????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

บอร์ดสำหรับ นักปั่นทัวร์ริ่ง นักปั่นระยะทางไกล พูดคุยเรื่องอุปกรณ์ เทคนิตการปั่น ที่พัก หรือการกินอยู่
กฏการใช้บอร์ด
บอร์ดสำหรับ นักปั่นทัวร์ริ่ง นักปั่นระยะทางไกล พูดคุยเรื่องอุปกรณ์ เทคนิตการปั่น ที่พัก หรือการกินอยู่
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4368
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea:มงคลสูตรคำฉันท์

มงคลสูตรคำฉันท์ เป็นวรรณคดี คำสอน ผลงานพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงนำหลักธรรม ที่เป็นพระคาถาบาลีจากพระไตรปิฏกตั้งแล้วแปลถอดความเป็นคำประพันธ์ที่ ไพเราะ มีความงดงามทั้งด้านเสียงและความหมาย สามารถจดจำได้ง่าย มงคลสูตรคำฉันท์นี้จะเกิดแต่ตัวเราเองได้ก็ต้องเป็นผลมาจากการประพฤติ ปฏิบัติดีของตนเองเท่านั้น หาได้มาจากปัจจัยอื่นเลย

ความเป็นมา

เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงนำมงคลสูตรมาทรงพระราชนิพนธ์เป็นบทร้อยกรองประเภทคำฉันท์ โดยใช้คำประพันธ์ ๒ ชนิดคือ กาพย์ฉบัง ๑๖ และอินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ ทรงนำคาถาภาษาบาลีจากพระไตรปิฏกตั้งแล้วแปลถอดความเป็นร้อยกรองภาษาไทย ได้ถูกต้องตรงตามบังคับในฉันทลักษณ์โดยไม่เสียเนื้อความจากพระคาถาบาลี การจัดวางลำดับของมงคลแต่ละข้อก็เป็นไปตามที่ปรากฏอยู่ในพระคาถาเดิม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพทางด้านภาษาได้อย่างดียิ่ง

เรื่องย่อ

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงมงคลอันสูงสุด ๓๘ ประการ ไว้ในมงคลสูตร ซึ่งเป็นพระสุตรสำคัญบทหนึ่งในพระพุทธศาสนา มงคลสูตรปรากฏในพระสุตตันตปิฏก ขุททกนิกาย หมวดขุททกปาฐะ พระอานนทเถระได้กล่าวถึงที่มาของมงคลสูตรว่า ท่านได้ฟังมาเฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ณ เชตวันวิหาร กรุงสาวัตถี มงคลสูตรนี้เกิดขึ้นด้วยอำนาจคำถาม คือ พระพุทธเจ้าทรงเล่าให้พระอานนท์ฟังว่า มีเทวดาเข้ามาทูลถามพระองค์เรื่องมงคล เพราะเกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้นทั้งในหมู่เทวดาและมนุษย์ ที่มีลัทธิเรื่องมงคลแตกต่างกันเป็นเวลานานถึง ๑๒ ปี ท้าวสักกเทวราชจึงทรงมอบหมายให้ตนมาทูลถาม พระพุทธองค์จึงตรัสตอบเรื่องมงคล ๓๘ ประการ ต่อจากราตรีนั้นพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงเรื่องมงคลนี้แก่พระอานนท์อีกครั้ง หนึ่ง


จุดมุ่งหมายในการแต่ง : เพื่อให้ตระหนักว่าสิริมงคลจะเกิดแก่ผู้ใดก็เพียงผลมาจากการปฏิบัติของตนทั้งสิ้นไม่มีผู้ใดหรือสิ่งใดจะทำให้เกิดสิริมงคลแก่เราได้ นอกจากตัวเราเอง

ข้อความทั้งหมดนำมาจาก บทเรียน วิชาภาษาไทยพื้นฐาน 2 [(WEBBIOG)ด้วยWORDPRESS] เพื่อให้ fc.ได้ทบทวนและย้อนว่าเราได้ละเลยและเพิกเฉยกับคำสอนที่ดีไปอย่างน่าเสียดาย ติดตามไปให้ตลอดทั้ง ๓๘ คำสอนนะครับ เพื่อประโยชน์และความสุขอันจะพึงบังเกิดขึ้นกับตนเองและผู้อื่น ขอบคุณเจ้าของบทความและภาพการ์ตูนที่นำมาลงไว้ ณ ที่นี้ด้วย กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
:) :D
ไฟล์แนบ
cats๑๕๓.jpg
cats๑๕๓.jpg (86.54 KiB) เข้าดูแล้ว 1560 ครั้ง
102791.jpg
102791.jpg (57.39 KiB) เข้าดูแล้ว 1560 ครั้ง
102792.jpg
102792.jpg (57.46 KiB) เข้าดูแล้ว 1560 ครั้ง
102793.jpg
102793.jpg (59.24 KiB) เข้าดูแล้ว 1560 ครั้ง
102794.jpg
102794.jpg (72.15 KiB) เข้าดูแล้ว 1560 ครั้ง
หวังใจว่าทุกท่านทุกคนจะสนใจเรื่องราว&quot;มงคลสูตร&quot; ที่นำเสนอในครั้งนี้และอย่าลืมติดตามเรื่องราวให้จบนะครับ จุดใหญ่ใจความการศึกษาคือ ต้องคิดและทบทวนด้วย ไม่ใช่อ่านผ่าน ๆ นะครับ ตัวผมเองนั้นกล้าพูดว่า สามารถมีชีวิตรอดมาได้ก็ด้วยการพิจารณาบทมงคลทั้งหลาย แล้วนำไปประพฤติปฏิบัติ<br /><br />เราไปกันต่อนะครับ หลังจากที่เราสองคนได้ไปทานบะหมี่ที่ร้านโก &quot;ก๊วยเต๋ยวโบราณ&quot; ที่แสนอร่อยของโกเรียบร้อย เราก็อำลาโกไม่ลืมที่จะขอบคุณน้ำใจไมตรีที่ได้เล่าเรื่องราวความเป็นมาของชีวิตให้ฟัง โกอยู่ตัวคนเดียวบะหมี่ก็ทำมือ ด้วยตัวคนเดียว ตอนนี้ก็อายุมากด้วยจะอยู่ไปอีกนานเท่าไหร่ไม่รู้ ถ้าหมดโกแล้วก๊วยเตี๋ยวโบราณ ก็จบไปพร้อมโก <br /><br />ของดีที่สรรพยานี้ หายไปหลายอย่างแล้วเพราะไม่มีใครหรือลูกหลานสืบต่อ เสียดายนะครับของโบราณอร่อย ๆ ทั้งนั้น เราอำลาโกเพื่อเดินทางเข้าชัยนาท ระหว่างทางก็แวะเที่ยว กิน ชม ให้กำไรแก่การเดินทางครับ (สนุก slow life กับการเดินทาง ชีวิตที่โหยหาหวนคืนกลับมาเต็ม ๆ )
หวังใจว่าทุกท่านทุกคนจะสนใจเรื่องราว"มงคลสูตร" ที่นำเสนอในครั้งนี้และอย่าลืมติดตามเรื่องราวให้จบนะครับ จุดใหญ่ใจความการศึกษาคือ ต้องคิดและทบทวนด้วย ไม่ใช่อ่านผ่าน ๆ นะครับ ตัวผมเองนั้นกล้าพูดว่า สามารถมีชีวิตรอดมาได้ก็ด้วยการพิจารณาบทมงคลทั้งหลาย แล้วนำไปประพฤติปฏิบัติ

เราไปกันต่อนะครับ หลังจากที่เราสองคนได้ไปทานบะหมี่ที่ร้านโก "ก๊วยเต๋ยวโบราณ" ที่แสนอร่อยของโกเรียบร้อย เราก็อำลาโกไม่ลืมที่จะขอบคุณน้ำใจไมตรีที่ได้เล่าเรื่องราวความเป็นมาของชีวิตให้ฟัง โกอยู่ตัวคนเดียวบะหมี่ก็ทำมือ ด้วยตัวคนเดียว ตอนนี้ก็อายุมากด้วยจะอยู่ไปอีกนานเท่าไหร่ไม่รู้ ถ้าหมดโกแล้วก๊วยเตี๋ยวโบราณ ก็จบไปพร้อมโก

ของดีที่สรรพยานี้ หายไปหลายอย่างแล้วเพราะไม่มีใครหรือลูกหลานสืบต่อ เสียดายนะครับของโบราณอร่อย ๆ ทั้งนั้น เราอำลาโกเพื่อเดินทางเข้าชัยนาท ระหว่างทางก็แวะเที่ยว กิน ชม ให้กำไรแก่การเดินทางครับ (สนุก slow life กับการเดินทาง ชีวิตที่โหยหาหวนคืนกลับมาเต็ม ๆ )
cats๑๘๔.jpg (131.45 KiB) เข้าดูแล้ว 1560 ครั้ง
668.JPG
668.JPG (144.94 KiB) เข้าดูแล้ว 1560 ครั้ง
ปั่นกันมาชิว ๆ สดุดใจตรงที่เจอป้ายบอกว่า บ้านสวนลำใย เราคิดนะสงสัยลำใยคงเยอะนะ เข้าไปดูกันเถอะ สุดท้ายผิดหวังเราตามหาต้นลำใยไม่เจอสักต้นครับ อยากเห็นว่าจะสวยงามเหมือนที่บ้าน ?
ปั่นกันมาชิว ๆ สดุดใจตรงที่เจอป้ายบอกว่า บ้านสวนลำใย เราคิดนะสงสัยลำใยคงเยอะนะ เข้าไปดูกันเถอะ สุดท้ายผิดหวังเราตามหาต้นลำใยไม่เจอสักต้นครับ อยากเห็นว่าจะสวยงามเหมือนที่บ้าน ?
669.JPG (93.83 KiB) เข้าดูแล้ว 1560 ครั้ง
670.JPG
670.JPG (113.46 KiB) เข้าดูแล้ว 1560 ครั้ง
674.JPG
674.JPG (95.37 KiB) เข้าดูแล้ว 1560 ครั้ง
676.JPG
676.JPG (118.55 KiB) เข้าดูแล้ว 1560 ครั้ง
เมื่อไม่เจอลำใย แต่มาเจอเชลล์ชวนชิม ก็ไม่เป็นไรลองชิมซะเลย เวลาก็จวนจะเที่ยงแล้วแต่ท้องยังไม่ร้องว่า หิว แต่เพราะคำเชิญชวนทำให้ใจมันอยากลอง ไม่ว่ากัน
เมื่อไม่เจอลำใย แต่มาเจอเชลล์ชวนชิม ก็ไม่เป็นไรลองชิมซะเลย เวลาก็จวนจะเที่ยงแล้วแต่ท้องยังไม่ร้องว่า หิว แต่เพราะคำเชิญชวนทำให้ใจมันอยากลอง ไม่ว่ากัน
679.JPG (99.13 KiB) เข้าดูแล้ว 1560 ครั้ง
cats๑๘๕.jpg
cats๑๘๕.jpg (119.83 KiB) เข้าดูแล้ว 1560 ครั้ง
ไม่ผิดหวังครับอร่อยจริง เจ้าของใจดีด้วยเห็นเราปั่นมาไกลรู้เป็นคนเชียงใหม่ ก็เข้ามาคุยด้วยภาษากำเมือง แกเล่าเรื่องราวให้ฟัง ชีวิตน่าสน เคยทำงานตะลอนไปทั่ว แต่สุดท้ายต้องกลับมาช่วยทางบ้านเพื่อดำรงกิจการต่อไป ชื่นชมครับถ้าไม่กลับก็จะเหมือนกับตลาดเก่าย่านสรรพยาที่กำลังสูญหายไปหลาย ๆ อย่าง <br /><br />ก่อนออกจากร้านเด็กหนุ่มเจ้าของร้านที่มาต่อยอดอาชีพของพ่อ-แม่ แนะนำให้เข้าไปเที่ยวเขื่อนเจ้าพระยา(ไม่ไกลเท่าไหร่)ไปชมน้ำในเขื่อนและความภูมิใจของคนชัยนาท เพราะเป็นเขื่อนแรกของประเทศไทย (โอว..แม่เจ้าผมลืมสนิทใจเลย จริง???)
ไม่ผิดหวังครับอร่อยจริง เจ้าของใจดีด้วยเห็นเราปั่นมาไกลรู้เป็นคนเชียงใหม่ ก็เข้ามาคุยด้วยภาษากำเมือง แกเล่าเรื่องราวให้ฟัง ชีวิตน่าสน เคยทำงานตะลอนไปทั่ว แต่สุดท้ายต้องกลับมาช่วยทางบ้านเพื่อดำรงกิจการต่อไป ชื่นชมครับถ้าไม่กลับก็จะเหมือนกับตลาดเก่าย่านสรรพยาที่กำลังสูญหายไปหลาย ๆ อย่าง

ก่อนออกจากร้านเด็กหนุ่มเจ้าของร้านที่มาต่อยอดอาชีพของพ่อ-แม่ แนะนำให้เข้าไปเที่ยวเขื่อนเจ้าพระยา(ไม่ไกลเท่าไหร่)ไปชมน้ำในเขื่อนและความภูมิใจของคนชัยนาท เพราะเป็นเขื่อนแรกของประเทศไทย (โอว..แม่เจ้าผมลืมสนิทใจเลย จริง???)
cats๑๘๖.๑.jpg (138.66 KiB) เข้าดูแล้ว 1560 ครั้ง
แก้ไขล่าสุดโดย Deang-sarapee เมื่อ 28 ก.ย. 2023, 07:19, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4368
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: ภาพเก่า จังหวัดชัยนาทในอดีต เขื่อนเจ้าพระยา#ฟิล์มเก่าเล่าอดีต :) :D


:o :o ด่วน แม่น้ำเลยล้นท่วมเมืองแล้ว - เปิดคำเตือนเขื่อนเจ้าพระยาใกล้วิกฤต | TNN ข่าวเที่ยง | 20-9-66 :( :(
ไฟล์แนบ
102795.jpg
102795.jpg (73.09 KiB) เข้าดูแล้ว 1535 ครั้ง
102796.jpg
102796.jpg (64.32 KiB) เข้าดูแล้ว 1535 ครั้ง
102797.jpg
102797.jpg (77.65 KiB) เข้าดูแล้ว 1535 ครั้ง
102798.jpg
102798.jpg (61.45 KiB) เข้าดูแล้ว 1535 ครั้ง
cats๑๘๖.๑.jpg
cats๑๘๖.๑.jpg (118.11 KiB) เข้าดูแล้ว 1535 ครั้ง
cats๑๘๖.jpg
cats๑๘๖.jpg (94.75 KiB) เข้าดูแล้ว 1535 ครั้ง
cats๑๘๗.jpg
cats๑๘๗.jpg (121.61 KiB) เข้าดูแล้ว 1535 ครั้ง
cats๑๘๘.jpg
cats๑๘๙.jpg
cats๑๘๙.jpg (114 KiB) เข้าดูแล้ว 1535 ครั้ง
cats๑๙๐.jpg
cats๑๙๐.jpg (120.48 KiB) เข้าดูแล้ว 1535 ครั้ง
เขื่อนเจ้าพระยา  จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี<br /><br />เขื่อนเจ้าพระยา เป็นเขื่อนทดน้ำขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นเป็นแห่งแรกของประเทศไทย ตั้งอยู่บนแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณคุ้งบางกระเบียน หมู่ที่ 4 ตำบลบางหลวง อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดเขื่อนเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500<br /><br />เขื่อนเจ้าพระยามีลักษณะเป็นเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็ก ยาว 237.50 เมตร สูง 16.5 เมตร ติดตั้งบานประตูเหล็กรูปโค้งสูง 7.50 เมตร มีช่องระบายให้น้ำไหลผ่านขนาดกว้าง 12.50 เมตร จำนวน 16 ช่อง ประตูน้ำสำหรับเรือสัญจรติดกับเขื่อนด้านขวากว้าง 14 เมตร ยาว 170.50 เมตร เรือขนาดใหญ่สามารถผ่านเข้าออกได้ บนสันเขื่อนมีสะพานกว้าง 7 เมตร รับรถน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 20 ตัน และมีทางระบายน้ำล้นฉุกเฉินสร้างบนคันกั้นน้ำซ้ายมือเหนือเขื่อนเจ้าพระยา กว้าง 10 เมตร ยาว 1,000 เมตร เพื่อช่วยระบายน้ำเมื่อเกิดอุทกภัย อัตราการระบายน้ำผ่านเขื่อนสูงสุดประมาณ 3,300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่การปล่อยน้ำจะควบคุมให้อยู่ในระดับไม่เกิน 2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อมิให้กระทบต่อพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะบริเวณกรุงเทพมหานคร<br /><br />ทัศนียภาพรอบเขื่อนสวยงาม ช่วงเดือนมกราคมในบริเวณแม่น้ำเหนือเขื่อนจะมีฝูงนกเป็ดน้ำนับหมื่นมาอาศัยหากิน เขื่อนนี้ใช้ประโยชน์ด้านการชลประทาน การทดน้ำเพื่อการเกษตร โดยระบายน้ำจากแม่น้ำในภาคเหนือสู่ภาคกลางและอ่าวไทย ส่งน้ำไปในพื้นที่เพาะปลูกภาคกลางเข้าคลองส่งน้ำสายใหญ่รวม 5 สาย คือ แม่น้ำน้อย แม่น้ำท่าจีน คลองมะขามเฒ่า-อู่ทอง คลองชัยนาท-ป่าสัก และคลองชัยนาท-อยุธยา และยังใช้ผลิตไฟฟ้าสำหรับจ่ายในจังหวัด<br /><br />ประวัติ<br /><br />โครงการชลประทานเจ้าพระยาใหญ่ เป็นโครงการพัฒนาลุ่มน้ำเจ้าพระยาเพื่อการเพาะปลูกสำหรับพื้นที่ราบภาคกลางสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เรื่อยลงมาตั้งแต่ชัยนาทถึงอ่าวไทย เดิมการเพาะปลูกในเขตพื้นที่ต้องอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก ปีที่ฝนแล้งเกษตรกรในอดีตจึงได้รับความเดือดร้อนอยู่เสมอ<br /><br />พ.ศ. 2445 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นายเย โฮมัน วันเดอร์ไฮเด ผู้เชี่ยวชาญการชลประทานชาวฮอลันดา เสนอให้สร้างโครงการเจ้าพระยาใหญ่ ที่อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท แต่ประเทศไทยต้องใช้งบประมาณบำรุงประเทศในทางอื่นก่อน แผนการก่อสร้างโครงการเจ้าพระยาใหญ่จึงต้องระงับไว้ก่อน ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เกิดภาวะฝนแล้ง 2-3 ปีติดต่อกัน ครั้นถึงปี พ.ศ. 2456 เซอร์ ทอมมัส เวอร์ด ผู้เชี่ยวชาญชาวอังกฤษ ได้เสนอให้ก่อสร้างโครงการเจ้าพระยาใหญ่ขึ้น แต่เวลานั้นอยู่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง การก่อสร้างโครงการเจ้าพระยาใหญ่จึงต้องระงับอีกเป็นครั้งที่สอง<br /><br />ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ปี พ.ศ. 2491 ขณะที่หลายประเทศประสบภาวะขาดแคลนอาหาร องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) จึงได้พิจารณาถึงความจำเป็นของโครงการเจ้าพระยาใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เดือนตุลาคมปีนั้นกรมชลประทานจึงได้เสนอโครงการต่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐบาลพิจารณาเห็นชอบตามที่เสนอ ประกอบกับในปี พ.ศ. 2492 รัฐบาลได้เข้าเป็นสมาชิกธนาคารโลก จึงขอกู้เงินเพื่อสร้างโครงการเจ้าพระยาใหญ่ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2493 เป็นเงินจำนวน 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ<br /><br />กรมชลประทานได้เริ่มเตรียมงานเบื้องต้นเมื่อปี พ.ศ. 2494 และเริ่มงานก่อสร้างเขื่อนเจ้าพระยา พร้อมกับระบบส่งน้ำในปี พ.ศ. 2495 จนแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2500 ช่วงระหว่างการก่อสร้าง พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมเมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2498 และพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดเขื่อนเจ้าพระยา เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500<br /><br />พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นปีที่เขื่อนเจ้าพระยาได้ก่อสร้างและทำหน้าที่ในการบริหารจัดการลุ่มน้ำเจ้าพระยามาครบ 50 ปี ทางกรมชลประทานจึงได้จัดงานขึ้นบริเวณเขื่อนเจ้าพระยาระหว่างวันที่ 5-9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 โดยใช้ชื่องานว่า &quot;80 พรรษามหาราช ตามรอยพระบาทยาตรา เขื่อนเจ้าพระยา 50 ปี&quot; เนื่องจากเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา โดยมีนายสวัสดิ์ วัฒนายากร องคมนตรี เป็นประธานเปิดงาน
เขื่อนเจ้าพระยา จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เขื่อนเจ้าพระยา เป็นเขื่อนทดน้ำขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นเป็นแห่งแรกของประเทศไทย ตั้งอยู่บนแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณคุ้งบางกระเบียน หมู่ที่ 4 ตำบลบางหลวง อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดเขื่อนเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500

เขื่อนเจ้าพระยามีลักษณะเป็นเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็ก ยาว 237.50 เมตร สูง 16.5 เมตร ติดตั้งบานประตูเหล็กรูปโค้งสูง 7.50 เมตร มีช่องระบายให้น้ำไหลผ่านขนาดกว้าง 12.50 เมตร จำนวน 16 ช่อง ประตูน้ำสำหรับเรือสัญจรติดกับเขื่อนด้านขวากว้าง 14 เมตร ยาว 170.50 เมตร เรือขนาดใหญ่สามารถผ่านเข้าออกได้ บนสันเขื่อนมีสะพานกว้าง 7 เมตร รับรถน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 20 ตัน และมีทางระบายน้ำล้นฉุกเฉินสร้างบนคันกั้นน้ำซ้ายมือเหนือเขื่อนเจ้าพระยา กว้าง 10 เมตร ยาว 1,000 เมตร เพื่อช่วยระบายน้ำเมื่อเกิดอุทกภัย อัตราการระบายน้ำผ่านเขื่อนสูงสุดประมาณ 3,300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่การปล่อยน้ำจะควบคุมให้อยู่ในระดับไม่เกิน 2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อมิให้กระทบต่อพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะบริเวณกรุงเทพมหานคร

ทัศนียภาพรอบเขื่อนสวยงาม ช่วงเดือนมกราคมในบริเวณแม่น้ำเหนือเขื่อนจะมีฝูงนกเป็ดน้ำนับหมื่นมาอาศัยหากิน เขื่อนนี้ใช้ประโยชน์ด้านการชลประทาน การทดน้ำเพื่อการเกษตร โดยระบายน้ำจากแม่น้ำในภาคเหนือสู่ภาคกลางและอ่าวไทย ส่งน้ำไปในพื้นที่เพาะปลูกภาคกลางเข้าคลองส่งน้ำสายใหญ่รวม 5 สาย คือ แม่น้ำน้อย แม่น้ำท่าจีน คลองมะขามเฒ่า-อู่ทอง คลองชัยนาท-ป่าสัก และคลองชัยนาท-อยุธยา และยังใช้ผลิตไฟฟ้าสำหรับจ่ายในจังหวัด

ประวัติ

โครงการชลประทานเจ้าพระยาใหญ่ เป็นโครงการพัฒนาลุ่มน้ำเจ้าพระยาเพื่อการเพาะปลูกสำหรับพื้นที่ราบภาคกลางสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เรื่อยลงมาตั้งแต่ชัยนาทถึงอ่าวไทย เดิมการเพาะปลูกในเขตพื้นที่ต้องอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก ปีที่ฝนแล้งเกษตรกรในอดีตจึงได้รับความเดือดร้อนอยู่เสมอ

พ.ศ. 2445 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นายเย โฮมัน วันเดอร์ไฮเด ผู้เชี่ยวชาญการชลประทานชาวฮอลันดา เสนอให้สร้างโครงการเจ้าพระยาใหญ่ ที่อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท แต่ประเทศไทยต้องใช้งบประมาณบำรุงประเทศในทางอื่นก่อน แผนการก่อสร้างโครงการเจ้าพระยาใหญ่จึงต้องระงับไว้ก่อน ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เกิดภาวะฝนแล้ง 2-3 ปีติดต่อกัน ครั้นถึงปี พ.ศ. 2456 เซอร์ ทอมมัส เวอร์ด ผู้เชี่ยวชาญชาวอังกฤษ ได้เสนอให้ก่อสร้างโครงการเจ้าพระยาใหญ่ขึ้น แต่เวลานั้นอยู่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง การก่อสร้างโครงการเจ้าพระยาใหญ่จึงต้องระงับอีกเป็นครั้งที่สอง

ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ปี พ.ศ. 2491 ขณะที่หลายประเทศประสบภาวะขาดแคลนอาหาร องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) จึงได้พิจารณาถึงความจำเป็นของโครงการเจ้าพระยาใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เดือนตุลาคมปีนั้นกรมชลประทานจึงได้เสนอโครงการต่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐบาลพิจารณาเห็นชอบตามที่เสนอ ประกอบกับในปี พ.ศ. 2492 รัฐบาลได้เข้าเป็นสมาชิกธนาคารโลก จึงขอกู้เงินเพื่อสร้างโครงการเจ้าพระยาใหญ่ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2493 เป็นเงินจำนวน 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

กรมชลประทานได้เริ่มเตรียมงานเบื้องต้นเมื่อปี พ.ศ. 2494 และเริ่มงานก่อสร้างเขื่อนเจ้าพระยา พร้อมกับระบบส่งน้ำในปี พ.ศ. 2495 จนแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2500 ช่วงระหว่างการก่อสร้าง พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมเมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2498 และพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดเขื่อนเจ้าพระยา เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500

พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นปีที่เขื่อนเจ้าพระยาได้ก่อสร้างและทำหน้าที่ในการบริหารจัดการลุ่มน้ำเจ้าพระยามาครบ 50 ปี ทางกรมชลประทานจึงได้จัดงานขึ้นบริเวณเขื่อนเจ้าพระยาระหว่างวันที่ 5-9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 โดยใช้ชื่องานว่า "80 พรรษามหาราช ตามรอยพระบาทยาตรา เขื่อนเจ้าพระยา 50 ปี" เนื่องจากเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา โดยมีนายสวัสดิ์ วัฒนายากร องคมนตรี เป็นประธานเปิดงาน
cats๑๙๑.JPG (71.49 KiB) เข้าดูแล้ว 1535 ครั้ง
ปั่นเล่นบนสันเขื่อนรับลมเย็น เป็นอะไรที่สนุกและมีความสุขมาก ขอบคุณหลานชายที่แนะนำ(ลืมเลย)เกือบต้องย้อนกลับมาแล้ว เสียดายที่พิพิธภัณฑ์ เขาปิดเลยชวดดูเรื่องราวต่าง ๆ ที่สำคัญ ๆ นานแล้วหลายสิบปีที่ได้เคยมาเที่ยว เปลี่ยนแปลงไปมากจำไม่ได้เลยว่าจุดไหนมีอะไร ที่ไม่เปลี่ยนแปลงก็ น้ำ ไหลอย่างไรก็ไหลอย่างนั้น จะน้อยจะมากก็ไหล ๕๕๕๕๕๕<br /><br />ออกจากเขื่อนเจ้าพระยาเราปั่นเข้าชัยนาท ต้องผ่านวัดพระบรมธาตุ เราก็เลยถือโอกาสเข้าไปกราบนมัสการและเยี่ยมชมพระบรมธาตุกันก่อนที่จะเข้าตัวเมืองชัยนาทครับ
ปั่นเล่นบนสันเขื่อนรับลมเย็น เป็นอะไรที่สนุกและมีความสุขมาก ขอบคุณหลานชายที่แนะนำ(ลืมเลย)เกือบต้องย้อนกลับมาแล้ว เสียดายที่พิพิธภัณฑ์ เขาปิดเลยชวดดูเรื่องราวต่าง ๆ ที่สำคัญ ๆ นานแล้วหลายสิบปีที่ได้เคยมาเที่ยว เปลี่ยนแปลงไปมากจำไม่ได้เลยว่าจุดไหนมีอะไร ที่ไม่เปลี่ยนแปลงก็ น้ำ ไหลอย่างไรก็ไหลอย่างนั้น จะน้อยจะมากก็ไหล ๕๕๕๕๕๕

ออกจากเขื่อนเจ้าพระยาเราปั่นเข้าชัยนาท ต้องผ่านวัดพระบรมธาตุ เราก็เลยถือโอกาสเข้าไปกราบนมัสการและเยี่ยมชมพระบรมธาตุกันก่อนที่จะเข้าตัวเมืองชัยนาทครับ
cats๑๙๒.jpg (141.81 KiB) เข้าดูแล้ว 1535 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4368
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D ประวัติวัดพระบรมธาตุวรวิหาร ต.ชัยนาท อ.เมือง จ.ชัยนาท :) :D


:) :D สักการะพระธาตุศักดิ์สิทธิ์อายุกว่า 1,500 ปี ที่วัดพระบรมธาตุวรวิหาร :) :D
ไฟล์แนบ
102799.jpg
102799.jpg (69.07 KiB) เข้าดูแล้ว 1525 ครั้ง
102800.jpg
102800.jpg (63.26 KiB) เข้าดูแล้ว 1525 ครั้ง
102803.jpg
102803.jpg (64.74 KiB) เข้าดูแล้ว 1525 ครั้ง
102804.jpg
102804.jpg (69.82 KiB) เข้าดูแล้ว 1525 ครั้ง
cats๑๙๓.JPG
cats๑๙๓.JPG (121.42 KiB) เข้าดูแล้ว 1525 ครั้ง
cats๑๙๔.๑.jpg
cats๑๙๔.๑.jpg (123.07 KiB) เข้าดูแล้ว 1525 ครั้ง
cats๑๙๔.๒.jpg
cats๑๙๔.๒.jpg (141.24 KiB) เข้าดูแล้ว 1525 ครั้ง
cats๑๙๔.jpg
cats๑๙๔.jpg (144.1 KiB) เข้าดูแล้ว 1525 ครั้ง
cats๑๙๕.JPG
cats๑๙๕.JPG (110.59 KiB) เข้าดูแล้ว 1525 ครั้ง
วัดพระบรมธาตุวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ภายในวัดนี้มีเจดีย์พระบรมธาตุรูปแบบสถาปัตยกรรมอู่ทองบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า<br /><br />ไม่เพียงแต่เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองมาเนิ่นนานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ภายในวัดยังเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมและสิ่งก่อสร้างน่าสนใจที่ให้ความรู้สึกราวกับนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลาไปสู่ในยุคกาลก่อน เช่น เจดีย์พระบรมธาตุตามรูปแบบสถาปัตยกรรมอู่ทองภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนในจังหวัดชัยนาท และจังหวัดใกล้เคียง <br /><br />โดยในวันเพ็ญเดือน 6 ของทุก ๆ ปีจะมีงานเทศกาลสมโภชพระบรมธาตุที่คลาคลั่งไปด้วยผู้คนทั่วสารทิศที่พากันมาเที่ยวชม น่าชม เจดีย์พระบรมธาตุ ที่ใช้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ องค์เจดีย์ทรงกลมตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส ซึ่งต่อมุมขึ้นไปรองรับ ใต้องค์ระฆังมีซุ้มจระนำเล็ก ๆ 4 ด้าน ภายในประดิษฐานพระปรางค์นาคปรก 4 ทิศ หน้าบันของซุ้มจระนำมีสองชั้นซ้อนกัน มีปูนปั้นประดับเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิราบ เหนือฐานบัวหงาย 4 กลับอยู่ตรงกลาง หน้าตักกว้าง 23 ซม. สูงจากฐานจรดพระเศียร 31ซม. ทรงจีวรแบบห่มตอง หรือห่มเฉียง ผ้าสังฆาฏิพาดลงมาเกือบถึงฝ่าพระบาท <br /><br />ลักษณะของพระเศียรและพระพักตร์มีเค้าของศิลปะลพบุรี หรืออู่ทองรุ่นแรก ระหว่างซุ่มจระนำมีผนังทำเป็นมุมเหลี่ยมขึ้นไปรองรับองค์ระฆังและเหนือมุมระหว่างหน้าบันของซุ้มจระนำ ทำเป็นเจดีย์ขนาดเล็ก มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปอีกหลายองค์เรียงรายอยู่โดยรอบ จากนั้นถึงองค์ระฆังทรงกลมรองรับ ปลีย่อส่วนบนสุดมีลักษณะเป็นโลกประดับ ทำนองเป็นฉัตรประดับอีกต่อหนึ่ง จัดเป็นสถาปัตยกรรมแบบอู่ทอง (อยุธยาตอนต้น) ที่นิยมใช้เจดีย์เล็ก ๆ ประดับ วิหาร สันนิฐานว่าสร้างขึ้นพร้อมเจดีย์พระบรมธาตุ แต่ยังคงมีร่องรอยการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ภายหลัง <br /><br />ปัจจุบันพระวิหารดังกล่าวเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน พระอุโบสถ อยู่ทางด้านใต้ติดกับพระวิหาร สันนิษฐานว่าสร้างพร้อมกับพระวิหาร มีร่องรอยการบูรณะซ่อมแซมหลายครั้งมีพระประธานภายในพระอุโบสถเป็นพระพุทธรูปแบบสรรคบุรี ลงรักปิดทองขนาดใหญ่ปางมารวิชัย ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของพระพุทธรูปแบบสรรคบุรี รอบนอกพระอุโบสถมีใยเสมาสลักด้วยหินทรายเป็นศิลปกรรมแบบอยุธยา แผ่นศิลาจารึก บันทึกข้อความของการฉลองการบูรณปฏิสังขรณ์พระบรมธาตุเจดีย์ ปัจจุบันแผ่นศิลาจารึกประดิษฐานอยู่ที่ฝาผนังวิหารด้านหลังติดกับองค์พระธาตุ<br /><br />Cr. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)<br />1600 ถ.เพชรบุรี แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 ประเทศไทย
วัดพระบรมธาตุวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ภายในวัดนี้มีเจดีย์พระบรมธาตุรูปแบบสถาปัตยกรรมอู่ทองบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า

ไม่เพียงแต่เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองมาเนิ่นนานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ภายในวัดยังเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมและสิ่งก่อสร้างน่าสนใจที่ให้ความรู้สึกราวกับนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลาไปสู่ในยุคกาลก่อน เช่น เจดีย์พระบรมธาตุตามรูปแบบสถาปัตยกรรมอู่ทองภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนในจังหวัดชัยนาท และจังหวัดใกล้เคียง

โดยในวันเพ็ญเดือน 6 ของทุก ๆ ปีจะมีงานเทศกาลสมโภชพระบรมธาตุที่คลาคลั่งไปด้วยผู้คนทั่วสารทิศที่พากันมาเที่ยวชม น่าชม เจดีย์พระบรมธาตุ ที่ใช้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ องค์เจดีย์ทรงกลมตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส ซึ่งต่อมุมขึ้นไปรองรับ ใต้องค์ระฆังมีซุ้มจระนำเล็ก ๆ 4 ด้าน ภายในประดิษฐานพระปรางค์นาคปรก 4 ทิศ หน้าบันของซุ้มจระนำมีสองชั้นซ้อนกัน มีปูนปั้นประดับเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิราบ เหนือฐานบัวหงาย 4 กลับอยู่ตรงกลาง หน้าตักกว้าง 23 ซม. สูงจากฐานจรดพระเศียร 31ซม. ทรงจีวรแบบห่มตอง หรือห่มเฉียง ผ้าสังฆาฏิพาดลงมาเกือบถึงฝ่าพระบาท

ลักษณะของพระเศียรและพระพักตร์มีเค้าของศิลปะลพบุรี หรืออู่ทองรุ่นแรก ระหว่างซุ่มจระนำมีผนังทำเป็นมุมเหลี่ยมขึ้นไปรองรับองค์ระฆังและเหนือมุมระหว่างหน้าบันของซุ้มจระนำ ทำเป็นเจดีย์ขนาดเล็ก มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปอีกหลายองค์เรียงรายอยู่โดยรอบ จากนั้นถึงองค์ระฆังทรงกลมรองรับ ปลีย่อส่วนบนสุดมีลักษณะเป็นโลกประดับ ทำนองเป็นฉัตรประดับอีกต่อหนึ่ง จัดเป็นสถาปัตยกรรมแบบอู่ทอง (อยุธยาตอนต้น) ที่นิยมใช้เจดีย์เล็ก ๆ ประดับ วิหาร สันนิฐานว่าสร้างขึ้นพร้อมเจดีย์พระบรมธาตุ แต่ยังคงมีร่องรอยการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ภายหลัง

ปัจจุบันพระวิหารดังกล่าวเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน พระอุโบสถ อยู่ทางด้านใต้ติดกับพระวิหาร สันนิษฐานว่าสร้างพร้อมกับพระวิหาร มีร่องรอยการบูรณะซ่อมแซมหลายครั้งมีพระประธานภายในพระอุโบสถเป็นพระพุทธรูปแบบสรรคบุรี ลงรักปิดทองขนาดใหญ่ปางมารวิชัย ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของพระพุทธรูปแบบสรรคบุรี รอบนอกพระอุโบสถมีใยเสมาสลักด้วยหินทรายเป็นศิลปกรรมแบบอยุธยา แผ่นศิลาจารึก บันทึกข้อความของการฉลองการบูรณปฏิสังขรณ์พระบรมธาตุเจดีย์ ปัจจุบันแผ่นศิลาจารึกประดิษฐานอยู่ที่ฝาผนังวิหารด้านหลังติดกับองค์พระธาตุ

Cr. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
1600 ถ.เพชรบุรี แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 ประเทศไทย
cats๑๙๖.JPG (106.65 KiB) เข้าดูแล้ว 1525 ครั้ง
cats๑๙๗.jpg
cats๑๙๗.jpg (157.92 KiB) เข้าดูแล้ว 1525 ครั้ง
cats๑๙๘.jpg
cats๑๙๘.jpg (157.67 KiB) เข้าดูแล้ว 1525 ครั้ง
cats๑๙๙.jpg
cats๑๙๙.jpg (119.81 KiB) เข้าดูแล้ว 1525 ครั้ง
cats๒๐๐.jpg
cats๒๐๐.jpg (119.94 KiB) เข้าดูแล้ว 1525 ครั้ง
cats๒๐๑.jpg
cats๒๐๑.jpg (156.95 KiB) เข้าดูแล้ว 1525 ครั้ง
cats๒๐๒.jpg
cats๒๐๓.JPG
cats๒๐๓.JPG (68.71 KiB) เข้าดูแล้ว 1525 ครั้ง
cats๒๐๔.jpg
cats๒๐๔.jpg (131.46 KiB) เข้าดูแล้ว 1525 ครั้ง
cats๒๐๕.jpg
cats๒๐๕.jpg (98.76 KiB) เข้าดูแล้ว 1525 ครั้ง
วัดพระบรมธาตุ วรวิหาร ตั้งอยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา หมู่ 6 ตำบลชัยนาท อำเภอเมืองชัยนาท จังหวัดชัยนาท เป็น พระอารามหลวง ชั้นโท เป็นวัดเก่า สร้างตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ตั้งอยู่ที่บ้านท้ายเมือง ตำบลชัยนาท อำเภอเมืองชัยนาท อยู่ห่างจากตัวเมืองชัยนาท 4 กม. ภายในวัดนี้มีเจดีย์พระบรมธาตุรูปแบบสถาปัตยกรรมอู่ทองบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า มีงานเทศกาลสมโภชพระบรมธาตุในวันเพ็ญ เดือน 6<br /><br />เราชมวัดพระบรมธาตุวรวิหาร ใช้เวลาพอสมควร เพราะแต่ละจุดมีสิ่งต่าง ๆ ให้ได้ชื่นชมเยอะครับ ของเก่าโบราณดูอย่างไรก็ไม่เบื่อ น่าจับต้องและน่าศึกษามาก ๆ เสียดายที่เราไม่เจอคนเก่ง ๆ (ชาวบ้าน) ที่จะเล่าเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มีสาระ(ตามสไตล์เรา) ให้ได้สนทนา แต่เราเจอเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรการน่าจะของสำนักพระราชวัง ที่กำลังจะมาซ้อมเกี่ยวกับพระราชพิธี เราจึงได้เวลาอำลาวัดพระบรมธาตุเดินทางเข้าตัวเมืองเพื่อไปหาที่พักกันต่อครับ
วัดพระบรมธาตุ วรวิหาร ตั้งอยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา หมู่ 6 ตำบลชัยนาท อำเภอเมืองชัยนาท จังหวัดชัยนาท เป็น พระอารามหลวง ชั้นโท เป็นวัดเก่า สร้างตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ตั้งอยู่ที่บ้านท้ายเมือง ตำบลชัยนาท อำเภอเมืองชัยนาท อยู่ห่างจากตัวเมืองชัยนาท 4 กม. ภายในวัดนี้มีเจดีย์พระบรมธาตุรูปแบบสถาปัตยกรรมอู่ทองบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า มีงานเทศกาลสมโภชพระบรมธาตุในวันเพ็ญ เดือน 6

เราชมวัดพระบรมธาตุวรวิหาร ใช้เวลาพอสมควร เพราะแต่ละจุดมีสิ่งต่าง ๆ ให้ได้ชื่นชมเยอะครับ ของเก่าโบราณดูอย่างไรก็ไม่เบื่อ น่าจับต้องและน่าศึกษามาก ๆ เสียดายที่เราไม่เจอคนเก่ง ๆ (ชาวบ้าน) ที่จะเล่าเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มีสาระ(ตามสไตล์เรา) ให้ได้สนทนา แต่เราเจอเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรการน่าจะของสำนักพระราชวัง ที่กำลังจะมาซ้อมเกี่ยวกับพระราชพิธี เราจึงได้เวลาอำลาวัดพระบรมธาตุเดินทางเข้าตัวเมืองเพื่อไปหาที่พักกันต่อครับ
cats๒๐๖.JPG (112.24 KiB) เข้าดูแล้ว 1525 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4368
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:!: :!: "ความหยิ่งยโส"

จะเกิดขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ ผู้ชาย มักจะจมปลักอยู่กับความหยิ่งยโส ผู้ชายมักจะไม่ยอมรับว่าต้องการใครสักคน หรืออะไรสักอย่าง เพราะเราเชื่อว่าเราสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง และการขอความช่วยเหลือนั้นทำให้เราดูอ่อนแอ ไม่เป็นลูกผู้ชาย

เรามาดูตัวอย่างอุปสรรคในการขอของเคสนี้กันครับ

คุณผู้หญิง หรือคุณแม่บ้านเคยสังเกตไหมครับ ว่าแฟนของคุณ หรือคุณพ่อบ้านนั้น หยิ่งในศักดิ์ศรีมากแค่ไหน โดยเฉพาะเวลาเดินทาง... เชื่อไหมครับว่าคุณผู้ชายยอมที่จะไม่ถามทาง ทั้งๆที่เขาหลงทาง หรือไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อ เพราะเขาเชื่อว่าเขาสามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้ด้วยตัวของเขาเอง ประมาณว่ามาทางนี้ละถูกแล้ว ไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็ถึง

ทั้งๆที่ ถ้าถามทางซะตั้งแต่แรก ป่านนี้คงถึงที่หมายไปนานแล้ว จนมีวลีของชาวเดนมาร์กที่ประชดพฤติกรรมของผู้ชายในเคสนี้ว่า "ถามสองครั้งดีกว่าหลงทางครั้งหนึ่ง" พูดเป็นภาษาบ้านๆก็ "ถามเถอะ จะได้ไม่หลง" แต่ผู้ชายโดยมากจะไม่ทำครับ

อีกตัวอย่างหนึ่ง อันนี้ผมอ่านเจอในหนังสือ "กล้าที่จะขอ" ซึ่งในตัวอย่างแสดงให้เห็นความหยิ่งยโส และกลัวกับผลที่จะตามมา ชายชราคนหนึ่งยืนเข้าคิวรอรถประจำทางอยู่ มีชายหนุ่มยืนอยู่ข้างหลังเขา ชายหนุ่มถามว่า "ขอโทษครับลุง มีไม้ขีดไหมครับ" ชายชราตอบอย่างโมโหว่า "ไม่.. ไม่มี!" ชายหนุ่มคิดในใจ "ไม่เห็นต้องโมโหอะไรขนาดนั้นเลย" สักพักชายหนุ่มก็"ด้ไม้ขีดจากคนอื่น

2-3 นาทีต่อมาชายชราคนนั้นก็เอาไม้ขีดออกมาจุดบุหรี่ ชายหนุ่มจึงถามว่า "อ้าวลุง... ทำไมลุงบอกไม่มีไม้ขีด ทั่้งๆที่ลุงมีละ" ชาบชราตอบ "เจ้าหนู.. ถ้าฉันให้ไม้ขีดแก แกกับฉันก็จะเริ่มคุยกัน และถ้าคุยกัน เราอาจจะลงเอยด้วยการนั่งรถไปด้วยกัน พอนั่งรถไปด้วยกัน เราก็ต้องพูดคุยเรื่องกันและกัน แกดูเป็นมิตรดีนะ ฉันอาจจะชอบแกก็ได้ ทีนี้ฉันอาจจะชวนแกไปกินข้าวที่บ้าน และถ้าแกมากินข้าวที่บ้าน แกก็จะเจอกับลูกสาวฉัน แกอาจจะชวนกันไปเที่ยว และถ้าแกไปเที่ยวกับเธอ ใครจะไปรู้ มันอาจจะโยง ไปถึงเรื่องอื่นก็ได้ และแกอาจลงเอยด้วยการแต่งงานกันหล่อน และฉันไม่อยากให้ลูกสาวของฉันแต่งงานกับคนที่ไม่มีแม้กระทั้งไม้ขีด อย่างแกหรอก ไอ่หนุ่ม!!!"

เห็นไหมครับ... คิดไปซะไกล ทั้งๆที่ยังไม่ได้เริ่มที่จะช่วยเหลือเขาเลยด้วยซ้ำ ชายชราเลือกที่จะหยิ่งยโส แทนที่จะผูกมิตรกับชายหนุ่มซึ่งในใจแกก็คิดว่าเขาเป็นมิตรดี ซึ่งใครจะไปรู้อีก 5 นาทีต่อมาคุณลุงอาจจะเป็นลมต้องเข้าโรงบาลด่วน โดยต้องขอความช่วยเหลือจากชายหนุ่มคนนี้ก็เป็นได้... จริงไหมครับ

จากตั้วอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่า... อุปสรรคในการขอข้อนี้ โดยมากจะเกิดกับผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ครับ ความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี ความเชื่อที่ถูกสอนมาว่าผู้ชายที่แท้จริงต้องทำได้ทุกอย่าง โดยไม่ต้องพึ่งใคร ซึ่งก็เป็นความเชื่อที่ไม่ผิดอะไร แต่บางครั้ง

"การขอความช่วยเหลือก็ไม่ได้จะแสดงออกซึ่งความอ่อนแอแต่อย่างใด หากมันจะเป็นการทำให้งานนั้นสำเร็จได้ง่าย และเร็วขึ้น"

"โดยเฉพาะการทำงานเป็นทีมด้วยแล้ว การขอความช่วยเหลือจากคนที่มีความถนัดในแต่ละด้าน มันจะช่วยให้งานของเราสำเร็จได้ง่ายเร็ว และมีประสิทธิภาพมากที่สุด อย่าหยิ่งยโสว่าเราเก่งเราทำได้ทุกอย่างด้วยตัวของเราเพียงคนเดียว ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วครับ"

"อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ อย่ากลัวที่จะเป็นหนี้บุญคุณใคร เพราะในอนาคตใช่ว่าเราจะไม่ได้ใช้หนี้บุญคุณนั้นซะหน่อย" จริงไหมครับ

ที่นี้เราทุกคนก็พร้อมที่จะ "ขอในสิ่งที่ที่ใจเราปรารถนาแล้วละครับ"

Cr.โดย นาย ไพรัชช์ (เอิร์ท) สาระคง ใน AI-จิตวิทยาการสร้างแรงจูงใจจากหนัง และอุปสรรคในการขอ ส่วนหนึ่งใน GotoKnow
:idea: :idea:
ไฟล์แนบ
102805.jpg
102805.jpg (70.72 KiB) เข้าดูแล้ว 1498 ครั้ง
102806.jpg
102806.jpg (63.9 KiB) เข้าดูแล้ว 1498 ครั้ง
102807.jpg
102807.jpg (54.82 KiB) เข้าดูแล้ว 1498 ครั้ง
102808.jpg
102808.jpg (72.34 KiB) เข้าดูแล้ว 1498 ครั้ง
cats๒๐๗.jpg
cats๒๐๗.jpg (130.19 KiB) เข้าดูแล้ว 1498 ครั้ง
cats๒๐๘.JPG
cats๒๐๘.JPG (136.32 KiB) เข้าดูแล้ว 1498 ครั้ง
cats๒๐๙.jpg
cats๒๐๙.jpg (181.28 KiB) เข้าดูแล้ว 1498 ครั้ง
ปั่นเข้าตัวเมืองชัยนาทโดยอาศัยเจ้า จีพีเอส ตระเวนหาที่พัก ที่แรก (เอาใกล้บริเวณจัดงานที่สุด) เห็นเราปั่นจักรยานเหมือนจะไม่สนใจ ก็ต้องทำใจเขาคงคิด(มอมแมม)ว่าเราไม่น่าจะมีเงินพอที่จะนอน ๕๕๕ ไม่ว่ากัน เราถอยออกมา แวะไปที่ ปั๊ม ปตท.เข้าร้านอเมซอน สั่งยาเสพติดหนึ่งแก้ว(Hot Espresso) แก้วใหญ่ นั่งซดกาแฟเพลิน ๆ มีท่านผู้อาวุโสนั่งอยู่ในร้าน เห็นเราปั่นเข้ามานั่งร้าน ท่านเข้ามาสนทนาด้วย (เจ้าของปั๊มอีกแล้วครับ) ท่านแนะนำรีสอร์ทให้เราอยู่ใกล้ ๆ ปั๊มนี่เองครับ คุยกันสนุกมากท่านยังรู้จักเจ้าของปั๊ม ปตท.สรรพยาด้วยนะ <br /><br />สนทนาพอกาแฟหมดถ้วยก็ขอตัวไปที่พัก ได้ห้องถูกใจมาก ๆ ครับ สะอาด เป็นอิสระส่วนตัวดีมาก เราอาบน้ำชำระร่างกาย นั่งดูทีวี (ไมล์หมดหนี้) จบก็พากันออกไปเที่ยวงานที่ศาลากลางจังหวัดครับ
ปั่นเข้าตัวเมืองชัยนาทโดยอาศัยเจ้า จีพีเอส ตระเวนหาที่พัก ที่แรก (เอาใกล้บริเวณจัดงานที่สุด) เห็นเราปั่นจักรยานเหมือนจะไม่สนใจ ก็ต้องทำใจเขาคงคิด(มอมแมม)ว่าเราไม่น่าจะมีเงินพอที่จะนอน ๕๕๕ ไม่ว่ากัน เราถอยออกมา แวะไปที่ ปั๊ม ปตท.เข้าร้านอเมซอน สั่งยาเสพติดหนึ่งแก้ว(Hot Espresso) แก้วใหญ่ นั่งซดกาแฟเพลิน ๆ มีท่านผู้อาวุโสนั่งอยู่ในร้าน เห็นเราปั่นเข้ามานั่งร้าน ท่านเข้ามาสนทนาด้วย (เจ้าของปั๊มอีกแล้วครับ) ท่านแนะนำรีสอร์ทให้เราอยู่ใกล้ ๆ ปั๊มนี่เองครับ คุยกันสนุกมากท่านยังรู้จักเจ้าของปั๊ม ปตท.สรรพยาด้วยนะ

สนทนาพอกาแฟหมดถ้วยก็ขอตัวไปที่พัก ได้ห้องถูกใจมาก ๆ ครับ สะอาด เป็นอิสระส่วนตัวดีมาก เราอาบน้ำชำระร่างกาย นั่งดูทีวี (ไมล์หมดหนี้) จบก็พากันออกไปเที่ยวงานที่ศาลากลางจังหวัดครับ
cats๒๑๐.jpg (165.22 KiB) เข้าดูแล้ว 1498 ครั้ง
cats๒๑๑.๑.JPG
cats๒๑๑.๑.JPG (75.95 KiB) เข้าดูแล้ว 1498 ครั้ง
cats๒๑๑.jpg
cats๒๑๒.๑.jpg
cats๒๑๒.๒.jpg
cats๒๑๒.jpg
cats๒๑๒.jpg (143.68 KiB) เข้าดูแล้ว 1498 ครั้ง
cats๒๑๓.jpg
cats๒๑๓.jpg (72.27 KiB) เข้าดูแล้ว 1498 ครั้ง
cats๒๑๔.jpg
cats๒๑๕.jpg
cats๒๑๕.jpg (130.93 KiB) เข้าดูแล้ว 1498 ครั้ง
cats๒๑๖.jpg
cats๒๑๗.jpg
cats๒๑๗.jpg (159.25 KiB) เข้าดูแล้ว 1498 ครั้ง
cats๒๑๘.jpg
cats๒๑๘.jpg (71.79 KiB) เข้าดูแล้ว 1498 ครั้ง
การจัดงานวันส้มโอขาวแตงกวาและของดีศรีท้องถิ่นจังหวัดชัยนาท ครั้งที่ 39 ประจำปี 2566 กำหนดจัดงาน ระหว่างวันที่ 7 - 17 กันยายน 2566 ณ บริเวณเขื่อนเรียงหิน หน้าศาลากลางจังหวัดชัยนาท โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสนับสนุนเผยแพร่และส่งเสริมการปลูกส้มโอขาวแตงกวา ซึ่งเป็นผลไม้ท้องถิ่น ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดชัยนาท <br /><br />การจำหน่ายส้มโอขาวแตงกวา ผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตร ไม้ผล กิ่งพันธุ์ และส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดชัยนาท รวมทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดชัยนาทมากขึ้น<br /><br />กิจกรรมภายในงาน พบกับการประกวดขบวนแห่วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นของอำเภอทั้ง 8 อำเภอ การประกวดส้มโอขาวแตงกวาชัยนาท การแข่งขันประกอบอาหารคาวและหวานจากส้มโอ ขาวแตงกวา การประกวดธิดาส้มโอขาวแตงกวาชัยนาท การจัดจำหน่ายส้มโอขาวแตงกวาชัยนาทจากเกษตรกร ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากส้มโอขาวแตงกวา สินค้าของดีศรีท้องถิ่นจังหวัดชัยนาท (OTOP) <br /><br />การจำหน่ายสินค้าราคาถูก สินค้าเกษตร พันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ ร้านค้าจากหน่วยงานต่าง ๆ นิทรรศการส่วนราชการ, และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย พร้อมชมมหรสพ ภาพยนตร์ สวนสนุก คอนเสิร์ตจากศิลปินดังทุกคืน <br /><br />จังหวัดชัยนาท อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก ตลอดเวลาที่ผ่านมาจึงมีนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศมุ่งหน้าเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวทั้งแบบเช้าไป-เย็นกลับ และพักแรมแค้มปิ้ง เพื่อเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในจังหวัดชัยนาทได้อย่างจุใจ เช่น วัด โบราณสถาน เขื่อนเจ้าพระยา สวนส้มโอ (พันธุ์ขาวแตงกวาชัยนาท) สวนนกชัยนาท ชุมชนวัฒนธรรม แหล่งผลิตผลิตภัณฑ์ชุมชน และจุดเช็กอินต่าง ๆ <br /><br />แม้จังหวัดชัยนาท จะเป็นจังหวัดที่ไม่ใหญ่นัก แต่ชัยนาท...ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งธรรมชาติ รวมทั้งเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ ตลอดจนโบราณสถานอันล้ำค่า และวิถีชีวิตชุมชนที่เรียบง่าย ภายใต้วัฒนธรรมท้องถิ่นที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ซึ่งนักท่องเที่ยวและผู้ที่มีโอกาสได้มาสัมผัสชัยนาท จะหลงใหลเมืองเล็กๆ แห่งนี้อย่างไม่รู้ลืม จังหวัดชัยนาท จึงขอเชิญชวนทุกท่านมาเที่ยวงานวันส้มโอขาวแตงกวาและของดีศรีท้องถิ่นจังหวัดชัยนาท ครั้งที่ 39 ประจำปี 2566 ระหว่างวันที่ 7 - 17 กันยายน 2566 ณ บริเวณเขื่อนเรียงหิน หน้าศาลากลางจังหวัดชัยนาท<br /><br />เราได้ไปร่วมงานด้วยแล้วนะครับ ยังไม่พอเราได้ซื้อส้มโอจากสวนที่ชนะการประกวดมาหนึ่งลูก (ราคาชิมกันเอง) ลูก ๘๐ บ.แต่เจ้าของสวนแจ้งว่าเขายังไม่ลืมต้น(รีบเก็บผลผลิตมาขายในงาน) จะไม่อร่อยเท่าที่ควร อย่างน้อยต้องทิ้งไว้สัก ๒ - ๓ วันจะอร่อยกว่าที่เป็น (เราก็อยากชิมก็บอกไม่เป็นไร) ก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ แต่ก็ไม่ผิดหวังครับ ยังถือว่าอร่อยครับ
การจัดงานวันส้มโอขาวแตงกวาและของดีศรีท้องถิ่นจังหวัดชัยนาท ครั้งที่ 39 ประจำปี 2566 กำหนดจัดงาน ระหว่างวันที่ 7 - 17 กันยายน 2566 ณ บริเวณเขื่อนเรียงหิน หน้าศาลากลางจังหวัดชัยนาท โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสนับสนุนเผยแพร่และส่งเสริมการปลูกส้มโอขาวแตงกวา ซึ่งเป็นผลไม้ท้องถิ่น ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดชัยนาท

การจำหน่ายส้มโอขาวแตงกวา ผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตร ไม้ผล กิ่งพันธุ์ และส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดชัยนาท รวมทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดชัยนาทมากขึ้น

กิจกรรมภายในงาน พบกับการประกวดขบวนแห่วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นของอำเภอทั้ง 8 อำเภอ การประกวดส้มโอขาวแตงกวาชัยนาท การแข่งขันประกอบอาหารคาวและหวานจากส้มโอ ขาวแตงกวา การประกวดธิดาส้มโอขาวแตงกวาชัยนาท การจัดจำหน่ายส้มโอขาวแตงกวาชัยนาทจากเกษตรกร ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากส้มโอขาวแตงกวา สินค้าของดีศรีท้องถิ่นจังหวัดชัยนาท (OTOP)

การจำหน่ายสินค้าราคาถูก สินค้าเกษตร พันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ ร้านค้าจากหน่วยงานต่าง ๆ นิทรรศการส่วนราชการ, และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย พร้อมชมมหรสพ ภาพยนตร์ สวนสนุก คอนเสิร์ตจากศิลปินดังทุกคืน

จังหวัดชัยนาท อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก ตลอดเวลาที่ผ่านมาจึงมีนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศมุ่งหน้าเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวทั้งแบบเช้าไป-เย็นกลับ และพักแรมแค้มปิ้ง เพื่อเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในจังหวัดชัยนาทได้อย่างจุใจ เช่น วัด โบราณสถาน เขื่อนเจ้าพระยา สวนส้มโอ (พันธุ์ขาวแตงกวาชัยนาท) สวนนกชัยนาท ชุมชนวัฒนธรรม แหล่งผลิตผลิตภัณฑ์ชุมชน และจุดเช็กอินต่าง ๆ

แม้จังหวัดชัยนาท จะเป็นจังหวัดที่ไม่ใหญ่นัก แต่ชัยนาท...ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งธรรมชาติ รวมทั้งเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ ตลอดจนโบราณสถานอันล้ำค่า และวิถีชีวิตชุมชนที่เรียบง่าย ภายใต้วัฒนธรรมท้องถิ่นที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ซึ่งนักท่องเที่ยวและผู้ที่มีโอกาสได้มาสัมผัสชัยนาท จะหลงใหลเมืองเล็กๆ แห่งนี้อย่างไม่รู้ลืม จังหวัดชัยนาท จึงขอเชิญชวนทุกท่านมาเที่ยวงานวันส้มโอขาวแตงกวาและของดีศรีท้องถิ่นจังหวัดชัยนาท ครั้งที่ 39 ประจำปี 2566 ระหว่างวันที่ 7 - 17 กันยายน 2566 ณ บริเวณเขื่อนเรียงหิน หน้าศาลากลางจังหวัดชัยนาท

เราได้ไปร่วมงานด้วยแล้วนะครับ ยังไม่พอเราได้ซื้อส้มโอจากสวนที่ชนะการประกวดมาหนึ่งลูก (ราคาชิมกันเอง) ลูก ๘๐ บ.แต่เจ้าของสวนแจ้งว่าเขายังไม่ลืมต้น(รีบเก็บผลผลิตมาขายในงาน) จะไม่อร่อยเท่าที่ควร อย่างน้อยต้องทิ้งไว้สัก ๒ - ๓ วันจะอร่อยกว่าที่เป็น (เราก็อยากชิมก็บอกไม่เป็นไร) ก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ แต่ก็ไม่ผิดหวังครับ ยังถือว่าอร่อยครับ
cats๒๑๙.๑.jpg (133.93 KiB) เข้าดูแล้ว 1498 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4368
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D ขบวนแห่งานส้มโอขาวแตงกวาชัยนาทปี 2566 :) :D
ไฟล์แนบ
102809.jpg
102809.jpg (68.41 KiB) เข้าดูแล้ว 1496 ครั้ง
102810.jpg
102810.jpg (55.58 KiB) เข้าดูแล้ว 1496 ครั้ง
102811.jpg
102811.jpg (57.03 KiB) เข้าดูแล้ว 1496 ครั้ง
102812.jpg
102812.jpg (60.93 KiB) เข้าดูแล้ว 1496 ครั้ง
102813.jpg
102813.jpg (62.46 KiB) เข้าดูแล้ว 1496 ครั้ง
102814.jpg
102814.jpg (60.53 KiB) เข้าดูแล้ว 1496 ครั้ง
cats๒๑๙.๑.jpg
cats๒๑๙.๑.jpg (133.93 KiB) เข้าดูแล้ว 1496 ครั้ง
cats๒๑๙.๒.jpg
cats๒๑๙.๒.jpg (137.45 KiB) เข้าดูแล้ว 1496 ครั้ง
cats๒๑๙.jpg
cats๒๑๙.jpg (102.71 KiB) เข้าดูแล้ว 1496 ครั้ง
เราจูงจักรยานเดินเข้าชมงาน (ผู้คนมาเที่ยวงานเยอะมากกกก..รู้สึกได้เหนื่อยกับคนเยอะ ๆ นี่ละครับ) อวดน้ำใจคุณนายเดินจนทะลุสุดงาน กว่าจะออกมาได้ เรากลับที่พักชำระร่างกายหลับเป็นตาย<br /><br />รุ่งขึ้นวันที่ ๑๒ ก.ย.๖๖ ก็อำลาชัยนาทรีสอร์ทมุ่งไปเที่ยวต่อ ติดตามว่าเราจะไปเที่ยวจุดไหนและไปพักนอน ณ ที่แห่งใดกันต่อ แต่รับรองว่าท่านจะประทับใจกับจุดที่เราไปสัมผัสมาสำหรับผม ถือว่า &quot;เกินคุ้ม..ไม่แพ้พิจิตรครับ&quot;
เราจูงจักรยานเดินเข้าชมงาน (ผู้คนมาเที่ยวงานเยอะมากกกก..รู้สึกได้เหนื่อยกับคนเยอะ ๆ นี่ละครับ) อวดน้ำใจคุณนายเดินจนทะลุสุดงาน กว่าจะออกมาได้ เรากลับที่พักชำระร่างกายหลับเป็นตาย

รุ่งขึ้นวันที่ ๑๒ ก.ย.๖๖ ก็อำลาชัยนาทรีสอร์ทมุ่งไปเที่ยวต่อ ติดตามว่าเราจะไปเที่ยวจุดไหนและไปพักนอน ณ ที่แห่งใดกันต่อ แต่รับรองว่าท่านจะประทับใจกับจุดที่เราไปสัมผัสมาสำหรับผม ถือว่า "เกินคุ้ม..ไม่แพ้พิจิตรครับ"
cats๒๒๐.jpg (70.09 KiB) เข้าดูแล้ว 1496 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
ลุงเนตร
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 19852
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 19:20
Tel: 0898133936
team: อิสระ
Bike: Trek 3900, Dark Rock ทัวร์ริ่ง
ตำแหน่ง: ๔๖๕ ซอยจ่าโสด ถนนทางรถไฟเก่า แขวง,เขตบางนา กทม.๑๐๒๖๐
ติดต่อ:

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย ลุงเนตร »

"..สวัสดีครับ ท่านน้อง Dang และสมาชิกทุกท่าน มื้อนี้โอกาสดีได้เข้ามาเก็บเกี่ยวเรื่องดีๆจากกระทู้นี้ ขอชื่นชมเจ้าของกระทู้ที่มานะพยายามสรรหาน้อมนำสิ่งดีๆมีประโยชน์มาไว้ให้สมาชิกทุกท่าน ณ ที่นี้.."
ไฟล์แนบ
IMG20211130110328.jpg
IMG20211130110328.jpg (110.94 KiB) เข้าดูแล้ว 1377 ครั้ง
*..ยิ่งปั่น..ยิ่งแข็ง..แรงยิ่งดี..โรคไม่ค่อยมี..ไม่ทุกข์..*
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4368
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

ลุงเนตร เขียน: 05 ต.ค. 2023, 12:59"..สวัสดีครับ ท่านน้อง Dang และสมาชิกทุกท่าน มื้อนี้โอกาสดีได้เข้ามาเก็บเกี่ยวเรื่องดีๆจากกระทู้นี้ ขอชื่นชมเจ้าของกระทู้ที่มานะพยายามสรรหาน้อมนำสิ่งดีๆมีประโยชน์มาไว้ให้สมาชิกทุกท่าน ณ ที่นี้.."


:) :D สวัสดียามเช้าท่านพี่ที่เคารพและท่านผู้มีเกียรติที่รักทุกท่านครับ ก่อนอื่นขอกราบขอบพระคุณท่านพี่ ที่เข้ามาให้กำลังใจและสนับสนุนข้อคิดข้อเขียนต่าง ๆ ผมได้รับแรงใจและแบบอย่างจากท่านพี่ ที่ยืนหยัดแข็งขันมุ่งมั่นแสวงบุญตามแนวทางที่ท่านพี่ถนัด (ผมยังไปไม่ถึงแบบท่านพี่) สุดยอดครับนับถือน้ำจิตน้ำใจ ปฐพีนี้หายากนะครับ

คนเรามีทั้งบุญทั้งบาปคละเคล้ากันไป แล้วแต่ว่า "สติ" จะมุ่งมั่นหันเหในทิศทางใด แต่ก่อนนั้นผมยอมรับว่า คนเมื่อไม่ถึงธรรมความเลวระยำทำได้ง่ายเหลือเกิน ผมตกอยู่ในวังวนนั้นนานพอควร กว่าจะมาเจอ พ่อ-แม่-ครูบาอาจารย์ ที่เมตตาดึงผมขึ้นจากนรกได้ทันก่อนที่จะสายเกินไป

เมื่อ ๒๙ ก.ย.๖๖ - ๒ ต.ค.๖๖ ผมและคุณนาย ได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมที่วัดสลวงใน ตามเวลาและโอกาส ได้สวดมนต์ไหว้พระทำสมาธิภาวนาอย่างเต็มที่ และได้ทำอาหารถวายพระและจ่ายแจกญาติธรรม เป็นการสร้างบุญกุศลเสริมบารมีแก่ตนเอง เมื่อครบกำหนดกราบลาพระอาจารย์ กลับบ้านรุ่งเช้า ๓ ต.ค.๖๖ ก็เข้า รพ.เพื่อทำการผ่าตัดเอานิ่วในถุงน้ำดีออก

การผ่าตัดผมผ่านการผ่าตัดมาแล้ว ๒ ครั้ง ครั้งแรกผ่าใหญ่ มะร็งต่อมน้ำเหลือง ครั้งที่ ๒ ผ่าตัดซ่อมกรณีลำไส้ทะลุรอยแผลเดิม ครั้งนี้ครั้งที่ ๓ แต่เป็นครั้งที่ถือว่า ทรมานมากครับมันเจ็บ ปวด รวดร้าว ผมคิดนะว่า "เออแปลกหมอบอกว่า ไม่เปิดแผลแต่จะใช้กล้องเพื่อให้แผลเล็ก ไม่กี่วันก็หาย" แต่ทำไมผมเจ็บ ปวด เกินทน หมอก็ยังบอกว่า "ไม่น่า..นะ" ต้องได้มอร์ฟีนช่วยถึง ๒ เข็มและยาแก้ปวดอีกหลายเม็ด วันนี้ยังต้องกินยาแก้ปวดอยู่ "นี่ละกรรมกฏแห่งกรรม ที่ผมได้ทำไว้แต่หนหลัง" :lol: :lol:
ไฟล์แนบ
54217.jpg
54217.jpg (71.55 KiB) เข้าดูแล้ว 1343 ครั้ง
102815.jpg
102815.jpg (69.7 KiB) เข้าดูแล้ว 1343 ครั้ง
102816.jpg
102816.jpg (74.98 KiB) เข้าดูแล้ว 1343 ครั้ง
102817.jpg
102817.jpg (113.14 KiB) เข้าดูแล้ว 1343 ครั้ง
cats๒๒๐.๑.jpg
cats๒๒๐.๑.jpg (151.52 KiB) เข้าดูแล้ว 1343 ครั้ง
cats๒๒๐.๒.jpg
cats๒๒๐.๒.jpg (108.16 KiB) เข้าดูแล้ว 1343 ครั้ง
cats๒๒๑.jpg
cats๒๒๑.jpg (165.08 KiB) เข้าดูแล้ว 1343 ครั้ง
cats๒๒๒.jpg
cats๒๒๒.jpg (144.58 KiB) เข้าดูแล้ว 1343 ครั้ง
cats๒๒๓.jpg
cats๒๒๓.jpg (156.27 KiB) เข้าดูแล้ว 1343 ครั้ง
cats๒๒๔.jpg
cats๒๒๔.jpg (135.13 KiB) เข้าดูแล้ว 1343 ครั้ง
cats๒๒๕,๑.jpg
cats๒๒๕.๑.JPG
cats๒๒๕.๑.JPG (99.31 KiB) เข้าดูแล้ว 1343 ครั้ง
cats๒๒๕.JPG
cats๒๒๖.jpg
cats๒๒๗.jpg
cats๒๒๗.jpg (40.95 KiB) เข้าดูแล้ว 1343 ครั้ง
วัดธรรมามูล เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองชัยนาทมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตั้งอยู่บนไหล่เขาธรรมามูล ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตำบลธรรมามูล ห่างจากอำเภอเมืองไปทางทิศเหนือประมาณ 8 กิโลเมตร<br /><br />ใครก็ตามที่มาเยือนจังหวัดชัยนาทต้องแวะไปสักการะวัดคู่บ้านคู่เมืองที่มีมานานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อธรรมจักร พระพุทธรูปปางห้ามญาติที่ประทับบนฐานรูปดอกบัว งดงามด้วยศิลปะประยุกต์สมัยเชียงแสนตอนปลายถึงสุโขทัยตอนต้นผสมกับสมัยอยุธยา <br /><br />มีรูปพระธรรมจักรปรากฏอยู่กลางฝ่าพระหัตถ์เบื้องขวา ซึ่งคาดกันว่าเป็นความคิดของช่างสมัยนั้นที่ตั้งใจสร้างพระพุทธรูปองค์นี้ให้มีเครื่องหมายแห่งมหาปุริสลักษณะ (หรือลักษณะมหาบุรุษ 32 ประการ ตามคติอินเดีย เช่น ในฝ่าเท้ามีจักรลักษณะ มีลายตาข่ายในฝ่ามือฝ่าเท้า ข้อเท้าเหมือนสังข์ที่ตั้งขึ้น คางเหมือนคางราชสีห์ เป็นต้น) โดยทุก ๆ ปีจะมีงานนมัสการหลวงพ่อธรรมจักรเป็นประจำปีละ 2 ครั้งคือวันขึ้น 4-8 ค่ำเดือน 6 และแรม 4-8 ค่ำ เดือน 11 <br /><br />ประวัติหลวงพ่อธรรมจักร เดิมทีมีพระพุทธรูปลอยน้ำตามแม่น้ำเจ้าพระยาในกาลก่อนพร้อมกัน 3 องค์ ได้แก่ หลวงพ่อโสธร (วัดโสธรวรวิหาร จ.ฉะเชิงเทรา) หลวงพ่อวัดบ้านแหลม (วัดบ้านแหลม จ.สมุทรสงคราม) และหลวงพ่อธรรมจักร (วัดธรรมามูลวรวิหาร จ.ชัยนาท) ซึ่งมีเพียงองค์เดียวคือ หลวงพ่อธรรมจักรนั้น ที่หยุดลอยอยู่หน้าวัดธรรมามูล จนพระภิกษุและชาวบ้านได้ทำพิธีอัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานที่วัด <br /><br />ครั้งแรกใช้เชือกพร้อมด้ายสายสิญจน์ ผูกกับพระพุทธรูป แต่ไม่สามารถดึงขึ้นมาได้ กระทั่งตกเย็นปรากฏเรื่องน่าอัศจรรย์เมื่อมีผู้พบเห็น พระพุทธรูปองค์ที่ลอยน้ำมานั้น กลับประดิษฐานปิดขวางทางเข้าประตูวิหารวัดธรรมามูล ชาวบ้านจึงเกิดความศรัทธาต่อองค์หลวงพ่อธรรมจักรเป็นอย่างมาก และได้ร่วมกันต่อเติมพระวิหารขึ้น ในเวลาต่อมาจากคำบอกเล่าเมื่อองค์หลวงพ่อประดิษฐานอยู่ได้ 3 วัน ก็ได้หายไปจากพระวิหาร และกลับมาประดิษฐานดังเดิมโดยไม่ทราบสาเหตุ <br /><br />ซึ่งมีโคลนและจอกแหนติดเปื้อนมาด้วยชาวบ้านจึงนำโซ่มาผูกไว้ เพื่อไม่ให้หลวงพ่อหายไปอีก ต่อมามีชายต่างถิ่นล่องแพมาจากทางเหนือ เพื่อตามหาพระพุทธรูป เมื่อมาถึงวัดธรรมามูล จึงได้พระพุทธรูปที่กำลังตามหาอยู่ ขณะนั้นเป็นเวลาพลบค่ำ ชายผู้นั้นจึงได้อาศัยนอนอยู่ที่วัด เพื่อรอเวลาอัญเชิญองค์พลวงพ่อกลับไปประดิษฐาน ณ วัดเดิมในเวลาเช้า แต่กลับฝันว่าหลวงพ่อไม่ขอกลับแต่จะขออยู่ที่วัดธรรมามูลวรวิหาร <br /><br />ครั้นรุ่งเช้าเขาจึงลาท่านสมภารเพื่อเดินทางกลับบ้าน และได้ขอถอดเอา &quot;จักร&quot; ที่ฝ่าพระหัตถ์องค์หลวงพ่อกลับไปด้วย นับแต่นั้นมาหลวงพ่อก็ไม่เคยหายไปไหนอีกเลย ชาวบ้านจึงได้นำโซ่ออกและได้ร่วมกันสร้าง &quot;จักร&quot; ขึ้นมาใหม่ โดยจัดงานสมโภชกันต่อเนื่องทุกปีจนถึงทุกวันนี้<br /><br />Cr. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
วัดธรรมามูล เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองชัยนาทมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตั้งอยู่บนไหล่เขาธรรมามูล ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตำบลธรรมามูล ห่างจากอำเภอเมืองไปทางทิศเหนือประมาณ 8 กิโลเมตร

ใครก็ตามที่มาเยือนจังหวัดชัยนาทต้องแวะไปสักการะวัดคู่บ้านคู่เมืองที่มีมานานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อธรรมจักร พระพุทธรูปปางห้ามญาติที่ประทับบนฐานรูปดอกบัว งดงามด้วยศิลปะประยุกต์สมัยเชียงแสนตอนปลายถึงสุโขทัยตอนต้นผสมกับสมัยอยุธยา

มีรูปพระธรรมจักรปรากฏอยู่กลางฝ่าพระหัตถ์เบื้องขวา ซึ่งคาดกันว่าเป็นความคิดของช่างสมัยนั้นที่ตั้งใจสร้างพระพุทธรูปองค์นี้ให้มีเครื่องหมายแห่งมหาปุริสลักษณะ (หรือลักษณะมหาบุรุษ 32 ประการ ตามคติอินเดีย เช่น ในฝ่าเท้ามีจักรลักษณะ มีลายตาข่ายในฝ่ามือฝ่าเท้า ข้อเท้าเหมือนสังข์ที่ตั้งขึ้น คางเหมือนคางราชสีห์ เป็นต้น) โดยทุก ๆ ปีจะมีงานนมัสการหลวงพ่อธรรมจักรเป็นประจำปีละ 2 ครั้งคือวันขึ้น 4-8 ค่ำเดือน 6 และแรม 4-8 ค่ำ เดือน 11

ประวัติหลวงพ่อธรรมจักร เดิมทีมีพระพุทธรูปลอยน้ำตามแม่น้ำเจ้าพระยาในกาลก่อนพร้อมกัน 3 องค์ ได้แก่ หลวงพ่อโสธร (วัดโสธรวรวิหาร จ.ฉะเชิงเทรา) หลวงพ่อวัดบ้านแหลม (วัดบ้านแหลม จ.สมุทรสงคราม) และหลวงพ่อธรรมจักร (วัดธรรมามูลวรวิหาร จ.ชัยนาท) ซึ่งมีเพียงองค์เดียวคือ หลวงพ่อธรรมจักรนั้น ที่หยุดลอยอยู่หน้าวัดธรรมามูล จนพระภิกษุและชาวบ้านได้ทำพิธีอัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานที่วัด

ครั้งแรกใช้เชือกพร้อมด้ายสายสิญจน์ ผูกกับพระพุทธรูป แต่ไม่สามารถดึงขึ้นมาได้ กระทั่งตกเย็นปรากฏเรื่องน่าอัศจรรย์เมื่อมีผู้พบเห็น พระพุทธรูปองค์ที่ลอยน้ำมานั้น กลับประดิษฐานปิดขวางทางเข้าประตูวิหารวัดธรรมามูล ชาวบ้านจึงเกิดความศรัทธาต่อองค์หลวงพ่อธรรมจักรเป็นอย่างมาก และได้ร่วมกันต่อเติมพระวิหารขึ้น ในเวลาต่อมาจากคำบอกเล่าเมื่อองค์หลวงพ่อประดิษฐานอยู่ได้ 3 วัน ก็ได้หายไปจากพระวิหาร และกลับมาประดิษฐานดังเดิมโดยไม่ทราบสาเหตุ

ซึ่งมีโคลนและจอกแหนติดเปื้อนมาด้วยชาวบ้านจึงนำโซ่มาผูกไว้ เพื่อไม่ให้หลวงพ่อหายไปอีก ต่อมามีชายต่างถิ่นล่องแพมาจากทางเหนือ เพื่อตามหาพระพุทธรูป เมื่อมาถึงวัดธรรมามูล จึงได้พระพุทธรูปที่กำลังตามหาอยู่ ขณะนั้นเป็นเวลาพลบค่ำ ชายผู้นั้นจึงได้อาศัยนอนอยู่ที่วัด เพื่อรอเวลาอัญเชิญองค์พลวงพ่อกลับไปประดิษฐาน ณ วัดเดิมในเวลาเช้า แต่กลับฝันว่าหลวงพ่อไม่ขอกลับแต่จะขออยู่ที่วัดธรรมามูลวรวิหาร

ครั้นรุ่งเช้าเขาจึงลาท่านสมภารเพื่อเดินทางกลับบ้าน และได้ขอถอดเอา "จักร" ที่ฝ่าพระหัตถ์องค์หลวงพ่อกลับไปด้วย นับแต่นั้นมาหลวงพ่อก็ไม่เคยหายไปไหนอีกเลย ชาวบ้านจึงได้นำโซ่ออกและได้ร่วมกันสร้าง "จักร" ขึ้นมาใหม่ โดยจัดงานสมโภชกันต่อเนื่องทุกปีจนถึงทุกวันนี้

Cr. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
cats๒๒๘.jpg (149.56 KiB) เข้าดูแล้ว 1343 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4368
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D อรุณสวัสดิ์ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพและญาติธรรมที่รักทุกท่าน ช่วงที่ผมกำลังรักษาดูแลสุขภาพของตัวเอง ก็เป็นที่น่าเสียใจที่พี่วัลลภ อาเฮียและอาเตี่ยที่รักของผม ก็ต้องมาจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ที่สำคัญผมไม่ได้ไปร่วมงานฌาปนกิจสักราย (มันน่าเสียใจตรงนี้ละครับ) ก็ขอให้ดวงวิญญาณของทั้ง ๓ ท่าน จงสู่สุคติสัมปรายภพ หากได้ไปเกิดใหม่ก็ขอให้ได้ไปเกิดในดินแดนที่มีพระพุทธศาสนา และได้ศึกษาพระธรรมวินัยของพระองค์ท่าน จนกว่าจะได้ไม่ต้องกลับมาเวียนเกิดเวียนตายให้เป็นทุกข์แบบนี้ สาธุ สาธุ สาธุ :shock: :shock:

ก่อนที่ผมจะพาไปเที่ยวกันต่อ ขอให้ทุกท่านได้ชมวีดีโอเรื่องราวหลวงพ่อธรรมจักร แห่งวัดธรรมามูลกันเป็นความรู้ เผื่อว่าท่านมีโอกาสจะได้ไปกราบนมัสการ ในโอกาสต่อไป(สร้างศรัทธา)
:) :D

:idea: :idea: เรื่องเล่าวันนี้ : หลวงพ่อธรรมจักร วัดธรรมามูลวรวิหาร ชัยนาท :) :D
ไฟล์แนบ
102818.jpg
102818.jpg (126.63 KiB) เข้าดูแล้ว 1262 ครั้ง
102819.jpg
102819.jpg (89.57 KiB) เข้าดูแล้ว 1262 ครั้ง
102820.jpg
102820.jpg (95.6 KiB) เข้าดูแล้ว 1262 ครั้ง
cats๒๒๙.๐.jpg
cats๒๒๙.๐.jpg (136.19 KiB) เข้าดูแล้ว 1262 ครั้ง
“หลวงพ่อธรรมจักร” ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองมาแต่โบราณ เป็นศิลปะประยุกต์สมัยเชียงแสนตอนปลายถึงสุโขทัยตอนต้นผสมกับสมัยอยุธยา พุทธลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติ ประทับยืนบนฐานรูปดอกบัว พระหัตถ์ขวาทรงยกขึ้นเสมอพระอุระหันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ  จังหวัดชัยนาทได้นำสัญลักษณ์พระธรรมจักรมาเป็นสัญลักษณ์และตราประจำจังหวัดชัยนาท  ซึ่งน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณหน้าวัดธรรมามูลถือว่าเป็นน้ำศักดิ์นำไปใช้ในพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา และเป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เคยเสด็จพระประพาส รวมทั้งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) และสมเด็จพระบรมราชินีนาถยังได้เสด็จมานมัสการหลวงพ่อธรรมจักรที่วัดแห่งนี้ด้วย
“หลวงพ่อธรรมจักร” ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองมาแต่โบราณ เป็นศิลปะประยุกต์สมัยเชียงแสนตอนปลายถึงสุโขทัยตอนต้นผสมกับสมัยอยุธยา พุทธลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติ ประทับยืนบนฐานรูปดอกบัว พระหัตถ์ขวาทรงยกขึ้นเสมอพระอุระหันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ จังหวัดชัยนาทได้นำสัญลักษณ์พระธรรมจักรมาเป็นสัญลักษณ์และตราประจำจังหวัดชัยนาท ซึ่งน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณหน้าวัดธรรมามูลถือว่าเป็นน้ำศักดิ์นำไปใช้ในพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา และเป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เคยเสด็จพระประพาส รวมทั้งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) และสมเด็จพระบรมราชินีนาถยังได้เสด็จมานมัสการหลวงพ่อธรรมจักรที่วัดแห่งนี้ด้วย
cats๒๒๙.๑.JPG (181.97 KiB) เข้าดูแล้ว 1262 ครั้ง
ตำนาน หลวงพ่อธรรมจักร<br /><br />ตำนานเล่าลือสืบต่อกันมามีผู้พบพระพุทธรูปลอยน้ำตามแม่น้ำเจ้าพระยาพร้อมกัน 3 องค์ นั่นก็คือ หลวงพ่อโสธร วัดโสธรวรวิหาร จังหวัดฉะเชิงเทรา หลวงพ่อวัดบ้านแหลม วัดบ้านแหลม จังหวัดสมุทรสงคราม และหลวงพ่อธรรมจักร วัด ธรรมามูลวรวิหาร จังหวัดชัยนาท บ้างก็ว่ายังมีพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งคือ หลวงพ่อวัดไร่ขิง ลอยตามน้ำมาด้วยกัน แต่องค์ “หลวงพ่อธรรมจักร” นั้นเมื่อลอยมาถึงบริเวณหน้าวัดธรรมามูลฯ ก็ปรากฏสิ่งอัศจรรย์ใจ กลับลอยวนเวียนอยู่ กระทั่งพระภิกษุ ชาวบ้านมาเห็น จึงได้ทำพิธีอัญเชิญขึ้นมา <br /><br />กระบวนการขั้นตอนใช้เชือกพร้อมสายสิญจน์ผูกกับพระพุทธรูป แต่ก็ต้องจนปัญญาด้วยทำอย่างไรก็ไม่สามารถดึงขึ้นมาจากน้ำได้ จนกระทั่ง ตกเย็นพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าเต็มทีแล้ว ถึงคราต้องแยกย้ายกันกลับบ้าน แต่ปรากฏว่าได้มีคนบังเอิญเห็นว่าพระพุทธรูปองค์ที่ลอยน้ำอยู่นั้น ได้มาประดิษฐานปิดขวางทางเข้าประตูวิหารอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ตำนานเรื่องเล่านี้เป็นที่มาของความเชื่อ ศรัทธาที่มีต่อ “หลวงพ่อธรรมจักร” เป็นอย่างมาก
ตำนาน หลวงพ่อธรรมจักร

ตำนานเล่าลือสืบต่อกันมามีผู้พบพระพุทธรูปลอยน้ำตามแม่น้ำเจ้าพระยาพร้อมกัน 3 องค์ นั่นก็คือ หลวงพ่อโสธร วัดโสธรวรวิหาร จังหวัดฉะเชิงเทรา หลวงพ่อวัดบ้านแหลม วัดบ้านแหลม จังหวัดสมุทรสงคราม และหลวงพ่อธรรมจักร วัด ธรรมามูลวรวิหาร จังหวัดชัยนาท บ้างก็ว่ายังมีพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งคือ หลวงพ่อวัดไร่ขิง ลอยตามน้ำมาด้วยกัน แต่องค์ “หลวงพ่อธรรมจักร” นั้นเมื่อลอยมาถึงบริเวณหน้าวัดธรรมามูลฯ ก็ปรากฏสิ่งอัศจรรย์ใจ กลับลอยวนเวียนอยู่ กระทั่งพระภิกษุ ชาวบ้านมาเห็น จึงได้ทำพิธีอัญเชิญขึ้นมา

กระบวนการขั้นตอนใช้เชือกพร้อมสายสิญจน์ผูกกับพระพุทธรูป แต่ก็ต้องจนปัญญาด้วยทำอย่างไรก็ไม่สามารถดึงขึ้นมาจากน้ำได้ จนกระทั่ง ตกเย็นพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าเต็มทีแล้ว ถึงคราต้องแยกย้ายกันกลับบ้าน แต่ปรากฏว่าได้มีคนบังเอิญเห็นว่าพระพุทธรูปองค์ที่ลอยน้ำอยู่นั้น ได้มาประดิษฐานปิดขวางทางเข้าประตูวิหารอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ตำนานเรื่องเล่านี้เป็นที่มาของความเชื่อ ศรัทธาที่มีต่อ “หลวงพ่อธรรมจักร” เป็นอย่างมาก
cats๒๒๙.JPG
cats๒๒๙.JPG (141.05 KiB) เข้าดูแล้ว 1262 ครั้ง
cats๒๓๐.JPG
cats๒๓๐.JPG (184.41 KiB) เข้าดูแล้ว 1262 ครั้ง
cats๒๓๑.jpg
cats๒๓๑.jpg (65.96 KiB) เข้าดูแล้ว 1262 ครั้ง
cats๒๓๒.jpg
cats๒๓๒.jpg (129.5 KiB) เข้าดูแล้ว 1262 ครั้ง
cats๒๓๓.๑.jpg
cats๒๓๓.๑.jpg (151.46 KiB) เข้าดูแล้ว 1262 ครั้ง
cats๒๓๓.JPG
cats๒๓๓.JPG (104.82 KiB) เข้าดูแล้ว 1262 ครั้ง
cats๒๓๔.๑.JPG
cats๒๓๔.๑.JPG (73.05 KiB) เข้าดูแล้ว 1262 ครั้ง
cats๒๓๔.jpg
cats๒๓๔.jpg (141.15 KiB) เข้าดูแล้ว 1262 ครั้ง
cats๒๓๕.jpg
cats๒๓๕.jpg (178.21 KiB) เข้าดูแล้ว 1262 ครั้ง
ตอนที่เราอยู่บนวัดธรรมามูล มองผ่านลำน้ำเจ้าพระยาเราจะมองเห็นคล้าย ๆ โดมใหญ่สีขาวตั้งเด่นเป็นสง่า ไม่ไกลเท่าไหร่ก็สอบถามแม่ค้า ทราบว่าเป็นวัดหลวงปู่ศุข วัดคลองมะขามเฒ่า ซึ่งอยู่เขต อ.วัดสิงห์ คิดว่าเราไมควรเสียเวลาย้อนหลังกลับ เราตกลงกันไปต่อที่ อ.วัดสิงห์ (เดินหน้าลูกเดียว) วัดหลวงปู่ศุขที่นี่ถือว่าไม่ธรรมดาครับ นักเล่นพระทราบกันดี และคนชัยนาทจริง ๆ ก็ให้ความเลื่อมใสศรัทธาหลวงปู่กันแบบสุด ๆ อีกองค์หนึ่ง <br /><br />ที่สำคัญผมได้ของดีจากที่วัดนี้ ทำให้การมาชัยนาทครั้งนี้ไม่แพ้การไปเมืองพิจิตร ที่ไปพบหลวงพ่อเงินได้ข้อคิดคำสอน สอนใจตัวเองแบบน้ำตาไหลมาแล้ว ติดตามกันไปเรื่อย ๆ นะครับ
ตอนที่เราอยู่บนวัดธรรมามูล มองผ่านลำน้ำเจ้าพระยาเราจะมองเห็นคล้าย ๆ โดมใหญ่สีขาวตั้งเด่นเป็นสง่า ไม่ไกลเท่าไหร่ก็สอบถามแม่ค้า ทราบว่าเป็นวัดหลวงปู่ศุข วัดคลองมะขามเฒ่า ซึ่งอยู่เขต อ.วัดสิงห์ คิดว่าเราไมควรเสียเวลาย้อนหลังกลับ เราตกลงกันไปต่อที่ อ.วัดสิงห์ (เดินหน้าลูกเดียว) วัดหลวงปู่ศุขที่นี่ถือว่าไม่ธรรมดาครับ นักเล่นพระทราบกันดี และคนชัยนาทจริง ๆ ก็ให้ความเลื่อมใสศรัทธาหลวงปู่กันแบบสุด ๆ อีกองค์หนึ่ง

ที่สำคัญผมได้ของดีจากที่วัดนี้ ทำให้การมาชัยนาทครั้งนี้ไม่แพ้การไปเมืองพิจิตร ที่ไปพบหลวงพ่อเงินได้ข้อคิดคำสอน สอนใจตัวเองแบบน้ำตาไหลมาแล้ว ติดตามกันไปเรื่อย ๆ นะครับ
cats๒๓๖.jpg (132.24 KiB) เข้าดูแล้ว 1262 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4368
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D สวัสดียามบ่ายครับญาติธรรมและท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ เราออกเดินทางจากวัดธรรมามูล มุ่ง อ.วัดสิงห์ โดยจะแวะกราบหลวงปู่ศุข แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่าก่อนเลยเพราะอยู่ไม่ไกล ช่วงปั่นผ่านเห็นเขาเผาข้าวหลามน่ากิน แวะซื้อติดไว้(กันตาย ๕๕) พอปั่นเข้าถึงวัดเวลาก็แค่สิบโมงเช้า เราเข้าไปกราบหลวงปู่และเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ พร้อมทำบุญสร้างบารมี หลวงปู่ศุขสมัยที่ผมยังหลงเล่นพระเครื่อง เป็นอีกคนหนึ่งที่พยามยาม เสาะหามาครอบครอง แต่ไม่เจอของจริงสักครั้งครับ ได้ข่าวว่าท่านมีเวทมนต์ขลังมาก สามารถเป่าเสกใบไม้ให้เป็นต่อ เป็นแตนได้ยิ่งกระสัน เราไปชมวีดีโอกันครับ :) :D

:o :o "เปิดตำนานเสกใบมะขามเป็นต่อแตน" สำเร็จลุนลองวิชา หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า :) :D
ไฟล์แนบ
102821.jpg
102821.jpg (107.89 KiB) เข้าดูแล้ว 1185 ครั้ง
102822.jpg
102822.jpg (104.59 KiB) เข้าดูแล้ว 1185 ครั้ง
102824.jpg
102824.jpg (112.72 KiB) เข้าดูแล้ว 1185 ครั้ง
871.JPG
871.JPG (100.64 KiB) เข้าดูแล้ว 1185 ครั้ง
cats๒๓๗.JPG
cats๒๓๗.JPG (102.37 KiB) เข้าดูแล้ว 1185 ครั้ง
cats๒๓๘.๑.JPG
cats๒๓๘.๑.JPG (90.61 KiB) เข้าดูแล้ว 1185 ครั้ง
cats๒๓๘.jpg
cats๒๓๘.jpg (151.01 KiB) เข้าดูแล้ว 1185 ครั้ง
cats๒๓๙.jpg
cats๒๓๙.jpg (138.37 KiB) เข้าดูแล้ว 1185 ครั้ง
cats๒๔๐.jpg
cats๒๔๐.jpg (141.28 KiB) เข้าดูแล้ว 1185 ครั้ง
cats๒๔๑.jpg
cats๒๔๑.jpg (82.71 KiB) เข้าดูแล้ว 1185 ครั้ง
cats๒๔๒.๑.jpg
cats๒๔๒.๑.jpg (143.71 KiB) เข้าดูแล้ว 1185 ครั้ง
cats๒๔๒.jpg
cats๒๔๒.jpg (72.48 KiB) เข้าดูแล้ว 1185 ครั้ง
เราสองคนเยี่ยมชมและกราบนมัสการหลวงปู่พร้อมสร้างบารมีด้วยการนั่งสมาธิเพื่อเป็นพุทธบูชารำลึกถึงองค์หลวงปู่ อัศจรรย์เกิดขึ้นกับผมเรียกว่า &quot;ปลื้มปีติ จนน้ำตาไหล&quot; ก็จะขอนำมาเล่าเพื่อเป็นบุญกุศลและเผื่อท่านใดมีวาสนาบารมีจะได้นำไปปฏิบัติ อาจจะได้พบกับความสงบ ความสุขและความอัศจรรย์ใจเหมือนผมครับ<br /><br />ด้วยเวลาไม่มากเมื่อหาที่นั่งได้เหมาะแล้ว ยกมือพนมแล้วรำลึกในใจว่า &quot;พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ขอคุณพระพุทธเจ้าจงมาสถิตย์ที่ใจ... ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ขอคุณพระธรรมเจ้าจงมาสถิตย์ที่ใจ....สังฆัง สรณังคัจฉามิ ขอคุณพระอริยสงฆ์เจ้า จงมาสถิตย์ที่ใจ พุทโธ ธัมโม สังโฆ..สังโฆ ธัมโม พุทโธ..พุทโธ ธัมโม สังโฆ&quot;<br /><br />จากนั้นหายใจลึก ๆ.....นึก พุท.......หายใจออกยาว ๆ ........นึก โธ.........พุธ.......โธ....... ๓ รอบ รอบที่ ๓ พุท........โธ..หายใจออกพร้อมกับรำลึกว่า....สบาย................. <br /><br />ขอให้สังเกตุจิตของเรารู้ได้ เบา สบายมีปีติ และความสุขมาก (สังเกตุครับ) นั่นคือเราเข้าสู่ฌาน นั่นคือปฐมฌานแล้ว พยายามประคองจิตให้อยู่ที่ สุข สบาย โดยหายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ พร้อมบริกรรมว่า สบาย.......จนเห็นว่าจิตเรานิ่งแล้ว จากนี้ก็ใช้ การ อธิษฐานจิต ขอหลวงปู่เมตตา ให้คำสอนและสิ่งดี ๆ เป็นของกำนัลในการมากราบหลวงปู่ครั้งนี้ด้วย<br /><br />และนี่คือความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นครับ มีเสียงลอยมาที่หู บอกดัง ๆ ว่า <br /><br />&quot;ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ความสงบของจิต จิตว่างจิตไม่ว้าวุ่น นิ่ง ๆ คือธรรมชาติของจิตที่มีพลัง&quot;<br /><br />ผมทำจิตให้นื่งน้อมรับฟังว่าจะมีอะไรต่อไปอีกไหม...จบแค่นี้แล้วท่านก็ให้ผมออกจากสมาธิ รวมเวลาที่นั่งสมาธิเพียงแค่สิบกว่านาทีแค่นั้น ออกจากสมาธิได้ก็เข้าไปกราบที่รูปปั้นหลวงปู่อีกครั้งด้วยความสำนึกขอบพระคุณหลวงปู่ที่เมตตา
เราสองคนเยี่ยมชมและกราบนมัสการหลวงปู่พร้อมสร้างบารมีด้วยการนั่งสมาธิเพื่อเป็นพุทธบูชารำลึกถึงองค์หลวงปู่ อัศจรรย์เกิดขึ้นกับผมเรียกว่า "ปลื้มปีติ จนน้ำตาไหล" ก็จะขอนำมาเล่าเพื่อเป็นบุญกุศลและเผื่อท่านใดมีวาสนาบารมีจะได้นำไปปฏิบัติ อาจจะได้พบกับความสงบ ความสุขและความอัศจรรย์ใจเหมือนผมครับ

ด้วยเวลาไม่มากเมื่อหาที่นั่งได้เหมาะแล้ว ยกมือพนมแล้วรำลึกในใจว่า "พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ขอคุณพระพุทธเจ้าจงมาสถิตย์ที่ใจ... ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ขอคุณพระธรรมเจ้าจงมาสถิตย์ที่ใจ....สังฆัง สรณังคัจฉามิ ขอคุณพระอริยสงฆ์เจ้า จงมาสถิตย์ที่ใจ พุทโธ ธัมโม สังโฆ..สังโฆ ธัมโม พุทโธ..พุทโธ ธัมโม สังโฆ"

จากนั้นหายใจลึก ๆ.....นึก พุท.......หายใจออกยาว ๆ ........นึก โธ.........พุธ.......โธ....... ๓ รอบ รอบที่ ๓ พุท........โธ..หายใจออกพร้อมกับรำลึกว่า....สบาย.................

ขอให้สังเกตุจิตของเรารู้ได้ เบา สบายมีปีติ และความสุขมาก (สังเกตุครับ) นั่นคือเราเข้าสู่ฌาน นั่นคือปฐมฌานแล้ว พยายามประคองจิตให้อยู่ที่ สุข สบาย โดยหายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ พร้อมบริกรรมว่า สบาย.......จนเห็นว่าจิตเรานิ่งแล้ว จากนี้ก็ใช้ การ อธิษฐานจิต ขอหลวงปู่เมตตา ให้คำสอนและสิ่งดี ๆ เป็นของกำนัลในการมากราบหลวงปู่ครั้งนี้ด้วย

และนี่คือความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นครับ มีเสียงลอยมาที่หู บอกดัง ๆ ว่า

"ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ความสงบของจิต จิตว่างจิตไม่ว้าวุ่น นิ่ง ๆ คือธรรมชาติของจิตที่มีพลัง"

ผมทำจิตให้นื่งน้อมรับฟังว่าจะมีอะไรต่อไปอีกไหม...จบแค่นี้แล้วท่านก็ให้ผมออกจากสมาธิ รวมเวลาที่นั่งสมาธิเพียงแค่สิบกว่านาทีแค่นั้น ออกจากสมาธิได้ก็เข้าไปกราบที่รูปปั้นหลวงปู่อีกครั้งด้วยความสำนึกขอบพระคุณหลวงปู่ที่เมตตา
cats๒๔๓.jpg (100.29 KiB) เข้าดูแล้ว 1185 ครั้ง
cats๒๔๔.jpg
cats๒๔๔.jpg (91.98 KiB) เข้าดูแล้ว 1185 ครั้ง
cats๒๔๕.jpg
cats๒๔๕.jpg (131 KiB) เข้าดูแล้ว 1185 ครั้ง
cats๒๔๖.jpg
cats๒๔๖.jpg (143.09 KiB) เข้าดูแล้ว 1185 ครั้ง
cats๒๔๗.๑.JPG
cats๒๔๗.๑.JPG (134.2 KiB) เข้าดูแล้ว 1185 ครั้ง
cats๒๔๗.JPG
วัดปากคลองมะขามเฒ่า จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี<br /><br />วัดปากคลองมะขามเฒ่า เป็นวัดราษฎร์ สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่ริมบริเวณปากคลองมะขามเฒ่า แม่น้ำท่าจีน ในตำบลมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท<br />วัดปากคลองมะขามเฒ่า หรือเรียกว่า วัดปากคลอง ตามชื่อบ้าน สร้างขึ้นเป็นวัดประมาณ พ.ศ. 2432 เดิมมีนามว่า วัดอู่ทองปากคลองมะขามเฒ่า <br /><br />ต่อมาคำว่า &quot;อู่ทอง&quot; ตัดหายไป การสร้างวัดเริ่มมีสองสามีภรรยาได้บริจาคที่ดินเป็นที่สร้างวัด และมีบุตรชายชื่อ &quot;สุข&quot; ต่อมาได้อุปสมบทและได้เป็นเจ้าอาวาสอยู่ปกครองวัดนี้ ซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่า &quot;หลวงปู่สุข&quot; ได้ไปบวชที่อื่นและออกธุดงค์เป็นเวลานานประมาณ 10 ปี แล้วกลับมาเยี่ยมโยมบิดามารดาและได้เป็นเจ้าอาวาสวัดปากคลองมะขามเฒ่า วัดได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2440<br /><br />พระเกจิอาจารย์ชื่อดังในอดีต คือ พระครูวิมลคุณากร (ศุข เกสโร) หรือที่ชาวบ้านรู้จักในนาม หลวงปู่ศุข ประชาชนทั่วไปต่างเลื่อมใสศรัทธาท่านในด้านความศักดิ์สิทธิ์ ด้วยตำนานที่ยังเล่าขานกันสืบมาในเรื่องของวิชาอาคม และเครื่องรางของขลัง ความนิยมในพระเครื่องหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ยังมีอยู่สูงมากในปัจจุบัน แม้ว่าท่านจะมรณภาพไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2466 หลวงปู่ศุขยังได้สร้างพระเครื่อง เครื่องรางของขลัง ซึ่งประชาชนนิยมนำไปสักการะบูชา เชื่อว่าให้คุณทั้งในด้านโชคลาภ เมตตามหานิยม และแคล้วคลาดอยู่ยงคงกระพัน<br /><br />สิ่งสำคัญภายในวัด ได้แก่ รูปเหมือนหลวงปู่ศุข รูปเหมือนกรมหลวงชุมพร เจ้าแม่กวนอิม มณฑป (หลวงปู่ศุข ได้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2456) อุโบสถซึ่งภายในมีจิตรกรรมฝาผนัง เป็นภาพเขียนฝีพระหัตถ์ของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์และมีข้าราชบริพารร่วมเขียนด้วย ทั้งหมดเขียนด้วยอักษรขอม ผนังด้านใต้มีภาพเขียนที่บอกเวลาเขียนไว้คือปี พ.ศ. 2433
วัดปากคลองมะขามเฒ่า จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

วัดปากคลองมะขามเฒ่า เป็นวัดราษฎร์ สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่ริมบริเวณปากคลองมะขามเฒ่า แม่น้ำท่าจีน ในตำบลมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท
วัดปากคลองมะขามเฒ่า หรือเรียกว่า วัดปากคลอง ตามชื่อบ้าน สร้างขึ้นเป็นวัดประมาณ พ.ศ. 2432 เดิมมีนามว่า วัดอู่ทองปากคลองมะขามเฒ่า

ต่อมาคำว่า "อู่ทอง" ตัดหายไป การสร้างวัดเริ่มมีสองสามีภรรยาได้บริจาคที่ดินเป็นที่สร้างวัด และมีบุตรชายชื่อ "สุข" ต่อมาได้อุปสมบทและได้เป็นเจ้าอาวาสอยู่ปกครองวัดนี้ ซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่า "หลวงปู่สุข" ได้ไปบวชที่อื่นและออกธุดงค์เป็นเวลานานประมาณ 10 ปี แล้วกลับมาเยี่ยมโยมบิดามารดาและได้เป็นเจ้าอาวาสวัดปากคลองมะขามเฒ่า วัดได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2440

พระเกจิอาจารย์ชื่อดังในอดีต คือ พระครูวิมลคุณากร (ศุข เกสโร) หรือที่ชาวบ้านรู้จักในนาม หลวงปู่ศุข ประชาชนทั่วไปต่างเลื่อมใสศรัทธาท่านในด้านความศักดิ์สิทธิ์ ด้วยตำนานที่ยังเล่าขานกันสืบมาในเรื่องของวิชาอาคม และเครื่องรางของขลัง ความนิยมในพระเครื่องหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ยังมีอยู่สูงมากในปัจจุบัน แม้ว่าท่านจะมรณภาพไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2466 หลวงปู่ศุขยังได้สร้างพระเครื่อง เครื่องรางของขลัง ซึ่งประชาชนนิยมนำไปสักการะบูชา เชื่อว่าให้คุณทั้งในด้านโชคลาภ เมตตามหานิยม และแคล้วคลาดอยู่ยงคงกระพัน

สิ่งสำคัญภายในวัด ได้แก่ รูปเหมือนหลวงปู่ศุข รูปเหมือนกรมหลวงชุมพร เจ้าแม่กวนอิม มณฑป (หลวงปู่ศุข ได้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2456) อุโบสถซึ่งภายในมีจิตรกรรมฝาผนัง เป็นภาพเขียนฝีพระหัตถ์ของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์และมีข้าราชบริพารร่วมเขียนด้วย ทั้งหมดเขียนด้วยอักษรขอม ผนังด้านใต้มีภาพเขียนที่บอกเวลาเขียนไว้คือปี พ.ศ. 2433
cats๒๔๘.jpg (163.34 KiB) เข้าดูแล้ว 1185 ครั้ง
หลังจากที่เราสองคนได้นั่งสมาธิเพื่อเป็น พุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา แล้วออกจากสมาธิก็มาแชร์ความรู้ที่ได้กัน คุณนายได้แต่เพียงความสงบ จิต สงบใจเท่านั้น ก็ถือว่าได้กำไร ผมได้เล่าเรื่องของผมให้คุณนาย และให้คุณนาย &quot;อนุโมทนาบุญ&quot; เป็นกำไรอีกต่อหนึ่ง<br /><br />จากนั้นเราก็ปั่นไปชมรอบๆ วัดและไปทำภารกิจส่วนตัว(เข้าห้องน้ำ) ห้องน้ำเยอะมากกกกก ใหญ่ด้วย สะอาดมาก แสดงว่าสร้างไว้รองรับศรัทธาญาติโยม ที่แห่แหนกันมา ก่อนออกจากวัดเราก็งัดข้าวหลามที่ซื้อติดมา รองท้องกันไปก่อนเพราะเวลาขณะนั้นใกล้เที่ยงแล้ว<br /><br />ได้เจอผู้คนที่มากราบไหว้หลวงปู่ซึ่งต่างก็ทึ่ง และสนใจกิจกรรมการปั่นจักรยานท่องเที่ยวของเรา ก็ได้แวะเข้ามาทักทาย สนทนาด้วยเป็นที่สนุกสนาน เราก็ได้รับข้อมูลที่จะเดินทางไป อ.วัดสิงห์ และต่อไป อ.มโนรมย์ ว่า &quot;อย่าไปเลย ช่วงนี้ทั้งสองอำเภอไม่มีอะไรให้ได้ชมแล้ว&quot; สู้ปั่นกลับแวะไปวัดเขาท่าพระ วัดเขาพลอย สวนนกน่าจะดีกว่า<br /><br />เราสองคนเกิดลังเลครับก็คุยกันเอา&quot;ไงดี&quot; ผมให้คุณนายตัดสินใจครับ ปรากฏว่าตกลง &quot;กลับทางเดิมตามที่ได้ข้อมูล&quot; ผม &quot;งง&quot; คิดในใจ &quot;คิดผิดละมั๊งเรา&quot; ติดตามกันนะครับเราจะไปทิศทางใดกันต่อ
หลังจากที่เราสองคนได้นั่งสมาธิเพื่อเป็น พุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา แล้วออกจากสมาธิก็มาแชร์ความรู้ที่ได้กัน คุณนายได้แต่เพียงความสงบ จิต สงบใจเท่านั้น ก็ถือว่าได้กำไร ผมได้เล่าเรื่องของผมให้คุณนาย และให้คุณนาย "อนุโมทนาบุญ" เป็นกำไรอีกต่อหนึ่ง

จากนั้นเราก็ปั่นไปชมรอบๆ วัดและไปทำภารกิจส่วนตัว(เข้าห้องน้ำ) ห้องน้ำเยอะมากกกกก ใหญ่ด้วย สะอาดมาก แสดงว่าสร้างไว้รองรับศรัทธาญาติโยม ที่แห่แหนกันมา ก่อนออกจากวัดเราก็งัดข้าวหลามที่ซื้อติดมา รองท้องกันไปก่อนเพราะเวลาขณะนั้นใกล้เที่ยงแล้ว

ได้เจอผู้คนที่มากราบไหว้หลวงปู่ซึ่งต่างก็ทึ่ง และสนใจกิจกรรมการปั่นจักรยานท่องเที่ยวของเรา ก็ได้แวะเข้ามาทักทาย สนทนาด้วยเป็นที่สนุกสนาน เราก็ได้รับข้อมูลที่จะเดินทางไป อ.วัดสิงห์ และต่อไป อ.มโนรมย์ ว่า "อย่าไปเลย ช่วงนี้ทั้งสองอำเภอไม่มีอะไรให้ได้ชมแล้ว" สู้ปั่นกลับแวะไปวัดเขาท่าพระ วัดเขาพลอย สวนนกน่าจะดีกว่า

เราสองคนเกิดลังเลครับก็คุยกันเอา"ไงดี" ผมให้คุณนายตัดสินใจครับ ปรากฏว่าตกลง "กลับทางเดิมตามที่ได้ข้อมูล" ผม "งง" คิดในใจ "คิดผิดละมั๊งเรา" ติดตามกันนะครับเราจะไปทิศทางใดกันต่อ
cats๒๔๓.๑.jpg (96.9 KiB) เข้าดูแล้ว 1185 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4368
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: 1. คนที่อยู่กับคุณไปชั่วชีวิตได้ คือคนที่ยอมรับในอดีตของคุณได้ คือคนที่มั่นใจที่จะสร้างอนาคตไปพร้อมกับคุณ และอภัยคุณได้ในปัจจุบัน

2.หากอยากครอบครองในสิ่งที่คุณไม่เคยมี ก็ต้องทำในสิ่งที่คุณไม่เคยทำให้ได้เสียก่อน

3. กำลังใจ และ คำสบประมาท แม้จะต่างกัน แต่ก็ทำให้คนๆหนึ่งฮึดสู้เพื่อความสำเร็จที่อยู่ตรงหน้า

4. คนแกร่ง หาทางเพื่อสู้ คนอ่อนแอ หาข้ออ้างเพื่อเลิกล้ม คนแกร่ง อาบเหงื่อเพื่อพิสูจน์ตัวเอง คนอ่อนแอ อาบน้ำตาเพื่อปลอบใจตัวเอง

5. วันใดที่คุณประสบความสำเร็จในชีวิต กินผักลวกเขาก็ชื่นชมว่ารักษาสุขภาพ วันใดที่คุณประสบความล้มเหลว กินผักลวกเขากลับบอกว่าตกอับ มันไม่ใช่ผักลวก แต่มันคือชีวิตคน

6. ชีวิต เกิดขึ้นจาก 2 วัน วันแรกที่เกิดมาสู่โลกใบนี้ และวันสุดท้ายที่ต้องลาจากโลกใบนี้

7. ความฝันอันยิ่งใหญ่ สำเร็จได้จากการเริ่มทำ วันนี้คุณเริ่มทำตามฝันแล้วหรือยัง?

@นุสนธิ์บุคส์
:idea: :idea:

:) :D สวัสดียามสาย ๆ ครับท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ เราสองคนเดินทางมาถึงวัดคลองมะขามเฒ่าได้รับสิ่งดี ๆ เป็นกำลังใจจากหลวงปู่ศุข เราได้สนทนากับผู้ที่แวะเวียนมาเที่ยววัด และได้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ เรื่องสถานที่ท่องเที่ยว ใน อ.วัดสิงห์ อ.มโนรมย์ จนทำให้คุณนายตัดสินใจ ย้อนกลับทางเดิม (ซึ่งไม่ใช่วิสัย) ก่อนที่จะจากและอำลาเขตวัดคลองมะขามเฒ่า ก็เกิดอัศจรรย์ตอกย้ำความศรัทธาให้กับผมเป็นอย่างมาก แล้วจะเล่าให้ฟังครับ :lol: :lol:


:roll: :roll: วัดเขาท่าพระ จ ชัยนาท :roll: :roll:
ไฟล์แนบ
473047.jpg
473047.jpg (37.5 KiB) เข้าดูแล้ว 1099 ครั้ง
102825.jpg
102825.jpg (83.24 KiB) เข้าดูแล้ว 1099 ครั้ง
102826.jpg
102826.jpg (103.92 KiB) เข้าดูแล้ว 1099 ครั้ง
102827.jpg
102827.jpg (57.7 KiB) เข้าดูแล้ว 1099 ครั้ง
cats๒๔๙.๑.JPG
cats๒๔๙.๑.JPG (104.57 KiB) เข้าดูแล้ว 1099 ครั้ง
หลังจากที่เที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ ภายในวัดจนอิ่มใจ เราก็พากันออกเดินทางต่อ ครั้งแรกที่ตกลงกันว่าเราจะเข้าไป อ.วัดสิงห์ อ.มโนรมย์ แต่ได้รับข้อมูลจากเจ้าถิ่นแนะนำให้เรา ไปวัดเขาท่าพระ วัดเขาพลวง สวนนกจะดีกว่าไม่ต้องเสียเวลา ซึ่งน่าจะ &quot;ถูกใจคุณนายครับ&quot;<br /><br />ช่วงที่ออกพ้นวัดปรากฏว่าฝนเริ่มพรมโปรยเบา ๆ คุณนายต้องดึงเสื้อฝนออกมาเตรียมรับมือ ช่วงที่เริ่มปั่นเหมือนฝนจะเริ่มโปรยแรงขึ้น ผมจึงใช้วิชา &quot;อ้อนหลวงปู่&quot; คือสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ช่วงหายใจออกยาว ๆ แล้วบริกรรมว่า...สบาย...เมื่อจิตรู้สึกได้ว่า โปร่ง โล่ง เบา สบาย จริง ๆ ...จึงเริ่ม เพิ่งดวงจิตไปหาหลวงปู่..พร้อมอธิษฐานจิตว่า &quot;ขอความเมตตาหลวงปู่ อย่าให้ฝนต้องตกเวลานี้ ขอให้วันนี้ผ่านด้วยดีให้เที่ยวครบวันด้วยเถิด....&quot; <br /><br />เสร็จแล้วก็ประคองจิตให้อยู่โหมด..สบาย ๆ...ปั่นไปด้วยจิตที่นิ่ง สงบ สบาย ตามหลังคุณนายไปเรื่อย ๆ ปั่นไปได้ประมาณสัก ๑ - ๒ กม.สังเกตุได้ฝนที่เริ่มโปรยแรงขึ้น ๆ กลับซาเม็ดลง เหลือแต่ลมเย็นที่ปะทะใบหน้า จนผ่านเลยวัดธรรมามูล เมฆฝนที่มืดคลึ้มกลับเพราตัวลง ทำให้เราปั่นกันด้วยความสุข <br /><br />ผมเชื่อและศรัทธาว่า &quot;นี่คืออภินิหารที่หลวงปู่เมตตา แสดงให้ผมเห็น เน้นย้ำแนวทางการปฏิบัติธรรม ที่ผมและคุณนายได้ปฏิบัติมา เป็นกำลังใจให้เราทั้งสองมี พละกำลังในการที่จะมุ่งมั่นเดินเส้นทางสายธรรมนี้ต่อไป และให้ยิ่ง ๆ ขึ้น&quot; กราบนมัสการขอบพระคุณหลวงปู่ศุขวัดคลองมะขามเฒ่า ครับ.
หลังจากที่เที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ ภายในวัดจนอิ่มใจ เราก็พากันออกเดินทางต่อ ครั้งแรกที่ตกลงกันว่าเราจะเข้าไป อ.วัดสิงห์ อ.มโนรมย์ แต่ได้รับข้อมูลจากเจ้าถิ่นแนะนำให้เรา ไปวัดเขาท่าพระ วัดเขาพลวง สวนนกจะดีกว่าไม่ต้องเสียเวลา ซึ่งน่าจะ "ถูกใจคุณนายครับ"

ช่วงที่ออกพ้นวัดปรากฏว่าฝนเริ่มพรมโปรยเบา ๆ คุณนายต้องดึงเสื้อฝนออกมาเตรียมรับมือ ช่วงที่เริ่มปั่นเหมือนฝนจะเริ่มโปรยแรงขึ้น ผมจึงใช้วิชา "อ้อนหลวงปู่" คือสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ช่วงหายใจออกยาว ๆ แล้วบริกรรมว่า...สบาย...เมื่อจิตรู้สึกได้ว่า โปร่ง โล่ง เบา สบาย จริง ๆ ...จึงเริ่ม เพิ่งดวงจิตไปหาหลวงปู่..พร้อมอธิษฐานจิตว่า "ขอความเมตตาหลวงปู่ อย่าให้ฝนต้องตกเวลานี้ ขอให้วันนี้ผ่านด้วยดีให้เที่ยวครบวันด้วยเถิด...."

เสร็จแล้วก็ประคองจิตให้อยู่โหมด..สบาย ๆ...ปั่นไปด้วยจิตที่นิ่ง สงบ สบาย ตามหลังคุณนายไปเรื่อย ๆ ปั่นไปได้ประมาณสัก ๑ - ๒ กม.สังเกตุได้ฝนที่เริ่มโปรยแรงขึ้น ๆ กลับซาเม็ดลง เหลือแต่ลมเย็นที่ปะทะใบหน้า จนผ่านเลยวัดธรรมามูล เมฆฝนที่มืดคลึ้มกลับเพราตัวลง ทำให้เราปั่นกันด้วยความสุข

ผมเชื่อและศรัทธาว่า "นี่คืออภินิหารที่หลวงปู่เมตตา แสดงให้ผมเห็น เน้นย้ำแนวทางการปฏิบัติธรรม ที่ผมและคุณนายได้ปฏิบัติมา เป็นกำลังใจให้เราทั้งสองมี พละกำลังในการที่จะมุ่งมั่นเดินเส้นทางสายธรรมนี้ต่อไป และให้ยิ่ง ๆ ขึ้น" กราบนมัสการขอบพระคุณหลวงปู่ศุขวัดคลองมะขามเฒ่า ครับ.
cats๒๔๙.JPG (82.96 KiB) เข้าดูแล้ว 1099 ครั้ง
cats๒๕๐.jpg
cats๒๕๐.jpg (125.39 KiB) เข้าดูแล้ว 1099 ครั้ง
cats๒๕๑.๑.JPG
cats๒๕๑.๑.JPG (69.75 KiB) เข้าดูแล้ว 1099 ครั้ง
cats๒๕๑.jpg
cats๒๕๑.jpg (143.89 KiB) เข้าดูแล้ว 1099 ครั้ง
cats๒๕๒.JPG
cats๒๕๒.JPG (80.54 KiB) เข้าดูแล้ว 1099 ครั้ง
cats๒๕๓.JPG
cats๒๕๓.JPG (111.82 KiB) เข้าดูแล้ว 1099 ครั้ง
cats๒๕๕.๒.jpg
cats๒๕๔.jpg
cats๒๕๔.jpg (154.63 KiB) เข้าดูแล้ว 1099 ครั้ง
cats๒๕๕.๑.jpg
cats๒๕๕.๓.jpg
cats๒๕๕.jpg
cats๒๕๕.jpg (150.84 KiB) เข้าดูแล้ว 1099 ครั้ง
cats๒๕๖.jpg
cats๒๕๖.jpg (81.42 KiB) เข้าดูแล้ว 1099 ครั้ง
วันที่เราไปยังวัดเขาท่าพระวันนั้น ปรากฏที่วัดมีงานขาวดำ จะมีการฌาปนกิจศพมีคนมาร่วมงานเยอะมาก ไม่สะดวกกับเราที่จะเข้าไปชมโบส์ถวิหารศาลา เราได้แต่เพียงปั่นชมเท่าที่ทำได้วนออกทางหน้าวัด แวะคุยกับแม่ค้าที่ขายของประจำวัด ได้ข้อมูลอีกหลายอย่าง ที่สำคัญแม่ค้าแนะนำให้ขึ้นไปกราบพระที่บนยอดเขา จะได้ชมวิวสวย ๆ ด้วย แต่เนื่องจากเวลาเที่ยงแล้ว คุณนายไม่อยากจะขึ้นไปแล้ว เป็นอันว่าเราเดินทางกันต่อ<br /><br />เป้าหมายอยู่ที่ สวนนกครับ ติดตามกันต่อนะครับ โชคดีมีความสุขครับ
วันที่เราไปยังวัดเขาท่าพระวันนั้น ปรากฏที่วัดมีงานขาวดำ จะมีการฌาปนกิจศพมีคนมาร่วมงานเยอะมาก ไม่สะดวกกับเราที่จะเข้าไปชมโบส์ถวิหารศาลา เราได้แต่เพียงปั่นชมเท่าที่ทำได้วนออกทางหน้าวัด แวะคุยกับแม่ค้าที่ขายของประจำวัด ได้ข้อมูลอีกหลายอย่าง ที่สำคัญแม่ค้าแนะนำให้ขึ้นไปกราบพระที่บนยอดเขา จะได้ชมวิวสวย ๆ ด้วย แต่เนื่องจากเวลาเที่ยงแล้ว คุณนายไม่อยากจะขึ้นไปแล้ว เป็นอันว่าเราเดินทางกันต่อ

เป้าหมายอยู่ที่ สวนนกครับ ติดตามกันต่อนะครับ โชคดีมีความสุขครับ
cats๒๕๗.jpg (138.79 KiB) เข้าดูแล้ว 1099 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4368
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: นกชนิดเดียวที่สามารถอยู่เหนืออินทรีย์ได้ คืออีกา..!

มันจะขึ้นขี่หลังพญาอินทรีย์และคอยจิกคอยสร้างความรำคาญอยู่ตลอดเวลา..แต่พญาอินทรีย์จะไม่ตอบโต้ โจมตี และเสียเวลาไปตอแยกับมันเพียงแค่กางปีกให้กว้างและบินสูงขึ้นๆ ยิ่งสูงเท่าไหร่อีกาก็ยิ่งหายใจลำบากเท่านั้น แล้วมันก็จะเริ่มถอนตัวร่วงหล่นลงมา เพราะขาดอ็อกซิเจนในอากาศและหมดเรี่ยวแรงจะบิน.

เก็บแรงของคุณไว้บินให้สูงอย่าให้ราคากับคนที่ชิงชังเรา เดี๋ยวเขาก็ตกต่ำเพราะทำตนเอง เมื่อนั้นทุกอย่างจะราบรื่นโดยไม่ต้องออกแรง.
:idea: :idea:

:) :D อรุณสวัสดิ์ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ เช้านี้เรามาไปต่อกัน ผมจะพาทุกท่านไปเที่ยววัดเขาพลอง แล้วไปเที่ยวสวนนกกันต่อครับ ที่วัดเขาพลองมีของดีแต่เสียดายที่เราสองคนไม่ได้ปั่นขึ้นไปชมข้างบน ทราบจากญาติธรรมของวัดแจ้งว่าวิหารปิด แต่มีวีดีโอที่มีผู้ทำขึ้นเผยแพร่เราไปชมกันครับ :( :(

:o :o วัดเขาพลองชัยนาท : #djimini3pro :) :D
ไฟล์แนบ
910397.jpg
910397.jpg (15.5 KiB) เข้าดูแล้ว 991 ครั้ง
102828.jpg
102828.jpg (49.99 KiB) เข้าดูแล้ว 991 ครั้ง
102829.jpg
102829.jpg (59.66 KiB) เข้าดูแล้ว 991 ครั้ง
cats๒๕๘.JPG
cats๒๕๘.JPG (121.57 KiB) เข้าดูแล้ว 991 ครั้ง
มีรถยนต์ของญาติธรรมจอดอยู่คุณนายได้สอบถามทางขึ้น ได้รับคำตอบว่าช่วงนี้ทางวัดปิดโบถสฺปิดศาลา เข้าไปชมข้างในไม่ได้ถ้าเราปั่นขึ้นไปก็จะเสียเวลา สู้ไปหาอะไรกินแล้วไปเที่ยวสวนนกกัน เป็นการเซพเวลาถ้าเวลาเหลือเรายังย้อนกลับมาขึ้นใหม่ก็ยังได้ ตกลงตามนั้นครับ
มีรถยนต์ของญาติธรรมจอดอยู่คุณนายได้สอบถามทางขึ้น ได้รับคำตอบว่าช่วงนี้ทางวัดปิดโบถสฺปิดศาลา เข้าไปชมข้างในไม่ได้ถ้าเราปั่นขึ้นไปก็จะเสียเวลา สู้ไปหาอะไรกินแล้วไปเที่ยวสวนนกกัน เป็นการเซพเวลาถ้าเวลาเหลือเรายังย้อนกลับมาขึ้นใหม่ก็ยังได้ ตกลงตามนั้นครับ
cats๒๕๙.JPG (146.51 KiB) เข้าดูแล้ว 991 ครั้ง
cats๒๖๐.JPG
cats๒๖๐.JPG (138.17 KiB) เข้าดูแล้ว 991 ครั้ง
ประวัติ<br /><br />วัดปฐมเทศนาอรัญวาสี (วัดเขาพลอง) ตั้งอยู่ตำบลเขาท่าพระ อำเภอเมืองชัยนาท บริเวณไหล่เขาเป็นที่ตั้งของสำนักปฏิบัติธรรมและเป็นที่ประดิษฐาน &quot;พระพุทธอริยธัมโม&quot; พระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ศิลปะสุโขทัยที่งดงามมาก บนยอดเขารถยนต์สามารถเข้าถึงได้ เป็นที่ประดิษฐานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขนาดใหญ่สีทองและเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์เมืองชัยนาทที่สวยงามทั้งในเวลากลางวันและยามค่ำคืน <br /><br />ภายในพระอุโบสถบนยอดเขามีรูปปั้นเกจิอาจารย์ชื่อดัง 3 องค์ คือ หลวงพ่อชื้น หลวงพ่อกบ และหลวงพ่อโอภาสี วัดแห่งนี้กำหนดขึ้นด้วยพลังศรัทธาของญาติโยมพุทธศาสนิกชน ภายใต้การนำของ ร.ท.ชื้น ธรรมชัย หนึ่งในศิษย์ของหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี (ลูกศิษย์นิยมเรียกว่า สมเด็จพระบรมครู ในฐานะเป็นครูท่านแรกที่สอนวิปัสสนากรรมฐาน) และศิษย์ผู้น้องของหลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด (ภายหลังอุปสมบทคือ หลวงพ่อชื้น อริยธัมโม เจ้าอาวาสวัดเขาพลองรูปแรก) และนายทองดี เตชะสุวรรณ อดีตคหบดีผู้ล่วงลับ ได้ร่วมกันประสานกรมการศาสนา จนได้รับความเห็นชอบจากมหาเถรสมาคมและกระทรวงศึกษาธิการ อนุญาตให้สร้างวัดขึ้นที่บ้านเขาพลอง ต.เขาท่าพระ อ.เมือง จ.ชัยนาท ในวันที่ 27 กันยายน 2516 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเป็นวัดโดยสมบูรณ์ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2519 ลงนามโดยนายธานินทร์ กรัยวิเชียร นายกรัฐมนตรี (ในสมัยนั้น) มีชื่อเป็นทางการว่า &quot;วัดปฐมเทศนาอรัญวาสี&quot; แต่ชาวบ้านเรียกติดปากว่า &quot;วัดเขาพลอง&quot; <br /><br />พระพุทธอริยธัมโม เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย สูง 8 วา 3 ศอก 1 นิ้ว รวมฐานสูง 9 วา 3 ศอก 6 นิ้ว หน้าตักกว้าง 6 วา 1 ศอก ประดิษฐานผินพระพักตร์ไปทางถนน หากเข้ากราบไหว้ใกล้ ๆ จะทราบได้ว่ารูปพระพักตร์ขององค์พระพุทธรูปนั้นงามมาก และบนยอดเขามีการสร้างพระธาตุเจดีย์สูงเด่น มีการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อปี พ.ศ. 2509 และสร้างพระธาตุเจดีย์องค์จำลองไว้ใกล้ ๆ กับองค์พระพุทธอริยธัมโม การสร้างจำลองนั้นสร้างได้เหมือนกับองค์จริงมาก ทั้งลักษณะขององค์พระธาตุ การสร้างบนฐานหินอ่อน และการประดิษฐานพระพุทธรูปประจำวันเกิดสีทองรอบด้าน<br /><br />Cr. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของประเทศไทย
ประวัติ

วัดปฐมเทศนาอรัญวาสี (วัดเขาพลอง) ตั้งอยู่ตำบลเขาท่าพระ อำเภอเมืองชัยนาท บริเวณไหล่เขาเป็นที่ตั้งของสำนักปฏิบัติธรรมและเป็นที่ประดิษฐาน "พระพุทธอริยธัมโม" พระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ศิลปะสุโขทัยที่งดงามมาก บนยอดเขารถยนต์สามารถเข้าถึงได้ เป็นที่ประดิษฐานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขนาดใหญ่สีทองและเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์เมืองชัยนาทที่สวยงามทั้งในเวลากลางวันและยามค่ำคืน

ภายในพระอุโบสถบนยอดเขามีรูปปั้นเกจิอาจารย์ชื่อดัง 3 องค์ คือ หลวงพ่อชื้น หลวงพ่อกบ และหลวงพ่อโอภาสี วัดแห่งนี้กำหนดขึ้นด้วยพลังศรัทธาของญาติโยมพุทธศาสนิกชน ภายใต้การนำของ ร.ท.ชื้น ธรรมชัย หนึ่งในศิษย์ของหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี (ลูกศิษย์นิยมเรียกว่า สมเด็จพระบรมครู ในฐานะเป็นครูท่านแรกที่สอนวิปัสสนากรรมฐาน) และศิษย์ผู้น้องของหลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด (ภายหลังอุปสมบทคือ หลวงพ่อชื้น อริยธัมโม เจ้าอาวาสวัดเขาพลองรูปแรก) และนายทองดี เตชะสุวรรณ อดีตคหบดีผู้ล่วงลับ ได้ร่วมกันประสานกรมการศาสนา จนได้รับความเห็นชอบจากมหาเถรสมาคมและกระทรวงศึกษาธิการ อนุญาตให้สร้างวัดขึ้นที่บ้านเขาพลอง ต.เขาท่าพระ อ.เมือง จ.ชัยนาท ในวันที่ 27 กันยายน 2516 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเป็นวัดโดยสมบูรณ์ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2519 ลงนามโดยนายธานินทร์ กรัยวิเชียร นายกรัฐมนตรี (ในสมัยนั้น) มีชื่อเป็นทางการว่า "วัดปฐมเทศนาอรัญวาสี" แต่ชาวบ้านเรียกติดปากว่า "วัดเขาพลอง"

พระพุทธอริยธัมโม เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย สูง 8 วา 3 ศอก 1 นิ้ว รวมฐานสูง 9 วา 3 ศอก 6 นิ้ว หน้าตักกว้าง 6 วา 1 ศอก ประดิษฐานผินพระพักตร์ไปทางถนน หากเข้ากราบไหว้ใกล้ ๆ จะทราบได้ว่ารูปพระพักตร์ขององค์พระพุทธรูปนั้นงามมาก และบนยอดเขามีการสร้างพระธาตุเจดีย์สูงเด่น มีการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อปี พ.ศ. 2509 และสร้างพระธาตุเจดีย์องค์จำลองไว้ใกล้ ๆ กับองค์พระพุทธอริยธัมโม การสร้างจำลองนั้นสร้างได้เหมือนกับองค์จริงมาก ทั้งลักษณะขององค์พระธาตุ การสร้างบนฐานหินอ่อน และการประดิษฐานพระพุทธรูปประจำวันเกิดสีทองรอบด้าน

Cr. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของประเทศไทย
cats๒๖๒.JPG
cats๒๖๓.JPG
cats๒๖๓.JPG (172.02 KiB) เข้าดูแล้ว 991 ครั้ง
cats๒๖๔.JPG
cats๒๖๔.JPG (122.07 KiB) เข้าดูแล้ว 991 ครั้ง
cats๒๖๕.JPG
cats๒๖๕.JPG (118.79 KiB) เข้าดูแล้ว 991 ครั้ง
cats๒๖๖.JPG
ก่อนเข้าไปชมต้องซื้อบัตรก่อนนะครับ สว.เข้าฟรี (คนแก่มันดีตรงนี้ ๕๕) แต่จักรยานเอาเข้าไปไม่ได้ต้องฝากไว้บริเวณยามนั่งอยู่ครับ (ใกล้ ๆ ห้องขายตั๋ว)
ก่อนเข้าไปชมต้องซื้อบัตรก่อนนะครับ สว.เข้าฟรี (คนแก่มันดีตรงนี้ ๕๕) แต่จักรยานเอาเข้าไปไม่ได้ต้องฝากไว้บริเวณยามนั่งอยู่ครับ (ใกล้ ๆ ห้องขายตั๋ว)
cats๒๖๗.JPG (140.23 KiB) เข้าดูแล้ว 991 ครั้ง
ช่วงที่เรากำลังทานมื้อเที่ยง คุณนายได้โทร ฯ ประสานชัยนาทรีสอร์ทว่าเราจะขอเข้าพักห้องเดิมทันหรือไม่ ปรากฏว่าได้ คุณนายก็เลยจองเข้าพักคืนนี้ จากนั้นคุณนายก็โทร ฯ ไปสถานีขนส่งสอบถามรถทัวร์ที่จะไปเชียงใหม่ ปรากฏว่ามีพรุ่งนี้(๑๓ ก.ย.๖๖) เวลา ๑๐.๓๐ น. คุณนายก็เลย จอง ๒ ที่นั่ง สรุปว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของทริปนี้แล้ว <br /><br />ในใจลึก ๆ ของผมยังไม่อยากจะกลับ แต่คุณนายได้แจ้งให้ทราบว่าคุณนายได้ตกลงกับหลานรักไว้ว่า ปู่-ย่าจะไป ๕ วัน นี่ก็ครบแล้วต้องทำตามสัญญา เรื่องนี้ผมไม่ทราบมาก่อน แต่ผมบอกหลานไว้ ๗ วัน เสียดายที่ไม่ได้ไป อ.มโนรมย์ครับ ความขัดแย้งทางความคิดสามารถปรับได้ หากเราไม่ยึดติดในความคิดของเราแบบสุดโต่ง เราก็ไปกันได้แบบมีความสุข ผมเลือกที่จะ &quot;อะไรก็ได้ ไม่ว่ากัน เอาที่สบายใจ&quot; (ให้ใจ เอาใจ ตามใจ) ครับ.
ช่วงที่เรากำลังทานมื้อเที่ยง คุณนายได้โทร ฯ ประสานชัยนาทรีสอร์ทว่าเราจะขอเข้าพักห้องเดิมทันหรือไม่ ปรากฏว่าได้ คุณนายก็เลยจองเข้าพักคืนนี้ จากนั้นคุณนายก็โทร ฯ ไปสถานีขนส่งสอบถามรถทัวร์ที่จะไปเชียงใหม่ ปรากฏว่ามีพรุ่งนี้(๑๓ ก.ย.๖๖) เวลา ๑๐.๓๐ น. คุณนายก็เลย จอง ๒ ที่นั่ง สรุปว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของทริปนี้แล้ว

ในใจลึก ๆ ของผมยังไม่อยากจะกลับ แต่คุณนายได้แจ้งให้ทราบว่าคุณนายได้ตกลงกับหลานรักไว้ว่า ปู่-ย่าจะไป ๕ วัน นี่ก็ครบแล้วต้องทำตามสัญญา เรื่องนี้ผมไม่ทราบมาก่อน แต่ผมบอกหลานไว้ ๗ วัน เสียดายที่ไม่ได้ไป อ.มโนรมย์ครับ ความขัดแย้งทางความคิดสามารถปรับได้ หากเราไม่ยึดติดในความคิดของเราแบบสุดโต่ง เราก็ไปกันได้แบบมีความสุข ผมเลือกที่จะ "อะไรก็ได้ ไม่ว่ากัน เอาที่สบายใจ" (ให้ใจ เอาใจ ตามใจ) ครับ.
cats๒๖๘.JPG (213.6 KiB) เข้าดูแล้ว 991 ครั้ง
502641.jpg
502641.jpg (118.78 KiB) เข้าดูแล้ว 991 ครั้ง
สงสารประชากรของชาวปาเลสไตน์ ที่ต้องอพยพออกจากถิ่นที่อาศัยของตน(หนีตาย)คนเป็นล้านแออัดยัดเยียด ที่อยู่ที่กินจะทำอย่างไร สงครามมันโหดร้าย แค่คนกลุ่มหนึ่งไม่กี่คน สร้างความทุกข์ให้กับเพื่อนร่วมโลกอย่างแสนสาหัส<br /><br />สงคราม (อังกฤษ: War) คือ ความขัดแย้งเป็นวงกว้าง และก่อให้เกิดผลกระทบอย่างร้ายแรง สงครามนั้นเกิดขึ้นเมื่อเกิดความขัดแย้ง และไม่สามารถแก้ไขด้วยวิธีสันติ สุดท้ายจึงลงเอยด้วยการทำสงครามหรือการใช้กำลังเพื่อลิดรอนหรือกำจัดบทบาททางการเมืองของรัฐ อื่น สงครามนั้นเกิดขึ้นตลอดช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ สงครามนั้นมีตั้งแต่ระดับรัฐ ชาติและจักรวรรดิ<br /><br />              ทหารผู้ทำการรบและกลุ่มผู้สนับสนุนการปฏิบัติการทางบกนั้นถูกเรียกว่า กองทัพบก การปฏิบัติการทางทะเลเรียกว่า กองทัพเรือ และการปฏิบัติการทางอากาศเรียกว่า กองทัพอากาศ สงครามนั้นอาจจะดำเนินไปในหลายยุทธบริเวณในเวลาเดียวกันก็ได้ซึ่งในขอบเขตดัง กล่าวนั้นก็อาจประกอบด้วยหลาย ๆ การทัพติดต่อกันการรณรงค์ทางการทหารนั้นมิใช่เพียงแต่การรบแต่ว่าเป็นการต่อสู้ทั้งทางด้านข่าว กรอง การเคลื่อนทัพ การสะสมเสบียง การโฆษณาชวนเชื่อและอีกหลายปัจจัยเข้ามาร่วมด้วย ความขัดแย้งที่เกิดต่อเนื่องกันนั้นเดิมมักจะ เรียกว่า การรบ แต่ว่าการใช้คำดังกล่าวก็ไม่ได้รวมไปถึงการใช้เครื่องบิน จรวด ขีปนาวุธและการทิ้งระเบิดเพียงอย่างเดียว โดยปราศจาก กองทัพบกและกองทัพเรือเสมอไป<br /><br />              มนุษย์นั้นเคยคิดว่าตนเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวซึ่งก่อสงคราม ทว่าภายหลังการสังเกตการชีวิตของสัตว์โลกหลายชนิดก็ทำให้เราทราบว่า สงครามนั้นยังเกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ด้วย เช่น การต่อสู้ระหว่างอาณานิคมของมดและการต่อสู้ระหว่างเผ่าของลิงชิมแปนซีรวมไปถึง สัตว์อีกหลายชนิดที่ไม่ได้มีการบันทึไว้<br />ประวัติศาสตร์การทำสงคราม<br /><br />              ก่อนหน้าที่จะมีความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์ สงครามประกอบไปด้วยการจู่โจมอย่างรวดเร็วขนาดเล็ก ๆ เท่านั้น พบว่าชาวนูเบีย ประมาณ 12,000 ปีที่แล้ว ครึ่งหนึ่งเสียชีวิตเพราะความรุนแรงจนกระทั่งเมื่อถึงยุคการปกครองแบบรัฐเมื่อ 5,000 ปีที่แล้ว กิจการทหารได้ แพร่ขยายไปทั่วโลก การคิดค้นดินปืนและความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้นำไปสู่การรบสมัยใหม่ในที่สุด<br /><br />              ในหนังสือเรื่อง Why Nations Go to War โดย จอห์น จี. สโทสซิงเกอร์ ได้กล่าวว่า ฝ่ายคู่สงครามทั้งสองฝ่ายจะกล่าวอ้างว่าตนเป็น ฝ่ายที่ต่อสู้เพื่อคุณธรรมเขายังกล่าวอีกว่าสาเหตุเพื่อจะจุดชนวนสงครามขึ้นอยู่กับการประเมินในแง่ดีที่คาดว่าจะเป็นผลที่ได้รับจากความ เป็นปรปักษ์นั้น (อันได้แก่มูลค่าและความสูญเสีย)<br />ปัจจัยที่นำไปสู่สงคราม<br /><br />              สงครามนั้นเกิดขึ้นหลังจากการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ แต่ว่าสงครามโดยทั่วไปนั้นไม่จำเป็นต้องกระทำก็ได้ ทฤษฎี ทั่วไปว่าด้วยการทำสงครามนั้นมิได้อธิบายถึงการทำสงครามแต่เพียงประการเดียวเท่านั้นแต่ว่ายังกล่าวถึงภาวะสันติภาพด้วย มันจะต้อง อธิบายไม่เพียงเฉพาะว่าสงครามนั้นเกิดขึ้นในหลายชั่วอายุคนและเกิดขึ้นในเกือบทุกพื้นที่บนโลกและนอกจากนั้นยังต้องกล่าวถึงตัวอย่าง ของสันติภาพที่เกืดขึ้นภายหลังสงครามด้วย เช่น สันติภาพโรมันและสันติภาพของทวีปยุโรปภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง<br /><br />              เจตนาที่ก่อให้เกิดสงครามนั้นแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของสงครามมากกว่างานของสงครามสำหรับรัฐที่ต้องการทำ สงครามนั้นต้องมีการสนับสนุนผู้นำกำลังทหารและประชากรของรัฐยกตัวอย่างเช่นในสงครามพิวนิคครั้งที่สามผู้นำของโรมันนั้นต้องการทำ สงครามกับคาเธจด้วยจุดประสงค์ที่จะไม่ให้คาเธจฟื้นตัวจากความเสียหายเดิมขณะที่ทหารโรมันแต่ละนายนั้นอาจมีความต้องการที่จะยุติ การฝึกโดยการเสียสละเด็กหลังจากที่คนจำนวนมากได้เข้ามาพัวพันกับสงคราม สงครามนั้นก็จะมีชีวิตเป็นของมันเอง จากหลากหลาย สาเหตุที่มารวมกัน<br /><br />เป้าหมายและผลประโยชน์ของสงคราม<br /><br />              สงครามไม่อาจเกิดขึ้นได้หากปราศจากผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับกลุ่มคนหนึ่ง ซึ่งเป้าหมายและผลประโยชน์ที่ได้รับจากสงคราม สามารถเรียงเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้<br />              1. เพื่อปกป้องเกียรติภูมิของชาติจากการรุกรานของต่างชาติ<br />              2. เพื่อประโยชน์แก่ประชาชน ด้วยการยึดครองทรัพยากรธรรมชาติ หรือการประกาศอิสรภาพ<br />              3. เพื่อลงโทษแนวคิดที่เห็นว่าผิดหรือเห็นว่าไม่เหมาะสม แต่สงครามทุกครั้งก็ไม่อาจที่จะบรรยายได้ตามลักษณะดังกล่าว ตัวอย่างเช่น สงครามเย็น ซึ่งทำให้ประชาชนหลายล้านคนเสียชีวิต<br /><br />ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/สงคราม<br /><br /># ถ้าโลกนี้นับถือพุทธศาสนากันทั้งโลก เชื่อว่าเหตุการณ์แบบนี้ คงเกิดได้ยาก <br /># พุทธศาสนาคือศาสนาแห่งสันติภาพ<br />#พุทธศาสนาคือศาสนาแห่งการพ้นทุกข์
สงสารประชากรของชาวปาเลสไตน์ ที่ต้องอพยพออกจากถิ่นที่อาศัยของตน(หนีตาย)คนเป็นล้านแออัดยัดเยียด ที่อยู่ที่กินจะทำอย่างไร สงครามมันโหดร้าย แค่คนกลุ่มหนึ่งไม่กี่คน สร้างความทุกข์ให้กับเพื่อนร่วมโลกอย่างแสนสาหัส

สงคราม (อังกฤษ: War) คือ ความขัดแย้งเป็นวงกว้าง และก่อให้เกิดผลกระทบอย่างร้ายแรง สงครามนั้นเกิดขึ้นเมื่อเกิดความขัดแย้ง และไม่สามารถแก้ไขด้วยวิธีสันติ สุดท้ายจึงลงเอยด้วยการทำสงครามหรือการใช้กำลังเพื่อลิดรอนหรือกำจัดบทบาททางการเมืองของรัฐ อื่น สงครามนั้นเกิดขึ้นตลอดช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ สงครามนั้นมีตั้งแต่ระดับรัฐ ชาติและจักรวรรดิ

ทหารผู้ทำการรบและกลุ่มผู้สนับสนุนการปฏิบัติการทางบกนั้นถูกเรียกว่า กองทัพบก การปฏิบัติการทางทะเลเรียกว่า กองทัพเรือ และการปฏิบัติการทางอากาศเรียกว่า กองทัพอากาศ สงครามนั้นอาจจะดำเนินไปในหลายยุทธบริเวณในเวลาเดียวกันก็ได้ซึ่งในขอบเขตดัง กล่าวนั้นก็อาจประกอบด้วยหลาย ๆ การทัพติดต่อกันการรณรงค์ทางการทหารนั้นมิใช่เพียงแต่การรบแต่ว่าเป็นการต่อสู้ทั้งทางด้านข่าว กรอง การเคลื่อนทัพ การสะสมเสบียง การโฆษณาชวนเชื่อและอีกหลายปัจจัยเข้ามาร่วมด้วย ความขัดแย้งที่เกิดต่อเนื่องกันนั้นเดิมมักจะ เรียกว่า การรบ แต่ว่าการใช้คำดังกล่าวก็ไม่ได้รวมไปถึงการใช้เครื่องบิน จรวด ขีปนาวุธและการทิ้งระเบิดเพียงอย่างเดียว โดยปราศจาก กองทัพบกและกองทัพเรือเสมอไป

มนุษย์นั้นเคยคิดว่าตนเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวซึ่งก่อสงคราม ทว่าภายหลังการสังเกตการชีวิตของสัตว์โลกหลายชนิดก็ทำให้เราทราบว่า สงครามนั้นยังเกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ด้วย เช่น การต่อสู้ระหว่างอาณานิคมของมดและการต่อสู้ระหว่างเผ่าของลิงชิมแปนซีรวมไปถึง สัตว์อีกหลายชนิดที่ไม่ได้มีการบันทึไว้
ประวัติศาสตร์การทำสงคราม

ก่อนหน้าที่จะมีความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์ สงครามประกอบไปด้วยการจู่โจมอย่างรวดเร็วขนาดเล็ก ๆ เท่านั้น พบว่าชาวนูเบีย ประมาณ 12,000 ปีที่แล้ว ครึ่งหนึ่งเสียชีวิตเพราะความรุนแรงจนกระทั่งเมื่อถึงยุคการปกครองแบบรัฐเมื่อ 5,000 ปีที่แล้ว กิจการทหารได้ แพร่ขยายไปทั่วโลก การคิดค้นดินปืนและความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้นำไปสู่การรบสมัยใหม่ในที่สุด

ในหนังสือเรื่อง Why Nations Go to War โดย จอห์น จี. สโทสซิงเกอร์ ได้กล่าวว่า ฝ่ายคู่สงครามทั้งสองฝ่ายจะกล่าวอ้างว่าตนเป็น ฝ่ายที่ต่อสู้เพื่อคุณธรรมเขายังกล่าวอีกว่าสาเหตุเพื่อจะจุดชนวนสงครามขึ้นอยู่กับการประเมินในแง่ดีที่คาดว่าจะเป็นผลที่ได้รับจากความ เป็นปรปักษ์นั้น (อันได้แก่มูลค่าและความสูญเสีย)
ปัจจัยที่นำไปสู่สงคราม

สงครามนั้นเกิดขึ้นหลังจากการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ แต่ว่าสงครามโดยทั่วไปนั้นไม่จำเป็นต้องกระทำก็ได้ ทฤษฎี ทั่วไปว่าด้วยการทำสงครามนั้นมิได้อธิบายถึงการทำสงครามแต่เพียงประการเดียวเท่านั้นแต่ว่ายังกล่าวถึงภาวะสันติภาพด้วย มันจะต้อง อธิบายไม่เพียงเฉพาะว่าสงครามนั้นเกิดขึ้นในหลายชั่วอายุคนและเกิดขึ้นในเกือบทุกพื้นที่บนโลกและนอกจากนั้นยังต้องกล่าวถึงตัวอย่าง ของสันติภาพที่เกืดขึ้นภายหลังสงครามด้วย เช่น สันติภาพโรมันและสันติภาพของทวีปยุโรปภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

เจตนาที่ก่อให้เกิดสงครามนั้นแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของสงครามมากกว่างานของสงครามสำหรับรัฐที่ต้องการทำ สงครามนั้นต้องมีการสนับสนุนผู้นำกำลังทหารและประชากรของรัฐยกตัวอย่างเช่นในสงครามพิวนิคครั้งที่สามผู้นำของโรมันนั้นต้องการทำ สงครามกับคาเธจด้วยจุดประสงค์ที่จะไม่ให้คาเธจฟื้นตัวจากความเสียหายเดิมขณะที่ทหารโรมันแต่ละนายนั้นอาจมีความต้องการที่จะยุติ การฝึกโดยการเสียสละเด็กหลังจากที่คนจำนวนมากได้เข้ามาพัวพันกับสงคราม สงครามนั้นก็จะมีชีวิตเป็นของมันเอง จากหลากหลาย สาเหตุที่มารวมกัน

เป้าหมายและผลประโยชน์ของสงคราม

สงครามไม่อาจเกิดขึ้นได้หากปราศจากผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับกลุ่มคนหนึ่ง ซึ่งเป้าหมายและผลประโยชน์ที่ได้รับจากสงคราม สามารถเรียงเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้
1. เพื่อปกป้องเกียรติภูมิของชาติจากการรุกรานของต่างชาติ
2. เพื่อประโยชน์แก่ประชาชน ด้วยการยึดครองทรัพยากรธรรมชาติ หรือการประกาศอิสรภาพ
3. เพื่อลงโทษแนวคิดที่เห็นว่าผิดหรือเห็นว่าไม่เหมาะสม แต่สงครามทุกครั้งก็ไม่อาจที่จะบรรยายได้ตามลักษณะดังกล่าว ตัวอย่างเช่น สงครามเย็น ซึ่งทำให้ประชาชนหลายล้านคนเสียชีวิต

ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/สงคราม

# ถ้าโลกนี้นับถือพุทธศาสนากันทั้งโลก เชื่อว่าเหตุการณ์แบบนี้ คงเกิดได้ยาก
# พุทธศาสนาคือศาสนาแห่งสันติภาพ
#พุทธศาสนาคือศาสนาแห่งการพ้นทุกข์
502643.jpg (152.41 KiB) เข้าดูแล้ว 991 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4368
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: มีควายอยู่ตัวหนึ่ง.. เขายาวและสง่างามมาก

วันหนึ่ง.. เขาควายเกิดแทงเข้าไปในตัวของมัน
พอดีมีอีกาตัวหนึ่งบินผ่านมาเลยถามควายว่า
อีกา : ทำไมถึงไม่ตัด "เขา" ออกละ
ควาย : ไม่เอาไม่ตัดเพราะ "รักเขามาก"
อีกา : แต่ยิ่งรักมาก แกก็ยิ่งเจ็บมากนะ

อยู่มาวันหนึ่งควายคิดถึงคำพูดของอีกา จึงลองทำตามที่อีกาบอก โดยการตัดเขาออก อีกาบินผ่านมาเห็นอีกเลยถามควายไปอีกว่า
อีกา : เป็นยังไงบ้างหลังจากที่ตัดเขาออกแล้ว
ควาย : ยังไม่ค่อยชินเท่าไรเลย!!
อีกา : แล้วที่ตัดเขาออกแล้ว ยังเจ็บอยู่ไหมละ
ควาย : ไม่เจ็บเท่าตอนที่มีเขาอยู่แล้วละ..
อีกา : เห็นไหมละ ไม่มีเขาเราก็อยู่ได้ ก็แค่ยังไม่ชินเท่านั้นเอง
:idea: :idea:

:) :D สวัสดียามบ่ายครับท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ ข้อความข้างบนตอน "ไม่มีเขาเราก็อยู่ได้ ก็แค่ยังไม่ชินเท่านั้น" คิดไตร่ตรองดูแล้วขำตัวเองนะครับ ย้อนหลังสมัยเมื่อหนุ่ม ๆ "ขาดเขาเราเหมือนจะตาย" แต่ก็ยังอยู่มาได้ ช่วงนั้นมันคงยังไม่ชินนะ :lol: :lol: ชีวิตนี่มันก็แปลก ๆ เมื่อเรายังเข้าไม่ถึงธรรมะอย่างแท้จริง มันทุกข์มาก พอเราเริ่มศึกษาธรรมะได้ปฏิบัติธรรม รู้เห็นเข้าใจ..ทุกข์มันน้อยลง ๆ :) :) ท่านใดที่ยังไม่มีประสบการณ์ ไม่เชื่อน่าจะลองหันมาเริ่มปฏิบัติและศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดูนะ ท่านจะได้พบกับมหัศจรรย์ของชีวิต เราไปเที่ยวสวนนกกันต่อนะครับ :) :D


:) :D เพลงสวนนกชัยนาท :) :D
ไฟล์แนบ
อีกา : เป็นยังไงบ้างหลังจากที่ตัดเขาออกแล้ว<br />ควาย : ยังไม่ค่อยชินเท่าไรเลย!!<br />อีกา : แล้วที่ตัดเขาออกแล้ว ยังเจ็บอยู่ไหมละ<br />ควาย : ไม่เจ็บเท่าตอนที่มีเขาอยู่แล้วละ..<br />อีกา : เห็นไหมละ ไม่มีเขาเราก็อยู่ได้ ก็แค่ยังไม่ชินเท่านั้นเอง
อีกา : เป็นยังไงบ้างหลังจากที่ตัดเขาออกแล้ว
ควาย : ยังไม่ค่อยชินเท่าไรเลย!!
อีกา : แล้วที่ตัดเขาออกแล้ว ยังเจ็บอยู่ไหมละ
ควาย : ไม่เจ็บเท่าตอนที่มีเขาอยู่แล้วละ..
อีกา : เห็นไหมละ ไม่มีเขาเราก็อยู่ได้ ก็แค่ยังไม่ชินเท่านั้นเอง
473047.jpg (39.97 KiB) เข้าดูแล้ว 900 ครั้ง
ระยะนี้เป็นระยะที่ต้องดูแลธาตุขันธ์ หลังจากผ่าตัดมาได้ยี่สิบกว่าวัน เมื่อ ๒๔ ต.ค.๖๖ ก็ต้องไปเจาะเลือดไขสันหลัง ให้หมอพิสูจน์ทราบ การผลิตเม็ดเลือดแดงจากไขกระดูก มันมากเกินไป (ปกติ ๔๕๐,๐๐๐ วันนี้มี ๗๕๐,๐๐๐) แล้วได้ยามาทานอีกเดือนหนึ่งไปพบหมอเจาะเลือดตรวจอีก ชีวิตทุกข์เพราะขันธ์ ๕ นี่ละ แต่อย่างไรก็ต้องรักษา เป็นหน้าที่ของหมอ หน้าที่ของเราคือ &quot;รักษาใจ&quot;
ระยะนี้เป็นระยะที่ต้องดูแลธาตุขันธ์ หลังจากผ่าตัดมาได้ยี่สิบกว่าวัน เมื่อ ๒๔ ต.ค.๖๖ ก็ต้องไปเจาะเลือดไขสันหลัง ให้หมอพิสูจน์ทราบ การผลิตเม็ดเลือดแดงจากไขกระดูก มันมากเกินไป (ปกติ ๔๕๐,๐๐๐ วันนี้มี ๗๕๐,๐๐๐) แล้วได้ยามาทานอีกเดือนหนึ่งไปพบหมอเจาะเลือดตรวจอีก ชีวิตทุกข์เพราะขันธ์ ๕ นี่ละ แต่อย่างไรก็ต้องรักษา เป็นหน้าที่ของหมอ หน้าที่ของเราคือ "รักษาใจ"
470815.jpg (75.01 KiB) เข้าดูแล้ว 900 ครั้ง
102830.jpg
102830.jpg (46.49 KiB) เข้าดูแล้ว 900 ครั้ง
102831.jpg
102831.jpg (44.48 KiB) เข้าดูแล้ว 900 ครั้ง
cats๒๖๙.๑.JPG
cats๒๖๙.JPG
cats๒๖๙.JPG (207.42 KiB) เข้าดูแล้ว 900 ครั้ง
cats๒๗๐.JPG
cats๒๗๐.JPG (92.13 KiB) เข้าดูแล้ว 900 ครั้ง
cats๒๗๑.JPG
cats๒๗๒.๑.JPG
cats๒๗๒.๑.JPG (105.93 KiB) เข้าดูแล้ว 900 ครั้ง
cats๒๗๒.JPG
cats๒๗๒.JPG (208.03 KiB) เข้าดูแล้ว 900 ครั้ง
cats๒๗๓.๑.JPG
cats๒๗๓.JPG
cats๒๗๓.JPG (199.9 KiB) เข้าดูแล้ว 900 ครั้ง
cats๒๗๔.JPG
cats๒๗๕.๑.JPG
cats๒๗๕.๑.JPG (193.98 KiB) เข้าดูแล้ว 900 ครั้ง
cats๒๗๕.๒.JPG
cats๒๗๕.๓.JPG
cats๒๗๕.JPG
470817.jpg
470817.jpg (92.53 KiB) เข้าดูแล้ว 900 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4368
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D สวัสดียามเย็นครับท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ ก่อนที่จะไปเที่ยวชมสวนนกกันต่อ ผมขอนำเรื่องราวของคำว่าเพื่อน ที่ส่งมาทางไลน์อ่านแล้วได้ความรู้สึก ได้ข้อคิดแล้วบังเอิญที่พวกเรา ยว.๐๘ มีนัดเลี้ยงสังสรรค์กันในวันนี้พอดี ที่สโมสรจุฬาภาคเหนือ ไม่น่าเชื่อว่ารุ่นเรายังคงเหนียวแน่นมากันเกือบห้าสิบ เหลือเชื่อเกินเป้า เพราะสภาพแต่ละคนน่าเป็นห่วง มีเพื่อนคนหนึ่งตั้งแต่จบออกจาก รร.ไม่เจอกันเลยเกือบ ๖๐ ปี พึ่งเจอกัน (ตกใจเกือบจำกันไม่ได้)

# มีวีดีโอที่ผมถ่ายเจ้าตัวอีกัวนาน่ารักผมเสียเวลาดูอยู่นาน เก็บเป็นไฟร์วีดีโอขอนำมาให้ได้ชมนะครับ
:) :D


:) :D อีกัวนาในสวนนกชัยนาท :) :D

:idea: :idea: อิกัวนา จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

อิกัวนา (อังกฤษและสเปน: iguana) เป็นสัตว์เลื้อยคลานจำพวกกิ้งก่าในสกุล Iguana ในวงศ์อิกัวนา (Iguanidae) และในวงศ์ย่อย Iguaninae

พบกระจายพันธุ์ในเม็กซิโก, อเมริกากลาง รวมทั้งเกาะต่าง ๆ ในภูมิภาคแคริบเบียนและพอลินีเซีย

กิ้งก่าสกุลนี้ถูกกล่าวถึงครั้งแรกในเชิงวิทยาศาสตร์เมื่อปี ค.ศ. 1768 โดยโยเซฟุส นิโคเลาส์ เลาเรนที นักธรรมชาติวิทยาชาวออสเตรียในหนังสือของตนเองที่ชื่อว่า Specimen medicum, Exhibens synopsin Reptilium Emendatam cum Experimentis circia venena

มีความยาวมากกว่า 20 เซนติเมตร โดยมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับตะกอง (Physignathus cocincinus) ซึ่งอยู่ในวงศ์ Agamidae ที่พบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลีย แต่มีพฤติกรรมที่แตกต่างกัน คือ เป็นกิ้งก่าที่กินพืชเป็นอาหาร และส่วนใหญ่จะอาศัยและหากินบนต้นไม้ ไม่ค่อยลงมาบนพื้นดิน

แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ

-อิกัวนาเลสเซอร์แอนทิลลีส, I. delicatissima
-อิกัวนาเขียว, I. iguana

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชนิด I. iguana พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางและเป็นที่รู้จักกันมากกว่า นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยง จนกลายเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในบางประเทศ และนิยมรับประทานเนื้อกันเป็นอาหารพื้นเมืองของภูมิภาคอเมริกาใต้

คำว่า "อิกัวนา" เป็นศัพท์ที่แปลงมาจากภาษาของชาวไตโนซึ่งเป็นชนพื้นเมืองของแถบแคริบเบียนมาจากคำว่า Iwana
:idea: :idea:


:) :D งานเลี้ยงประจำปี ยว.๐๘ ณ ร้านจามจุรี เชียงใหม่ :) :D
ไฟล์แนบ
&quot;เพื่อน&quot; <br />    <br /> ไม่ใช่สายโลหิต  ไม่ใช่ญาติ  หากเป็นความผูกพันที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญแท้ ๆ เป็นความประจวบเหมาะ เป็นความพอดีที่มาพบเจอ  มาเรียน มาทำงานด้วยกัน  มาร่วมชะตากรรมเดียวกัน แล้วนับจากนั้นก็ผูกพันกันเรื่อยมา ในฐานะเพื่อน ซึ่งลบไม่ออก แก้ไขไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่า จะเปลี่ยนสถานะใหม่ให้เป็นศัตรูกัน ซึ่งโอกาสนั้นก็เป็นได้น้อยในหมู่เพื่อน<br />    <br /> อายุล่วงมาถึงวันนี้  เพื่อนใหม่ไม่มีแล้ว  ใจไม่อยากเปิดรับเข้ามาอีก  ก็คงมีแต่เพื่อนเก่าสมัยเรียน ประถม- มัธยม - อุดมศึกษา - เริ่มทำงาน หรือ เรียนปริญญาบัตรอื่น ๆ ซึ่งนับวันจะเหลือน้อยลงไป<br />    <br />  เพื่อนเก่าแต่ละคน อายุก็ไล่ ๆ กันกับเรา หรือแก่อ่อนกว่ากันไม่มาก บางคนไปไหนไม่ได้ ไปไม่ไหวแล้ว บ้างก็ทำงานไกล อาศัยอยู่ไกล บ้างติดภาระของลูกบ้าง เมียบ้าง กระทั่งธุระของหลานๆ รวมทั้งสังขารของตน จะเห็นชัดเจนว่า  มีการลดจำนวนครั้งที่นัดเจอกัน นัดแต่ละทีก็มีจำนวนคนลดลง  เพื่อนบางคนล่วงหน้าเสียชีวิตไปก่อนแล้ว   ยามคิดถึง ก็ได้แต่จุดธูปเทียน  เขียนชื่อ ยกมือพนม ทำบุญ ระลึกถึง ซึ่งจะมีอะไรไปถึงหรือไม่ ไม่รู้   พิสูจน์ไม่ได้ แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าไปถึงเพื่อน ว่าเพื่อนจะได้รับ  <br />     <br />ดังนั้น จงดูแลกันยามมีชีวิต  ยามเดือดร้อนนี่แหละ ดูแลกันตามกำลัง ถ้าเพื่อนไม่ช่วยเพื่อนแล้ว ใครละจะช่วย คนอื่นเขายิ่งไม่รู้จักมักคุ้น  ไม่ใช่เพื่อนกัน ใครเขาจะยื่นมือมาช่วย การผิดพลาดไปบ้าง ห่างเหินไปหน่อย  บกพร่องระหว่างกันไปบ้าง  อภัยกันเถิด ทำใจสบายๆ เปิดใจให้กว้าง เอื้อเฟื้อดูแลเกื้อกูลกันยามมีชีวิตดีที่สุด เพราะเราคือ &quot;เพื่อน&quot;กัน<br /><br />เมื่อเราเดินมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต<br /> <br />เราจะพบว่าเราเหลือเพื่อนเพียงหยิบมือ แต่เพื่อนเพียงหยิบมือนั้นคือมิตรภาพที่ธรรมชาติคัดสรรมาแล้ว คนที่ไม่ใช่เวลาจะค่อยๆกรองพวกเขาออกไป สุดท้ายเราจะเหลือแต่กลุ่มคนที่คัดกันเองแล้วว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัยซึ่งกันและกัน เราพบว่าเพื่อนไม่ต้องมีมาก มีน้อยแต่เต็มไปด้วยความจริงใจก็พอ<br /> <br />เมื่อเราเดินมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต<br /> <br />เราจะพบว่าเราเจอเพื่อนได้ยากขึ้น เพราะ condition ในชีวิตทุกคนต่างออกไป แต่ทุกครั้งที่เจอเราสามารถต่อกันติดได้เสมอ และเราจะพบว่าปาร์ตี้ที่ดีที่สุด คือการนั่งกินดื่มกับเพื่อนที่บ้านด้วยชุดสบายๆ นั่งชันเข่ากินส้มตำ ดื่มเบียร์เย็นๆ และร้องคาราโอเกะ นั่งปรับทุกข์หรือภูมิใจในความสำเร็จของพวกมัน <br /> <br />เมื่อเราเดินมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต<br /> <br />เราจะพบว่าเราเริ่มอยากยุ่งเรื่องของคนอื่นน้อยลง เรากลับไปโฟกัสเรื่องตัวเองและคนรอบตัวที่เราแคร์มากขึ้น เราเริ่มสนใจแต่สิ่งที่สบายตาสบายใจ เริ่มหลีกเลี่ยงพลังลบ และพยายามหาพลังบวกให้ตัวเอง เพราะเราเรียนรู้แล้วว่าพลังบวกเป็นสิ่งที่ช่วยได้มากในการต่อสู้กับชีวิต<br /> <br />เมื่อเราเดินมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต<br /> <br />เราจะพบว่ากฏแห่งแรงดึงดูดมีอยู่จริง มันมีอานุภาพทั้งดูดและผลักเราออกไป เราเป็นคนแบบไหนมันจะดึงคนแบบนั้นเข้า และในขณะเดียวกันมันก็ผลักคนที่ไม่ใช่ออกไป สุดท้ายเราจะเริ่มเรียนรู้ว่าที่ไหนที่เป็นที่ของเราและตรงไหนไม่ใช่ที่ของเรา <br /> <br />เมื่อเราเดินมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต <br /> <br />เราจะพบว่าการทำมาหากินเป็นเรื่องใหญ่ เราจึงยอมรับว่างานที่ทำอาจไม่ใช่สิ่งที่ชอบ และสิ่งที่ชอบอาจไม่ใช่งานที่ทำ เราเริ่มเรียนรู้วิธีในการ Manage ความรู้สึกตัวเองในการทำสิ่งนั้นเพราะสุดท้ายมันคือความรับผิดชอบ และเราทำเพื่อให้ได้เงินไปทำในสิ่งที่เราอยากทำ เงินยังเป็นสิ่งสำคัญเสมอ แต่เราเริ่มเลือกใช้ในบางสิ่ง และหยุดใช้ในบางสิ่ง<br /> <br />เมื่อเราเดินมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต<br /> <br />เราจะพบว่าเป้าหมายในชีวิตของเราเปลี่ยนไป เรายังอยากรวยเสมอ แต่สุดท้ายเราก็ยอมรับว่าเราทำเท่าที่ทำได้ เราเลิกเปรียบเทียบชีวิตกับคนอื่น และเริ่มมองหาความสุขในปัจจุบัน อาจจะเริ่มที่ไปนวด การไม่ปวดหลังเป็นลาภอันประเสริฐ <br /><br />เมื่อเราเดินมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต <br /> <br />เราจะพบว่าเราสามารถมีความสุขกับอะไรได้ง่ายขึ้น เรามีความสุขกับอาหารอร่อย เรามีความสุขกับต้นไม้ที่แตกหน่อใหม่ เรามีความสุขที่ครอบครัวของเรายังมีสุขภาพดี มีความสุขที่น้องหมาน้องแมวกินข้าวหมด มีความสุขเพียงแค่ได้นอนดูหนังดีๆ หรือฟังเพลงเพราะๆซักเพลง หรือมีความสุขที่มีเวลานอน และแน่นอนมีความสุขที่ไม่ปวดหลัง <br /><br />เมื่อเราเดินมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต<br /> <br />เราจะพบว่าไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นความรักหรือความสัมพันธ์รอบตัว เกียรติยศหรือเงินทอง ทุกอย่างมีเข้าและมีจาก มีจากและมีเข้า สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปชั่วชีวิต เราเริ่มไม่ยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป เราเรียนรู้ว่าสุดท้ายแล้วก็จะมีแค่ตัวเราเท่านั้นที่อยู่กับเราจนวันสุดท้าย<br /> <br />เมื่อเราเดินมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต<br /> <br />เราจะพบว่าการเป็นโสดก็ไม่แปลก และเราเรียนรู้ข้อดีของความโสด การมีใครอีกคนมันก็ดี แต่มีแล้วไม่ดีอย่ามีดีกว่า<br /> <br />เมื่อเราเดินมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต<br /> <br />เราจะพบว่าการรักตัวเองสำคัญที่สุด ความภูมิใจในตัวเองเป็นสิ่งที่เราควรสร้างอย่างสม่ำเสมอ ไม่มีใครรักเราเท่าตัวเราเองและเราไม่ควรรักใครมากไปกว่าตัวเราเอง มันไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัว แต่มันคือวิธีการดำเนินชีวิตขั้นต้นที่เราควรทำก่อนจะรักคนอื่น คนที่รักตัวเองมักเผื่อแผ่ความสุขให้คนอื่นได้เสมอ <br /> <br />เมื่อเราเดินมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต<br /> <br />เราจะพบว่าชีวิตมันสั้น เวลาในนาฬิกาเดินหน้าแต่เวลาชีวิตเรากลับถอยหลังเสมอ ชีวิตเกิดมารอบเดียว รอบหน้าจะมีอีกรึเปล่าไม่มีใครรู้ เพราะฉะนั้นอะไรที่มีความสุขและไม่เดือดร้อนตัวเองหรือใครก็ทำไป รักตัวเองให้มากๆ มีความสุขให้มากๆ <br /> <br /># จุดหนึ่งของชีวิตที่เราได้เรียนรู้ มาถึงตรงนี้ได้ก็เก่งมากแล้ว : ขอบคุณบทความดี ๆ ที่เผยแพร่มาทาง ไลน์ และขอให้เพื่อน ๆ ทุกคนจงตั้งใจหายใจเข้าไว้ &quot;อย่าหยุดหายใจเด็ดขาด&quot; เพื่อปีหน้าเราจะได้พบกันอีกนะครับ
"เพื่อน"

ไม่ใช่สายโลหิต ไม่ใช่ญาติ หากเป็นความผูกพันที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญแท้ ๆ เป็นความประจวบเหมาะ เป็นความพอดีที่มาพบเจอ มาเรียน มาทำงานด้วยกัน มาร่วมชะตากรรมเดียวกัน แล้วนับจากนั้นก็ผูกพันกันเรื่อยมา ในฐานะเพื่อน ซึ่งลบไม่ออก แก้ไขไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่า จะเปลี่ยนสถานะใหม่ให้เป็นศัตรูกัน ซึ่งโอกาสนั้นก็เป็นได้น้อยในหมู่เพื่อน

อายุล่วงมาถึงวันนี้ เพื่อนใหม่ไม่มีแล้ว ใจไม่อยากเปิดรับเข้ามาอีก ก็คงมีแต่เพื่อนเก่าสมัยเรียน ประถม- มัธยม - อุดมศึกษา - เริ่มทำงาน หรือ เรียนปริญญาบัตรอื่น ๆ ซึ่งนับวันจะเหลือน้อยลงไป

เพื่อนเก่าแต่ละคน อายุก็ไล่ ๆ กันกับเรา หรือแก่อ่อนกว่ากันไม่มาก บางคนไปไหนไม่ได้ ไปไม่ไหวแล้ว บ้างก็ทำงานไกล อาศัยอยู่ไกล บ้างติดภาระของลูกบ้าง เมียบ้าง กระทั่งธุระของหลานๆ รวมทั้งสังขารของตน จะเห็นชัดเจนว่า มีการลดจำนวนครั้งที่นัดเจอกัน นัดแต่ละทีก็มีจำนวนคนลดลง เพื่อนบางคนล่วงหน้าเสียชีวิตไปก่อนแล้ว ยามคิดถึง ก็ได้แต่จุดธูปเทียน เขียนชื่อ ยกมือพนม ทำบุญ ระลึกถึง ซึ่งจะมีอะไรไปถึงหรือไม่ ไม่รู้ พิสูจน์ไม่ได้ แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าไปถึงเพื่อน ว่าเพื่อนจะได้รับ

ดังนั้น จงดูแลกันยามมีชีวิต ยามเดือดร้อนนี่แหละ ดูแลกันตามกำลัง ถ้าเพื่อนไม่ช่วยเพื่อนแล้ว ใครละจะช่วย คนอื่นเขายิ่งไม่รู้จักมักคุ้น ไม่ใช่เพื่อนกัน ใครเขาจะยื่นมือมาช่วย การผิดพลาดไปบ้าง ห่างเหินไปหน่อย บกพร่องระหว่างกันไปบ้าง อภัยกันเถิด ทำใจสบายๆ เปิดใจให้กว้าง เอื้อเฟื้อดูแลเกื้อกูลกันยามมีชีวิตดีที่สุด เพราะเราคือ "เพื่อน"กัน

เมื่อเราเดินมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต

เราจะพบว่าเราเหลือเพื่อนเพียงหยิบมือ แต่เพื่อนเพียงหยิบมือนั้นคือมิตรภาพที่ธรรมชาติคัดสรรมาแล้ว คนที่ไม่ใช่เวลาจะค่อยๆกรองพวกเขาออกไป สุดท้ายเราจะเหลือแต่กลุ่มคนที่คัดกันเองแล้วว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัยซึ่งกันและกัน เราพบว่าเพื่อนไม่ต้องมีมาก มีน้อยแต่เต็มไปด้วยความจริงใจก็พอ

เมื่อเราเดินมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต

เราจะพบว่าเราเจอเพื่อนได้ยากขึ้น เพราะ condition ในชีวิตทุกคนต่างออกไป แต่ทุกครั้งที่เจอเราสามารถต่อกันติดได้เสมอ และเราจะพบว่าปาร์ตี้ที่ดีที่สุด คือการนั่งกินดื่มกับเพื่อนที่บ้านด้วยชุดสบายๆ นั่งชันเข่ากินส้มตำ ดื่มเบียร์เย็นๆ และร้องคาราโอเกะ นั่งปรับทุกข์หรือภูมิใจในความสำเร็จของพวกมัน

เมื่อเราเดินมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต

เราจะพบว่าเราเริ่มอยากยุ่งเรื่องของคนอื่นน้อยลง เรากลับไปโฟกัสเรื่องตัวเองและคนรอบตัวที่เราแคร์มากขึ้น เราเริ่มสนใจแต่สิ่งที่สบายตาสบายใจ เริ่มหลีกเลี่ยงพลังลบ และพยายามหาพลังบวกให้ตัวเอง เพราะเราเรียนรู้แล้วว่าพลังบวกเป็นสิ่งที่ช่วยได้มากในการต่อสู้กับชีวิต

เมื่อเราเดินมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต

เราจะพบว่ากฏแห่งแรงดึงดูดมีอยู่จริง มันมีอานุภาพทั้งดูดและผลักเราออกไป เราเป็นคนแบบไหนมันจะดึงคนแบบนั้นเข้า และในขณะเดียวกันมันก็ผลักคนที่ไม่ใช่ออกไป สุดท้ายเราจะเริ่มเรียนรู้ว่าที่ไหนที่เป็นที่ของเราและตรงไหนไม่ใช่ที่ของเรา

เมื่อเราเดินมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต

เราจะพบว่าการทำมาหากินเป็นเรื่องใหญ่ เราจึงยอมรับว่างานที่ทำอาจไม่ใช่สิ่งที่ชอบ และสิ่งที่ชอบอาจไม่ใช่งานที่ทำ เราเริ่มเรียนรู้วิธีในการ Manage ความรู้สึกตัวเองในการทำสิ่งนั้นเพราะสุดท้ายมันคือความรับผิดชอบ และเราทำเพื่อให้ได้เงินไปทำในสิ่งที่เราอยากทำ เงินยังเป็นสิ่งสำคัญเสมอ แต่เราเริ่มเลือกใช้ในบางสิ่ง และหยุดใช้ในบางสิ่ง

เมื่อเราเดินมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต

เราจะพบว่าเป้าหมายในชีวิตของเราเปลี่ยนไป เรายังอยากรวยเสมอ แต่สุดท้ายเราก็ยอมรับว่าเราทำเท่าที่ทำได้ เราเลิกเปรียบเทียบชีวิตกับคนอื่น และเริ่มมองหาความสุขในปัจจุบัน อาจจะเริ่มที่ไปนวด การไม่ปวดหลังเป็นลาภอันประเสริฐ

เมื่อเราเดินมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต

เราจะพบว่าเราสามารถมีความสุขกับอะไรได้ง่ายขึ้น เรามีความสุขกับอาหารอร่อย เรามีความสุขกับต้นไม้ที่แตกหน่อใหม่ เรามีความสุขที่ครอบครัวของเรายังมีสุขภาพดี มีความสุขที่น้องหมาน้องแมวกินข้าวหมด มีความสุขเพียงแค่ได้นอนดูหนังดีๆ หรือฟังเพลงเพราะๆซักเพลง หรือมีความสุขที่มีเวลานอน และแน่นอนมีความสุขที่ไม่ปวดหลัง

เมื่อเราเดินมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต

เราจะพบว่าไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นความรักหรือความสัมพันธ์รอบตัว เกียรติยศหรือเงินทอง ทุกอย่างมีเข้าและมีจาก มีจากและมีเข้า สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปชั่วชีวิต เราเริ่มไม่ยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป เราเรียนรู้ว่าสุดท้ายแล้วก็จะมีแค่ตัวเราเท่านั้นที่อยู่กับเราจนวันสุดท้าย

เมื่อเราเดินมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต

เราจะพบว่าการเป็นโสดก็ไม่แปลก และเราเรียนรู้ข้อดีของความโสด การมีใครอีกคนมันก็ดี แต่มีแล้วไม่ดีอย่ามีดีกว่า

เมื่อเราเดินมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต

เราจะพบว่าการรักตัวเองสำคัญที่สุด ความภูมิใจในตัวเองเป็นสิ่งที่เราควรสร้างอย่างสม่ำเสมอ ไม่มีใครรักเราเท่าตัวเราเองและเราไม่ควรรักใครมากไปกว่าตัวเราเอง มันไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัว แต่มันคือวิธีการดำเนินชีวิตขั้นต้นที่เราควรทำก่อนจะรักคนอื่น คนที่รักตัวเองมักเผื่อแผ่ความสุขให้คนอื่นได้เสมอ

เมื่อเราเดินมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต

เราจะพบว่าชีวิตมันสั้น เวลาในนาฬิกาเดินหน้าแต่เวลาชีวิตเรากลับถอยหลังเสมอ ชีวิตเกิดมารอบเดียว รอบหน้าจะมีอีกรึเปล่าไม่มีใครรู้ เพราะฉะนั้นอะไรที่มีความสุขและไม่เดือดร้อนตัวเองหรือใครก็ทำไป รักตัวเองให้มากๆ มีความสุขให้มากๆ

# จุดหนึ่งของชีวิตที่เราได้เรียนรู้ มาถึงตรงนี้ได้ก็เก่งมากแล้ว : ขอบคุณบทความดี ๆ ที่เผยแพร่มาทาง ไลน์ และขอให้เพื่อน ๆ ทุกคนจงตั้งใจหายใจเข้าไว้ "อย่าหยุดหายใจเด็ดขาด" เพื่อปีหน้าเราจะได้พบกันอีกนะครับ
cats๒๘๕๖.JPG (140.28 KiB) เข้าดูแล้ว 811 ครั้ง
cats๒๗๖.JPG
cats๒๗๖.JPG (199.45 KiB) เข้าดูแล้ว 811 ครั้ง
cats๒๗๗.๑.JPG
cats๒๗๗.๑.JPG (196.13 KiB) เข้าดูแล้ว 811 ครั้ง
cats๒๗๗.๒.JPG
cats๒๗๗.๒.JPG (209.13 KiB) เข้าดูแล้ว 811 ครั้ง
cats๒๗๗.๓.JPG
cats๒๗๗.JPG
cats๒๗๗.JPG (142.34 KiB) เข้าดูแล้ว 811 ครั้ง
cats๒๗๘.JPG
cats๒๗๘.JPG (176.87 KiB) เข้าดูแล้ว 811 ครั้ง
cats๒๗๙.๑.JPG
cats๒๗๙.๑.JPG (173.21 KiB) เข้าดูแล้ว 811 ครั้ง
cats๒๗๙.JPG
cats๒๗๙.JPG (107.52 KiB) เข้าดูแล้ว 811 ครั้ง
cats๒๘๐.๑.JPG
cats๒๘๐.๑.JPG (163.12 KiB) เข้าดูแล้ว 811 ครั้ง
cats๒๘๐.JPG
cats๒๘๐.JPG (149.11 KiB) เข้าดูแล้ว 811 ครั้ง
cats๒๘๑.JPG
ที่บ้านเกิดของฉัน <br />มีพี่น้องสองคนที่ลักษณะนิสัยตรงข้ามกัน<br /><br />คนหนึ่งฉลาดและมีวาทศิลป์<br />อีกคนหนึ่งโง่เขลา ไม่ชอบพูดจา<br /><br />ชายที่โง่เขลา<br />ดูคล้ายจะมีเวลามากมาย<br />สำหรับใช้ชีวิตบนโลกใบนี้<br /><br />ชายที่ฉลาดหลักแหลม<br />เขากลับดูสับสนวุ่นวาย<br />อยู่กับการทำให้เวลาชีวิตของเขาหมดสิ้น<br /><br />ที่มา: Sky Above, Great Wind: The Life and Poetry of Zen Master Ryokan<br /><br /># เรียวคัง ไทกู (ค.ศ. 1758–1831) พระนิกายเซนโซโต พระเรียวกังมีชื่อเสียงจากผลงานบทกวี การเขียนพู่กัน ที่นำเสนอแก่นแท้ของชีวิต
ที่บ้านเกิดของฉัน
มีพี่น้องสองคนที่ลักษณะนิสัยตรงข้ามกัน

คนหนึ่งฉลาดและมีวาทศิลป์
อีกคนหนึ่งโง่เขลา ไม่ชอบพูดจา

ชายที่โง่เขลา
ดูคล้ายจะมีเวลามากมาย
สำหรับใช้ชีวิตบนโลกใบนี้

ชายที่ฉลาดหลักแหลม
เขากลับดูสับสนวุ่นวาย
อยู่กับการทำให้เวลาชีวิตของเขาหมดสิ้น

ที่มา: Sky Above, Great Wind: The Life and Poetry of Zen Master Ryokan

# เรียวคัง ไทกู (ค.ศ. 1758–1831) พระนิกายเซนโซโต พระเรียวกังมีชื่อเสียงจากผลงานบทกวี การเขียนพู่กัน ที่นำเสนอแก่นแท้ของชีวิต
cats๒๘๕๗.JPG (128.13 KiB) เข้าดูแล้ว 811 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4368
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »


:) :D กันยายน 8 -13, 2566 เที่ยวเมืองชัยนาท :) :)


:D :D สวัสดียามสาย ๆ ของวันศุกร์สบาย ๆ กับท่านผู้มีเกียรติและญาติธรรมที่รักทุกท่านครับ ในที่สุดการท่องเที่ยวเมืองชัยนาท(เมืองรอง)ของเรา ๒ คนก็มาถึงบทสุดท้าย "นั่นคือหมดเวลาแล้ว" ต้องจำใจกลับนิวาสถาน ตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับหลานรัก พร้อม ๆ กับมงคลชีวิต ๓๘ ประการก็จบลงพร้อมกันพอดี จะขอนำมาสรุปไว้ ณ ที่เดียวกันเพื่อเป็นประโยชน์กับหลาย ๆ ท่านจะได้ไม่ต้องเสียเวลา ย้อนกลับไปอ่านแต่ต้น เรียนเชิญทบทวนกันอีกสักรอบนะครับ :) :D

:idea: :idea: มงคลชีวิต ๓๘ ประการ คือ มูลเหตุแห่งความสุข จำนวน 38 ข้อ ที่ช่วยส่งเสริมความสุข และความก้าวหน้า ทำให้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "มงคลชีวิต 38" ซึ่งไม่ใช่แนวคิดที่พึ่งพาปาฏิหาริย์แต่อย่างใด ทว่าเป็นหลักปฏิบัติง่ายๆ ที่ทุกคนสามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน

ส่วนที่มาของมงคล 38 เล่าสืบต่อกันว่าสมัยพุทธกาล ชาวเมืองต่างพากันพูดคุยว่า "สิ่งใดที่ทำให้ชีวิตเป็นมงคล?" แม้แต่เทวดาก็สนทนากันถึงประเด็นนี้ แต่ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่า คุณธรรมข้อใดที่จะทำให้ชีวิตเป็นมงคล

เทวดาองค์หนึ่งจึงเดินทางไปทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ได้แสดงหลักธรรมอันเป็นมงคล ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการยึดติดวัตถุใดๆ แต่เป็นการยึดถือปฏิบัติตนเองตามทำนองคลองธรรม อันประกอบด้วย ข้อปฏิบัติมงคลจำนวน 38 ประการ ดังนี้ :-

1. การไม่คบคนพาล
บาลี : อเสวนา จ พาลานํ (อะเสวะนา จะ พาลานัง)
ความหมาย : ไม่คบผู้ที่ชักจูงไปในทางที่ผิด และโง่เขลาเบาปัญญา เพราะมีแต่จะทำให้ชีวิตเสื่อม

2. การคบบัญฑิต
บาลี : ปณฑิตานญฺจ เสวนา (ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา)
ความหมาย : คบผู้มีความรู้ ความคิดที่ดี การปฏิบัติตนที่ดี เพื่อจะได้รับการชี้แนะแต่เรื่องอันเป็นมงคล

3. การบูชาบุคคลที่ควรบูชา
บาลี : ปูชา จ ปูชนียานํ (ปูชา จะ ปูชะนียานัง)
ความหมาย : การเชิดชูผู้ประพฤติดี และผู้มีพระคุณ เป็นการลดทิฐิของตนเอง ไม่สักการบูชาในสิ่งที่ไม่เป็นมงคล

4. การอยู่ในถิ่นอันสมควร
บาลี : ปฏิรูปเทสวาโส จ (ปะฏิรูปะเทสะวาโส จะ)
ความหมาย : พาตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี แวดล้อมไปด้วยบัณฑิตทั้งทางโลก และทางธรรม

5. การเคยทำบุญมาก่อน
บาลี : ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา (ปุพเพ จะ กะตะปุญญะตา)
ความหมาย : ฝึกชำระล้างจิตใจ สั่งสมอานิสงส์ ความดี ความสุข ทุกการกระทำส่งผลต่อปัจจุบันและอนาคต

6. การตั้งตนชอบ
บาลี : อตฺตสมฺมาปณิธิ จ (อัตตะสัมมาปะณิธิ จะ)
ความหมาย : วางตนอย่างเหมาะสมในการดำรงชีพ และประกอบสัมมาอาชีพ

7. ความเป็นพหูสูต
บาลี : พาหุสจฺจญฺจ (พาหุสัจจัญจะ)
ความหมาย : เป็นผู้ที่สดับรับฟังมาก จึงมีความรู้ มีปัญญา ในการคิดแก้ปัญหาต่างๆ อย่างถูกวิธี

8. การรอบรู้ในศิลปะ
บาลี : สิปฺปญฺจ (สิปปัญจะ)
ความหมาย : มีความรู้ในการใช้มือปฏิบัติการงานต่างๆ สามารถประกอบวิชาชีพได้ ชีวิตไม่อับจน

9. การมีวินัยที่ดี
บาลี : วินโย จ สุสิกฺขิโต (วินะโย จะ สุสิกขิโต)
ความหมาย : ปฏิบัติตนตามระเบียบ และกฎเกณฑ์ของสังคม ไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น

10. การกล่าววาจาอันเป็นสุภาษิต
บาลี : สุภาสิตา จ ยา วาจา (สุภาสิตา จะ ยา วาจา)
ความหมาย : พูดดี ไม่เหลวไหล เปล่งวาจาอันเป็นมงคล ทั้งทางโลกและทางธรรม

11. การบำรุงบิดามารดา
บาลี : มาตาปิตุอุปฏฺฐานํ (มาตาปิตุอุปัฏฐานัง)
ความหมาย : เลี้ยงดูบิดา มารดา กล่าวยกย่องสรรเสริญผู้มีพระคุณ เป็นมงคลชีวิตที่ทำให้เจริญก้าวหน้า

12. การสงเคราะห์บุตร
บาลี : ปุตฺตสงฺคโห (ปุตตะสังคะโห) แยกมาจาก ปุตฺตทารสฺส สงฺคโห (ปุตตะทารัสสะ สังคะโห)
ความหมาย : เลี้ยงดูบุตรให้ได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดี ได้รับการศึกษา บำเพ็ญตนเป็นประโยชน์ต่อสังคม

13. การสงเคราะห์ภรรยา
บาลี : ทารสงฺคโห (ทาระสังคะโห)
ความหมาย : เลี้ยงดูภรรยาให้ดี กล่าวยกย่อง ไม่ดูหมิ่น สร้างความมั่นคงให้ครอบครัว

14. การทำงานไม่ให้คั่งค้าง
บาลี : อนากุลา จ กมฺมนฺตา (อะนากุลา จะ กัมมันตา)
ความหมาย : ทำงานทั้งทางโลก และทางธรรมให้สำเร็จสมบูรณ์ ไม่เห็นแก่ตัว และประโยชน์ส่วนตน

15. การให้ทาน
บาลี : ทานญฺจ (ทานัญจะ)
ความหมาย : ฝึกจิตให้เป็นผู้มีความเสียสละ ลดความเห็นแก่ตัว ไม่ทุจริตในสิ่งของที่ไม่ชอบธรรม

16. การประพฤติธรรม
บาลี : ธมฺมจริยา จ (ธัมมะจะริยา จะ)
ความหมาย : ปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ยกระดับจิตใจให้สูงด้วยศีล และธรรมะ

17. การสงเคราะห์ญาติ
บาลี : ญาตกานญฺจ สงฺคโห (ญาตะกา นัญจะ สังคะโห)
ความหมาย : ให้ความช่วยเหลือญาติพี่น้องตามกำลัง สงเคราะห์ญาติเมื่อเดือดร้อน

18. การทำงานที่ไม่มีโทษ
บาลี : อนวชฺชานิ กมฺมานิ (อะนะวัชชานิ กัมมานิ)
ความหมาย : ทำงานหาเลี้ยงตน โดยต้องเป็นงานที่ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดประเพณี และศีลธรรมอันดี

19. การละเว้นจากบาป
บาลี : อารตี วิรตี ปาปา (อาระตี วิระตี ปาปา)
ความหมาย : บาปคือสิ่งที่ไม่ดี ไม่เป็นมงคล ทำแล้วรู้สึกไม่สบายใจ สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น

20. สำรวมจากการดื่มน้ำเมา
บาลี : มชฺชปานา จ สญฺญโม (มัชชะปานา จะ สัญญะโม)
ความหมาย : ดื่มของมึนเมาแล้วไม่สามารถควบคุมตนได้ ย่อมนำมาซึ่งการเสียทรัพย์ เสียสติสัมปชัญญะ

21. การไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย
บาลี : อปฺปมาโท จ ธมฺเมสุ (อัปปะมาโท จะ ธัมเมสุ)
ความหมาย : เป็นผู้มีสติพร้อม ไม่ประมาท ไม่หุนหันพลันแล่น ปฏิบัติตนในทางที่ดี

22. การมีความเคารพ
บาลี : คารโว จ (คาระโว จะ)
ความหมาย : ให้ความเคารพในบุคคลที่ควรแก่การเคารพ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ผู้คนจะสรรเสริญ

23. การมีความถ่อมตน
บาลี : นิวาโต จ (นิวาโต จะ)
ความหมาย : มีมารยาท สงบเสงี่ยม ไม่หยิ่งผยองตน จะทำให้ไม่เสียคน และไม่เสียมิตร

24. การมีความสันโดษ
บาลี : สนฺตุฏฺฐี จ (สันตุฏฺะฐี จะ)
ความหมาย : พึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมี ไม่น้อยเนื้อต่ำใจ ยินดีตามกำลังทรัพย์ของตน

25. การมีความกตัญญู
บาลี : กตญฺญุตา (กะตัญญุตา)
ความหมาย : เป็นผู้รู้คุณ รู้จักตอบแทนบุญคุณผู้ที่มีพระคุณ และมีผู้ที่เมตตาในยามเดือดร้อน

26. การฟังธรรมตามกาล
บาลี : กาเลน ธมฺมสฺสวนํ (กาเลนะ ธัมมัสสะวะนัง)
ความหมาย : เมื่อมีโอกาสให้ฟังธรรมะ คิดทบทวนถึงประโยชน์แห่งหลักธรรม แล้วนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน

27. การมีความอดทน
บาลี : ขนฺตี จ (ขันตี จะ)
ความหมาย : เป็นผู้มีความอดทนต่อความยากลำบาก และอดทนต่อกิเลส และความโลภ

28. การเป็นผู้ว่าง่าย
บาลี : โสวจสฺสตา (โสวะจัสสะตา)
ความหมาย : เป็นคนที่ว่านอนสอนง่าย ไม่ทำตัวกลบเกลื่อนความผิดของตน พร้อมปรับปรุงตัว

29. การได้เห็นสมณะ
บาลี : สมณานญฺจ ทสฺสนํ (สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง)
ความหมาย : สำหรับผู้ที่อยู่ในสมณเพศ ต้องเป็นผู้ที่สงบกาย วาจา และใจ

30. การสนทนาธรรมตามกาล
บาลี : กาเลน ธมฺมสากจฺฉา (กาเลนะ ธัมมะสากัจฉา)
ความหมาย : แลกเปลี่ยนสาระความรู้กับผู้อื่น พูดด้วยวาจาที่ไม่โอ้อวด และมีความรู้จริงในสิ่งที่พูด

31. การบำเพ็ญตบะ
บาลี : ตโป จ (ตะโป จะ) ตบะ
ความหมาย : ฝึกปฏิบัติตนให้กิเลสหมดไป สำรวมกายใจ ไม่ยึดติดในสัมผัสภายในนอกเกินไป

32. การประพฤติพรหมจรรย์
บาลี : พฺรหฺมจริยญฺจ (พรัหมะจะริยัญจะ)
ความหมาย : ผู้บวชให้ละเว้นจากการเสพเมถุน ส่วนฆราวาสให้ยึดปฏิบัติโดยการให้ทาน ช่วยเหลือผู้อื่นตามสมควร และรักษาศีล

33. การเห็นอริยสัจ
บาลี : อริยสจฺจานทสฺสน (อะริยะสัจจานะทัสสะนะ)
ความหมาย : เห็นความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ คือ อริยสัจ 4 อันเป็นมูลเหตุแห่งการเกิดทุกข์ และวิธีทำให้ทุกข์หมดไป

34. การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
บาลี : นิพฺพานสจฺฉิกิริยา จ (นิพพานะสัจฉิกิริยา จะ)
ความหมาย : ปฏิบัติตน ใช้หลักธรรมดับทุกข์ และความไม่สบายใจ ระลึกถึงคุณแห่งพระนิพพาน

35. การมีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
บาลี : ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปต (ผุฏฺฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะตะ)
ความหมาย : ฝึกจิตใจตนให้ไม่หลงในลาภ ยศ และการสรรเสริญเยินยอ

36. การมีจิตไม่เศร้าโศก
บาลี : อโสกํ (อะโสกัง)
ความหมาย : การพลัดพรากเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต ใช้ปัญญาพิจารณาความเศร้า และความอาลัยอาวรณ์

37. การมีจิตปราศจากกิเลส
บาลี : วิรชํ (วิระชัง)
ความหมาย : ฝึกปฏิบัติตนให้ห่างไกลจากกิเลส และสิ่งที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง

38. การมีจิตเกษม
บาลี : เขมํ (เขมัง)
ความหมาย : รักษาไว้ซึ่งสภาพที่มีจิตใจเป็นสุข ละแล้วซึ่งกิเลส ไม่ยินดีในวัตถุ ในภพ ในอวิชชาทั้งหลาย

มงคล 38 เป็นหลักปฏิบัติที่เรียบง่าย สามารถปฏิบัติตามหลักอันเป็นมงคลชีวิตได้ด้วยตัวเอง หากพิจารณามงคล 38 ประการแล้ว จะเห็นว่า ทุกข้อล้วนเกี่ยวข้องกับการฝึกปฏิบัติตนให้เป็นประโยชน์ต่อมิตร ครอบครัว และสังคม ซึ่งเป็นหลักธรรมเบื้องต้นที่สามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ รวมถึงผู้ที่ปฏิบัติธรรมก็สามารถยึดมงคลชีวิต 38 ในการฝึกตนเองได้อีกด้วย

ที่มา : วัดป่าดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน
:idea: :idea:
ไฟล์แนบ
cats๒๘๕.JPG
cats๒๘๕.JPG (67.32 KiB) เข้าดูแล้ว 696 ครั้ง
cats๒๘๓.JPG
cats๒๘๓.JPG (75.68 KiB) เข้าดูแล้ว 696 ครั้ง
ถ้าท่านผู้มีเกียรติยังจำได้ช่วงที่เราออกจากวัดปากคลองมะขามเฒ่า(หลวงปู่ศุข) ฝนตกนะครับผมได้อธิษฐานจิตถึงหลวงปู่ เมตตาช่วยให้การเดินทางกลับอย่าเจอฝนและขอให้เที่ยวจนจบวันด้วย ปรากฏว่าฝนปรอยอากาศเย็นไม่ตกเลย ปั่นสนุกมีความสุข จวบจนเราจบภารกิจออกจากสวนนก ออกจากสวนนกปั่นกลับ รร.ที่พักไม่ถึง ๑๐ กม.ฝนกระหน่ำเทลงมาต้องหาที่หลบฝนกันเป็นทอด ๆ กว่าจะถึงที่พัก<br /><br />หลังจากที่ชำระร่างกายเรียบร้อย เวลายังเหลือยังไม่ค่ำมากนักเราก็ปั่นเข้าเมืองหาซื้อของฝากให้หลานรัก จนได้เวลาก็พากันไปฉลองจบทริปที่ภัตราคารท่าพระจันทร์อยู่ติดกับที่พักนั่นละครับ ทำอาหารมัง ฯ ได้อร่อยยอดเยี่ยม เรียกว่าจบทริปด้วยความสุขจริง ๆ
ถ้าท่านผู้มีเกียรติยังจำได้ช่วงที่เราออกจากวัดปากคลองมะขามเฒ่า(หลวงปู่ศุข) ฝนตกนะครับผมได้อธิษฐานจิตถึงหลวงปู่ เมตตาช่วยให้การเดินทางกลับอย่าเจอฝนและขอให้เที่ยวจนจบวันด้วย ปรากฏว่าฝนปรอยอากาศเย็นไม่ตกเลย ปั่นสนุกมีความสุข จวบจนเราจบภารกิจออกจากสวนนก ออกจากสวนนกปั่นกลับ รร.ที่พักไม่ถึง ๑๐ กม.ฝนกระหน่ำเทลงมาต้องหาที่หลบฝนกันเป็นทอด ๆ กว่าจะถึงที่พัก

หลังจากที่ชำระร่างกายเรียบร้อย เวลายังเหลือยังไม่ค่ำมากนักเราก็ปั่นเข้าเมืองหาซื้อของฝากให้หลานรัก จนได้เวลาก็พากันไปฉลองจบทริปที่ภัตราคารท่าพระจันทร์อยู่ติดกับที่พักนั่นละครับ ทำอาหารมัง ฯ ได้อร่อยยอดเยี่ยม เรียกว่าจบทริปด้วยความสุขจริง ๆ
cats๒๘๕๘.JPG (197.04 KiB) เข้าดูแล้ว 696 ครั้ง
cats๒๘๕๙.JPG
cats๒๘๕๙.JPG (104.75 KiB) เข้าดูแล้ว 696 ครั้ง
cats๒๘๖๐.JPG
cats๒๘๖๐.JPG (150.89 KiB) เข้าดูแล้ว 696 ครั้ง
cats๒๘๖๑.JPG
cats๒๘๖๑.JPG (158.89 KiB) เข้าดูแล้ว 696 ครั้ง
cats๒๘๖๒.JPG
cats๒๘๖๒.JPG (147.83 KiB) เข้าดูแล้ว 696 ครั้ง
cats๒๘๖๓.JPG
cats๒๘๖๓.JPG (153.73 KiB) เข้าดูแล้ว 696 ครั้ง
cats๒๘๖๔.JPG
cats๒๘๖๔.JPG (196.86 KiB) เข้าดูแล้ว 696 ครั้ง
รุ่งเช้าก่อนออกเดินทางเราก็ไปทานมื้อเช้าที่เตรียมไว้แต่เมื่อคืน ขนมปังไข่ต้ม รร.มรบริการน้ำร้อน น้ำชา กาแฟ แต่ไม่มีอาหาร หลังจาดเสร็จภารกิจก็อำลาเดินทางไปสถานีขนส่ง รถออกจากสถานีเวลา ๑๐.๓๐ น.ครับ
รุ่งเช้าก่อนออกเดินทางเราก็ไปทานมื้อเช้าที่เตรียมไว้แต่เมื่อคืน ขนมปังไข่ต้ม รร.มรบริการน้ำร้อน น้ำชา กาแฟ แต่ไม่มีอาหาร หลังจาดเสร็จภารกิจก็อำลาเดินทางไปสถานีขนส่ง รถออกจากสถานีเวลา ๑๐.๓๐ น.ครับ
cats๒๘๖๕.JPG (172.87 KiB) เข้าดูแล้ว 696 ครั้ง
1038.JPG
1038.JPG (120.58 KiB) เข้าดูแล้ว 696 ครั้ง
1046.JPG
1046.JPG (82.63 KiB) เข้าดูแล้ว 696 ครั้ง
1048.JPG
1048.JPG (70.86 KiB) เข้าดูแล้ว 696 ครั้ง
1063.JPG
1063.JPG (86.61 KiB) เข้าดูแล้ว 696 ครั้ง
1065.JPG
1065.JPG (39.47 KiB) เข้าดูแล้ว 696 ครั้ง
1069.JPG
1069.JPG (64.93 KiB) เข้าดูแล้ว 696 ครั้ง
1073.JPG
1073.JPG (47 KiB) เข้าดูแล้ว 696 ครั้ง
1075.JPG
1075.JPG (38.42 KiB) เข้าดูแล้ว 696 ครั้ง
1077.JPG
1077.JPG (36.06 KiB) เข้าดูแล้ว 696 ครั้ง
รถออกจากสถานีขนส่งชัยนาทเวลา ๑๐.๓๐ น.พักให้ผู้โดยสารได้กินมื้อเที่ยงที่ทางบริษัทรถเป็นผู้จัดบริการให้ (ที่นครสวรรค์) เราเตรียมของเราไว้แล้วตั๋วก็ไปแลกเป็นเครื่องดื่มแทน รถออกจากนครสวรรค์มุ่งหน้าเข้าเชียงใหม่ ถึงเวลา ๑๘.๒๕ น. ฝนตกต้อนรับการกลับบ้านจากลำพูนจนถึงจุดส่งลง<br /><br />เราขอให้รถจอดส่งเราลงที่ตรงหน้าห้างดูโฮม เป็นช่วงเวลาที่ฝนกำลังหยุดตกพอดิบพอดี(อะไรจะขนาดนั้น ๕๕) จากห้างดูโฮมปั่นอีก ๓-๔ กม.ก็ถึงบ้านครับไม่ไกล ฝนพรำ ๆ พอปั่นได้แต่ท้องฟ้าเริ่มจะมืดแล้ว เราถึงบ้านเราก็มืดพอดี เป็นอันว่าทริปเมืองรองชัยนาทก็จบบริบูรณ์ ทริปต่อไปจะเป็นจังหวัดใด เรายังไม่มีแผน รอให้ร่างกายที่ผ่าตัดผ่านไปอย่างน้อย ๓ เดือน คาดว่าน่าจะต้นปีหน้าเราจึงจะได้ออกเที่ยวตามฝันของเราต่อไป  ขอบพระคุณที่ติดตามเรื่องราวมาจนจบ หวังว่าในทริปต่อ ๆ ไปจะได้รับกำลังใจเหมือนเช่นเคยนะครับ สวัสดีและขอขอบพระคุณมากครับ
รถออกจากสถานีขนส่งชัยนาทเวลา ๑๐.๓๐ น.พักให้ผู้โดยสารได้กินมื้อเที่ยงที่ทางบริษัทรถเป็นผู้จัดบริการให้ (ที่นครสวรรค์) เราเตรียมของเราไว้แล้วตั๋วก็ไปแลกเป็นเครื่องดื่มแทน รถออกจากนครสวรรค์มุ่งหน้าเข้าเชียงใหม่ ถึงเวลา ๑๘.๒๕ น. ฝนตกต้อนรับการกลับบ้านจากลำพูนจนถึงจุดส่งลง

เราขอให้รถจอดส่งเราลงที่ตรงหน้าห้างดูโฮม เป็นช่วงเวลาที่ฝนกำลังหยุดตกพอดิบพอดี(อะไรจะขนาดนั้น ๕๕) จากห้างดูโฮมปั่นอีก ๓-๔ กม.ก็ถึงบ้านครับไม่ไกล ฝนพรำ ๆ พอปั่นได้แต่ท้องฟ้าเริ่มจะมืดแล้ว เราถึงบ้านเราก็มืดพอดี เป็นอันว่าทริปเมืองรองชัยนาทก็จบบริบูรณ์ ทริปต่อไปจะเป็นจังหวัดใด เรายังไม่มีแผน รอให้ร่างกายที่ผ่าตัดผ่านไปอย่างน้อย ๓ เดือน คาดว่าน่าจะต้นปีหน้าเราจึงจะได้ออกเที่ยวตามฝันของเราต่อไป ขอบพระคุณที่ติดตามเรื่องราวมาจนจบ หวังว่าในทริปต่อ ๆ ไปจะได้รับกำลังใจเหมือนเช่นเคยนะครับ สวัสดีและขอขอบพระคุณมากครับ
1080.JPG (46.87 KiB) เข้าดูแล้ว 696 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4368
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D สวัสดียามบ่าย ๆ ของวันที่อากาศเย็นสบาย (นัยว่าเข้าฤดูหนาวแล้ว) หายหน้าไปหลายวันเนื่องจากอยู่ระหว่างการรักษาตัว หนนี้เป็นรอบที่ ๓ ที่ต้องเข้าห้องผ่าตัดบอกได้ว่ามันเจ็บปวดกว่า ๒ คราที่ผ่านมา หลาย ๆ วันที่ผ่านมาก็รู้สึกเหงาและคิดถึงท่านผู้มีเกียรติและญาติธรรมทุกท่านทุกคน มีบทเพลงที่ชอบมาก ๆ เนื้อเพลงเริ่มที่

"ความคิดถึงเป็นส่วนหนึ่งของความรัก
แน่นักไม่รักใจไม่คิดถึง
รักแล้วไม่แคล้วที่จะคนึง
คิดถึง คิดถึงทุกลมหายใจ".......เราไปฟังกันครับ.. :D :D

:) :D ความคิดถึงเป็นส่วนหนึ่งของความรัก - ศรวณี โพธิเทศ :) :D

เมื่อวานไปพบหมอตามนัดสอบถามจะออกทัวร์ริ่งได้ละยัง? หมอบอกขอรอให้ผ่าน ๒ เดือนไปก่อน นั่นคือต้องนั่งแหง่วอยู่กับบ้านไปถึงปีหน้ากันเลย ก็เกิดความคิดขึ้นว่าหากเราจะออกกำลังเบา ๆ แบบปั่นเล่นอยู่ในเขตบ้านจะได้ไหม ? ก่อนกลับบ้านจึงสอบถามหมอให้แน่ใจ หมอบอก "พอได้แต่ให้ระมัดระวังห้ามปั่นหนักก็แล้วกัน"
:o :o
ไฟล์แนบ
535448_0.jpg
535448_0.jpg (125.3 KiB) เข้าดูแล้ว 1140 ครั้ง
รพ.ส่งยามาให้ที่บ้านทางไปรษณีย์ พร้อมเตือนไปพบหมอ ตามวันและเวลาคือ ๑๗,๑๘.๒๑ พ.ย.๖๖ ผมก็ไปตามที่หมอนัด ไปก็ได้ยาเพิ่มมาหลายตัว นี่ละครับ &quot;ร่างกายคือรังของโรค&quot;
รพ.ส่งยามาให้ที่บ้านทางไปรษณีย์ พร้อมเตือนไปพบหมอ ตามวันและเวลาคือ ๑๗,๑๘.๒๑ พ.ย.๖๖ ผมก็ไปตามที่หมอนัด ไปก็ได้ยาเพิ่มมาหลายตัว นี่ละครับ "ร่างกายคือรังของโรค"
529988_0.jpg (98.85 KiB) เข้าดูแล้ว 1140 ครั้ง
เมื่อวานไปพบหมอและปรึกษาหลายเรื่องรวมทั้งเรื่องการออกกำลังด้วย โชคดีนะครับที่หมออนุญาตุให้ปั่นเบา ๆ เป็นการยืดเส้นยืดสาย แต่ห้ามปั่นขึ้นเขาขึ้นดอย ปั่นหนักเหมือนทุก ๆ ครั้งไม่ได้ <br /><br />กลับบ้านเราก็ปรึกษากันถึงแนวทางการออกกำลัง คุณนายก็ได้ให้ความคิดว่าตั้งแต่เราปั่นกันมา ไม่เคยเลยที่จะนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับบ้านของตัวเอง ซึ่งมีดีหลาย ๆ อย่าง สาเหตุเพราะเชียงใหม่เป็นเมืองท่องเที่ยวหลัก ไม่ได้เป็น &quot;เมืองรอง&quot;  <br /><br />ต้องขอบคุณคุณนายที่มาจุดประกาย ก็จะถือว่าโอกาสนี้ขออนุญาตุนำเสนอ แหล่งท่องเที่ยวในเชิงวัฒนธรรมในพื้นที่ อ.สารภี ไปพลาง ๆ จนกว่าจะได้เวลาออกตระเวนเมืองรองต่อไป นะครับ
เมื่อวานไปพบหมอและปรึกษาหลายเรื่องรวมทั้งเรื่องการออกกำลังด้วย โชคดีนะครับที่หมออนุญาตุให้ปั่นเบา ๆ เป็นการยืดเส้นยืดสาย แต่ห้ามปั่นขึ้นเขาขึ้นดอย ปั่นหนักเหมือนทุก ๆ ครั้งไม่ได้

กลับบ้านเราก็ปรึกษากันถึงแนวทางการออกกำลัง คุณนายก็ได้ให้ความคิดว่าตั้งแต่เราปั่นกันมา ไม่เคยเลยที่จะนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับบ้านของตัวเอง ซึ่งมีดีหลาย ๆ อย่าง สาเหตุเพราะเชียงใหม่เป็นเมืองท่องเที่ยวหลัก ไม่ได้เป็น "เมืองรอง"

ต้องขอบคุณคุณนายที่มาจุดประกาย ก็จะถือว่าโอกาสนี้ขออนุญาตุนำเสนอ แหล่งท่องเที่ยวในเชิงวัฒนธรรมในพื้นที่ อ.สารภี ไปพลาง ๆ จนกว่าจะได้เวลาออกตระเวนเมืองรองต่อไป นะครับ
534857_0.jpg (110.49 KiB) เข้าดูแล้ว 1140 ครั้ง
อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นอำเภอที่มีพื้นที่เล็กที่สุดและเป็นเพียงอำเภอเดียวในจังหวัดเชียงใหม่ที่ไม่มีภูเขา จุดเด่นของที่นี่คือ ถนนสายต้นยางซึ่งมีอายุกว่าร้อยปีเรียงรายตลอดสองข้างทาง มีความยาวเริ่มตั้งแต่เขตอำเภอเมืองเชียงใหม่ไปจรดเขตอำเภอเมืองลำพูน ซึ่งอำเภอสารภีมีคำขวัญว่า<br /><br /> “ต้นยางใหญ่ ลำไยหวาน เมืองโบราณเวียงกุมกาม พระนอนบวรงาม เชิดชูนามสารภี”  อันแสดงถึงความสำคัญของต้นยางในพื้นที่
อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นอำเภอที่มีพื้นที่เล็กที่สุดและเป็นเพียงอำเภอเดียวในจังหวัดเชียงใหม่ที่ไม่มีภูเขา จุดเด่นของที่นี่คือ ถนนสายต้นยางซึ่งมีอายุกว่าร้อยปีเรียงรายตลอดสองข้างทาง มีความยาวเริ่มตั้งแต่เขตอำเภอเมืองเชียงใหม่ไปจรดเขตอำเภอเมืองลำพูน ซึ่งอำเภอสารภีมีคำขวัญว่า

“ต้นยางใหญ่ ลำไยหวาน เมืองโบราณเวียงกุมกาม พระนอนบวรงาม เชิดชูนามสารภี” อันแสดงถึงความสำคัญของต้นยางในพื้นที่
สารภี ๑.jpg (65.31 KiB) เข้าดูแล้ว 1140 ครั้ง
สารภี ๒.jpg
สารภี ๒.jpg (67.08 KiB) เข้าดูแล้ว 1140 ครั้ง
สารภี ๓.jpg
สารภี ๓.jpg (94.11 KiB) เข้าดูแล้ว 1140 ครั้ง
สารภี ๔.jpg
สารภี ๔.jpg (66.33 KiB) เข้าดูแล้ว 1140 ครั้ง
สารภี ๕.jpg
สารภี ๕.jpg (134.58 KiB) เข้าดูแล้ว 1140 ครั้ง
สารภี ๖.jpg
สารภี ๖.jpg (128.58 KiB) เข้าดูแล้ว 1140 ครั้ง
เมื่อได้ข้อคิดจากคุณนาย ผมก็เริ่มศึกษาหาข้อมูล &quot;โอ....ใกล้เกลือกินด่างจริง ๆ  ๕๕๕&quot; มีอีกหลาย ๆ อย่างที่ไม่ทราบมาก่อนเลย ยิ่งค้นคว้ายิ่งรู้ลึกและมีความสุขที่เห็นว่าจริง ๆ แล้ว อ.สารภีมีดีเยอะเลย ผมจะพยายามนำเสนอเผื่อว่า ท่านที่ไปเที่ยวเชียงใหม่จะได้ไม่พลาด อ.สารภี  หวังใจว่าจากนี้ไปท่านจะได้รู้จักถิ่นวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่อีกที่หนึ่ง เมื่อทุกท่านไปถึงเชียงใหม่ ท่านจะต้องคิดถึงสารภีและไปเที่ยวสารภีกันนะครับ <br /><br />อย่าลืมติดตามเป็นกำลังใจกันเหมือนเดิม นะครับ.
เมื่อได้ข้อคิดจากคุณนาย ผมก็เริ่มศึกษาหาข้อมูล "โอ....ใกล้เกลือกินด่างจริง ๆ ๕๕๕" มีอีกหลาย ๆ อย่างที่ไม่ทราบมาก่อนเลย ยิ่งค้นคว้ายิ่งรู้ลึกและมีความสุขที่เห็นว่าจริง ๆ แล้ว อ.สารภีมีดีเยอะเลย ผมจะพยายามนำเสนอเผื่อว่า ท่านที่ไปเที่ยวเชียงใหม่จะได้ไม่พลาด อ.สารภี หวังใจว่าจากนี้ไปท่านจะได้รู้จักถิ่นวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่อีกที่หนึ่ง เมื่อทุกท่านไปถึงเชียงใหม่ ท่านจะต้องคิดถึงสารภีและไปเที่ยวสารภีกันนะครับ

อย่าลืมติดตามเป็นกำลังใจกันเหมือนเดิม นะครับ.
สารภี ๗.jpg (92.3 KiB) เข้าดูแล้ว 1140 ครั้ง
๖. มัลลิกาเทวีวัตถุ เรื่องพระนางมัลลิกาเทวี<br />             (พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถานี้แก่พระเจ้าปเสนทิโกศลผู้เสียพระทัยเพราะ การจากไปของพระนางมัลลิกาเทวี ดังนี้)<br />             <br />[๑๕๑] ราชรถอันวิจิตรงดงาม ยังชำรุดได้<br />                       แม้แต่ร่างกายนี้ ก็ยังเข้าถึงชราได้<br />                       แต่ธรรมของสัตบุรุษ หาเข้าถึงชราไม่<br />                       สัตบุรุษกับสัตบุรุษรู้กันได้อย่างนี้<br /><br />* ธรรมของสัตบุรุษ หมายถึงโลกุตตรธรรม ๙ (มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑) (ขุ.ธ.อ. ๕/๑๑๑)*<br />                        <br />                          *๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐*<br /><br /><br />#ร่างกายเป็นรังของโรคมีความเสื่อมสลายไปในที่สุด [ธรรมโอวาท หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง]<br /><br />องค์สมเด็จพระทรงธรรม บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระมหากรุณาธิคุณ ทรงสั่งสอนให้ รู้จักบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ ทรงสั่งสอนให้รู้จักสภาวะของร่างกายและสังขาร ว่าร่างกายมันเป็น อนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้<br /><br />ร่างกายมันเป็น ทุกข์ ถ้าเราไปยุ่งกับมัน ใจเราก็มีความทุกข์<br />ร่างกายมันเป็น อนัตตา มันจะเป็นอะไรขึ้นมา เราห้ามไม่ได้ นี่อย่างหนึ่ง<br /> <br />อีกอย่างหนึ่ง พระองค์ตรัสว่า ร่างกายเป็น โรคนิทธัง<br />มันเป็น รังของโรค ทุกคนต้องมีโรคทั้งหมด<br />ขึ้นชื่อว่าโรคภัยไข้เจ็บของร่างกายมันมีเป็นธรรมดา<br /><br />นี่อีกศัพท์หนึ่ง ท่านว่าร่างกายเป็น ปภังคุณัง จะต้องเน่าเปื่อยเป็นธรรมดาไปในที่สุด นี่คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า<br />พ่อจำได้และก็ไม่ลืมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า<br /><br />&quot;ถ้าเราต้องการหมดความทุกข์ ต้องการมีความสุข ก็จงอย่าคิดว่าโลกนี้เป็นของเรา ทรัพย์สินทั้งหมดในโลกนี้เป็นของเรา ร่างกายนี้เป็นของเรา ร่างกายของบุคคลอื่นเป็นเราเป็นของเรา&quot;<br /><br />#สาธุ สาธุ สาธุ........#
๖. มัลลิกาเทวีวัตถุ เรื่องพระนางมัลลิกาเทวี
(พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถานี้แก่พระเจ้าปเสนทิโกศลผู้เสียพระทัยเพราะ การจากไปของพระนางมัลลิกาเทวี ดังนี้)

[๑๕๑] ราชรถอันวิจิตรงดงาม ยังชำรุดได้
แม้แต่ร่างกายนี้ ก็ยังเข้าถึงชราได้
แต่ธรรมของสัตบุรุษ หาเข้าถึงชราไม่
สัตบุรุษกับสัตบุรุษรู้กันได้อย่างนี้

* ธรรมของสัตบุรุษ หมายถึงโลกุตตรธรรม ๙ (มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑) (ขุ.ธ.อ. ๕/๑๑๑)*

*๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐*


#ร่างกายเป็นรังของโรคมีความเสื่อมสลายไปในที่สุด [ธรรมโอวาท หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง]

องค์สมเด็จพระทรงธรรม บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระมหากรุณาธิคุณ ทรงสั่งสอนให้ รู้จักบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ ทรงสั่งสอนให้รู้จักสภาวะของร่างกายและสังขาร ว่าร่างกายมันเป็น อนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้

ร่างกายมันเป็น ทุกข์ ถ้าเราไปยุ่งกับมัน ใจเราก็มีความทุกข์
ร่างกายมันเป็น อนัตตา มันจะเป็นอะไรขึ้นมา เราห้ามไม่ได้ นี่อย่างหนึ่ง

อีกอย่างหนึ่ง พระองค์ตรัสว่า ร่างกายเป็น โรคนิทธัง
มันเป็น รังของโรค ทุกคนต้องมีโรคทั้งหมด
ขึ้นชื่อว่าโรคภัยไข้เจ็บของร่างกายมันมีเป็นธรรมดา

นี่อีกศัพท์หนึ่ง ท่านว่าร่างกายเป็น ปภังคุณัง จะต้องเน่าเปื่อยเป็นธรรมดาไปในที่สุด นี่คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พ่อจำได้และก็ไม่ลืมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

"ถ้าเราต้องการหมดความทุกข์ ต้องการมีความสุข ก็จงอย่าคิดว่าโลกนี้เป็นของเรา ทรัพย์สินทั้งหมดในโลกนี้เป็นของเรา ร่างกายนี้เป็นของเรา ร่างกายของบุคคลอื่นเป็นเราเป็นของเรา"

#สาธุ สาธุ สาธุ........#
สารภี ๘.jpg (128.3 KiB) เข้าดูแล้ว 1133 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
ตอบกลับ

กลับไปยัง “ทัวร์ริ่ง (Touring)”