นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

ผู้ดูแล: เสือเพชรบูรณ์, V3 ป่าเลา

กฏการใช้บอร์ด
ที่อยู่ มหาวิทยาลัยราชภัฎเพชรบูรณ์ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ 67000
เสือขุนแผน
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 1320
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2010, 21:55
Tel: 0993826888
team: เสือเพชรบูรณ์,PCS.Cannondale Cycling team
Bike: LA Blue Line , Cannondale F3 lefty osho Caad12, LAPIERRE,specialized epic
ตำแหน่ง: เพชรบูรณ์
ติดต่อ:

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย เสือขุนแผน »

oui142 เขียน:
เสือขุนแผน เขียน:เยี่ยมเลยครับหมอ หาวิที่แก้อาการของ Overtraining ให้หน่อยครับ
ทางแก้ ..... ผมว่า .... น่าจะ อยู่ ที่ "ความพอดี" ครับผม
ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ปรับวิธีการออกกำลังดาย ให้สมดุล เหมาะสม กับ ร่างกาย ของแต่ละ คน นะครับ

ยิ่งซ้อมหนัก จะ ยิ่ง ช้ำ นะครับ
ขอบคุณหมอมากครับ สรุปผมหยุดปั่นดีกว่า เนาะ
oui142
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2350
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
Tel: 0832150005
team: เพชรบูรณ์
Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
ติดต่อ:

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย oui142 »

เสือขุนแผน เขียน:
oui142 เขียน:
เสือขุนแผน เขียน:เยี่ยมเลยครับหมอ หาวิที่แก้อาการของ Overtraining ให้หน่อยครับ
ทางแก้ ..... ผมว่า .... น่าจะ อยู่ ที่ "ความพอดี" ครับผม
ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ปรับวิธีการออกกำลังดาย ให้สมดุล เหมาะสม กับ ร่างกาย ของแต่ละ คน นะครับ

ยิ่งซ้อมหนัก จะ ยิ่ง ช้ำ นะครับ
ขอบคุณหมอมากครับ สรุปผมหยุดปั่นดีกว่า เนาะ
:D :D :D :D :D :D

อ.แผน ข รับ >>> ช่วยตอบ เทคนิค ให้ "เด็กหล่ม" ด้วย ข รับ
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน”
รพี พัฒนศักดิ์



"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
รูปประจำตัวสมาชิก
เด็กหล่ม
สมาชิก
สมาชิก
โพสต์: 85
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2012, 20:10
Tel: 0871455693
team: อิสระ - เพดบูน.... หล่มสัก
Bike: หมอบ,วินเทจ....เสือภูเขา
ตำแหน่ง: เมืองมะขามหวาน

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย เด็กหล่ม »

ยังไงก็ขอฝากเนื้อ ฝากตัวด้วยนะครับ ขอบคุณมากเลยที่ให้คำแนะนำครับ
จักยานจนๆ
หมอบแหล็กโคโม
oui142
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2350
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
Tel: 0832150005
team: เพชรบูรณ์
Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
ติดต่อ:

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย oui142 »

รูปภาพ
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน”
รพี พัฒนศักดิ์



"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
oui142
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2350
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
Tel: 0832150005
team: เพชรบูรณ์
Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
ติดต่อ:

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย oui142 »

ลูกใต้ใบ..สมุนไพรแก้ไวรัสตับอักเสบบี

รูปภาพ

สมุนไพรรักษาไวรัสตับอักเสบบี
ลูกใต้ใบ..สมุนไพรแก้ไวรัสตับอักเสบบี

ได้รับคำแนะนำจากคุณสรกิจซึ่งเป็นบล็อกเกอร์ท่านหนึ่งว่า....ตัวเองเคยป่วยเป็นไวรัสตับอักเสบบี นอนโรงพยาบาลแล้วไม่หาย แต่พอทานต้นลูกใต้ใบต้มแล้วดื่มต่างน้ำประมาณ ๑ สัปดาห์ อาการดีขึ้น จากนั้นก็ดื่มไปเรื่อย ๆ ครบ ๓ เดือน ผมไปตรวจเลือดที่ รพ.จุฬาฯ หมอบอกว่าไม่มีเชื้อแล้วตอนนี้ ...และอยากให้เผยแพร่เพื่อช่วเหลือผู้ที่ป่วยเป็นโรคดังกล่าว...ซึ่งถือเป็นความรู้ที่ดีและมีประโยชน์อย่างมากต่อผู้อ่านและผู้ที่ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับตับ...

ต้นลูกใต้ใบ ชื่ออื่นๆ มะขามป้อมดิน (ภาคเหนือ) หญ้าใต้ใบ (นครสวรรค์ อ่างทอง ชุมพร) หญ้าใต้ใบขาว (สุราษฎร์ธานี) ไฟเดือนห้า (ชลบุรี) หมากไข่หลัง (เลย) จูเกี๋ยเช่า (จีน) : ยาแก้ไข้ บำรุงตับ ไต และแก้นิ่ว

ลูกใต้ใบ…สมุนไพรบำรุงตับ ลดอาการตับอักเสบ
สร้างความสมดุลของไขมันในตับ

หมอยาคนจีนเชื่อว่าถ้ากินลูกใต้ใบติดต่อกันหนึ่งสัปดาห์จะช่วยกำจัดพิษออกจากตับ มีผลทำให้สายตาดี บำรุงตับ รักษาอาการดีซ่าน ซึ่งก็คล้ายๆ กับหมอยาพื้นบ้านไทยและหมออายุรเวทอินเดียที่มีความเชื่อว่า ลูกใต้ใบเกิดมาเพื่อตับ ใช้ต้มกินเป็นยาแก้ดีซ่าน แก้ตับอักเสบตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งมีรายงานการศึกษาวิจัยพบว่า สารสกัดจากลูกใต้ใบมีฤทธิ์ป้องกันไม่ให้ตับถูกทำลายจากสารพิษ เช่น เหล้า รักษาอาการอักเสบของตับทั้งประเภทเฉียบพลันและเรื้อรัง ลูกใต้ใบยังช่วยปรับไขมันในตับให้เป็นปกติ

ลูกใต้ใบยังเหมาะที่จะใช้ทำเป็นชาสมุนไพรให้กับคนไข้ที่เป็นมะเร็งตับ เพราะมีรายงานการศึกษาวิจัยพบว่า น้ำต้มของลูกใต้ใบทำให้หนูที่เป็นมะเร็งตับมีอายุยืนยาวขึ้น ด้วยกลไกที่ทำให้เซลล์มะเร็งเติบโตช้าลงแต่ไม่ได้ฆ่าเซลล์มะเร็งโดยตรง
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน”
รพี พัฒนศักดิ์



"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
oui142
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2350
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
Tel: 0832150005
team: เพชรบูรณ์
Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
ติดต่อ:

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย oui142 »

ไข่เยี่ยวม้า : ตอนที่ 4 ไข่เยี่ยวม้า มีอันตรายหรือไม่
ผู้เขียน: วินิต ณ ระนอง
วันที่: 22 พ.ย. 2553


รูปภาพ

กรณีที่ 1 อันตรายจากการมีตะกั่วปนเปื้อนในไข่เยี่ยวม้า

การที่ไข่เยี่ยวม้าไม่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากเท่าไข่เค็ม เกิดจากข้อเท็จจริงสำคัญ 2 ประการ คือ

(1) เคยมีการใช้สารประกอบของตะกั่วในการทำไข่เยี่ยวม้า

(2) ยังพบว่ามีตะกั่วปนเปื้อนในไข่เยี่ยวม้า

ในอดีตมีการใช้สารประกอบของตะกั่วในโคลนผสม สำหรับเคลือบ - พอกไข่เยี่ยวม้า หรือในสารละลายด่างสำหรับแช่ไข่ แต่เมื่อมีการศึกษาและพิสูจน์ได้ว่า การกินไข่เยี่ยวม้าที่ทำโดยใช้สารประกอบของตะกั่ว ทำให้มีตะกั่วสะสมในร่างกาย จนถึงระดับที่เป็นอันตราย หน่วยงานรัฐของประเทศต่างๆ จึงได้มีการห้ามใช้สารประกอบตะกั่วในการทำไข่เยี่ยวม้า และ / หรือ กำหนดปริมาณสูงสุดของตะกั่วที่ยอมให้มีได้ในไข่เยี่ยวม้า

ประกอบกับ การพัฒนาวิธีทำไข่เยี่ยวม้าในสมัยปัจจุบัน (รวมทั้งการใช้สารเคมีอื่นที่มีอันตรายต่ำ) ทำให้ได้สูตร และวิธีทำไข่เยี่ยวม้า ที่ใช้เวลาไม่นาน และได้คุณภาพดี โดยไม่ต้องพึ่งพาสารประกอบของตะกั่วอีก


ที่มา - สาเหตุ - จุดเสี่ยง - โอกาสของการมีตะกั่วปนเปื้อนในไข่เยี่ยวม้า

จากผลการศึกษาวิจัย ทดลอง วิเคราะห์ ต่อเนื่องกันหลายสิบปี โดยบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ การแพทย์ อาหารและโภชนาการจำนวนมาก ทำให้สามารถรวบรวม ที่มา - สาเหตุ - จุดเสี่ยง - โอกาสของการมีตะกั่วปนเปื้อนในไข่เยี่ยวม้า (ที่ไม่ได้เกิดจากการเติมลงไปโดยเจตนา) ได้ดังนี้

การใช้ขี้เถ้าไม้ ซึ่งมีโอกาสปนเปื้อนสารประกอบของตะกั่ว
การใช้ภาชนะเซรามิคเคลือบ (ซึ่งมีโอกาสปนเปื้อนสารประกอบของตะกั่ว) ในการใส่สารละลายด่างเพื่อแช่ไข่
การใช้ปูนขาว (ที่ได้จากการเผาแร่หินปูนจากธรรมชาติ) ซึ่งมีโอกาสปนเปื้อนสารประกอบของตะกั่ว
การใช้โซดาแอช (ที่ได้จากแหล่งแร่ธรรมชาติ) ซึ่งมีโอกาสปนเปื้อนสารประกอบของตะกั่ว
การใช้น้ำชา ในโคลนผสมสำหรับเคลือบไข่ หรือในสารละลายด่างสำหรับแช่ไข่ (น้ำชามักไม่มีสารประกอบของตะกั่วปนเปื้อน แต่ Tannin ในน้ำชาจะช่วยให้ตะกั่วที่ปนเปื้อนในสารเคมีและวัสดุอยู่แล้วละลายออกมา และผ่านเข้าไปในไข่ได้มากขึ้น)
การเลี้ยงเป็ด - ไก่ แบบให้หากินเองตามธรรมชาติ ในพื้นที่ซึ่งมีโอกาสปนเปื้อนสารประกอบของตะกั่ว
การเลี้ยงเป็ด - ไก่ ด้วยอาหารซึ่งมีโอกาสปนเปื้อนสารประกอบของตะกั่ว
การใช้ไข่เป็ด - ไข่ไก่ ซึ่งมีโอกาสปนเปื้อนสารประกอบของตะกั่ว
ข้อมูลที่รวบรวมมาทั้งหมด มีทั้งกรณีที่สมเหตุสมผลเป็นจริง หรือมีโอกาสเกิดจริง และกรณีที่เป็นการสรุปจากความเป็นไปได้ในแง่ร้ายที่สุด อย่างไรก็ดี เมื่อใช้ข้อมูลนี้เป็นแนวทางในการหาวิธีแก้ไข - ป้องกัน ก็สามารถลดการปนเปื้อนของตะกั่วในไข่เยี่ยวม้าได้จริง


วิธีสังเกตไข่เยี่ยวม้า ที่มีการปนเปื้อนของตะกั่ว

ไข่เยี่ยวม้าที่มีตะกั่วปนเปื้อน จะเห็นว่าส่วนไข่ขาวมีจุดสีดำ และมีลักษณะขุ่น ไม่โปร่งแสง

กรณีที่ 2 อันตรายจากจุลินทรีย์ก่อโรค

ความผิดพลาด - ข้อบกพร่องด้านสุขอนามัย ในขั้นตอนการทำไข่เยี่ยวม้า จะทำให้มีจุลินทรีย์ก่อโรคหลงเหลืออยู่ และ / หรือ สามารถปนเปื้อน - เจริญเติบโต - เพิ่มจำนวนมากขึ้น

วิธีสังเกตไข่เยี่ยวม้า ที่มีจุลินทรีย์ก่อโรค

จุลินทรีย์ก่อโรคที่อาจพบได้ ในไข่เยี่ยวม้า ได้แก่ Clostridium perfringens, Staphylococcus aureus และ Salmonella หากไข่เยี่ยวม้ามีกลิ่นของก๊าซไข่เน่า (ไฮโดรเจนซัลไฟด์ ; H2S) และ / หรือ เกิดจุดสีเขียวของเชื้อราหรือแบคทีเรีย ภายในเปลือกไข่ควรหลีกเลี่ยงการรับประทาน


กรณีที่ 3 อันตรายจากฤทธิ์ด่างในไข่เยี่ยวม้า

การเคลือบไข่ด้วยโคลนผสม หรือการแช่ไข่ในสารละลายด่าง (ในขั้นตอนการทำไข่เยี่ยวม้า) ถ้าใช้เวลานานเกินไป หรือใช้ด่างแก่ที่มีความเข้มข้นสูงเกินไป จะทำให้ไข่เยี่ยวม้ามีกลิ่นแบบแอมโนเนียฉุนจัด และ มีรสฝาดกัดลิ้นแบบด่าง

ปัญหานี้ได้รับการแก้ไขตั้งแต่ในอดีต (โดยภูมิปัญญาของชาวจีน) ซึ่งนำเอาขิงดองในน้ำส้มสายชู มารับประทานร่วมกับไข่เยี่ยวม้า โดยกรดน้ำส้มที่มีอยู่ในน้ำส้มสายชูจะทำปฏิกิริยากับด่างในไข่เยี่ยวม้า ทำให้สามารถลดกลิ่นฉุนแบบแอมโมเนีย และลดรสฝาดกัดลิ้นแบบด่างลงได้

หากปราศจากอันตราย ทั้ง 3 กรณี ที่กล่าวมาแล้ว ไข่เยี่ยวม้าจะมีอันตรายไม่มากกว่าไข่เค็ม

วิธีสังเกตไข่เยี่ยวม้าที่มีคุณภาพดี

ไข่เยี่ยวม้าชนิดดองในสารละลายด่าง ที่มีคุณภาพดีควรมีลักษณะ ดังนี้

เปลือกไข่ไม่แตกร้าว - ไม่บุบ - ไม่มีจุดสีดำ ไข่แดงและไข่ขาวแยกจากกันชัดเจน
ไข่ขาวเป็นวุ้นใสสีน้ำตาล - ไม่มีจุดดำ - ไม่ขุ่นจนทึบแสง - อ่อนนุ่ม - มีความคงตัวดี
ไข่แดงมีสีเทาดำ หรือน้ำตาลอมเขียว เป็นยางมะตูม หรือแข็งกว่า
ไข่ขาวมีรสเค็มเล็กน้อย ไข่แดงมีรสมันและเค็มเล็กน้อย (โดยอาจมีกลิ่นฉุน และรสฝาดเล็กน้อยด้วย)


ที่มา :http://www.chemtrack.org/News-Detail.asp?TID=4&ID=31
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน”
รพี พัฒนศักดิ์



"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
oui142
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2350
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
Tel: 0832150005
team: เพชรบูรณ์
Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
ติดต่อ:

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย oui142 »

oui142 เขียน:รูปภาพ

เห็นแล้วนะครับน้ำตาลชัดเจนมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ55555

ไอเดียดี น่าเอาไปติดบอร์ดในโรงเรียน
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน”
รพี พัฒนศักดิ์



"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
oui142
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2350
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
Tel: 0832150005
team: เพชรบูรณ์
Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
ติดต่อ:

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย oui142 »

นอกประเด็น เพื่อ ความปลอดภัย ส้ก นิด นะครับ

รูปภาพ

เมื่อรถตกน้ำ

ให้พึงระลึกไว้เสมอว่า เรายังมีเวลาพอที่จะทำอะไรหรือแก้ไขได้ เพราะขณะที่รถยนต์ตกน้ำ (รถยนต์ส่วนบุคคลสมัยนี้เกือบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ มักปิดกระจกขณะขับขี่) รถจะไม่จมลงในทันทีแต่จะค่อย ๆ จมลงอย่างช้า ๆ อย่างต่อเนื่องประมาณ ๑๗ - ๒๐ วินาที ในนาทีวิกฤตนี้ ควรตั้งสติให้ดี และ ปฏิบัติดังต่อไปนี้

1. ปลด SAFETY BELT ออกทุกๆคน รวมทั้งผู้โดยสารด้วย
2. อย่าออกแรงใดๆ เพื่อสงวนการใช้อากาศหายใจซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนจำกัด
3. ให้ยกส่วนศีรษะให้สูงเหนือระดับน้ำที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นในรถ
4. ปลดล็อกประตูรถทุกบาน
5. หมุนกระจกให้น้ำไหลเข้าในรถเพื่อปรับความดันในรถและนอกรถให้เท่ากัน มิฉะนั้นท่านจะเปิดประตูรถไม่ออก เพราะน้ำจากภายนอกตัวรถจะดันประตูไว้
6. เมื่อความดันใกล้เคียงกันแล้วให้ผลักบานประตูออกให้กว้างสุด แล้วท่านก็ออกจากห้องโดยสารของรถได้
7. จากนั้นท่านอาจจะปล่อยตัวให้ลอยขึ้นเหนือน้ำตามธรรมชาติ หรือจะว่ายน้ำขึ้นมาก็ได้

ในกรณีนี้หากน้ำลึกมากๆ อาจจะมองไม่เห็นว่าทิศใดเหนือน้ำ ทิศใดใต้น้ำเพราะว่า มืดไปหมด ไม่ควรใช้วิธีว่ายน้ำ เพราะอาจจะว่ายไปในทิศทางที่ไม่ขึ้นเหนือน้ำ กรณีเช่นนี้ควรปล่อยตัวให้ลอยขึ้นตามธรรมชาติ หรือลองเป่าปากดูว่าฟองอากาศลอยไปในทิศทางใด ให้ว่ายน้ำไปในทิศทางที่ฟองอากาศลอยไป ก็จะไม่มีอาการหลงน้ำ นอกจากนั้นก่อนออกจากรถหากท่านมีผู้โดยสารที่เป็นเด็กๆ อาจจะหนีบเด็กๆ นั้นออกมากับท่านได้อีกหนึ่งคน ดังนั้นหากท่านปฏิบัติตามวิธีการเหล่านี้ ก็จะช่วยให้ชีวิตของท่านปลอดภัยได้ในยามคับขัน

อยากให้ ทุกคนส่งต่อไปให้เพื่อนๆ และคนรู้จักให้มากๆเลยนะ เป็นการช่วยเหลือกันหากเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ขึ้นมา การมีความรู้ในขั้นตอนในการควบคุมยานยนต์ และการปฏิบัติตนในขณะเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ สามารถช่วยลดอัตราการตายและการบาดเจ็บได้แน่นอน ถ้าจะให้ดีพริ้นเก็บไว้ในรถของทุกคนเลยก็ดีนะจะได้เอาไว้อ่านทบทวนกันได้ ขอให้ทุกคน ขับรถอย่างปลอดภัย ไม่เกิดอุบัติเหตุใดๆ
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน”
รพี พัฒนศักดิ์



"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
oui142
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2350
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
Tel: 0832150005
team: เพชรบูรณ์
Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
ติดต่อ:

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย oui142 »

เพื่อ สุขภาพ ทางใจ ครับ
oui142 เขียน:รูปภาพ

10 อันดับของสังฆทาน
ที่พระจะได้ใช้ประโยชน์มากที่สุด
1.ผ้าไตรจีวร
2.หนังสือธรรมะหรือหนังสือความรู้
3.ชุดคอมพิวเตอร์
4.ใบมีดโกน
5.น้ำยาเช็ดพื้น
6.ยาหลักๆที่จำเป็น
7.เครื่องเขียน
8.แชมพู
9.รองเท้า
10.ผ้าขนหนูสีสุภาพ
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน”
รพี พัฒนศักดิ์



"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
oui142
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2350
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
Tel: 0832150005
team: เพชรบูรณ์
Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
ติดต่อ:

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย oui142 »

รูปภาพ

รูปภาพ

แบคทีเรียที่ดื้อยาอย่างยิ่ง (superbug) เช่นที่ระบุไว้ในภาพข่าว พบได้อย่างชุกชุมในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ทุกแห่งในประเทศไทย กล่าวได้ว่าประเทศไทยมีความก้าวหน้าด้านเชื้อดื้อยาเหนือกว่าสหรัฐอเมริกามาก มานานหลายปีแล้ว และคงจะทิ้งห่างสหรัฐอเมริกาไปเรื่อยๆ เพราะที่สหรัฐมีหน่วยงานออกมาเตือนและออกมาตรการเพื่อแก้ไขเมื่อเริ่มพบว่าเป็นปัญหา ส่วนประเทศไทยกำลังพัฒนาด้วยอัตราเร่งเพื่อก้าวสู่ประเทศที่มีปัญหาเชื้อดื้อยาสูงที่สุดในโลก ดูข้อมูลด้านล่างครับเพื่อให้เห็นว่ามีคนตาย 42 รายที่สหรัฐเขาตกใจแล้วครับ

"พบคนไทยติดเชื้อดื้อต่อยาหลายขนาน 100,000 คน อยู่โรงพยาบาลนานขึ้น และเสียชีวิตกว่า 30.000 ราย ทั้งหมดล้วนมาจากการใช้ยาเกินความจำเป็น"
http://www.facebook.com/photo.php?fbid=272827676148558
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน”
รพี พัฒนศักดิ์



"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
oui142
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2350
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
Tel: 0832150005
team: เพชรบูรณ์
Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
ติดต่อ:

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย oui142 »

รูปภาพ

ใครที่ชอบปวดเมื่อย มีอาการคลื่นไส้อยากอาเจียนบ้างคะ ?
เราสามารถเอาชนะโรค "ไมเกรน" โดยไม่ต้องกินยา !?

"ไมเกรน" (Migraine) เป็นโรคปวดศีรษะชนิดหนึ่งที่เกิดจากความผิดปกติระบบประสาทที่หลอดเลือดแดงบริเวณศีรษะซึ่งเป็นโรคเรื้อรังไม่หายขาดซึ่งอาจจะมีอาการเป็นครั้งคราว

ลักษณะที่สำคัญของไมเกรน ประกอบด้วย ส่วนใหญ่มักจะปวดศีรษะข้างเดียวประมาณ 60% หรือจะมีอาการปวดศีรษะทั้ง 2 ข้างก็ได้ โดยทั่วไปจะมีอาการปวดศีรษะนาน 4 - 72 ชั่วโมงและมักจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียนและเวียนศีรษะร่วมด้วย รวมถึงอาการปวดที่ไวต่อแสงหรือเสียงก็ได้

อาการปวด หัวแบบ ไมเกรน จะมีตั้งแต่ระดับปานกลางไปจนถึงมากจนกระทบกับการดำรงชีวิตประจำวัน อาจจะมีอาการปวดตุบๆ แถวขมับ หรืออาจจะจะปวดบริเวณเบ้าตา และอาจจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน อาการปวด ไมเกรนเวลาหายปวดจะหายสนิท และบางคนเวลามีอาการปวด ไมเกรน มักจะมีอาการนำมาก่อนที่จะเกิดอาการปวด เรียก Aura อาจจะเห็นแสงแวบ แสงจ้า ตาพร่ามัว ซึ่งเป็นช่วงสั้นๆ ก่อนจะมีอาการปวด


คนที่เป็นไมเกรนส่วนใหญ่จะพบการเกร็งตัวของกล้ามเนื้้อ บริเวณบ่า และ มีจุดกดเจ็บของกล้ามเนื้อหดตัวเกร็งจนเป็นก้อนเล็กๆ 0.5 - 1.0 เซนติเมตร (Trigger Point) บริเวณ บ่า ต้นคอ ทำให้เลือดและออกซิเจนไม่สามารถไปเลี้ยงบริเวณจุดนั้นได้ ส่งผลทำให้ไม่สามารถเลือดและออกซิเจนไม่สามารถส่งผ่านไปยังศีรษะได้เต็มที่ เมื่อเลือดไม่สามารถส่งขึ้นไปเลี้ยงที่ศีรษะ 2 ข้างไม่เท่ากัน จึงทำให้เกิดการปวดศีรษะข้างเดียว ที่เรียกว่าไมเกรน

คนที่ทำงานในสำนักงาน และนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆเป็นประจำ มีโอกาสที่จะเกิด Trigger Point ด้านขวาได้บ่อย และเป็นผลทำให้ปวดหัวไมเกรนซีกขวาได้

คนจำนวนไม่น้อยเลือกหยุดอาการไมเกรนด้วยการับประทานยา ซึ่งแม้จะได้ผลในการปวดครั้งนั้น แต่การทานยาแก้ปวดสม่ำเสมอยังมีผลข้างเคียงต่อ กระเพาะอาหาร ตับ และไตอีกด้วย หลอดเลือดอักเสบ ทำให้เมื่อหลอดเลือดขยายตัวแล้วจะเกิดอาการปวดอีกด้วย ถ้าใช้ยาประเภทนี้บ่อยๆจะเกิดโรคลูกโซ่ตามมาจากการใช้ยาแก้ปวดประเภทนี้ในวันข้างหน้าแน่นอน

ยาแก้ปวดไมเกรน ทุกชนิดมีผลต่อตับอย่างแต่นอน เมื่อตับทำงานหนักและเสื่อมลง ย่อมทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดลง ซึ่งย่อมให้เกิดโรคต่างๆตามมาได้อีกหลายโรค

ข้อสำคัญการรับประทานยาแก้ปวดประเภทไมเกรนเป็นประจำ จะทำให้เกิดอาการรุนแรงในการปวดครั้งๆต่อๆไปมากขึ้น และต้องพึ่งยาที่มากขึ้นหรือแรงขึ้นไปอีก จนบางครั้งอาจปวดจนถึงขั้นต้องพึ่งยาฉีดเข้าเส้นเลือดประเภทมอร์ฟีนหรือสเตอรอยด์เข้าไปด้วย

ความจริงแล้วการกินยาเป็นเพียงการรักษาปลายอาการเท่านั้น ไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุ จุดกดเจ็บที่เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อ Trigger point ไม่ได้หายไปไหน ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปก็จะเกิดเป็นกล้ามเนื้อพังผืดเป็นวงกว้างมากขึ้นและหนามากขึ้น จากการรักษาด้วยการพึ่งพายาแก้ปวดไมเกรน และอาการไมเกรนก็จะหนักมากขึ้น และรักษายากขึ้นด้วย


ด้วยเหตุผลนี้คนที่รักษาโรคไมเกรนจำนวนหนึ่ง จึงไปรักษาด้วยการทำกายภาพบำบัด หรือนวดกดจุดลดขนาดพังผืดบริเวณบ่า และกดเพื่อทำให้จุดกดเจ็บ Trigger Point ให้มีขนาดลดลง ตลอดจนกดจุดบริเวณบ่า คอ ไหล่ และบริเวณศีรษะด้านที่ปวด

ถ้าจะสังเกตให้ง่ายก็คือจุด Trigger Point จะอยู่บริเวณบ่าเป็นก้อนกล้ามเนื้อที่นูนออกมา หากกดลงจะมีลักษณะแข็งจึงจำเป็นต้องกดจุดเหล่านี้ให้มีขนาดเล็กลงหรือนิ่มลง บางครั้งก้อนที่แข็งมากอาจจำเป็นต้องลงศอกเสียด้วยซ้ำ

โดยเฉพาะการกดค้างศีรษะด้านบนค่อนไปข้างหน้า กดด้านที่ปวดห่างจากเส้นกึ่งกลางมา 1 นิ้ว กดค้างให้ลึก 10 วินาทีต่อครั้งแล้วปล่อยทำหลายๆครั้งจะหยุดได้แบบฉับพลัน แม้ว่าการปวดนั้นจะลามมาถึงการปวดที่เบ้าตาแล้วก็ตาม

นอกจากนี้ หลายคนที่พยายามจะหลีกเลี่ยงการรับประทานยาก็ใช้วิธีอื่น เช่น การราดน้ำศีรษะด้วยน้ำเย็นต่อเนื่องกัน 5 -10 นาที, การแปะด้วยถุงเจลแช่เย็น (Cold Pad) บริเวณหน้าผากและเบ้าตา, การรีบนอนให้เร็วโดยทันทีเมื่อเริ่มมีอาการ ฯลฯ

ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นการหยุดอาการปวดที่ทรมานได้ โดยไม่ต้องใช้ยา แต่ที่กล่าวมาก็ยังไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ เป็นเพียงการหยุด"ปลายอาการ" เท่านั้น!!!


เพราะโรคไมเกรนของคนส่วนใหญ่มักไม่ได้เกิดขึ้นในตอนวัยเด็ก และไม่ได้เกิดขึ้นเพราะกรรมพันธุ์ แต่มักจะเกิดขึ้นเมื่อโตมากขึ้นแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยภายนอก ได้หลายอย่าง เช่น

1.อาหาร พบว่าอาหารหลายชนิดที่อาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรนได้มาก เช่น นมวัว เนย ชีส ช็อคโกแลต ไวน์แดง เบียร์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ถั่วบางชนิด กล้วยสุกงอม ชา กาแฟและเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีน น้ำตาลเทียม ผงชูรส แอสปาแตม รวมถึงสารที่แต่งอาหารบางชนิดก็มีผลเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการ ไมเกรนได้ด้วย เช่น สารไนไตรด ไนเตรด ซึ่งจะพบในอาหารพวก เบคอน ไส้กรอก ซาเซมิ แฮม

คนส่วนใหญ่ที่เป็นไมเกรนแล้วงดอาหารที่กล่าวมาข้างต้นมักมีอาการไมเกรนลดลงอย่างเห็นได้ชัด!

2. ระดับฮอร์โมน ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ เช่น ช่วงที่มีประจำเดือน รับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด ได้รับฮอร์โมนทดแทน และกำลังตั้งครรภ์ เป็นต้น

3. สภาพร่างกาย สภาพร่างกายที่อาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ เช่น นอนไม่พอ เครียด ทำงานหนักมากเกินไป ท่านั่งทำงานที่ไม่เหมาะสม มีลักษณะงานที่ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวต่อเนื่องนานๆ (รวมถึงการเกร็งตัวจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน) และอดอาหาร เป็นต้น

4. การออกกำลังกาย การออกกำลังกายที่มากเกินก็สามารถกระตุ้นให้เกิดการกำเริบของอาการปวดหัวไมเกรนได้

5. สภาวะแวดล้อม สภาวะแวดล้อมที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ เช่น อาการร้อนหรือหนาวจัด แสงแดดจ้า กลิ่นไม่พึงประสงค์บางอย่าง เช่น กลิ่นบุหรี่หรือกลิ่นน้ำหอม เป็นต้น

6. ยาและสารเคมีบางชนิด ยาและสารเคมีบางชนิดกระตุ้นให้เกิดการปวดศีรษะได้ เช่น nitroglycerine, Hydralazine, Histamine, Resepine เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบว่าคนที่ปวดหัวไมเกรน ไซนัส จำนวนมากมีประวัติกินยาแก้อักเสบ ยากแก้แพ้ และ ยาลดน้ำมูกเป็นประจำ
จะเห็นได้ว่าโรคไมเกรนส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมของเราเองส่วนหนึ่งที่ผิดไปจากธรรมชาติ และเกิดจากสภาวะแวดล้อมอีกส่วนหนึ่ง

ดังนั้นเมื่อโรคนี้เกิดจากพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม การแก้ไขที่ตรงจุดจึงย่อมไม่ใช่การรับประทานยาแก้ปวด แต่ต้องพยายามเปลี่ยนพฤติกรรมและหลีกเลี่ยงสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะกับตัวเองน่าจะถูกต้องกว่า

หรือไม่ก็ต้องรู้จักปรับสมดุลให้เหมาะสมกับพฤติกรรมและสภาวะแวดล้อมที่ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้


แต่หลายคนไม่สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นได้และต้องการหายขาด เท่าที่ได้พบเห็นก็ดูเหมือนว่าการรักษายังคงมีอีกหลายวิธีที่เป็นการแพทย์ทางเลือก เช่น การดื่มน้ำปัสสาวะบำบัด, การฝังเข็ม, การดีท็อกซ์, การรับประทานอาหารสมดุลร้อน-เย็น, การล้างพิษตับ, การนั่งสมาธิ ฯลฯ
ด้วยพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมของคนในยุคนี้เปลี่ยนไป ทำให้โรคปวดหัว ไมเกรนนับวันจะมีคนเป็นมากขึ้น เป็นโรคที่ปวดแล้วทรมาน หากรู้จักแนวทางในการป้องกันและรักษาตัวเองได้โดยไม่ต้องใช้ยา ก็จะพบว่าความถี่ในการเกิดโรคไมเกรนจะค่อยๆทิ้งช่วงนานขึ้น ปวดน้อยลง และหายได้ในที่สุด
ผมเป็นคนหนึ่งที่ปวดไมเกรนมาเป็นเวลาเกือบ 15 ปี รักษามาแล้วหลายวิธี ใช้ยาแรงมาแล้วก็มาก แต่พึ่งจะหายจากโรคนี้ได้โดยไม่มีอาการแม้แต่วันเดียวในปีนี้ และเป็นปีแรกที่ไม่ต้องอาศัยยาเคมีแม้แต่เม็ดเดียว ก็ด้วยการใช้แนวทางธรรมชาติบำบัดของชาวสันติอโศกควบคู่ไปกับการหาเหตุผลในทางวิทยาศาสตร์

แม้ความจริงจะมีรายละเอียดอยู่มากในการอธิบายเหตุผลในทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็ขอเขียนอธิบายมาโดยสรุปพอสังเขปให้เหมาะกับพื้นที่นี้ เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ช่วยกันทำบุญแบ่งปันข้อมูลนี้ เพื่อคลายทุกข์ให้กับคนที่ทรมานจากโรคนี้ต่อไป

“อโรคยา ปรมาลาภา” ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐโดยแท้!!!
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน”
รพี พัฒนศักดิ์



"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
oui142
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2350
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
Tel: 0832150005
team: เพชรบูรณ์
Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
ติดต่อ:

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย oui142 »

รูปภาพ
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน”
รพี พัฒนศักดิ์



"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
เสือขุนแผน
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 1320
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2010, 21:55
Tel: 0993826888
team: เสือเพชรบูรณ์,PCS.Cannondale Cycling team
Bike: LA Blue Line , Cannondale F3 lefty osho Caad12, LAPIERRE,specialized epic
ตำแหน่ง: เพชรบูรณ์
ติดต่อ:

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย เสือขุนแผน »

ขอบคุณหมออ๋อยมากครับสำหรับข้อมูล"ไมเกรน" (Migraine) ช่วงนี้เป็นวันเว้นวันเลย
oui142
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2350
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
Tel: 0832150005
team: เพชรบูรณ์
Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
ติดต่อ:

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย oui142 »

เส้นเลือดอุดตันในสมอง

รูปภาพ

วิธีการตรวจสอบ เส้นเลือดอุดตันในสมอง อาการบ่งชี้ และการทดสอบ
ใช้เวลาอ่านบทความนี้เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น

ถ้าเราสามารถจำสิ่งง่ายๆเหล่านี้ได้ เราอาจมีโอกาสช่วยชีวิตคนบางคนได้.....

ระหว่างงานเลี้ยง เพื่อนคนหนึ่งสะดุดล้มลงไปกองกับพื้น แต่เธอบอกกับทุกคนว่าเธอไม่เป็นไร (เพื่อนๆถามว่าจะให้เรียกแพทย์มั้ย) เธอบอกว่าเธอแค่สะดุดก้อนหินเพราะยังไม่ชินที่ใส่รองเท้าคู่ใหม่มา
ทุกคนช่วยกันปัดเศษสกปรกออกไปจากตัวเธอและไปตักอาหารมาให้ใหม่ ตัวเธอเองหลังจากนั้นรู้สึกว่าจะมีอาการสั่นเล็กน้อย แต่ก็สนุกสนานดีตลอดเย็นวันนั้น

หลังจากนั้น สามีของเธอโทรหาเพื่อนๆทุกคนว่า ภรรยาเขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล (และเสียชีวิตในเช้าวันรุ่งขึ้น) เธอมีอาการของเส้นเลืดอุดตันในสมองตั้งแต่ตอนที่อยู่ในงานเลี้ยงแล้ว

ถ้าทุกคนรู้ว่าเธอมีอาการนี้เสียตั้งแต่แรก บางทีเธออาจจะยังอยู่กับพวกเราในวันนี้ก็ได้ บางคนก็ไม่เสียชีวิต แต่ต้องใช้ชีวิตอย่างคนสิ้นหวังและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ (เพราะเป็นอัมพฤกษ์ หรืออัมพาต)

แพทย์ด้านประสาทวิทยากล่าววา ถ้าแพทย์สามารถไปถึงตัวผู้ป่วยเส้นเลือดสมองอุดตันได้ภายใน 3 ชั่วโมง แพทย์จะสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้แน่นอน ที่สำคัญก็คือต้องทราบว่าผู้ป่วยมีอาการของโรคนี้ วินิจฉัยได้ได้ จากนั้นก็ให้การรักษาภายใน 3 ชั่วโมง ซึ่งเรื่องจริงนั้นเป็นไปได้ยากอยู่ นอกจากจะรู้ก่อนว่ามันคือเส้นเลือดสมองอุดตัน

บางครั้งอาการของโรคเส้นเลือดสมองอุดตันก็เป็นการยากที่จะรู้กันได้ แต่ที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือ การไม่รู้อาจหมายถึงหายนะได้ สมองผู้ป่วยอาจจะโดนทำลายอย่างรุนแรง แต่คนรอบข้างไม่ได้รู้เลยว่านี่คืออาการของเส้นเลือดสมองอุดตัน


หมอบอกว่า คนที่ยืนอยู่รอบข้างก็สามารถรู้อาการได้ โดยคำถาม3 ข้อ ดังนี้

S *Ask the individual to SMILE. คือบอกให้ผู้ป่วย ยิ้ม

T *Ask the person to TALK and SPEAK A SIMPLE SENTENCE (Coherently) (i.e.. It is sunny out today.)
คือบอกให้ผู้ป่วยพูด โดยอาจจะเป็นประโยคง่ายๆ เช่น วันนี้อากาศดีนะ

R *Ask him or her to RAISE BOTH ARMS.
คือบอกให้ผู้ป่วยยกแขนทั้งสองข้างขึ้น


ถ้าผู้ป่วยมีความลำบากในการทำข้อใดข้อหนึ่ง ให้โทร.หาเบอร์ฉุกเฉินทันทีและแจ้งไปว่าผู้ป่วยมีอาการอย่างไร

Blood Clots/Stroke - They Now Have an Indicator, the Tongue
สัญญาณใหม่ของเส้นเลือดสมองอุดตัน -- แลบลิ้นออกมาดู
คือ ลองให้ผู้ป่วยแลบลิ้นออกมา หากลิ้นมีลักษณะม้วนงอ ตกไปด้านใดด้านหนึ่ง นั่นคือข้อบ่งชี้ว่ามีอาการเส้นเลือดสมองอุดตัน

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจบอกว่า หากคุณได้รับทราบข้อความนี้ และส่งต่อ อาจมีโอกาสช่วยชีวิตผู้ป่วยอย่างน้อย ๑ คน ก็เป็นได้

ข้อมูลและ ภาพทั้งหมดมาจาก https://www.facebook.com/LiveCasting ครับ ขอบคุณมากครับ

ปล. ถ้าพบเพื่อนมีอาการดังกล่าว จะสามารถช่วยเขาได้อย่างทันท่วงที ก่อนที่จะเกิดความสูญเสียอย่างร้ายแรงครับ..


รูปภาพ
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน”
รพี พัฒนศักดิ์



"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
oui142
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2350
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
Tel: 0832150005
team: เพชรบูรณ์
Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
ติดต่อ:

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย oui142 »

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ
แก้ไขล่าสุดโดย oui142 เมื่อ 11 มี.ค. 2013, 13:34, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน”
รพี พัฒนศักดิ์



"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
ตอบกลับ

กลับไปยัง “เสือเพชรบูรณ์”