ลิลิตพระลอ เป็นลิลิตโศกนาฏกรรมความรัก ที่แต่งขึ้นอย่างประณีตงดงาม มีความไพเราะของถ้อยคำ และเต็มไปด้วยสุนทรียศาสตร์ พรรณนาเรื่องด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ใช้กวีโวหารอย่างยอดเยี่ยม ในการบรรยายเนื้อเรื่อง ที่มีฉากอย่างมากมาย หลากหลายอารมณ์ โดยมีแก่นเรื่องแบบรักโศก หรือโศกนาฏกรรม และแฝงแง่คิดถึงสัจธรรมของชีวิต
ลิลิตพระลอนี้เคยถูกวิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนจากนักวรรณคดีบางกลุ่ม เนื่องจากเชื่อว่าเป็นวรรณกรรมที่มอมเมาทางโลกีย์
ลิลิตพระลอได้รับยกย่องจากวรรณคดีสโมสร เมื่อ พ.ศ. 2459 ให้เป็นยอดแห่งลิลิต
ผู้แต่งและปีที่แต่ง
ทั้งเรื่องผู้แต่งและปีที่แต่ง ไม่ปรากฏหลักการหรือข้อความระบุที่ชัดเจน แต่อาจอาศัยเนื้อเรื่องที่ระบุถึงสงครามระหว่างไทยและเชียงใหม่มาเป็นจุดอ้างอิง ซึ่งเดิมนั้นเชื่อว่าน่าจะแต่งขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2199-2231) แต่ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจน และเป็นที่ถกเถียงกันมาจวบจนปัจจุบัน นักจารณ์วรรณคดีส่วนใหญ่ลงความเห็นว่า ลิลิตพระลอแต่งขึ้นในสมัยอยุธยาแน่ แต่ยังมีบางท่านเสนอเวลาที่ใหม่กว่านั้น ว่าน่าจะแต่งขึ้นในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ แต่ยังมีผู้คล้อยตามไม่มากนัก
เนื้อหา
ลิลิตพระลอเป็นเรื่องรักโศก บรรยายถึงความรักระหว่างพระเอก คือ พระลอ และนางเอกสองคน คือ พระเพื่อน และพระแพง นอกจากนี้ยังกล่าวถึงความรักของหญิงชายอีกสองคู่ คือ นางรื่น นางโรย และนายแก้ว นายขวัญ พี่เลี้ยงของพระเพื่อนพระแพง และพระลอ ตามลำดับ
เนื่องจากเมืองเหนือสองเมืองเป็นศัตรูคู่อริไม่ถูกกัน กษัตริย์เมืองแม้นสรวงพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระลอดิลกราช พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีพระสิริวรกายงดงามหล่อเหลายิ่ง จนเป็นที่ปรากฏของหญิงทั้งหลาย และยังมีเมืองอีกเมืองหนึ่งชื่อว่า เมืองสรอง เมืองนี้ปกครองโดยกษัตริย์พิชัยพิษณุกร
กษัตริย์พิชัยพิษณุกรทีพระราชธิดาอยู่ 2 พระองค์ พระองค์พี่ พระนามาว่า พระเพื่อนแก้ว พระองค์น้องพระนามว่า พระแพงทอง พระราชธิดาทั้งสองสาบานกับเจ้าย่าว่าจะแก้แค้นให้เมืองสรองและถ้าผิดคำสาบาน จะต้องตายด้วยคมของอาวุธ เพราะปู่ของธิดาทั้งสองพ่ายแพ้ศึกเสียทีสวรรคต เจ้าย่าจึงส่งคนไปสีซอให้พระลอฟัง เป็นการพรรณนาความงามของพระเพื่อนกับพระแพง และใช้กฤติยามนต์ (หลอกให้กินสล่าบินหรือหมาก) เพื่อให้พระลอมาที่นี่แล้วให้ ทัพเมืองพะเยาไปตีเมืองแม้นสรวงและลอบปลงพระชนม์พระลอ เมื่อเพื่อนแก้วและแพงทองรู้เรื่องนี้เข้าจึงให้รื่นและโรยช่วยแก้มนต์ให้ รื่นและโรยจึงไปหาประคำมาไว้ใต้ที่นอนของเพื่อนแก้วกับแพงทอง แต่ไม่ได้ผลรื่นและโรยจึงตัดสินใจไปหาปู่เจ้าสมิงพรายก่อนวันฉลองวันครอง ราชย์ของกษัตริย์พิชัยพิษณุกร แต่สายไปปู่เจ้าสมิงพรายมาเข้าทรงเจ้าย่าแล้วจึงหมดทางแก้ไขกฤตยามนต์โดย สิ้นเชิง หลังจากวันนั้นทั้งสองจึงไปขอให้ปู่เจ้าสมิงพรายดลให้พระลอมาถึงโดยเร็วกว่า เดิมเพื่อทูลเตือนให้กลับไปเสีย ปู่เจ้าสมิงพรายก็ให้ความช่วยเหลือ จนพระลอต้องเสด็จมาเมืองสรองในวันพรุ่งนี้
พระลอต้องมนตร์เสน่ห์ของเจ้าย่าและมนต์ของเจ้าสมิงพราย เข้าก็ทรงเกิดความอยากทอดพระเนตรดูพระเพื่อนกับพระแพงขึ้นมาทันที จึงอำลาพระนางบุญเหลือพระราชมารดา และพระนางลักษณวดีพระมเหสี เสด็จโดยด่วยไปยังเมืองสรองพร้อมด้วยนายแก้วนายขวัญสองพระพี่เลี้ยง
เมื่อเสด็จถึงแม่น้ำกาหลง พระลอก็ทรงเสี่ยงน้ำ ปรากฏเป็นลางร้ายไม่ต้องพระทัยเลย แต่ก็ต้องเสด็จต่อไป เพราะต้องมนตร์เสน่ห์ของเจ้าย่าและเจ้าปู่สมิงพรายเข้าแล้ว ปรากฏมีไก่แก้วของเจ้าปู่สมิงพรายคอยวิ่งล่อพระลอ กับพระพี่เลี้ยงให้ต้องไปจนถึงเมืองสรองจนได้ เมื่อไปถึงสวนหลวง นางรื่นกับนางโรยออกมาที่สวนหลวงก็ทราบข่าวว่าพระลอเสด็จมาถึงแล้ว จึงออกอุบายที่สำคัญคือ ให้พระเพื่อนและพระแพงเสด็จออกไปพบพระลอเพื่อเตือนภัย แต่พระลอเห็นความงามของนางทั้งสองจึงไม่ยอมกลับไปแต่สุดท้ายพระลองก็ ต้องกลับไปพร้อมให้สัญญาว่าจะกลับมาหาอีก วันหนึ่งรื่นและโรยเข้ามาในตำหนักและบอกว่ามีพระลอมาขอเข้าเฝ้า นางเห็นว่าถ้าพระลอออกไปก็อันตรายจึงพาพระลอเข้าไปอยู่ในตำหนักพระเพื่อนพระ แพง ส่วนนายแก้วให้อยู่กับนางรื่น นายขวัญให้อยู่กับนางโรย ทุกอย่างลงตัวหมด
เวลาล่วงเลยไปถึงครึ่งเดือน กษัตริย์พิชัยพิษณุกรจึงทรงทราบเมื่อเสด็จมาพระตำหนักพระราชธิดา ทรงเห็นพระลอแล้วก็สงสาร ทรงเมตตารับสั่งให้จัดพิธีอภิเษกสมรสให้ แต่พระเจ้าย่าของพระเพื่อนพระแพง ไม่ทรงชอบพระลอจึงทรงขัดขวางทุกวิถีทาง ทรงอ้างรับสั่งของกษัตริย์พิชัยพิษณุกรว่าให้ทรงสั่งจับพระลอ ทหารจึงพากันจับพระลอไว้ ฝ่ายพระเพื่อนพระแพง และพระพี่เลี้ยงของทั้งสองฝ่ายรวม 4 คนก็ได้ช่วยขัดขวางจนถงที่สุด จนสิ้นพระชนม์และสิ้นชีวิตกันทั้งหมด ก่อนจะสิ้นพระชนม์แพงทองได้เขียนบันทึกเล่มหนึ่งจนเสร็จแล้วม้วนใส่ซองหนัง ไว้ในที่ลับตาคนก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ไป เนื้อหามีอยู่ว่า "หลังจากที่ข้าฯ ตายไป จะเป็นสิบปี.....ร้อยปีหรือพันปี.... ก็ตาม คนที่อยู่เบื้องหลังอาจรำลึกถึงเรื่องราวระหว่างข้าฯ สองพี่น้องกับท้าวเธอดุจนิยายฝันอ้นเลือนลาง จากปากหนึ่ง...ไปสู่อีปากหนึ่ง...ท้ายสุดเรื่องราวของข้าฯ ก็จะมีค่าเป็นเพียงนิยายที่ไร้ความหมายเพียงเพื่อเล่าสู่กันฟังอย่างสนุก สนาน... แต่..คงจะมีสักวันหนึ่งคงจะมีคนมาพบบันทึกเล่มนี้เขาจะได้รู้ความจริงระหว่าง เพื่อนแก้ว ข้าฯ และท้าวเธอ ผู้ทรงนามว่าลอดิลกราช ก่อนจะมีผู้พบบันทึกชื่อเสียงของข้าฯ อาจหมองมัว ข้าฯ อาจจะถูกประณามไม่ให้เอาเยี่ยงอย่างในฐานะหญิงโฉดเจ้ามารยาที่เอาชนะใจชาย ด้วยมนตรา! ข้าจะไม่แก้ตัวด้วยประการใดทั้งสิ้น แต่ขอวอนท่าให้อ่านบันทึกนี้จนจบ คราวนี้ท่านอาจจะให้อภัยข้าฯ ได้สักน้อยนิดก็ยังดี....บางครา....ท่านอาจเห็นใจข้าฯได้บ้างว่า ความรักของข้าฯ สองพี่น้องต่างหากที่เป็นความรักที่ต้องมนตรามิใช่ท้าวเธอแต่เพียงผู้เดียว" หลังจากข้อความนี้ก็ได้เล่าความเป็นมาทั้งหมด
กษัตริย์พิชัยพิษณุกร เมื่อทรงทราบเรื่องราวก็ทรงให้มีรับสั่งให้จับพระเจ้าย่าและพรรคพวกประหารชีวิตเสียให้ตายตกไปตามกัน เพราะทรงพระพิโรธยิ่งนัก
จากนั้นกษัตริย์พิชัยพษณุกรได้โปรดให้จัดพิธีพระศพอย่างยิ่งใหญ่ นางบุญเหลือพระราชมารดาของพระลอส่งทูตมาร่วมงานพระศพกษัตริย์ (คือพระลอ พระเพื่อนแก้ว และพระแพงทอง) แล้วทรงขอแบ่งพระอัฐิธาตุไปส่วนหนึ่งตั้งแต่นั้นมา เมืองสรองและเมืองแม้นสรวงก็มีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน
ผู้แต่งได้ผูกเรื่องไว้อย่างน่าติดตาม โดยมีบทพรรณนาที่งดงาม มีความหลากหลาย โดยตลอด แม้จะนับเป็นนิยายเรื่องยาว (ความยาวถึง 660 บท) แต่ก็ไม่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกเบื่อ
ข้อมูล:จากวิกิพีเดีย
จากบทกลอนที่คุ้นเคย ทุกคนคงได้เรียนมาแล้วสมัยเด็กๆ
30.เสียงลือเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย
เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า
สองเขือพี่หลับใหล ลืมตื่น ฤๅพี่
สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ถามเผือฯ
.................. ..................
215..ใดใดในโลกล้วน อนิจจัง
คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้
คือเงาติดตัวตรัง ตรึงแน่น อยู่นา
ตามแต่บุญบาปแล้ ก่อเกื้อรักษาฯ
.................. ..................
261.ลางลิงลิงลอดไม้ ลางลิง
แลลูกลิงลงชิง ลูกไม้
ลิงลมไล่ลมติง ลิงโลด หนีนา
แลลูกลิงลางไหล้ ลอดเลี้ยวลางลิง ฯ
.................. ..................
290.ร้อยชู้ฤๅเท่าเนื้อ เมียตน
เมียแล่พันฤๅดล แม่ได้
ทรงครรภ์คลอดเปนคน ฤๅง่าย เลยนา
เลี้ยงยากนักท้าวไท้ ธิราชผู้มีคุณ ฯ
.................. ..................
625.เสียงไห้ทุกราษฎร์ไห้ ทุกเรือน
อกแผ่นดินดูเหมือน จักขว้ำ
บเห็นตะวันเดือน ดาวมืด มัวนา
แลแห่งใดเห็นน้ำ ย่อมน้ำตาคน ฯ
นี่เป็นเพียงบางส่วนจากวรรณกรรมพระลอ ที่มีเค้าโครงมาจากตำนานรักอมตะพื้นบ้านเมืองเหนือ
แรกเริ่มตำนานรักเรื่อง "พระลอ" นี้คงจะเป็นเพียงนิทานพื้นบ้าน ในยุคต่อมากวีชาวเหนือได้รจนาขึ้นเป็นค่าวซอหรือเป็นบทกวี จนกระทั่งสมัยยุคต้นกรุงศรีอยุธยา จึงได้มีการนำเรื่องพระลอมาแต่งเป็นลิลิตสุภาพขึ้น จนเรื่องพระลอกลายเป็นที่รู้จัก ในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ 6 โบราณคดีสโมสรแหล่งรวมนักปราชญ์ราชบัณฑิตทั้งหลายในยุคนั้น ต่างพร้อมใจกันยกเรื่องลิลิตพระลอขึ้นเป็นสุดยอดของบทกวีประเภทลิลิตสุภาพ
ตำนานรักของพระลอเชื่อว่าเกิดขึ้นที่เมืองสรวง คืออำเภอสอง จังหวัดแพร่ในปัจจุบัน ในตำนานพงศาวดารโยนกกล่าวว่า "เจ้าฟ้าเมืองนายกับเจ้าฟ้าเมืองเชียงทองสองพี่น้อง ยกรี้พลมาตีเมืองต่าง ๆ ได้เมืองเชียงราย เชียงแสน เมืองลอ เมืองพะเยา ลุถึงเดือน 11 ขึ้น 2 ค่ำปีเดียวกัน ยกกำลังพลจากแก่งเมืองพะเยาระยะทางแปดพันวา ไปแรมทางเมืองสะเอียบ ยกจากเมืองสะเอียบไปแรมทางที่ป่าเลา ยกจากป่าเลาไปแรมเมืองสรวงระยะทางหมื่นวา ยกจากเมืองสรวงไปแรมป่าเสี้ยว ยกจากป่าเสี้ยวไปแรมเมืองแพร่"
จากหลักฐานต่าง ๆ ดังกล่าว นักวรรณคดีจึงเชื่อว่าเมืองสรวงของพระลอ ก็คือเมืองสองในปัจจุบัน ซึ่งยังคงปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีและพบวัตถุโบราณเก่าแก่มากมายหลายประการ ที่ตำบลบ้านกลางปรากฏร่องรอยเป็นตัวเมือง มีมูลดินถมเป็นกำแพงเมืองหนา 3 ชั้น นอกจากนั้นยังมีสถานที่อื่น ๆ ที่มีชื่อพ้องกับเรื่องลิลิตพระลออีกหลายแห่ง เช่น มีน้ำตกกาหลง เด่นนางฟ้อน ถ้ำปู่เจ้าสมิงพราย และยังมีพระธาตุพระลอที่ยังเชื่อกันว่ามีเรื่องราวเกี่ยวพันกับเรื่องพระลอ จนทางราชการได้จัดสร้างรูปปั้นพระลอ พระเพื่อน พระแพงขึ้นไว้ในบริเวณวัดด้วย
ตำนานเรื่องพระลอ เริ่มต้นขึ้นด้วยสงครามระหว่างสองเมือง คือเมืองสรวงของท้าวแมนสรวงและเมืองสรองของท้าวพิมพิสาคร ผลของสงครามทำให้เมืองทั้งสองกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาต พระลอซึ่งภายหลังได้เป็นเจ้าเมืองสรวง เป็นชายหนุ่มรูปงาม ที่ความงามของพระลอได้รับการกล่าวขานเป็นบทเพลงสรรเสริญที่ขจรขจายไปถึงหูของพระเพื่อน พระแพง สองพระธิดาของเจ้าเมืองสรอง ด้วยวิบากกรรมแต่หนหลังทำให้สองพระธิดาเกิดมีใจปฏิพัทธ์ในพระลอ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยพบกัน จึงร่วมกับพระพี่เลี้ยงนางรื่น นางโรย วางแผนให้กวีแต่งบทสรรเสริญความงามของทั้งสองพระองค์ออกขับขานไปบ้าง พร้อมกันนั้นพระพี่เลี้ยงของสองธิดายังไปขอความช่วยเหลือจากปู่เจ้าสมิงพราย ผู้วิเศษประจำเมืองให้ใช้เวทมนต์เรียกพระลอมาหา
ด้วยอำนาจแห่งปู่เจ้าสมิงพราย พระลอมิอาจทานอำนาจมนต์อยู่ได้ แม้จะถูกทัดทานความรักจากทั้งแม่และเมีย ต้องเสด็จมายังเมืองสรองพร้องด้วยนายแก้ว นายขวัญสองพี่เลี้ยง ระหว่างทางพระลอเสด็จลงเสี่ยงลงน้ำที่แม่น้ำกาหลง ผลการเสี่ยงบอกว่าพระลออาจต้องเสียพระชนม์หากยังเสด็จไป แต่กระนั้นด้วยความมานะและอำนาจเวทมนต์แห่งปู่เจ้าสมิงพราย พระลอยังคงมุ่งหน้าไปเมืองสรองต่อไป
ในที่สุดพระลอก็สามารถเสด็จเข้าไปจนถึงสวนขวัญ อุทยานหลวงของเมืองสรองได้สำเร็จ ด้วยการชักนำของไก่แก้วที่ปู่เจ้าสมิงพรายเสกมา และพระเพื่อน พระแพงก็ได้พบกับพระลอ ทั้งสามพระองค์เกิดความรักและเป็นของกันและกันจากผลพวงของวิบากกรรมนั่นเอง ในตำนานพระลอที่แปลโดยพระเกียรติศักดิ์ วัดพระธาตุพระลอ อ.สอง จ.แพร่ กล่าวว่า พระลอทรงหลบซ่อนสมสู่อยู่ด้วยสองพระธิดาภายใต้หลังคาพระตำหนักหลวงได้ 15 วัน ความก็ทราบถึงท้าวพิไชยพิษณุและพระนางดาราวดี พระราชบิดาและมารดาของพระเพื่อน พระแพง พระองค์เสด็จมาลอบดูด้วยตนเอง ครั้นเห็นถึงความสง่างามของพระลอเข้าก็นึกรักให้อภัยจึงเสด็จกลับ แต่พระเจ้าย่าของพระเพื่อน พระแพง ผู้ซึ่งสูญเสียสามีสุดที่รักไปในสงครามกับเมืองสรวงไม่ยอมจึงได้ส่งทหารเข้ามาล้อมสวนขวัญ พระลอ พระเพื่อน พระแพง ต่อสู้จนถูกลูกธนูที่ยิงมายืนตายอยู่เคียงกัน เมื่อพระราชบิดาของพระเพื่อน พระแพงทรงทราบเรื่องจึงสั่งให้ประหารชีวิตพระเจ้าย่าเสีย แล้วจึงส่งสารไปยังเมืองสรวง ทั้งสองเมืองจัดการกับพระศพของพระลอ พระเพื่อน พระแพง แล้วสร้างเป็นเจดีย์เล็ก ๆ ขึ้น
ปัจจุบันพระเจดีย์ดังกล่าวอยู่ในบริเวณวัดพระธาตุพระลอ หรือชาวบ้านเรียกว่า "พระธาตุหินล้ม" ตามตำนานพื้นเมืองกล่าวว่าสร้างขึ้นเมื่อราวปี พ.ศ.2300 ในบริเวณที่ตั้งของเมืองสรองโบราณ พระธาตุองค์นี้ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นอนุสรณ์แห่งความรักอมตะและที่บรรจุอัฐิของพระลอแห่งนครแมนสรวง และพระเพื่อน พระแพง ธิดาเมืองสรอง อันเป็นต้นกำเนิดของวรรณคดีเรื่อง "ลิลิตพระลอ"
เรื่องราววรรณกรรมของพระลอ มิใช่เป็นเพียงเรื่องราวของความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น หากแต่ยังเป็นเรื่องราวความรักของแม่กับลูก สามีกับภรรยา นายกับบ่าว ที่เจือปนไปด้วยความเสียสละ เวทมนต์อาถรรพณ์ ความสนุกสนานตื่นเต้น ความทุกข์ยาก ความจากพราก อันล้วนเป็นเรื่องราวที่ซาบซึ้งตรึงใจตั้งแต่ต้นจนจบ ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการยกย่องลิลิตพระลอให้เป็นสุดยอดแห่งวรรณกรรมประเภทลิลิตสุภาพของไทยที่มิอาจมีวรรณกรรมเรื่องใดมาเทียบเคียงได้
.
.
.
.
.
และแล้ว พ.ศ. ๒๕๕๕ เสือบ้านฟ้าก็จะสวมวิญญานพระลอตามไก่ไปตามเส้นทางเมืองสรอง - เมืองสรวงต่อไป เอ๊ก อี๊ เอ๊ก เอิ๊ก....