--------เวียตนาม---------
โพสต์: 25 ม.ค. 2011, 16:55
มารู้จัก และเรียนรู้ประเทศ เวียตนามกันดีมะ เผื่อว่าจะได้ใช้เมื่อคราวจำเป็น
ชื่อทางการ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม(The Socialist Republic of Vietnam)
รูปแบบการปกครอง สังคมนิยม โดยรัฐธรรมนูญฉบับปี ค.ศ. 1992 กำหนดให้เวียดนามเป็นประเทศ สาธารณรัฐสังคมนิยม
พรรคการเมือง ระบบพรรคเดียว คือพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม
รัฐบาล แต่งตั้งโดยสภาแห่งชาติ (National Assembly) มีวาระดำรงตำแหน่ง 5 ปี (รายชื่อคณะรัฐมนตรีดูในเอกสารแนบ)
ผู้นำสำคัญทางการเมือง
เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ นายนง ดึ๊ก หมั่น (Nong Duc Manh)
ประธานาธิบดี/ประมุขของรัฐ นายเจิ่น ดึ๊ก เลือง (Tran Duc Luong)
นายกรัฐมนตรี/หัวหน้ารัฐบาล นายฟาน วัน ขาย (Phan Van Khai)
ประธานสภาแห่งชาติ นายเหวียน วัน อาน (Nguyen Van An)
เมืองหลวง กรุงฮานอย (Hanoi)
ระบบการบริหารราชการ แบ่งเป็น 4 ระดับ ได้แก่
1. ส่วนกลาง มี 26 กระทรวงและองค์กรเทียบเท่า และ 13 องค์กรและสถาบันที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล
2. ระดับจังหวัด มี 61 จังหวัดและ 4 นคร (ฮานอย โฮจิมินห์ ไฮฟอง ดานัง)
3. ระดับเมืองและเทศบาล มีประมาณ 600 หน่วย
4. ระดับตำบล ประมาณ 10,600 ตำบล
พื้นที่ 331,033 ตารางกิโลเมตร ความยาวจากเหนือจรดใต้ 1,650 กิโลเมตร มีชายฝั่งทะเลยาวทั้งสิ้น 3,440 กิโลเมตร มีเขตแดนทางทะเล ร่วมกับไทยยาว 97 กิโลเมตร ทิศเหนือ มีพรมแดนติดจีน ยาว 728 กิโลเมตร ทิศตะวันตกมีรมแดนติดลาว ยาว 1,555 กิโลเมตร ทิศตะวันตกเฉียงใต้มี พรมแดนติดกัมพูชายาว 982 กิโลเมตร ทิศตะวันออกมีพรมแดนติดทะเลจีนใต้ และทิศใต้ติดอ่าวไทย
วันชาติ 2 กันยายน (ได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสเมื่อ 2 กันยายน 2488/ค.ศ.1945)
ประชากร 80 ล้านคน (2545)
เข้าเป็นสมาชิกอาเซียน เมื่อการประชุม ASEAN Ministerial Meeting (AMM) ครั้งที่ 28 ที่บันดาร์ เสรี เบกาวัน เดือนกรกฎาคม 2538
ระบบเศรษฐกิจ เศรษฐกิจการตลาดแบบสังคมนิยม (socialist-oriented market) ภายใต้นโยบายการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ (Doi Moi) ที่เริ่มใช้เมื่อธันวาคม 2529
เงินตรา/อัตราแลกเปลี่ยน สกุลด่อง (Dong) ประมาณ 15,400 ด่อง / 1 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 360 ด่อง/1 บาท
รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปี 440 ดอลลาร์สหรัฐ
GDP 35.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
GDP Growth ร้อยละ 7 (2545)
อัตราเงินเฟ้อ ร้อยละ 4 (2545)
อัตราการว่างงาน ร้อยละ 6.4 (2544)
การค้าระหว่างประเทศ มูลค่านำเข้าเท่ากับ 19.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2545) มูลค่าการส่งออกเท่ากับ 16.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2545) ขาดดุลการค้า 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้าออกที่สำคัญ น้ำมันดิบ เสื้อผ้าและสิ่งทอ ผลิตภัณฑ์อาหารทะเล รองเท้าและเครื่องหนัง ข้าว ยางพารา เม็ดมะม่วงหิมพานต์ กาแฟ คอมพิวเตอร์ พริกไทย ถ่านหิน สินค้าหัตถกรรม
ตลาดส่งออกที่สำคัญ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ จีน สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย สิงคโปร์ ไต้หวัน
สินค้านำเข้าที่สำคัญ วัตถุดิบสิ่งทอและเครื่องหนัง เครื่องจักรและอุปกรณ์จักรยานยนต์ รถยนต์ เหล็ก ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์เคมี
นำสินค้าเข้าจาก สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ จีน
การลงทุนจากต่างประเทศ ในปี 2545 มีการลงทุนจากต่างชาติจำนวน 700 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จนถึงปัจจุบันมีจำนวนโครงการลงทุนจากต่างชาติทั้งสิ้น 3,815 โครงการ มูลค่าเงินทุนจดทะเบียน 25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ประเทศผู้ลงทุนที่สำคัญ สิงคโปร์ ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง ฝรั่งเศส
ไทยเป็นผู้ลงทุนลำดับที่ ๑๑
การเมืองการปกครอง
1. การเมืองของเวียดนามมีเสถียรภาพ เนื่องจากมีพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นองค์กรที่มีอำนาจ สูงสุดผูดขาดการชี้นำภายใต้ระบบผู้นำร่วม (collective leadership) ที่คานอำนาจระหว่างกลุ่มผู้นำ ได้แก่
(ก) กลุ่มปฏิรูป ที่สนับสนุนการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ นำโดยนายกรัฐมนตรี ฟาน วัน ขาย
(ข) กลุ่มอนุรักษ์นิยม ซึ่งต่อต้านหรือชะลอการเปิดประเทศ เพราะเกรงภัยของ “วิวัฒนาการที่สันติ” (peaceful evolution) อันเนื่องมาจากการเปิดประเทศ และ
(ค) กลุ่มที่เป็นกลาง ประนีประนอมระหว่างสองกลุ่มแรก นำโดยประธานาธิบดี เจิ่น ดึ๊ก เลือง ส่งผลให้รัฐบาลเวียดนามต้องปรับแนวทางการบริหารประเทศให้ยืดหยุ่นและเปิดกว้างมากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถดำเนินไปได้ในย่างก้าวที่รวดเร็วนัก
2. เวียดนามได้มีการเลือกตั้งสภาแห่งชาติ สมัยที่ 11 เมื่อ 19 พฤษภาคม 2545 มีผู้ได้รับการเลือกตั้งทั้งสิ้น 498 คน เป็นผู้สมัครอิสระเพียง 2 คน ที่เหลือเป็นผู้สมัครที่ได้รับการคัดเลือกจากพรรคคอมมิวนิสต์ สภาแห่งชาติมีวาระดำรงตำแหน่ง 5 ปี มีหน้าที่ตรากฎหมาย แต่งตั้งหรือถอดถอนประธานาธิบดี ประธานรัฐสภาและนายกรัฐมนตรี
3. สภาแห่งชาติชุดใหม่ได้เปิดประชุมเมื่อ 19 กรกฎาคม 2545 โดยสภาได้มีมติสำคัญๆ คือ 1) รับรองผลการเลือกตั้งเมื่อ 19 พฤษภาคม 2) เลือกตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ประจำสภา 3) การเลือกตั้งให้นายเหวียน วัน อาน ดำรงตำแหน่งประธานสภาต่อไป (เมื่อ 23 กรกฎาคม ) 4) การเลือกตั้งให้นายเจิ่น ดึ๊ก เลือง ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไป (เมื่อ 24 กรกฎาคม ) และ 5) เลือกตั้งให้นายฟาน วัน ขาย ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป (เมื่อ 25 กรกฎาคม) และได้มีการปรับคณะรัฐมนตรีเมื่อ 8 สิงหาคม 2545 โดยในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ 26 คน มีรัฐมนตรีที่ได้รับแต่งตั่งใหม่ 15 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถ หลายคนเคยดำรงรัฐมนตรีช่วยในกระทรวงนั้น ๆ มาแล้ว นอกจากนี้ ยังมีการตั้งกระทรวงใหม่ 3 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคม และกระทรวงภายใน ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงทิศทางการปฏิรูปเศรษฐกิจและการบริหารประเทศมากขึ้น ซึ่งเมื่อพิจารณาในประเด็นนี้ ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-เวียดนามที่ดำเนินไปด้วยดีในปัจจุบัน
4. แผนงานการปฏิรูประบบราชการสำหรับปี ค.ศ. 2001-2010 เน้น 4 ประเด็น ได้แก่ การปฏิรูประบบกฎหมาย การปฏิรูปโครงสร้างองค์กร การยกระดับความสามารถของข้าราชการ และการปฏิรูปด้านการคลัง
เศรษฐกิจการค้า
1. เวียดนามได้ปฏิรูประบบเศรษฐกิจภายใต้นโยบายโด๋ เหม่ย (Doi Moi) ที่เริ่มใช้เมื่อธันวาคม 2529 ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักที่จะพัฒนาเป็นประเทศอุตสาหกรรมภายในปี 2563
2. เศรษฐกิจของเวียดนามโดยรวมเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP) ในปี 2545 ร้อยละ 7 มีมูลค่า 35.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาคอุตสาหกรรมเติบโตร้อยละ 14.5 ภาคการเกษตรเติบโตร้อยละ 5.6 มีมูลค่าการส่งออก 16.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้า 19.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าที่ทำรายได้สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ น้ำมันดิบ มูลค่า 3.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เสื้อผ้าและสิ่งทอ มูลค่า 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และอาหารทะเล มูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
3. ในปี 2545 รัฐบาลได้ออกใบอนุญาตลงทุนให้บริษัทต่างชาติ จำนวน 700 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มทุนแก่โครงการลงทุนมูลค่า 918 ล้านดอลลาร์สูงกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันเป็นผลจากการปรับปรุงกระบวนการบริหารจัดการและมาตรการผ่อนปรนด้านการเงินแก่บริษัทต่างชาติ ทำให้เวียดนามมีโครงการลงทุนจากต่างประเทศทั้งสิ้น 3,815 โครงการ มูลค่า 25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดี การลงทุนส่วนใหญ่ในปี 2545 เป็นโครงการลงทุนขนาดกลางและขนาดเล็ก
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
1. ทั่วไป
สถาปนาความสัมพันธ์ 6 สิงหาคม 2519 (ค.ศ. 1976)
กลไกความสัมพันธ์ทวิภาคี
(1) คณะกรรมาธิการร่วม (Joint Commission-JC) จัดตั้งเมื่อ 18 สิงหาคม 1991 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวางแผนและการลงทุนเวียดนามเป็นประธานร่วม การประชุมครั้งล่าสุด คือ ครั้งที่ 7 เมื่อ 13-14 มีนาคม 2546 ที่กรุงเทพฯ
(2) คณะอนุกรรมการการค้าร่วม (Joint Trade Commission) ตั้งเมื่อปี 2538 มีอธิบดีกรมเศรษฐกิจการพาณิชย์และอธิบดี กรมเอเชียและแปซิฟิค กระทรวงการค้าเวียดนามเป็นประธานร่วม การประชุม JTC ครั้งล่าสุด คือ ครั้งที่ 3 เมื่อ 21 ธันวาคม 2542 ที่ กรุงฮานอย
เอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย นายกฤต ไกรจิตติ
กงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์ นายสมปอง สงวนบรรพ์
เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศไทย นายเหวียน กว๊อก แข็ง (Nguyen Quoc Khanh)
กงสุลใหญ่เวียดนามประจำขอนแก่น อยู่ระหว่างการแต่งตั้ง
2. การเมือง
ปี 2544 เป็นปีครบรอบ 25 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-เวียดนาม ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเฉลิมฉลองโอกาสดังกล่าว ที่สำคัญได้แก่ การแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูง การจัดทำกรอบความร่วมมือระหว่างไทย-เวียดนาม ในรอบ 10 ปีข้างหน้า การจัดทำความตกลงความร่วมมือระหว่างจังหวัดของทั้งสองประเทศ การแลกเปลี่ยนคณะนาฏศิลป์ เป็นต้นการแลกเปลี่ยนการเยือนสำคัญ ๆ ในปี 2544 ได้แก่ การเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 25-26 เมษายน 2544 การเยือนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2544 และการเยือนของรองรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระหว่างวันที่ 18-19 กรกฎาคม 2544 นอกจากนี้ บุคคลสำคัญระดับสูงของไทยที่เดินทางเยือนเวียดนาม ในโอกาสการครบรอบ 25 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ได้แก่ การเยือนของพล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา องคมนตรี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2544 การเยือนของนายอานันท์ ปันยารชุน เมื่อสิงหาคม 2544 และการเยือนของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เมื่อ 8-11 เมษายน 2545
3. เศรษฐกิจ
3.1 การค้าระหว่างไทย-เวียดนามในปี 2545 มีมูลค่า 1,186 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าหลัก ที่ไทยส่งไปยังเวียดนามยังคงเป็น เม็ดพลาสติก เหล็ก เคมีภัณฑ์ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกล ขณะที่ไทยนำเข้าเครื่องจักรไฟฟ้า น้ำมันดิบ ถ่านหิน เมล็ดพืชน้ำมัน ผลิตภัณฑ์สัตว์ทะเลจากเวียดนาม
3.2 การลงทุนของไทยในเวียดนามจนถึงปี 2545 รวมทั้งสิ้น 110 โครงการ มูลค่า 1.16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ปัจจุบันเป็นผู้ลงทุนอันดับที่ 9 จาก 56 ประเทศ และเป็นที่สองในอาเซียนรองจากสิงคโปร์ ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนด้านการแปรรูปสินค้าเกษตร โรงแรม อสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมประกอบชิ้นส่วนรถยนต์และจักรยานยนต์ และสินค้าอุปโภคบริโภค การลงทุนของไทยส่วนใหญ่อยู่ที่นครโฮจิมินห์และจังหวัดใกล้เคียง นักธุรกิจไทยยังสนใจที่จะเข้ามาลงทุนและขยายความร่วมมือกับเวียดนาม เพราะเวียดนามมีปัจจัยการผลิตอันเป็นที่ต้องการของฝ่ายไทย รวมทั้งโอกาสของการส่งออกไปยังตลาดในประเทศที่สาม โดยเฉพาะสหรัฐฯ
3.3 ความร่วมมือระหว่างไทยกับเวียดนามยังสามารถพัฒนาได้อีกมาก เพราะทั้งสองประเทศมีปัจจัยทางเศรษฐกิจที่สามารถเกื้อหนุนซึ่งกันและกันได้ ทั้งสองฝ่ายสามารถร่วมมือเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน ตัวอย่างที่ดีของความร่วมมือในลักษณะนี้คือ ความร่วมมือในการส่งออกข้าว ซึ่งสามารถขยายไปยังสินค้าอื่น ๆ ที่มีความคล้ายคลึงกัน เช่น ยางพารา ผลไม้ อาหารทะเล เป็นต้น
4. ความร่วมมือ
4.1 ไทยเริ่มให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการแก่เวียดนามตั้งแต่ปี 2535 ในสาขา สำคัญ ๆ คือ การเกษตร การศึกษา สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และการบริหารจัดการ ในปี 2544 ไทยให้ความร่วมมือแก่เวียดนามทั้งในกรอบความร่วมมือปกติ และในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตรวมเป็นเงิน 17.7 ล้านบาท และมีแผนงานที่จะให้ความช่วยเหลือเวียดนาม ในวงเงินประมาณ 17 ล้านบาทในปี 2545
4.2 ความร่วมมือด้านการสอนภาษาไทยในเวียดนามประสบความสำเร็จด้วยดี ปัจจุบันไทยมีความร่วมมือด้านการสอนภาษาไทยกับมหาวิทยาลัย ๕ แห่งในเวียดนาม ได้แก่ มหาวิทยาลัยภาษาต่างประเทศกรุงฮานอย มหาวิทยาลัยสังคมศาสตร์และมานุษยศาสตร์กรุงฮานอย มหาวิทยาลัยภาษาและสารสนเทศศาสตร์นครโฮจิมินห์ มหาวิทยาลัยสังคมศาสตร์และมานุษยศาสตร์นครโฮจิมินห์ และมหาวิทยาลัยแห่งชาติดานัง
5. สังคม
ความสัมพันธ์ระหว่างเอกชน และประชาชนดำเนินไปด้วยดี มีการเดินทางไปมาหาสู่กันเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายมีความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางธรรมดาระหว่างกันเมื่อปี 2543 นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้จัดตั้งองค์กร/สมาคม เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ อาทิ สมาคมมิตรภาพไทย-เวียดนาม และสมาคมนักธุรกิจไทยในเวียดนามด้วย
11 กันยายน 2546
เรียบเรียงโดย เรียบเรียงโดย กองเอเชียตะวันออก 2 กรมเอเชียตะวันออก โทร. 02-643-5200-1 E-mail: div1103@mfa.go.th
ข้อมูลนี้ คัดลอกมาจากเวบของกระทรวงการต่างประเทศ หากท่านต้องการข้อมูลที่อัพเดท สามารถเข้าชมได้ที่เวบไซต์ของ กระทรวงการต่างประเทศครับ
ชื่อทางการ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม(The Socialist Republic of Vietnam)
รูปแบบการปกครอง สังคมนิยม โดยรัฐธรรมนูญฉบับปี ค.ศ. 1992 กำหนดให้เวียดนามเป็นประเทศ สาธารณรัฐสังคมนิยม
พรรคการเมือง ระบบพรรคเดียว คือพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม
รัฐบาล แต่งตั้งโดยสภาแห่งชาติ (National Assembly) มีวาระดำรงตำแหน่ง 5 ปี (รายชื่อคณะรัฐมนตรีดูในเอกสารแนบ)
ผู้นำสำคัญทางการเมือง
เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ นายนง ดึ๊ก หมั่น (Nong Duc Manh)
ประธานาธิบดี/ประมุขของรัฐ นายเจิ่น ดึ๊ก เลือง (Tran Duc Luong)
นายกรัฐมนตรี/หัวหน้ารัฐบาล นายฟาน วัน ขาย (Phan Van Khai)
ประธานสภาแห่งชาติ นายเหวียน วัน อาน (Nguyen Van An)
เมืองหลวง กรุงฮานอย (Hanoi)
ระบบการบริหารราชการ แบ่งเป็น 4 ระดับ ได้แก่
1. ส่วนกลาง มี 26 กระทรวงและองค์กรเทียบเท่า และ 13 องค์กรและสถาบันที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล
2. ระดับจังหวัด มี 61 จังหวัดและ 4 นคร (ฮานอย โฮจิมินห์ ไฮฟอง ดานัง)
3. ระดับเมืองและเทศบาล มีประมาณ 600 หน่วย
4. ระดับตำบล ประมาณ 10,600 ตำบล
พื้นที่ 331,033 ตารางกิโลเมตร ความยาวจากเหนือจรดใต้ 1,650 กิโลเมตร มีชายฝั่งทะเลยาวทั้งสิ้น 3,440 กิโลเมตร มีเขตแดนทางทะเล ร่วมกับไทยยาว 97 กิโลเมตร ทิศเหนือ มีพรมแดนติดจีน ยาว 728 กิโลเมตร ทิศตะวันตกมีรมแดนติดลาว ยาว 1,555 กิโลเมตร ทิศตะวันตกเฉียงใต้มี พรมแดนติดกัมพูชายาว 982 กิโลเมตร ทิศตะวันออกมีพรมแดนติดทะเลจีนใต้ และทิศใต้ติดอ่าวไทย
วันชาติ 2 กันยายน (ได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสเมื่อ 2 กันยายน 2488/ค.ศ.1945)
ประชากร 80 ล้านคน (2545)
เข้าเป็นสมาชิกอาเซียน เมื่อการประชุม ASEAN Ministerial Meeting (AMM) ครั้งที่ 28 ที่บันดาร์ เสรี เบกาวัน เดือนกรกฎาคม 2538
ระบบเศรษฐกิจ เศรษฐกิจการตลาดแบบสังคมนิยม (socialist-oriented market) ภายใต้นโยบายการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ (Doi Moi) ที่เริ่มใช้เมื่อธันวาคม 2529
เงินตรา/อัตราแลกเปลี่ยน สกุลด่อง (Dong) ประมาณ 15,400 ด่อง / 1 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 360 ด่อง/1 บาท
รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปี 440 ดอลลาร์สหรัฐ
GDP 35.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
GDP Growth ร้อยละ 7 (2545)
อัตราเงินเฟ้อ ร้อยละ 4 (2545)
อัตราการว่างงาน ร้อยละ 6.4 (2544)
การค้าระหว่างประเทศ มูลค่านำเข้าเท่ากับ 19.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2545) มูลค่าการส่งออกเท่ากับ 16.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2545) ขาดดุลการค้า 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้าออกที่สำคัญ น้ำมันดิบ เสื้อผ้าและสิ่งทอ ผลิตภัณฑ์อาหารทะเล รองเท้าและเครื่องหนัง ข้าว ยางพารา เม็ดมะม่วงหิมพานต์ กาแฟ คอมพิวเตอร์ พริกไทย ถ่านหิน สินค้าหัตถกรรม
ตลาดส่งออกที่สำคัญ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ จีน สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย สิงคโปร์ ไต้หวัน
สินค้านำเข้าที่สำคัญ วัตถุดิบสิ่งทอและเครื่องหนัง เครื่องจักรและอุปกรณ์จักรยานยนต์ รถยนต์ เหล็ก ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์เคมี
นำสินค้าเข้าจาก สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ จีน
การลงทุนจากต่างประเทศ ในปี 2545 มีการลงทุนจากต่างชาติจำนวน 700 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จนถึงปัจจุบันมีจำนวนโครงการลงทุนจากต่างชาติทั้งสิ้น 3,815 โครงการ มูลค่าเงินทุนจดทะเบียน 25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ประเทศผู้ลงทุนที่สำคัญ สิงคโปร์ ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง ฝรั่งเศส
ไทยเป็นผู้ลงทุนลำดับที่ ๑๑
การเมืองการปกครอง
1. การเมืองของเวียดนามมีเสถียรภาพ เนื่องจากมีพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นองค์กรที่มีอำนาจ สูงสุดผูดขาดการชี้นำภายใต้ระบบผู้นำร่วม (collective leadership) ที่คานอำนาจระหว่างกลุ่มผู้นำ ได้แก่
(ก) กลุ่มปฏิรูป ที่สนับสนุนการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ นำโดยนายกรัฐมนตรี ฟาน วัน ขาย
(ข) กลุ่มอนุรักษ์นิยม ซึ่งต่อต้านหรือชะลอการเปิดประเทศ เพราะเกรงภัยของ “วิวัฒนาการที่สันติ” (peaceful evolution) อันเนื่องมาจากการเปิดประเทศ และ
(ค) กลุ่มที่เป็นกลาง ประนีประนอมระหว่างสองกลุ่มแรก นำโดยประธานาธิบดี เจิ่น ดึ๊ก เลือง ส่งผลให้รัฐบาลเวียดนามต้องปรับแนวทางการบริหารประเทศให้ยืดหยุ่นและเปิดกว้างมากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถดำเนินไปได้ในย่างก้าวที่รวดเร็วนัก
2. เวียดนามได้มีการเลือกตั้งสภาแห่งชาติ สมัยที่ 11 เมื่อ 19 พฤษภาคม 2545 มีผู้ได้รับการเลือกตั้งทั้งสิ้น 498 คน เป็นผู้สมัครอิสระเพียง 2 คน ที่เหลือเป็นผู้สมัครที่ได้รับการคัดเลือกจากพรรคคอมมิวนิสต์ สภาแห่งชาติมีวาระดำรงตำแหน่ง 5 ปี มีหน้าที่ตรากฎหมาย แต่งตั้งหรือถอดถอนประธานาธิบดี ประธานรัฐสภาและนายกรัฐมนตรี
3. สภาแห่งชาติชุดใหม่ได้เปิดประชุมเมื่อ 19 กรกฎาคม 2545 โดยสภาได้มีมติสำคัญๆ คือ 1) รับรองผลการเลือกตั้งเมื่อ 19 พฤษภาคม 2) เลือกตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ประจำสภา 3) การเลือกตั้งให้นายเหวียน วัน อาน ดำรงตำแหน่งประธานสภาต่อไป (เมื่อ 23 กรกฎาคม ) 4) การเลือกตั้งให้นายเจิ่น ดึ๊ก เลือง ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไป (เมื่อ 24 กรกฎาคม ) และ 5) เลือกตั้งให้นายฟาน วัน ขาย ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป (เมื่อ 25 กรกฎาคม) และได้มีการปรับคณะรัฐมนตรีเมื่อ 8 สิงหาคม 2545 โดยในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ 26 คน มีรัฐมนตรีที่ได้รับแต่งตั่งใหม่ 15 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถ หลายคนเคยดำรงรัฐมนตรีช่วยในกระทรวงนั้น ๆ มาแล้ว นอกจากนี้ ยังมีการตั้งกระทรวงใหม่ 3 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคม และกระทรวงภายใน ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงทิศทางการปฏิรูปเศรษฐกิจและการบริหารประเทศมากขึ้น ซึ่งเมื่อพิจารณาในประเด็นนี้ ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-เวียดนามที่ดำเนินไปด้วยดีในปัจจุบัน
4. แผนงานการปฏิรูประบบราชการสำหรับปี ค.ศ. 2001-2010 เน้น 4 ประเด็น ได้แก่ การปฏิรูประบบกฎหมาย การปฏิรูปโครงสร้างองค์กร การยกระดับความสามารถของข้าราชการ และการปฏิรูปด้านการคลัง
เศรษฐกิจการค้า
1. เวียดนามได้ปฏิรูประบบเศรษฐกิจภายใต้นโยบายโด๋ เหม่ย (Doi Moi) ที่เริ่มใช้เมื่อธันวาคม 2529 ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักที่จะพัฒนาเป็นประเทศอุตสาหกรรมภายในปี 2563
2. เศรษฐกิจของเวียดนามโดยรวมเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP) ในปี 2545 ร้อยละ 7 มีมูลค่า 35.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาคอุตสาหกรรมเติบโตร้อยละ 14.5 ภาคการเกษตรเติบโตร้อยละ 5.6 มีมูลค่าการส่งออก 16.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้า 19.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าที่ทำรายได้สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ น้ำมันดิบ มูลค่า 3.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เสื้อผ้าและสิ่งทอ มูลค่า 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และอาหารทะเล มูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
3. ในปี 2545 รัฐบาลได้ออกใบอนุญาตลงทุนให้บริษัทต่างชาติ จำนวน 700 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มทุนแก่โครงการลงทุนมูลค่า 918 ล้านดอลลาร์สูงกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันเป็นผลจากการปรับปรุงกระบวนการบริหารจัดการและมาตรการผ่อนปรนด้านการเงินแก่บริษัทต่างชาติ ทำให้เวียดนามมีโครงการลงทุนจากต่างประเทศทั้งสิ้น 3,815 โครงการ มูลค่า 25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดี การลงทุนส่วนใหญ่ในปี 2545 เป็นโครงการลงทุนขนาดกลางและขนาดเล็ก
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
1. ทั่วไป
สถาปนาความสัมพันธ์ 6 สิงหาคม 2519 (ค.ศ. 1976)
กลไกความสัมพันธ์ทวิภาคี
(1) คณะกรรมาธิการร่วม (Joint Commission-JC) จัดตั้งเมื่อ 18 สิงหาคม 1991 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวางแผนและการลงทุนเวียดนามเป็นประธานร่วม การประชุมครั้งล่าสุด คือ ครั้งที่ 7 เมื่อ 13-14 มีนาคม 2546 ที่กรุงเทพฯ
(2) คณะอนุกรรมการการค้าร่วม (Joint Trade Commission) ตั้งเมื่อปี 2538 มีอธิบดีกรมเศรษฐกิจการพาณิชย์และอธิบดี กรมเอเชียและแปซิฟิค กระทรวงการค้าเวียดนามเป็นประธานร่วม การประชุม JTC ครั้งล่าสุด คือ ครั้งที่ 3 เมื่อ 21 ธันวาคม 2542 ที่ กรุงฮานอย
เอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย นายกฤต ไกรจิตติ
กงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์ นายสมปอง สงวนบรรพ์
เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศไทย นายเหวียน กว๊อก แข็ง (Nguyen Quoc Khanh)
กงสุลใหญ่เวียดนามประจำขอนแก่น อยู่ระหว่างการแต่งตั้ง
2. การเมือง
ปี 2544 เป็นปีครบรอบ 25 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-เวียดนาม ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเฉลิมฉลองโอกาสดังกล่าว ที่สำคัญได้แก่ การแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูง การจัดทำกรอบความร่วมมือระหว่างไทย-เวียดนาม ในรอบ 10 ปีข้างหน้า การจัดทำความตกลงความร่วมมือระหว่างจังหวัดของทั้งสองประเทศ การแลกเปลี่ยนคณะนาฏศิลป์ เป็นต้นการแลกเปลี่ยนการเยือนสำคัญ ๆ ในปี 2544 ได้แก่ การเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 25-26 เมษายน 2544 การเยือนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2544 และการเยือนของรองรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระหว่างวันที่ 18-19 กรกฎาคม 2544 นอกจากนี้ บุคคลสำคัญระดับสูงของไทยที่เดินทางเยือนเวียดนาม ในโอกาสการครบรอบ 25 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ได้แก่ การเยือนของพล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา องคมนตรี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2544 การเยือนของนายอานันท์ ปันยารชุน เมื่อสิงหาคม 2544 และการเยือนของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เมื่อ 8-11 เมษายน 2545
3. เศรษฐกิจ
3.1 การค้าระหว่างไทย-เวียดนามในปี 2545 มีมูลค่า 1,186 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าหลัก ที่ไทยส่งไปยังเวียดนามยังคงเป็น เม็ดพลาสติก เหล็ก เคมีภัณฑ์ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกล ขณะที่ไทยนำเข้าเครื่องจักรไฟฟ้า น้ำมันดิบ ถ่านหิน เมล็ดพืชน้ำมัน ผลิตภัณฑ์สัตว์ทะเลจากเวียดนาม
3.2 การลงทุนของไทยในเวียดนามจนถึงปี 2545 รวมทั้งสิ้น 110 โครงการ มูลค่า 1.16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ปัจจุบันเป็นผู้ลงทุนอันดับที่ 9 จาก 56 ประเทศ และเป็นที่สองในอาเซียนรองจากสิงคโปร์ ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนด้านการแปรรูปสินค้าเกษตร โรงแรม อสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมประกอบชิ้นส่วนรถยนต์และจักรยานยนต์ และสินค้าอุปโภคบริโภค การลงทุนของไทยส่วนใหญ่อยู่ที่นครโฮจิมินห์และจังหวัดใกล้เคียง นักธุรกิจไทยยังสนใจที่จะเข้ามาลงทุนและขยายความร่วมมือกับเวียดนาม เพราะเวียดนามมีปัจจัยการผลิตอันเป็นที่ต้องการของฝ่ายไทย รวมทั้งโอกาสของการส่งออกไปยังตลาดในประเทศที่สาม โดยเฉพาะสหรัฐฯ
3.3 ความร่วมมือระหว่างไทยกับเวียดนามยังสามารถพัฒนาได้อีกมาก เพราะทั้งสองประเทศมีปัจจัยทางเศรษฐกิจที่สามารถเกื้อหนุนซึ่งกันและกันได้ ทั้งสองฝ่ายสามารถร่วมมือเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน ตัวอย่างที่ดีของความร่วมมือในลักษณะนี้คือ ความร่วมมือในการส่งออกข้าว ซึ่งสามารถขยายไปยังสินค้าอื่น ๆ ที่มีความคล้ายคลึงกัน เช่น ยางพารา ผลไม้ อาหารทะเล เป็นต้น
4. ความร่วมมือ
4.1 ไทยเริ่มให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการแก่เวียดนามตั้งแต่ปี 2535 ในสาขา สำคัญ ๆ คือ การเกษตร การศึกษา สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และการบริหารจัดการ ในปี 2544 ไทยให้ความร่วมมือแก่เวียดนามทั้งในกรอบความร่วมมือปกติ และในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตรวมเป็นเงิน 17.7 ล้านบาท และมีแผนงานที่จะให้ความช่วยเหลือเวียดนาม ในวงเงินประมาณ 17 ล้านบาทในปี 2545
4.2 ความร่วมมือด้านการสอนภาษาไทยในเวียดนามประสบความสำเร็จด้วยดี ปัจจุบันไทยมีความร่วมมือด้านการสอนภาษาไทยกับมหาวิทยาลัย ๕ แห่งในเวียดนาม ได้แก่ มหาวิทยาลัยภาษาต่างประเทศกรุงฮานอย มหาวิทยาลัยสังคมศาสตร์และมานุษยศาสตร์กรุงฮานอย มหาวิทยาลัยภาษาและสารสนเทศศาสตร์นครโฮจิมินห์ มหาวิทยาลัยสังคมศาสตร์และมานุษยศาสตร์นครโฮจิมินห์ และมหาวิทยาลัยแห่งชาติดานัง
5. สังคม
ความสัมพันธ์ระหว่างเอกชน และประชาชนดำเนินไปด้วยดี มีการเดินทางไปมาหาสู่กันเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายมีความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางธรรมดาระหว่างกันเมื่อปี 2543 นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้จัดตั้งองค์กร/สมาคม เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ อาทิ สมาคมมิตรภาพไทย-เวียดนาม และสมาคมนักธุรกิจไทยในเวียดนามด้วย
11 กันยายน 2546
เรียบเรียงโดย เรียบเรียงโดย กองเอเชียตะวันออก 2 กรมเอเชียตะวันออก โทร. 02-643-5200-1 E-mail: div1103@mfa.go.th
ข้อมูลนี้ คัดลอกมาจากเวบของกระทรวงการต่างประเทศ หากท่านต้องการข้อมูลที่อัพเดท สามารถเข้าชมได้ที่เวบไซต์ของ กระทรวงการต่างประเทศครับ