สร้างในปลายปีพุทธศตวรรษที่ 18 (พ.ศ. 1729)
• รัชสมัย : รัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และมีการขยายพื้นที่สร้างต่อเติมอีกในรัชสมัยของพระเจ้าอินทรวรมันที่ 2
• ศิลปะ : เป็นศิลปะแบบบายน
• ศาสนา : ศาสนาพุทธ นิกายมหายาน
• ปราสาทตาพรหมจัดได้ว่าเป็นวัดในพุทธศาสนาและเป็นวิหารหลวงในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทางเข้าประกอบด้วยโคปุระชั้นนอกและชั้นใน บริเวณผนังที่อยู่เชื่อมระหว่างโคปุระชั้นนอกและชั้นในมีการสลักภาพตามคติธรรมของพุทธศาสนานิกายมหายาน ปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1729 เพื่ออุทิศให้แก่พระราชมารดาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 คือพระนางชัยราชจุฑามณีผู้เปรียบประดุจกับพระนางปรัชญาปรมิตา ซึ่งหมายถึงเมื่อพระองค์เป็นอวตารของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระราชมารดาของพระองค์จึงเปรียบดังพระนางปรมิตาเช่นกัน
• ปราสาทตาพรหมถูกสร้างเคียงคู่กับปราสาทพระขรรค์ ซึ่งพระองค์ทรงถวายอุทิศให้กับพระราชบิดา ปราสาทตาพรหมนี้สร้างหลังปราสาทพระขรรค์เพียง 5 ปี ที่น่าประหลาดใจคือพิธีในปราสาทยุคนั้น ซึ่งจารึกกล่าวถึงบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างปราสาทแห่งนี้คือ จำนวนคนและบรรดาทรัพย์สินจากหมู่บ้านจำนวนถึง 3,140 หมู่บ้าน ใช้คนทำงานถึง 79,365 คน และจำนวนนี้มีพระชั้นผู้ใหญ่ 18 รูป เจ้าหน้าที่ประกอบพิธี 2,740 คน ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ประกอบพิธี 2,202 คน และนางฟ้อนรำอีก 615 คน สำหรับทรัพย์สมบัติของวัดก็มีจานทองตำ 1 ชุดหนักกว่า 500 กิโลกรัม และชุดเงินเพชร 35 เม็ด ไข่มุก 40,620 เม็ด หินมีค่าและพลอยต่างๆ 4,540 เม็ด อ่างทองคำขนาดใหญ่ ผ้าบางสำหรับคลุมหน้าจากประเทศจีน 876 ผืน เตียงคลุมด้วยผ้าไหม 512 เตียง ร่ม 523 คัน ยังมีเนย นม น้ำอ้อย น้ำผึ้ง ไม้จันทน์ การบูร เสื้อผ้า 2,387 ชุดเพื่อแต่ง รูปปั้นต่างๆ กล่าวกันว่าความฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อนี้เองเป็นเหตุให้เกิดความล่มสลายของอาณาจักรขอมในเวลาต่อมา
• ปราสาทแห่งนี้เป็นปราสาทที่ถูกปล่อยให้อยู่กับธรรมชาติ หลังจากการค้นพบปราสาทต่างๆ โดยชาวฝรั่งเศส แต่เดิมปราสาทนครวัดเองก็อยู่ในลักษณะเช่นนี้ก่อนที่จะมีการบูรณะในต้นพุทธศตวรรษที่ 25 ในขณะที่ปราสาทตาพรหม ถูกเก็บรักษาไว้เพื่อให้เห็นสภาพที่แท้จริงว่าปราสาทอยู่กับธรรมชาติมาได้เกือบ 500 ปี อันเป็นอีกมุมมองหนึ่ง เพื่อให้เห็นลักษณะของต้นไม้ที่เกาะกุมปราสาท
• เดิมก่อนสร้างปราสาทนั้นสภาพบริเวณนี้เป็นป่ามาก่อน เมื่อจะสร้างปราสาทจึงต้องเคลียร์พื้นที่ให้เป็นที่โล่ง โดยการตัดไม้ออกแต่ในที่สุดแล้วธรรมชาติก็สามารถที่จะเอาชนะถาวรวัตถุที่ถูกสร้างจากมนุษย์ ต้นไม้ที่เกาะกุม ชอนไชไปเรื่อยๆ ไปยังส่วนต่างๆของปราสาท ช่วยให้บรรยากาศของปราสาทตาพรหมดูลึกลับ สวย ไม่เหมือนปราสาทที่อื่นๆ
• ที่ปราสาทตาพรหมมีต้นไม้อยู่ 2 ชนิด ต้นที่ใหญ่ที่สุดเรียกว่า ต้นสะปง หรือภาษาไทยเรียกว่า ต้นสำโรง เป็นต้นไม้ยืนต้นเนื้ออ่อน รกของมันจะดุดน้ำใต้ดินเข้าลำต้นทำให้นกดูป่อง พอง ส่วนพันธุ์ไม้อีกพันธุ์หนึ่งเป็นไม้เลื้อยขึ้นอยู่ตามหน้าบัน ทับหลังหรือตัวปราสาท หลังคา ลักษณะเป็นไม้พุ่ม ไม้ล้มลุก บ้างก็แห้งตายคาอยู่ บ้างก็ยังเขียวสดอยู่ เกิดจากการที่นกมาขับถ่ายมูลที่มีเมล็ดของพันธุ์นี้ทิ้งไว้ บริเวณใดของปราสาทที่มีน้ำขังอยู่มีตะไคร่น้ำที่ให้ความชุ่มชื้น ก็สามารถทำให้เมล็ดพันธุ์เติบโตเป็นต้นได้ ทั้งไม้เล็กและไม้ใหญ่ต่างเติบโตตามสภาวะที่เอื้ออำนวยรากของไม้ใหญ่ที่แทรกชอนไชไปบนแผ่นศิลา เพื่อจะหาที่ลงดินเกิดเป็นรูปทรงคล้ายหนวดปลาหมึกเกาะกุมองค์ปราสาททำให้ช่วยประคองยึดตัวปราสาทไม่ให้พังลงมาได้
• จากโคปุระทางทิศตะวันออกมุ่งสู่ปรางค์ประธาน ผนังด้านซ้ายมือจะเป็นภาพสลักของคติธรรมทางพุทธศาสนาตอนพระแม่ธรณีบีบมวยผม ซึ่งเป็นตอนที่มารมาผจญเจ้าชายสิทธัตถะก่อนที่จะตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ลักษระภาพจะเห็นบรรดาเหล่าพญามารต่างตื่นตกใจหนีกระแสน้ำที่เกิดจากการบีบมวยผมของพระแม่ธรณีจนพ่ายแพ้ไปในที่สุด
หลังจากโคปุระทางด้านทิศตะวันออกจะมีบรรณาลัยที่อยู่ทางซ้ายมือ หน้าบันเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ประดับด้วยพวงมาลัย ทับหลังเป็นภาพนารายณ์บรรทมสินธุ์
• หน้าบันและทับหลัง ตามปรางค์ปราสาทและโคปุระ มีภาพสลักล้วนแต่เกี่ยวกับพุทธประวัติ นิกายมหายานเป็นส่วนใหญ่น่าเสียดายว่าภาพสลักบางภาพได้ถูกดัดแปลงให้เป็นภาพเกี่ยวกับศาสนาฮินดูไปในที่สุด ได้แก่พระพุทธรูปหรือพระพุทธเจ้าที่ถูกสกัดให้เป็นศิวลึงค์ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 ที่ทรงเลื่อมใสในศาสนาฮินดู
• ทางเข้าสู่ปรางค์ประธานจะอยู่ทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเช่นเดียวกับในหลายๆ ปราสาท ทว่าปัจจุบันมีถนนตัดผ่านทั้ง 2 ทิศ นักท่องเที่ยวนิยมเข้าทางทิศตะวันตก ถ้าเป็นไปได้ควรจะเข้าทางโคปุระทางทิศตะวันออก อันเป็นคตินิยมของผู้สร้างปราสาททุกแห่งของขอม
ถัดจากบรรณาลัยจะได้พบวิหารเล็กๆ ซึ่งใช้เป็นที่ประกอบพีธีของพวกพราหมณ์ ซึ่งวิหารนี้จะมีการจุดไฟบูชาตลอดทั้งวันทั้งคืน ภูมิสถาปัตย์เช่นเดียวกับปราสาทพระขรรค์ ปรางค์ทางด้านทิศเหนือได้พังทลายลงมาหมดแล้ว เห็นแต่เพียงซากของเสา หน้าบันและทับหลังทับกันระเกะระกะ
• ทางก่อนจะเข้าโคปุระชั้นที่ 3 จะพบต้นสะปงขนาดใหญ่ ขึ้นปกคลุมตรงส่วนกลางของปราสาทแห่งนี้ ลำต้นขึ้นอยู่บนหลังคา โดยมีรากโอบอุ้มตัวปราสาทอยู่ก่อนจะไชลงพื้นดิน เป็นมุมที่นิยมมาถ่ายมาก
• หน้าบันที่อยู่ถัดจากปรางค์ประธาน เป็นภาพเรื่องรามเกียรติ์ตอนพระลักษณ์ พระราม และนางสีดาถูกขับไล่ออกจากเมือง จะเห็นพระรามเสด็จออกโดยมีม้าเป็นพาหนะ มีไพร่ฟ้าประชาชนตามส่งเสด็จที่สะดุดตาและแปลกคือภาพสลักข้างเสากรอบประตูของโคปุระชั้นที่ 3 ด้านทิศตะวันตก มีภาพสลักคล้ายไดโนเสาร์อยู่ 1 ตัว เมื่อเดินมาสุดทางที่จะออกปราสาทตาพรหม ก็จะพบโคปุระซึ่งมีลักษณะคล้ายทางเข้าสู่กำแพงเมืองนครธมแห่งเมืองพระนครนั่น คือภาพใบหน้าของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรทั้ง 4 ทิศ อยู่เหนือโคปุระนั้น
เพื่อไปชมปราสาทตาพรหม
ปราสาทตาพรหม เป็นปราสาทเก่าที่ถูกต้นไม้กลืน
แต่ละปีนางอัปสรถูกต้นไม้รัดจากรัดตัว นานปีเข้าจนเหลือแต่ใบหน้า ต้นไม้ไม่ได้กลืนแต่นางอัปสร
แม้แต่ปราสาท และเทวสถานต่างๆ ก็ไม่เว้น
ปราสาทตาพรหม
• ปีที่สร้าง : สร้างในปลายปีพุทธศตวรรษที่ 18 (พ.ศ. 1729)
• รัชสมัย : รัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และมีการขยายพื้นที่สร้างต่อเติมอีกในรัชสมัยของพระเจ้าอินทรวรมันที่ 2
• ศิลปะ : เป็นศิลปะแบบบายน
• ศาสนา : ศาสนาพุทธ นิกายมหายาน
• ปราสาทตาพรหมจัดได้ว่าเป็นวัดในพุทธศาสนาและเป็นวิหารหลวงในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทางเข้าประกอบด้วยโคปุระชั้นนอกและชั้นใน บริเวณผนังที่อยู่เชื่อมระหว่างโคปุระชั้นนอกและชั้นในมีการสลักภาพตามคติธรรมของพุทธศาสนานิกายมหายาน ปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1729 เพื่ออุทิศให้แก่พระราชมารดาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 คือพระนางชัยราชจุฑามณีผู้เปรียบประดุจกับพระนางปรัชญาปรมิตา ซึ่งหมายถึงเมื่อพระองค์เป็นอวตารของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระราชมารดาของพระองค์จึงเปรียบดังพระนางปรมิตาเช่นกัน
• ปราสาทตาพรหมถูกสร้างเคียงคู่กับปราสาทพระขรรค์ ซึ่งพระองค์ทรงถวายอุทิศให้กับพระราชบิดา ปราสาทตาพรหมนี้สร้างหลังปราสาทพระขรรค์เพียง 5 ปี ที่น่าประหลาดใจคือพิธีในปราสาทยุคนั้น ซึ่งจารึกกล่าวถึงบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างปราสาทแห่งนี้คือ จำนวนคนและบรรดาทรัพย์สินจากหมู่บ้านจำนวนถึง 3,140 หมู่บ้าน ใช้คนทำงานถึง 79,365 คน และจำนวนนี้มีพระชั้นผู้ใหญ่ 18 รูป เจ้าหน้าที่ประกอบพิธี 2,740 คน ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ประกอบพิธี 2,202 คน และนางฟ้อนรำอีก 615 คน สำหรับทรัพย์สมบัติของวัดก็มีจานทองตำ 1 ชุดหนักกว่า 500 กิโลกรัม และชุดเงินเพชร 35 เม็ด ไข่มุก 40,620 เม็ด หินมีค่าและพลอยต่างๆ 4,540 เม็ด อ่างทองคำขนาดใหญ่ ผ้าบางสำหรับคลุมหน้าจากประเทศจีน 876 ผืน เตียงคลุมด้วยผ้าไหม 512 เตียง ร่ม 523 คัน ยังมีเนย นม น้ำอ้อย น้ำผึ้ง ไม้จันทน์ การบูร เสื้อผ้า 2,387 ชุดเพื่อแต่ง รูปปั้นต่างๆ กล่าวกันว่าความฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อนี้เองเป็นเหตุให้เกิดความล่มสลายของอาณาจักรขอมในเวลาต่อมา
• ปราสาทแห่งนี้เป็นปราสาทที่ถูกปล่อยให้อยู่กับธรรมชาติ หลังจากการค้นพบปราสาทต่างๆ โดยชาวฝรั่งเศส แต่เดิมปราสาทนครวัดเองก็อยู่ในลักษณะเช่นนี้ก่อนที่จะมีการบูรณะในต้นพุทธศตวรรษที่ 25 ในขณะที่ปราสาทตาพรหม ถูกเก็บรักษาไว้เพื่อให้เห็นสภาพที่แท้จริงว่าปราสาทอยู่กับธรรมชาติมาได้เกือบ 500 ปี อันเป็นอีกมุมมองหนึ่ง เพื่อให้เห็นลักษณะของต้นไม้ที่เกาะกุมปราสาท
• เดิมก่อนสร้างปราสาทนั้นสภาพบริเวณนี้เป็นป่ามาก่อน เมื่อจะสร้างปราสาทจึงต้องเคลียร์พื้นที่ให้เป็นที่โล่ง โดยการตัดไม้ออกแต่ในที่สุดแล้วธรรมชาติก็สามารถที่จะเอาชนะถาวรวัตถุที่ถูกสร้างจากมนุษย์ ต้นไม้ที่เกาะกุม ชอนไชไปเรื่อยๆ ไปยังส่วนต่างๆของปราสาท ช่วยให้บรรยากาศของปราสาทตาพรหมดูลึกลับ สวย ไม่เหมือนปราสาทที่อื่นๆ
• ที่ปราสาทตาพรหมมีต้นไม้อยู่ 2 ชนิด ต้นที่ใหญ่ที่สุดเรียกว่า ต้นสะปง หรือภาษาไทยเรียกว่า ต้นสำโรง เป็นต้นไม้ยืนต้นเนื้ออ่อน รกของมันจะดุดน้ำใต้ดินเข้าลำต้นทำให้นกดูป่อง พอง ส่วนพันธุ์ไม้อีกพันธุ์หนึ่งเป็นไม้เลื้อยขึ้นอยู่ตามหน้าบัน ทับหลังหรือตัวปราสาท หลังคา ลักษณะเป็นไม้พุ่ม ไม้ล้มลุก บ้างก็แห้งตายคาอยู่ บ้างก็ยังเขียวสดอยู่ เกิดจากการที่นกมาขับถ่ายมูลที่มีเมล็ดของพันธุ์นี้ทิ้งไว้ บริเวณใดของปราสาทที่มีน้ำขังอยู่มีตะไคร่น้ำที่ให้ความชุ่มชื้น ก็สามารถทำให้เมล็ดพันธุ์เติบโตเป็นต้นได้ ทั้งไม้เล็กและไม้ใหญ่ต่างเติบโตตามสภาวะที่เอื้ออำนวยรากของไม้ใหญ่ที่แทรกชอนไชไปบนแผ่นศิลา เพื่อจะหาที่ลงดินเกิดเป็นรูปทรงคล้ายหนวดปลาหมึกเกาะกุมองค์ปราสาททำให้ช่วยประคองยึดตัวปราสาทไม่ให้พังลงมาได้
• จากโคปุระทางทิศตะวันออกมุ่งสู่ปรางค์ประธาน ผนังด้านซ้ายมือจะเป็นภาพสลักของคติธรรมทางพุทธศาสนาตอนพระแม่ธรณีบีบมวยผม ซึ่งเป็นตอนที่มารมาผจญเจ้าชายสิทธัตถะก่อนที่จะตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ลักษระภาพจะเห็นบรรดาเหล่าพญามารต่างตื่นตกใจหนีกระแสน้ำที่เกิดจากการบีบมวยผมของพระแม่ธรณีจนพ่ายแพ้ไปในที่สุด
หลังจากโคปุระทางด้านทิศตะวันออกจะมีบรรณาลัยที่อยู่ทางซ้ายมือ หน้าบันเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ประดับด้วยพวงมาลัย ทับหลังเป็นภาพนารายณ์บรรทมสินธุ์
• หน้าบันและทับหลัง ตามปรางค์ปราสาทและโคปุระ มีภาพสลักล้วนแต่เกี่ยวกับพุทธประวัติ นิกายมหายานเป็นส่วนใหญ่น่าเสียดายว่าภาพสลักบางภาพได้ถูกดัดแปลงให้เป็นภาพเกี่ยวกับศาสนาฮินดูไปในที่สุด ได้แก่พระพุทธรูปหรือพระพุทธเจ้าที่ถูกสกัดให้เป็นศิวลึงค์ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 ที่ทรงเลื่อมใสในศาสนาฮินดู
• ทางเข้าสู่ปรางค์ประธานจะอยู่ทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเช่นเดียวกับในหลายๆ ปราสาท ทว่าปัจจุบันมีถนนตัดผ่านทั้ง 2 ทิศ นักท่องเที่ยวนิยมเข้าทางทิศตะวันตก ถ้าเป็นไปได้ควรจะเข้าทางโคปุระทางทิศตะวันออก อันเป็นคตินิยมของผู้สร้างปราสาททุกแห่งของขอม
ถัดจากบรรณาลัยจะได้พบวิหารเล็กๆ ซึ่งใช้เป็นที่ประกอบพีธีของพวกพราหมณ์ ซึ่งวิหารนี้จะมีการจุดไฟบูชาตลอดทั้งวันทั้งคืน ภูมิสถาปัตย์เช่นเดียวกับปราสาทพระขรรค์ ปรางค์ทางด้านทิศเหนือได้พังทลายลงมาหมดแล้ว เห็นแต่เพียงซากของเสา หน้าบันและทับหลังทับกันระเกะระกะ
• ทางก่อนจะเข้าโคปุระชั้นที่ 3 จะพบต้นสะปงขนาดใหญ่ ขึ้นปกคลุมตรงส่วนกลางของปราสาทแห่งนี้ ลำต้นขึ้นอยู่บนหลังคา โดยมีรากโอบอุ้มตัวปราสาทอยู่ก่อนจะไชลงพื้นดิน เป็นมุมที่นิยมมาถ่ายมาก
• หน้าบันที่อยู่ถัดจากปรางค์ประธาน เป็นภาพเรื่องรามเกียรติ์ตอนพระลักษณ์ พระราม และนางสีดาถูกขับไล่ออกจากเมือง จะเห็นพระรามเสด็จออกโดยมีม้าเป็นพาหนะ มีไพร่ฟ้าประชาชนตามส่งเสด็จที่สะดุดตาและแปลกคือภาพสลักข้างเสากรอบประตูของโคปุระชั้นที่ 3 ด้านทิศตะวันตก มีภาพสลักคล้ายไดโนเสาร์อยู่ 1 ตัว เมื่อเดินมาสุดทางที่จะออกปราสาทตาพรหม ก็จะพบโคปุระซึ่งมีลักษณะคล้ายทางเข้าสู่กำแพงเมืองนครธมแห่งเมืองพระนครนั่น คือภาพใบหน้าของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรทั้ง 4 ทิศ อยู่เหนือโคปุระนั้น
- หนูเบนท์
- ขาประจำ
- โพสต์: 1773
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 08:27
- team: ชมรมจักรยานวันอาทิตย์ เชียงใหม่
- Bike: Jamis Dragon
- ติดต่อ:
- หนูเบนท์
- ขาประจำ
- โพสต์: 1773
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 08:27
- team: ชมรมจักรยานวันอาทิตย์ เชียงใหม่
- Bike: Jamis Dragon
- ติดต่อ:
- หนูเบนท์
- ขาประจำ
- โพสต์: 1773
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 08:27
- team: ชมรมจักรยานวันอาทิตย์ เชียงใหม่
- Bike: Jamis Dragon
- ติดต่อ:
Re: รายงานทริป เชียงใหม่ - อรัญประเทศ - ปอยเปต - เสียมราฐ - นครวัด- นครธม
- หนูเบนท์
- ขาประจำ
- โพสต์: 1773
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 08:27
- team: ชมรมจักรยานวันอาทิตย์ เชียงใหม่
- Bike: Jamis Dragon
- ติดต่อ:
Re: รายงานทริป เชียงใหม่ - อรัญประเทศ - ปอยเปต - เสียมราฐ - นครวัด- นครธม
- หนูเบนท์
- ขาประจำ
- โพสต์: 1773
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 08:27
- team: ชมรมจักรยานวันอาทิตย์ เชียงใหม่
- Bike: Jamis Dragon
- ติดต่อ:
Re: รายงานทริป เชียงใหม่ - อรัญประเทศ - ปอยเปต - เสียมราฐ - นครวัด- นครธม
- หนูเบนท์
- ขาประจำ
- โพสต์: 1773
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 08:27
- team: ชมรมจักรยานวันอาทิตย์ เชียงใหม่
- Bike: Jamis Dragon
- ติดต่อ:
Re: รายงานทริป เชียงใหม่ - อรัญประเทศ - ปอยเปต - เสียมราฐ - นครวัด- นครธม
วันที่สองของการแอ่ว
วันนี้มีโปรแกรมไปแอ่วชม "โตนเลสาบ"
โตนเลสาบ ทะลเสาบ (น้ำจืด) ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย...
-ทะเลสาบสงขลาที่หลายคนรู้จักก็ดูกว้างขวาง มีพื้นที่ติดต่อหลายจังหวัด แต่เมื่อมาเห็นทะเลสาบที่เมืองเขมรแล้วก็ต้องบอกว่า คนละเรื่องกันเลยทีเดียว...
โตนเลสาบ เป็นทะเลสาบที่เกิดจากลำน้ำโขง และแม่น้ำสายย่อยๆ่่ไหลมารวมกันจนเป็นทะเลน้ำจืดขนาดใหญ่ ไม่ต่างกับที่เรามองเห็นท้องทะเล ที่มีน้ำกับฟ้า แต่โตนเลสาบจะเป็นทะเลสาบสีขุ่นเช่นเดียวกับแม่น้ำโขง ยามน้ำหลากจะมีอาณาบริเวณเป็นพื้นที่กว้างมาก สูงสุดถึง 16,000 ตารางกิโลเมตร (สถิติจาก unesco ปี '97) แต่ยามน้ำลดก็จะเหลือประมาณ 2700 ตารางกิโลเมตร (เกือบสองเท่าของพื้นที่ กทม) ส่วนลึกสุดประมาณ 10 เมตร... ปลาสด ปลากรอบ ปลาร้า เป็นอาชัพหลักของที่นี่ กล่าวกันว่าเป็นแหล่งอาหารน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก และสร้างรายได้ให้กับประเทศเป็นอันดับ 2 รองจากการท่องเที่ยว ชาวประมงที่อาศัยอยู่ตามริมน้ำเป็นชาวเวียดนามอพยพในยุคสงครามเย็น หรือสงครามคอมมิวนิสต์ สมัยที่เวียดนามส่งทหารมาช่วยรบในเขมร
โตนเลสาบเป็นแหล่งท่องเที่ยวของเมืองเสียมเรียบ
อยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปประมาณ 14 กม. ตามระยะทางที่ผ่านจะเห็นหมู่บ้านชาวประมงเป็นระยะๆ บางแห่งก็ตั้งเป็นย่านร้านอาหารเวียดนาม และยิ่งเข้าไปใกล้ทะเลสาบมากขึ้น ก็จะเห็นชุมชนของชาวประมงอยู่หนาแน่น ที่อยู่อาศัยก็สร้างกันแบบง่ายๆ สะดวกในการเคลื่อนย้ายตามฤดูน้ำหลากของแต่ละป๊... จากระยะจากเสียมเรียบถึงท่าเรือ ยามน้ำลดจะมีระยะทาง 14 กม. แต่ยามน้ำหลากแล้วก็อาจเหลือเพียง 4 กิโลเมตรเท่านั้น มาเที่ยวโตนเลสาบก็ไม่ต่างกับไปเที่ยวตามชนบทของเวียดนาม วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ยังดูย้อนยุค ไม่ต่างกับชนบทไทยในอดีต
มาถึงก็ฝากรถ หาซื้อน้ำดื่ม และแก๊สโซฮอล 4 ป๋องร้อย
แล้วลงเรือจำนวน 2 ลำ สนนราคา ปกติเดินไปชนคนละ 15 ดอลล่า
แต่คณะเราคุณนายปากเกร็ด ประสานสิบทิศ ตกหัวละ 6 ดอลล่า
วันนี้มีโปรแกรมไปแอ่วชม "โตนเลสาบ"
โตนเลสาบ ทะลเสาบ (น้ำจืด) ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย...
-ทะเลสาบสงขลาที่หลายคนรู้จักก็ดูกว้างขวาง มีพื้นที่ติดต่อหลายจังหวัด แต่เมื่อมาเห็นทะเลสาบที่เมืองเขมรแล้วก็ต้องบอกว่า คนละเรื่องกันเลยทีเดียว...
โตนเลสาบ เป็นทะเลสาบที่เกิดจากลำน้ำโขง และแม่น้ำสายย่อยๆ่่ไหลมารวมกันจนเป็นทะเลน้ำจืดขนาดใหญ่ ไม่ต่างกับที่เรามองเห็นท้องทะเล ที่มีน้ำกับฟ้า แต่โตนเลสาบจะเป็นทะเลสาบสีขุ่นเช่นเดียวกับแม่น้ำโขง ยามน้ำหลากจะมีอาณาบริเวณเป็นพื้นที่กว้างมาก สูงสุดถึง 16,000 ตารางกิโลเมตร (สถิติจาก unesco ปี '97) แต่ยามน้ำลดก็จะเหลือประมาณ 2700 ตารางกิโลเมตร (เกือบสองเท่าของพื้นที่ กทม) ส่วนลึกสุดประมาณ 10 เมตร... ปลาสด ปลากรอบ ปลาร้า เป็นอาชัพหลักของที่นี่ กล่าวกันว่าเป็นแหล่งอาหารน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก และสร้างรายได้ให้กับประเทศเป็นอันดับ 2 รองจากการท่องเที่ยว ชาวประมงที่อาศัยอยู่ตามริมน้ำเป็นชาวเวียดนามอพยพในยุคสงครามเย็น หรือสงครามคอมมิวนิสต์ สมัยที่เวียดนามส่งทหารมาช่วยรบในเขมร
โตนเลสาบเป็นแหล่งท่องเที่ยวของเมืองเสียมเรียบ
อยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปประมาณ 14 กม. ตามระยะทางที่ผ่านจะเห็นหมู่บ้านชาวประมงเป็นระยะๆ บางแห่งก็ตั้งเป็นย่านร้านอาหารเวียดนาม และยิ่งเข้าไปใกล้ทะเลสาบมากขึ้น ก็จะเห็นชุมชนของชาวประมงอยู่หนาแน่น ที่อยู่อาศัยก็สร้างกันแบบง่ายๆ สะดวกในการเคลื่อนย้ายตามฤดูน้ำหลากของแต่ละป๊... จากระยะจากเสียมเรียบถึงท่าเรือ ยามน้ำลดจะมีระยะทาง 14 กม. แต่ยามน้ำหลากแล้วก็อาจเหลือเพียง 4 กิโลเมตรเท่านั้น มาเที่ยวโตนเลสาบก็ไม่ต่างกับไปเที่ยวตามชนบทของเวียดนาม วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ยังดูย้อนยุค ไม่ต่างกับชนบทไทยในอดีต
มาถึงก็ฝากรถ หาซื้อน้ำดื่ม และแก๊สโซฮอล 4 ป๋องร้อย
แล้วลงเรือจำนวน 2 ลำ สนนราคา ปกติเดินไปชนคนละ 15 ดอลล่า
แต่คณะเราคุณนายปากเกร็ด ประสานสิบทิศ ตกหัวละ 6 ดอลล่า
- หนูเบนท์
- ขาประจำ
- โพสต์: 1773
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 08:27
- team: ชมรมจักรยานวันอาทิตย์ เชียงใหม่
- Bike: Jamis Dragon
- ติดต่อ: