![Mr. Green :mrgreen:](./images/smilies/icon_mrgreen.gif)
ขอขอบคุณเจ้าของบทความด้วยครับ (ไม่ได้เขียนเองครับ ลอกเขามา ...555)
![Laughing :lol:](./images/smilies/icon_lol.gif)
![Laughing :lol:](./images/smilies/icon_lol.gif)
![Laughing :lol:](./images/smilies/icon_lol.gif)
![Laughing :lol:](./images/smilies/icon_lol.gif)
![Laughing :lol:](./images/smilies/icon_lol.gif)
![Mr. Green :mrgreen:](./images/smilies/icon_mrgreen.gif)
![Razz :P](./images/smilies/icon_razz.gif)
![Very Happy :D](./images/smilies/icon_e_biggrin.gif)
ผู้ดูแล: บังโหลด
การเล่าเรื่อง หมายถึง การเขียนเล่าประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้เล่าเอง จากการพบเห็น การอ่าน การฟังซึ่งจะต้องเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงและประทับใจผู้เขียนเล่ามามากพอที่จะถ่ายทอดให้ผู้อ่านฟังได้
ลักษณะของเรื่องเล่าที่ดี โดยทั่วไปผู้ฟัง ผู้อ่านชอบเรื่องที่สนุก แม้แต่เรื่องที่เป็นวิชาการ ซึ่งมุ่งให้ความรู้เป็นสำคัญผู้ฟังผู้อ่านก็ยังหวังความสนุกเพลิดเพลินไปด้วย เรื่องที่ดีและเหมาะสม นอกจากจะให้ความรู้หรือความนึกคิดที่ดีงามแล้ว เรื่องที่ควรแก่การฟังการอ่านมีลักษณะสำคัญดังนี้การเตรียมโครงเรื่อง การเขียนเล่าเรื่องควรเตรียมโครงเรื่องดังนี้
- มีการเริ่มเรื่องดี
- ประกอบด้วยตัวละคร บุคคลหรือสิ่งที่น่าสนใจ
- มีรายละเอียดที่น่าสนใจ
- เป็นเรื่องและเหตุการณ์ที่ไม่ใช่ปกติธรรมดา
- มีจุดสุดยอดที่ตื่นเต้นเร้าใจ
- แทรกความขบขัน
- ทำให้เกิดความเร้าใจใคร่ติดตามเรื่อง
- จบเรื่องเหมาะสม
กลวิธีในการเขียน การเขียนเล่าเรื่องที่ดีนอกจากจะขึ้นกับการเลือกเรื่องที่ดีและเหมาะสมแล้ว จะต้องใช้กลวิธีในการเขียนดังต่อไปนี้
- ที่มาของเรื่อง
- สถานที่และเวลาที่เกิดเรื่อง
- ผู้เกี่ยวข้องหรือมีบทบาทสำคัญในเรื่อง
- เรื่องหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามลำดับ
- ผลอันเนื่องมาจากเรื่องหรือเหตุการณ์
การเขียนเล่าเรื่อง จากที่ได้ ประสบพบเห็นมา มีขั้นตอนดังนี้
- กำหนดสิ่งที่จะเขียนให้ชัดเจน เช่น เป็นใคร อะไร เมื่อไร และที่ไหน
- จัดลำดับเรื่องและเหตุการณ์ตามที่เป็นจริง มิข้ามขั้นตอน ตัวอย่างใดที่สามารถนำไปสู่บทสรุปได้ก็ต้องจัดลำดับความสัมพันธ์ให้เหมาะสม
- ใช้ประโยคนำเรื่องที่ชวนให้ผู้อ่านสนใจ
- นำเรื่องไปสู่จุดสุดยอดน่าสนใจหรือซับซ้อนที่สุดของเรื่อง เหตุการณ์ทั้งหมดดำเนินไปสู่และต่อจากจุดสุดยอด ใช้ถ้อยคำสำนวนภาษาให้เหมาะสมแก่เรื่องและตัวละคร
เตรียมเนื้อเรื่อง แม้ว่าการเขียนเล่าเรื่อง จะเป็นการเขียนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นจริงก็ตาม แต่การเขียนถ่ายทอดให้ผู้อ่านได้ทราบควรมีการลำดับเหตุการณ์หรือมีสิ่งที่ควรอ่านควรติตตามตลอดจนต้องได้แง่คิดหรือสาระในการอ่านตามสมควรและในบางครั้งก็ต้องได้อารมณ์ขันด้วย ซึ่งมีวิธีเตรียมเนื้อหาดังนี้
- เขียนเล่าเรื่องไปตามลำดับเหตุการณ์ที่ได้ประสบพบเห็นมา และไม่วกไปวกมา
- เขียนเล่าเรื่องให้เหมือนพูดเล่าเรื่อง คือใช้ภาษาพูดง่าย (ภาษาปาก) พยายามอย่าใช้คำศัพท์โดยไม่จำเป็น ถ้าจะใช้ควรวงเล็บความหมายไว้ด้วยเพื่อผู้อ่านจะได้เข้าใจมากขึ้น
- ในการเขียนเล่าเรื่อง ผู้เขียนจะต้องรู้จักใช้ความสามารถเช่นหาจุดเด่นของเรื่อง หรือสิ่งแปลก ๆ ในสิ่งที่ได้พบเห็นมาเขียนเล่า เพื่อให้ผู้อ่านอยากติดตามเรื่องที่เราเขียน และอ่านได้อย่างไม่รู้สึกเบื่อ
- ในการเขียนเล่าเรื่อง ผู้เขียนควรแทรกความคิดเห็นของตนลงไปในเรื่องที่ตัวเองเขียนลงบ้าง เพื่อให้มีรสชาติยิ่งขึ้น
- ในขณะเขียนเรื่องเล่าอาจมีวงเล็บสำหรับขยายความ อธิบายความแทรกอยู่ในเรื่องได้
- อย่าลืมแทรกอารมณ์ขันลงไปในเรื่องที่เขียนบ้าง เพื่อเป็นการเติมสีสันให้แก่งานเขียน น่าสนใจอ่านมากขึ้น ทั้งยังเป็นการช่วยผู้อ่านได้คลายเครียดด้วย
- ในตอนจบเรื่อง ควรมีการสรุปทิ้งท้าย เพื่อฝากความประทับใจเสมอ
โค้ด: เลือกทั้งหมด
<div align="center"><a href="http://www.amazingcounter.com"><img border="0" src="http://cb.amazingcounters.com/counter.php?i=2747844&c=8243845" alt="Free Hit Counters"></a></div>
ความคิดเห็นที่ 6
สำหรับมือใหม่นะครับ!
1) ไปหาหนังสืออ่าน ทฤษฏีการถ่ายภาพก่อน! ทำความรู้จักค่า F / T / ISO ก่อนอันดับแรก! *** อย่าใจร้อนรีบจับกล้องแล้วกด shutter ถ่ายเลย ***
2) อ่านคู่มือกล้องว่า ปุ่มต่างๆ ทำหน้าที่อะไรบ้าง มีอะไรให้ปรับบ้าง นอกการใช้งานในการปรับค่า F / T / ISO แล้ว!
3) ไปซื้อขาตั้งกล้องมาสักตัวด้วย แล้วเอาไปตั้ง ถ่ายดอกไม้มา โดยใช้โหมด A ก่อน โดยการ ปรับค่าที่น้อยสุดไปหามากสุด แล้วโฟกัสดอกไม้ให้ได้ก่อนนะ แล้วค่อย
ปรับค่า F = 3.5 แล้วกด Shutter
ปรับค่า F = 4.0 แล้วกด Shutter
ปรับค่า F = 4.5 แล้วกด Shutter
ปรับค่า F = 5.0 แล้วกด Shutter
ปรับค่า F = 5.6 แล้วกด Shutter
ปรับค่า F = ... แล้วกด Shutter
ปรับค่า F = ... แล้วกด Shutter
จนถึง F = 22 แล้วกด Shutter
** กลับถึงบ้านแล้วค่อยมาดูภาพ
4) โดยใช้โหมด M กำหมด ค่า T = 100 และ ISO = 100 แล้วโฟกัสดอกไม้ให้ได้ก่อนนะ แล้วค่อย
ปรับค่า F = 3.5 แล้วกด Shutter
ปรับค่า F = 4.0 แล้วกด Shutter
ปรับค่า F = 4.5 แล้วกด Shutter
ปรับค่า F = 5.0 แล้วกด Shutter
ปรับค่า F = 5.6 แล้วกด Shutter
ปรับค่า F = ... แล้วกด Shutter
ปรับค่า F = ... แล้วกด Shutter
จนถึง F = 22 แล้วกด Shutter
** กลับถึงบ้านแล้วค่อยมาดูภาพ
5) โดยใช้โหมด M กำหนดค่า A = 5.6, ISO = 100 โดยการ ปรับค่า T ที่น้อยสุดไปหามากสุด การทดลองโหมดนี้ให้ลองถ่ายภาพตอนกลางวัน แล้วโฟกัสดอกไม้ให้ได้ก่อนนะ แล้วค่อย
ปรับค่า T = 4000 แล้วกด Shutter
ปรับค่า T = 3200 แล้วกด Shutter
ปรับค่า T = 2500 แล้วกด Shutter
ปรับค่า T = .... แล้วกด Shutter
ปรับค่า T = 2.0 แล้วกด Shutter
ปรับค่า T = 1.6 แล้วกด Shutter
ปรับค่า T = 1.3 แล้วกด Shutter
ปรับค่า T = 1.0s แล้วกด Shutter
ปรับค่า T = 1.3s แล้วกด Shutter
ปรับค่า T = .... แล้วกด Shutter
ปรับค่า T = 40s แล้วกด Shutter
ปรับค่า T = 50s แล้วกด Shutter
ปรับค่า T = 60s แล้วกด Shutter
** กลับถึงบ้านแล้วค่อยมาดูภาพ
6) โดยใช้โหมด S โดยการ ปรับค่าที่น้อยสุดไปหามากสุด การทดลองโหมดนี้ให้ลองถ่ายภาพตอนกลางคืนข้างถนน
ปรับค่า T = 4000 แล้วกด Shutter
ปรับค่า T = 3200 แล้วกด Shutter
ปรับค่า T = 2500 แล้วกด Shutter
ปรับค่า T = .... แล้วกด Shutter
ปรับค่า T = 2.0 แล้วกด Shutter
ปรับค่า T = 1.6 แล้วกด Shutter
ปรับค่า T = 1.3 แล้วกด Shutter
ปรับค่า T = 1.0s แล้วกด Shutter
ปรับค่า T = 1.3s แล้วกด Shutter
ปรับค่า T = .... แล้วกด Shutter
ปรับค่า T = 40s แล้วกด Shutter
ปรับค่า T = 50s แล้วกด Shutter
ปรับค่า T = 60s แล้วกด Shutter
** กลับถึงบ้านแล้วค่อยมาดูภาพ
7) หลังจากได้ทำการทดลอง ตามขั้นตอนที่ 3 4 5 6 แล้ว ให้มาดูภาพหาความแตกต่างของโจทย์แต่ละข้อเป็นอย่างไร ถ้าพอเข้าใจแล้ว ก็ไปทำข้อที่ 8
8) ไปลองถ่ายดอกไม้มา ดูซิว่า ภาพดอกไม้ของคุณที่ได้มาเป็นอย่างไร
- ภาพมัน Under(ภาพมืดไปหรือเปล่า)/ ภาพมัน Over(ภาพมันสว่างไปหรือเปล่า) *** ถ้าภาพมันไม่พอดี จะปรับค่าอะไรดี แล้วไปลองถ่ายมาใหม่ ***
- ภาพดอกไม้มันคมชัดแค่ไหน แค่ดอกเดียว หรือว่า ทั้งสวน *** ถ้าอยากให้ชัดแค่ดอกเดียว จะปรับค่าอะไร แล้วก็ลองกลับไปถ่ายมาใหม่ ***
*** ฝึกมันจนกว่าจะได้อย่างที่ใจต้องการ แล้วต้องมีความอดทน และไม่ใจร้อนข้ามขั้นตอน ***
*** คิดเสียว่า การถ่ายภาพเป็นการทดลองทางวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่ง โดยเรียนรู้จากการทดลอง โดยตั้งสมมุติฐาน(ฝึกให้มีจินตนการ) เรียนรู้ และทำความเข้าใจ
ว่าผลของ F / T / ISO มีผลอย่างไรต่อภาพ แล้วนำผลลัพธ์ดังกล่าวมา ประยุกต์ + จินตนาการ อยากให้ภาพมันออกมาเช่นไร ก็ปรับไปตามที่ใจอยากให้เป็น
ขอยำ้ว่า อย่าไปจำ Style การถ่ายภาพของคนอื่นให้มันวุ่นวาย กลายเป้นว่า คิดเองไม่เป็น
จงเชื่อมั่นในตัวเอง ภาพจะสวยไม่สวยมันขึ้นอยู่ที่ตัวเราเป็นหลัก เพราะว่าตอนกด Shutter ก็ไม่ได้มีใครมาช่วยกดช่วยบอก มีเพียงเราตัดสินใจเองเท่านั้น
เพราะว่า ความสวย, ความชอบ, ของแต่ละคนไม่เท่ากัน เราจึงไม่สามารถตอบสนองความต้องการของทุกคนได้ แต่เราสามารถตอบสนองความต้องการตัวเองได้ดีที่สุด
จากคุณ : FindSomeOneToLoveMe
เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 53 11:44:17
http://www.pantip.com/cafe/camera/topic ... 29002.html
ความคิดเห็นที่ 4
55-200 VR
- หนัก 335 กรัม
- เล็ก พกสะดวกกว่า 73.0 x 99.5 mm
- เป็นเลนส์ DX ใช้กับกล้องฟิล์มไม่ได้
- หน้า 52 มม.
- ไม่มีโหมด active ของ VR
- f-stop แคบสุด 22-32
- โฟกัสใกล้สุด 1.1 เมตรตลอดช่วง
- mount พลาสติค
- ไม่มี Distance scale
- หน้าเลนส์หมุน ใส่ฟิลเตอร์อย่าง c-pl จะยุ่งยากหน่อย (จำไม่ได้ว่าจริงๆ เขาเรียกกันว่าไง) อันนี้เหมือน 18-55
- ราคาที่อเมริกา $ 249.95 (ถูกมากกกกกกกก)
70-300 VR
- หนัก 745 กรัม
- ใหญ่กว่า 80 x 143.5mm
- ใช้ได้ทั้งกับกล้องดิจิตอลและกล้องฟิล์ม
- หน้า 67 มม.
- มีโหมด active ของ VR
- f-stop แคบสุด 32-40
- โฟกัสใกล้สุด 1.5 เมตรตลอดช่วง
- mount เหล็ก
- มี Distance scale
- หน้าเลนส์ไม่หมุน
- ราคาที่อเมริกา $ 479.95
จากคุณ : น้าอ๊าด - [ 5 เม.ย. 50 09:20:59 ]
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=oboy&month=12-11-2009&group=8&gblog=12 เขียน:เทคนิคการถ่ายภาพให้สวย
การที่เราจะถ่ายภาพบุคคล(โดยเฉพาะอย่างยิ่ง..นางแบบ) ให้ได้ดี..ให้ออกมาสวยเป็นที่น่าพอใจ(ของตัวแบบเอง)นั้น ตัวช่างภาพเองจะต้องคำนึงถึงเทคนิคต่าง ๆ เหล่านี้..
- การทิ้งฉากหลัง หรือ ละลายฉากหลัง
ดีตรงที่จะทำตัวแบบเด่น ไม่มีฉากหลังรก ๆ มาแย่งสายตา แต่ในบางกรณี..หากฉากหลังไม่แย่งสายตา หรือ เป็นลักษณะฉากหลังที่สามารถที่จะเล่าเรื่องราวได้ ก็ถือได้ว่า ?เป็นภาพที่สมบูรณ์? เช่นกัน- แสงสีของฉากหลัง
แสงสีของฉากหลังที่ดี ก็คือ แสงสีของฉากจะต้องมืดกว่าค่าแสงเฉลี่ยของหน้านางแบบ และสว่างกว่าค่าแสงที่ผมส่วนมืดของนางแบบ (ในบางกรณี..เราจะอาจกำหนดให้ฉากหลังชัดก็ได้ หากฉากหลังมีความน่าสนใจ แต่ถ้าหากฉากหลังนั้นมีลักษณะไม่สวยงาม ยุ่งเหยิง รวมทั้งจะไปแย่งความเด่นของตัวแบบไปโดยไม่จำเป็นแล้ว ก็ให้ใช้วิธีการละลายฉากหลัง หรือ เลี่ยง/หลบฉากหลังแทน)- อย่าให้ตัวแบบ/นางแบบกลายเป็นคนพิการ
ถ่ายรูปคนอย่าทำให้นางแบบเป็นคนพิการเด็ดขาด? นั่นคือ อย่าให้ปลายมือ ปลายเท้า ข้อศอกขาดพยายามเก็บเข้ามาในเฟรมให้หมด ถ้าจะตัดส่วนไม่เอาไว้ในเฟรมก็ต้องตัดให้เห็นว่าจงใจตัด เช่น ตัดสูงกว่าศอกและเข่าแต่ประเภทเห็นทั้งตัว ยกเว้นนิ้วเท้าอย่างนี้ไม่ควรตัดอย่างเด็ดขาด- อย่าให้ตัวแบบคอขาด
ถ้าฉากหลังเป็นท้องฟ้า ทะเล ขอบฟ้า หรืออะไรก็ตาม ที่มีเส้นนอน พยายามอย่าจัดให้พาดผ่านคอนางแบบเด็ดขาด เพราะจะทำให้ได้ภาพในลักษณะ ? นางแบบคอขาด? ถ้าจะให้ที่สุดดีควรจัดให้เส้นนอนอยู่สูงกว่าระดับศีรษะ หรือ ต่ำกว่าไหล่จึงจะทำให้ภาพดูดีขึ้น- การวัดแสงที่หน้าให้ โฟกัสไปที่ลูกตาเป็นสำคัญ
ถ่ายรูปลูกตาต้องชัดเสมอ? ถ้าหากไม่ชัดก็จะต้องมีเหตุผลมารองรับว่า...ทำไมถึงไม่อยากให้ชัด
ใบหน้าจะเป็นจุดแรกที่คนมอง อย่างน้อยที่สุด เราจะต้องเซ็ทให้แสงที่หน้าพอดีเสมอ ยกเว้นในกรณีที่เจตนาให้มืด หรือสว่างกว่าปกติ...แต่ก็ต้องมีเหตุผลมารองรับเสมอ- จะเลือกขวา หรือ ซ้าย ดี
ปกติแล้วใบหน้าของคนเราทั้งสองซีก ? สวยไม่เท่ากัน? เรื่องนี้ช่างภาพเองจะต้องอาศัยการพินิจพิจารณาให้ดี ๆ หลังจากนั้นจึงค่อยพยายามจัดกล้องให้อยู่ฝั่งที่สวยกว่า หรือจัดแสงหลักให้อยู่ฝั่งที่สวยกว่า- ตาโตสิ..ดูดีกว่า
ดังที่กล่าวข้างต้นแล้วว่า ใบหน้าของคนเราทั้ง 2 ซีก..สวยไม่เท่ากัน? คำถาม แล้วเราจะสังเกตได้อย่างไรล่ะ? ใบหน้าซีกที่สวยกว่าดูไม่ยากครับ..มันมีเคล็ดลับอยู่ว่า ให้ดูที่ลูกกะตา ? หากลูกตาข้างไหนโตกว่า..ใบหน้าข้างนั้น คือ ข้างที่สวยกว่า? (อันนี้...ถือเป็น ?เคล็ดลับ? ที่รู้กันในหมู่ช่างภาพระดับเซียน ๆ ทั้งหลายครับ)
เคล็ดลับหนึ่งในการดูว่าใบหน้าข้างไหนสวยกว่ากัน ก็คือ ให้สังเกตที่มุมปากเวลายิ้มของตัวแบบ (มุมปากข้างไหนยกสูงกว่ากัน ก็ข้างนั้นแหละครับ- ให้แสงครึ่งหน้า
ในกรณีที่สภาพของแสงที่ตกกระทบบนใบหน้าทั้งสองฟากมีความต่างกันมาก ผลที่ออกมาก็คือ ซีกหนึ่งสว่างจ้า แต่อีกหนึ่งมืด หากมีสภาพแสงในลักษณะนี้ ประการแรกให้ถามตัวแบบว่า ชอบสภาพแสงในลักษณะนี้หรือไม่ สภาพที่แหล่งกำเนิดแสงอยู่ด้านข้าง หากดูแล้วเห็นว่าจะทำให้ตัวแบบถ้าดูแล้ว ? ดูไม่ดี?
เราสามารถกำหนดเทคนิคให้ตัวแบบหันหน้าเข้าหาแสงเล็กน้อยก็จะดูดีขึ้นมากทีเดียว- อย่าให้นางแบบหน้ามืด
หากจำเป็นที่เราจะต้องถ่ายภาพย้อนแสง ก็ให้ Fill flash เพื่อลบเงา(เปิดแสง)ที่ตัวแบบ (ยกเว้นในกรณีที่เราต้องการในลักษณะ Silhouette ก็ว่าไปอย่าง)- เงยหน้านิดนึง..แล้วจะดี
กำหนดให้ตัวแบบเงยหน้าขึ้นนิดนึง ภาพจะออกมาดูดีกว่าหน้าตรง หรือก้มหน้างุด ๆ (ยกเว้นเจตนาให้ได้ภาพที่แสดงออกซึ่งอารมณ์อื่นใด???)- หนูไม่ใช่ภาพการ์ตูน (ผมดำ) นะ
นางแบบไม่ใช่ตัวการ์ตูน ดังนั้นเส้นผมของนางแบบจึงควรจะเห็นเป็นเส้นๆ ไม่ใช่ดำเป็นปื้น ถ้ามองแล้วเห็นผมดำเป็นปื้น ให้จัดแสงใหม่ ให้แสงกระทบผมให้ดี หรือหรี่ช่องรับแสงลงนิดนึงเพื่อให้ผมเป็นเส้น หรือ ใช้เทคนิค Rim Light นั่นเอง (ซึ่งการใช้เทคนิคนี้...มีการวัดแล้ว สรุปว่าได้ว่าจะทำให้ตัวแบบ(นางแบบ)สวยขึ้น 18.75% รวมทั้งจะทำให้ผมสวยขึ้น 33.29%... (ว่าไปนั่น)
ข้อคิดที่ตรงใจ สำหรับคนที่อยากก้าวหน้าในการถ่ายภาพ ... http://www.pantip.com/cafe/camera/topic ... 50410.html
ผมมีช่างภาพต่างประเทศคนนึงที่ผมเคารพนับถือเป็นอาจารย์ของผมเพราะผมได้อะไรดีๆจากคอมเมนท์ภาพของผมจากเค้าอยู่เรื่อยๆ สมัยผมเริ่มฝึกถ่ายภาพใหม่ตอนนั้นยังใช้คอมแพคโรคท้อใจตามประสามือใหม่มีเหมือนกันครับ
ตอนนั้นผมได้ข้อคิดดีๆจากอาจารย์ของผมผ่านทางอีเมล์ว่า มีการลงทุน 4 อย่างที่ช่างภาพจะต้องลงทุนเพื่อพัฒนาตัวเอง
- ลงทุนสมอง
- ลงทุนอุปกรณ์แสงและอุปกรณ์อื่นๆที่ช่วยให้คุณถ่ายภาพในหลากหลายสถานการณ์ได้
- ลงทุนเลน
- ลงทุนกับตัวกล้อง
* ลงทุนสมอง
หมั่นไขว่คว้าหาความรู้เยอะ ๆ การออกทริปถ่ายภาพอย่ามัวแต่ตั้งเป้าว่าเราจะได้ถ่ายนางแบบคนไหน แต่ควรจะดูมากกว่าเราได้ออกไปถ่ายภาพร่วมกับช่างภาพคนไหน เพราะการได้เรียนรู้เทคนิคของช่างภาพที่เราสนใจมีค่ามากกว่านางแบบที่เราไปจ้างมามากมายนัก เพราะของแบบนี้มันต้องเห็นด้วยตาถึงจะเข้าใจเทคนิคของพวกเขาได้
ถ้าเราลงทุนสมองเราเป็นอย่างดีแล้ว เราจะพบว่ากำแพงและอุปสรรคที่เราเคยคิดว่ามันใหญ่จะค่อยๆแคบและเล็กลงเรื่อยๆ อาจารย์ผมทุกวันนี้ก้ยังใช้ D70 รับงานคู่กับ D200 ผมเคยถามแล้วบอดี้ใหม่ๆอย่าง D300 ล่ะครับ แกเมล์ตอบกลับมายังไม่มีความจำเป็นแค่ d200 ในมือแกก็สามารถถ่ายงาน ad อัดขายใหญ่ได้โดยที่คงคุณภาพสูงได้อยู่
ไว้กล้องที่ใช้มันพังแล้วค่อยหาตัวใหม่
* ลงทุนอุปกรณ์แสงและอุปกรณ์อื่นๆที่ช่วยให้คุณถ่ายภาพในหลากหลายสถานการณ์ได้
สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่จะทำให้เราถ่ายภาพได้หลากหลายขึ้น และสร้างความแตกต่างให้ภาพเราได้อย่างแท้จริง มากกว่าไปถอยเลนใหม่ๆมาซะอีก สังเกตุได้ว่าช่างภาพดังๆเค้าลงทุนไปกับอุปกรณ์แสงมากกว่าเลน ช่างภาพบางคนมีเลนตัวเก่งแค่สองสามตัวแต่กลับลงทุนกับสารพัดชุดไฟสตู ขาตั้งที่แน่นหนา จอภาพดีๆแทน
* ลงทุนเลน
เลนที่ดีย่อมให้คุณภาพที่คมชัดกว่าเวลาอัดขยายใหญ่ๆ หรืองานที่ต้องการความปราณีต ต่อให้บอดี้กล้องที่เราใช้จะดีแค่ไหน แต่เราเลือกเลนที่มีคุณภาพด้อยกว่าบอดี้ที่เราใช้ ภาพที่เราได้ก็จะไม่สามารถดึงคุณภาพไฟล์ของบอดี้ที่เรามีได้อย่างเต็มที่
* ลงทุนกับตัวกล้อง
กล้องและเลนก็มีระดับเหมาะสมในการใช้งาน งานบางประเภทที่ต้องการคุณภาพสูงมากๆ ก็จำเป้นต้องใช้กล้องที่คุณภาพสูงมากตามและงานบางงานที่ไม่ซีเรียสคุณภาพมากขนาดนั้น การลงทุนกับกล้องที่มากเกินพอดีก็เหมือนขี่ช้างจับตั๊กแตน จนเมื่อกล้องในมือพังใช้งานไม่ได้แล้วก็ค่อยถอยตัวใหม่ที่ถูกใจที่วางขายอยู่ต่อ ผมลืมบอกไปอาจารย์ผมเค้าถ่ายอาชีพสิ่งหนึ่งที่ช่างภาพอาชีพต้องคิดคือความคุ้มค่าในการลงทุนด้วยครับไม่งั้นถ่ายได้เงินมาแต่ดันไม่พอค่าของที่ลงไปก็ขาดทุน
อาจารย์ผมแนะนำว่าช่างภาพก็ควรลงทุนตามลำดับข้างต้น
ถ้าเรามีสมองมีฝีมือแล้ว มีงานเข้ามา แต่เราบอกว่าอุปกรณ์เราไม่ถึงหลายๆ ครั้งลูกค้ายินดีจัดหาอุปกรณ์มาให้ใช้ได้ครับ หรือเช่าของดีก็ได้ อาจารย์ผมถ่าย ad ด้วย medium format บ่อยๆ แต่เค้ากลับไม่ยอมซื้อมาเป็นของตัวเอง อาศัยเช่าเอาเป้นครั้งๆไป เพราะบอกว่าไม่คุ้มลงทุนสูงไป
จ่ายเป็นล้านเพื่อมีของตัวเอง อีกกี่ปีล่ะจะรับงานจนคืนทุนเช่าเอาแล้วให้ลูกค้าจ่ายดีกว่าเยอะ ได้ใช้รุ่นใหม่อัพเดตตลอดเวลาด้วย
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมว่าคำพูดของเค้าคมคือ
แต่มันน่าตลกที่ช่างภาพแทบทั้งโลกกลับทำสวนทางคือ ลงทุนกล้องก่อน แล้วสมองเป็นอันดับสุดท้าย
จากคุณ : นายผจญภัก
mount F
มันจะแบ่งออกเป็น non-ai และ ai
+ non-ai ได้แก่เลนส์มะเฟือง บางครั้งจะแทนชื่อด้วย ai-d สามารถใช้งานได้ แต่ไม่สามารถวัดแสงและออโต้โฟกัสได้
+ ai ได้แก่รุ่น ai, ai-s, af, af-s
โดยรุ่น ai, ai-s จะไม่สามารถวัดแสงได้ ไม่สามารถออโต้โฟกัสได้
รุ่น af วัดแสงได้ แต่ไม่สามารถออโต้โฟกัสได้
รุ่น af-s วัดแสงได้ ออโต้โฟกัสได้
หน้า 11 เขียน: ... ท้ายที่สุด จงมีความสุขกับการถ่ายภาพและอย่าไปกังวลกับการทำสิ่งที่ถูกต้องอยู่ตลอดเวลา เพราะการให้ได้มาซึ่งภาพที่ดีนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสูตร หรือเคล็ดลับใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งหลายทั้งปวงนี้ มันขึ้อยู่กับ การสังเกต และ ความคิด เสมือนกับสิ่งที่ เดวิท ทอโรว์ พูดไว้ว่า คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณ"มอง" อะไร? ... แต่เป็นที่ว่าคุณ "เห็น" อะไร
แบบฝึกหัด -เรียนรู้ว่าเลนส์คุณเห็นอย่างไร?- หน้า 11 เขียน: ... ไม่ว่าคุณจะใช้กล้องดิจิตอลหรือกล้องฟีลม์ การถ่ายภาพจะทำให้คุณสร้าง "มุมมอง" ขึ้นมา คุณจะสามารถได้ "มุมมอง" มาอย่างไร? ในภาพรวมนั้นก็คือ การที่คุณเรียนรู้ว่าเลนส์ของคุณเห็นอย่างไร?
... สมมุติว่าคุณมีเลนส์ซูมนอร์มอลอยู่ตัวเดียว ให้เซ็ตทางยาวโฟกัสไปที่ค่าใดค่าหนึ่ง(ต่ำหรือสูง) โดยมีกฎว่า จะไม่เปลี่ยนทางยาวโฟกัสตลอดที่ทำแบบฝึกหัดนี้ ต่อไปก็เลือกสิ่งที่จะถ่าย(อาจเป็นบ้านหรือต้นไม้(ดอกไม้) หรืออาจเชิยพ่อ แม่ พี่ น้อง และญาตมิตรสนิท ไปยังสวนหลังบ้านหรือสวนสาธารณะ และด้วยระยะห่างเท่าไหร่ก็ได้ที่จำเป็น ให้วางสิ่งที่จะถ่ายนั้นไว้ตรงกลางเฟรม ให้เว้นพื้นที่ว่าง บน/ล่าง, ซ้าย/ขวา พอประมาณ... และด้วยการเล็กกล้องไปในท่ายืนปกติ ให้คุณเดินเข้าไปหาสิ่งที่คุณจะถ่ายนั้นโดยมีกฏว่า ทุกๆ 5 ก้าวจะถ่ายภาพ 1 ครั้ง(ในความคมชัดปกติ) ... ให้เดินเข้าไปหาสิ่งที่จะถ่าย จนกระทั่งเลนส์ของคุณไม่สามารถถ่ายได้ชัดอีกต่อไป
... สิ่งหนึ่งที่จะได้แน่นอนจากแบบฝึกหัดนี้ก็คือ"องค์ประกอบ" ภาพอันแรกของคุณจะบันทึกไม่เพียงแค่วัตถุหลักของคุณ แต่ยังรวมเอาสิ่งอื่นๆ ซึ่งอาจดึงความสนใจไปจากสิ่งนั้น และภาพสุดท้ายของคุณจะบันทึกภาพระยะใกล้(Close-up) ที่ไม่เพียงจะตัดสิ่งอื่นๆ ออกไป แต่ยังตัดเอาสิ่งสำคัญบางอย่างออกไปด้วย
... ต่อมา โดยยังไม่เปลี่ยนทางยาวโฟกัส ให้ทำซ้ำแบบฝึกหัดเมื่อครู่ แต่คราวนี้ให้ลองคุกเข่าถ่าย, หมอบคาน และสุดท้ายนอนหงายถ่าย(เมื่อเข้าใกล้ที่สุด) ในขณะที่คุณคุกเข่าเดิน คุณคงได้ค้นพบภาพพอร์ทเทรตที่ดีกว่าของเด็กเล็กๆ หรือยุ้งฉางที่ประกอบด้วยความลึกและมุมมอง(Perspective) ที่มีดอกหญ้าสีเหลืองทองเข้ามาล้อมรอบเป็นฉากหน้า(foreground) ให้กับภาพ และสำหรับการหมอบคลาน...บ่งทีคุณอาจค้นพบองค์ประกอบภาพที่น่าสนใจของสวนที่อยู่รอบๆ ตัวคุณ โดยผ่านทางเท้าในสวน... และทั้งหลายทั้งปวงนั้น คุณจะได้เรียนรู้มุมมองของกล้องที่ได้เห็น เมื่อประกอบเข้ากับตำแหน่งการมองในระดับต่างๆ ของเลนส์ในทางยาวโฟกัสที่คุณเลือก
... นี่เป้นจุดเริ่มต้น จงทำแบบเดียวกันกับเลนส์หลายๆ ขนาด(ที่มี) หากคุณฝึกฝนตาของคุณให้คุ้นกับสิ่งเหล่านี้ อาทิตย์ละครั้งเป็นเวาลาสัก 3 เดือน จะค้นพบมุมมองที่กระตุ้นให้เกิดความสนใจได้ ... เมื่อยามที่ออกทริปร่วมถ่ายรูปกับคนอื่นๆ คุณจะไม่อยู่ในกลุ่มของคนที่เดินวนไปวนมาโดยไม่แน่ใจว่า"จะถ่ายอะไรดี" ... และเมื่อคุณรวมเอาการมองเห็นของเลนส์เข้ากับการมองเห็นในจิตใจของคุณได้ คุณก็จะยืนบนฝั่งของบึงหรือทะเลสาป กวาดสายตาไปทั่ว ภาพรวมที่เห็นจะเลือกมุมมองที่จะถ่ายได้ก่อนที่คุณจะหยิบกล้องขึ้นมาเล็เสียอีก
... ตามความเชื่อของผม การมุ่งแสวงหาความคิดสร้างสรรค์นั้น จะเกิดขึ้นไม่ได้ ตราบเท่าที่คุณรู้สึกกังวลและสับสน การเข้าใจถึงการมองเห็นภาพที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเลนส์ต่างๆ และมุมมองที่แตกต่างออกไป จะทำให้คุณค้นพบความเป็นไปได้ที่ไม่มีขีดจำกัด
ไม่ดี ไม่หนุกครับ ... ถ้าสายกล้องยาวมันจะแกว่งไปตีรัง(ไข่) หรือไม่ก็โดนอานจะสะพายกล้องไป ปั่นจักนยานไป คงมีความสุขไม่น้อย
อ่ะจริงอย่างพี่ยิ้มว่า ถ้าสายยาวแล้วแกว่งไปตีรัง(ไข่) คงไม่มีความสุขเป็นแน่ ฮาTigerSmile'Hy เขียน:ไปขุดมาจนได้เนอะ ... แค่ไปก๊อปเขามาผมสอนใครไม่ได้หรอก เพราะทุกคนก่อนที่ผมจะสอนเก่งกว่าทุกคนเลย...
ไม่ดี ไม่หนุกครับ ... ถ้าสายกล้องยาวมันจะแกว่งไปตีรัง(ไข่) หรือไม่ก็โดนอานจะสะพายกล้องไป ปั่นจักนยานไป คงมีความสุขไม่น้อย... ทางที่ดีเก็บกล้องใส่กระเป๋าก่อน แล้วค่อยปั่นจักรยาน จะดีที่สุด
![]()
![]()
![]()