หน้า 65 จากทั้งหมด 67

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์: 17 ก.พ. 2024, 20:13
โดย Deang-sarapee

:( :( พ่อจ๋าอย่าร้องไห้ (เสียงร้องคนขายขวด) - ซูลุ่ย - เนื้อร้องและแปลไทย :( :(



:( :( พ่อจ๋าอย่าร้องไห้ (ธีรนัย ณ หนองคาย) :( :(

:idea: :idea: ** พ่อจ๋าอย่าร้องไห้ **

เมื่อประมาณ​ 40​ ปีที่แล้ว(1983 - 1984) ที่ไต้หวัน มีภาพยนตร์ซีรีย์ทางทีวี ทั้งหมด 26 ตอนๆละ 45 นาที ชื่อว่า "ต่าชั่วเชอ" (塔错车)​ แปลว่าขึ้นรถผิดคัน หรือ ชะตากรรมพาหลงทาง (ต่อมาได้ทำเป็นหนังใหญ่ ใช้ชื่อ​พ่อจ๋าอย่าร้องไห้)​ ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เพลงเอกประกอบภาพยนตร์ชื่อว่า "จิ่วกังถังไม่อู๋"(酒干倘卖无) หรือ​ "มีขวดเหล้ามาขาย"

เนื้อเรื่องมีว่า ทหารผ่านศึกหูหนวกเป็นใบ้คนหนึ่ง ปลดประจำการจากกองทัพก๊กมินตั๋งแล้ว ก็ใช้ชีวิตอยู่ในสลัมแห่งหนึ่งในไทเป ใช้รถสามล้อถีบเก่าๆออกหาของพอมีค่าจากถังขยะและรับซื้อขวดแก้วขวดเหล้าเลี้ยงชีพไปวันๆ เช้ามืดวันหนึ่ง เขาออกค้นขยะไปตามที่ต่างๆ ถึงบริเวณย่านไฮโซ ก็ได้ยินเสียงเด็กทารกร้องจากกองขยะ เขารีบเข้าไปดู เป็นเปลเด็กทารกหญิง พร้อมกระดาษใบหนึ่งเขียนฝากให้คนพบช่วยพาเด็กไปเลี้ยงด้วย เขาอดใจอ่อนไม่ได้ จึงพาทารกกลับบ้าน ปรึกษาเพื่อนบ้านว่าต้องเลี้ยงทารกอย่างไร

จากนั้น เขาก็เอาเงินที่เก็บไว้ทั้งหมดไปซื้อของกินนมผง และของใช้สำหรับเด็กทารก ภรรยาเขาไม่พอใจมาก เลยหนีจากเขาไป

ชายใบ้รักและเลี้ยงดูเด็กทารกน้อยเหมือนลูก เขาตั้งชื่อลูกสาวว่า อาเหม่ย (阿美)

เมื่ออาเหม่ยโตหน่อยก็พาขึ้นรถสามล้อถีบไปเก็บขยะด้วยกัน เมื่อเข้าโรงเรียนได้ก็ส่งเธอไปเข้าโรงเรียน แต่เธอมักถูกเพื่อนๆล้อเลียนว่าเป็นลูกคนใบ้เก็บขยะ จนต้องทะเลาะกับเพื่อนบ่อยๆ

ช่วงตรุษจีน เพื่อนบ้านก็ลากหมามาตัวหนึ่ง กะว่าจะให้พ่อใบ้ฆ่าแล้วเอามาแบ่งกันกินช่วงตรุษจีน แต่หมาหนีรอดได้ แถมมาซุกอยู่กับอาเหม่ย จนพ่อใบ้ต้องตัดสินใจเลิกฆ่าหมาตัวนี้ หมาตัวนี้ก็กลายเป็นสัตว์เลี้ยงของบ้านชายใบ้เก็บขยะ 3 ชีวิตใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขตามอัตภาพ

เมื่อเด็กโตขึ้น ชายใบ้ก็ต้องทำงานหนักขึ้น แถมอดมื้อกินมื้อเพื่อให้มีเงินเหลือพอสำหรับค่าใช้จ่ายของอาเหม่ยจากกองขยะ ช่วงที่เพื่อนแกล้ง หมานี่แหละที่คอยปกป้องเธอ สิบกว่าปีผ่านไป อาเหม่ยก็เข้าเรียนมหาวิทยาลัยจนจบ

ข้างบ้านมีหนุ่มนักประพันธ์เพลงไส้แห้งคนหนึ่ง อยู่ในวงการบันเทิง เขาจึงพาเธอไปฝากงานกับเจ้าของวงดนตรีเพื่อฝึกให้เธอเป็นนักร้อง ซึ่งเธอก็ไม่ทำให้ใครผิดหวัง กลายเป็นนักร้องดังแห่งยุค มีงานร้องเพลงตามบาร์ คลับ ไม่มีขาด บางครั้งก็ขึ้นเวทีคอนเสิร์ต ทำให้เธอโด่งดังเป็นพลุ ไม่มีเวลาเหลือสำหรับทำอะไรอื่น รวมทั้งอับอายไม่อยากให้คนรู้ว่ามีพ่อเป็นคนใบ้เก็บเศษขยะขาย​ เธอจึงไม่ยอมไปเยี่ยมพ่อเลี้ยงใบ้เลย

แม้พ่อเลี้ยงใบ้จะแอบไปหาเธอ ก็ไม่สามารถเข้าถึงตัวเธอได้ จนทำให้พ่อใบ้เริ่มเครียด ซึมเศร้า เหม่อลอย จนเกือบถูกมอไซค์ซิ่งชนตาย โชคดีที่หมาเห็นและเข้าใจเหตุการณ์ วิ่งเข้าไปให้มอไซค์ชนแทนจนตาย ส่วนพ่อใบ้ก็เริ่มกินไม่ได้ นอนไม่หลับ จนล้มป่วยบ่อยๆ

นักประพันธ์หนุ่มสงสาร​ จึงหาเวลาไปเยี่ยมแทน แม้พ่อใบ้จะฝากนักประพันธ์หนุ่มให้บอกอาเหม่ยกลับบ้านมาเยี่ยมพ่อบ้าง แต่ก็ไร้วี่แวว จนพ่อใบ้ป่วยหนักเข้าโรงพยาบาล เขาฝากหนุ่มนักประพันธ์ให้ช่วยไปบอกอาเหม่ยให้มาเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาลเป็นครั้งสุดท้าย เพราะพ่อต้องจากลาไปแล้ว

หนุ่มนักประพันธ์ไม่รู้จะทำอย่างไร ช่วงนาทีนั้นก็เกิดแรงบันดาลใจ แต่งเพลงชื่อ "จิ่วกังถังใหม่อู๋" (มีขวดเหล้ามาขาย) ส่งให้อาเหม่ยเพื่อปลุกจิตสำนึกเธอให้คิดถึงบุญคุณพ่อใบ้บ้าง

ซึ่งก็ได้ผล เธอเห็นเนื้อเพลงนี้แล้วน้ำตาไหลพรากๆ รีบวิ่งไปหาพ่อที่โรงพยาบาล พ่อลูกได้เห็นหน้ากันเป็นครั้งสุดท้ายเพราะเพลงๆนี้

เธอฝึกร้องเพลงนี้ทุกวันก่อนขึ้นเวทีคอนเสิร์ต และเธอก็ร้องเพลงนี้เป็นครั้งแรกบนเวทีคอนเสิร์ตโดยไม่มีอยู่ในรายการ แม้เจ้าของงานคอนเสิร์ตจะไม่พอใจ แต่เนื่องจากเป็นที่ประทับใจของผู้ชม ก็ต้องปล่อยเลยตามเลย แล้วเพลงนี้ก็กลายเป็นเพลงที่สร้างชื่อเสียงให้เธอมาก

ขึ้นรถผิดคัน รถก็พาไปทั้งๆที่ไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่จะไป คือชื่อภาพยนตร์ซีรี่ส์เรื่องนี้ (ในไทยใช้ชื่อ​ พ่อจ๋าอย่าร้องไห้)​ มีขวดมาขายไม๊ ก็กลายเป็นเพลงโด่งดังแห่งยุค

เรื่องนี้ มีเค้าโครงจากเรื่องจริง และสอนคนไปในตัวว่า

1.บุญคุณ​ ความรัก​ ความกตัญญูกตเวที อย่าหวังการตอบแทน​ เป็นเรื่องของจิตสำนึก​ จะบังคับอย่างไรก็ไม่ได้

2.ความซื่อสัตย์​ หมามันซื่อสัตย์กตัญญูทุกตัว​ และซื่อสัตย์มากกว่าคน​

3.ชีวิตคนไม่มีอะไรแน่นอน​ มีสุขมีทุกข์​ เกิด​ แก่​ เจ็บ​ ตาย​ เป็นเรื่องธรรมดา

4.สิ่งที่คนในสังคมทุนนิยมไขว่คว้าคือ เงิน ชื่อเสียง เกียรติยศ ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง

5.ในสังคมมนุษย์ที่เจริญ​ ทุกสิ่งล้วนเสแสร้ง​ หน้าไหว้หลังหลอก​ ใส่หน้ากากเข้าหากัน​ ยิ่งซื่อจะยิ่งเสียเปรียบ​ หาคนที่จริงใจต่อกันแทบจะไม่มีเลยย...นี่แหละคน

Cr; นิรนาม


:) :D มันเป็นความหวังครับว่า..จะมีคนอ่านแล้วได้สำนึกเหมือนเรื่องราวข้างต้นนี้ ผมก็จะได้บุญด้วยครับ :) :D

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์: 21 ก.พ. 2024, 10:45
โดย Deang-sarapee
:idea: :idea: บุญคุณ​ ความรัก​ ความกตัญญูกตเวที อย่าหวังการตอบแทน​ เป็นเรื่องของจิตสำนึก​ จะบังคับอย่างไรก็ไม่ได้.....ความซื่อสัตย์​ หมามันซื่อสัตย์กตัญญูทุกตัว​ และซื่อสัตย์มากกว่าคน​.....ชีวิตคนไม่มีอะไรแน่นอน​ มีสุขมีทุกข์​ เกิด​ แก่​ เจ็บ​ ตาย​ เป็นเรื่องธรรมดา.....สิ่งที่คนในสังคมทุนนิยมไขว่คว้าคือ เงิน ชื่อเสียง เกียรติยศ ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง....ในสังคมมนุษย์ที่เจริญ​ ทุกสิ่งล้วนเสแสร้ง​ หน้าไหว้หลังหลอก​ ใส่หน้ากากเข้าหากัน​ ยิ่งซื่อจะยิ่งเสียเปรียบ​ หาคนที่จริงใจต่อกันแทบจะไม่มีเลยย...นี่แหละคน

:o :o จากเรื่อง พ่อจ๋าอย่าร้องไห้ ไม่คิดว่าจะมีเรื่องนี้เกิดขึ้นในบ้านเรา (มีจนได้ วันที่ลงข่าว 15 กุมภาพันธ์ 2567) จากข่าวดังกรณี 3 พี่น้องทายาทหมื่นล้าน (จากลูกทั้งหมด 4 คน) ได้มาแถลงข่าวเพื่อขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชนให้ช่วยกันตรวจสอบพฤติกรรมอันไม่ชอบมาพากลหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการทำพินัยกรรมของเจ้าสัวมุขผู้เป็นพ่อรวมไปถึงการยกมรดกให้แก่พี่คนโตเพียงคนเดียว

จนล่าสุดทางผู้เป็นแม่คือคุณปราณี ภรรยาของเจ้าสัวมุขได้ออกมาแถลงการณ์ถึงเรื่องนี้ (ท่านคือเจ้าของ รร.อนุบาล, วิทยาลัย, มหาวิทยาลัย ฯลฯ)

“..นึกไม่ถึงว่าเสาสี่ต้นมันจะผุผังโดยมีปลวกคือบรรดาสะใภ้ของทั้งสามคนมารวมกันกัดกินจนไม่มีสมองที่จะแยกแยะสิ่งที่ถูกสิ่งที่ผิดได้ ดังนั้นแม้จะเหลือเสาเพียงต้นเดียว ก็ยังมั่นใจว่าจะประคับประคองให้กิจการที่มาจากหยาดเหงื่อแรงงานของดิฉันและอาจารย์มุขให้อยู่รอดปลอดภัย ดีกว่าให้เสาทั้งสามต้นที่โดนกัดกินจนไร้สมองมาค้ำให้เสียสมดุลจนพังทลายจนเสาดีๆต้นอื่นๆพลอยล้มไปด้วย

สำหรับคำพูดแบบนี้ที่ใช้กับคนที่เรียกว่าพ่อ ทุกคำที่สบประมาทออกสื่อสาธารณะ การสำรอกคำพูดที่ดูถูกเหยียดหยามประนามถึงความเสื่อมถอยของสุขภาพร่างกายที่ตรากตรำมาทั้งชีวิต ก็เพราะเพื่อหาเงินมาหล่อเลี้ยงเสาผุๆไร้สมองสามต้นนี้แหละ

ดิฉันยอมรับว่าดิฉันต้องรีบฉวยโอกาส เพื่อปกป้องให้ทรัพย์สินของดิฉันกับสามีไม่ให้ตกไปเป็นของพวกเนรคุณ ที่จะทำให้น้ำพักน้ำแรงและหยาดเหงื่อของเราต้องสูญเสียไปเพราะพวกคนเนรคุณเหล่านี้..“


นี่คือคำแถลงการณ์แค่บางส่วนจากคุณปราณี เป็นคำพูดของคนเป็นแม่ที่แม้ไม่มีคำด่าหยาบคายแต่ฟังแล้วต้องมีสะอึก วาจาท่านเฉียบขาดและคมมาก! ส่วนเรื่องคดีมรดกหมื่นล้านนี้จะจบลงอย่างไรก็ต้องติดตามข่าวกันต่อไป (ที่แน่ ๆ คนเป็นแม่คือเจ้าของทรัพย์เมื่อไม่ให้ก็คือไม่ได้).


:lol: :lol: ลูกหลานทั้งหลายฟัง และจดจำไว้ อย่าเนรคุณ :lol: :lol:

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์: 25 ก.พ. 2024, 06:55
โดย Deang-sarapee
:idea: :idea: เวียงกุมกาม อดีตเมืองหลวงของอาณาจักรล้านนา

“เวียงกุมกาม” ตั้งอยู่ที่ ตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ เป็นอดีตเมืองหลวงของอาณาจักรล้านนา ที่พญามังรายโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.1829 โดยโปรดให้ขุดคูเวียงทั้ง 4 ด้าน ไขน้ำแม่ปิงให้ขังไว้ในคูเมือง โบราณสถานที่ปรากฏอยู่ในเวียงกุมกามและใกล้เคียงเป็นเมืองทดลองที่สร้างขึ้นมา ก่อนที่จะมาเป็นเมืองเชียงใหม่

การสถาปนา

“เวียงกุมกาม” เกิดขึ้นหลังจากที่พญามังรายได้ปกครองและพำนักอยู่ในนครหริภุญชัย(ลำพูน)อยู่ 2 ปี พระองค์ทรงศึกษาสิ่งหลายๆอย่างและมีพระราชดำริที่จะลองสร้างเมืองขึ้น เมืองนั้นก็คือ”เวียงกุมกาม” แต่พระองค์ก็ทรงสร้างไม่สำเร็จ เพราะเวียงนั้นมีน้ำท่วมอยู่ทุกปี จนพญามังรายจึงทรงต้องไปปรึกษาพระสหายคือพ่อขุนรามคำแหงแห่งสุโขทัยและพญางำเมืองแห่งอาณาจักรพะเยา หลังจากทรงปรึกษากันแล้วจึงทรงตัดสินใจไปหาที่สร้างเมืองใหม่ ในที่สุดจึงได้พื้นที่นครพิงค์เชียงใหม่เป็นเมืองใหม่และเป็นเมืองหลวงแห่งอาณาจักรล้านนาต่อมา จึงสรุปได้ว่าเวียงกุมกามนั้นเป็นเมืองที่ทดลองสร้างขึ้น

การล่มสลาย

เวียงกุมกามล่มสลายลงเพราะเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2101 – 2317 ซึ่งตรงกับสมัยพม่าปกครองล้านนา พม่าปกครองล้านนาเป็นเวลาสองร้อยกว่าปี แต่ไม่ปรากฏหลักฐานที่กล่าวถึงเวียงกุมกามทั้งๆที่เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่นี้เป็นเรื่องร้ายแรงมาก ผลของการเกิดน้ำท่วมนี้ทำให้เวียงกุมกามถูกฝังจมลงอยู่ใต้ตะกอนดินจนยากที่จะฟื้นฟูกลับมา สภาพวัดต่างๆและโบราณสถานที่สำคัญเหลือเพียงซากวิหารและเจดีย์ร้างที่จมอยู่ใต้ดินในระดับความลึกจากพื้นดินลงไปประมาณ 1.50 -2.00 เมตร โดยวัดที่จมดินลึกที่สุดคือวัดอีค่าง รองลงมาคือ วัดปู่เปี้ย และวัดกู่ป่าด้อม

การขุดค้นพบ

ในปี พ.ศ. 2527 เรื่องราวของเวียงกุมกามก็เริ่มเป็นที่สนใจของนักวิชาการและประชาชนทั่วไป ทำให้หน่วยศิลปากรที่ 4 ขุดแต่งบูรณะวัดร้าง(ขุดแต่งวิหารกานโถม ณ วัดช้างค้ำ) และบริเวณโดยรอบเวียงกุมกามอย่างต่อเนื่องจนถึง พ.ศ. 2545 ปัจจุบันเวียงกุมกามก็ได้รับการพัฒนาให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของเมืองเชียงใหม่ เพราะเห็นว่าเวียงกุมกามมีความสมบูรณ์และเป็นแหล่งความรู้การศึกษาในแบบของเรื่องราวทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมตลอดจนวัฒนธรรมล้านาต่างๆ โดยศูนย์กลางของการนำเที่ยวชมโบราณสถานต่างๆในเขตเวียงกุมกามอยู่ที่วัดช้างค้ำ

ที่ตั้ง และ ลักษณะ

เวียงกุมกามมีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีความยาวประมาณ 850 เมตร ไปตามแนวทิศตะวันออกเฉียงใต้สู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และกว้างประมาณ 600 เมตร ตัวเมืองยาวไปตามลำน้ำปิงสายเดิมที่เคยไหลไปทางด้านทิศตะวันออกของเมือง ดังนั้นในสมัยโบราณตัวเวียงกุมกามจะตั้งอยู่บนฝั่งทิศตะวันตกหรือฝั่งเดียวกับเมืองเชียงใหม่ แต่เชื่อกันว่าเนื่องจากกระแสของแม่น้ำปิงเปลี่ยนทิศทาง จึงทำให้เวียงกุมกามเปลี่ยนมาตั้งอยู่ทางฝั่งด้านตะวันออกของแม่น้ำดั่งเช่นปัจจุบัน

ปัจจุบันเวียงกุมกามอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองเชียงใหม่ ประมาณ ก.ม. 3-4 ถนนเชียงใหม่-ลำพูน ด้านขวามือ ในเขตตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภีและอยู่ใกล้ฝั่งด้านทิศตะวันออกของแม่น้ำปิง (ข้อมูลจาก มิวเซียมไทยแลนด์)
:idea: :idea:

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์: 29 ก.พ. 2024, 10:52
โดย Deang-sarapee

:) :D เชิญชวนเที่ยวงานสตรอว์เบอร์รี่ บุฟเฟต์ ณ ร้านความสุข บ่อแก้ว สะเมิง เชียงใหม่ วันที่ 2 มีนาคม 2567 :) :D

:) :D สวัสดียามใกล้เที่ยงของวันสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ไวไหมครับ...ผมว่าแปร๊บเดียวผ่านเดือนที่ ๒ ไปอีกแล้ว ร่างกายก็ยังไม่ดีขึ้นต้องรอพบหมอ จะออกทัวร์เหมือนเดิมก็ไม่ได้ ภารกิจที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง (ดูแลหลานแทนพ่อ-แม่เขา) แล้ววันวาเลนไทม์ที่ผ่านไปเป็นอย่างไรบ้างครับ "รักฉันนี้เพื่อ...?" ๕๕๕ ท่านใดที่มีโอกาสเที่ยวเชียงใหม่ อย่าลืมแวะไปเที่ยวชิมสตอเบอรี่อร่อย ๆ ที่ อ.สะเมิงนะครับ ผมปีนี้เสียดายไม่ได้ไป ท่านใดไม่ได้ไป ชมวีดีโอที่ผมก๊อปปี้มาไปพราง ๆ ปีหน้าค่อยวางโปรแกรมก็น่าจะได้นะ

ผมอ่านบทความของท่าน ปอ.ปยุตโต ชอบใจจังท่านบัญญัติคำ ๆ นี้ดีต่อใจมาก ๆ ก็เลยนำมาฝากเป็นข้อคิดสะกิดใจ ในวันนี้ครับห้ามพลาดนะ
:lol: :lol:

:idea: :idea: วาเลนไทน์ สู่...วาเรนท์ธรรม โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

วันวาเลนไทน์นั้นเป็นวันความรักส่วนตัว จำกัดอยู่กับบุคคลหรือกลุ่ม แล้วก็มักจะมุ่งผลตอบแทนเพื่อตัวเอง แต่ว่าวันมาฆบูชานั้น เป็นวันแห่งความรัก พระอรหันต์หรือท่านผู้หมดกิเลสที่รักประชาชนทั่วโลก จะไปทำให้แก่ผู้อื่นอย่างเดียวทั้งสากลเลยจริง ๆ

วันมาฆบูชานั้นพระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ ให้หลักธรรมคำสอนแก่ใคร ? แก่พระอรหันต์ พระอรหันต์ทั้งหลายนั้น เป็นผู้หมดกิเลสแล้ว ไม่มีอะไรต้องทำเพื่อตนเองแล้ว แล้วตอนนี้อย่างไรล่ะ ก็คือพระพุทธเจ้าสอนพระอรหันต์เหล่านี้ ให้รู้หลักการในการที่จะไปทำหน้าที่ คือการที่จะไปสั่งสอนธรรมะ เผยแพร่ธรรมะเพื่อประโยชน์สุขแก่ชาวโลก ตามหลักการที่มีมาแต่เดิมแล้ว เพราะจุดประสงค์ว่า พระสงฆ์นี้จะต้องจาริกไปเผยแพร่ธรรม เพื่อประโยชน์สุขแก่พหูชน เพื่อเห็นแก่เมตตาการุณย์ต่อชาวโลก อันนี้ก็คือความรักชาวโลกนั่นเอง ก็หมายความว่า วันแห่งมาฆบูชาก็เป็นวันแห่งความรักเหมือนกัน เพราะว่าพระอรหันต์นั้นท่านรักชาวโลกทั้งหมด แล้วท่านกำลังจะไปทำงานด้วยเมตตากรุณา ก็คือความรักชาวโลกนั่นเอง ไปทำเพื่อประโยชน์สุขแก่เขา

เพราะฉะนั้นถ้าจะเอาความเป็นสากลแล้ว ก็กลายเป็นว่าวันมาฆบูชานี่แหละสากล

...วันวาเลนไทน์เป็นวันแห่งความรัก Romantic Love

...ตอนนี้เราก็บอกได้ว่า วันมาฆบูชาเป็นวันแห่ง Universal Love เป็นวันแห่งความรักที่เป็นสากล

ความรักที่เป็นสากลก็คือ `เมตตา´ ก็ไปดูเถอะ คำแปลหนึ่งของเมตตาก็คือ Universal Love เพราะว่าเมตตานั้นเป็นความรักเพื่อนมนุษย์ เป็นมิตรไมตรีปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ทุกคน แม้กระทั่งสัตว์ทั้งหลาย ไม่แบ่งแยก ไม่จำกัด ปรารถนาประโยชน์สุขแก่เขา ไม่ใช่เอาเพื่อตน

ถ้าเป็นรักแบบโรแมนติค ก็ยังมีความห่วงเรื่องว่า เอ๊เขาจะมารักฉันหรือเปล่า ? เขาจะมาให้อะไรฉันไหม ? แต่ถ้าเป็นรักแบบเมตตา ก็อยากจะไปทำให้เขาเป็นสุขอย่างเดียว

เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เราก็เห็นชัด ฝรั่งเองเขาก็บอกไว้แล้วว่าวันวาเลนไทน์เป็นวันแห่ง Romantic Love ตอนนี้วันมาฆบูชาเราก็พูดได้เต็มปากว่า เป็นวันแห่ง Universal Love

ต่อไปโยมจะไปพูด โยมก็บอกได้เลย บอกว่าวันมาฆบูชากับวันวาเลนไทน์นี้ต่างกันอย่างไร ?

ทีนี้ในเมื่อเราจะรับวันวาเลนไทน์ เราก็ควรจะรับด้วยสติปัญญา รับอย่างคนมีอารยธรรม เราเป็นอารยชนก็ต้องทำด้วยความรู้ความเข้าใจ แล้วก็เอามาขัดเกลาให้ประณีต ต่อไปวันวาเลนไทน์นี่ เมื่อเราไม่หลงใหลเพลิดเพลินนะ เราก็ได้ประโยชน์ ถ้าเราหลงใหลเพลิดเพลินไปตามกระแส เราก็กลายเป็นทาส แต่ถ้าเราเอาวันวาเลนไทน์มาใช้ประโยชน์เป็น มันก็จะเป็นทุนด้วยส่วนหนึ่ง เราก็ไม่หมดความเป็นไทย วันวาเลนไทน์ก็ยังคงทำให้เราคงความเป็นไทย แล้วคนไทยที่มีความดีงาม มีความสามารถ ก็จะทำวันวาเลนไทน์นั้นให้กลายเป็น วันวาเรนท์ธรรม

พุทธศาสนิกชนจะต้องมีความมั่นใจในตนเอง คือมั่นใจด้วยปัญญาที่รู้เข้าใจความจริงชัดเจน แล้วมีเจตนาที่ดี มีความมั่นหมายที่สร้างสรรค์ ในการนำเอาสิ่งต่าง ๆ นี้ มาใช้ให้เป็นประโยชน์ ถ้าอย่างนี้แล้ว เราจะรับอะไรต่ออะไร เราก็ไม่เสียหาย เพราะเรามีหลักของเรา โยมรู้เข้าใจชัดเจนอย่างนี้แล้ว ก็จะได้ปฏิบัติการในเรื่องวันมาฆบูชานี้ได้อย่างมั่นใจตนเอง เกิดสมาธิใจไม่ฟุ้งซ่านวอกแวก

เรื่องวันวาเลนไทน์ก็เป็นอย่างที่ว่ามานี่แหละ แต่ทีนี้ที่ว่าการที่มีคนมานิยมกันมากเวลานี้ในเมืองไทยเราน่ะ เป็นเพราะอะไร?

เรื่องนี้ก็ไม่ยาก ก็ได้มีหลายท่านได้วิจารณ์กันไปแล้ว แม้แต่มองกันง่าย ๆ ก็เห็นชัดว่า มันเป็นเพราะเรื่องกระแสโลกาภิวัตน์

แล้วโลกาภิวัตน์เรื่องนี้ที่สำคัญก็มีสองด้าน คือ กระแสโลกาภิวัตน์ด้านบริโภคนิยม อย่างที่มองเห็นกันอยู่ทั่วไปแล้วในสังคมของเราปัจจุบันนี้ มีการเสพบริโภควุ่นวายอยู่กับเรื่องนี้มาก การนิยมวาเลนไทน์ก็เข้าแนวนี้ แล้วก็สอง คือ กระแสด้านโลกาภิวัตน์ด้านธุรกิจ โดยเฉพาะด้านธุรกิจนี้ก็มาเอาด้านบริโภคนิยมนี้แหละ ใช้เป็นเครื่องมือก็ได้ ก็โดยการไปกระตุ้นความนิยมเสพบริโภคของผู้คน ให้มาสนองความต้องการทางธุรกิจ

วันวาเลนไทน์ก็เข้ากับกระแสนี้ด้วย แล้วยิ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มองในด้านความรักแบบหนุ่มสาวอะไรนี่ มันก็เป็นเรื่องที่สนองความต้องการตามธรรมชาติของคนโดยทั่วไป แต่ในแง่ ของวัฒนธรรมก็คือว่าเรายอมรับความจริงอย่างนี้ แต่ว่าเราจะทำอย่างไรให้มันประณีตดีขึ้น แล้วก็ให้เป็นไปในทางสร้างสรรค์ เพื่อให้ชีวิตดีงามขึ้นสังคมดีงามขึ้น อันนี้ก็เป็นข้อที่ควรคิดพิจารณา

การที่เราจะปฏิบัติในเรื่องอะไร อย่างเช่นว่าเรื่องวันวาเลนไทน์ได้ถูก เราต้องมีความรู้ความเข้าใจ ทีนี้สังคมไทยเวลานี้ พูดได้ว่าเกลื่อนไปด้วยการแสดงความเห็น แต่ไม่ค่อยมีการหาความรู้ เพราะฉะนั้นเราก็สับสนวุ่นวาย เรื่องนี้เราจะต้องย้ำกัน แล้วย้ำมาเรื่อย ก็คือว่า การแสดงความคิดเห็นจะต้องมากับการแสวงหาความรู้ สังคมไทยเราขาดมานานแล้วด้วย เรื่องการขวนขวายใฝ่รู้หาความรู้กัน ซึ่งเราถือว่าเป็นวัฒนธรรมทางปัญญา หรือจะเรียกว่าวัฒนธรรมแห่งการแสวงหาปัญญาก็ได้ จะต้องพัฒนาคนของเราให้หนักแน่นในเรื่องนี้ เอาจริงเอาจังกันให้มาก ผู้ใหญ่ก็เน้นแสดงความเห็นไปหาความรู้ หรือตั้งอยู่บนฐานของความรู้

พร้อมกันนั้น เด็กถ้ายังไม่พร้อมจะแสดงความเห็น กำลังอยู่ระหว่างหัดแสดงความเห็น ยังเล่นมากอยู่ เราก็พูดกันว่า ให้การเล่นนั้นเป็นการเล่นอย่างได้ความรู้ หรือ เล่นมาด้วยกันกับรู้เล่นอย่างมีความรู้ เล่นอย่างได้ความรู้ แล้วก็ได้ความรู้พร้อมไปกับการเล่น ได้ทั้งเล่นได้ทั้งรู้ อย่างนี้ล่ะก็จะเป็นประโยชน์ยิ่งขึ้น

Credit : www.dhamma4u.com
:idea: :idea:

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์: 04 มี.ค. 2024, 10:37
โดย Deang-sarapee
:idea: :idea: กว่าจะเป็น "สตรอว์เบอร์รีพันธุ์พระราชทาน 80"

"สตรอว์เบอร์รี" ผลไม้ที่มีรสชาติอร่อยเป็นที่รู้จักกันมาหลายร้อยปี ในประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกสตรอว์เบอร์รีส่วนใหญ่อยู่ทางภาคเหนือ เช่น บางอำเภอในจังหวัดเชียงใหม่ และเชียงราย และในพื้นที่บางจังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น เลย และเพชรบูรณ์ และมีแนวโน้มที่สามารถปลูกได้พอสมควรในพื้นที่สูงของภาคกลาง เช่น แถบจังหวัดกาญจนบุรี และเป็นที่ทราบกันดีว่า การที่สตรอว์เบอร์รีได้รับความนิยมอย่างสูง ในฐานะผลไม้ที่มีผลการวิจัยรองรับว่ามีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้ จนกลายเป็นพืชเศรษฐกิจนั้น มีจุดเริ่มมาจาก "โครงการหลวง" นั่นเอง
:idea: :idea:

:) :D สวัสดียามสาย ๆ ใกล้เที่ยง ปีนี้เทศกาลสตอรว์เบอรี่เหมือนจะไม่คึกคัก(สำหรับผมนะ) แต่จริง ๆ แล้วคงสนุกตลอดเวลาแน่(ส่วนผมสถิตย์อยู่ในใจ) เสียที่ปีนี้ไม่ได้ไปแค่นั้นเอง ผมชอบที่จะทานสตรอว์เบอรี่ครับ อร่อย เพลิน แล้วเคยปลูกมาแล้วด้วย สมัยที่ยังไม่โด่งดังให้ชาวเขาปลูกที่ บ.เมืองงาม อ.ฝาง(ปัจจุบัน อ.แม่อาย) ผลออกมาเท่านิ้วก้อย ๕๕๕ แต่หวานอยู่ มีเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังครับ :) :D

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์: 08 มี.ค. 2024, 11:02
โดย Deang-sarapee
:) :D สวัสดีครับท่านที่เคารพ ก่อนอื่นขอเรียนพี่น้องภาคเหนือนะครับ วันนี้วันสุดท้ายแล้วที่พระบรมสารีริกธาตุและสารีริกธาตุของอัครสาวก ที่อัญเชิญมาจากอินเดีย จะตั้งให้ทุกท่านได้บูชากราบไหว้ "เป็นครั้งหนึ่งในชีวิต" ใครที่ยังลังเลหรือลืมหรือ...ผมแจ้งเตือนมาแล้วนะครับ ใครพลาดงานนี้เสียหายหลายแสน ขอเรียนด้วยความสัตย์จริง ครั้งแรกผมคิดนะครับว่า "งานนี้คนแน่นแน่ ๆ " ผมคงไม่ถนัดที่จะไป จิตจึงคิดจะกราบรำลึกและสวดมนต์สรรเสริญพระองค์ท่านที่บ้าน ตกดึกคืนที่ ๔ มี.ค.๖๗ ช่วงตีสาม ผมเห็นท่านพระอาจารย์ภิกษุณี นันทญาณี (รุ้งเดือน สุวรรณ) ที่ผมเคารพศรัทธามาเข้าฝัน พร้อมชี้ไปที่พระภิกษุรูปหนึ่ง รูปสูงใหญ่ สวยสง่ามาก ๆ (มวยผม?)พร้อมบอกให้ผมทราบว่า "นั่น ๆ พระพุทธเจ้า ไปกราบซะ"

เมื่อวันที่ ๖ มี.ค.๖๗ ผมและคุณนายพร้อมหลานรัก(ช่วงบ่าย) จึงได้พากันไปกราบพระบรมสารีริกธาตุ ปรากฏทุกอย่างสดวกสบาย ไม่แน่นขนัดแออัดยัดเยียด เหมือนที่ใจผมคิดครั้งแรกเลยยยสักนิด :o :o อากาศก็ไม่ร้อนอบอ้าว มีลมเย็นพัดสบาย แปลกใจครับเกิดปีติ จิตสงบเป็นสุขสุด ๆ เราเตรียมดอกไม้ธูปเทียนไปจากบ้าน เมื่อขึ้นไป ณ จุดที่เขาจัดไว้วางดอกไม้ธูปเทียนและกราบสักการะเรียบร้อย เราก็ลงมาหาที่นั่งทำภาวนาเป็นพุทธบูชา ๓๐ นาที จากนั้นก็ไปชมนิทัศการพร้อมรับของชำร่วยพระราชทาน เกือบ ๕ โมงเย็นกลับบ้าน เอาบุญมาฝากทุกท่านทุกคนครับ สาธุ สาธุ สาธุ
:) :D



:D :D ชาวเชียงใหม่สักการะพระบรมสารีริกธาตุวันที่ 2 เนืองแน่น :) :D

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์: 13 มี.ค. 2024, 09:53
โดย Deang-sarapee
:idea: :idea: พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ขุดพบเมื่อ พ.ศ. 2441 โดยวิลเลียม แคลกซ์ตัน เปปเป (William Claxton Peppe)
จากเนินดินซากพระสถูปกบิลพัสดุ์ หมู่บ้านปิปราห์วา (Piprahwa) รัฐอุตตรประเทศ อินเดีย

“ เปปเป้ ฝรั่งชาวคริสต์ ขุดพบกระดูกพระพุทธเจ้า…”เรื่องนี้ เพิ่งเกิดในอินเดีย ยุคอาณานิคมอังกฤษ ตอนสมัยรัชการที่ 5 ราวร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี้เอง.. ที่มีการขุดพบกระดูกของพระพุทธเจ้าในประเทศอินเดีย.. นับว่าเป็นเหตุการณ์น่าตื่นเต้นสำหรับนักวิชาการ และ ฝรั่งชาวยุโรป..ที่น่าตื่นเต้น โดยเฉพาะนักโบราณคดีและประวัติศาสตร์โลก ก็เพราะเดิมที “พระพุทธเจ้า” .. การประสูตร ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพาน และบุคคลที่เกี่ยวข้อง เป็นแค่เรื่องเล่าในพระไตรปิฏก.. ไม่มีหลักฐานยืนยันว่า มีตัวตน เกิดเหตุการณ์ และมีสถานที่จริง.

พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ขุดพบเมื่อ พ.ศ. 2441 โดยวิลเลียม แคลกซ์ตัน เปปเป (William Claxton Peppe) จากเนินดินซากพระสถูปกบิลพัสดุ์ หมู่บ้านปิปราห์วา (Piprahwa) รัฐอุตตรประเทศ อินเดีย เปปเป้ให้คนงานขุดดินบนเนินดินใหญ่.. ที่เมืองปริปาวา ซึ่งเป็น 1 ใน 8 เมืองที่ตำราบันทึกว่า หลังปรินิพพานได้รับการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุไป..เขาพบอิฐคล้ายซากสถูป.. ขุดลงไปจนคิดว่าถึงระดับพื้นดินแล้ว พบห้องเล็กๆ.. พบหีบหินวางอยู่..เมื่อเลื่อนฝาหินเปิดดู พบผอบ หรือหม้อโบราณหลายชิ้น.. มีชิ้นหนึ่ง เป็นวัสดุมันวาว ทำด้วยหิน.. น่าจะเป็นของคนสำคัญ .. มีการสลักอักษรที่อ่านไม่ออก จารไว้รอบๆผอบ..เมื่อเปิดผอบออกดู.. ก็พบ เถ้าและเศษกระดูกมนุษย์.. พร้อมด้วยอัญมณี และแผ่นทองคำ รูปทรงดอกไม้.. นับร้อยนับพันชิ้นอยู่ภายใน..

เปปเป้ รีบเขียนจดหมายไปเล่าให้เพื่อนซึ่งเป็นนักโบราณคดีตัวจริง 2 คนฟัง พร้อมขอความเห็น.. เพื่อน 2 คนพอรู้ว่าขุดมาจากเมืองไหน ก็ตื่นเต้น ถามว่า.. มีแผ่นจารึกอักษรอะไรบ้างมั้ย..เปปเป้ บอกว่า ไม่มีแผ่นจารึก.. แต่มีอักษรที่อ่านไม่ออก จารจารึกไว้ที่ข้างผอบ แล้วเขาก็คัดลอกตัวอักษรส่งไปให้เพื่อนอ่าน..เพื่อนอ่านแล้วยิ่งตกใจ.. แปลให้ฟังว่า.. เป็นจารึกที่สลักว่า.. เป็นกระดูกของพระพุทธเจ้าที่ญาติฝังเอาไว้..

เรื่องนี้ โด่งดังในวงการโบราณคดีมาก.. มีการเก็บกระดูกที่พบไว้ในพิพิธภัณฑ์ของอินเดีย จนปัจจุบัน.. ส่วนของมีค่าที่ขุดพบ เปปเป้เก็บไว้เป็นของตระกูล..ผู้นำอังกฤษเห็นว่า คนอินเดียส่วนใหญ่ นับถือศาสนาฮินดู.. อังกฤษก็นับถือศาสนาคริสต์.. แต่สยามประเทศนับถือศาสนาพุทธ..

ข่าวลับแจ้งมาว่า.. ประเทศอังกฤษต้องการเป็นญาติดีกับประเทศสยามในเวลานั้น.. จึงแบ่งพระบรมสารีริกธาตุให้แก่ ร. 5 พระมหากษัตริย์แห่งสยามประเทศ..ร.5 เอง ก็ตั้งขณะทำงานมาตรวจสอบพิจารณาก่อน.. บางส่วนเสนอความเห็นว่า ต้องดูให้ดีก่อน.. ถ้าสิ่งที่เขาส่งมอบมาเป็นของปลอม เราจะเสียชื่อ.. ที่สุด มีการตรวจสอบแล้ว เชื่อว่า เป็นพระบรมสารีริกธาตุจริง จึงส่งคณะไปรับมอบ..ร. 5 ท่านก็ให้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ในพระเจดีย์ภูเขาทอง ณ วัดสระเกศ..

กล่าวฝ่ายเปปเป้ผู้น่าสงสาร เพราะมีข่าวหนาหู ลือว่า.. เปปเป้ เป็นจอมลวงโลก แต่งเรื่องขึ้นเอง.. ปลอมผอบเอง.. ปลอมของเก่าให้คนเชื่อว่าตนขุดพบกระดูกศาสดาในศาสนาพุทธ.. ข่าวลือมีมานาน เป็นตราบาปจนเปปเป้ถึงแก่ความตาย..หินอัญมณีและทองคำเหล่านั้น อยู่ในครอบครองของลูกหลานเปปเป้ที่ย้ายกลับมาอยู่ประเทศอังกฤษแล้ว..หลายปีต่อมา.. สารคดีดังของอังกฤษ สืบค้นเรื่องนี้ขึ้นมาอีก..โดยนำผู้เชี่ยวชาญโบราณคดีชาวเยอรมันที่มีชื่อเสียงในการอ่านภาษาโบราณ.. พากันไปตรวจสอบ ผอบดังกล่าวที่เก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์อินเดีย..

ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่า.. “เปปเป้ ไม่มีความรู้เกี่ยวกับภาษาโบราณ.. ไม่น่าเชื่อว่า เขาจะมีความสามารถในการปลอมอักษรนี้ได้..ดูลักษณะผอบแล้ว มีความเก่าตามธรรมชาติเป็นพันปีจริง.. เป็นของโบราณจริง..ร่องรอยอักษรที่จารึก ก็เป็นการจารจริง ไม่ได้จารใหม่.. สรุปว่า เปปเป้ไม่ได้โกหก..แต่ที่ยังสงสัยคือ ทำไม อักษรที่จารึก เป็นอักษรผิดยุค..เพราะอักษรที่ใช้ในสมัยพระพุทธเจ้าเมื่อ 2500 ปีก่อน.. คือ อักษรบาลี หรือภาษามคธ..แต่จารึกรอบผอบ เป็นภาษาอินเดียโบราณ ใช้อักษร “พราหมี“.. ซึ่งเป็นอักษรที่ใช้ในยุคหลังปรินิพพานแล้ว 200 -500 ปี ก็คือ ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช..

คำตอบ เปิดเผยขึ้นในเวลาต่อมา เมื่อมีนักโบราณคดีชาวอินเดียในยุคหลัง เชื่อว่า เปปเป้ขุดสถูปลึกไม่พอ น่าจะยังไม่ถึงระดับพื้นดิน.. เขาจึงดำเนินการขุดค้นที่สถูปเดิม.. แต่ขุดลึกลงไป.. ลึกลงไปเรื่อยๆ..จนถึงชั้นเดียวกับระดับพื้นดิน.. จึงพบห้องเล็กที่ถูกเปิด ถูกขุดนานมากแล้ว.. พบร่องรอย ของการเก็บพระบรมสารีริกธาตุโดยญาติของพระพุทธเจ้าจริงๆ..

สารคดีสรุปว่า.. พระบรมสารีริกธาตุและผอบที่ประดิษฐานในสถูปดังกล่าว.. อยู่มานานจนสถูปพังทลาย ไม่มีใครสนใจ..200 ปี ต่อมา.. พระเจ้าอโศกมหาราช ได้สั่งให้ค้นหาสถูปที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุตามตำนานทั้ง 8 แห่ง จนพบ.. แล้วสั่งให้ขุดขึ้นมา แบ่งบางส่วนออกมา เพื่อนำไปบรรจุไว้ที่ใหม่ที่จะสร้างจนครบ 84,000 แห่ง..
ส่วนสถูปเดิม ก็ให้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่เหลือในผอบ และจารจารึกลงไปใหม่ เก็บลงไปใหม่ เพื่อให้คนรุ่นหลังทราบว่าเป็นกระดูกของพระพุทธเจ้า..

ดังนั้น พระบรมสารีริกธาตุที่เปปเป้ขุดพบ จึงเป็นของพระพุทธเจ้าจริง..แต่ผอบที่มีจารึกนั้น ทำขึ้นมาใหม่ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ถัดมาอีก 200 ปี จึงจารึกด้วยอักษรพราหมี ไม่ใช่ภาษาบาลี..

ขอบคุณข้อมูลจาก Sunrise Isaree
:idea: :idea:

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์: 18 มี.ค. 2024, 13:54
โดย Deang-sarapee
:) :D สวัสดียามบ่าย ๆ ครับ ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมของคุณหลาน ตามสัญญาว่าจะพาไปเที่ยวช่วงปิดเทอมครับ และเมื่อ ๑๔ - ๑๖ มี.ค.๖๗ เราก็ทำตามสัญญา สิ่งแรกหลานต้องการกลับไปชมพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ที่ จ.ลำปาง และเขื่อนภูมิพล จ.ตาก (ได้เลยจัดให้ครับ) ในขณะเดียวกันเราก็สอดแทรก วัดวาอารามตามเส้นทางที่ผ่านเป็นการทัศนศึกษาไปพร้อมกัน ในโอกาสนี้ก็ขอถือเป็นกรณีพิเศษที่จะขอนำเสนอเรื่องราว ซึ่งเชื่อว่าหลาย ๆ ท่านคงยังไม่เคยไปมาก่อนเช่นกัน ไม่ว่ากันนะครับ ก่อนเข้าพิพิธภัณฑ์เราพาเด็กน้อยไปไหว้พระธาตุลำปางหลวงก่อนเลย :lol: :lol:

:idea: :idea: วัดพระธาตุลำปางหลวง ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลตำบลลำปางหลวง อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง อยู่ห่างจากตัวเมืองลำปางไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ ๑๘ กิโลเมตร วัดตั้งอยู่บนเนินสูง มีการจัดวางผังและส่วนประกอบของวัดสมบูรณ์แบบที่สุด มีสิ่งก่อสร้าง และสถาปัตยกรรมต่าง ๆ บริเวณพุทธาวาสประกอบด้วย องค์พระธาตุลำปางหลวง เป็นประธาน มีบันไดนาคนำขึ้นไปสู่ซุ้มประตูโขง ถัดซุ้มประตูโขงขึ้นไปเป็น วิหารหลวง บริเวณทิศเหนือขององค์พระธาตุมีวิหารบริวารตั้งอยู่คือ วิหารน้ำแต้ม และ วิหารต้นแก้ว ด้านตะวันตกขององค์พระธาตุประกอบด้วย วิหารละโว้ และ หอพระพุทธบาท ด้านใต้มี วิหารพระพุทธ และอุโบสถ ทั้งหมดนี้จะแวดล้อมด้วยแนวกำแพงแก้วทั้งสี่ด้าน นอกกำแพงแก้วด้านใต้มีประตูที่จะนำไปสู่เขตสังฆาวาส ซึ่งประกอบด้วยอาคาร หอพระไตรปิฎก กุฏิประดิษฐาน พระแก้วดอนเต้า อาคารพิพิธภัณฑ์และกุฏิสงฆ์

วัดพระธาตุลำปางหลวงมีประวัติว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๒๗๕ นครลำปางว่างจากผู้ครองนคร และเกิดความวุ่นวายขึ้น สมัยนั้นพม่าเรืองอำนาจได้แผ่อิทธิพลปกครองอาณาจักรล้านนาไว้ได้ทั้งหมด พม่าได้ยึดครองนครเชียงใหม่ ลำพูน โดยแต่งตั้งเจ้าผู้ครองนครอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์พม่า ท้าวมหายศเจ้าผู้ครองนครลำพูนได้ยกกำลังมายึดนครลำปาง โดยได้มาตั้งค่ายอยู่ภายในวัดพระธาตุลำปางหลวง ครั้งนั้น หนานทิพย์ช้าง ชาวบ้านปงยางคก (ปัจจุบันอยู่อำเภอห้างฉัตร) วีรบุรุษของชาวลำปาง ได้รวบรวมพลทำการต่อสู้ทัพเจ้ามหายศ โดยลอบเข้ามาในวัด และใช้ปืนยิงท้าวมหายศตาย แล้วตีทัพลำพูนแตกพ่ายไป ปัจจุบันยังปรากฏรอยลูกปืนอยู่บนรั้วทองเหลืองที่ล้อมองค์พระธาตุเจดีย์ ต่อมาหนานทิพย์ช้างได้รับสถาปนาขึ้นเป็น พระยาสุลวะลือไชยสงคราม เจ้าผู้ครองนครลำปาง และเป็นต้นตระกูล ณ ลำปาง เชื้อเจ็ดตน ณ เชียงใหม่ ณ ลำพูน ณ น่าน
:idea: :idea:

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์: 18 มี.ค. 2024, 14:06
โดย Deang-sarapee
:idea: :idea: วัดพระธาตุลำปางหลวง

เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองลำปางมาแต่โบราณ ตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวี งดงามด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่มากมาย เป็นพระธาตุประจำปีฉลู

ตั้งอยู่ตำบลลำปางหลวง เป็นวัดที่มีมาตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวี ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 20 นับเป็นวัดไม้ที่มีความสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย มีสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่และงดงาม อีกทั้งยังเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนปีฉลู โดยเริ่มสร้างในปีฉลูและเสร็จสิ้นในปีฉลูเช่นเดียวกัน สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด ได้แก่ - พระธาตุลำปางหลวง มีฐานเป็นบัวลูกแก้ว ส่วนองค์พระธาตุเป็นทรงกลมแบบล้านนา ภายนอกบุด้วยทองจังโก ยอดฉัตรทำด้วยทองคำ มีลายสลักดุนเป็นลวดลายประจำยามแบบต่าง ๆ ลักษณะเจดีย์แบบนี้เป็นต้นแบบของพระธาตุหริภุญไชยและพระบรมธาตุจอมทองด้วย

ภายในองค์พระเจดีย์บรรจุพระเกศา พระอัฐิธาตุจากพระนลาฎข้างขวา พระศอด้านหน้าและด้านหลัง บริเวณรั้วทองเหลืองรอบองค์พระธาตุมีรูกระสุนปืนที่หนานทิพย์ช้างต่อสู้กับท้าวมหายศปรากฏอยู่ - วิหารหลวง เป็นวิหารขนาดใหญ่ที่สร้างเมื่อ พ.ศ. 2019 โดยเจ้าหมื่นคำเป๊ก ภายในมีซุ้มปราสาททองเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าล้านทอง ด้านหลังเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าทันใจ บนแผงไม้คอสองมีภาพจิตรกรรมเก่าแก่งดงามเรื่องทศชาติและพรหมจักร

- วิหารพระพุทธ เดิมเป็นวิหารเปิดโล่งหน้าบันเป็นลายดอกไม้ติดกระจกสี มีอายุไม่ต่ำกว่า 700 ปี ภายในประดิษฐานพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ ตัวอาคารก่ออิฐถือปูน ศิลปะเชียงแสน และยังปรากฏเงาพระธาตุภายในวิหารอีกด้วย - วิหารน้ำแต้ม หรือวิหารภาพเขียนสี “แต้ม” แปลว่า ภาพเขียน สร้างเมื่อ พ.ศ. 2044 เป็นวิหารเก่าที่ภายในเปิดโล่งไม่มีเพดาน คงรูปแบบของสถาปัตยกรรมไทยที่งดงาม กำแพงด้านพระประธานเขียนภาพลายทองบนพื้นรักแดง มีภาพจิตรกรรมศิลปะล้านนาบนแผงไม้คอสองที่เก่าแก่และหลงเหลือเพียงแห่งเดียวในเมืองไทย ปัจจุบันภาพเขียนลบเลือนไปมากและประดิษฐานพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 1.25 เมตร สูง 1.25 เมตร

- ซุ้มพระบาท สร้างครอบพระพุทธบาทไว้ ฐานก่อขึ้นเป็นชั้นคล้ายฐานเจดีย์ สร้างเมื่อ พ.ศ. 1992 ภายในมองเห็นแสงหักเห ปรากฏเป็นเงาพระธาตุและพระวิหารในด้านมุมกลับ แต่ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้า - กุฏิพระแก้ว เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต มีอายุไม่ต่ำกว่า 400 ปี - วิหารพระเจ้าศิลา เป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าศิลาซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงละโว้ เมื่อ พ.ศ. 1275 พระราชบิดาของพระนางจามเทวีพระราชทานให้และประดิษฐานไว้ ณ ที่แห่งนี้ - พิพิธภัณฑ์ รวบรวมศิลปวัตถุจากที่ต่าง ๆ ที่หาชมได้ยาก เช่น สังเค็ด ธรรมาสน์ คานหาบ ตู้พระไตรปิฎก เป็นต้น นอกจากนี้วัดพระธาตุลำปางหลวงยังเป็นที่ประดิษฐาน “พระแก้วดอนเต้า” (พระแก้วมรกต) พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดลำปาง เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะล้านนา สลักด้วยหยกสีเขียว โดยจะมีการจัดงานนมัสการพระแก้วดอนเต้าในวันเพ็ญเดือน 12 ของทุกปี เปิดทุกวัน เวลา 07.30-17.00 น.

ข้อมูลจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) 1600 ถ.เพชรบุรี แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 ประเทศไทย
:idea: :idea:

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์: 20 มี.ค. 2024, 19:30
โดย ลุงเนตร
"..สวัสดีครับ ท่านน้องแดง สาระภี ที่ชี้ชวนและนำ URL ของกระทู้ "คุณลุงแดง - คุณป้าอ๋อย" พาเที่ยว ไปให้ทัศนา นับว่าเป็นกระทู้ที่มีประโยชน์มาก มีสาระทั้งทางธรรมและทางโลก ควรติดตามเป็นอย่างยิ่ง ขอบคุณมากๆครับ ท่านทั้งสอง จงอยู่ดีมีสุขทั้งครอบครัว สุขภาพกายดีด้วยการออกกำลงกายเป็นประจำ สุขภาพจิตดีด้วยแก่นธรรมของศาสนาที่นับถือ.."

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์: 22 มี.ค. 2024, 10:26
โดย Deang-sarapee
ลุงเนตร เขียน: 20 มี.ค. 2024, 19:30 "..สวัสดีครับ ท่านน้องแดง สาระภี ที่ชี้ชวนและนำ URL ของกระทู้ "คุณลุงแดง - คุณป้าอ๋อย" พาเที่ยว ไปให้ทัศนา นับว่าเป็นกระทู้ที่มีประโยชน์มาก มีสาระทั้งทางธรรมและทางโลก ควรติดตามเป็นอย่างยิ่ง ขอบคุณมากๆครับ ท่านทั้งสอง จงอยู่ดีมีสุขทั้งครอบครัว สุขภาพกายดีด้วยการออกกำลงกายเป็นประจำ สุขภาพจิตดีด้วยแก่นธรรมของศาสนาที่นับถือ.."
:) :D สวัสดีครับท่านพี่และญาติธรรมที่เคารพทุก ๆ ท่าน กราบขอบพระคุณท่านพี่เป็นอย่างสูง ที่กรุณาเข้ามาให้กำลังใจรู้สึกได้ว่า "อิจฉาท่านพี่จังเลย ๘๐ แล้วยังแข็งแรงปั่นเที่ยวทั่วไทยไร้โรคาพญาธิมารบกวน" ต่างกับผมที่ต้องดูแลสุขภาพภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์ ช่วง ๕ เดือนที่ผ่านมาไม่ได้ไปแห่งหนตำบลใดเลย และไม่ทราบว่าอีกกี่วันกี่เดือนถึงจะได้ออกไปตะลอน ๆ เหมือนเดิม

ก็ยังโชคดีที่ยังสามารถขับรถไป-มา ได้ดังเดิม แต่การออกกำลังกายในระยะใกล้ ๆ รัศมีไม่เกิน ๑๐ กม.ก็ยังคงดำรงอยู่ ในอุดมการณ์ที่จำจากท่านพระอาจารย์ทุก ๆ องค์ที่สอนไว้ว่า "ร่างกายที่แข็งแรงต้องเคลื่อนไหว จิตใจที่เข้มแข็งต้อง สงบ เย็น เป็นสมาธิ" คงอีกไม่นานก็น่าจะสามารถออกตระเวนได้แบบเดียวกับท่านพี่ครับ
:lol: :lol:

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์: 22 มี.ค. 2024, 10:39
โดย Deang-sarapee
:idea: :idea: พิพิธภัณฑ์ซากดึกดำบรรพ์ ธรณีวิทยา และธรรมชาติวิทยา จ.ลำปาง Cr. มิวเซียมไทยแลนด์

พิพิธภัณฑ์ซากดึกดำบรรพ์ ธรณีวิทยา และธรรมชาติวิทยาจังหวัดลำปาง เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมความรู้และตัวอย่างด้านธรณีวิทยา ซากดึกดำบรรพ์ และธรรมชาติวิทยา เพื่อให้บริการองค์ความรู้ที่รวบรวมไว้แก่ประชาชน และเป็นศูนย์กลางการบริหารจัดการ ศึกษาวิจัยที่ถ่ายทอดความรู้ที่เกี่ยวข้องกับแหล่งซากดึกดำบรรพ์ และแหล่งธรณีวิทยาที่สำคัญในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือของประเทศ

ภายในนิทรรศการ แบ่งเป็น 3 โซน

โซนชั้น 3 บอกเล่าเรื่องราวการกำเนิดโลกและสิ่งมีชีวิตในมหายุคพาลีโอโซอิก ผ่านหุ่นจำลองเคลื่อนไหวได้

โซนชั้น 2 บอกเล่าเรื่องราวในมหายุคมีโซโซอิก พร้อมจัดแสดงหุ่นไดโนเสาร์เคลื่อนไหวได้ พร้อมทั้งห้องจำลองการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์หลังสิ้นสุดมหายุคมีโซโซอิก เมื่อไดโนเสาร์สูญพันธุ์ได้กำเนิดมหายุคที่ 3 คือมหายุคซีโนโซอิก บอกเล่าเรื่องราวสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม

โซนชั้น 1 กิจกรรมการเรียนรู้ด้านธรณีวิทยา ธรณีพิบัติภัย และซากดึกดำบรรพ์

ที่อยู่และเบอร์ติดต่อ เลขที่ 414 หมู่ 3 ตำบลศาลา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง 52130 โทรศัพท์ : 054-282 159 , 089-815-2202 อีเมล : dmrlampangmuseum@gmail.com

วันและเวลาทำการ เปิดให้เข้าชม วันอังคาร – วันอาทิตย์ เวลา 09.30 – 16.30 น. ( ปิดวันจันทร์ )

ค่าเข้าชม

• คนไทย: เด็ก 10 บาท / ผู้ใหญ่ 30 บาท
• เข้าชมแบบหมู่คณะ (ตั้งแต่ 40 คนขึ้นไป): เด็ก 5 บาท / ผู้ใหญ่ 20 บาท
• For foreigners: Children 40 baht / Adult 80 baht

**** ค่าเข้าชมรับเฉพาะเงินสด กรุณาเตรียมเงินสดมาด้วย ****

ยกเว้นค่าเข้าชม**

เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี
นักเรียน/นักศึกษา ในเครื่องแบบหรือแสดงบัตรนักเรียน
ผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป พระภิกษุสามเณร ผู้พิการ ทหารผ่านศึก
ผู้ถือบัตร อสทล. และ ผู้ถือบัตรจิตอาสาพระราชทาน
:idea: :idea:

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์: 24 มี.ค. 2024, 20:33
โดย Deang-sarapee
:idea: :idea: #ตะแกรงร่อนพระดัง-พระดี

ยกตัวอย่าง พระยอดดื้อ ในสมัยพุทธกาล

๑.พระดื่มเหล้าก็มี เช่น พระสาคตะ เป็นต้น
๒.พระหัวดื้อก็มี เช่น พระฉัพพัคคีย์, พระติสสะ, พระฉันนะ เป็นต้น
๓.พระมักมากในลาภปัจจัย เช่น พระอุปนันทศากยบุตร เป็นต้น
๔.พระทะเลาะกับโยม เช่น พระสุธรรม พระนักก่อสร้าง จอมงอแง วิวาทกับจิตตคหบดี อุบาสกผู้เป็นอนาคามีแห่งเมืองมัจฉิกาสณฑ์ เป็นต้น
๕.พระทะเลาะกับพระ พระพุทธเจ้าห้ามก็ไม่ฟัง เช่น พระภิกษุชาวเมืองโกสัมพี เป็นต้น
๖.คฤหัสถ์ฆ่าพระ เช่น พระมหาโมคคัลลานะถูกโจรฆ่า เป็นต้น
๗.พระขับรถ พระเต้นแร็ป พระเล่นชกมวยเช่น พระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ เป็นต้น
๘.พระขี้ดือ แอบหลอยลูบก้นเมียชาวบ้าน เช่น อุทายี เป็นต้น
๙.พระฉัพพัคคีย์ ยกพวกไล่ตีพระกลุ่มสิบเจ็ดรูปในวัดพระเชตวัน ร้องไห้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เป็นต้น
๑๐.พระจอมขี้คุย อวดเก่งว่าตนเจ๋งกว่าใครในเรื่องการแสดงธรรม เช่น พระโลฬุทายี เป็นต้น
๑๑.พระเทวทัต พระสุดยอดของความดื้อด้าน ก่อปัญหาให้แก่สงฆ์ กระทั่งวางแผนฆ่าพระพุทธเจ้า เพื่อตนจะได้เป็นใหญ่ปกครองสงฆ์เสียเอง เป็นต้น
๑๒.พระภิกษุณี (นักบวชหญิง) แอบค้าประเวณี ให้บริการทางเพศแก่ชายหนุ่มและชายแก่ตัณหาจัดจอมกลัดมัน เป็นต้น
ฯลฯ

ยกตัวอย่าง พระและบุคคลยอดดี ในสมัยพุทธกาล

๑.พระยอดกตัญญู เช่น พระสารีบุตร ผู้เป็นอัครสาวกเลิศด้วยปัญญา เป็นต้น
๒.พระมักน้อย สันโดษ ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ถือธุดงควัตร ชอบอยู่ป่า เช่น พระมหากัสสปะ พระโกณฑัญญะ เป็นต้น
๓.พระผู้มีนิสัยน่ารัก อ่อนน้อมถ่อมตน ยอดพระเลขา พระอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้า เช่น พระอานนท์ เป็นต้น
๔.ผู้บวชภายแก่ แต่มีนิสัยว่านอนสอนง่าย เช่น พระราธะ เป็นต้น
๕.พระนักเทศน์ฝีปากเยี่ยมยอด เช่น พระกุมารกัสสปะ พระมหากัจจายนะ เป็นต้น
๖.พระผู้ไม่โอ้อวด ประพฤติถ่อมตน เช่น ท่านพระอัสสชิ เป็นต้น
๗.พระฝ่ายบู๊ ถ้าเป็นรัฐมนตรีในยุคปัจจุบัน ก็คงจะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมนี่แหละ เช่น พระมหาโมคคัลลานะ เป็นต้น
๘.พระผู้เสียสละ คือเสียสละ ราชบัลลังก์ออกบวช เช่น พระมหากัปปินะ พระภัททิยะ เป็นต้น
๙.พระภิกษุณี ผู้เคร่งครัดด้วยพระธรรมวินัย เช่น นางปฏาจารา และผู้เลิศด้วยปัญญา เช่น นางเขมาเถรี เป็นต้น
๑๐.สามเณรราหุล ผู้ใฝ่การศึกษา สามเณรบัณฑิต ผู้เคารพเชื่อฟังพระอุปัชฌาย์ อาจารย์ เป็นต้น
๑๑.ฝ่ายฆราวาสอริยสาวก ผู้เป็นเศรษฐีใจบุญ นายทุนใจดี เช่น อนาถบิณฑิก นางวิสาขา เป็นต้น
ฯลฯ

นี่ก็เพียงยกตัวอย่างให้เห็นว่า ยุคใดสมัยใดก็จะเป็นเช่นนี้ คือ มีคนดีคนชั่ว พระดีพระดื้อ เพราะกิเลสอันเดียวกัน คือ ราคะ โทสะ โมหะ เปลี่ยนแต่กาลเวลายุคสมัยเท่านั้น จะให้คนดีเสมอกัน เหมือนจะให้แผ่นดินราบเรียบเสมอกัน ย่อมเป็นไปไม่ได้

เพราะฉะนั้น คนหรือนักบวช ผู้ถูกกิเลสครอบงำ ก็ต้องวิปริตแปรปรวนไปต่างๆนาๆ มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ ประสบกับปัญหาหรือความทุกข์ทั้งในปัจจุบัน และในอนาคตอย่างไม่จบสิ้นเสียที

พระพุทธเจ้า พระองค์จึงมีกระบวนการพัฒนามนุษย์ ได้แก่ ให้สิกขา คือ การให้ความรู้ คู่ฝึกฝน จึงจะเกิดเป็นมีความรู้คู่ความประพฤติ มนุษย์ผู้ฝึกดีแล้ว เป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ เหมือนช้างม้าฝึกดีแล้ว ก็เป็นสัตว์ที่ควรแก่การใช้งาน ส่วนคนนั้น ประเสริฐกว่าสัตว์เหล่านั้นนัก

แต่บางทีศึกษาและการฝึกฝน ก็ใช่ว่าจะสำเร็จประโยชน์กันทุกคน บ้างก็ไปได้ดีมีความเจริญ บ้างก็ตกต่ำย่ำแย่ ทั้งๆที่ลักษณะอย่างหลังใครๆก็ไม่ประปรารถนา แต่ก็ต้องรับผลเช่นนั้น ถ้าคิดดูดีๆ ก็น่าเห็นใจเป็นที่สุด เพราะมีกิเลสบัญชาการอยู่เบื้องหลัง เหมือนคนเป็นทาส จนขาดความเป็นอิสระ นอกจากเป็นขี้ข้ารับใช้นายอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง คนเราทั้งพระทั้งโยม ก็มีเบื้องหลังคือกิเลสเช่นนี้เหมือนกัน

ด้วยเหตุนั้น หน้าที่สำคัญของมนุษย์ผู้มีกิเลส มีความทุกข์ จึงต้องศึกษาอบรมพัฒนาตนเอง และให้ความรู้คู่ฝึกฝนในทางที่ถูก จึงจะดีหรือเจริญได้ อย่าพึ่งไปตัดสินอะไรๆด้วยอำนาจกิเลสตน เพราะทุกคนก็มีกรรมเป็นของตน ใครทำกรรมอันใดไว้ ก็ได้รับผลเช่นนั้น

ตัวอย่าง ข่าวดังพระหนุ่มเชิดเงินวัดนับร้อยล้านหนี ท่านก็ได้รับผลแห่งการกระทำจนแทบจะมองหน้าสังคมไม่ได้แล้ว ทุกอย่างก็ให้เป็นไปตามกระบวนการแห่งกรรม ส่วนเรา ก็อย่าชะล่าใจ วันใดวันหนึ่งอาจจะตกอยู่ในชะตากรรมเช่นนั้นก็เป็นไปได้ เพราะอำนาจแห่งกิเลสที่ยังมีอยู่มากมาย

ความสำคัญ ต้องแยกแยะอะไรให้ชัดเจน มิใช่มีอะไรเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนาของตนเอง (เว้นแต่คนนอกศาสนา) ก็พูด/ทำประชดประชันไปว่า คงไม่กราบแล้วพระสงฆ์ คงจะได้กราบแต่พระในโบสถ์ หรือไหว้พระเครื่องดีกว่า การทำเช่นนั้น ไม่มีผลดีใดๆ ทั้งแก่ตนและคนอื่น รวมทั้งพระศาสนา เพราะไปมอบศาสนาให้แก่คนทำผิดหรือพระไม่ดี ทั้งๆที่เราเองก็เป็นเจ้าของศาสนาในฐานะเป็นพุทธบริษัท ดังที่ท่านป.อ.ปยุตฺโต เคยให้ข้อคิดไว้ว่า เหมือนเราเป็นเจ้าของบ้าน เมื่อไฟไหม้บ้าน ก็ช่วยกันดับไฟไหม้ หรือเหมือนโจรมาลักสิ่งของในบ้าน ก็ควรจะปกป้องสมบัติของตน ไม่ใช่ยกสมบัติให้โจรเสีย

ในขณะเดียวกัน ก็ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ตั้งใจศึกษา ปฏิบัติธรรมให้ดีๆ เพื่อให้ตนได้ประโยชน์และความสุข อันเกิดจากมีพระศาสนาอันประเสริฐ เพราะพระพุทธเจ้ายังสูงสุด พระธรรมยังยอดเยี่ยม พระอริยสงฆ์ ยังเป็นบุคคลแบบอย่างได้เป็นอย่างดี จะมัวตีโพยตีพายอยู่ไยเล่า เราต้องมีเหตุผล มีปัญญา รู้จักแยกแยะ ร่อนเอาเพชรพลอยมีค่าจากผืนแผ่นดินอันมากมายด้วยสิ่งปะปนต่างๆ ดังบทกวีผู้รู้ว่า

"สองคนยลตามช่อง
คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม
อีกคนตาแหลมคม
เห็นดวงดาวอยู่พราวพราย."

เพจ พระสุทธิพงษ์ อภิปุญฺโญ
:idea: :idea:

:) :D ต่อจากนี้ไปถ้าเห็นข่าวที่ไม่ดีเกี่ยวกับพระ อย่าให้ความสำคัญและอย่าคิดว่าศาสนามันเสื่อม คนต่างหากฉะนั้น "จงเลือกจำแต่ตัวอย่างที่ดี" เพราะสิ่งที่ไม่ดีมันมีคู่โลกมาเนิ่นนานแล้ว ปัจจุบันนี้นับวันยิ่งเพิ่มมากขึ้น ๆ เพราะ "สื่อ" ต้องขอบคุณสื่อนะ เราจะได้ทันโลกไม่ตกเป็นเหยื่อของเหล่า "อลัชชี" และอยากจะบอกว่ากรรมเวรมันติดอินเตอร์เน็ตแล้ว ไม่ต้องรอชาติหน้า ชาตินี้อาจได้เห็นกัน อย่าประมาทนะครับ ตัวอย่างสด ๆ ร้อนลงนรกตั้ง ๔๖๘ ปี :lol: :lol:

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์: 24 มี.ค. 2024, 21:07
โดย Deang-sarapee

:) :D วัดสันตินิคมตำบลใหม่พัฒนาอำเภอเกาะคาจังหวัดลำปาง :) :D


:o :o นรก สวรรค์ วัดสันตินิคม อ.เกาะคา จ.ลำปาง :o :o

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์: 27 มี.ค. 2024, 11:28
โดย Deang-sarapee
:idea: :idea: ขอพาท่านมารู้จักสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่มาพร้อมกับเราตั้งแต่เกิด จนสุดท้ายของชีวิต แค่นั้นยังไม่พอ ยังสามารถนำพาเราไปสู่ภพภูมิต่างๆ ที่เป็นที่สุด แห่งภพภูมิ ได้อีกด้วย “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือ ลม หาย ใจ” :o :o

ณ ปัจจุบันนี้ มีงานวิจัยมากมาย รวมถึงคัมภีร์โบราณ ต่างบรรยายสรรพคุณของ ลมหายใจ ไว้มากมายมหาศาล โดยที่ ผู้ที่นำความลับนี้มาบอกเป็นคนแรก ได้แก่ “พระพุทธเจ้า” นั่นเอง "ลมหายใจคือสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในตัวเรา" แต่ก็ เป็นสิ่งที่ถูกมองข้าม มากที่สุด เช่นกัน

ลมหายใจ เป็นสิ่งที่มีพลังมหาศาล และเป็นเหตุปัจจัยสำคัญที่ทำให้พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของจักรวาล แม้ในวันนี้ โลกได้มีวิวัฒนาการกว้างไกลไปมาก มาลองดูวิจัยต่างๆที่เกี่ยวกับลมหายใจดูบ้าง เพื่อที่จะให้ทุกคนได้เห็นคุณค่าของลมหายใจอย่างเป็นรูปธรรม จะได้รู้จักการทำงานของกายและใจของตน ผ่านลมหายใจ ตอนนี้จะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว มาดูกัน

๑) ลมหายใจกำหนดอายุขัย -รู้ไหมว่า ลมหายใจมีความสัมพันธ์โดยตรงกับอัตราการเต้นของ "หัวใจ" ด้วยน่ะ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด มีขีดจำกัดของการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 1 พันล้านครั้งในชีวิต หากสัตว์ชนิดไหน "หายใจถี่หายใจตื้น" มันจะอายุสั้น ส่วนสัตว์ชนิดไหน "หายใจช้าหายใจลึก" มันจะอายุยืน ฉะนั้น สิ่งนี้จึงเป็นข้อบ่งชี้ให้คุณประเมินตัวเองได้เลยว่า คุณจะอายุสั้นหรืออายุยืน ก็จะสามารถรู้ได้จากการฝึกดูลมหายใจนี้เอง

๒) หายใจถูกต้องป้องกันและรักษาโรคร้าย ได้มากมาย -เมื่อเรา "ฝึกลมหายใจให้ลึกและยาว" -คุณจะพบว่าโรคต่างๆ ที่เป็นเรื้อรังมานาน สามารถหายไปได้ ได้แก่

๒.๑ โรคไมเกรน - ท่านโกเอ็นก้า วิปัสสนาจารย์มหาเศรษฐีชาวอินเดีย ไปรักษาโรคนี้ที่ไหนก็ไม่หาย สุดท้ายก็หายได้จากการฝึก อานาปานสติ นี่ก็คือต้นเหตุที่ทำให้การปฏิบัติธรรมสายท่านโกเอ็นก้า เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางไปทั่วโลก เฉกเช่นทุกวันนี้
๒.๒ โรคหัวใจและโรคความดัน - การ "หายใจลึกและช้า" สามารถลดความดันโลหิตลงได้อย่างเห็นผลทันตา และสามารถช่วยผู้ป่วยที่มีอาการหัวใจกำเริบ ให้อาการดีขึ้นได้ด้วยการ "หายใจลึกๆ และช้า"
๒.๓ โรคเครียดเรื้อรัง -โรคนี้นำมาซึ่งโรค อื่นๆ เป็นแพคเกจใหญ่เลย ทั้งนอนไม่หลับ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง สารพิษเพิ่มในเลือด -ซึ่งสำหรับวิธีแก้นี้ นพ.แอนดรู ไวล์ แพทย์ชื่อดังเคยกล่าวเอาไว้ว่า “หากจะให้ผมแนะนำเคล็ดลับการมีสุขภาพที่ดีเพียงข้อเดียว ผมจะบอกสั้นๆ แค่ว่า จงฝึก "หายใจอย่างถูกวิธี”

๓) ลมหายใจกับออกซิเจน -ร่างกายคนเราต้องการออกซิเจน ในการทำทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งกิน กะพริบตา เคี้ยว -นอกจากนั้นการ "หายใจลึกและยาว" จะช่วยบำรุงสมอง รักษาความจำ และชะลอโรคต่างๆ ยิ่งคุณหายใจถูกต้อง "ลึกและยาว" เท่าไหร่ ออกซิเจนก็จะเข้าสู่ร่างกายคุณได้มากมายมหาศาลเท่านั้น และมันจะทำให้คุณฉลาดมากขึ้นเพราะสมองได้รับออกซิเจน ที่เพียงพอ

๔) หายใจเป็น ทำให้หน้าเด็ก -เมื่อหายใจเป็น หายใจเต็มปอด ออกซิเจนจะไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างทั่วถึง -ทำให้ใบหน้ามีน้ำมีนวล เต่งตึง สดใส อ่อนกว่าวัย และขับสารพิษได้อีกด้วย

๕) ลมหายใจเป็นตัวกำหนด ระดับความสำเร็จในชีวิต -คุณควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีแค่ไหน? -รู้ไหมว่า อากาศที่เราหายใจเข้าไป มีผลต่ออารมณ์โดยตรง -หากคุณตื่นเต้น โกรธ กลัว หรือประหม่า ลองฝึก "หายใจเข้าออกยาวๆ" ดู เพราะการหายใจลึกๆ ยาวๆ จะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหน้า ที่เป็นตัวบริหารและควบคุมอารมณ์ต่างๆ โดยตรง -สมองส่วนนี้ ยิ่งแข็งแรงมากขึ้นเท่าไหร่ คุณก็จะเป็นอีกคนที่มีสิทธิ์ที่จะควบคุมอารมณ์ของตัวเอง และกำหนดชะตาชีวิตใหม่ให้ตัวเอง ไม่ตกเป็นทาสของความกลัว ความโกรธ ความเกลียด มากขึ้นเท่านั้น

๖) สุดท้ายนี้ อยากให้ลองเอาสิ่งที่บอกเล่านี้ ไปฝึกทำดูน่ะ -นั่นก็คือฝึก "หายใจเข้า/ออกให้ยาวๆ" -แรกๆ อาจจะอึดอัด ก็ให้ลดการบังคับควบคุมมัน และออกมาดูว่า ตอนนี้ธรรมชาติของลมหายใจ ที่ไม่เคยฝึกมันก็เป็นแบบนี้ -ค่อยๆ ทำไปและบอกตัวเองเป็นเชิงสัญลักษณ์ เช่น ทุกครั้งที่เห็นวัตถุสีขาว จะกลับมาอยู่กับลมหายใจ และฝึกหายใจยาว -ทำไปสบายๆ สนุกกับมัน สังเกตสิ่งที่ปรากฎขึ้นกับร่างกายและความรู้สึกนึกคิดของเรา ออกมาเป็นผู้รู้ ผู้ดู ผู้สังเกตการณ์ ซะบ้าง -เพราะการเอาแต่ควบคุม ทุกอย่าง โดยไม่รู้จักธรรมชาติของมันนั้น ทำให้เราเป็นทุกข์มานานเกินไปแล้ว ทีนี้ก็ลอง ออกมาเป็นผู้ดู เพื่อเห็นความจริง เกี่ยวกับตัวเองดูบ้าง ทำไปเรื่อยๆ เน้นต่อเนื่องมากกว่า เก่ง แล้วคุณก็จะเป็นอีกคนหนึ่งที่ "หายใจเป็น” และรู้ด้วยตัวเองกับตากับใจว่า ไม่มีสมบัติชิ้นใดจะมีค่ามากไปกว่า “การหายใจอย่างถูกต้อง” อีกแล้ว ขออนุโมทนาในบุญกุศลของทุกท่าน ที่ได้ทำ ด้วย
:idea: :idea:

:) :D ออกจากเที่ยวชมนรก-สวรรค์ ที่วัดสันตินิคม เราก็เดินทางกลับ ผ่านมาทางโป่งน้ำร้อน ก็ถือโอกาสพาอาม่า ไปแช่น้ำร้อนผ่อนคลาย และไปกินไข่ออนเซนทีอร่อยมาก ๆ ใครผ่านไปอย่าลืมแวะนะครับ ได้ผ่อนคลายได้ชิมไข่ที่แสนอร่อยต่างกับไข่ต้มธรรมดาของเรามากเลย ดีใจที่เห็นอาม่าของเรามีความสุข :) :D


:) :D โป่งน้ำร้อนเกาะคาลำปางสวยนอนแช่น้ำผ่อนคลายกายสบายใจ :) :D