Re: ......คลินิก(Clinic)เสือ.....
โพสต์: 07 มี.ค. 2011, 13:37
ฝึกซ้อมหนัก อาจจะทำร้ายตัวเองพักบ้างดีกว่า
"บ่อยครั้งที่นักจักรยานต้องฝึกซ้อมเป็นประจำจะพบกับอาการผิดปกติของร่างกายซึ่งเกิดจากการติดเชื้อ เช่น เชื้อหวัดใหญ่ การฝึกซ้อมตามโปรแกรมก็ต้องดำเนินการต่อไปจะหยุดพักผ่อนก็ไม่แน่ใจว่ามีผลข้างเคียงหรือไม่ ? จะสูญเสียระดับความฟิตหรือเปล่า ? อาการหนักแค่ไหนถึงจะต้องหยุดพัก นี่คือปัญหาใหญ่ที่ไม่ค่อยมีคำตอบที่ชัดเจนหากท่านเคยประสบกับเหตุการณ์ทำนองดังกล่าว ลองอ่านบทความเรื่องนี้"
ปั่นจักรยานทำให้ป่วยได้เหมือนกัน
จากการศึกษานักจักรยานที่มีความฟิตระดับ "แข่งขัน" ซึ่งต้องฝึกซ้อมอย่างหนักนั้น มีโอกาสเป็นไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปวดระคายเคืองกล้ามเนื้อ ดังนั้นการรับรู้อาการผิดปกติของร่างกาย และหยุดพักผ่อนหรือแก้ไขอย่างทันท่วงที ก็จะมีผลกระทบกับการฝึกซ้อมน้อย แต่ถ้าปฏิบัติตัวไม่ถูกหรือทนฝืนฝึกซ้อมทั้ง ๆ ที่เจ็บไข้ เรื่องเลวร้ายอีกหลายอย่างอาจจะตามมา
ข้อสังเกตุ 6 ประการ
1.นอนไม่หลับ
พักผ่อนด้วยการนอนหลับเป็นการเปิดโอกาสให้ร่างกายได้พักฟื้น และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ดีที่สุด โดยทั่วไปแล้วนักปั่นที่มีร่างกายแข็งแรงอยู่แล้วจะไม่มีปัญหาเรื่องการนอนหลับ แต่บางครั้งหลังจากการฝึกซ้อม หรือแข่งขันอย่างเหน็ดเหนื่อยตลอดทั้งวัน อาจทำให้ประสบปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับ แต่ถ้าอาการนอนไม่หลับ (แบบไม่ปกติ) เกิดขึ้นติดต่อกันเป็นคืนที่สองนั้น เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเราอาจจะป่วย หรือฝึกซ้อมหนักเกินไป จนไม่มีเวลาเพียงพอให้ร่างกายได้พื้นตัวนักแข่งจักรยานระดับอาชีพ จะใช้เวลานอนแต่ละวัน ไม่น้อยกว่า 10 ชั่วโมง และการนอนหลับอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง จึงจะเพียงพอสำหรับการพักผ่อนที่ทำให้เราตื่นขึ้นมาพบเช้าวันใหม่ เตรียมพร้อมกับการฝึกซ้อมอย่างหนักเป็นนิสัย และมีเวลานอนแค่ 8 ชั่วโมง ละก็ใส่การนอนพักผ่อนในช่วงบ่าย ๆ ไว้ในตารางการฝึกซ้อมด้วย
2. เช็คชีพจร
เช็คอัตราการเต้นของหัวใจขณะพักผ่อนในช่วงเช้า ๆ ตลอดช่วงโปรแกรมการฝึกซ้อม เพื่อเก็บสถิติไว้เปรียบเทียบว่า อัตราการเต้นของหัวใจขณะผ่อนคลายนั้น ได้รับผลจากการฝึกทั้งหนักและเบาในวันก่อน ๆ นั้นแตกต่างกันอย่างไร ? เพราะอัตราการเต้นของหัวใจช่วงเวลานี้ สามารถบ่งชี้ได้ว่า เราต้องหยุดพักผ่อนสักวัน ก่อนที่จะเข้าโปรแกรมฝึกซ้อมต่อไปหรือไม่ ? เมื่อเราได้สถิติการเต้นของหัวใจช่วงพักผ่อน (ควรวัดตอนเช้า ๆ ) ที่คงพอจะเป็นจุดอ้างอิงได้ วันใดที่อัตราการเต้นของหัวใจเร็วกว่าปกติ 5 ครั้งต่อนาที ก็พอบ่งชี้ได้ว่าร่างกายอาจจะมีปัญหา แต่ถ้าเต้นเร็วกว่าจุดอ้างอิง ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยเกิน 10 ครั้งต่อนาที ขึ้นไปก็ควรที่จะหยุดพักผ่อนในวันนั้น วิธีวัดอัตราการเต้นของหัวใจนั้น หลายคนอาจปฏิบัติแตกต่างกันไป บางคนอาจนอนหลับไปพร้อม ๆ คาดสายวัดไว้ที่หน้าอกเลย บางคนอาจใช้วิธีจับชีพจรและคำนวณกับเวลาแบบเดียวกับที่พยาบาลหรือหมอใช้วัดคนไข้ คือจับข้อมือนับอัตราการเต้นของหัวใจสัก 15 วินาที ได้กี่ครั้งก็คูณด้วย 4 ผลจะออกมาเป็นครั้งต่อนาที ข้อควรระวัง ก็คือก่อนวัดอัตราการเต้นของหัวใจนั้นไม่ควรมีกิจกรรมใด ๆ ที่อาจะทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น เก็บการเก็บที่นอน รดน้ำต้นไม้ หรือแม้แต่เดินหานาฬิกาเพื่อใช้ร่วมกับการจับชีพจร ฯลฯ
3.หมั่นชั่งน้ำหนัก
ชั่งน้ำหนักตัวเองอย่างสม่ำเสมอ หากพบว่าน้ำหนักตัวลดลงมากเกินกว่า 1 กก.ขึ้นไป นั้นก็เป็นสิ่งบ่งชี้ว่าร่างกายอาจสูญเสียน้ำจากการออกกำลังกาย หรือแข่งขันเมื่อวันก่อน โดยเราดื่มน้ำชดเชยเข้าไปไม่เพียงพอ หรือตื่นขึ้นมาฉี่มีสีเหลืองเข้ม วันนั้นควรหยุดพักผ่อน และดื่มน้ำให้เพียงพอซึ่งสังเกตได้ง่าย ๆ จากสีของฉี่ที่ต้องเป็นสีเหลืองอ่อน ๆ แบบปกติ
4.ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า เราอาจกำลังเจ็บป่วยซึ่งมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส แต่อย่าสับสนกับอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อที่เกิดจากการใช้งานอย่างรุนแรง หรือเป็นเวลานาน เช่นการฝึกซ้อม การแข่งขัน หรือกิจกรรมที่ใช้กำลังชนิดอื่น ๆ
5.ระคายเคืองลำคอ
หากรู้สึกระคายเคืองในลำคอ ร่างกายอาจเกิดการติดเชื้ออย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ถึงกับต้องหยุดซ้อม แต่ควรระมัดระวังและเฝ้าดูแลอาการอย่างใกล้ชิดสักนิด
6.อารมณ์
ถ้าท่านตื่นเช้าตามปกติพร้อม ๆ กับอารมณ์หงุดหงิด สิงของหรือผู้คนในบ้าน แลดูขวางหูขวางตาไปหมด ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากทุก ๆ เช้า ไม่ใส่ใจกับจักรยานและอุปกรณ์การขับขี่อื่น ๆ เหมือนทุกวัน ไม่ควรใส่ใจเฉพาะข้อใดข้อหนึ่งควรสังเกตอาการและข้อบ่งชี้ทั้งหกในทุกเช้า เช่น นอนไม่ค่อยหลับ ตื่นขึ้นมารู้สึกอ่อนเพีลย อัตราการเต้นของหัวใจเกินกว่าปกติ แต่ก็เกินไปแค่ 4-5 ครั้งต่อนาที น้ำหนักลดกว่าปกติ ฉี่เหลือง เกิดการเมื่อยล้ากล้ามเนื้อ และตามข้อต่อต่าง ๆ อารมณ์ไม่ดี ถึงแม้จะไม่เกินข้อบ่งชี้ในแต่ละข้อ แต่ถ้าเกิดอาการผิดปกติขึ้นถึง 4 ใน 6 ข้อ ควรหยุดฝึกซ้อม แต่ถ้าหยุดไม่ได้ก็ให้ฝึกซ้อมเบา ๆ หรือฝึกซ้อมอย่างระมัดระวังด้วยการสังเกตความผิดปกติของร่างกายตลอดเวลา
ผิดปกติตรงไหน
การตัดสินใจที่จะหยุฝึกซ้อมหรือไม่นั้น ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับอาการผิดปกติของส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ถ้าเกิดขึ้นบริเวณลำคอขึ้นไป อาทิ คัดจมูก จามฟึดฟัดบ้าง ระคายเคืองลำคอ ไม่จำเป็นต้องหยุดฝึกซ้อม แต่อาจจะลดเวลา และการออกกกำลังกายให้เบาลง แต่ถ้าหลังจากการวอร์มอัฟไปแล้วอาจรู้สึกดีขึ้น ก็สามารถฝึกซ้อมตามโปรแกรมปกติได้ แต่ถ้าปั่นไปไม่กี่นาทีแล้วรู้สึกแย่ลง ก็ควรหยุดพักผ่อนดีกว่าน้ำมูกไหลอาจไม่ได้ป่วยการที่มีของเหลว หรือน้ำมูกไหลเล็กน้อยขณะปั่นจักรยาน อาจไม่มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ หรือไข้หวัด แต่อาจเป็นปรากฎการปกติของร่างกายขณะออกกกำลังกาย ยิ่งมีอากาศไหลผ่าน (หายใจ) เข้าปอดมากเท่าไหร่ ร่างกายจะทำปฏิกริยา เพื่อเพิ่มความชื้นให้กับอากาศด้วยการขับความเปียกชื้นออกมาเป็นลักษณะคล้าย ๆ น้ำมูกใส อย่างไรก็ตามปฏิกริยาดังกล่าวมักเกิดขึ้นในพื้นที่หนาวเย็นหรือช่วงฤดูหนาวเป็นไข้...พักดีกว่า
การฝึกซ้อมขณะที่เป็นไข้หวัดอยู่นั้น ไม่ช่วยเสริมสร้างความฟิตหรือความแข็งแกร่งขึ้นแม้แต่เพียงนิดเดียว แถมจะทำให้อะไร ๆ แย่ลงไปอีกด้วยซ้ำไป ทางที่ดีควรหยุดพักผ่อนสักวันหรือสองวัน เพราะการพักผ่อนเป็นทางเดียวที่ทำให้ร่างกายกลับสู่ภาวะปกติได้เร็วที่สุด ระหว่างหยุดพักให้ทานน้ำมาก ๆ การหยุดพักสักสองวันนั้น มีผลกระทบกับการฝึกซ้อมน้อยกว่าปล่อยให้ติดไข้งอมแงม เพราะหากฝืนทนเผลอ ๆ อาจต้องหยุดพักยาวเป็นสัปดาห์ก็ได้หยุดนานแค่ไหนจึงจะไม่ฟิตหากต้องหยุดพักการฝึกซ้อมสักวันสองวัน หรือสองสามวัน ไม่ได้ส่งผลกระทบความพร้อมของร่างกายมากมายอะไร โดยทั่วไปแล้ว นักกีฬาส่วนใหญ่ใช้เวลาการฝึกซ้อมมากกว่าหนึ่งสัปดาห์ ถึงจะมีผลกระทบกับระดับความฟิตของร่างกาย จนรู้สึกหรือพิสูจน์ได้จริง ๆ
อ้างอิง
Dirt Trick
กองบรรณาธิการ นิตย์สาร MBT ปีที่ 6 ฉบับที่ 61 มิถุนายน 2546
"บ่อยครั้งที่นักจักรยานต้องฝึกซ้อมเป็นประจำจะพบกับอาการผิดปกติของร่างกายซึ่งเกิดจากการติดเชื้อ เช่น เชื้อหวัดใหญ่ การฝึกซ้อมตามโปรแกรมก็ต้องดำเนินการต่อไปจะหยุดพักผ่อนก็ไม่แน่ใจว่ามีผลข้างเคียงหรือไม่ ? จะสูญเสียระดับความฟิตหรือเปล่า ? อาการหนักแค่ไหนถึงจะต้องหยุดพัก นี่คือปัญหาใหญ่ที่ไม่ค่อยมีคำตอบที่ชัดเจนหากท่านเคยประสบกับเหตุการณ์ทำนองดังกล่าว ลองอ่านบทความเรื่องนี้"
ปั่นจักรยานทำให้ป่วยได้เหมือนกัน
จากการศึกษานักจักรยานที่มีความฟิตระดับ "แข่งขัน" ซึ่งต้องฝึกซ้อมอย่างหนักนั้น มีโอกาสเป็นไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปวดระคายเคืองกล้ามเนื้อ ดังนั้นการรับรู้อาการผิดปกติของร่างกาย และหยุดพักผ่อนหรือแก้ไขอย่างทันท่วงที ก็จะมีผลกระทบกับการฝึกซ้อมน้อย แต่ถ้าปฏิบัติตัวไม่ถูกหรือทนฝืนฝึกซ้อมทั้ง ๆ ที่เจ็บไข้ เรื่องเลวร้ายอีกหลายอย่างอาจจะตามมา
ข้อสังเกตุ 6 ประการ
1.นอนไม่หลับ
พักผ่อนด้วยการนอนหลับเป็นการเปิดโอกาสให้ร่างกายได้พักฟื้น และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ดีที่สุด โดยทั่วไปแล้วนักปั่นที่มีร่างกายแข็งแรงอยู่แล้วจะไม่มีปัญหาเรื่องการนอนหลับ แต่บางครั้งหลังจากการฝึกซ้อม หรือแข่งขันอย่างเหน็ดเหนื่อยตลอดทั้งวัน อาจทำให้ประสบปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับ แต่ถ้าอาการนอนไม่หลับ (แบบไม่ปกติ) เกิดขึ้นติดต่อกันเป็นคืนที่สองนั้น เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเราอาจจะป่วย หรือฝึกซ้อมหนักเกินไป จนไม่มีเวลาเพียงพอให้ร่างกายได้พื้นตัวนักแข่งจักรยานระดับอาชีพ จะใช้เวลานอนแต่ละวัน ไม่น้อยกว่า 10 ชั่วโมง และการนอนหลับอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง จึงจะเพียงพอสำหรับการพักผ่อนที่ทำให้เราตื่นขึ้นมาพบเช้าวันใหม่ เตรียมพร้อมกับการฝึกซ้อมอย่างหนักเป็นนิสัย และมีเวลานอนแค่ 8 ชั่วโมง ละก็ใส่การนอนพักผ่อนในช่วงบ่าย ๆ ไว้ในตารางการฝึกซ้อมด้วย
2. เช็คชีพจร
เช็คอัตราการเต้นของหัวใจขณะพักผ่อนในช่วงเช้า ๆ ตลอดช่วงโปรแกรมการฝึกซ้อม เพื่อเก็บสถิติไว้เปรียบเทียบว่า อัตราการเต้นของหัวใจขณะผ่อนคลายนั้น ได้รับผลจากการฝึกทั้งหนักและเบาในวันก่อน ๆ นั้นแตกต่างกันอย่างไร ? เพราะอัตราการเต้นของหัวใจช่วงเวลานี้ สามารถบ่งชี้ได้ว่า เราต้องหยุดพักผ่อนสักวัน ก่อนที่จะเข้าโปรแกรมฝึกซ้อมต่อไปหรือไม่ ? เมื่อเราได้สถิติการเต้นของหัวใจช่วงพักผ่อน (ควรวัดตอนเช้า ๆ ) ที่คงพอจะเป็นจุดอ้างอิงได้ วันใดที่อัตราการเต้นของหัวใจเร็วกว่าปกติ 5 ครั้งต่อนาที ก็พอบ่งชี้ได้ว่าร่างกายอาจจะมีปัญหา แต่ถ้าเต้นเร็วกว่าจุดอ้างอิง ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยเกิน 10 ครั้งต่อนาที ขึ้นไปก็ควรที่จะหยุดพักผ่อนในวันนั้น วิธีวัดอัตราการเต้นของหัวใจนั้น หลายคนอาจปฏิบัติแตกต่างกันไป บางคนอาจนอนหลับไปพร้อม ๆ คาดสายวัดไว้ที่หน้าอกเลย บางคนอาจใช้วิธีจับชีพจรและคำนวณกับเวลาแบบเดียวกับที่พยาบาลหรือหมอใช้วัดคนไข้ คือจับข้อมือนับอัตราการเต้นของหัวใจสัก 15 วินาที ได้กี่ครั้งก็คูณด้วย 4 ผลจะออกมาเป็นครั้งต่อนาที ข้อควรระวัง ก็คือก่อนวัดอัตราการเต้นของหัวใจนั้นไม่ควรมีกิจกรรมใด ๆ ที่อาจะทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น เก็บการเก็บที่นอน รดน้ำต้นไม้ หรือแม้แต่เดินหานาฬิกาเพื่อใช้ร่วมกับการจับชีพจร ฯลฯ
3.หมั่นชั่งน้ำหนัก
ชั่งน้ำหนักตัวเองอย่างสม่ำเสมอ หากพบว่าน้ำหนักตัวลดลงมากเกินกว่า 1 กก.ขึ้นไป นั้นก็เป็นสิ่งบ่งชี้ว่าร่างกายอาจสูญเสียน้ำจากการออกกำลังกาย หรือแข่งขันเมื่อวันก่อน โดยเราดื่มน้ำชดเชยเข้าไปไม่เพียงพอ หรือตื่นขึ้นมาฉี่มีสีเหลืองเข้ม วันนั้นควรหยุดพักผ่อน และดื่มน้ำให้เพียงพอซึ่งสังเกตได้ง่าย ๆ จากสีของฉี่ที่ต้องเป็นสีเหลืองอ่อน ๆ แบบปกติ
4.ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า เราอาจกำลังเจ็บป่วยซึ่งมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส แต่อย่าสับสนกับอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อที่เกิดจากการใช้งานอย่างรุนแรง หรือเป็นเวลานาน เช่นการฝึกซ้อม การแข่งขัน หรือกิจกรรมที่ใช้กำลังชนิดอื่น ๆ
5.ระคายเคืองลำคอ
หากรู้สึกระคายเคืองในลำคอ ร่างกายอาจเกิดการติดเชื้ออย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ถึงกับต้องหยุดซ้อม แต่ควรระมัดระวังและเฝ้าดูแลอาการอย่างใกล้ชิดสักนิด
6.อารมณ์
ถ้าท่านตื่นเช้าตามปกติพร้อม ๆ กับอารมณ์หงุดหงิด สิงของหรือผู้คนในบ้าน แลดูขวางหูขวางตาไปหมด ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากทุก ๆ เช้า ไม่ใส่ใจกับจักรยานและอุปกรณ์การขับขี่อื่น ๆ เหมือนทุกวัน ไม่ควรใส่ใจเฉพาะข้อใดข้อหนึ่งควรสังเกตอาการและข้อบ่งชี้ทั้งหกในทุกเช้า เช่น นอนไม่ค่อยหลับ ตื่นขึ้นมารู้สึกอ่อนเพีลย อัตราการเต้นของหัวใจเกินกว่าปกติ แต่ก็เกินไปแค่ 4-5 ครั้งต่อนาที น้ำหนักลดกว่าปกติ ฉี่เหลือง เกิดการเมื่อยล้ากล้ามเนื้อ และตามข้อต่อต่าง ๆ อารมณ์ไม่ดี ถึงแม้จะไม่เกินข้อบ่งชี้ในแต่ละข้อ แต่ถ้าเกิดอาการผิดปกติขึ้นถึง 4 ใน 6 ข้อ ควรหยุดฝึกซ้อม แต่ถ้าหยุดไม่ได้ก็ให้ฝึกซ้อมเบา ๆ หรือฝึกซ้อมอย่างระมัดระวังด้วยการสังเกตความผิดปกติของร่างกายตลอดเวลา
ผิดปกติตรงไหน
การตัดสินใจที่จะหยุฝึกซ้อมหรือไม่นั้น ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับอาการผิดปกติของส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ถ้าเกิดขึ้นบริเวณลำคอขึ้นไป อาทิ คัดจมูก จามฟึดฟัดบ้าง ระคายเคืองลำคอ ไม่จำเป็นต้องหยุดฝึกซ้อม แต่อาจจะลดเวลา และการออกกกำลังกายให้เบาลง แต่ถ้าหลังจากการวอร์มอัฟไปแล้วอาจรู้สึกดีขึ้น ก็สามารถฝึกซ้อมตามโปรแกรมปกติได้ แต่ถ้าปั่นไปไม่กี่นาทีแล้วรู้สึกแย่ลง ก็ควรหยุดพักผ่อนดีกว่าน้ำมูกไหลอาจไม่ได้ป่วยการที่มีของเหลว หรือน้ำมูกไหลเล็กน้อยขณะปั่นจักรยาน อาจไม่มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ หรือไข้หวัด แต่อาจเป็นปรากฎการปกติของร่างกายขณะออกกกำลังกาย ยิ่งมีอากาศไหลผ่าน (หายใจ) เข้าปอดมากเท่าไหร่ ร่างกายจะทำปฏิกริยา เพื่อเพิ่มความชื้นให้กับอากาศด้วยการขับความเปียกชื้นออกมาเป็นลักษณะคล้าย ๆ น้ำมูกใส อย่างไรก็ตามปฏิกริยาดังกล่าวมักเกิดขึ้นในพื้นที่หนาวเย็นหรือช่วงฤดูหนาวเป็นไข้...พักดีกว่า
การฝึกซ้อมขณะที่เป็นไข้หวัดอยู่นั้น ไม่ช่วยเสริมสร้างความฟิตหรือความแข็งแกร่งขึ้นแม้แต่เพียงนิดเดียว แถมจะทำให้อะไร ๆ แย่ลงไปอีกด้วยซ้ำไป ทางที่ดีควรหยุดพักผ่อนสักวันหรือสองวัน เพราะการพักผ่อนเป็นทางเดียวที่ทำให้ร่างกายกลับสู่ภาวะปกติได้เร็วที่สุด ระหว่างหยุดพักให้ทานน้ำมาก ๆ การหยุดพักสักสองวันนั้น มีผลกระทบกับการฝึกซ้อมน้อยกว่าปล่อยให้ติดไข้งอมแงม เพราะหากฝืนทนเผลอ ๆ อาจต้องหยุดพักยาวเป็นสัปดาห์ก็ได้หยุดนานแค่ไหนจึงจะไม่ฟิตหากต้องหยุดพักการฝึกซ้อมสักวันสองวัน หรือสองสามวัน ไม่ได้ส่งผลกระทบความพร้อมของร่างกายมากมายอะไร โดยทั่วไปแล้ว นักกีฬาส่วนใหญ่ใช้เวลาการฝึกซ้อมมากกว่าหนึ่งสัปดาห์ ถึงจะมีผลกระทบกับระดับความฟิตของร่างกาย จนรู้สึกหรือพิสูจน์ได้จริง ๆ
อ้างอิง
Dirt Trick
กองบรรณาธิการ นิตย์สาร MBT ปีที่ 6 ฉบับที่ 61 มิถุนายน 2546