????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

บอร์ดสำหรับ นักปั่นทัวร์ริ่ง นักปั่นระยะทางไกล พูดคุยเรื่องอุปกรณ์ เทคนิตการปั่น ที่พัก หรือการกินอยู่
กฏการใช้บอร์ด
บอร์ดสำหรับ นักปั่นทัวร์ริ่ง นักปั่นระยะทางไกล พูดคุยเรื่องอุปกรณ์ เทคนิตการปั่น ที่พัก หรือการกินอยู่
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4402
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D สวัสดีครับท่านผู้มีเกียรติและญาติธรรมที่เคารพรัก หลายวันมานี้ผมพยายามติดตามเรื่องราวของ โน้ส อุดม # อุดม แต้พานิช (ชื่อเล่น: อู๊ด)แต่รู้จักกันในชื่อ โน้ส มาจากคำว่า nose ที่แปลว่า จมูก เพราะเป็นฉายาที่เพื่อนตั้งให้แล้วเรียกกันจนติดปาก) เป็นศิลปิน คอมเมเดียน นักแสดง นักเขียน คนเขียนบท ทำงานศิลปะ และเป็นผู้ริเริ่มการแสดง "เดี่ยวไมโครโฟน" (Stand Up Comedy) หรือการแสดงตลกคนเดียวบนเวทีในประเทศไทย [Cr.wikipedia] :idea: :idea:

:( :( โดยส่วนตัวผมแล้วรู้สึกได้ "ตะหงิด ๆ " ในใจนิด ๆ เนื่องจากความที่เรารักและเทอดทูนพ่อหลวง ร.๙ ของเราเสมอด้วยชีวิต คือตายแทนพระองค์ท่านได้ทุกเมื่อ....แต่ก็ชอบนะ ขำดีครับ สนุกสนาน..ตามประสาตลก เมื่อทัวร์มาลงที่โน้ส เป็นธรรมดาที่เราก็ต้องเห็นและรู้สึกได้..ว่า...หนักนะ...อยากจะบอกถึงโน้สว่า...ถ้าไม่ได้ตั้งใจจะพาดพิงถึงพระองค์ท่านจริง ๆ ให้ตั้งโต๊ะบูชาขอขมาต่อพระองค์ท่านเสีย เรื่องร้าย ๆ จะเปลี่ยนไปดีได้ครับ และผมได้เห็นข้อคิดข้อเขียนในเพ็จ Moneyland.biz เห็นว่าเป็นประโยชน์มาก ขอก๊อปปี้มาให้ได้ศึกษาหาความรู้กันครับ
:) :D

:idea: :idea: จากกรณีที่คุณโน้ส อุดมเล่นมุกโดยมีการเอาคำว่าพอเพียงมาเล่น ทำไมถึงสร้างความโกรธเคืองไม่พอใจให้กับผู้ใหญ่หลายๆคนในบ้านเมือง

ใครมาแตะคำว่า “พอเพียง” ไม่ได้เลยเหรอ?

ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ได้ดูเดี่ยวสเปเชียลแล้ว และก็ขำสนุกพี่โน้สทั้งรายการ แต่ต้องยอมรับว่าคำว่าพอเพียง ก็ทำให้ผมไม่สบายใจเช่นกัน ที่มันไม่สบายใจนั้น ไม่ใช่ว่าแตะคำ ๆ นี้ไม่ได้ จริง ๆ คนทั้งโลกควรแตะคำ ๆ นี้ให้มากด้วยซ้ำ (เดี๋ยวจะอธิบายต่อไปว่าทำไม)

ประเด็นคือเพราะพี่ใช้คำว่า พอเพียง มาเอาฮาโดยใช้ความหมายของคำนี้แบบผิดๆ ซึ่งผลกระทบจากการใช้แบบผิดๆ ของพี่ มันไม่ใช่แค่ขำแล้วจบ มันมีอิทธิพลต่อคนที่ได้ดูด้วยความไม่เข้าใจไปไกลกว่านั้น

นอกจากนี้ คำนี้ก็เป็นคำที่คนไทยรู้กันดีว่ามาจากคำสอนของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๙ มุกนี้ของพี่จึงไม่ต่างจากการออกมาประกาศกับคนทั้งประเทศว่า ที่พระองค์สอนไว้ ใครจะทำก็ทำไป ฉันทำไม่ได้ แล้วมันสามารถส่งผลชี้นำให้คนทั้งประเทศที่ยังไม่เข้าใจคิดตามได้ว่า ฉันก็ไม่จำเป็นต้องพอเพียง (ในแบบเข้าใจผิดๆ) เช่นกัน เพราะพี่โน้สเหมือนเป็นตัวแทนเสียงของคนในสังคมมาเป็นสิบปึแล้ว จากเดี่ยวของพี่ตั้งแต่เดี่ยว 1 ผมดูพี่ผมก็ขำ ไม่ได้โกรธ เพราะผมคิดในแง่ดีว่าพี่คงแค่คิดน้อยไป และเพราะไม่เข้าใจ คนเราพอไม่เข้าใจมันก็เอาไปใช้ผิดๆ โดยไม่ตั้งใจ แต่พี่ก็สมควรมากๆ ที่จะโดนตำหนิในเรื่องนี้ เพราะความคิดน้อยของพี่

เนื่องจาก ในหลวง ร.๙ ราชาผู้ทรงงานหนักที่สุดในโลก พยายามจะให้ประชาชนเข้าใจคำนี้ เพื่อการเติบโตที่แข็งแรงมั่นคงของคนไทยและทั้งประเทศ แต่ถูกพี่เอาคำนี้มา make joke เพราะไม่เข้าใจ แล้วก็ส่งผลกระทบต่อในทางทัศนคติต่อบรรดาคนที่ไม่เข้าใจที่ดูพี่เป็นสิบ ๆ ล้านคน ซึ่งต้องยอมรับว่าพี่โน๊สมีอิทธิพลต่อคนรุ่นนี้มากกว่าในหลวง ร.๙ ที่ทรงไม่อยู่แล้วแน่นอน

คน ๆ นึงทำงานหนักด้วยความเสียสละตลอดชีวิต เพื่อหวังให้ประชาชนของเขาเข้าใจคำ ๆ นี้ เพื่อตัวประชาชนเองและประเทศชาติ แต่คนอีกคนนึง เล่นมุกกับคำ ๆ นี้ 10 นาที ในวีดีโอที่คนดูได้ทั้งประเทศ แล้วสามารถส่งผลชี้นำวิธีคิดที่มีต่อคำ ๆ นี้ให้ถูกละเลยได้เลย เพราะมีพี่โน้สเป็นตัวอย่าง

คำว่า “พอเพียง” คือปรัชญาของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ประกอบไปด้วย 3 ห่วง 2 เงื่อนไข

3 ห่วง คือ พอประมาณ มีเหตุมีผล มีภูมิคุ้มกัน
2 เงื่อนไข คือ ความรู้ คุณธรรม

ถ้าเอาให้สรุปแบบสั้นที่สุดก็คือ ทางสายกลาง ต้องมีความรู้และคุณธรรมอยู่ด้วย

เราทำอะไร พอประมาณกับตัวของเรา มีเหตุผลที่สมเหตุผลในการทำ มีภูมิคุ้มกันหรืออาจเรียกว่ามีแผนสำรอง แต่เราจะไม่สามารถคิดทำ 3 อย่างนี้ได้ถูกต้องเลย ถ้าเราไม่มีความรู้ แต่ความรู้อย่างเดียว แล้วไม่มีคุณธรรม เราก็จะทำโดยไม่สนว่าสิ่งที่เราทำจะส่งผลกระทบต่อคนอื่นอย่างไร สิ่งที่เราทำให้ประโยชน์ต่อเราแต่ไปทำร้ายใครหรือไม่

หนึ่งในตัวอย่างง่ายๆคือ ถ้าทุกคนในโลกมีความพอเพียง (มี 3 ห่วง 2 เงื่อนไข) โลกจะไม่มาถึงปัญหาการสู้รบหรือปัญหาโลกร้อนอย่างทุกวันนี้ ทั้งภาคธุรกิจ และประชาชน ถ้าแคร์ว่า สิ่งที่เราทำ ส่งผลถึงชั้นบรรยากาศโลกอย่างไร สุดท้ายจะเกิดผลอย่างไร มากกว่าการสนแค่ผลประกอบการ การเอาชนะคู่แข่งทางธุรกิจ ความสุขสบายของตัวเอง ปัญหาโลกร้อนจะไม่เกิด เป็นต้น

ที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่มีสักคำพูดทึ่บอกว่าต้องอยู่อย่างจน ๆ ลำบาก ๆ หรือต้องอยู่ชนบท ไม่มีสักคำว่าให้ทำเกษตรกรรม ไม่มีคำไหนที่บอกว่า ห้ามรวย ถ้าเข้าใจคำว่าพอเพียง ไม่ว่าทำอาชีพอะไร ถ้าคน ๆ นั้นต้องการจะร่ำรวย เขาจะร่ำรวยได้แบบมั่นคงเสียอีก และจะไม่ทำร้ายใครเพื่อความร่ำรวยของตัวเอง ไม่ทำร้ายโลกเพื่อความร่ำรวยของตัวเอง คิดดูว่าถ้าทั้งโลกเป็นแบบนี้ โลกนี้จะน่าอยู่แค่ไหน

- MONEYLAND -

*ขออนุญาตนำคำอธิบายเพิ่มเติมในคอมเมนต์มาใส่ไว้ในโพสต์เพื่อให้คนที่เพิ่งได้มาอ่านทีความเข้าใจคำว่าพอเพียงมากขึ้นนะครับ คนที่ไม่เข้าใจ ก็จะบอกว่า คนบางคนมีไม่พอด้วยซ้ำ แล้วจะพอเพียงได้อย่างไร จริงๆแล้ว คนมีไม่พอที่เข้าใจความพอเพียง จะสามารถทำให้ตัวเองไม่ลำบากกว่าเดิม รวมทั้งสามารถใช้ความพอเพียงช่วยเป็นฐานในการถีบด้วยเองขึ้นมาให้มีมากขึ้นจนมีพอได้ด้วย

เช่น ตัวเองหาเงินได้วันละไม่ถึงร้อย ก็จะไม่เอาเงินไปใช้จ่ายอะไรที่ฟุ้งเฟ้อ ไม่มีเหตุผล ไม่เกินตัว และเมื่อเป็นได้อย่างนี้ ก็สามารถที่จะถีบตัวเองให้ขึ้นมามีพอ ได้ง่ายกว่าคนที่มีไม่พอ แต่เอาเงินไปซื้อเหล้า ซื้อของฟุ้งเฟ้อ ทั้งที่ตัวเองไม่มีศักยภาพที่จะทำแบบนั้น เช่นนั้น หากเข้าใจคำว่าพอเพียงตามที่ผมได้อธิบายไว้ จะเข้าใจได้ว่า ไม่ว่าจะรวยสักแค่ไหน หรืออยากจนสักแค่ไหน ก็สามารถมีความพอเพียงได้ เพราะพอเพียง คือการทำทุกอย่างในชีวิต (รวมทัังสร้างฐานะสร้างการเติบโต) ให้สอดคล้องตามอัตภาพของตัวเอง อย่างมีเหตุมึผล มีภูมิคุ้มกัน มีความรู้ มีคุณธรรม นั่นคือประโยชน์ของการมีความพอเพียง

และมีแต่คนที่ไม่เข้าใจเท่านั้นที่จะบอกว่า การที่ตนเองอยู่ชนบทไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครันไม่ได้ คือ ตนเองไม่พอเพียง เพราะการอยู่อย่างลำบากได้ อยู่อย่างจนได้ ไม่ใช่ความหมายของคำว่า พอเพียง ตามที่อธิบายไปแล้วข้างต้น และคนที่ไม่เข้าใจหลายคน เข้าใจว่าการหาเงินกับความพอเพียงเป็นสิ่งตรงกันข้ามกัน ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด ถ้าเข้าใจความพอเพียง จะเข้าใจครับว่าการเงินก็สามารถพอเพียงได้ จึงมีหลักปรัชญา “เศรษฐกิจ” พอเพียง ซึ่งเป็นเรื่องการเงินล้วนๆ

ยกตัวอย่าง การมีเงินสำรองฉุกเฉิน 6 เดือน ก็ถือเป็น ภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ห่วงของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การลงทุนขยายธุรกิจ ตามความพร้อมและศักยภาพของธุรกิจ และไม่ลงทุนเกินตัว นั่นคือ การรู้จักตน รู้จักประมาณตน และทำอย่างมีเหตุมีผล ซึ่งเป็น 2 ใน 3 ห่วง หลักปรัชญาฯ การขยายธุรกิจ โดยไม่ทำจนไปตัดทางทำมาหากินของพ่อค้าแม่ค้าตัวเล็กๆ คือการมีคุณธรรม ซึ่งเป็น 1 ใน 2 เงื่อนไขของหลักปรัชญาฯ การขยายธุรกิจ โดยมีการศึกษาก่อนจนมีความรู้มากพอที่จะใช้ในการขยายธุรกิจให้สำเร็จ ก็คือ 1 ใน 2 เงื่อนไขของหลักปรัชญาฯ

คำว่า “พอเพียง” เดี่ยวๆ มีความหมายเดียวกับคำว่า “พอเพียง” ใน “เศรษฐกิจพอเพียง” กล่าวคือเป็นการนำหลักคิดความพอเพียงมาใช้ในเศรษฐกิจหรือการเงิน

ศึกษาให้เข้าใจ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับการดำเนินชีวิตของเราครับ นี่คือสมบัติอันล้ำค่า ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทิ้งไว้ให้เราและโลกนี้

#โน้สอุดม #พอเพียง #moneyland #โน้สอุดม #พอเพียง #moneyland
:idea: :idea:
ไฟล์แนบ
คำสอนหลวงพ่อเรื่อง &quot;โลกธรรม ๘&quot; <br /><br />โลกธรรม ๘ ประการมีอะไรบ้าง ลูกและ หลานที่รัก จงอย่าเมาในโลกธรรม ๘ ประการ คือ <br /><br />๑.&quot;ลาภ&quot; ยังไม่เกิดขึ้น อย่าตะเกียกตะกายเกินไป อย่าเมาเกินไป อย่าลืมว่า &quot;คนตายแล้วน่ะแบกอะไรไปไม่ได้ แม้แต่ผมสักเส้นเดียวก็นำไปไม่ได้&quot; แต่ลาภสักการะจำเป็นจะต้องหา เพราะร่างกายต้องกินต้องใช้ แต่ก็หาด้วยความขยันหมั่นเพียร หาด้วยความซื่อสัตย์สุจริต คิดว่าภารกิจที่เรารับผิดชอบ มีอะไรบ้าง เราต้องทำตามนั้น เรียกว่า &quot;ทำตามหน้าที่ของเรา&quot; ลาภถ้าหามาได้ ควรทำลาภที่ได้มาด้วยความเหนื่อยยาก ให้เป็นประโยชน์แก่ตนเองและบุคคลอื่น ตามสมควรที่พึงแบ่งสรรปันส่วนได้ เพื่อเป็นการสร้างความสามัคคี เป็นการสร้างความรัก เพื่อความสุขใจของเรา <br /><br />๒.&quot;ลาภหมดไป&quot; ชื่อว่า เสื่อมลาภ เมื่อลาภมันต้องสลายตัวไปก็ต้องรู้ตัวว่า สิ่งเหล่านี้มันเป็นของธรรมดา เพราะเราหามาเพื่อใช้ ถ้ามันจำจะต้องเสียไปด้วยเหตุใดก็ตาม เป็นกฎของกรรม เราต้องยอมรับ ทำใจให้สบายว่า นี่มันเป็นของธรรมดา เมื่อมันหมดไปเราก็ต้องหามาใหม่ตามหน้าที่ อย่าสร้างความเสียใจให้เกิดขึ้นในลาภ &quot;ถ้าเราเมาในลาภเมื่อได้มาแล้ว แล้วก็เสียใจเมื่อลาภหมดไป เราก็เป็นคนเลว&quot;<br /><br /> ๓.&quot;ยศ&quot; เราทำความดี ย่อมมียศ ยศเขาแปลว่าอะไร พ่อไม่ทราบ พ่อก็ขอพูดตามภาษาของพ่อว่า &quot;ยศ&quot; คือการแต่งตั้ง ยกย่อง ส่งเสริม ที่บุคคลเขาเห็นว่าดี ถ้าเราดีเขาชอบใจ เขาก็ยกย่องสงเสริมว่าเราเป็นคนดี แต่ว่า ถ้าบังเอิญเขาเกิดไม่ชอบใจขึ้นมาเมื่อไร เขาก็ทำลายยศเสียได้เหมือนกัน <br /><br />๔.&quot;การถอดถอนยศฐาบรรดาศักดิ์&quot; ถอดการยกย่องสรรเสริญเชิดชูว่าเป็นคนมีศักดิ์ศรีดี นี่เรื่องของชาวโลกมันต้องมียศ ฉะนั้นเรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์ บรรดาลูกหลานที่รัก จงอย่าตะเกียกตะกายเข้ามาเพื่อตน แต่ความดีเราทำ ทำให้มันดีที่สุดตามธรรม ตามประเพณีนิยม หมายความว่า ประเพณีที่เขาใช้กันเป็นปกติ ที่ไหนก็ตาม อย่าฝืนประเพณีนิยมของถิ่นนั้น อีกประการหนึ่งอย่าฝืนศีลฝืนธรรม ฝืนกฎข้อบังคับ ฝืนกฎหมาย มันจะเป็นเหตุภัยให้เรามีความทุกข์ &quot;เขาจะยกย่องแต่งตั้งสรรเสริญเยินยอ ให้เรามียศชั้นไหน อย่าสนใจ&quot; คำว่า ไม่สนใจ หมายความว่า เขาให้แล้วก็รับ เป็นการสนองความดี แต่ว่าจงอย่าเมาในยศที่พึงได้ คิดว่าเราได้มาจากความดี ผลความดีที่เราต้องการช่วยตัวเรา ให้ผลตามนี้เราก็รับ ผลที่เราต้องการคือ วัตถุที่เราพึงได้มาในการครองชีพ นั่นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต &quot;ความสุขจริงๆ ก็คือ ใจที่มีความสงบ&quot; ถ้าบังเอิญยศฐาบรรดาศักดิ์ เราทำดีทุกอย่าง แต่ไม่เป็นที่พอใจของผู้ให้ &quot;เขาถอดถอนไป ก็โยนทิ้งให้เขาไป&quot; การตะเกียกตะกายอยากได้ลาภ มันเป็นความเลวของใจ การทะเยอทะยานอยากได้ยศฐาบรรดาศักดิ์มันก็เป็นความเลวของใจเหมือนกัน &quot;ถ้าลาภหมดไป ยศหมดไป เสียใจ ก็เป็นความเลวของใจ&quot; จงจำไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นโลกธรรม วางมันเสีย &quot;ทำงานตามหน้าที่ของตน&quot; <br /><br />๕ และ ๖ &quot;นินทากับสรรเสริญ&quot; ก็เหมือนกัน อย่ามีในวงการของเรา คือ ใครเขานินทาอย่าสะเทือนใจ อย่าสนใจ &quot;แม้แต่พระพุทธเจ้าถูกนินทาถูกด่ายิ่งกว่าเราเยอะ&quot; ท่านก็เป็นพระพุทธเจ้าอยู่ได้ &quot;แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เหมือนกัน&quot; พระองค์ทรงเมตตาอย่างยิ่งไปทุกแห่งหน ต้องการให้ประชาชนมีความสุข แต่ข่าวนินทาว่าร้ายก็ยังมีเป็นปกติ &quot;ใครจะว่าท่านอย่างไร จะนินทา จะด่าว่าท่านอย่างไรก็ตาม ท่านก็เฉย ท่านทรงวางพระทัยได้ดีมาก&quot; และท่านก็ทำทุกอย่างเพื่อความดี เพื่อความอยู่เป็นสุขของประชาชน เราพยายามมองตัวของเราเองอยู่เสมอ ว่าเรามันดีหรือมันชั่ว การนินทาสรรเสริญ มันเป็นความเลวของปาก &quot;เขานินทาเรามา เรานินทาเขาไป ก็เหมือนกับสุนัขมันเห่าเรา เราก็เห่าสุนัขตอบ สุนัขมันกัดเรา เราก็กัดสุนัข ก็เสร็จ อุจจาระมันเปื้อนเรา เรากัดอุจจาระ มันก็พัง&quot; <br /><br />๗ กับ ๘ &quot;ความสุขและความทุกข์&quot; ในโลกนี้อย่าสนใจ จงสนใจอย่างเดียว &quot;ธรรมมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า&quot; ที่ทรงสอนให้เรามีความสุข เราทำทุกอย่าง &quot;โลกนี้มันจะสุขหรือจะทุกข์ก็เป็นเรื่องของมัน ร่างกายของเราจะอยู่ในโลกนี้ไม่กี่วันมันก็พัง&quot; ฉะนั้นในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านปรินิพพานไปแล้ว ร่างกายของท่านพัง ท่านบอกว่า ท่านมีความสุข พระอรหันต์ทั้งหลาย ร่างกายของท่านพัง ท่านก็บอกว่า ท่านมีความสุข เราก็พยายามสุขอย่างท่านบ้าง ท่านทำอย่างไรเราก็ทำอย่างนั้น ค่อยๆ ทำไป <br /><br />ขอสรุปว่า ข่าวคราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ถือว่าเป็นธรรมดาของโลก เราจงโทษกฎของกรรมว่า กรรมที่เรามีความโง่เกิดมาในโลกนี้แล้ว มันจะทำความโง่ไม่ได้อย่างไร ผลของความโง่ ก็คือ ความชั่วของจิต เราเกิดมาในโลกนี้ โลกที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อน ความร้อนมันก็ถูกเรา แต่ว่าให้มันถูกแต่กาย &quot;ข่าวมีมาให้มันกระทบแต่เฉพาะหู อย่าให้มันเข้าไปถึงใจ&quot; ใจของเราทำอย่างไร &quot;อุเบกขา วางเฉยเข้าไว้&quot; เรามีเมตตาในคนให้ข่าว ว่าคนที่ออกข่าวไป น่าสงสารไม่กี่วันท่านก็ตายแล้ว ทำไมท่านสร้างความชั่วให้เป็นความเดือดร้อนของท่าน ข้อนี้สำคัญ จงจำไว้ว่า &quot;จงอย่าคิดว่าเราดีไว้เสมอ อัตตนา โจทยัตตานัง&quot; จงกล่าวโทษโจทความผิด มองดูความบกพร่องของจิต ว่าจิตเราบกพร่องตรงไหน พยายามแก้ไขไปสู่ระดับความดี &quot;ความดีอย่างนี้ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการ&quot; .. <br /><br />(พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน) ที่มาจาก.. พ่อสอนลูก เล่ม ๒ หน้าที่ ๒๖๕-๒๖๘
คำสอนหลวงพ่อเรื่อง "โลกธรรม ๘"

โลกธรรม ๘ ประการมีอะไรบ้าง ลูกและ หลานที่รัก จงอย่าเมาในโลกธรรม ๘ ประการ คือ

๑."ลาภ" ยังไม่เกิดขึ้น อย่าตะเกียกตะกายเกินไป อย่าเมาเกินไป อย่าลืมว่า "คนตายแล้วน่ะแบกอะไรไปไม่ได้ แม้แต่ผมสักเส้นเดียวก็นำไปไม่ได้" แต่ลาภสักการะจำเป็นจะต้องหา เพราะร่างกายต้องกินต้องใช้ แต่ก็หาด้วยความขยันหมั่นเพียร หาด้วยความซื่อสัตย์สุจริต คิดว่าภารกิจที่เรารับผิดชอบ มีอะไรบ้าง เราต้องทำตามนั้น เรียกว่า "ทำตามหน้าที่ของเรา" ลาภถ้าหามาได้ ควรทำลาภที่ได้มาด้วยความเหนื่อยยาก ให้เป็นประโยชน์แก่ตนเองและบุคคลอื่น ตามสมควรที่พึงแบ่งสรรปันส่วนได้ เพื่อเป็นการสร้างความสามัคคี เป็นการสร้างความรัก เพื่อความสุขใจของเรา

๒."ลาภหมดไป" ชื่อว่า เสื่อมลาภ เมื่อลาภมันต้องสลายตัวไปก็ต้องรู้ตัวว่า สิ่งเหล่านี้มันเป็นของธรรมดา เพราะเราหามาเพื่อใช้ ถ้ามันจำจะต้องเสียไปด้วยเหตุใดก็ตาม เป็นกฎของกรรม เราต้องยอมรับ ทำใจให้สบายว่า นี่มันเป็นของธรรมดา เมื่อมันหมดไปเราก็ต้องหามาใหม่ตามหน้าที่ อย่าสร้างความเสียใจให้เกิดขึ้นในลาภ "ถ้าเราเมาในลาภเมื่อได้มาแล้ว แล้วก็เสียใจเมื่อลาภหมดไป เราก็เป็นคนเลว"

๓."ยศ" เราทำความดี ย่อมมียศ ยศเขาแปลว่าอะไร พ่อไม่ทราบ พ่อก็ขอพูดตามภาษาของพ่อว่า "ยศ" คือการแต่งตั้ง ยกย่อง ส่งเสริม ที่บุคคลเขาเห็นว่าดี ถ้าเราดีเขาชอบใจ เขาก็ยกย่องสงเสริมว่าเราเป็นคนดี แต่ว่า ถ้าบังเอิญเขาเกิดไม่ชอบใจขึ้นมาเมื่อไร เขาก็ทำลายยศเสียได้เหมือนกัน

๔."การถอดถอนยศฐาบรรดาศักดิ์" ถอดการยกย่องสรรเสริญเชิดชูว่าเป็นคนมีศักดิ์ศรีดี นี่เรื่องของชาวโลกมันต้องมียศ ฉะนั้นเรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์ บรรดาลูกหลานที่รัก จงอย่าตะเกียกตะกายเข้ามาเพื่อตน แต่ความดีเราทำ ทำให้มันดีที่สุดตามธรรม ตามประเพณีนิยม หมายความว่า ประเพณีที่เขาใช้กันเป็นปกติ ที่ไหนก็ตาม อย่าฝืนประเพณีนิยมของถิ่นนั้น อีกประการหนึ่งอย่าฝืนศีลฝืนธรรม ฝืนกฎข้อบังคับ ฝืนกฎหมาย มันจะเป็นเหตุภัยให้เรามีความทุกข์ "เขาจะยกย่องแต่งตั้งสรรเสริญเยินยอ ให้เรามียศชั้นไหน อย่าสนใจ" คำว่า ไม่สนใจ หมายความว่า เขาให้แล้วก็รับ เป็นการสนองความดี แต่ว่าจงอย่าเมาในยศที่พึงได้ คิดว่าเราได้มาจากความดี ผลความดีที่เราต้องการช่วยตัวเรา ให้ผลตามนี้เราก็รับ ผลที่เราต้องการคือ วัตถุที่เราพึงได้มาในการครองชีพ นั่นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต "ความสุขจริงๆ ก็คือ ใจที่มีความสงบ" ถ้าบังเอิญยศฐาบรรดาศักดิ์ เราทำดีทุกอย่าง แต่ไม่เป็นที่พอใจของผู้ให้ "เขาถอดถอนไป ก็โยนทิ้งให้เขาไป" การตะเกียกตะกายอยากได้ลาภ มันเป็นความเลวของใจ การทะเยอทะยานอยากได้ยศฐาบรรดาศักดิ์มันก็เป็นความเลวของใจเหมือนกัน "ถ้าลาภหมดไป ยศหมดไป เสียใจ ก็เป็นความเลวของใจ" จงจำไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นโลกธรรม วางมันเสีย "ทำงานตามหน้าที่ของตน"

๕ และ ๖ "นินทากับสรรเสริญ" ก็เหมือนกัน อย่ามีในวงการของเรา คือ ใครเขานินทาอย่าสะเทือนใจ อย่าสนใจ "แม้แต่พระพุทธเจ้าถูกนินทาถูกด่ายิ่งกว่าเราเยอะ" ท่านก็เป็นพระพุทธเจ้าอยู่ได้ "แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เหมือนกัน" พระองค์ทรงเมตตาอย่างยิ่งไปทุกแห่งหน ต้องการให้ประชาชนมีความสุข แต่ข่าวนินทาว่าร้ายก็ยังมีเป็นปกติ "ใครจะว่าท่านอย่างไร จะนินทา จะด่าว่าท่านอย่างไรก็ตาม ท่านก็เฉย ท่านทรงวางพระทัยได้ดีมาก" และท่านก็ทำทุกอย่างเพื่อความดี เพื่อความอยู่เป็นสุขของประชาชน เราพยายามมองตัวของเราเองอยู่เสมอ ว่าเรามันดีหรือมันชั่ว การนินทาสรรเสริญ มันเป็นความเลวของปาก "เขานินทาเรามา เรานินทาเขาไป ก็เหมือนกับสุนัขมันเห่าเรา เราก็เห่าสุนัขตอบ สุนัขมันกัดเรา เราก็กัดสุนัข ก็เสร็จ อุจจาระมันเปื้อนเรา เรากัดอุจจาระ มันก็พัง"

๗ กับ ๘ "ความสุขและความทุกข์" ในโลกนี้อย่าสนใจ จงสนใจอย่างเดียว "ธรรมมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ที่ทรงสอนให้เรามีความสุข เราทำทุกอย่าง "โลกนี้มันจะสุขหรือจะทุกข์ก็เป็นเรื่องของมัน ร่างกายของเราจะอยู่ในโลกนี้ไม่กี่วันมันก็พัง" ฉะนั้นในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านปรินิพพานไปแล้ว ร่างกายของท่านพัง ท่านบอกว่า ท่านมีความสุข พระอรหันต์ทั้งหลาย ร่างกายของท่านพัง ท่านก็บอกว่า ท่านมีความสุข เราก็พยายามสุขอย่างท่านบ้าง ท่านทำอย่างไรเราก็ทำอย่างนั้น ค่อยๆ ทำไป

ขอสรุปว่า ข่าวคราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ถือว่าเป็นธรรมดาของโลก เราจงโทษกฎของกรรมว่า กรรมที่เรามีความโง่เกิดมาในโลกนี้แล้ว มันจะทำความโง่ไม่ได้อย่างไร ผลของความโง่ ก็คือ ความชั่วของจิต เราเกิดมาในโลกนี้ โลกที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อน ความร้อนมันก็ถูกเรา แต่ว่าให้มันถูกแต่กาย "ข่าวมีมาให้มันกระทบแต่เฉพาะหู อย่าให้มันเข้าไปถึงใจ" ใจของเราทำอย่างไร "อุเบกขา วางเฉยเข้าไว้" เรามีเมตตาในคนให้ข่าว ว่าคนที่ออกข่าวไป น่าสงสารไม่กี่วันท่านก็ตายแล้ว ทำไมท่านสร้างความชั่วให้เป็นความเดือดร้อนของท่าน ข้อนี้สำคัญ จงจำไว้ว่า "จงอย่าคิดว่าเราดีไว้เสมอ อัตตนา โจทยัตตานัง" จงกล่าวโทษโจทความผิด มองดูความบกพร่องของจิต ว่าจิตเราบกพร่องตรงไหน พยายามแก้ไขไปสู่ระดับความดี "ความดีอย่างนี้ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการ" ..

(พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน) ที่มาจาก.. พ่อสอนลูก เล่ม ๒ หน้าที่ ๒๖๕-๒๖๘
433930213_386732707653151_465314528177938113_n.jpg (20.96 KiB) เข้าดูแล้ว 1443 ครั้ง
434020163_769417725286050_7785073364404913760_n.jpg
434020163_769417725286050_7785073364404913760_n.jpg (40.93 KiB) เข้าดูแล้ว 1443 ครั้ง
ก่อนออกปั่นทุกเช้าคุณย่าของชายปุรณ์ ฯ ก็จะให้ชายปุรณ์ ฯ เตรียมขนม นม เนย อาหาร ฯ ตามแต่เขาจะประสงค์ เพื่อใส่บาตรพระอย่างน้อย ๆ ก็ได้สร้างบุญบารมีติดตัวตามแนวทางของชาวพุทธที่ดี (ฝึกจิต ฝึกกาย ไปพร้อมกัน)
ก่อนออกปั่นทุกเช้าคุณย่าของชายปุรณ์ ฯ ก็จะให้ชายปุรณ์ ฯ เตรียมขนม นม เนย อาหาร ฯ ตามแต่เขาจะประสงค์ เพื่อใส่บาตรพระอย่างน้อย ๆ ก็ได้สร้างบุญบารมีติดตัวตามแนวทางของชาวพุทธที่ดี (ฝึกจิต ฝึกกาย ไปพร้อมกัน)
คุณย่าแวะซื้อซาละเปาของโปรดเป็นเสบียงกันไว้ หากเกิดอาการ หิว (ผู้หญิงจะรอบคอบเสมอ ๆ ) ซึ่งเป็นไปตามคาดเช้าวันนั้นก็ได้อาหารที่คุณนายเตรียมให้เรียกมีความสุข (ท้องอิ่ม) มีแรงปั่นกันต่อไปได้ งานนี้เรียกว่า ได้ทั้งบุญ ได้ทั้งแรง ๕๕๕ สุดยอด
คุณย่าแวะซื้อซาละเปาของโปรดเป็นเสบียงกันไว้ หากเกิดอาการ หิว (ผู้หญิงจะรอบคอบเสมอ ๆ ) ซึ่งเป็นไปตามคาดเช้าวันนั้นก็ได้อาหารที่คุณนายเตรียมให้เรียกมีความสุข (ท้องอิ่ม) มีแรงปั่นกันต่อไปได้ งานนี้เรียกว่า ได้ทั้งบุญ ได้ทั้งแรง ๕๕๕ สุดยอด
cats๒๕.jpg (125.47 KiB) เข้าดูแล้ว 1443 ครั้ง
cats๒๖.JPG
cats๒๖.JPG (63.87 KiB) เข้าดูแล้ว 1443 ครั้ง
cats๒๗.JPG
cats๒๗.JPG (54.35 KiB) เข้าดูแล้ว 1443 ครั้ง
cats๒๘.JPG
cats๒๘.JPG (99.62 KiB) เข้าดูแล้ว 1443 ครั้ง
cats๒๙.JPG
cats๓๐.๑.jpg
cats๓๐.jpg
cats๓๐.jpg (145.3 KiB) เข้าดูแล้ว 1443 ครั้ง
cats๓๑.jpg
cats๓๒.jpg
cats๓๓.jpg
เมื่อ ๔ พ.ค.๖๗ เช้าขึ้นมาชายปุรณ์ ฯ ก็กระปรี้กระเปร่าต้องการออกกำลังด้วยการปั่นจักรยาน(ปู่..ดีใจมาก) บอกวันนี้เราจะเพิ่มระยะทางอีกสักนิดโอเค ? ชายปุรณ์ ฯ ไม่ลังเลตอบตกลง เราจึงวางแผนปั่นไปถวายอาหารเช้าหลวงอาที่วัดศรีดอนชัย ไป - กลับ ประมาณ ๑๕ กม. ติดตามนะครับว่าชายปุรณ์ ฯ จะมีอาการอย่างไร สำหรับวันนั้นก็มีประสบการณ์เล็ก ๆ ให้ชายปุรณ์ ฯ ได้สัมผัสคือจักรยานล้มครับ แต่ยังไม่ใช่การล้มขณะปั่น จึงเป็นแบบเรียนอีกหนึ่งบทที่เราได้สอดแทรกให้  <br /><br />ประวัติ : บ้านศรีดอนชัยมีประวัติการตั้งถิ่นฐานมาประมาณ ปี พ.ศ. 2349 เป็นหมู่บ้านขนาดเล็กมีครัวเรือน จำนวน 15 –30 ครอบครัว จากคำบอกเล่าของผู้ใหญ่บ้านและผู้อาวุโสในหมู่บ้านได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับประวัติในหมู่บ้านศรีดอนชัยว่าในสมัยก่อนอุ้ยเฮือง จากหมู่บ้านสันป่าเลียง จังหวัดเชียงใหม่ เดินทางขี่ช้างมาบริเวณที่ตั้งของหมู่บ้านพร้อมผู้ติดตาม สังเกตเห็นพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นที่ดอน น้ำท่วมไม่ถึงเหมาะแก่การสร้างที่พัก จึงได้จัดทำห้างร้านเพื่อพักอาศัยชั่วคราว ต่อมาได้มีชาวบ้าน ที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำกวง ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มมีน้ำท่วมเห็นว่า บริเวณที่ตั้งของหมู่บ้านน้ำท่วมไม่ถึง  จึงอพยพมาอยู่บริเวณดังกล่าว จึงเกิดเป็นชุมชนหมู่บ้านและได้เรียกชื่อหมู่บ้านในยุคนั้นว่า “บ้านสันดอนใจ”บ้างก็เรียกว่า“สลีดอนชัย”และต่อมาได้มีชื่อหมู่บ้านอย่างเป็นทางการว่า “หมู่บ้านศรีดอนชัย หมู่ที่ 8 ตำบลบ้านธิ  อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน” ซึ่งประกอบด้วยป๊อกบ้านดังนี้ ป๊อกบ้านใหม่กู่ป่าลาน ป๊อกสันมะนะ  ป๊อกสันขวาง  ป๊อกสันใจ ป๊อกหัวนา ป๊อกบวกป้าน โดยคนในชุมชนส่วนใหญ่เป็นคนพื้นเมือง พูดภาษาคำเมืองและมีนามสกุลหลักคือ “สมบูรณ์ชัย”<br /><br />ต่อมาจำนวนประชากรของหมู่บ้านมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทางผู้นำชุมชนและคณะกรรมการหมู่บ้าน  จึงได้มีการประชุมประชาคมหมู่บ้าน  เพื่อแบ่งเขตการปกครองเป็น 2 หมู่บ้าน  ดังนั้นในปี พ.ศ. 2517 จึงได้รับการแบ่งเขตการปกครองหมู่บ้านเป็น 2 หมู่บ้าน คือ บ้านศรีดอนชัย หมู่ที่ 8 และบ้านสันมะนะ หมู่ที่ 10  ตำบลบ้านธิ  อำเภอบ้านธิ  จังหวัดลำพูน<br /><br />วัดศรีดอนชัย เป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปปางลีลาสูง 59 ศอก ที่สูงและใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ สร้างขึ้นจากศรัทธาของประชาชนชาวไทยและชาวต่างประเทศที่เลื่อมใสศรัทธาปี พ.ศ. 2538 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองราชย์เป็นปีที่ 50 และพระองค์ทรงพระราชทานนามว่า พระพุทธเฉลิมสิริราช<br /><br />วัดศรีดอนชัย ตั้งอยู่บ้านสันมะนะ หมู่ที่ 10 ตำบลบ้านธิ สามารถเดินทางไปตามทางหลวงหมายเลข 11 จนถึงสี่แยกหมู่บ้านครูลำพูน เลี้ยวขวาเขาไปประมาณ 1 กิโลเมตร เลี้ยวซ้าย ไปอีก 2.5 กิโลเมตร ให้เลี้ยวซ้ายอีกครั้ง วัดจะอยู่ทางซ้ายมือ<br /><br />ที่ตั้ง : ตำบลบ้านธิ อ.บ้านธิ จังหวัดลำพูน
เมื่อ ๔ พ.ค.๖๗ เช้าขึ้นมาชายปุรณ์ ฯ ก็กระปรี้กระเปร่าต้องการออกกำลังด้วยการปั่นจักรยาน(ปู่..ดีใจมาก) บอกวันนี้เราจะเพิ่มระยะทางอีกสักนิดโอเค ? ชายปุรณ์ ฯ ไม่ลังเลตอบตกลง เราจึงวางแผนปั่นไปถวายอาหารเช้าหลวงอาที่วัดศรีดอนชัย ไป - กลับ ประมาณ ๑๕ กม. ติดตามนะครับว่าชายปุรณ์ ฯ จะมีอาการอย่างไร สำหรับวันนั้นก็มีประสบการณ์เล็ก ๆ ให้ชายปุรณ์ ฯ ได้สัมผัสคือจักรยานล้มครับ แต่ยังไม่ใช่การล้มขณะปั่น จึงเป็นแบบเรียนอีกหนึ่งบทที่เราได้สอดแทรกให้

ประวัติ : บ้านศรีดอนชัยมีประวัติการตั้งถิ่นฐานมาประมาณ ปี พ.ศ. 2349 เป็นหมู่บ้านขนาดเล็กมีครัวเรือน จำนวน 15 –30 ครอบครัว จากคำบอกเล่าของผู้ใหญ่บ้านและผู้อาวุโสในหมู่บ้านได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับประวัติในหมู่บ้านศรีดอนชัยว่าในสมัยก่อนอุ้ยเฮือง จากหมู่บ้านสันป่าเลียง จังหวัดเชียงใหม่ เดินทางขี่ช้างมาบริเวณที่ตั้งของหมู่บ้านพร้อมผู้ติดตาม สังเกตเห็นพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นที่ดอน น้ำท่วมไม่ถึงเหมาะแก่การสร้างที่พัก จึงได้จัดทำห้างร้านเพื่อพักอาศัยชั่วคราว ต่อมาได้มีชาวบ้าน ที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำกวง ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มมีน้ำท่วมเห็นว่า บริเวณที่ตั้งของหมู่บ้านน้ำท่วมไม่ถึง จึงอพยพมาอยู่บริเวณดังกล่าว จึงเกิดเป็นชุมชนหมู่บ้านและได้เรียกชื่อหมู่บ้านในยุคนั้นว่า “บ้านสันดอนใจ”บ้างก็เรียกว่า“สลีดอนชัย”และต่อมาได้มีชื่อหมู่บ้านอย่างเป็นทางการว่า “หมู่บ้านศรีดอนชัย หมู่ที่ 8 ตำบลบ้านธิ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน” ซึ่งประกอบด้วยป๊อกบ้านดังนี้ ป๊อกบ้านใหม่กู่ป่าลาน ป๊อกสันมะนะ ป๊อกสันขวาง ป๊อกสันใจ ป๊อกหัวนา ป๊อกบวกป้าน โดยคนในชุมชนส่วนใหญ่เป็นคนพื้นเมือง พูดภาษาคำเมืองและมีนามสกุลหลักคือ “สมบูรณ์ชัย”

ต่อมาจำนวนประชากรของหมู่บ้านมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทางผู้นำชุมชนและคณะกรรมการหมู่บ้าน จึงได้มีการประชุมประชาคมหมู่บ้าน เพื่อแบ่งเขตการปกครองเป็น 2 หมู่บ้าน ดังนั้นในปี พ.ศ. 2517 จึงได้รับการแบ่งเขตการปกครองหมู่บ้านเป็น 2 หมู่บ้าน คือ บ้านศรีดอนชัย หมู่ที่ 8 และบ้านสันมะนะ หมู่ที่ 10 ตำบลบ้านธิ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน

วัดศรีดอนชัย เป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปปางลีลาสูง 59 ศอก ที่สูงและใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ สร้างขึ้นจากศรัทธาของประชาชนชาวไทยและชาวต่างประเทศที่เลื่อมใสศรัทธาปี พ.ศ. 2538 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองราชย์เป็นปีที่ 50 และพระองค์ทรงพระราชทานนามว่า พระพุทธเฉลิมสิริราช

วัดศรีดอนชัย ตั้งอยู่บ้านสันมะนะ หมู่ที่ 10 ตำบลบ้านธิ สามารถเดินทางไปตามทางหลวงหมายเลข 11 จนถึงสี่แยกหมู่บ้านครูลำพูน เลี้ยวขวาเขาไปประมาณ 1 กิโลเมตร เลี้ยวซ้าย ไปอีก 2.5 กิโลเมตร ให้เลี้ยวซ้ายอีกครั้ง วัดจะอยู่ทางซ้ายมือ

ที่ตั้ง : ตำบลบ้านธิ อ.บ้านธิ จังหวัดลำพูน
cats๓๔.JPG (110.93 KiB) เข้าดูแล้ว 1443 ครั้ง
แก้ไขล่าสุดโดย Deang-sarapee เมื่อ 16 พ.ค. 2024, 08:16, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4402
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »


:) :D วัดศรีดอนชัย :) :D

:idea: :idea: 2024 ปีแห่งผู้อาวุโส!!! . สิ่งที่ต้องทำตั้งแต่วันพรุ่งนี้

หมั่นตรวจวัด : 1. ค่าความดันโลหิต 2. ค่าน้ำตาล 3. ค่า 𝒕𝒓𝒊𝒈𝒍𝒚𝒄𝒆𝒓𝒊𝒅𝒆𝒔 4. ค่า 𝒄𝒉𝒐𝒍𝒆𝒔𝒕𝒆𝒓𝒐𝒍 .

ทานให้น้อยที่สุด : 1. เกลือ 2. น้ำตาล 3. แป้งขัดขาว 4. ผลิตภัณฑ์จากนม 5. ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป .

𝑭𝑶𝑶𝑫 𝑵𝑬𝑬𝑫𝑬𝑫:𝑫 𝑵𝑬𝑬𝑫𝑬𝑫:* 1. ผัก 2. ธัญญพืช 3. ถั่วทุกชนิด 4. ไข่ 5. น้ำมันสกัดเย็น (มะพร้าว, มะกอก) 6. ผลไม้ .

และควรลืม 3 สิ่งนี้ : 1. อายุ 2. อดีต 3. คำตำหนิ-ติเตียน-นินทา .

และสิ่งสำคัญที่ต้องรักษาเอาไว้ : 1. ครอบครัว 2. เพื่อนที่ดี 3. การคิดบวก 4. บ้านที่สะอาดและอบอุ่น .

และ 3 สิ่งพื้นฐานที่ต้องยอมรับ : 1. ยิ้มและหัวเราะเสมอ 2. ออกกำลังเป็นประจำ 3. ควบคุมน้ำหนัก .

และะ 6 สิ่งที่ต้องอยู่ในวิถีชีวิต : 1. อย่ารอจนกระหายน้ำแล้วจึงดื่มน้ำ 2. อย่ารอจนเหนื่อยแล้วจึงพัก 3. อย่ารอจนป่วยแล้วจึงหาหมอ 4. อย่ารอจนให้มีปาฏิหาริย์แล้วจึงเชื่อในศาสนา 5. อย่าได้เสียความมั่นใจในตนเอง 6. คิดบวกและเชื่อมั่นว่าพรุ่งนี้ต้องดีกว่าเสมอ .

ช่วยกันส่งให้ผู้ที่เรารู้จักในวัย 50-90 ปี . ขอให้ผู้อาวุโสมีความสุขในปี 2024 และตลอดไป..
:idea: :idea:


:) :D doo dee dee 10 : ปั่นพาเที่ยว "วัดศรีดอนชัย พระพุทธรูปเฉลิมสิริ" อ.บ้านธิ ลำพูน :) :D
ไฟล์แนบ
14 พ.ค.2567 ********* รู้สึกเสทือนใจ ********** # คุณย่าจับมือคุณปู่ วัย 92 ปีก่อนสิ้นใจ แล้วพูดว่า &quot;รอฉันก่อนนะ , เดี๋ยวอีกไม่นานฉันจะตามไป&quot; ******* # ยศถาบรรดาศักดิ์ คือ สิ่งสมมุติ ***** # เกิด แก่ เจ็บ ตาย คือ สัจธรรม *****
14 พ.ค.2567 ********* รู้สึกเสทือนใจ ********** # คุณย่าจับมือคุณปู่ วัย 92 ปีก่อนสิ้นใจ แล้วพูดว่า "รอฉันก่อนนะ , เดี๋ยวอีกไม่นานฉันจะตามไป" ******* # ยศถาบรรดาศักดิ์ คือ สิ่งสมมุติ ***** # เกิด แก่ เจ็บ ตาย คือ สัจธรรม *****
441039255_1144206283672791_7882290281539481282_n.jpg (67.08 KiB) เข้าดูแล้ว 1437 ครั้ง
cats๓๕.jpg
cats๓๖.jpg
อาการเจ็บก้นแน่ ๆ ปู่..แข็งใจไม่สอบถาม ปล่อยให้เขาแสดงความรู้สึก ปรากฏเด็กน้อยอดทนจริง ๆ ไม่ยอมปริปาก แต่ตั้งใจปั่นนัยว่าคงอยากให้ถึงสักที...ปู่..ก็เลยสอนให้รู้การผ่อนความเจ็บโดยให้ยกก้นขึ้นให้อากาศได้ผ่านกางเกง อาการเจ็บจะบรรเทา เด็กน้อยรีบทำตาม...ได้ผล ๕๕๕ ทุก ๆ การปั่น ๑ นาที เด็กน้อยจะยกก้นขึ้นพักครั้งหนึ่ง ถือว่า...สอบผ่าน
อาการเจ็บก้นแน่ ๆ ปู่..แข็งใจไม่สอบถาม ปล่อยให้เขาแสดงความรู้สึก ปรากฏเด็กน้อยอดทนจริง ๆ ไม่ยอมปริปาก แต่ตั้งใจปั่นนัยว่าคงอยากให้ถึงสักที...ปู่..ก็เลยสอนให้รู้การผ่อนความเจ็บโดยให้ยกก้นขึ้นให้อากาศได้ผ่านกางเกง อาการเจ็บจะบรรเทา เด็กน้อยรีบทำตาม...ได้ผล ๕๕๕ ทุก ๆ การปั่น ๑ นาที เด็กน้อยจะยกก้นขึ้นพักครั้งหนึ่ง ถือว่า...สอบผ่าน
cats๓๗.jpg (131.12 KiB) เข้าดูแล้ว 1437 ครั้ง
cats๓๘.jpg
ในที่สุดการซ้อมปั่นวันที่ ๔ พ.ค.๖๗ ก็บรรลุเป้าหมาย...เกินคาด ได้จำนวนระยะทางถึง ๑๖ กม.ฝึกปั่นไม่นานสามารถปั่นได้ขนาดนี้เชื่อว่า ถ้าใจสู้และรักจริง อนาคตออกทัวร์กับ ปู่ - ย่า ได้สบาย ๆ ถึงบ้านสนทนากันถึงความรู้สึก ดีใจที่น้องตอบ เขา Happy มาก แม้จะเหนื่อยก็ไม่มาก สนุก และยังสู้ไหว เราก็คุยกันว่าอีกไม่นานเราจะไปให้ถึงที่ ๒๐ - ๒๕ กม. ถ้าถึงระดับนั้นแล้วจะพาออกทัวร์จริง ๆ ไปจังหวัดต่าง ๆ ที่หนูน้อยสนใจ เขามีเป้าหมายหลาย ๆ ที่ ๆ อยากไป ติดตามนะครับอีกไม่นานท่านจะได้เห็นชายปุรณ์ ฯ ออกทริปต่างจังหวัด ส่วนจะเป็นที่ไหนอย่างไร ไปแล้วก็จะมารีวิวให้ได้ชมกันครับ ช่วงนี้เป็นเวลาของการซักซ้อมและฝึกทักษะ ขอขอบคุณที่ติดตามนะครับ สาธุ สาธุ.
ในที่สุดการซ้อมปั่นวันที่ ๔ พ.ค.๖๗ ก็บรรลุเป้าหมาย...เกินคาด ได้จำนวนระยะทางถึง ๑๖ กม.ฝึกปั่นไม่นานสามารถปั่นได้ขนาดนี้เชื่อว่า ถ้าใจสู้และรักจริง อนาคตออกทัวร์กับ ปู่ - ย่า ได้สบาย ๆ ถึงบ้านสนทนากันถึงความรู้สึก ดีใจที่น้องตอบ เขา Happy มาก แม้จะเหนื่อยก็ไม่มาก สนุก และยังสู้ไหว เราก็คุยกันว่าอีกไม่นานเราจะไปให้ถึงที่ ๒๐ - ๒๕ กม. ถ้าถึงระดับนั้นแล้วจะพาออกทัวร์จริง ๆ ไปจังหวัดต่าง ๆ ที่หนูน้อยสนใจ เขามีเป้าหมายหลาย ๆ ที่ ๆ อยากไป ติดตามนะครับอีกไม่นานท่านจะได้เห็นชายปุรณ์ ฯ ออกทริปต่างจังหวัด ส่วนจะเป็นที่ไหนอย่างไร ไปแล้วก็จะมารีวิวให้ได้ชมกันครับ ช่วงนี้เป็นเวลาของการซักซ้อมและฝึกทักษะ ขอขอบคุณที่ติดตามนะครับ สาธุ สาธุ.
cats๓๙.jpg (56.92 KiB) เข้าดูแล้ว 1437 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4402
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: ประโยชน์ที่ได้รับจากจักรยานออกกำลังกาย (เมื่อรู้จักกับประเภทของจักรยานออกกำลังกายกันไปแล้ว อยากให้ทุกคนมาศึกษาประโยชน์ที่ตนเองจะได้รับเพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าซื้อแล้วคุ้มค่า ไม่เสียดายเงินแน่นอน)

1. ได้สุขภาพกายที่แข็งแรงกลับคืนมา ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายประเภทใดสิ่งที่ได้กลับคืนมาย่อมหนีไม่พ้นสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง การปั่นจักรยานแบบนี้เองก็เช่นกัน ช่วยให้ปอดและหัวใจทำงานดีขึ้น ลดไขมัน กระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญ ไปจนถึงการฟื้นฟูกระดูกและกล้ามเนื้อบริเวณช่วงล่าง (แต่ต้องปั่นอย่างถูกต้องตามหลักการ) ภาพรวมของร่างกายดูดีขึ้นกว่าเดิม

2. สุขภาพจิตดีตามไปด้วย ไม่ใช่แค่สุขภาพกายเท่านั้น แต่สุขภาพจิตก็เป็นอีกสิ่งที่คุณจะได้รับกลับไป เพราะเมื่อไหร่ที่ขึ้นจักรยานแล้วเริ่มปั่นสมองและความเหนื่อยล้ามักช่วยลดระดับความเครียดลง ยิ่งพอปั่นเสร็จแล้วได้อาบน้ำเย็นให้ชื่นฉ่ำสบายตัว บางทีสมองอาจคิดไอเดียใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อีกต่างหาก

3. สมองทำงานได้ดีขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่แค่การยกตัวอย่างแต่มีงานวิจัยยืนยันว่าคนที่ปั่นจักรยานทั้งแบบปกติและแบบออกกำลังกายประจำ เมื่อทดสอบสมองแล้วทำงานได้ดีกว่าคนที่ไม่ปั่นมากถึง 15% เนื่องจากทุกครั้งที่ปั่นจักรยานเซลล์สมองส่วน Hippocampus ซึ่งทำหน้าที่ในการจดจำจะถูกกระตุ้นให้สร้างเซลล์ใหม่อยู่ตลอด ลดความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์ หรือพาร์กินสัน

Cr.Fitness At Home
:idea: :idea:

:( :( สวัสดีครับท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ ช่วงนี้เป็นช่วงเปิดเทอมหลานรักคนเดียว ที่ต้องดูแล เพราะพ่อ - แม่ เขาต้องไปทำมาหากินต่างแดน (เศรษฐกิจไทยแย่นะ) เรา ปู่ - ย่า ที่ต้องดูแลสุขภาพของตัวเอง (ผมผ่าตัดผ่านมาแล้ว ๖ เดือน หมออนุญาตุปั่นไกลได้แต่ห้ามปั่นหนัก คุณนายผ่าตัดผ่านมาได้เดือนกว่า หมอยังไม่ให้ปั่นไกล) ช่วงเวลาแห่งความเซ็ง....เรา ๒ คนจึงอาศัยฝึกหลานให้ปั่น(จะได้ปั่นด้วยเบา ๆ ออกกำลังกาย)เพื่อที่ช่วงวันหยุดหรือปิดเทอม เราจะได้พาไปผจญภัยหาประสบการณ์ ตอนนี้หลานสามารถปั่นได้ถึง ๒๐ กม.แล้ว ถือว่าพอจะทัวร์เล็ก ๆ ได้ (ไว้มีโอกาสจะได้พาออกทัวร์) ฝากติดตามเป็นกำลังใจเด็กน้อยด้วยครับ :) :D

:) :D ฝายน้ำโท้ง (หาปลากินกัน ที่แม่น้ำปิง)
ไฟล์แนบ
cat1.jpg
cat1.jpg (120.79 KiB) เข้าดูแล้ว 1326 ครั้ง
cat.jpg
cat.jpg (15.27 KiB) เข้าดูแล้ว 1326 ครั้ง
cats๔๑.jpg
cats๔๒.jpg
cats๔๓.jpg
cats๔๔.jpg
cats๔๔.jpg (134.65 KiB) เข้าดูแล้ว 1326 ครั้ง
cats๔๕.JPG
cats๔๕.JPG (86.04 KiB) เข้าดูแล้ว 1326 ครั้ง
cats๔๖.jpg
cats๔๗.jpg
cats๔๘.jpg
cats๔๘.jpg (134.29 KiB) เข้าดูแล้ว 1326 ครั้ง
cats๔๙.jpg
cats๔๙.jpg (134.71 KiB) เข้าดูแล้ว 1326 ครั้ง
cats๕๐.jpg
ฝายน้ำโท้ง หางดง-สารภี ที่นั่งเล่นชมบรรยากาศสบายๆ ริมแม่น้ำปิง จากเมืองเชียงใหม่วิ่งเลาะแม่น้ำปิงไปทางป่าแดด ลอดผ่านใต้ถนนวงแหวนทั้ง ๒ เส้น ประมาณ ๙ กม. ระหว่างทางวิวก็สวย เพลินมาก<br /><br />ฝายน้ำโท้งสร้างเมื่อปี ๒๔๘๒ เป็นฝายทดน้ำที่อยู่ระหว่างอำเภอหางดงกับสารภี มีสะพานเล็กๆ สีส้มทอดยาวข้ามแม่น้ำปิงไปตามแนวฝาย สามารถขี่มอเตอร์ไซค์หรือเดินข้ามไปมาได้ ริมฝั่งทางหางดงร่มรื่น นั่งเล่นดูชาวบ้านหาปลากับวิวกว้างของแม่น้ำปิง ถ้าหิว อีกด้านของฝั่งถนนมีร้านค้าขายอาหารหลายเจ้า ไปซื้อมากิน #ปิคนิค ริมแม่น้ำได้เลย ส่วนฝั่งสารภี ก็ร่มรื่นไม่แพ้กันนะขอบอก<br /><br />เป้าหมายที่ ๒๐ กม.แต่เช้านี้พามาชมวิวสวย อากาศสบายเด็กน้อยมีความสุข แต่ได้ ๑๗ กม.ก็ถือว่าโอเค อีกแค่ ๓ กม.จิ๊บ ๆ ไม่น่าจะมีปัญหา
ฝายน้ำโท้ง หางดง-สารภี ที่นั่งเล่นชมบรรยากาศสบายๆ ริมแม่น้ำปิง จากเมืองเชียงใหม่วิ่งเลาะแม่น้ำปิงไปทางป่าแดด ลอดผ่านใต้ถนนวงแหวนทั้ง ๒ เส้น ประมาณ ๙ กม. ระหว่างทางวิวก็สวย เพลินมาก

ฝายน้ำโท้งสร้างเมื่อปี ๒๔๘๒ เป็นฝายทดน้ำที่อยู่ระหว่างอำเภอหางดงกับสารภี มีสะพานเล็กๆ สีส้มทอดยาวข้ามแม่น้ำปิงไปตามแนวฝาย สามารถขี่มอเตอร์ไซค์หรือเดินข้ามไปมาได้ ริมฝั่งทางหางดงร่มรื่น นั่งเล่นดูชาวบ้านหาปลากับวิวกว้างของแม่น้ำปิง ถ้าหิว อีกด้านของฝั่งถนนมีร้านค้าขายอาหารหลายเจ้า ไปซื้อมากิน #ปิคนิค ริมแม่น้ำได้เลย ส่วนฝั่งสารภี ก็ร่มรื่นไม่แพ้กันนะขอบอก

เป้าหมายที่ ๒๐ กม.แต่เช้านี้พามาชมวิวสวย อากาศสบายเด็กน้อยมีความสุข แต่ได้ ๑๗ กม.ก็ถือว่าโอเค อีกแค่ ๓ กม.จิ๊บ ๆ ไม่น่าจะมีปัญหา
cats๕๑.jpg (124.58 KiB) เข้าดูแล้ว 1326 ครั้ง
439901466_1470096800298938_7279805326948103311_n.jpg
439901466_1470096800298938_7279805326948103311_n.jpg (121.4 KiB) เข้าดูแล้ว 1326 ครั้ง
อย่าพิพากษาคนอื่นทั้งที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ อย่านินทาคนอื่นทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่สมบูรณ์ อย่าตำหนิคนอื่นทั้งที่ตัวเองก็เคยพลาด อย่ารังแกคนอื่นทั้งที่ตัวเองก็เคยเจ็บช้ำจากการถูกคนอื่นรังแก &quot;สิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ อย่าทำกับคนอื่น&quot; <br /><br />~*~ เห็นใจในความลำบากใจของคนอื่นคือใส่ใจ เข้าใจในความไม่สะดวกของคนอื่นคือใจกว้าง อภัยในความผิดบาปของคนอื่นคือเมตตา พบทุกข์ เข้าใจสาเหตุของทุกข์ รู้วิธีเปลื้องทุกข์ แต่ไม่ลงมือทำ รู้ก็เท่ากับไม่รู้! <br /><br />~*~ ปัญหามีอยู่ในทุกที่ ทุกคน ทุกเรื่องราว หากมองในแง่บวก ปัญหามีไว้แก้ แก้ได้ก็ดี แก้ไม่ได้ก็ดี หากมองในแง่ลบ ปัญหาคือความกลัดกลุ้ม แก้ได้ก็แย่ แก้ไม่ได้ก็ยิ่งแย่ ไม่ว่าแก้ได้หรือไม่ได้ จงทำใจยอมรับให้ได้ว่า พอปัญหานี้หมดไป ปัญหาใหม่ก็เรียงแถวเข้าคิวรอเข้ามาเรื่อยๆ หากมองปัญหาเหมือนการเก็งหวย คุณก็ไม่มีทางรามือ เพราะที่ผ่านมาคุณก็สู้ทุกงวด <br /><br />~*~ โชคชะตาเกิดจากตนหาใช่ฟ้าประทาน(ไม่มีเหตุจะมีผลได้อย่างไร? ไม่มีต้นจะมีปลายได้อย่างไร? ไม่สร้างแล้วใครจะเสริมได้! สุขเกิดจากใจ ไม่ใช่สภาพแวดล้อม (แม้ทิวทัศน์งามตา ใจเธอมองหาแต่ทุกข์ จะสุขได้ไฉน?) หางานที่ชอบทำไม่ได้ จงปรับใจให้ชอบในงานที่กำลังทำ! ..... <br /><br />#นุสนธิ์บุคส์
อย่าพิพากษาคนอื่นทั้งที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ อย่านินทาคนอื่นทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่สมบูรณ์ อย่าตำหนิคนอื่นทั้งที่ตัวเองก็เคยพลาด อย่ารังแกคนอื่นทั้งที่ตัวเองก็เคยเจ็บช้ำจากการถูกคนอื่นรังแก "สิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ อย่าทำกับคนอื่น"

~*~ เห็นใจในความลำบากใจของคนอื่นคือใส่ใจ เข้าใจในความไม่สะดวกของคนอื่นคือใจกว้าง อภัยในความผิดบาปของคนอื่นคือเมตตา พบทุกข์ เข้าใจสาเหตุของทุกข์ รู้วิธีเปลื้องทุกข์ แต่ไม่ลงมือทำ รู้ก็เท่ากับไม่รู้!

~*~ ปัญหามีอยู่ในทุกที่ ทุกคน ทุกเรื่องราว หากมองในแง่บวก ปัญหามีไว้แก้ แก้ได้ก็ดี แก้ไม่ได้ก็ดี หากมองในแง่ลบ ปัญหาคือความกลัดกลุ้ม แก้ได้ก็แย่ แก้ไม่ได้ก็ยิ่งแย่ ไม่ว่าแก้ได้หรือไม่ได้ จงทำใจยอมรับให้ได้ว่า พอปัญหานี้หมดไป ปัญหาใหม่ก็เรียงแถวเข้าคิวรอเข้ามาเรื่อยๆ หากมองปัญหาเหมือนการเก็งหวย คุณก็ไม่มีทางรามือ เพราะที่ผ่านมาคุณก็สู้ทุกงวด

~*~ โชคชะตาเกิดจากตนหาใช่ฟ้าประทาน(ไม่มีเหตุจะมีผลได้อย่างไร? ไม่มีต้นจะมีปลายได้อย่างไร? ไม่สร้างแล้วใครจะเสริมได้! สุขเกิดจากใจ ไม่ใช่สภาพแวดล้อม (แม้ทิวทัศน์งามตา ใจเธอมองหาแต่ทุกข์ จะสุขได้ไฉน?) หางานที่ชอบทำไม่ได้ จงปรับใจให้ชอบในงานที่กำลังทำ! .....

#นุสนธิ์บุคส์
440968177_468084819110599_6616296824410067224_n (1).jpg (53.42 KiB) เข้าดูแล้ว 1326 ครั้ง
440971988_3613854045503205_1295213716289919392_n.jpg
440971988_3613854045503205_1295213716289919392_n.jpg (31.12 KiB) เข้าดูแล้ว 1326 ครั้ง
หลายวันมานี้..ประเทศไทยเรามีสิ่งเลวร้ายเยอะจริงครับ ที่สะเทือนใจก็เรื่องความตายของน้อง ที่ยังไม่ถึงเวลา...แต่ก็ต้องมาสังเวยชีวิตไปจะเพราะอะไรก็ช่าง...แต่มีหลายคนหลายหน่วย ที่เอาความตายของน้องมาเล่นกันเพลินไปเลย ไปเจอข้อเขียนที่พิจารณาแล้วถูกใจผม(ย้ำ..ผมคนเดียวนะ) ก็ขอก๊อปปี้มานำเสนอต่อ ไม่ถูกใจก็อย่าเอาทัวร์มาลง.. นำมาเสนอเพื่อเตือนสติเตือนใจให้ได้คิดจะคิดอย่างไรก็อีกเรื่อง ขอบคุณนะครับ <br /><br />๑. &quot;บุ้ง&quot; ถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดี . <br />๒. เธอถูกตั้งข้อหาว่าทำความผิดหลายกรรมหลายวาระ ล่าสุดที่เข้าคุกเพราะถูก &quot;ถอนประกัน&quot; นั่นแปลว่า เธอเคยได้รับการปล่อยตัวแล้ว แต่เลือกจะ &quot;ทำผิดเงื่อนไข&quot; จนถูกถอนประกัน . <br />๓. เธอมีพ่อเป็นผู้พิพากษา มีพี่เป็นทนายความ เธอเป็นเด็กเรียนดี จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะ &quot;ไม่รู้กฎหมาย&quot; แต่เธอเลือกที่จะท้าทายกฎหมาย และไม่ทราบได้ว่า ครอบครัวได้ให้ความรู้และพยายามระงับยับยั้งเธอมากเพียงใด . <br />๔. เมื่อถูกถอนประกัน ต้องเข้าคุก เธอประกาศอดอาหาร อดมาได้ ๑๐๙ วัน ก็เสียชีวิต .<br /> ๕. การตายของเธอ มีทั้งคนเสียใจ เศร้าใจ พอใจ และเฉยๆ มีคนจำนวนหนึ่งเริ่มใช้ประโยชน์จากความตายของเธอปลุกเร้าทางการเมือง โดยที่ก่อนหน้านี้ เงียบเฉย . ๖. อย่าไปโทษอะไรหรือใครเลย กฎหมายเขียนไว้ชัดแล้ว ว่า ห้ามทำอะไร เมื่อเลือกที่จะทำ ก็ต้องรับผลของการกระทำ . <br />๗. อย่าถามว่า ทำไมไม่ให้ประกันตัว เพราะเคยให้แล้ว แต่เลือกจะทำผิดเงื่อนไข . <br />๘. อย่าอ้างเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เพราะสังคมมนุษย์ ไม่อนุญาตให้ใครใช้เสรีภาพ ในการดูหมิ่น หมิ่นประมาท และอาฆาตมาดร้าย ผู้อื่น . <br />๙. อย่าบิดเบือนไปเป็นเรื่อง &quot;เห็นต่างทางการเมือง&quot; เพราะทั้งหมดเป็นเรื่องของการ &quot;ทำผิดกฎหมาย&quot; . <br />๑๐. ทำไมปล่อยให้ตาย ตั้งสติก่อน! เธอประกาศอดอาหารและน้ำด้วยตัวเธอเอง กระนั้นก็ตาม มีการจัดอาหารและน้ำให้ตามปกติ . <br />๑๑. อาการหนักก่อนหน้านี้ก็นำส่งโรงพยาบาล อาการทุเลาก็กลับเข้าคุก หรือโรงพยาบาลราชทัณฑ์ . <br />๑๒. ปราศจากการดูแล จะอดอาหารได้ถึง ๑๐๙ วันหรือ? . <br />๑๓. ผลจากการอดอาหาร ร่างกายย่อมอ่อนแอ อวัยวะสำคัญพร้อมจะ &quot;วาย&quot; เป็นเหตุให้ตายได้ทุกเมื่อ . <br />๑๔. พ่อเธอเป็นผู้พิพากษา พี่เธอเป็นทนายความ พวกเขาคงไม่ยอมให้ลูกสาว-น้องสาว ตาย โดยไม่อินังขังขอบหรอกกระมัง . <br />๑๕. จึงควรจะหยุดแทะหยุดทึ้งการตายของเธอได้แล้ว เป็นเรื่องของครอบครัวเขา . <br />๑๖. ม.๑๑๒ คือ กฎหมาย อย่าโยนความผิดไปที่กฎหมาย . <br />๑๗. ใครรักชอบอุดมการณ์ของเธอ ก็ช่วยกันสืบอุดมการณ์นั้นต่อไป ใครชอบทั้งอุดมการณ์และ &quot;วิธีการ&quot; ก็ทำผิดกฎหมายอย่างเธอ แล้วเข้าคุก ได้ประกัน ฝ่าฝืนประกัน เข้าคุก และอดอาหารจนตายแบบเธอบ้าง ดีกว่าเกาะศพของเธอสร้างชื่อ สร้างคอนเท้นต์กัน-จะดีกว่า ..<br /><br /> ไม่ทำอย่างเธอ ก็อย่าอ้างว่า เห็นด้วยกับเธอ !! .. หยุดเอาเปรียบเธอ ทั้งในยามเป็นและยามตายกันเสียที!!<br /><br />อ่านแล้วได้ข้อคิดหลากหลายอารมณ์ ขอบคุณท่านผู้เขียนไว้ ณ ที่นี้ครับ.
หลายวันมานี้..ประเทศไทยเรามีสิ่งเลวร้ายเยอะจริงครับ ที่สะเทือนใจก็เรื่องความตายของน้อง ที่ยังไม่ถึงเวลา...แต่ก็ต้องมาสังเวยชีวิตไปจะเพราะอะไรก็ช่าง...แต่มีหลายคนหลายหน่วย ที่เอาความตายของน้องมาเล่นกันเพลินไปเลย ไปเจอข้อเขียนที่พิจารณาแล้วถูกใจผม(ย้ำ..ผมคนเดียวนะ) ก็ขอก๊อปปี้มานำเสนอต่อ ไม่ถูกใจก็อย่าเอาทัวร์มาลง.. นำมาเสนอเพื่อเตือนสติเตือนใจให้ได้คิดจะคิดอย่างไรก็อีกเรื่อง ขอบคุณนะครับ

๑. "บุ้ง" ถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดี .
๒. เธอถูกตั้งข้อหาว่าทำความผิดหลายกรรมหลายวาระ ล่าสุดที่เข้าคุกเพราะถูก "ถอนประกัน" นั่นแปลว่า เธอเคยได้รับการปล่อยตัวแล้ว แต่เลือกจะ "ทำผิดเงื่อนไข" จนถูกถอนประกัน .
๓. เธอมีพ่อเป็นผู้พิพากษา มีพี่เป็นทนายความ เธอเป็นเด็กเรียนดี จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะ "ไม่รู้กฎหมาย" แต่เธอเลือกที่จะท้าทายกฎหมาย และไม่ทราบได้ว่า ครอบครัวได้ให้ความรู้และพยายามระงับยับยั้งเธอมากเพียงใด .
๔. เมื่อถูกถอนประกัน ต้องเข้าคุก เธอประกาศอดอาหาร อดมาได้ ๑๐๙ วัน ก็เสียชีวิต .
๕. การตายของเธอ มีทั้งคนเสียใจ เศร้าใจ พอใจ และเฉยๆ มีคนจำนวนหนึ่งเริ่มใช้ประโยชน์จากความตายของเธอปลุกเร้าทางการเมือง โดยที่ก่อนหน้านี้ เงียบเฉย . ๖. อย่าไปโทษอะไรหรือใครเลย กฎหมายเขียนไว้ชัดแล้ว ว่า ห้ามทำอะไร เมื่อเลือกที่จะทำ ก็ต้องรับผลของการกระทำ .
๗. อย่าถามว่า ทำไมไม่ให้ประกันตัว เพราะเคยให้แล้ว แต่เลือกจะทำผิดเงื่อนไข .
๘. อย่าอ้างเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เพราะสังคมมนุษย์ ไม่อนุญาตให้ใครใช้เสรีภาพ ในการดูหมิ่น หมิ่นประมาท และอาฆาตมาดร้าย ผู้อื่น .
๙. อย่าบิดเบือนไปเป็นเรื่อง "เห็นต่างทางการเมือง" เพราะทั้งหมดเป็นเรื่องของการ "ทำผิดกฎหมาย" .
๑๐. ทำไมปล่อยให้ตาย ตั้งสติก่อน! เธอประกาศอดอาหารและน้ำด้วยตัวเธอเอง กระนั้นก็ตาม มีการจัดอาหารและน้ำให้ตามปกติ .
๑๑. อาการหนักก่อนหน้านี้ก็นำส่งโรงพยาบาล อาการทุเลาก็กลับเข้าคุก หรือโรงพยาบาลราชทัณฑ์ .
๑๒. ปราศจากการดูแล จะอดอาหารได้ถึง ๑๐๙ วันหรือ? .
๑๓. ผลจากการอดอาหาร ร่างกายย่อมอ่อนแอ อวัยวะสำคัญพร้อมจะ "วาย" เป็นเหตุให้ตายได้ทุกเมื่อ .
๑๔. พ่อเธอเป็นผู้พิพากษา พี่เธอเป็นทนายความ พวกเขาคงไม่ยอมให้ลูกสาว-น้องสาว ตาย โดยไม่อินังขังขอบหรอกกระมัง .
๑๕. จึงควรจะหยุดแทะหยุดทึ้งการตายของเธอได้แล้ว เป็นเรื่องของครอบครัวเขา .
๑๖. ม.๑๑๒ คือ กฎหมาย อย่าโยนความผิดไปที่กฎหมาย .
๑๗. ใครรักชอบอุดมการณ์ของเธอ ก็ช่วยกันสืบอุดมการณ์นั้นต่อไป ใครชอบทั้งอุดมการณ์และ "วิธีการ" ก็ทำผิดกฎหมายอย่างเธอ แล้วเข้าคุก ได้ประกัน ฝ่าฝืนประกัน เข้าคุก และอดอาหารจนตายแบบเธอบ้าง ดีกว่าเกาะศพของเธอสร้างชื่อ สร้างคอนเท้นต์กัน-จะดีกว่า ..

ไม่ทำอย่างเธอ ก็อย่าอ้างว่า เห็นด้วยกับเธอ !! .. หยุดเอาเปรียบเธอ ทั้งในยามเป็นและยามตายกันเสียที!!

อ่านแล้วได้ข้อคิดหลากหลายอารมณ์ ขอบคุณท่านผู้เขียนไว้ ณ ที่นี้ครับ.
440983473_1449457605687072_7080545519657516100_n (1).jpg (20.75 KiB) เข้าดูแล้ว 1326 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4402
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D อรุณสวัสดิ์ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ ช่วงนี้เปิดเทอมแล้ว หลานรักก็ไป รร.ตามปกติ รร.ก็ไม่ได้ไกลบ้านระยะทางไป-กลับ ประมาณสิบกว่า กม.เองครับ ช่วงที่ปิดเทอมเราสองคนปู่-ย่า ที่ต้องเหมือนแบกภาระอันเนื่องมาจากเศรษฐกิจบ้านเมืองเรา ดูมันฝืดเคียงมาก ๆ หลาย ๆ ครอบครัวลูกหลานต่างหาทางไปทำงานเมืองนอกกัน (Hot - Hit) เป็นหน้าที่ ปู่ย่าตายายที่ต้องเป็นผู้ดูแลหลานใครหลานมัน

“ฝันให้ไกลไปให้ถึง” ของเราสองคนต้องหยุดลงด้วยภาระดังกล่าว แต่ยังดำรงอุดมการณ์เดิมไว้ไม่เปลี่ยนแปลง ติดตามกันไปนะครับคิดว่าจะพาหลานไปทดสอบออกทัวร์ต่าง จว.เร็ว ๆ นี้ แต่ก่อนเปิดเทอมหลานขอปั่นไปเยี่ยม รร.สักครั้ง (เผื่อจะได้เล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง ๕๕) ตามต้องการเมื่อ ๑๓ พ.ค.๖๗ จัดให้ก่อนเปิดเทอมใน ๑๖ พ.ค.นี้ครับ แต่ก่อนจะติดตามเรื่องราว ผมมีเรื่องที่น่าคิดมาฝากให้ได้คิดกันครับ เรียนเชิญครับ
:) :D

:idea: :idea: เมื่อ 100 ปีก่อน “ คนจีน ” หนีความยากจน เสื่อผืนหมอนใบ มาเมืองไทย เป็นกุลี ,แบกข้าวสาร ,ลากรถ,ขายน้ำเต้าหู้ ฯลฯ คนไทยดูถูก...เรียกไอ้เจ็ก แต่คนจีนขยัน ขันแข็ง หนักเอาเบาสู้ อยากเป็นเจ้าของกิจการ อยากเป็นพ่อค้า คนไทยชอบสบาย อยากเป็นเจ้าคนนายคน รับราชการ มียศ มีสี มีเกียรติ

วันนี้.... คนจีนร่ำรวย เป็นเจ้าของกิจการมากมาย คนไทยเป็นลูกจ้าง และเป็นลูกหนี้คนจีน 50 ปีก่อน คนอินเดีย คนบังคลาเทศ หนีความยากจน มาเมืองไทย เป็นยาม เป็นคนขายนมแพะ ขายถั่ว คนไทยดูถูก...เรียกไอ้บัง คนอินเดียขยัน เจียมเนื้อเจียมตัว ประหยัด เก็บออม อดทน ไม่ยอมเสียเปรียบ วันนี้ คนอินเดียเป็นเจ้าของกิจการมากมายในไทย คนไทยเป็นลูกจ้าง และเป็นลูกหนี้คนอินเดีย

30 ปีก่อน คนเวียตนาม อพยพมาไทยเพราะสงคราม มาเมืองไทยมาเป็นลูกจ้างทำประมง ทำนา ซ่อมรถ คนไทยดูถูก...เรียกไอ้แกว วันนี้ เมืองไทยโดยเฉพาะทางอีสาน และภาคตะวันออก คนเวียตนามเป็นเจ้าของกิจการมากมาย คนไทยเป็นลูกจ้าง และเป็นลูกหนี้คนเวียตนาม

วันนี้!!! คนเขมร, คนลาว, คนพม่า ,เข้ามาไทย ทั้งถูกต้อง ทั้งแอบหนี เพราะ AEC เปิด รับค่าแรง 300 บาท เข้ามาเป็นคนรับใช้ในบ้าน ,พนักงานโรงแรม , เด็กเสริฟ์ร้านอาหาร , เด็กปั้ม ,คนงานก่อสร้าง คนไทยดูถูก...เรียกไอ้ลาว,ไอ้เขมร,ไอ้หม่อง สิ่งที่น่าเป็นห่วงในอนาคต คือ อีกแค่ 20 ปีข้างหน้า!!!! ชนชาติต่างๆ ที่อพยพเข้ามาก็คงเป็นเจ้าของกิจการกันหมดและคนไทยก็กลับมาเป็นลูกจ้างคนเขมร คนพม่า คนลาว และเป็นลูกหนี้เขาเหล่านั้น เหมือนพ่อแม่ปู่ย่าตายายของพวกเรา หรือเปล่า? นี่คือ.. คนไทย!!!!แท้ๆใช่หรือไม่???

ทำไม? คนไทย !!! มีความรู้ มีฝีมือแรงงานที่ดี แต่ไม่สร้างโอกาส ไม่สร้างงานให้มีคุณค่ากับตนเอง งานหนักหน่อย ท้อ ลาออก งานเหนื่อยหน่อย บ่น ลาออก งานมากหน่อย บอกค่าจ้างถูก ไม่คุ้มค่า ลาออก น่าเป็นห่วง คนไทยที่รักสนุก รักสบาย ไม่อดทน ไม่พึ่งพาตัวเอง ชอบหรูหรา หน้าใหญ่ ใจถึง ประมาณว่า "ฉิบหายไม่ว่า ต้องการชื่อเสียง " แข่งกันอวดรวยโดยการมีหนี้สิน จนหนี้ท่วมตัว โกหกตัวเอง หน้าชื่นอกตรม เลี้ยงลูกให้เป็นลูกเทวดา เลี้ยงลูกไม่รู้จักโต เสพติดวัตถุนิยม ขายที่ดิน ปู่ย่าตายายกิน

ขออย่าให้เป็นอย่างนี้เลย คนไทย มีฝีมือ มีทักษะดี ฉลาด ไหวพริบดี เอาตัวรอดเก่ง คนไทยมีดี นำมันออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์กันเถอะ "รักกันไว้เถิดคนไทย" อย่าให้ อีก 20 ปีข้างหน้า คนไทย ต้องเป็นลูกจ้าง หรือ ต้องเป็นลูกหนี้ ของคนต่างชาติใน AEC เลยนะ

Cr. นิพนธ์ เสียงจันทร์
:idea: :idea:
ไฟล์แนบ
441001115_2513216222214900_3320561851640854320_n.jpg
441001115_2513216222214900_3320561851640854320_n.jpg (110.57 KiB) เข้าดูแล้ว 1226 ครั้ง
ตัวผมเองตั้งแต่เด็กชอบที่จะมีความฝัน ชอบอ่านหนังสือ ชอบเที่ยว ชอบดนตรี กีฬา และทุกความชอบจะพยายามสานฝันให้เป็นจริงเสมอ ๆ จักรยานเป็นอีกหนึ่งความฝัน ผมและคุณนายปั่นจักรยานด้วยกันมานานนับสิบปี ออกท่องเที่ยวไปตามใจปราถนาได้พบเห็นสิ่งต่าง ๆ เป็นประสบการณ์และได้นำสิ่งต่าง ๆ มาเผยแพร่เป็นบุญกุศล ตามคำของพ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ <br /><br />ฝันให้ไกลไปให้ถึง ครั้งล่าสุดของเรา ๒ คนคือการปั่นเที่ยวเมืองรอง นัยว่าจะพยายามปั่นให้ได้ทุกจังหวัด การดำเนินตามฝันก็ราบรื่นสนุกสนานมาด้วยดี แต่เมื่อ ๑ ต.ค.๖๔ เวลา ๑๔.๓๕ น. ต้นยางต้นที่ ๕๘ ล้มทับบ้านเสียหาย เสียเวลาซ่อมแซมนานนับปี ยังไม่พอลูกชายพาหลานย้ายจากเชียงรายมาอยู่ด้วย <br /><br />และไม่นานเมื่อการซ่อมบ้านที่พังเรียบร้อย ทั้งลูกชายและลูกสะใภ้ก็ต้องทิ้งงานที่เชียงราย ไปทำมาหากินต่างแดนจนบัดนี้ หน้าที่ในการดูแลหลานจึงต้องเป็นเรา ปู่-ย่า ที่ต้องช่วย ฝันที่กำลังดำเนินไปก็จึงต้องหยุดไป วันนี้หลานได้ ๘ ขวบดีใจที่หลานชอบปั่นจักรยาน และเราก็พาฝึกซ้อมช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา ต่อไปนี้(อีกไม่นาน)ถ้ามีวันว่างก็จะพาหลานไปสานฝันต่อ &quot;นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความฝัน&quot; เพื่อแก้ไขปัญหาของเรา &quot;ฝันให้ไกล ไปให้ถึงครับ&quot;
ตัวผมเองตั้งแต่เด็กชอบที่จะมีความฝัน ชอบอ่านหนังสือ ชอบเที่ยว ชอบดนตรี กีฬา และทุกความชอบจะพยายามสานฝันให้เป็นจริงเสมอ ๆ จักรยานเป็นอีกหนึ่งความฝัน ผมและคุณนายปั่นจักรยานด้วยกันมานานนับสิบปี ออกท่องเที่ยวไปตามใจปราถนาได้พบเห็นสิ่งต่าง ๆ เป็นประสบการณ์และได้นำสิ่งต่าง ๆ มาเผยแพร่เป็นบุญกุศล ตามคำของพ่อ แม่ ครูบาอาจารย์

ฝันให้ไกลไปให้ถึง ครั้งล่าสุดของเรา ๒ คนคือการปั่นเที่ยวเมืองรอง นัยว่าจะพยายามปั่นให้ได้ทุกจังหวัด การดำเนินตามฝันก็ราบรื่นสนุกสนานมาด้วยดี แต่เมื่อ ๑ ต.ค.๖๔ เวลา ๑๔.๓๕ น. ต้นยางต้นที่ ๕๘ ล้มทับบ้านเสียหาย เสียเวลาซ่อมแซมนานนับปี ยังไม่พอลูกชายพาหลานย้ายจากเชียงรายมาอยู่ด้วย

และไม่นานเมื่อการซ่อมบ้านที่พังเรียบร้อย ทั้งลูกชายและลูกสะใภ้ก็ต้องทิ้งงานที่เชียงราย ไปทำมาหากินต่างแดนจนบัดนี้ หน้าที่ในการดูแลหลานจึงต้องเป็นเรา ปู่-ย่า ที่ต้องช่วย ฝันที่กำลังดำเนินไปก็จึงต้องหยุดไป วันนี้หลานได้ ๘ ขวบดีใจที่หลานชอบปั่นจักรยาน และเราก็พาฝึกซ้อมช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา ต่อไปนี้(อีกไม่นาน)ถ้ามีวันว่างก็จะพาหลานไปสานฝันต่อ "นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความฝัน" เพื่อแก้ไขปัญหาของเรา "ฝันให้ไกล ไปให้ถึงครับ"
441073576_1159597031893906_568855359045579391_n.jpg (74.64 KiB) เข้าดูแล้ว 1226 ครั้ง
cats๕๗.๑.jpg
cats๕๗.๑.jpg (21.41 KiB) เข้าดูแล้ว 1226 ครั้ง
cats๕๖.jpg
cats๕๖.jpg (115.84 KiB) เข้าดูแล้ว 1226 ครั้ง
cats๕๔.jpg
cats๕๔.jpg (68.43 KiB) เข้าดูแล้ว 1226 ครั้ง
cats๕๘.๑.jpg
cats๕๘.๑.jpg (133.79 KiB) เข้าดูแล้ว 1226 ครั้ง
cats๕๘.jpg
cats๕๘.jpg (143.12 KiB) เข้าดูแล้ว 1226 ครั้ง
ก่อนเปิดเทอมใน ๑๔ พ.ค.๖๗ นี้คุณหลานขอพาปั่นไปเที่ยวดู รร.สักครั้งเผื่อจะได้ไปเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง เข้าทางเราสองคน (จัดให้ครับ) รร.กับบ้านก็ไม่ห่างไกลเท่าใด ประมาณสิบกว่าโล ไป-กลับ ครับ วันนี้หลานชายได้อีกหนึ่งบทเรียน
ก่อนเปิดเทอมใน ๑๔ พ.ค.๖๗ นี้คุณหลานขอพาปั่นไปเที่ยวดู รร.สักครั้งเผื่อจะได้ไปเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง เข้าทางเราสองคน (จัดให้ครับ) รร.กับบ้านก็ไม่ห่างไกลเท่าใด ประมาณสิบกว่าโล ไป-กลับ ครับ วันนี้หลานชายได้อีกหนึ่งบทเรียน
cats๕๙.๑.jpg (130.35 KiB) เข้าดูแล้ว 1226 ครั้ง
cats๕๙.jpg
cats๕๙.jpg (135.64 KiB) เข้าดูแล้ว 1226 ครั้ง
ก่อนจะถึง รร.อีกไม่ถึง ๕๐๐ ม.เด็กน้อยพาจักรยานตกลงไปข้างถนน (คงระวังตัวมากเกินปั่นจนชิดขอบถนนตกหลุมเล็ก ๆ ) หนูน้อยอาจจะตกใจสักนิดขอกลับเลยไม่ต้องไปถึง รร.ก็ได้ เราจำพากลับเพื่อไม่ขัดใจ
ก่อนจะถึง รร.อีกไม่ถึง ๕๐๐ ม.เด็กน้อยพาจักรยานตกลงไปข้างถนน (คงระวังตัวมากเกินปั่นจนชิดขอบถนนตกหลุมเล็ก ๆ ) หนูน้อยอาจจะตกใจสักนิดขอกลับเลยไม่ต้องไปถึง รร.ก็ได้ เราจำพากลับเพื่อไม่ขัดใจ
cats๖๐.๑.jpg
cats๖๐.๑.jpg (139.96 KiB) เข้าดูแล้ว 1226 ครั้ง
cats๖๐.๓.jpg
ขาปั่นกลับเราพาไปดูต้นแคนาที่หนูมักจะถามคุณย่าเสมอ ๆ ว่า ไปเก็บมาจากไหน วันนี้เลยพามาชมและมาเก็บครับ แคนาจะออกดอกช่วงเดือน มีนาคมถึงมิถุนายน กลีบดอกบานใช้ต้มจิ้มน้ำพริก หรือแกงส้ม คุณนายชอบนำมาแกงอีกแบบ แค่ใส่หอมใส่พริกปรุงด้วยซีอิ๊วก็อร่อยมาก และอีกหนึ่งเมนูคือ ดอง กำลังทดสอบ(เขาบอกก็อร่อยนะ) <br /><br />สรรพคุณ ตำรายาไทย  ใช้  ราก มีรสหวานเย็น แก้เสมหะและลม บำรุงโลหิต เปลือกต้น มีรสหวานเย็น แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ใช้กับสตรีหลังคลอด ใบ มีรสเย็น ใช้ตำพอกแผล หรือต้มน้ำบ้วนปาก ดอก มีรสหวานเย็น ใช้ขับเสมหะ โลหิต และลม ขับผายลม เมล็ด รสหวานเย็น แก้อาการปวดประสาท แก้โรคชัก
ขาปั่นกลับเราพาไปดูต้นแคนาที่หนูมักจะถามคุณย่าเสมอ ๆ ว่า ไปเก็บมาจากไหน วันนี้เลยพามาชมและมาเก็บครับ แคนาจะออกดอกช่วงเดือน มีนาคมถึงมิถุนายน กลีบดอกบานใช้ต้มจิ้มน้ำพริก หรือแกงส้ม คุณนายชอบนำมาแกงอีกแบบ แค่ใส่หอมใส่พริกปรุงด้วยซีอิ๊วก็อร่อยมาก และอีกหนึ่งเมนูคือ ดอง กำลังทดสอบ(เขาบอกก็อร่อยนะ)

สรรพคุณ ตำรายาไทย ใช้ ราก มีรสหวานเย็น แก้เสมหะและลม บำรุงโลหิต เปลือกต้น มีรสหวานเย็น แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ใช้กับสตรีหลังคลอด ใบ มีรสเย็น ใช้ตำพอกแผล หรือต้มน้ำบ้วนปาก ดอก มีรสหวานเย็น ใช้ขับเสมหะ โลหิต และลม ขับผายลม เมล็ด รสหวานเย็น แก้อาการปวดประสาท แก้โรคชัก
cats๖๐.๒.jpg
cats๖๐.๒.jpg (146.34 KiB) เข้าดูแล้ว 1226 ครั้ง
วันนี้หนูได้ประสบการณ์เพิ่มและได้ทำตามที่หนูฝันคือปั่นไป รร.แต่ไม่ถึง ๕๕๕ ไว้ค่อยพาไปแก้ตัวอีกครั้ง จากนี้ไปคงห่างเหินการปั่นไปบ้างต้องเป็นช่วงเสาร์ - อาทิตย์ แต่เสาร์ - อาทิตย์ ก็ต้องเรียนดนตรี และอีกหลายเรื่องไว้ค่อยคิดและวางแผน แต่ถือว่าพอจะพาไปปั่นแก้เหงาให้หายคิดถึง &quot;ฝันให้ไกล ไปให้ถึง&quot; ได้ในระดับหนึ่ง มั่นใจว่าหากมีวันหยุดยาวเราคงได้หาโอกาสไปสานฝันของเรากันต่อ (พากันไปทั้งสามชีวิตเอาเท่าที่ได้) ติดตามกันไปเรื่อย ๆ นะครับ
วันนี้หนูได้ประสบการณ์เพิ่มและได้ทำตามที่หนูฝันคือปั่นไป รร.แต่ไม่ถึง ๕๕๕ ไว้ค่อยพาไปแก้ตัวอีกครั้ง จากนี้ไปคงห่างเหินการปั่นไปบ้างต้องเป็นช่วงเสาร์ - อาทิตย์ แต่เสาร์ - อาทิตย์ ก็ต้องเรียนดนตรี และอีกหลายเรื่องไว้ค่อยคิดและวางแผน แต่ถือว่าพอจะพาไปปั่นแก้เหงาให้หายคิดถึง "ฝันให้ไกล ไปให้ถึง" ได้ในระดับหนึ่ง มั่นใจว่าหากมีวันหยุดยาวเราคงได้หาโอกาสไปสานฝันของเรากันต่อ (พากันไปทั้งสามชีวิตเอาเท่าที่ได้) ติดตามกันไปเรื่อย ๆ นะครับ
cats๖๐.jpg (143.55 KiB) เข้าดูแล้ว 1226 ครั้ง
cats๖๑.jpg
cats๖๑.jpg (35.7 KiB) เข้าดูแล้ว 1226 ครั้ง
ชีวิตคนเรานี้สั้นนัก ดูตามตารางที่โลกเขาสำรวจมาสด ๆ ร้อน ๆ ไทยเราอยู่ในลำดับที่ ๔๕ อายุเฉลี่ยที่ ๗๙ ไม่ถึง ๘๐ ปี (ปีนี้ผมย่าง ๗๕ เหลือเวลาอีกแค่ ๔ ปี) ประมาทไม่ได้แล้วเวลาเหลือสั้นลง ๆ ชีวิตนี้น้อยนัก..สั้นนิดเดียว <br /><br />&quot;ชีวิตนี้น้อยนัก แต่มีความสำคัญนักด้วยเหมือนกัน ถ้าชีวิตนี้ไม่วิ่งหนีกรรมไม่ดีในอดีต ชีวิตนี้ก็จะรับผลกรรมไม่ดี ถ้าวิ่งหนีก็จะพ้นได้ กรรมไม่ดีจะตามทันหรือไม่ขึ้นอยู่กับชีวิตนี้ ยิ่งกว่านั้นถ้ากรรมตามทันในชีวิตนี้ ก็จะตามต่อไปได้อีกในชีวิตอนาคต กรรมไม่ดีที่ทำไว้ในอดีตมากมาย อาจจะตามไม่ทันตลอดไปก็ได้ ถ้าทำชาตินี้ให้ดีที่สุด&quot;…โอวาทพระสังฆราช<br /><br /><br />&quot;แต่ละวัย เป็นอย่างไรกันนี่&quot; <br /><br />เมื่อเป็นผู้บริหารในหน่วยงานต่างๆจะต้องเหมือนกันอยู่อย่างคือ การไปประชุม ไปอบรม ไปสัมมนา เพื่อเสริมความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติงานปีหนึ่งๆ ก็ไปกันหลายสิบหนได้เจอพรรคพวกเพื่อนฝูงทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและความคิดที่แตกต่างกันไป อย่างเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ก็ได้มาจากการไปประชุม อบรม สัมมนา มีเพื่อนรุ่นพี่ได้เล่าให้ฟังถึง &quot;10 วัยอายุกับพฤติกรรมของคนเรา&quot; ที่น่าสนใจมาก ท่านลองคิดและพิจารณาดูก็ได้ว่าในแต่ละช่วงวัยอายุจะมีพฤติกรรมที่แตกต่างกันไปกล่าวคือ - <br /><br />เมื่ออายุได้ 10 ขวบ จะมีความรู้สึกเหมือนกันว่า &quot;อาบน้ำบ่หนาว&quot; เพราะอายุยังน้อยอยู่ - เมื่ออายุได้ 20 ปี มีความรู้สึกเหมือนกันว่า &quot;จีบสาวบ่เบื่อ&quot; เพราะยังอยู่ในวัยกลัดมัน - เมื่ออายุได้ 30 ปี จะอยู่ในวัยที่เรียกว่า &quot;เจอเสือบ่ยั่น&quot; เพราะอยู่ในวัยฉกรรจ์ไม่เกรง หน้าอินทร์หน้าพรหมทั้งนั้น - เมื่ออายุได้ 40 ปี จะอยู่ในวัยที่เรียกว่า &quot;ขยันตื่นก่อนไก่โห่&quot; เพราะอยู่ในวัยที่ต้องทำมาหากินสร้างเนื้อสร้างตัว - เมื่ออายุได้ 50 ปี อยู่ในวัยที่เรียกว่า &quot;นอนทอดหุ่ย&quot; เพราะสร้างเนื้อสร้างตัวได้ที่แล้วจึงต้องเพลาแรงลงบ้าง<br /><br /> - เมื่ออายุได้ 60 ปี อยู่ในวัยที่เรียกว่า &quot;เป่าขลุ่ยบ่ดัง&quot; เพราะลุยสร้างเนื้อสร้างตัวมานานเรี่ยวแรงลดน้อยถอยลงไปมากแค่เป่าขลุ่ยยังไม่ดัง - เมื่ออายุได้ 70 ปี จะอยู่ในวัยที่เรียกว่า &quot;ตีระฆังบ่แม่น&quot; เพราะเข้าสู่วัยชราเรียวแรงไม่ต้องพูดถึง อ่อนลงทุกที - เมื่ออายุได้ 80 ปี จะอยู่ในวัยที่เรียกว่า &quot;บักแบ้นบ่ดัง&quot; เพราะใช้ร่างกายมาจนบักโกรกแล้ว - เมื่ออายุได้ 90 ปี จะอยู่ในวัยที่เรียกว่า &quot;โห่บ่ดัง&quot; ด้วยว่ากำลังวังชาไม่เหลือหรอ - เมื่ออายุได้ 100 ปี จะอยู่ในวัยที่เรียกว่า &quot;ไข้ก็ตาย ไม่ไข้ก็ตาย&quot;<br /><br /> เอาเป็นว่าเมื่อถึงอายุขนาดนี้แล้ว มีพระเป็นที่พึ่งเท่านั้นแหละครับ <br /><br />Cr. จันโททัย
ชีวิตคนเรานี้สั้นนัก ดูตามตารางที่โลกเขาสำรวจมาสด ๆ ร้อน ๆ ไทยเราอยู่ในลำดับที่ ๔๕ อายุเฉลี่ยที่ ๗๙ ไม่ถึง ๘๐ ปี (ปีนี้ผมย่าง ๗๕ เหลือเวลาอีกแค่ ๔ ปี) ประมาทไม่ได้แล้วเวลาเหลือสั้นลง ๆ ชีวิตนี้น้อยนัก..สั้นนิดเดียว

"ชีวิตนี้น้อยนัก แต่มีความสำคัญนักด้วยเหมือนกัน ถ้าชีวิตนี้ไม่วิ่งหนีกรรมไม่ดีในอดีต ชีวิตนี้ก็จะรับผลกรรมไม่ดี ถ้าวิ่งหนีก็จะพ้นได้ กรรมไม่ดีจะตามทันหรือไม่ขึ้นอยู่กับชีวิตนี้ ยิ่งกว่านั้นถ้ากรรมตามทันในชีวิตนี้ ก็จะตามต่อไปได้อีกในชีวิตอนาคต กรรมไม่ดีที่ทำไว้ในอดีตมากมาย อาจจะตามไม่ทันตลอดไปก็ได้ ถ้าทำชาตินี้ให้ดีที่สุด"…โอวาทพระสังฆราช


"แต่ละวัย เป็นอย่างไรกันนี่"

เมื่อเป็นผู้บริหารในหน่วยงานต่างๆจะต้องเหมือนกันอยู่อย่างคือ การไปประชุม ไปอบรม ไปสัมมนา เพื่อเสริมความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติงานปีหนึ่งๆ ก็ไปกันหลายสิบหนได้เจอพรรคพวกเพื่อนฝูงทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและความคิดที่แตกต่างกันไป อย่างเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ก็ได้มาจากการไปประชุม อบรม สัมมนา มีเพื่อนรุ่นพี่ได้เล่าให้ฟังถึง "10 วัยอายุกับพฤติกรรมของคนเรา" ที่น่าสนใจมาก ท่านลองคิดและพิจารณาดูก็ได้ว่าในแต่ละช่วงวัยอายุจะมีพฤติกรรมที่แตกต่างกันไปกล่าวคือ -

เมื่ออายุได้ 10 ขวบ จะมีความรู้สึกเหมือนกันว่า "อาบน้ำบ่หนาว" เพราะอายุยังน้อยอยู่ - เมื่ออายุได้ 20 ปี มีความรู้สึกเหมือนกันว่า "จีบสาวบ่เบื่อ" เพราะยังอยู่ในวัยกลัดมัน - เมื่ออายุได้ 30 ปี จะอยู่ในวัยที่เรียกว่า "เจอเสือบ่ยั่น" เพราะอยู่ในวัยฉกรรจ์ไม่เกรง หน้าอินทร์หน้าพรหมทั้งนั้น - เมื่ออายุได้ 40 ปี จะอยู่ในวัยที่เรียกว่า "ขยันตื่นก่อนไก่โห่" เพราะอยู่ในวัยที่ต้องทำมาหากินสร้างเนื้อสร้างตัว - เมื่ออายุได้ 50 ปี อยู่ในวัยที่เรียกว่า "นอนทอดหุ่ย" เพราะสร้างเนื้อสร้างตัวได้ที่แล้วจึงต้องเพลาแรงลงบ้าง

- เมื่ออายุได้ 60 ปี อยู่ในวัยที่เรียกว่า "เป่าขลุ่ยบ่ดัง" เพราะลุยสร้างเนื้อสร้างตัวมานานเรี่ยวแรงลดน้อยถอยลงไปมากแค่เป่าขลุ่ยยังไม่ดัง - เมื่ออายุได้ 70 ปี จะอยู่ในวัยที่เรียกว่า "ตีระฆังบ่แม่น" เพราะเข้าสู่วัยชราเรียวแรงไม่ต้องพูดถึง อ่อนลงทุกที - เมื่ออายุได้ 80 ปี จะอยู่ในวัยที่เรียกว่า "บักแบ้นบ่ดัง" เพราะใช้ร่างกายมาจนบักโกรกแล้ว - เมื่ออายุได้ 90 ปี จะอยู่ในวัยที่เรียกว่า "โห่บ่ดัง" ด้วยว่ากำลังวังชาไม่เหลือหรอ - เมื่ออายุได้ 100 ปี จะอยู่ในวัยที่เรียกว่า "ไข้ก็ตาย ไม่ไข้ก็ตาย"

เอาเป็นว่าเมื่อถึงอายุขนาดนี้แล้ว มีพระเป็นที่พึ่งเท่านั้นแหละครับ

Cr. จันโททัย
cats๖๒.jpg (74.42 KiB) เข้าดูแล้ว 1226 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4402
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: อ่านให้จบ...แล้วคุณจะรักตัวเองเป็น

"สัจธรรมของชีวิต" กำลังสอนเราให้รู้ว่า.. อย่าคาดหวังอะไรจากใคร แม้คุณจะทำดีมากแค่ไหน ..ก็ได้แค่เสมอตัว เพราะในโลกใบนี้ มักมีแต่คนที่ตักตวงผลประโยชน์เข้าหาตัวเองกันทุกคน "คนที่ไม่ได้ผลประโยชน์จากเรา.. ก็มักจะว่า...เราไม่ดี คนที่เขาได้ผลประโยชน์จากเรา.. ก็พูดว่า..เราเป็นคนดี" แม้แต่สุนัขที่เลี้ยงไว้ ที่เราคิดว่าแสนซื่อสัตย์ ลองเผลอเอาไก่ทอดไปวางตรงหน้าดูสิ มันก็แง่งใส่ พี่น้องรักกันมากเมื่อพ่อแม่จากไป ลองคุยเรื่องทรัพย์สินมรดก..ดูสิ บริษัทให้ความสำคัญเรามาก ลองต่อรองเงินเดือน..ดูสิ แฟน...ไม่มีทางเป็นอื่น ลองห่างกันไปนานๆ ..ดูสิ เพื่อนรักรู้ใจกันมาก ลองขอความช่วยเหลือ..ดูสิ ญาติมิตรดีต่อกันมาก ลองไม่มีเงิน ไม่มีผลประโยชน์ให้..ดูสิ

จง..อย่าคาดหวังอะไรจากใครๆ เพราะสุดท้าย… คุณจะพบว่า คนรอบข้างคุณนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวังให้เป็น.. ยิ่งคาดหวังมาก ยิ่งผิดหวังมาก นี่คือเรื่องจริง.. เราจึงไม่ควรคาดหวังอะไรจาก การคบคน.. คบได้ ดีด้วยได้ แต่ไม่ต้องคาดหวังว่าเขาจะดีตอบ.. ถ้าเราไม่คาดหวัง เราก็จะไม่ผิดหวัง เมื่อไม่ผิดหวัง เราก็จะไม่ ทุกข์ เมื่อใดที่เราเหนื่อยล้า มักจะมีคนบอกเราว่าพักบ้างนะ แต่ไม่มีใครหาเงินให้ใช้หรอก..จริงมั้ย

เมื่อใดที่เราไม่สบายจะมีคนบอกว่าหายเร็วๆ นะ แต่ไม่มีใครพาเราไปรักษาหาหมอ..จริงมั้ย เมื่อใดที่สิ่งของพังจะมีคนบอกเราว่า ไม่เป็นไรซื้อใหม่ได้.. แต่ไม่มีใครซื้อให้หรอก..จริงมั้ย เมื่อใดลำบากจะมีคนบอกเราว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป.. แต่ไม่มีใครสักคนช่วยเหลือ.."จริงมั้ย"

เกิดมาคนเดียว จากไปคนเดียว อย่าคาดหวังอะไรจากใคร.. “ใครดี ไม่ดี แค่รู้ก็พอ คนบางคน แค่เข้าใจก็พอ ได้ยินอะไรมา แค่ฟังก็พอ” คนบางคน ผ่านเข้ามาในชีวิต เป็นเหมือนกับของขวัญ คนบางคน ผ่านเข้ามาในชีวิต เพื่อสอนบทเรียนให้เรา หมั่นเตือนตัวเองเสมอว่า… จงอย่าแสดงออกมากเกินไป อย่าคาดหวังว่าทำดีกับใครแล้วเขาจะดีตอบ

"ประสบการณ์จะสอนว่า ทำดีได้ แต่ควรต้องทำดีให้ถูกคนด้วย กับบางคน และ บางเรื่อง ต้องหัดใส่หน้ากากบ้าง…!! พึ่งตัวเองเยอะๆ ตัวเราเองที่จะพาเราอยู่รอดและพาเรา ผ่านทุกๆ อุปสรรค และ ปัญหาในชีวิตเราไปได้ ...ทั้งหมดทั้งปวงอยู่ที่ตัวเราเอง...จำไว้.. @ GingGo
:idea: :idea:


:) :D มองศิลป์ เมืองสวย 360 ตอนวัดบ้านหลุก:หอธรรม หัมยนต์ โบสถ์กลางทุ่ง สุดยอดศิลปกรรมยอง :) :D
ไฟล์แนบ
cat 1.jpg
cat 1.jpg (137.65 KiB) เข้าดูแล้ว 1108 ครั้ง
cat 2.jpg
cat 2.jpg (160.98 KiB) เข้าดูแล้ว 1108 ครั้ง
อรุณสวัสดิ์ครับท่านที่เคารพ เช้านี้จะพาทุกท่านไปเที่ยววัดท่าหลุก เพื่อไปชมสำนักปฏิบัติธรรมและชมโบราณสถาน แต่ก่อนที่จะถึงบ้านท่าหลุกเราพากันไปตลาดนัดประตูป่ากันก่อนนะครับ เพื่อไปหาเห็ดถอบ (เห็ดเผาะ) เพราะฤดูนี้เป็นฤดูของเห็ดถอบ คนเมืองเหนือนิยมบริโภคกันมากครับ ตอนนี้ราคาลิตรละ ๓ - ๔๐๐ บ.เรียกว่าไม่ธรรมดาครับ <br /><br />เห็ดเผาะ หรือ เห็ดถอบ เป็นเห็ดราชนิดหนึ่งในวงศ์ Diplocystaceae เมื่ออ่อนและดอกยังไม่เปิดมีลักษณะคล้ายเห็ดราในหมวด Basidiomycota กล่าวคือเป็นลูกกลม เมื่อโตขึ้นดอกเห็ดมีลักษณะเป็นรูปดาวซึ่งเป็นผลมาจากเนื้อเยื่อชันนอกของสปอโรคาร์ปแตกออก เห็ดเผาะเป็นเห็ดชนิดไมคอร์ไรซาที่เติบโตร่วมกับต้นไม้หลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในดินร่วนปนทราย<br /><br />เห็ดเผาะมีการกระจายพันธุ์ทั่วโลกในเขตอบอุ่นและเขตร้อน ชื่อสามัญ hygroscopic earthstar มาจากมันมีคุณสมบัติไฮโกรสโคปิก (ดูดซับน้ำ) เห็ดจะเปิดดอกวงนอกเผยถุงสปอร์เมื่อมีความชื้นเพิ่มขึ้นและปิดอีกครั้งเมื่อแห้ง ดอกวงนอกจะแตกแบบไม่สม่ำเสมอที่ผิว ขณะที่ถุงสปอร์เป็นสีน้ำตาลอ่อนมีรอยฉีกยาวบริเวณด้านบน เกลบา (gleba) เริ่มแรกมีสีขาวและกลายเป็นสีน้ำตาลและเป็นผงเมื่อสปอร์เจริญเต็มที่ สปอร์มีสีน้ำตาลแดง เกือบกลม มีปุ่มเล็กๆ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 7.5–11 ไมโครเมตร<br /><br />แม้ว่าจะมีลักษณะภายนอกคล้ายกัน แต่เห็ดเผาะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเห็ดราในสกุล Geastrum ถึงในอดีตจะมีการจัดอนุกรมวิธานไว้ในสกุลนี้ก็ตาม เห็ดชนิดนี้ได้รับการจัดจำแนกครั้งแรกโดยคร้สติน เฮนดริก เพอร์ซูน (Christiaan Hendrik Persoon) ในปี ค.ศ. 1801 เป็น Geastrum hygrometricus ในปี ค.ศ. 1885 แอนดรูว์ พี. เมอร์แกน (Andrew P. Morgan) เสนอว่าเห็นชนิดนี้มีความแตกต่างทางลักษณะในระดับที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น จึงควรแยกออกเป็นสกุลใหญ่ Astraeus แต่ความเห็นนี้กลับไม่เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ประชากรเห็ดในเอเชียที่แต่เดิมจำแนกเป็นเห็ดเผาะ (A. hygrometricus) ได้รับการจัดจำแนกใหม่ในช่วงทศวรรษที่ 20 จากการจำแนกตามวิวัฒนาการชาติพันธุ์เห็ดในสกุล Astraeus ประกอบด้วย เห็ดเผาะฝ้าย (A. asiaticus) และเห็ดเผาะหนัง (A. odoratus)<br /><br />ความเชื่อแต่โบราณ<br /><br />ในแพทย์แผนจีนมีการใช้เห็ดเผาะเป็นยาห้ามเลือดโดยใช้ผงสปอร์กับบาดแผลเพื่อหยุดการไหลของเลือดและลดภาวะมือและเท้าอักเสบ[33] มีรายงานว่ามีเผ่าสองเผ่าในรัฐมัธยประเทศ ประเทศอินเดีย คือ Baiga และ Bharia ใช้ดอกเป็นยา สปอร์นำมาผสมกับน้ำมันเมล็ดมัสตาร์ดใช้เป็นขี้ผึ่งรักษาแผลไฟไหม้ได้[34] เผ่า Blackfoot ในอเมริกาเหนือเรียกเห็ดชนิดนี้ว่า &quot;fallen stars&quot; เนื่องด้วยเชื่อว่าเห็ดเหล่านี้เป็นดาวที่ตกมายังพื้นดินระหว่างเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ[35]<br /><br />เครดิต...วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อรุณสวัสดิ์ครับท่านที่เคารพ เช้านี้จะพาทุกท่านไปเที่ยววัดท่าหลุก เพื่อไปชมสำนักปฏิบัติธรรมและชมโบราณสถาน แต่ก่อนที่จะถึงบ้านท่าหลุกเราพากันไปตลาดนัดประตูป่ากันก่อนนะครับ เพื่อไปหาเห็ดถอบ (เห็ดเผาะ) เพราะฤดูนี้เป็นฤดูของเห็ดถอบ คนเมืองเหนือนิยมบริโภคกันมากครับ ตอนนี้ราคาลิตรละ ๓ - ๔๐๐ บ.เรียกว่าไม่ธรรมดาครับ

เห็ดเผาะ หรือ เห็ดถอบ เป็นเห็ดราชนิดหนึ่งในวงศ์ Diplocystaceae เมื่ออ่อนและดอกยังไม่เปิดมีลักษณะคล้ายเห็ดราในหมวด Basidiomycota กล่าวคือเป็นลูกกลม เมื่อโตขึ้นดอกเห็ดมีลักษณะเป็นรูปดาวซึ่งเป็นผลมาจากเนื้อเยื่อชันนอกของสปอโรคาร์ปแตกออก เห็ดเผาะเป็นเห็ดชนิดไมคอร์ไรซาที่เติบโตร่วมกับต้นไม้หลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในดินร่วนปนทราย

เห็ดเผาะมีการกระจายพันธุ์ทั่วโลกในเขตอบอุ่นและเขตร้อน ชื่อสามัญ hygroscopic earthstar มาจากมันมีคุณสมบัติไฮโกรสโคปิก (ดูดซับน้ำ) เห็ดจะเปิดดอกวงนอกเผยถุงสปอร์เมื่อมีความชื้นเพิ่มขึ้นและปิดอีกครั้งเมื่อแห้ง ดอกวงนอกจะแตกแบบไม่สม่ำเสมอที่ผิว ขณะที่ถุงสปอร์เป็นสีน้ำตาลอ่อนมีรอยฉีกยาวบริเวณด้านบน เกลบา (gleba) เริ่มแรกมีสีขาวและกลายเป็นสีน้ำตาลและเป็นผงเมื่อสปอร์เจริญเต็มที่ สปอร์มีสีน้ำตาลแดง เกือบกลม มีปุ่มเล็กๆ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 7.5–11 ไมโครเมตร

แม้ว่าจะมีลักษณะภายนอกคล้ายกัน แต่เห็ดเผาะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเห็ดราในสกุล Geastrum ถึงในอดีตจะมีการจัดอนุกรมวิธานไว้ในสกุลนี้ก็ตาม เห็ดชนิดนี้ได้รับการจัดจำแนกครั้งแรกโดยคร้สติน เฮนดริก เพอร์ซูน (Christiaan Hendrik Persoon) ในปี ค.ศ. 1801 เป็น Geastrum hygrometricus ในปี ค.ศ. 1885 แอนดรูว์ พี. เมอร์แกน (Andrew P. Morgan) เสนอว่าเห็นชนิดนี้มีความแตกต่างทางลักษณะในระดับที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น จึงควรแยกออกเป็นสกุลใหญ่ Astraeus แต่ความเห็นนี้กลับไม่เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ประชากรเห็ดในเอเชียที่แต่เดิมจำแนกเป็นเห็ดเผาะ (A. hygrometricus) ได้รับการจัดจำแนกใหม่ในช่วงทศวรรษที่ 20 จากการจำแนกตามวิวัฒนาการชาติพันธุ์เห็ดในสกุล Astraeus ประกอบด้วย เห็ดเผาะฝ้าย (A. asiaticus) และเห็ดเผาะหนัง (A. odoratus)

ความเชื่อแต่โบราณ

ในแพทย์แผนจีนมีการใช้เห็ดเผาะเป็นยาห้ามเลือดโดยใช้ผงสปอร์กับบาดแผลเพื่อหยุดการไหลของเลือดและลดภาวะมือและเท้าอักเสบ[33] มีรายงานว่ามีเผ่าสองเผ่าในรัฐมัธยประเทศ ประเทศอินเดีย คือ Baiga และ Bharia ใช้ดอกเป็นยา สปอร์นำมาผสมกับน้ำมันเมล็ดมัสตาร์ดใช้เป็นขี้ผึ่งรักษาแผลไฟไหม้ได้[34] เผ่า Blackfoot ในอเมริกาเหนือเรียกเห็ดชนิดนี้ว่า "fallen stars" เนื่องด้วยเชื่อว่าเห็ดเหล่านี้เป็นดาวที่ตกมายังพื้นดินระหว่างเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ[35]

เครดิต...วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
cat 3.jpg (160.35 KiB) เข้าดูแล้ว 1108 ครั้ง
๒๘ พ.ค.๖๗ ไปวัดท่าหลุก (23).jpg
๒๘ พ.ค.๖๗ ไปวัดท่าหลุก (23).jpg (138.68 KiB) เข้าดูแล้ว 1108 ครั้ง
๒๘ พ.ค.๖๗ ไปวัดท่าหลุก (24).jpg
วัดบ้านหลุก (ตำบลเหมืองง่า)<br /><br />วัดบ้านหลุก เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่ในตำบลเหมืองง่า อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน มีที่ดินตั้งวัดเนื้อที่ 7 ไร่ 1 งาน 3 ตารางวา<br /><br />วัดบ้านหลุกสร้างเมื่อ พ.ศ. 2325 มีตำนานเล่าว่า เจ้าผู้ครองนครเมืองหริภุญชัยได้ยกทัพไปตีข้าศึกที่เมืองเชียงตุง ประเทศพม่า เมื่อได้รับชัยชนะจึงต้อนผู้คนจากเมืองยองกลับมายังหริภุญชัย ซึ่งมีพระภิกษุรูปหนึ่งไม่ปรากฏชื่อซึ่งอาศัยอยู่วัดหนึ่งที่มีนามว่า &quot;วัดบ้านหลุก&quot; ที่มีอยู่ในเมืองยอง พระภิกษุรูปนี้มีวิชาอาคมและยังได้มาตั้งวัดวาอารามขึ้นซึ่งอยู่ทางเหนือของเมืองหริภุญชัย เพื่อให้เป็นหน้าด่านตั้งรับมือข้าศึกที่เข้ามาตีเมืองหริภุญชัย วัดที่ตั้งขึ้นใหม่ได้ตั้งชื่อตามวัดที่ท่านอาศัยอยู่เดิม คือ &quot;วัดบ้านหลุก&quot;<br /><br />เสนาสนะของวัดมีสภาพเก่าแก่แต่ยังคงสมบูรณ์ทั้งวิหาร และหอไตร หอไตรหรือหอธรรมสร้างเมื่อ จ.ศ. 1258 (พ.ศ.2429) โดยครูบาปัญญาเป็นประธานในการก่อสร้าง สร้างด้วยไม้ลักษณะเป็นอาคาร 2 ชั้น มีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีใต้ถุนสูงเชื่อมต่อด้วยกุฏิที่เป็นเรือนไม้ ภายนอกอาคารประดับประติมากรรมแกะสลักไม้เป็นรูปท้าวจตุโลกบาลอยู่ทั้ง 4 มุมอาคาร หลังคามุงกระเบื้องที่เชิงชายประดับแป้นน้ำย้อย ที่สันหลังคาประดับนกหัสดีลิงค์แกะไม้ประดับกระจกจืน หน้าบันแกะสลักไม้และประดับกระจกจืน เช่นกัน ช่อฟ้าทำจากไม้บุด้วยทองเหลือง หน้าต่างใช้การเขียนลายบนชาด เป็นลายเทวดาเดินประทักษิณ ภายในหอไตรเก็บหีบธรรมบรรจุพระไตรปิฎกแบบใบลานซึ่งเป็นหีบธรรมโบราณที่เหลืออยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด ส่วนอุโบสถก่ออิฐถือปูนหน้าบันเป็นไม้แกะสลักวิจิตรบรรจง สภาพค่อนข้างชำรุดทรุดโทรมมาก<br /><br />จาก สารานุกรม วิกิพีเดีย
วัดบ้านหลุก (ตำบลเหมืองง่า)

วัดบ้านหลุก เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่ในตำบลเหมืองง่า อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน มีที่ดินตั้งวัดเนื้อที่ 7 ไร่ 1 งาน 3 ตารางวา

วัดบ้านหลุกสร้างเมื่อ พ.ศ. 2325 มีตำนานเล่าว่า เจ้าผู้ครองนครเมืองหริภุญชัยได้ยกทัพไปตีข้าศึกที่เมืองเชียงตุง ประเทศพม่า เมื่อได้รับชัยชนะจึงต้อนผู้คนจากเมืองยองกลับมายังหริภุญชัย ซึ่งมีพระภิกษุรูปหนึ่งไม่ปรากฏชื่อซึ่งอาศัยอยู่วัดหนึ่งที่มีนามว่า "วัดบ้านหลุก" ที่มีอยู่ในเมืองยอง พระภิกษุรูปนี้มีวิชาอาคมและยังได้มาตั้งวัดวาอารามขึ้นซึ่งอยู่ทางเหนือของเมืองหริภุญชัย เพื่อให้เป็นหน้าด่านตั้งรับมือข้าศึกที่เข้ามาตีเมืองหริภุญชัย วัดที่ตั้งขึ้นใหม่ได้ตั้งชื่อตามวัดที่ท่านอาศัยอยู่เดิม คือ "วัดบ้านหลุก"

เสนาสนะของวัดมีสภาพเก่าแก่แต่ยังคงสมบูรณ์ทั้งวิหาร และหอไตร หอไตรหรือหอธรรมสร้างเมื่อ จ.ศ. 1258 (พ.ศ.2429) โดยครูบาปัญญาเป็นประธานในการก่อสร้าง สร้างด้วยไม้ลักษณะเป็นอาคาร 2 ชั้น มีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีใต้ถุนสูงเชื่อมต่อด้วยกุฏิที่เป็นเรือนไม้ ภายนอกอาคารประดับประติมากรรมแกะสลักไม้เป็นรูปท้าวจตุโลกบาลอยู่ทั้ง 4 มุมอาคาร หลังคามุงกระเบื้องที่เชิงชายประดับแป้นน้ำย้อย ที่สันหลังคาประดับนกหัสดีลิงค์แกะไม้ประดับกระจกจืน หน้าบันแกะสลักไม้และประดับกระจกจืน เช่นกัน ช่อฟ้าทำจากไม้บุด้วยทองเหลือง หน้าต่างใช้การเขียนลายบนชาด เป็นลายเทวดาเดินประทักษิณ ภายในหอไตรเก็บหีบธรรมบรรจุพระไตรปิฎกแบบใบลานซึ่งเป็นหีบธรรมโบราณที่เหลืออยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด ส่วนอุโบสถก่ออิฐถือปูนหน้าบันเป็นไม้แกะสลักวิจิตรบรรจง สภาพค่อนข้างชำรุดทรุดโทรมมาก

จาก สารานุกรม วิกิพีเดีย
cat 4.jpg
cat 4.jpg (121.76 KiB) เข้าดูแล้ว 1108 ครั้ง
cat 5.1.jpg
cat 5.1.jpg (166.5 KiB) เข้าดูแล้ว 1108 ครั้ง
เราเยี่ยมชมสถานที่เก็บภาพมาฝาก แต่เสียดายที่ไม่เจอใครที่พอจะให้ความรู้และให้รายละเอียดได้มากนัก สังเกตุดูก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ ๆ สำคัญพอสมควร ควรค่าแก่การบำรุงรักษาและอนุลักษณ์ไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษา ประวัติและความเป็นมาของบรรพบุรุษ น่าเสียดายนะครับ &quot;ไทย.เราไม่นิยม อนุลักษณ์ของเก่า&quot; (จะยกตัวอย่างนะครับ...หลาย ๆ สิ่งในตัวเมืองเชียงใหม่ ใกล้ ๆ แถวบ้านที่ผมอาศัยอยู่ (ช้างเผือก) ถูกทอดทิ้ง บุกรุก ทำลาย ขาดคนเอาใจใส่ดูแล สมัยเด็ก ๆ ผมจำได้ ปัจจุบันมีแต่ความทรงจำ และความเสียใจ เสียดาย ที่ไม่ได้เห็นอีกแล้ว)<br /><br />ได้เวลาสมควรเราก็กลับบ้าน ผ่านมาทางป่าเห็ว แวะตลาดหาซื้ออาหารการกิน กลับไปมื้อเที่ยงที่บ้านครับ
เราเยี่ยมชมสถานที่เก็บภาพมาฝาก แต่เสียดายที่ไม่เจอใครที่พอจะให้ความรู้และให้รายละเอียดได้มากนัก สังเกตุดูก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ ๆ สำคัญพอสมควร ควรค่าแก่การบำรุงรักษาและอนุลักษณ์ไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษา ประวัติและความเป็นมาของบรรพบุรุษ น่าเสียดายนะครับ "ไทย.เราไม่นิยม อนุลักษณ์ของเก่า" (จะยกตัวอย่างนะครับ...หลาย ๆ สิ่งในตัวเมืองเชียงใหม่ ใกล้ ๆ แถวบ้านที่ผมอาศัยอยู่ (ช้างเผือก) ถูกทอดทิ้ง บุกรุก ทำลาย ขาดคนเอาใจใส่ดูแล สมัยเด็ก ๆ ผมจำได้ ปัจจุบันมีแต่ความทรงจำ และความเสียใจ เสียดาย ที่ไม่ได้เห็นอีกแล้ว)

ได้เวลาสมควรเราก็กลับบ้าน ผ่านมาทางป่าเห็ว แวะตลาดหาซื้ออาหารการกิน กลับไปมื้อเที่ยงที่บ้านครับ
cat 5.jpg (170.34 KiB) เข้าดูแล้ว 1108 ครั้ง
๒๘ พ.ค.๖๗ ไปวัดท่าหลุก (38).jpg
๒๘ พ.ค.๖๗ ไปวัดท่าหลุก (38).jpg (56.27 KiB) เข้าดูแล้ว 1108 ครั้ง
110.jpg
110.jpg (4.9 KiB) เข้าดูแล้ว 1104 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4402
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: อ่านให้จบนะ ความสำเร็จ ความสุข คุณค่า วาสนา ของคน

ชีวิตคนเรา ... 1. อะไรคือความสำเร็จ? เมื่อใครคนหนึ่ง ผ่านอายุย่างเข้าวัยกลางคน เขามีสุขภาพแข็งแรง มีคนรักที่เข้าใจซึ่งกัน(ครอบครัว) มีลูกๆ ที่กตัญญูและเชื่อฟัง มีงานที่เขาชอบ ไม่ต้องมีชื่อเสียง ไม่ต้องร่ำรวย เป็นตัวของตัวเองโดยไม่ต้องเป็นตัวแทนของใคร นี่คือความสำเร็จ

2. อะไรคือความสุข? คนที่ใกล้ตายมักจะบอกเหมือนกันก็คือ “หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะไม่ทำโอทีจนไม่มีเวลาพักผ่อน ผมจะไม่เอาเป็นเอาตายกับการผ่อนบ้านผ่อนรถคันใหม่” และเมื่อถามเขาว่า หากกลับมาแข็งแรงได้อีกครั้งคุณจะทำอะไร? คำตอบที่เหมือนกันก็คือ “จะขอชดเชยโดยการใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวให้มากที่สุด”

3. คุณค่าของคุณอยู่ที่ไหน? หากคุณล้มป่วยหรือใกล้ถึงความตาย บริษัทที่คุณทำงานอยู่จะรีบหาพนักงานคนใหม่มาทำหน้าที่แทนคุณในทันที งานที่บริษัทยังคงดำเนินไปเป็นปกติ คุณไม่ได้เป็นคนสำคัญที่สุดของบริษัท! แต่สำหรับพ่อแม่ คนในครอบครัว สามีภรรยาและลูกของคุณ ท้องฟ้าของพวกเขากำลังจะถล่มลงมา เพราะคุณคือคนสำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเขา!

4. อะไรคือวาสนา? ไม่ร่ำรวยแต่ไม่ขัดสน ที่บ้านไม่มีคนป่วย พ่อแม่ลูกอยู่พร้อมหน้า ไม่มีญาติที่ถูกขังอยู่ในคุก ไม่มีศัตรูคู่อาฆาต ในกลุ่มไม่มีทุรชน ข้างกายไม่มีคนเลว ยามทำผิดมีกัลยาณมิตรคอยตักเตือน ทำการใดมีผู้อุปถัมภ์ มีผู้รู้เป็นมิตรสหาย นี่แหละคือวาสนา

#AnuchitChalee #ที่ว่าการคำคม :idea: :idea:

:) :D อรุณสวัสดิ์ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ เมื่อวันที่ ๑ - ๓ มิ.ย.๖๗ เป็นวันหยุดยาว ๓ วัน (เสาร์-อาทิตย์ วันจันทร์วันเฉลิมพระชนพรรษาราชินี) ตามสัญญาที่จะพาชายปุรณ์ ฯ ไปเที่ยว สอบถามเจ้าตัวแล้วว่าอยากไปที่ใด ? คำตอบคือ ไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ที่ ปุ่ - ย่า จะพาไป เราจึงเสนอว่าไปแล้วเราต้องไปปั่นด้วยนะ เด็กน้อยชอบใจรีบตอบตกลงทันที ก่อนเดินทางจึงให้การบ้านเด็กน้อยเข้าไปค้นหาสถานที่เที่ยวเอง (โดยเราแนะนำเป็นสถานที่เราเคยไปมาแล้วสถานที่ปั่นต้องใกล้ๆ เนื่องจากเด็กน้อยยังไม่พร้อมที่จะปั่นนานเกินกำลัง)

ความสนใจเด็กน้อยอยู่ที่แม่น้ำสองสี (ไม่เคยได้ยิน) อ.เชียงคาน จ.เลย ที่เรียกว่าแม่น้ำเหือง แม่น้ำเหืองมีต้นกำเนิดมาจากภูเมี่ยงในประเทศลาว แล้วไหลเป็นเส้นกั้นพรมแดนไทยกับลาว ผ่านอำเภอนาแห้ว ด่านซ้าย ท่าลี่ จังหวัดเลย ซึ่งแม่น้ำเหืองนี้จะไหลอยู่ในเขตประเทศไทยยาวประมาณ ๒๐ กิโลเมตร และเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศลาวอีกประมาณ ๑๑๐ กิโลเมตร แล้วไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่บ้านท่าดีหมี ตำบลปากตม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ชาวบ้านเรียกบริเวณนี้ว่า “ปากน้ำเหือง แม่น้ำสองสี”

จุดที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ สกายวอร์ค (Sky walk ) ครับ เด็กน้อยตื่นเต้นอยากสัมผัส ว่าจะน่ากลัวขนาดไหน เราได้ทำตามสัญญาพาเด็กน้อยไปสานฝัน โดยออกเดินทางด้วยรถปิคอัปบรรทุกจักรยานไปพร้อม เป้าหมาย อ.เชียงคาน แก่งคุดคู้ ออกเดินทางจากบ้านปากกอง สารภี เมื่อ ๐๑๐๕๔๕ กค.๖๗ ถึงแก่งคุดคู้ ๐๑๑๔๓๐ ก.ค.๖๗ และเดินทางกลับ ๐๓๐๗๐๐ ก.ค.๖๗ ต่อจากนี้ไปจะเป็นรายละเอียดของการออนทัวร์ต่างถิ่นครั้งแรกในชีวิตชายปุรณ์ ฯ ครับ.
:) :D
ไฟล์แนบ
436446852_811272164279596_6804536551206557479_n.jpg
436446852_811272164279596_6804536551206557479_n.jpg (113.43 KiB) เข้าดูแล้ว 988 ครั้ง
cats ๒.๑.jpg
cats ๒.๒.jpg
ผลการค้นคว้าจากลุงกู ๓ ภาพที่เด็กน้อยพบในการค้นหาแหล่งที่ท่องเที่ยว ที่กระตุ้นต่อมความอยากจะได้เจอะเจอสักครั้ง โดยเฉพาะแม่น้ำสองสีเป็นอย่างไร ? เป็นแรงบันดาลใจให้หนูน้อยกระตือรือร้นอยากไปปั่นเที่ยว (ขอบคุณลุงกูและเจ้าของภาพครับ)
ผลการค้นคว้าจากลุงกู ๓ ภาพที่เด็กน้อยพบในการค้นหาแหล่งที่ท่องเที่ยว ที่กระตุ้นต่อมความอยากจะได้เจอะเจอสักครั้ง โดยเฉพาะแม่น้ำสองสีเป็นอย่างไร ? เป็นแรงบันดาลใจให้หนูน้อยกระตือรือร้นอยากไปปั่นเที่ยว (ขอบคุณลุงกูและเจ้าของภาพครับ)
cats ๒.๓.jpg (118.55 KiB) เข้าดูแล้ว 988 ครั้ง
วันที่ ๑ มิ.ย.๖๗ เราออกจากบ้านปากกองสารภีเดินทางถึง อ.เชียงคาน เมื่อเวลา ๑๔.๓๐ น.เข้าที่พักที่คุณนายจองไว้ก่อนเดินทาง(กันผิดหวังเพราะตรงวันหยุด) ห้องพักดีมากเจ้าของก็นิสัยดีเอื้ออาทรต่อแขกที่มาพัก ให้คำแนะนำต่าง ๆ อย่างเป็นกันเอง
วันที่ ๑ มิ.ย.๖๗ เราออกจากบ้านปากกองสารภีเดินทางถึง อ.เชียงคาน เมื่อเวลา ๑๔.๓๐ น.เข้าที่พักที่คุณนายจองไว้ก่อนเดินทาง(กันผิดหวังเพราะตรงวันหยุด) ห้องพักดีมากเจ้าของก็นิสัยดีเอื้ออาทรต่อแขกที่มาพัก ให้คำแนะนำต่าง ๆ อย่างเป็นกันเอง
cats ๒.jpg
cats ๓.๑.jpg
cats ๓.๒.jpg
cats ๓.jpg
cats ๓.jpg (93.19 KiB) เข้าดูแล้ว 988 ครั้ง
cats ๔.jpg
cats ๔.jpg (108.7 KiB) เข้าดูแล้ว 988 ครั้ง
cats ๕.jpg
cats ๕.jpg (103.13 KiB) เข้าดูแล้ว 988 ครั้ง
cats ๖.jpg
cats ๖.jpg (135.45 KiB) เข้าดูแล้ว 988 ครั้ง
cats ๗.jpg
cats ๗.jpg (93.67 KiB) เข้าดูแล้ว 988 ครั้ง
cats ๘.jpg
cats ๘.jpg (126.75 KiB) เข้าดูแล้ว 988 ครั้ง
cats ๙.jpg
cats ๙.jpg (121.67 KiB) เข้าดูแล้ว 988 ครั้ง
เมื่อสิบกว่าปีที่ผมปั่นเลาะลำโขงมาเที่ยว บริเวณแก่งนี้ไม่เจริญเท่าวันนี้ เวลานี้ ไม่มีร้านค้า ไม่มีประวัติหรือภาพนายพราน เป็นป่ารกแต่สวยงาม เรามากางเต้นท์นอนกัน อากาศสมัยนั้นค่อนข้างเย็นครับ
เมื่อสิบกว่าปีที่ผมปั่นเลาะลำโขงมาเที่ยว บริเวณแก่งนี้ไม่เจริญเท่าวันนี้ เวลานี้ ไม่มีร้านค้า ไม่มีประวัติหรือภาพนายพราน เป็นป่ารกแต่สวยงาม เรามากางเต้นท์นอนกัน อากาศสมัยนั้นค่อนข้างเย็นครับ
DSC_0959.JPG
DSC_0959.JPG (101.9 KiB) เข้าดูแล้ว 988 ครั้ง
DSC_0960.JPG
DSC_0960.JPG (78.34 KiB) เข้าดูแล้ว 988 ครั้ง
DSC_0963.JPG
DSC_0963.JPG (90.29 KiB) เข้าดูแล้ว 988 ครั้ง
ถึงที่พักหนูน้อยไม่ได้แสดงอาการของความเหนื่อยอ่อนเลย ตรงข้ามมีความกระตือรือร้นที่จะไปปั่นชมสถานที่ เราจึงพาไปปั่นวอร์มเบา ๆ ในบริเวณแก่งคุดคู้ซึ่งไม่ห่างจากที่พัก รวมปั่นเย็นวันนั้นไปได้ ๔ กม.ฝนก็โปรยเบา ๆ เหมือนต้อนรับ <br /><br /> &quot;แก่งคุดคู้&quot;   สถานที่ท่องเที่ยวฮิตของ อ. เชียงคาน จ. เลย เชื่อหรือไม่ว่าเขามีตำนานเล่าต่อกันมา <br /><br />นานแล้วมีพรานป่าคนหนึ่งชื่อ “จึ่งขึ่งดั้งแดง” รูปร่างสูงใหญ่ล่ำสัน มีฝีมือในการล่าสัตว์ วันหนึ่งนายพรานผู้นี้ตามล่าควายเงินมาจากหลวงพระบาง (ที่เรียกควายเงินเพราะมูลของควายตัวนี้เป็นเงิน) พอมาถึงริมน้ำโขงเห็นควายเงินพักกินน้ำ นายพรานจึงดักซุ่มยิง <br /><br />พอดีชาวบ้านแล่นเรือผ่านมา ควายเงินตกใจตื่นเตลิดขึ้นไปบนเขาลูกหนึ่ง (ต่อมาเขาลูกนี้ได้ชื่อว่า&quot;ภูควายเงิน&quot;) นายพรานเลยยิงไปถูกเขาอีกลูกจนพังทลายไปซีกหนึ่ง กลายเป็นหน้าผาสูงชัน ที่ชาวบ้านเรียกว่า “ภูผาแบ่น” <br /><br />นายพรานโกรธคนที่แล่นเรือผ่านซึ่งเป็นต้นเหตุให้ควายเงินหนีไป จึงกลั่นแกล้งด้วยการขนหินมาขวางกั้นลำโขงไม่ให้เดินเรือได้ นายพรานทำการเกือบจะสำเร็จ ก็พอดีมีสามเณรรูปหนึ่งมาเห็นเข้า เณรนั้นออกอุบายหลอกให้นายพรานใช้ไม้เฮียะ (ไม้ใผ่ชนิดหนึ่ง) ผ่าซีกหาบหินแทน ไม้เฮียะผ่าแล้วจะเป็นสันคมกริบ เมื่อนายพรานใช้หาบหิน ไม้นั้นก็บาดคอนอนตายคุดคู้อยู่ที่ริมโขงนั้นเอง <br /><br />แก่งหินนั้นจึงเรียกว่า “แก่งคุดคู้” ผลจากการที่นายพรานขนหินมาวางขวางทำให้กลางน้ำโขง มีหลายแก่งหลายแห่ง มีชื่อเรียกต่างๆ เช่น แก่งฟ้า แก่งจันทร์ เป็นต้น แก่งเหล่านี้แม้จะเป็นอุปสรรคต่อการเดินทางในลำน้ำโขงมาแต่โบราณ แต่ก็เป็นบริเวณที่มีปลาเข้ามาอยู่อาศัยอย่างชุกชุม <br /><br />สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาชมความงามของแก่งคุดคู้ สามารถขับรถเข้าถึงบริเวณแก่งคุดคู้ซึ่งมีที่จอดรถรองรับได้ประมาณพอประมาณ(ซึ่งไม่มีค่าจอดรถ..แต่หากเต็มแล้วอาจต้องจอดในที่เอกชนด้านนอก) และภายในนอกจากจะมีประวัติความเป็นมาของแก่งคุดคู้แล้ว ยังจัดเป็นส่วนย่อมสำหรับเดินเล่นเก็บภาพบริเวณโดยรอบ และนั่งพักผ่อน <br /><br />ภายในแก่งคุดคู้ ยังมีร้านขายอาหารและร้านขายขอฝาก เช่น มะพร้าวแก้ว ซึ่งเป็นของฝากขึ้นชื่อของอำเภอเชียงคานสำหรับติดไม้ติดมือไปฝากคนที่บ้านได้อีกด้วย ซึ่งแก่งคุดคู้นี้มีระยะทางห่างจากถนนคนเดินเชียงคานไปเพียง 5-6 กิโลเมตรเท่านั้น ...ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอิน ที่ไม่ควรพลาด เมื่อท่านมาเมืองเลย...<br /><br />ขอบคุณข้อมูลจาก องค์การบริหารส่วนจังหวัดเลย ถนนจรัสศรี ตำบลกุดป่อง อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย 4200
ถึงที่พักหนูน้อยไม่ได้แสดงอาการของความเหนื่อยอ่อนเลย ตรงข้ามมีความกระตือรือร้นที่จะไปปั่นชมสถานที่ เราจึงพาไปปั่นวอร์มเบา ๆ ในบริเวณแก่งคุดคู้ซึ่งไม่ห่างจากที่พัก รวมปั่นเย็นวันนั้นไปได้ ๔ กม.ฝนก็โปรยเบา ๆ เหมือนต้อนรับ

"แก่งคุดคู้" สถานที่ท่องเที่ยวฮิตของ อ. เชียงคาน จ. เลย เชื่อหรือไม่ว่าเขามีตำนานเล่าต่อกันมา

นานแล้วมีพรานป่าคนหนึ่งชื่อ “จึ่งขึ่งดั้งแดง” รูปร่างสูงใหญ่ล่ำสัน มีฝีมือในการล่าสัตว์ วันหนึ่งนายพรานผู้นี้ตามล่าควายเงินมาจากหลวงพระบาง (ที่เรียกควายเงินเพราะมูลของควายตัวนี้เป็นเงิน) พอมาถึงริมน้ำโขงเห็นควายเงินพักกินน้ำ นายพรานจึงดักซุ่มยิง

พอดีชาวบ้านแล่นเรือผ่านมา ควายเงินตกใจตื่นเตลิดขึ้นไปบนเขาลูกหนึ่ง (ต่อมาเขาลูกนี้ได้ชื่อว่า"ภูควายเงิน") นายพรานเลยยิงไปถูกเขาอีกลูกจนพังทลายไปซีกหนึ่ง กลายเป็นหน้าผาสูงชัน ที่ชาวบ้านเรียกว่า “ภูผาแบ่น”

นายพรานโกรธคนที่แล่นเรือผ่านซึ่งเป็นต้นเหตุให้ควายเงินหนีไป จึงกลั่นแกล้งด้วยการขนหินมาขวางกั้นลำโขงไม่ให้เดินเรือได้ นายพรานทำการเกือบจะสำเร็จ ก็พอดีมีสามเณรรูปหนึ่งมาเห็นเข้า เณรนั้นออกอุบายหลอกให้นายพรานใช้ไม้เฮียะ (ไม้ใผ่ชนิดหนึ่ง) ผ่าซีกหาบหินแทน ไม้เฮียะผ่าแล้วจะเป็นสันคมกริบ เมื่อนายพรานใช้หาบหิน ไม้นั้นก็บาดคอนอนตายคุดคู้อยู่ที่ริมโขงนั้นเอง

แก่งหินนั้นจึงเรียกว่า “แก่งคุดคู้” ผลจากการที่นายพรานขนหินมาวางขวางทำให้กลางน้ำโขง มีหลายแก่งหลายแห่ง มีชื่อเรียกต่างๆ เช่น แก่งฟ้า แก่งจันทร์ เป็นต้น แก่งเหล่านี้แม้จะเป็นอุปสรรคต่อการเดินทางในลำน้ำโขงมาแต่โบราณ แต่ก็เป็นบริเวณที่มีปลาเข้ามาอยู่อาศัยอย่างชุกชุม

สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาชมความงามของแก่งคุดคู้ สามารถขับรถเข้าถึงบริเวณแก่งคุดคู้ซึ่งมีที่จอดรถรองรับได้ประมาณพอประมาณ(ซึ่งไม่มีค่าจอดรถ..แต่หากเต็มแล้วอาจต้องจอดในที่เอกชนด้านนอก) และภายในนอกจากจะมีประวัติความเป็นมาของแก่งคุดคู้แล้ว ยังจัดเป็นส่วนย่อมสำหรับเดินเล่นเก็บภาพบริเวณโดยรอบ และนั่งพักผ่อน

ภายในแก่งคุดคู้ ยังมีร้านขายอาหารและร้านขายขอฝาก เช่น มะพร้าวแก้ว ซึ่งเป็นของฝากขึ้นชื่อของอำเภอเชียงคานสำหรับติดไม้ติดมือไปฝากคนที่บ้านได้อีกด้วย ซึ่งแก่งคุดคู้นี้มีระยะทางห่างจากถนนคนเดินเชียงคานไปเพียง 5-6 กิโลเมตรเท่านั้น ...ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอิน ที่ไม่ควรพลาด เมื่อท่านมาเมืองเลย...

ขอบคุณข้อมูลจาก องค์การบริหารส่วนจังหวัดเลย ถนนจรัสศรี ตำบลกุดป่อง อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย 4200
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ ก.ค (116).jpg (47.77 KiB) เข้าดูแล้ว 988 ครั้ง
แก้ไขล่าสุดโดย Deang-sarapee เมื่อ 05 มิ.ย. 2024, 17:53, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4402
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »


:idea: :idea: ประวัติ การสร้างเมืองเชียงคาน จ เลย :idea: :idea:



:) :D นายพรานล่าควายเงิน กับ "แก่งคุดคู้" ตำนานริมแม่น้ำโขง เชียงคาน จ.เลย :) :D



:) :D ถนนคนเดินเชียงคาน อ.เชียงคาน จ.เลย :) :D
ไฟล์แนบ
ตอนเย็นเราก็พากันไปถนนคนเดินเพื่อชมบรรยากาศที่เขาร่ำลือกันว่า &quot;ม่วนขนาด&quot;<br /><br />ถนนคนเดินเชียงคาน (ถนนชายโขง)  <br /><br />ด้วยระยะความยาวกว่า 1,200 เมตร ตลอดเส้นทางของถนนคนเดินเชียงคาน จังหวัดเลยแห่งนี้ เต็มไปด้วยร่องรอยของเสน่ห์มนต์ขลังความเก่าแก่ของวิถีชีวิตผู้คนในสมัยก่อน ที่ปัจจุบันถือว่าเป็นภาพที่หาชมได้ยาก ของกิน ของใช้และของที่ระลึกมากมายถูกนำมาวางขายกันอย่างแน่นขนัด<br /><br />ถนนที่ตั้งขนานไปกับแนวของแม่น้ำโขงช่วงที่ผ่านเขตเทศบาลตำบลเชียงคาน ตลอดสองฝั่งถนนเป็นบ้านเรือนของชาวบ้านที่ส่วนใหญ่ยังคงเอกลักษณ์เป็นบ้านไม้สองชั้น ซึ่งปัจจุบันมีบางส่วนถูกดัดแปลงเป็นโรงแรม เกสต์เฮาส์ ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึก <br /><br />บริเวณถนนคนเดินจะมีกิจกรรมตักบาตรข้าวเหนียวที่สืบทอดกันมาแต่บรรพบุรุษ และถือเป็นอีกหนึ่งวิถีชีวิตอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวเชียงคาน นักท่องเที่ยวหรือผู้สนใจอยากตักบาตร สามารถติดต่อที่พักเพื่อเตรียมข้าวเหนียวไว้ให้ หรือซื้อได้จากร้านที่มาตั้งโต๊ะจำหน่ายในช่วงเช้ามืดบริเวณถนนคนเดิน <br /><br />ถนนคนเดินจะเปิดให้เที่ยวชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป และจะมีกิจกรรมตักบาตรข้าวเหนียวในช่วงเช้า เวลา 05.30 – 06.30 น.<br /><br />เครดิต การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
ตอนเย็นเราก็พากันไปถนนคนเดินเพื่อชมบรรยากาศที่เขาร่ำลือกันว่า "ม่วนขนาด"

ถนนคนเดินเชียงคาน (ถนนชายโขง)

ด้วยระยะความยาวกว่า 1,200 เมตร ตลอดเส้นทางของถนนคนเดินเชียงคาน จังหวัดเลยแห่งนี้ เต็มไปด้วยร่องรอยของเสน่ห์มนต์ขลังความเก่าแก่ของวิถีชีวิตผู้คนในสมัยก่อน ที่ปัจจุบันถือว่าเป็นภาพที่หาชมได้ยาก ของกิน ของใช้และของที่ระลึกมากมายถูกนำมาวางขายกันอย่างแน่นขนัด

ถนนที่ตั้งขนานไปกับแนวของแม่น้ำโขงช่วงที่ผ่านเขตเทศบาลตำบลเชียงคาน ตลอดสองฝั่งถนนเป็นบ้านเรือนของชาวบ้านที่ส่วนใหญ่ยังคงเอกลักษณ์เป็นบ้านไม้สองชั้น ซึ่งปัจจุบันมีบางส่วนถูกดัดแปลงเป็นโรงแรม เกสต์เฮาส์ ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึก

บริเวณถนนคนเดินจะมีกิจกรรมตักบาตรข้าวเหนียวที่สืบทอดกันมาแต่บรรพบุรุษ และถือเป็นอีกหนึ่งวิถีชีวิตอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวเชียงคาน นักท่องเที่ยวหรือผู้สนใจอยากตักบาตร สามารถติดต่อที่พักเพื่อเตรียมข้าวเหนียวไว้ให้ หรือซื้อได้จากร้านที่มาตั้งโต๊ะจำหน่ายในช่วงเช้ามืดบริเวณถนนคนเดิน

ถนนคนเดินจะเปิดให้เที่ยวชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป และจะมีกิจกรรมตักบาตรข้าวเหนียวในช่วงเช้า เวลา 05.30 – 06.30 น.

เครดิต การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
cats ๑๒.๑.jpg (115.01 KiB) เข้าดูแล้ว 972 ครั้ง
cats ๑๒.jpg
cats ๑๓.jpg
cats ๑๓.jpg (52.97 KiB) เข้าดูแล้ว 972 ครั้ง
cats ๑๒.๑.jpg
cats ๑๔.jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (53).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (53).jpg (137.27 KiB) เข้าดูแล้ว 951 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (55).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (57).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (57).jpg (118.44 KiB) เข้าดูแล้ว 951 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (58).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (59).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (76).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (76).jpg (123.33 KiB) เข้าดูแล้ว 951 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (82).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (82).jpg (140.84 KiB) เข้าดูแล้ว 951 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (91).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (91).jpg (132.8 KiB) เข้าดูแล้ว 951 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (93).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (93).jpg (104.35 KiB) เข้าดูแล้ว 951 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (96).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (96).jpg (125.66 KiB) เข้าดูแล้ว 951 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (50).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (50).jpg (128.32 KiB) เข้าดูแล้ว 951 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (61).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (61).jpg (126.88 KiB) เข้าดูแล้ว 951 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (70).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (70).jpg (109.65 KiB) เข้าดูแล้ว 951 ครั้ง
เดินกันจนเหนื่อยเรียกว่าเอาให้ชายปุรณ์ ฯ หายอยาก ขอกลับ เราจึงพากันไปทานมื้อเย็นก่อนกลับที่พักครับ ร้านเป็นร้านศิษย์เก่าแม่โจ้ รุ่น ๕๗ ทำมัง ฯ ให้เราเป็นพิเศษอาหารอร่อยมาก เพราะแม่ค้าเองก็กินเจ เหมือนกันแต่เฉพาะวันสำคัญและวันเทศกาลเท่านั้น ก็ถือว่า..ยังดี ขอบคุณกับข้าวที่แสนอร่อย และจัดให้เราเป็นพิเศษครับ
เดินกันจนเหนื่อยเรียกว่าเอาให้ชายปุรณ์ ฯ หายอยาก ขอกลับ เราจึงพากันไปทานมื้อเย็นก่อนกลับที่พักครับ ร้านเป็นร้านศิษย์เก่าแม่โจ้ รุ่น ๕๗ ทำมัง ฯ ให้เราเป็นพิเศษอาหารอร่อยมาก เพราะแม่ค้าเองก็กินเจ เหมือนกันแต่เฉพาะวันสำคัญและวันเทศกาลเท่านั้น ก็ถือว่า..ยังดี ขอบคุณกับข้าวที่แสนอร่อย และจัดให้เราเป็นพิเศษครับ
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4402
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: การมีจุดมุ่งหมายในชีวิตนั้นไม่ใช่เพียงการเข้าร่วมการฝึกอบรมวิชาชีพหนึ่งหรือการมุ่งสู่ผลลัพธ์หนึ่งๆ แต่หมายถึงการมุ่งสู่วิสัยทัศน์แห่งอนาคตของตนเอง การมีจุดมุ่งหมายในชีวิตจะสร้างแรงจูงใจทั้งต่อการพัฒนาตนเองและพัฒนาโลกของตน เมื่อเด็กคนหนึ่งขับเคลื่อนชีวิตด้วยจุดมุ่งหมายของตนเอง เขาหรือเธอจะมีความใฝ่เรียนรู้ ความพอใจในชีวิต ความเข้าใจตนเอง และความสำเร็จในอาชีพมากกว่าเด็กที่ไม่มีจุดมุ่งหมายใดๆ

Cr. แอนเจลา ดั๊กเวิร์ธ นักจิตวิทยา
:idea: :idea:

:) :D ฝันให้ไกล ไปให้ถึง อีกนัยหนึ่ง ความฝันคือความตั้งใจมั่นในการที่จะสร้างชีวิตของตน เองให้ดีขึ้นกว่าเดิม เป็น “อภิชาตบุตร” บุตรที่ดีกว่าชาติกำเนิด ขอให้ฝันให้ไกล ไปให้ถึง เพราะ “๓๐ ฟ้าลิขิต ๗๐ ต้องฝ่าฟัน ต้องสู้จึงจะชนะ”

ความฝัน ฝันให้ไกล ไปให้ถึง โดย ดร.ถวิล อรัญเวศ

ความฝัน แยกได้ ๒ ประการ ความฝันคือ ความคิดความตั้งใจมั่นของเราในอันที่จะทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้กับตนเอง สังคม ตลอดทั้งประเทศชาติ และความฝันคือ เหตุการณ์ที่เกิดใน ตอนที่เรานอนหลับ เวลาเรานอนหลับ เราจะฝันเห็นสิ่งต่าง ๆ นานา คิดว่าทุกคนคงจะเคยฝันกันมาบ้างแล้ว ฝันดีบ้าง ไม่ดีบ้างปะปนกันไป คนเราใช้วลานอนพักผ่อนประมาณวันละ ๖-๘ ชั่วโมง แล้วแต่ อายุ ถ้าเด็กอาจจะใช้เวลานอนมากกว่าผู้ใหญ่

พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติเกี่ยวกับ การนอนอย่างพระอรหันต์ ไว้ว่า พระอรหันต์นอนเพียงวันละ ๔ ชั่วโมงเท่านั้น เหตุที่พระอรหันต์นอนน้อยกว่าคนทั่วไป ก็เพราะท่านเป็นผู้ที่ละแล้วซึ่งกิเลสและมีสติอยู่เสมอทุกขณะตื่น จึงสามารถรับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ตามความเป็นจริง โดยไม่เผลอนำสิ่งกระทบต่าง ๆ มาปรุงแต่งให้เกิดเป็นอารมณ์จึงไม่ต้องการเวลานอนมากนัก

ผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ยังรับรองด้วยว่า การทำจิตให้สงบเป็นสมาธินับเป็นการจัดระเบียบคลื่นสมองที่มีประสิทธิภาพที่สุดและถือเป็นการผ่อนคลายเชิงลึกที่สามารถชดเชยการหลับลึกได้ถึง ๔ ชั่วโมง ด้วยเหตุนี้สมองอันปราศจากข้อมูลขยะของพระอรหันต์จึงไม่ต้องการช่วงเวลาหลับลึกเพื่อฟื้นฟูสภาพสมองและจัดระเบียบเซลล์ประสาทมากเท่าคนทั่วไป

ความพิเศษของการนอนอย่างพระอรหันต์ไม่ได้จบอยู่เพียงแค่เรื่องของเวลาเพียงเท่านั้นเพราะวิธีการนอนของท่านก็เป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย พระพุทธเจ้าเคยตรัสถึงการบรรทมของพระองค์ไว้ว่าพระองค์บรรทมด้วยการสำเร็จสีหไสยา ซึ่งแปลว่า การนอนอย่างราชสีห์ คือการนอนตะแคงขวาอย่างมีสติสัมปชัญญะ ประกอบด้วยจิตอันบริสุทธิ์สงัดแล้วจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายเป็นอุเบกขาไม่ทุกข์และไม่สุขอยู่ในสมาธิขั้นสูง (ฌาน๔) ไม่มีความยินดีในการนอนหลับและพร้อมจะลุกขึ้นอยู่เสมอ

ในส่วนของคนปุถุชนทั่วไป เมื่อนอนหลับแล้วก็จะเกิดอาการ“ฝัน” เฉลี่ยประมาณคืนละ ๒-๓ ชั่วโมง อาจจะฝันดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ปะปนกันไป คืนไหนที่ฝันร้าย ก็ตกใจกลัวจนตื่นมา แต่ถ้าคืนไหนนอนฝันดี ก็อยากจะนอนฝันต่อ บางคนบอกว่านอนแล้วไม่ฝันอะไร คืนไหนที่ไม่ได้ฝันเลย มันใช่ไหม ถ้าไม่ฝัน คือเรานอนไม่หลับใช่ไหม หรือว่าถ้าคืนไหน เรานอนฝันไปต่าง ๆ นานา เรานอนหลับสนิทดี ใช่ไหม ? เขาบอกว่า คนเรา จะฝันเวลานอนหลับ เสมือนว่ายจิตวิญญาณ ของเราล่องลอยไปที่ต่าง ๆ ไปโดยไม่ต้อบมียานพาหนะพาไป หรืออาจจะฝันว่าได้ขี่รถไป เหาะไป เดินไปก็มี ถือว่าเป็นความมหัศจรรย์ของจิตขณะเวลานอนหลับ และเขาบอกอีกว่า คืนไหนเราไม่ได้ฝัน ก็เป็นเพราะเรานอนได้ไม่นาน เลยจำความฝันไม่ได้ หรือหลับ ๆ ตื่น ๆ นั้นเอง

ความฝัน คืออะไร ?

ความฝัน เป็นเรื่องราวลึกลับที่เกิดขึ้นในสมองของมนุษย์ขณะนอนหลับ เพราะไม่ว่าจะเป็นสถานที่ ผู้คน หรือเหตุการณ์ในความฝัน ผู้ที่ฝันอาจไม่เคยพบหรือประสบกับสิ่งเหล่านั้นมาก่อนในชีวิตจริง และในบางครั้งความฝันที่เกิดขึ้นอาจดูแปลกตาและไกลจากความจริงอย่างสิ้นเชิง ความฝันมักส่งผลต่อความรู้สึกเมื่อตื่นขึ้น ทั้งฝันดีและฝันร้าย ความฝันจึงอาจเป็นเรื่องที่หลายคนสงสัยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร

ความฝันนั้นเป็นภาวะที่เกิดขึ้นในขณะหลับ เป็นภาวะที่สมองฉายภาพของสิ่งต่าง ๆ ทั้งสิ่งที่มีอยู่จริงและสิ่งที่เกิดขึ้นจากจินตนาการ เรื่องราวในความฝันเป็นสิ่งที่ค่อนข้างไม่แน่นอน ไม่ต่อเนื่อง คาดเดาไม่ได้ และไม่มีเหตุผล ในปัจจุบันนักวิจัยยังไม่สามารถระบุข้อมูลที่แท้จริงเกี่ยวกับความฝันได้ทั้งหมด แต่ก็มีทฤษฎีและความเชื่อเกี่ยวกับความฝันอยู่ไม่น้อย

ทำไมเราจึง “ฝัน” ?

เหตุที่คนเราฝันเวลานอนหลับ เป็นเพราะอาการแสดงออกของจิตใต้สำนึก ความนึกคิด ความรู้สึก และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในสมอง ในขณะที่เรากำลังนอนหลับอยู่ เพราะเวลาเรานอนหลับ จะเป็นกระบวนการทางสมอง เป็นจิตใต้สำนึก เหมือนกับได้ระบายความเครียดก็ว่าได้ เพราะถ้าคืนไหนเราฝันดี เราก็จะมีความสุข
นอนเย็นหัว สบายดี แต่ถ้าคืนไหนเราฝันไม่ดี เราก็จะตกใจกลัว สะดุ้งกลัวจนตื่นขึ้นมา เช่น ฝันว่า เห็นผีไล่จะทำร้ายเราอย่างนี้ หรือฝันเห็นสัตว์ร้าย เช่น เสือไล่กัด เป็นต้น

ฉะนั้น เวลาก่อนจะนอน เขาจึงแนะนำให้เราไหว้พระสวดมนต์ย่อ ๆ ตั้งนโม ๓ จบ แล้วสวดมนต์ในใจหรือพูดออกมา ก็ได้

อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อภิวาเทมิ
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมะชามิ
สุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ
แล้วนั่งสมาธิ ประมาณ ๓-๕ นาที แล้วนอน
จะทำให้เรานอนหลับดี ฝันดี ภูตผี ปีศาจ ก็จะไม่มารังควน ซึ่งเราสองคน ปู่ - ย่า นำพาปฏิบัติเป็นประจำอยู่แล้ว
:) :D
ไฟล์แนบ
436522457_317632927947194_5701670322113522477_n.jpg
ช่วงตีสามของวันที่ ๒ มิ.ย.๖๗ ชายปุรณ์ ฯ มีอาการตัวร้อนนิด ๆ สาเหตุน่าจะมาจากแพ้ขนแมวที่ รร.ที่เลี้ยงไว้เด็กน้อยแต่เล็ก ๆ แล้วจะแพ้ ฝุ่นละออง แพ้หญ้า สัตว์เลี้ยงต่าง ๆ หรืออาจจะเป็นเพราะละอองฝนวานตอนเย็นที่ปั่นไปแก่งคุดคู้ก็ได้ คุณนายรีบให้ยาที่เตรียมมาพร้อม ให้กินแล้วให้หลับต่อ รุ่งเช้าตีห้ากว่า ๆ เด็กน้อยลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวไปปั่นเลาะริมโขงตามกำหนดการณ์ที่วางไว้ แต่คุณนายไม่ยอมเกรงจะเป็นหนักอดเที่ยว ให้ปู่ไปปั่นคนเดียวเพื่อเก็บภาพมาเล่าก็พอ สาย ๆ หลังมื้อเช้าจะได้ไปเที่ยวตามแผนต่อไป <br /><br />สรุปผมออกปั่นตามแผนเพียงลำพัง ไม่ลืมที่เตรียมอาหารแห้งติดตัวไปใส่บาตรตามแผนงานที่เตรียมไว้ (แต่เช้านี้ใส่บาตรคนเดียวนะ) ๕๕๕.
ช่วงตีสามของวันที่ ๒ มิ.ย.๖๗ ชายปุรณ์ ฯ มีอาการตัวร้อนนิด ๆ สาเหตุน่าจะมาจากแพ้ขนแมวที่ รร.ที่เลี้ยงไว้เด็กน้อยแต่เล็ก ๆ แล้วจะแพ้ ฝุ่นละออง แพ้หญ้า สัตว์เลี้ยงต่าง ๆ หรืออาจจะเป็นเพราะละอองฝนวานตอนเย็นที่ปั่นไปแก่งคุดคู้ก็ได้ คุณนายรีบให้ยาที่เตรียมมาพร้อม ให้กินแล้วให้หลับต่อ รุ่งเช้าตีห้ากว่า ๆ เด็กน้อยลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวไปปั่นเลาะริมโขงตามกำหนดการณ์ที่วางไว้ แต่คุณนายไม่ยอมเกรงจะเป็นหนักอดเที่ยว ให้ปู่ไปปั่นคนเดียวเพื่อเก็บภาพมาเล่าก็พอ สาย ๆ หลังมื้อเช้าจะได้ไปเที่ยวตามแผนต่อไป

สรุปผมออกปั่นตามแผนเพียงลำพัง ไม่ลืมที่เตรียมอาหารแห้งติดตัวไปใส่บาตรตามแผนงานที่เตรียมไว้ (แต่เช้านี้ใส่บาตรคนเดียวนะ) ๕๕๕.
441803831_1903707113461854_649138337692232325_n.jpg (23.86 KiB) เข้าดูแล้ว 840 ครั้ง
ถนนคนเดินเชียงคาน (ถนนชายโขง)<br /><br />ถนนคนเดินเชียงคานที่ติดริมแม่น้ำโขง ถือเป็นสถานที่ยอดฮิตที่ใครมาเชียงคานแล้วต้องแวะมา เพราะที่นี่มีความแตกต่างและมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนตลาดอื่นๆ ด้วยสองข้างของตลาดส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้เก่าแก่ตลอดทั้งทาง ให้กลิ่นอายความเป็นคาสสิกย้อนยุคประจบกับการได้สัมผัสวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ จึงทำให้ถนนคนเดินเป็นจุดมุ่งหมายของเหล่านักท่องเที่ยวทั้งหลาย<br /><br />ระยะทางจากแก่งคุดคู้ที่เราพักค้างแรม จนสุดถนนคนเดินไปกลับสิบกว่าโลสบาย ๆ สนุก อากาศยามเช้าเรียกว่า &quot;ฟิน&quot; สุด ๆ คิดถึงสองคน(ย่า-หลาน)นั่นเสียดายจัง ไม่แน่อาจจะหวนกลับมาอีกก็ได้
ถนนคนเดินเชียงคาน (ถนนชายโขง)

ถนนคนเดินเชียงคานที่ติดริมแม่น้ำโขง ถือเป็นสถานที่ยอดฮิตที่ใครมาเชียงคานแล้วต้องแวะมา เพราะที่นี่มีความแตกต่างและมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนตลาดอื่นๆ ด้วยสองข้างของตลาดส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้เก่าแก่ตลอดทั้งทาง ให้กลิ่นอายความเป็นคาสสิกย้อนยุคประจบกับการได้สัมผัสวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ จึงทำให้ถนนคนเดินเป็นจุดมุ่งหมายของเหล่านักท่องเที่ยวทั้งหลาย

ระยะทางจากแก่งคุดคู้ที่เราพักค้างแรม จนสุดถนนคนเดินไปกลับสิบกว่าโลสบาย ๆ สนุก อากาศยามเช้าเรียกว่า "ฟิน" สุด ๆ คิดถึงสองคน(ย่า-หลาน)นั่นเสียดายจัง ไม่แน่อาจจะหวนกลับมาอีกก็ได้
cats ๑๗.jpg
cats ๑๘.JPG
cats ๑๘.JPG (92.73 KiB) เข้าดูแล้ว 840 ครั้ง
cats ๑๙.jpg
cats ๑๙.jpg (119.74 KiB) เข้าดูแล้ว 840 ครั้ง
cats ๒๐.JPG
cats ๒๐.JPG (72.36 KiB) เข้าดูแล้ว 840 ครั้ง
cats ๒๑.JPG
cats ๒๑.JPG (74.44 KiB) เข้าดูแล้ว 840 ครั้ง
cats ๒๒.jpg
cats ๒๓.jpg
วัดท่าแขก วัดโบราณ<br /><br />เป็นวัดเก่าแก่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ห่างจากอำเภอเชียงคาน 2 กิโลเมตร ก่อนถึงหมู่บ้านน้อยและแก่งคุดคู้ ปัจจุบันเป็นวัดธรรมยุติ ภายในโบสถ์มีพระพุทธรูป 3 องค์สกัดจากหินทรายทั้งก้อน เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ มีอายุประมาณ 300 กว่าปี<br /><br />วัดท่าแขก เป็นวัดเก่าแก่แห่งหนึ่งของอำเภอเชียงคาน มีความเงียบสงบร่มรื่นและมีทิวทัศน์ริมแม่น้ำโขงที่สวยงาม เหมาะกับการสงบจิตใจ อีกทั้งยังมีโบราณวัตถุที่สำคัญคือพระพุทธรูปสามพี่น้องที่ได้รับเคารพสักการะอย่างมากจากชาวเชียงคานและ พุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป <br /><br />สภาพของพระพุทธรูปได้รับการอนุรักษ์รักษาเป็นอย่างดี และทางวัดก็ได้ติดตั้งป้ายให้ข้อมูลเกี่ยวกับวัดและพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ ในขณะที่จารึกวัดท่าแขก ซึ่งเป็นโบราณวัตถุสำคัญอีกชิ้นหนึ่ง ถูกวางแอบอยู่ที่พื้นภายในอุโบสถ จารึกชิ้นนี้สามารถนำมาจัดแสดงหรือเล่าเรื่องราวของวัดได้เป็นอย่างดี บริเวณใกล้เคียงวัดท่าแขก มีโรงเรียนมูลมังหลวงปู่ชอบฐานสโม และรูปปั้นเหมือนหลวงปู่ชอบ ฐานสโม พระอาจารย์สายกรรมฐานที่มีศิษยานุศิษย์มาก และท่านเป็นประธานองค์อุปถัมภ์การบูรณะและฟื้นฟูวัดท่าแขก อีกทั้งท่านมีดำริอยากสร้างโรงพยาบาล และสร้างโรงเรียนการกุศลเพื่อสงเคราะห์เด็กยากจน คณะศิษยานุศิษย์ของหลวงปู่ชอบ ฐานสโม จึงได้ร่วมกันก่อตั้งโรงเรียนมูลมังหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2547 และเริ่มเปิดทำการเรียนการสอนใน พ.ศ. 2548 <br /><br />นอกจากนี้ วัดท่าแขกยังตั้งอยู่ในบริเวณแก่งคุดคู้ แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและเป็นแหล่งขายมะพร้าวแก้วที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของเชียงคาน พุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวสามารถเข้าสักการะและเยี่ยมชมได้ทุกวัน เวลา 06.00-18.00 น. โดยไม่เสียค่าเข้าชม <br /><br />การเดินทาง จากตัวอำเภอเชียงคาน หรือจากโรงพยาบาลเชียงคาน ใช้ทางหลวงหมายเลข 211 (ถ.ศรีเชียงคาน) มุ่งหน้าทางทิศตะวันออกหรือมุ่งหน้าแก่งคุดคู้ ประมาณ 2 กิโลเมตร จะพบถนนเข้าสู่วัดท่าแขกอยู่ทางซ้ายมือ (ถนนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเลย) ไปตามถนนประมาณ 200 เมตร จะพบวัดท่าแขกอยู่ทางซ้ายมือ<br /><br />Cr.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
วัดท่าแขก วัดโบราณ

เป็นวัดเก่าแก่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ห่างจากอำเภอเชียงคาน 2 กิโลเมตร ก่อนถึงหมู่บ้านน้อยและแก่งคุดคู้ ปัจจุบันเป็นวัดธรรมยุติ ภายในโบสถ์มีพระพุทธรูป 3 องค์สกัดจากหินทรายทั้งก้อน เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ มีอายุประมาณ 300 กว่าปี

วัดท่าแขก เป็นวัดเก่าแก่แห่งหนึ่งของอำเภอเชียงคาน มีความเงียบสงบร่มรื่นและมีทิวทัศน์ริมแม่น้ำโขงที่สวยงาม เหมาะกับการสงบจิตใจ อีกทั้งยังมีโบราณวัตถุที่สำคัญคือพระพุทธรูปสามพี่น้องที่ได้รับเคารพสักการะอย่างมากจากชาวเชียงคานและ พุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป

สภาพของพระพุทธรูปได้รับการอนุรักษ์รักษาเป็นอย่างดี และทางวัดก็ได้ติดตั้งป้ายให้ข้อมูลเกี่ยวกับวัดและพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ ในขณะที่จารึกวัดท่าแขก ซึ่งเป็นโบราณวัตถุสำคัญอีกชิ้นหนึ่ง ถูกวางแอบอยู่ที่พื้นภายในอุโบสถ จารึกชิ้นนี้สามารถนำมาจัดแสดงหรือเล่าเรื่องราวของวัดได้เป็นอย่างดี บริเวณใกล้เคียงวัดท่าแขก มีโรงเรียนมูลมังหลวงปู่ชอบฐานสโม และรูปปั้นเหมือนหลวงปู่ชอบ ฐานสโม พระอาจารย์สายกรรมฐานที่มีศิษยานุศิษย์มาก และท่านเป็นประธานองค์อุปถัมภ์การบูรณะและฟื้นฟูวัดท่าแขก อีกทั้งท่านมีดำริอยากสร้างโรงพยาบาล และสร้างโรงเรียนการกุศลเพื่อสงเคราะห์เด็กยากจน คณะศิษยานุศิษย์ของหลวงปู่ชอบ ฐานสโม จึงได้ร่วมกันก่อตั้งโรงเรียนมูลมังหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2547 และเริ่มเปิดทำการเรียนการสอนใน พ.ศ. 2548

นอกจากนี้ วัดท่าแขกยังตั้งอยู่ในบริเวณแก่งคุดคู้ แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและเป็นแหล่งขายมะพร้าวแก้วที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของเชียงคาน พุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวสามารถเข้าสักการะและเยี่ยมชมได้ทุกวัน เวลา 06.00-18.00 น. โดยไม่เสียค่าเข้าชม

การเดินทาง จากตัวอำเภอเชียงคาน หรือจากโรงพยาบาลเชียงคาน ใช้ทางหลวงหมายเลข 211 (ถ.ศรีเชียงคาน) มุ่งหน้าทางทิศตะวันออกหรือมุ่งหน้าแก่งคุดคู้ ประมาณ 2 กิโลเมตร จะพบถนนเข้าสู่วัดท่าแขกอยู่ทางซ้ายมือ (ถนนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเลย) ไปตามถนนประมาณ 200 เมตร จะพบวัดท่าแขกอยู่ทางซ้ายมือ

Cr.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
cats ๒๕.JPG
cats ๒๕.JPG (136.96 KiB) เข้าดูแล้ว 840 ครั้ง
cats ๒๖.jpg
cats ๒๗.JPG
cats ๒๗.JPG (84.25 KiB) เข้าดูแล้ว 840 ครั้ง
cats ๒๘.jpg
cats ๒๙.JPG
cats ๒๙.JPG (50.61 KiB) เข้าดูแล้ว 840 ครั้ง
cats ๓๐.JPG
cats ๓๐.JPG (96.78 KiB) เข้าดูแล้ว 840 ครั้ง
cats ๓๑.JPG
cats ๓๑.JPG (110.41 KiB) เข้าดูแล้ว 840 ครั้ง
จุดผ่านแดนถาวรบ้านเชียงคาน ตำบลเชียงคาน อำเภอเชียงคาน จ.เลย  จุดผ่านแดนอำเภอเชียงคาน ตั้งอยู่ตรงข้ามกับเมืองสานะคาม แขวงเวียงจันทน์ ซึ่งมีปริมาณการค้าในแต่ละปีหลายร้อยล้านบาท โดยสินค้าที่มีการซื้อขายส่งออกส่วนใหญ่เป็นสินค้า จำพวกยานพาหนะและส่วนประกอบ สินค้าอุปโภค และสินค้าจำเข้าได้แก่ ไม้ ไม้แปรรูป และสินค้าแร่จากฝั่งลาว ด่านบ้านเชียงคาน หมู่ 2 ตำบลเชียงคาน อำเภอเชียงคาน เป็นเขตติดต่อกับเมืองสานะคาม (ด่านท้องถิ่น) แขวงเวียงจันทน์ เปิดตั้งแต่ 8.00 – 18.00 น<br /><br />การนำเข้าและส่งออกทางด่านพรมแดนเชียงคาน ตรงข้ามกับเมืองสานะคาม แขวงเวียงจันทน์ จะใช้ทั้งเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่มาเทียบท่าที่ท่าเรือเชียงคาน ทำการขนถ่ายและบรรทุกสินค้า ที่สามารถล่องลงมาหรือขึ้นไปตอนเหนือของ สปป.ลาว ตามแม่น้ำโขงซึ่งมีค่าใช้จ่ายถูกกว่าทางรถยนต์ และใช้เรือโดยสารขนาดเล็กขนส่งข้ามฟากระหว่างเมืองชะนะคามกับอำเภอเชียงคาน เพื่อนำเข้า-ส่งออกผู้โดยสารและสินค้า<br /><br />เครดิต Khaohom
จุดผ่านแดนถาวรบ้านเชียงคาน ตำบลเชียงคาน อำเภอเชียงคาน จ.เลย จุดผ่านแดนอำเภอเชียงคาน ตั้งอยู่ตรงข้ามกับเมืองสานะคาม แขวงเวียงจันทน์ ซึ่งมีปริมาณการค้าในแต่ละปีหลายร้อยล้านบาท โดยสินค้าที่มีการซื้อขายส่งออกส่วนใหญ่เป็นสินค้า จำพวกยานพาหนะและส่วนประกอบ สินค้าอุปโภค และสินค้าจำเข้าได้แก่ ไม้ ไม้แปรรูป และสินค้าแร่จากฝั่งลาว ด่านบ้านเชียงคาน หมู่ 2 ตำบลเชียงคาน อำเภอเชียงคาน เป็นเขตติดต่อกับเมืองสานะคาม (ด่านท้องถิ่น) แขวงเวียงจันทน์ เปิดตั้งแต่ 8.00 – 18.00 น

การนำเข้าและส่งออกทางด่านพรมแดนเชียงคาน ตรงข้ามกับเมืองสานะคาม แขวงเวียงจันทน์ จะใช้ทั้งเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่มาเทียบท่าที่ท่าเรือเชียงคาน ทำการขนถ่ายและบรรทุกสินค้า ที่สามารถล่องลงมาหรือขึ้นไปตอนเหนือของ สปป.ลาว ตามแม่น้ำโขงซึ่งมีค่าใช้จ่ายถูกกว่าทางรถยนต์ และใช้เรือโดยสารขนาดเล็กขนส่งข้ามฟากระหว่างเมืองชะนะคามกับอำเภอเชียงคาน เพื่อนำเข้า-ส่งออกผู้โดยสารและสินค้า

เครดิต Khaohom
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4402
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »


:) :D กางเต็นท์เชียงคาน ปั่นจักรยานริมโขง เดินเล่นถนนคนเดินเชียงคาน :) :D

:) :D ผมไม่ได้จัดทำวีดีโอ(ไม่ค่อยชอบ) แต่พอมาคิดอยากมีกับเขาบ้าง เวลาออกปั่นก็มักจะลืมทุกครั้ง(คิดเสมออาศัยคนอื่น save เวลาได้มากกว่า) ขอขอบคุณทุกคลิปที่ผมนำมาเสนอในกระทู้ของผม(เชื่อว่าไม่มีใครหวงแน่ ๆ ) ขอบคุณมากครับ :) :D
ไฟล์แนบ
cats ๓๓.jpg
วัดท่าคก ประวัติความเป็นมา<br /><br />วัดท่าคก ตั้งวัดเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๕ เดิมตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นคุ้มวังน้ำวน  ภาษาท้องถิ่นเรียกว่า “คก”  จึงใช้นิมิตหมายอันนี้ตั้งชื่อวัดว่า “วัดท่าคก”  ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีถนนตัดผ่านยังไม่ได้เป็นอำเภอ วัดท่าคกจึงตั้งอยู่ในเมืองๆ หนึ่ง เรียกว่า เชียงคาน ขึ้นกับมณฑลพิษณุโลก <br /><br />ตามตำนานเล่ากันว่า บิดาของพระศรีอัคฮาด และชาวบ้านชวยกันสร้างวัดขึ้น ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา  เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๐ เขตวิสุงคามสีมา กว้าง ๗ เมตร ยก ๑๓.๖๐ เมตร การบริหารและการปกครอง มีเจ้าอาวาสเท่าที่ทราบนาม คือ รูปที่ ๑  พระอาจารย์พา รูปที่ ๒ พระอาจารย์ดี รูปที่ ๓ พระอาจารย์สาย รูปที่ ๔ พรไหล รูปที่ ๕ พระบุญมี  รูปที่ ๖ พระศรีจันทร์ วิลาโภ รูปที่ ๗ พระสายใจ  อคฺคปุญฺโญ  รูปที่ ๘ พระคำมี  คมฺภีโร  รูปที่ ๙ พระมหาเมฆ  ญาณพุทฺโธ  พ.ศ.๒๕๑๕-๒๕๒๗ รูปที่ ๑๐ พระเสถียร  สุธีโร  พ.ศ. ๒๕๒๘-๒๕๓๓ รูปที่ ๑๑ พระธีรพันธ์  สนฺติธมฺโม  รักษาการตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๓ เป็นต้นมา<br /><br />ที่ตั้ง<br /><br />วัดท่าคก  ตั้งอยู่เลขที่ ๒๕  บ้างเชียงคาน  ถนนชายโขง หมู่ที่ ๒ ตำบลเชียงคาน  อำเภอเชียงคาน  จังหวัดเลย  สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ ๒ ไร่ ๓ งาน โฉนดที่ดิน เลขที่๑๗๐ อาณาเขต ทิศเหนือประมาณ ๒ เส้น ๓ ศอก จดถนนชายโขง ทิศใต้ประมาณ ๑ เส้น ๑๕ วา ๑ ศอก จดที่ดินชาวบ้าน ทิศตะวันออกประมาณ  ๑ เส้น ๕ วา ๑ ศอก จดซอย  ๒๑ ทิศตะวันตกประมาณ ๑ เส้น ๓  วา จดซอย  ๒๒<br /><br />ขอขอบคุณข้อมูลจาก สำนักวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น สาขาวิจัยศิลปะและวัฒนธรรม
วัดท่าคก ประวัติความเป็นมา

วัดท่าคก ตั้งวัดเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๕ เดิมตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นคุ้มวังน้ำวน ภาษาท้องถิ่นเรียกว่า “คก” จึงใช้นิมิตหมายอันนี้ตั้งชื่อวัดว่า “วัดท่าคก” ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีถนนตัดผ่านยังไม่ได้เป็นอำเภอ วัดท่าคกจึงตั้งอยู่ในเมืองๆ หนึ่ง เรียกว่า เชียงคาน ขึ้นกับมณฑลพิษณุโลก

ตามตำนานเล่ากันว่า บิดาของพระศรีอัคฮาด และชาวบ้านชวยกันสร้างวัดขึ้น ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๐ เขตวิสุงคามสีมา กว้าง ๗ เมตร ยก ๑๓.๖๐ เมตร การบริหารและการปกครอง มีเจ้าอาวาสเท่าที่ทราบนาม คือ รูปที่ ๑ พระอาจารย์พา รูปที่ ๒ พระอาจารย์ดี รูปที่ ๓ พระอาจารย์สาย รูปที่ ๔ พรไหล รูปที่ ๕ พระบุญมี รูปที่ ๖ พระศรีจันทร์ วิลาโภ รูปที่ ๗ พระสายใจ อคฺคปุญฺโญ รูปที่ ๘ พระคำมี คมฺภีโร รูปที่ ๙ พระมหาเมฆ ญาณพุทฺโธ พ.ศ.๒๕๑๕-๒๕๒๗ รูปที่ ๑๐ พระเสถียร สุธีโร พ.ศ. ๒๕๒๘-๒๕๓๓ รูปที่ ๑๑ พระธีรพันธ์ สนฺติธมฺโม รักษาการตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๓ เป็นต้นมา

ที่ตั้ง

วัดท่าคก ตั้งอยู่เลขที่ ๒๕ บ้างเชียงคาน ถนนชายโขง หมู่ที่ ๒ ตำบลเชียงคาน อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ ๒ ไร่ ๓ งาน โฉนดที่ดิน เลขที่๑๗๐ อาณาเขต ทิศเหนือประมาณ ๒ เส้น ๓ ศอก จดถนนชายโขง ทิศใต้ประมาณ ๑ เส้น ๑๕ วา ๑ ศอก จดที่ดินชาวบ้าน ทิศตะวันออกประมาณ ๑ เส้น ๕ วา ๑ ศอก จดซอย ๒๑ ทิศตะวันตกประมาณ ๑ เส้น ๓ วา จดซอย ๒๒

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สำนักวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น สาขาวิจัยศิลปะและวัฒนธรรม
cats ๓๕.๔.jpg
cats ๓๕.JPG
cats ๓๕.JPG (115.62 KiB) เข้าดูแล้ว 833 ครั้ง
cats ๓๖.jpg
cats ๓๗.JPG
cats ๓๗.JPG (124.55 KiB) เข้าดูแล้ว 833 ครั้ง
cats ๓๘.jpg
cats ๓๙.jpg
cats ๔๐.JPG
cats ๔๐.JPG (92.48 KiB) เข้าดูแล้ว 833 ครั้ง
cats ๔๑.JPG
cats ๔๑.JPG (90.33 KiB) เข้าดูแล้ว 833 ครั้ง
cats ๔๒.jpg
cats ๔๓.JPG
cats ๔๓.JPG (97.84 KiB) เข้าดูแล้ว 833 ครั้ง
cats ๔๔.jpg
cats ๔๕.jpg
cats ๔๕.jpg (144.98 KiB) เข้าดูแล้ว 833 ครั้ง
cats ๔๖.JPG
cats ๔๖.JPG (85.55 KiB) เข้าดูแล้ว 833 ครั้ง
cats ๔๗.jpg
cats ๔๘.jpg
cats ๕๑.jpg
cats ๕๒.jpg
cats ๕๒.jpg (134.21 KiB) เข้าดูแล้ว 833 ครั้ง
จบภารกิจที่เตรียมและวางแผนมาแต่ก่อนออกเดินทางจากบ้านปากกองสารภี เสียดายที่ ๒ คน ย่า-หลาน ไม่ได้ไปปั่นด้วย จากนี้หลังจากที่ผมอาบน้ำอาบท่าก็ยังเป็นเวลาเช้าอยู่ ดูอาการของเด็กน้อยก็ไม่มีอะไร เราก็จะเดินทางไปเที่ยวตามฝันของเด็กน้อยที่อยากเห็น แม่น้ำ ๒ สี ติดตามนะครับจะพาไปชม ที่เด่น ๆ ก็เห็นจะเป็นสกายวอร์คครับรับรองถูกใจแน่นอน ขอบคุณที่ติดตามเรานะครับ
จบภารกิจที่เตรียมและวางแผนมาแต่ก่อนออกเดินทางจากบ้านปากกองสารภี เสียดายที่ ๒ คน ย่า-หลาน ไม่ได้ไปปั่นด้วย จากนี้หลังจากที่ผมอาบน้ำอาบท่าก็ยังเป็นเวลาเช้าอยู่ ดูอาการของเด็กน้อยก็ไม่มีอะไร เราก็จะเดินทางไปเที่ยวตามฝันของเด็กน้อยที่อยากเห็น แม่น้ำ ๒ สี ติดตามนะครับจะพาไปชม ที่เด่น ๆ ก็เห็นจะเป็นสกายวอร์คครับรับรองถูกใจแน่นอน ขอบคุณที่ติดตามเรานะครับ
cats ๕๓.jpg (67 KiB) เข้าดูแล้ว 833 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4402
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: สติมา สุขเมธติ. คนมีสติ ย่อมได้รับความสุข.

...ควรมีสติ... .ดำรงดีชีวิตดวงจิตพร้อม
ความอ่อนน้อมสอนตนเป็นคนเก่ง
วาจาหอมพร้อมกันมิหวั่นเกรง
สร้างบทเพลงสีสันความฝันนาน .

ทุกเส้นทางวางตนเหตุผลหลัก
คนหลงรักชื่นชมเหมาะสมฐาน
กิริยาพาทีไม่มีมาร
อยู่ที่การวางตัวดีชั่วดู .

สติงามความดีเป็นที่ตั้ง
ควรรับฟังตริตรองเฝ้ามองอยู่
กิเลสมากหากเปิดเพื่อเชิดชู
การเรียนรู้คงหมดรันทดใจ .

มีสติริเริ่มสร้างเสริมเหตุ
เมื่อกิเลสเป็นเงาจิตเผาไหม้
กิเลสครองมองเห็นความเป็นไป
เพียงอย่าให้กิเลสสร้างเหตุทราม .

เหตุผลดีมีเหตุอาเพศบ่อย
เหลือร่องรอยแรกร้าวเมื่อก้าวข้าม
สติตรองกรองอยู่เพียงรู้ความ
พยายามห่างเหตุกิเลสลง .

มากกิเลสเหตุปั่นต้องบั่นบาก
ความทุกข์ยากมีโทษโลภโกรธหลง
ใช้สติผลิบานต้องการปลง
เพียงมั่นคงข้ามเขตกิเลสจม.

สติมโต สทา ภทฺทํ. คนผู้มีสติ มีความเจริญทุกเมื่อ. สํ . ส. ๑๕/ ๓๐๖.
:idea: :idea:
ไฟล์แนบ
436731292_471610215350060_6099227538882597471_n.jpg
436731292_471610215350060_6099227538882597471_n.jpg (73.16 KiB) เข้าดูแล้ว 677 ครั้ง
441995850_934896578389572_5955906716615144317_n.jpg
441995850_934896578389572_5955906716615144317_n.jpg (103.27 KiB) เข้าดูแล้ว 677 ครั้ง
436518949_807713788090099_6208548234747927195_n.jpg
436518949_807713788090099_6208548234747927195_n.jpg (118.24 KiB) เข้าดูแล้ว 677 ครั้ง
436536777_1868767960304289_782742481540531393_n.jpg
436536777_1868767960304289_782742481540531393_n.jpg (96.2 KiB) เข้าดูแล้ว 677 ครั้ง
กลับจากปั่นเลาะโขงไปชมถนนคนเดินยามเช้าพร้อมใส่บาตรพระตามตั้งใจ ไม่ย้อนกลับทางเดิมแต่ไปออกทางถนนเพื่อหาบรรยากาศใหม่ ๆ ก็ได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ในแบบของคนเชียงคาน ประทับใจมาก ๆ ครับมีความสุข สงบ ไม่อึกทึกครึกโครม วุ่นวายเรียกว่าพอดี ๆ ปั่นกลับถึงที่พักปรากฏชายปุรณ์ ฯ เตรียมตัวพร้อมแล้ว(ดีใจครับที่หลานไม่มีท่าทีป่วยไข้) ผมก็รีบชำระร่างกายเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเราก็พากันไปทานอาหารเช้า ที่ทางรีสอร์ทเตรียมไว้ มีขนมปัง กาแฟ โอวัลติน ฯ ที่นี่ดีอย่างทานได้ตลอดทั้งวันสุดยอด <br /><br />จากนั้นเราก็ออกเดินทางไปยังเป้าหมายที่หนูน้อยอยากเห็น...พระใหญ่ สกายวอร์ค ครับ
กลับจากปั่นเลาะโขงไปชมถนนคนเดินยามเช้าพร้อมใส่บาตรพระตามตั้งใจ ไม่ย้อนกลับทางเดิมแต่ไปออกทางถนนเพื่อหาบรรยากาศใหม่ ๆ ก็ได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ในแบบของคนเชียงคาน ประทับใจมาก ๆ ครับมีความสุข สงบ ไม่อึกทึกครึกโครม วุ่นวายเรียกว่าพอดี ๆ ปั่นกลับถึงที่พักปรากฏชายปุรณ์ ฯ เตรียมตัวพร้อมแล้ว(ดีใจครับที่หลานไม่มีท่าทีป่วยไข้) ผมก็รีบชำระร่างกายเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเราก็พากันไปทานอาหารเช้า ที่ทางรีสอร์ทเตรียมไว้ มีขนมปัง กาแฟ โอวัลติน ฯ ที่นี่ดีอย่างทานได้ตลอดทั้งวันสุดยอด

จากนั้นเราก็ออกเดินทางไปยังเป้าหมายที่หนูน้อยอยากเห็น...พระใหญ่ สกายวอร์ค ครับ
441973408_1434929370495091_8710015414416171163_n.jpg (148.83 KiB) เข้าดูแล้ว 677 ครั้ง
พระใหญ่สกายวอร์ค ห่างจากตัวอำเภอเชียงคานประมาณ 20 กิโลเมตร เดินทางไปตาม GPS. พาไปทางลัดคดเคี้ยววกไปเวียนมาสนุกดี (ภาวนาในใจ..อย่าให้ตกเขานะ ๕๕) ในที่สุดก็ถึงที่หมาย (ตกใจมาก) เราปั่นกันมาครั้งก่อน(นานมากแล้ว)มากางเต้นท์นอน ไม่มีอะไรเลยเป็นป่าล้วน ๆ แต่ครานี้ราบเรียบเป็นที่จอดรถ ร้านค้า ที่สำคัญไม่ให้มีการนำรถขึ้นไป สอบถามถ้าเราจะปั่นขึ้นไปได้ไหม คำตอบไม่ได้แล้ว OMG.ทุกสรรพสิ่งเป็น อนิจจัง คือไม่เที่ยงนะ
พระใหญ่สกายวอร์ค ห่างจากตัวอำเภอเชียงคานประมาณ 20 กิโลเมตร เดินทางไปตาม GPS. พาไปทางลัดคดเคี้ยววกไปเวียนมาสนุกดี (ภาวนาในใจ..อย่าให้ตกเขานะ ๕๕) ในที่สุดก็ถึงที่หมาย (ตกใจมาก) เราปั่นกันมาครั้งก่อน(นานมากแล้ว)มากางเต้นท์นอน ไม่มีอะไรเลยเป็นป่าล้วน ๆ แต่ครานี้ราบเรียบเป็นที่จอดรถ ร้านค้า ที่สำคัญไม่ให้มีการนำรถขึ้นไป สอบถามถ้าเราจะปั่นขึ้นไปได้ไหม คำตอบไม่ได้แล้ว OMG.ทุกสรรพสิ่งเป็น อนิจจัง คือไม่เที่ยงนะ
441968304_1871137756737515_7741145702560089506_n.jpg (122.85 KiB) เข้าดูแล้ว 677 ครั้ง
441563460_1372054763466150_2745007245339111254_n.jpg
441563460_1372054763466150_2745007245339111254_n.jpg (111.73 KiB) เข้าดูแล้ว 677 ครั้ง
หลังจากที่หาที่จอดรถเรียบร้อย เราก็ต้องเดินไปซื้อบัตรเพื่อไปขึ้นรถที่เขาเตรียมต้อนรับไว้พร้อมแล้ว สังเกตุมีการบริหารจัดการที่ดีมากครับ เมื่อคนเต็มรถรถก็ออกตรงนี้ทำให้คิดถึง เขาคิชกูฏมาก ๆ รถวิ่งสวนกันไปมา คนขับเขาชำนาญทางก็เป็นธรรมดา น่าจะแอบซิ่งนิด ๆ เล่นเอาผู้โดยสารใจหายเป็นบางครา ดีที่ว่าระยะทางไม่ยาวไกลเหมือนเขาคิชกูฏครับ
หลังจากที่หาที่จอดรถเรียบร้อย เราก็ต้องเดินไปซื้อบัตรเพื่อไปขึ้นรถที่เขาเตรียมต้อนรับไว้พร้อมแล้ว สังเกตุมีการบริหารจัดการที่ดีมากครับ เมื่อคนเต็มรถรถก็ออกตรงนี้ทำให้คิดถึง เขาคิชกูฏมาก ๆ รถวิ่งสวนกันไปมา คนขับเขาชำนาญทางก็เป็นธรรมดา น่าจะแอบซิ่งนิด ๆ เล่นเอาผู้โดยสารใจหายเป็นบางครา ดีที่ว่าระยะทางไม่ยาวไกลเหมือนเขาคิชกูฏครับ
441894355_1153595772510337_382613814015303294_n.jpg (115.11 KiB) เข้าดูแล้ว 677 ครั้ง
436536777_1995848930830147_3103024869118985928_n.jpg
ตอนที่เราซื้อบัตรเพื่อนั่งรถขึ้นไปพระใหญ่เขาจะแจกถุงเท้าให้นะครับ เพื่อไปใส่ก่อนเข้าไปเดินใน Sky walk
ตอนที่เราซื้อบัตรเพื่อนั่งรถขึ้นไปพระใหญ่เขาจะแจกถุงเท้าให้นะครับ เพื่อไปใส่ก่อนเข้าไปเดินใน Sky walk
442438548_7377560289022989_7456389944494325751_n.jpg (164.45 KiB) เข้าดูแล้ว 677 ครั้ง
แลนด์มาร์คแห่งใหม่ล่าสุดของ จังหวัดเลย  “สกายวอล์คเชียงคาน” หรือ &quot;สกายวอล์คภูคกงิ้ว&quot; ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านท่าดีหมี ตำบลปากตม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย บอกเลยว่าต้องขาสั่นเลยทีเดียว(แต่ชายปุรณ์ ฯ สบายมากไม่สั่น ไม่กลัวครับ) ความสูงของสกายวอล์คนี้ มีความสูงกว่าระดับแม่น้ำโขงกว่า ๘๐ เมตร หรือเทียบเท่าตึก ๓๐ ชั้น มีทางเดินที่ทำด้วยกระจกใสชนิดพิเศษ พื้นกว้าง ๒ เมตร ยาวกว่า ๑๐๐ เมตร มีตะแกรงเหล็กรองรับ และมีพระใหญ่คกงิ้ว เป็นพระพุทธรูปปางลีลาประทานพร หล่อด้วยไฟเบอร์ผสมเรซิ่นทอง สูงกว่า ๑๙ เมตร ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของแลนด์มาร์คนี้  ส่วนทัศนียภาพบริเวณรอบนอกจากจะสามารถทอดสายตามองแบบสุดลูกหูลูกตาแล้ว ด้านล่างยังสามารถมองเห็นแม่น้ำเหืองที่ไหลผ่านมาบรรจบแม่น้ำโขง ซึ่งสามารถมองเห็นแม่น้ำทั้งสองสีตัดกันอย่างชัดเจนและยังเป็นแม่น้ำที่กั้นชายแดนไทย-ลาว อีกด้วย นับว่าเป็นอีกหนี่งจุดเช็คอินที่นักท่องเที่ยวต้องแวะมาสักครั้ง เมื่อมาเที่ยวจังหวัดเลย (ข้อมูลจากองค์การบริหารส่วน จ.เลย)
แลนด์มาร์คแห่งใหม่ล่าสุดของ จังหวัดเลย “สกายวอล์คเชียงคาน” หรือ "สกายวอล์คภูคกงิ้ว" ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านท่าดีหมี ตำบลปากตม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย บอกเลยว่าต้องขาสั่นเลยทีเดียว(แต่ชายปุรณ์ ฯ สบายมากไม่สั่น ไม่กลัวครับ) ความสูงของสกายวอล์คนี้ มีความสูงกว่าระดับแม่น้ำโขงกว่า ๘๐ เมตร หรือเทียบเท่าตึก ๓๐ ชั้น มีทางเดินที่ทำด้วยกระจกใสชนิดพิเศษ พื้นกว้าง ๒ เมตร ยาวกว่า ๑๐๐ เมตร มีตะแกรงเหล็กรองรับ และมีพระใหญ่คกงิ้ว เป็นพระพุทธรูปปางลีลาประทานพร หล่อด้วยไฟเบอร์ผสมเรซิ่นทอง สูงกว่า ๑๙ เมตร ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของแลนด์มาร์คนี้ ส่วนทัศนียภาพบริเวณรอบนอกจากจะสามารถทอดสายตามองแบบสุดลูกหูลูกตาแล้ว ด้านล่างยังสามารถมองเห็นแม่น้ำเหืองที่ไหลผ่านมาบรรจบแม่น้ำโขง ซึ่งสามารถมองเห็นแม่น้ำทั้งสองสีตัดกันอย่างชัดเจนและยังเป็นแม่น้ำที่กั้นชายแดนไทย-ลาว อีกด้วย นับว่าเป็นอีกหนี่งจุดเช็คอินที่นักท่องเที่ยวต้องแวะมาสักครั้ง เมื่อมาเที่ยวจังหวัดเลย (ข้อมูลจากองค์การบริหารส่วน จ.เลย)
436566207_1185308909173288_3130595676084395894_n.jpg (140.7 KiB) เข้าดูแล้ว 677 ครั้ง
เด็กน้อยไม่กลัวไม่มีสยอง - สยิว เดินเล่นมองดูนั่นนี่สนุกสนาน ก็ถามว่า &quot;มีความรู้สึกอย่างไรกลัวไหม&quot; เพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นและได้รู้จักกับ Sky walk เคยแต่ได้ยินเขาเรียกกัน น้องนั่งก้มดูความสูงลงไปยังพื้นดิน หัวเราะชอบใจ อยากลงไปข้างล่าง ๕๕๕
เด็กน้อยไม่กลัวไม่มีสยอง - สยิว เดินเล่นมองดูนั่นนี่สนุกสนาน ก็ถามว่า "มีความรู้สึกอย่างไรกลัวไหม" เพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นและได้รู้จักกับ Sky walk เคยแต่ได้ยินเขาเรียกกัน น้องนั่งก้มดูความสูงลงไปยังพื้นดิน หัวเราะชอบใจ อยากลงไปข้างล่าง ๕๕๕
436419514_2176197369392074_5254127199180625038_n.jpg (122.1 KiB) เข้าดูแล้ว 677 ครั้ง
436448364_827460355412601_476070757975881706_n.jpg
436448364_827460355412601_476070757975881706_n.jpg (101.82 KiB) เข้าดูแล้ว 677 ครั้ง
436464318_997402827971137_4653128887270976701_n.jpg
436464318_997402827971137_4653128887270976701_n.jpg (98.8 KiB) เข้าดูแล้ว 677 ครั้ง
436466672_3897114943861378_3012099906137755349_n.jpg
436466672_3897114943861378_3012099906137755349_n.jpg (108.25 KiB) เข้าดูแล้ว 677 ครั้ง
436522448_491561409883222_803680816881923025_n.jpg
436522448_491561409883222_803680816881923025_n.jpg (128.05 KiB) เข้าดูแล้ว 677 ครั้ง
แม่น้ำเหือง(ซ้ายมือไหลมาบรรจบแม่น้ำโขง ขวามือ) หรือตามสำเนียงท้องถิ่นว่า แม่น้ำเหียง เป็นแม่น้ำสายสำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยโดยที่มีบางส่วนของแม่น้ำเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างไทยกับลาวโดยมีต้นกำเนิดมาจากตอนใต้สุดของภูสอยดาว​ เขตรอยต่อจังหวัด​พิษณุโลก​กับ​ สปป.ลาว​ และไหลเข้าสู่เขตอำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย หลังจากนั้นก็ไหลออกแม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ยาว ๑๓๐ กิโลเมตร อยู่ในเขตประเทศไทย ๒๐ กิโลเมตร และเป็นพรมแดนระหว่าง ประเทศไทยกับลาวอีก ๑๑๐ กิโลเมตร เสียดายที่น้ำขุ่นด้วยโคลนจึงไม่เห็นสองสี ถ้ามาหน้าร้อนหรือหนาวเราจะเห็นชัดเจนครับ หนูน้อยบอกงั้นเราต้องกลับมาดูให้ได้อีกครั้งละซิ <br /><br />ที่มาของชื่อแม่น้ำสองสองสีนั้นมาจากแม่น้ำเหือง ที่มีสีของน้ำเป็นสีขุ่นหรือสีน้ำตาล  เนื่องจากเป็นแม่น้ำสายสั้นๆ ไหลผ่านตลิ่งสูงชัน ทำให้กระแสน้ำกัดเซาะตลิ่งที่เป็นดินสีแดงทำให้น้ำขุ่นเป็นสีน้ำตาล ส่วนแม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำสายยาวมีสีเขียวใส ที่มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาสูงในทิเบต ไหลผ่านสาธารณรัฐประชาชนจีน และเป็นเส้นกั้นเขตแดนระหว่างไทยกับลาว  พม่ากับลาว ผ่านลาว กัมพูชา และไหลสู่ทะเลจีนใต้ในเขตประเทศเวียดนาม ซึ่งมีความยาวประมาณ ๔,๕๙๐ กิโลเมตร นับว่าเป็นแม่น้ำนานาชาติในภูมิภาคนี้ เมื่อแม่น้ำสองสายนี้มาบรรจบกันจึงทำให้เป็นแม่น้ำสองสีขึ้น
แม่น้ำเหือง(ซ้ายมือไหลมาบรรจบแม่น้ำโขง ขวามือ) หรือตามสำเนียงท้องถิ่นว่า แม่น้ำเหียง เป็นแม่น้ำสายสำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยโดยที่มีบางส่วนของแม่น้ำเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างไทยกับลาวโดยมีต้นกำเนิดมาจากตอนใต้สุดของภูสอยดาว​ เขตรอยต่อจังหวัด​พิษณุโลก​กับ​ สปป.ลาว​ และไหลเข้าสู่เขตอำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย หลังจากนั้นก็ไหลออกแม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ยาว ๑๓๐ กิโลเมตร อยู่ในเขตประเทศไทย ๒๐ กิโลเมตร และเป็นพรมแดนระหว่าง ประเทศไทยกับลาวอีก ๑๑๐ กิโลเมตร เสียดายที่น้ำขุ่นด้วยโคลนจึงไม่เห็นสองสี ถ้ามาหน้าร้อนหรือหนาวเราจะเห็นชัดเจนครับ หนูน้อยบอกงั้นเราต้องกลับมาดูให้ได้อีกครั้งละซิ

ที่มาของชื่อแม่น้ำสองสองสีนั้นมาจากแม่น้ำเหือง ที่มีสีของน้ำเป็นสีขุ่นหรือสีน้ำตาล เนื่องจากเป็นแม่น้ำสายสั้นๆ ไหลผ่านตลิ่งสูงชัน ทำให้กระแสน้ำกัดเซาะตลิ่งที่เป็นดินสีแดงทำให้น้ำขุ่นเป็นสีน้ำตาล ส่วนแม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำสายยาวมีสีเขียวใส ที่มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาสูงในทิเบต ไหลผ่านสาธารณรัฐประชาชนจีน และเป็นเส้นกั้นเขตแดนระหว่างไทยกับลาว พม่ากับลาว ผ่านลาว กัมพูชา และไหลสู่ทะเลจีนใต้ในเขตประเทศเวียดนาม ซึ่งมีความยาวประมาณ ๔,๕๙๐ กิโลเมตร นับว่าเป็นแม่น้ำนานาชาติในภูมิภาคนี้ เมื่อแม่น้ำสองสายนี้มาบรรจบกันจึงทำให้เป็นแม่น้ำสองสีขึ้น
แก้ไขล่าสุดโดย Deang-sarapee เมื่อ 15 มิ.ย. 2024, 07:39, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4402
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »


:) :D ชายปุรณ์ฯ เที่ยวสกายวอร์ค อ.เชียงคาน :) :D

:idea: :idea: เรื่อง ความกลัวไม่น่ากลัว

นักจิตวิทยาให้นิยามความกลัวว่า เป็นอารมณ์ที่แสดงออกถึงความรู้สึกว่าเป็นภยันตราย โดยอาการของคนที่มีความกลัวนั้น หัวใจจะเต้นแรง หน้าซีด มือสั่น สับสน หรือเครียด เป็นต้น สําหรับคนที่มีความกลัวเป็นอาจิณ ย่อมหาความสุขได้ยาก หลายคนตกอยู่ในวังวนแห่งความกลัว เห็นอะไรก็กลัวไปหมดกลัวไปทุกเรื่อง จนกลายเป็นโรคกลัวต้องบําบัดรักษา แน่นอนว่าทุกคน ย่อมมีความกลัว แต่หากกลัวจนเกินไปถึงขนาดไม่กล้าพูด ไม่กล้าคิด ไม่กล้าทําอะไรเลย ชีวิตนี้คง ว่างเปล่าน่าเสียดายมิใช่น้อย เมื่อไม่อาจจะหลีกหนีจากอารมณ์ความกลัวได้ทําอย่างไรจึงจะทํา ให้ความกลัวกลายเป็นความกล้า เป็นแรงผลักดัน เป็นตัวกระตุ้นไม่ให้ประมาท เกิดความ กระตือรือร้น เป็นพลังงานชีวิต

พุทธศาสนาสอนวิธีจัดการกับความกลัวไว้ ๒ วิธีคือ

๑. แบบสมถะ เป็นการข่มความกลัวไว้ และให้จิตจดจ่ออยู่กับสิ่งอื่นแทน เช่น ระลึกถึง คุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง หรือสิ่งอื่นที่เป็นมงคล เพื่อช่วยให้เกิดความปิติ ยินดีในใจ ปิดกั้นความกลัวไม่ให้เข้ามาแทรกได้

๒. แบบวิปัสสนา เป็นการรวบรวมสติให้ตั้งมั่น แล้วตามสังเกตหรือเฝ้ามองปรากฏการณ์ นั้น ๆ เพื่อให้เห็นความจริงรู้ซึ้งถึงสาเหตุของสิ่งที่ทําให้กลัว เปลี่ยนความกลัวเป็นความกล้า ไม่ตก เป็นทาสของความกลัวอีกต่อไป

ดังนั้น ตราบใดที่คนเรายังมีราคะกล้า ปล่อยให้ความโลภครอบงํา หรือ มีความยินดีอยากได้ในสิ่งต่าง ๆ โดยไม่มีขอบเขต ตราบนั้นก็ยังมีความกลัวจากผลกระทบในสิ่งเหล่านั้นอยู่ร่ําไปการตั้งสติ ไม่ผลักไส ยอมรับ และพิจารณาให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ทําให้ความกลัว กลายเป็นความกล้าหาญในทุกสถานการณ์ การไม่หนีแต่มีสติตั้งรับ ดังกล่าว ความกลัวก็ไม่
น่ากลัวอีกต่อไป

โดย กองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ เผยแพร่ ตามอนุมัติ ทร.เมื่อ ๑๓ ก.ย.๒๕ ท้ายบันทึก ยศ.ทร. ที่ กห ๐๓๖๕/๖๖๒๖ ลง ๒๔ ส.ค. ๒๕
:idea: :idea:
ไฟล์แนบ
436446852_304449032729134_4775498681499363298_n.jpg
436446852_304449032729134_4775498681499363298_n.jpg (117.5 KiB) เข้าดูแล้ว 668 ครั้ง
436464318_997402827971137_4653128887270976701_n.jpg
436464318_997402827971137_4653128887270976701_n.jpg (98.8 KiB) เข้าดูแล้ว 668 ครั้ง
436466672_3897114943861378_3012099906137755349_n.jpg
436466672_3897114943861378_3012099906137755349_n.jpg (108.25 KiB) เข้าดูแล้ว 668 ครั้ง
436492260_1012627740486700_5280135013826947057_n.jpg
436562009_1659031814914650_4262746082876107514_n.jpg
436731290_814944266939244_1051679328989292721_n.jpg
436731290_814944266939244_1051679328989292721_n.jpg (124.88 KiB) เข้าดูแล้ว 668 ครั้ง
441001115_25745093545136655_5567996654576622716_n.jpg
441001115_25745093545136655_5567996654576622716_n.jpg (128.93 KiB) เข้าดูแล้ว 668 ครั้ง
441091454_1138081810846999_2729495045341020273_n.jpg
441248283_1055700802897254_2345043972559494266_n.jpg
441894981_4434125963479938_7594691584601472281_n.jpg
441894981_4434125963479938_7594691584601472281_n.jpg (114.83 KiB) เข้าดูแล้ว 668 ครั้ง
441909978_448956274418090_5911781124361766492_n.jpg
441909997_415030228177770_3054491039086853255_n.jpg
441909997_415030228177770_3054491039086853255_n.jpg (132.66 KiB) เข้าดูแล้ว 668 ครั้ง
441946244_7614362748641823_1033596598058875173_n.jpg
441946244_7614362748641823_1033596598058875173_n.jpg (105.83 KiB) เข้าดูแล้ว 668 ครั้ง
441973615_1948146022272177_4425376817638419381_n.jpg
441973615_1948146022272177_4425376817638419381_n.jpg (120.56 KiB) เข้าดูแล้ว 668 ครั้ง
441259477_324987937310758_2244592945594764323_n.jpg
445375921_1174786303708883_8510457080627816481_n.jpg
445375921_1174786303708883_8510457080627816481_n.jpg (146.07 KiB) เข้าดูแล้ว 668 ครั้ง
พระใหญ่ภูคกงิ้ว ตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นผืนดินแห่งแรกของอีสานที่แม่น้ำโขงไหลผ่าน โดยมี “แม่น้ำเหือง” แม่น้ำอีกสายที่เป็นพรมแดนธรรมชาติกั้นระหว่าง สปป.ลาว กับไทย ซึ่งตรงบริเวณที่แม่น้ำเหืองไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขงนั้นจะเห็นเป็นแม่น้ำสอง สี เพราะแม่น้ำทั้งสองสายนี้มีสีเข้ม-อ่อนต่างกันอย่างชัดเจน เราสามารถมองเห็นทัศนียภาพของแม่น้ำโขงในมุมสูง อีกทั้งยังเป็นจุดที่มีความสวยงามไม่แพ้ที่ไหนๆ โดยเฉพาะยามพระอาทิตย์กำลังจะลาลับเหลี่ยมเขาไป<br /><br />พระพุทธนวมินทรมงคลลีลาทวินคราภิรักษ์ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “พระใหญ่ภูคกงิ้ว” แห่งวัดปากน้ำเหือง เป็นพระพุทธรูปปางลีลาประทานพร สีเหลืองทองอร่าม หล่อด้วยไฟเบอร์ผสมกับเรซิ่น องค์พระมีความสูง 19 เมตร และมีฐานกว้าง 7.2 เมตร จัดสร้างโดยกองทัพภาคที่ 2 และประชาชน ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เจริญพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ และในมหามงคลแห่งพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ครบ 50 ปี เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันใหญ่หลวงที่ทรงมีแก่พสกนิกรในพื้นที่ภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือ <br /><br />โดยได้อัญเชิญปฐวีธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ จากพระธาตุพนม พระธาตุเชิงชุม พระธาตุบังพวน พระธาตุขามแก่น พระธาตุนาคูน และพระธาตุศรีสองรัก มาบรรจุไว้ใต้ฐานองค์พระพุทธรูป รวมทั้งได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ในพระเกศขององค์พระพุทธรูปด้วย ส่วนชื่อ “พระพุทธนวมินทรมงคลลีลาทวินคราภิรักษ์” นี้ สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก เป็นผู้ประทานนามให้ ซึ่งมีความหมายว่า พระพุทธรูปปางลีลาประทานพรที่สร้างขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคลในรัชสมัย รัชกาลที่ 9<br /><br />Cr.theTripPacker
พระใหญ่ภูคกงิ้ว ตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นผืนดินแห่งแรกของอีสานที่แม่น้ำโขงไหลผ่าน โดยมี “แม่น้ำเหือง” แม่น้ำอีกสายที่เป็นพรมแดนธรรมชาติกั้นระหว่าง สปป.ลาว กับไทย ซึ่งตรงบริเวณที่แม่น้ำเหืองไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขงนั้นจะเห็นเป็นแม่น้ำสอง สี เพราะแม่น้ำทั้งสองสายนี้มีสีเข้ม-อ่อนต่างกันอย่างชัดเจน เราสามารถมองเห็นทัศนียภาพของแม่น้ำโขงในมุมสูง อีกทั้งยังเป็นจุดที่มีความสวยงามไม่แพ้ที่ไหนๆ โดยเฉพาะยามพระอาทิตย์กำลังจะลาลับเหลี่ยมเขาไป

พระพุทธนวมินทรมงคลลีลาทวินคราภิรักษ์ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “พระใหญ่ภูคกงิ้ว” แห่งวัดปากน้ำเหือง เป็นพระพุทธรูปปางลีลาประทานพร สีเหลืองทองอร่าม หล่อด้วยไฟเบอร์ผสมกับเรซิ่น องค์พระมีความสูง 19 เมตร และมีฐานกว้าง 7.2 เมตร จัดสร้างโดยกองทัพภาคที่ 2 และประชาชน ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เจริญพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ และในมหามงคลแห่งพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ครบ 50 ปี เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันใหญ่หลวงที่ทรงมีแก่พสกนิกรในพื้นที่ภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือ

โดยได้อัญเชิญปฐวีธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ จากพระธาตุพนม พระธาตุเชิงชุม พระธาตุบังพวน พระธาตุขามแก่น พระธาตุนาคูน และพระธาตุศรีสองรัก มาบรรจุไว้ใต้ฐานองค์พระพุทธรูป รวมทั้งได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ในพระเกศขององค์พระพุทธรูปด้วย ส่วนชื่อ “พระพุทธนวมินทรมงคลลีลาทวินคราภิรักษ์” นี้ สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก เป็นผู้ประทานนามให้ ซึ่งมีความหมายว่า พระพุทธรูปปางลีลาประทานพรที่สร้างขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคลในรัชสมัย รัชกาลที่ 9

Cr.theTripPacker
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4402
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D อรุณสวัสดิ์ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ เราพากันไปเที่ยวพระใหญ่และไปเดินสกายวอร์ค สนุกสนานกันมากดีใจสุด ๆ ที่เห็นหลานรักเข้มแข็ง(ไม่กลัวความสูง) เมื่อได้เวลาพอสมควรเราก็พากันออกจากพระใหญ่เป้าหมายต่อไป ผมจะพาท่านไปเยี่ยมชมหมู่บ้านวัฒนธรรมไทดำ เป็นการซึมซับเรียนรู้ประวัติศาสตร์กระตุ้นให้เกิดสำนึกที่จะรักชาติรักแผ่นดิน แต่ก่อนที่จะไปชมภาพสวย ๆ ของหมู่บ้านวัฒนธรรมดังกล่าว มีเรื่องราวที่น่าเศร้าน่าตกใจ มาให้คิดกัน เรื่องนี้มีคนออกมาให้ข้อคิดกันเยอะมาก แต่ของท่านผู้นี้(เสียดายไม่ทราบชื่อ) อ่านแล้วจินตนาการตาม "เฮ้ย...เมืองไทย..ตายแน่" อย่าพลาดนะครับ..แล้วอย่าลืมบอกต่อ ๆ กันด้วย โชคดีมีความสุขกันนะครับ :) :D

:( :( "วิกฤตการณ์” ที่รุนแรงที่สุด ของประเทศไทย คนไทย รู้ตัวกันบ้างไหม

ธุรกิจดีๆในไทยส่วนใหญ่ถูกคนจีนยึดไปแล้ว -โรงสี ห้องเย็น โรงแรม ท่องเที่ยว คอนโด-อสังหา บ้านจัดสรร ร้านอาหาร ทุเรียน ข้าวโพด กล้วย ข้าว ผลไม้อื่นๆ อาหารทะเล โรงงานผลิตสินค้าต่างๆ ตลาดขายส่งฯลฯ เมื่อเขายึดได้เขากลับเอาคนจีนเขาเข้ามาทำงาน งานของคนไทยที่อยู่เดิมค่อยๆ"หลุดจากวงโคจร“ คนไทยเกือบครึ่งของคน ที่มีงานทำวันนี้ กำลังจะตกงานในปี 2570 *คนไทย*เจ้าของแผ่นดิน กำลังจะไม่มีกิน

เดิมผมเคยเขียนเรื่อง…. …เอไอ…แย่งงานคนไทย วันนี้ ผมเจอเรื่องที่เร็ว แรง และชัดเจนกว่านั้นคือ… “คน และ ทุนจีน”….กำลังกลืน….ประเทศไทย

โรงสีใหญ่ในหกจังหวัด ภาคกลางกว่าครึ่ง …จีนซื้อไปแล้ว…!!! โรงแรมเกือบครึ่งใน เมืองท่องเที่ยวหลักของไทย “เป็นของคนจีน” คอนโดเปิดใหม่ในทำเลทองหลายแห่ง ลูกค้ารายใหญ่คือ….“คนจีน” ห้องเย็นรายเล็ก ที่มหาชัย เป็นของคนจีนเกือบร้อยแห่ง ตลาดสำเพ็ง พันทิพย์ สี่มุมเมือง ตลาดไท ฯลฯ..... “เจ้าของร้าน”หน้าใหม่เป็นคนจีน รร. ในพัทยา ภูเก็ต สุราษฎร์ฯ ขอนแก่น เชียงใหม่ เชียงราย"ก็เสร็จ คนจีน”

“ทุเรียน”วันนี้ที่จันทบุรี ไปดูเอาเองครับ ฟาร์มกล้วยไม้ ผลไม้ กุ้ง ปลา.... จาระไนไม่หมด…. เขามาซื้อแพงกว่าราคาปกติ แผงเซ้งกัน 30,000 เขามาบอกขอเซ้ง 50,000 เป็นเรายอมไหม…? -คอนโดขายกัน 2 ล้าน คนไทยต่อเหลือล้านแปด เขามาบอกให้….สองล้านห้า….

นโยบาย และแผนงานรัฐบาลจีน“ไม่ได้น่ากลัว” แต่เป็นความขยันและพลังทุนมหาศาลของ"นักธุรกิจจีน” ต่างหาก... รัฐบาลจีนคงไม่มีนโยบาย รุกรานเบียดเบียนใคร…??? แต่…“คนจีน”พร้อมไปทุกที่ ที่มีโอกาส คนจีนรุ่นนี้ต่างกับรุ่นเก่า ที่หนีร้อนมาพึ่งเย็น…แต่เขาออกมา…แสวงหาความมั่งคั่ง ฉะนั้น….การทะนุถนอม ดูแลแผ่นดินที่เข้าไปทำมาหากินจะต่างกัน... ผมทราบมาว่า...ผู้คนในจีน ที่ประสงค์ออกทำมาหากินต่างแดนมีแหล่งเงินกู้ระดับสิบล้านให้เข้าถึงได้เสมอ….!!! คนจีน -ไม่กลัวการไปทำสิ่งที่ไม่คุ้นเคย -ไม่กลัวการไปยังดินแดนใหม่ -ไม่กลัวความยากลำบาก -ไม่กลัวขาดทุน พร้อมออก จากคอมฟอร์ทโซนไปแสวงหาโอกาสตลอดเวลา…..

“ที่สำคัญยังไม่กลัวกฎหมาย ประเทศนั้นๆ” นศ.จีน ที่ได้ทุนที่รัฐบาลให้ไปเรียนต่างแดน ถ้าไม่กลับบ้านและทำงานอยู่กินในดินแดนนั้นๆต่อ….ไม่ต้องใช้ทุน แถมมีทุนเพิ่ม "ให้ประกอบอาชีพ” ถ้าเรามีตาทิพย์ มองเห็น…. คนจีนเป็นสี มองไปทั้งโลก เราจะเห็นว่า….ตอนนี้….สีนั้น กำลังเข้มขึ้นในทุกที่อย่างรวดเร็ว ผมฟังเรื่องราวการเข้าแทรกซึมทางการค้าในระดับรากหญ้าของประเทศเพื่อนบ้าน มาตั้งแต่ช่วงสองปีก่อน ที่ลาว พม่า มาเลย์ อินโด เวียดนาม เขมร ฟิลิปปินส์ ได้ยินเรื่องปัญหาความกระทบกระทั่งแย่งงานคนท้องถิ่น เข้าซื้อกิจการ การนำสินค้ามาขายแข่งในราคา ต่ำกว่า...

ด้วยความที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในต่างประเทศ เพิ่งมีโอกาสได้มองสถานการณ์ไทยอย่างจริงจัง จึงได้เห็นว่าไม่ต่างกัน ที่จะต่างกันบ้างคือของเรายังไม่เคยเป็นเรื่องเป็นราวรัฐบาล ไม่เคยออกมาทำอะไร….??? “คนไทย” ยังไม่เคยโวยวายเหมือนเวียดนาม มาเล อินโดฯ ส่วนลาว เขมร พม่า ฟิลิปปินส์ผมยังไม่เคยได้ยิน นี่ว่ากัน…เฉพาะในเอเชีย นะครับ...เพราะมอง ทางไกลไม่เป็น…. ยังนับถือแค่….“เศษเงิน” เรารู้สึกว่าเงินฝืด แต่เคย มองไปรอบๆไหมว่า...เงินไปไหน….!!!

คนไทยที่ยากจนกำลัง โดนขึงพืดรุมโทรม.. เอไอแย่งงาน นายทุนทำธุรกิจสะดวกซื้อครบวงจร ทุนต่างชาติเข้ามายึดแย่งสูบ ความมั่งคั่งและทรัพยากร รัฐบาลบริหารไม่เฉียบขาด รวมทั้งประชาชนคนไทยเห็นแก่ตัว การเรียนการศึกษา ไม่มีคุณภาพ เป็นพาณิชย์ ค่ารักษาแพงโหด คุณภาพห่วย ของมอมเมาล่อลวงเยาวชนและคนไม่มีสติมีให้เข้าถึงได้ง่ายดาย ยาเสพติดอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด ฯลฯ

อยากรอดต้องคิดสร้างสรรค์ ลงมือทำ… ไม่ขายตัวเองและทรัพย์สิน ทำตัวดี อดทน หนักเอา เบาสู้ ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่สร้างเรื่อง ช่วยกัน สามัคคีกัน คิดถึงส่วนรวม มากกว่าส่วนตัว แต่หากยังเอื่อย ไม่พร้อม ก็รอรับชะตากรรมได้ ผมขอบอกให้ ปี 2570 “คนไทย” รอ…ตกงาน 600,000คน รู้เรื่องแน่นอน….!!!!

แต่ในทุกวิกฤติ มีโอกาส มองดีๆ ก็จะพบว่ายังพอมี หนทางอยู่รอดได้ถ้าไม่เห็นแก่ตัว ช่วยกัน และกล้าลงมือทำ กันเถอะครับ….!!! -> ผมขอเพิ่ม -> สารเคมี วัสดุอุปกรณ์ ของใช้ไร้คุณภาพจากจีนมหาศาล กลายเป็นขยะพิษ ทำลายสิ่งแวดล้อม คนไทยรับผลกระทบโดยตรง ต่อไปนอกจากจะตกงาน ชีวิตไร้คุณภาพแล้ว โรคน่าจะรุมเร้า ด้วย กล้าๆ หน่อยครับ..คนไทย.!!!บอกตามตรง ….เมื่อนึกถึง….อนาคตของไทย ผมแอบเช็ดน้ำตา...

(ไม่มีชื่อผู้เขียน แต่เห็นว่ามีข้อที่น่าคิด ร่วมกัน ก็อบปี้ ส่งต่อครับ)
:( :(
ไฟล์แนบ
cats1.jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (132).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (132).jpg (83.37 KiB) เข้าดูแล้ว 545 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (196).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (196).jpg (96.85 KiB) เข้าดูแล้ว 545 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (293).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (293).jpg (130.41 KiB) เข้าดูแล้ว 545 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (364).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (364).jpg (136.68 KiB) เข้าดูแล้ว 545 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (369).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (369).jpg (141.9 KiB) เข้าดูแล้ว 545 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (457).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (457).jpg (141.67 KiB) เข้าดูแล้ว 545 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (458).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (459).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (459).jpg (141.34 KiB) เข้าดูแล้ว 545 ครั้ง
cats2.jpg
cats3.jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (4).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (4).jpg (125.53 KiB) เข้าดูแล้ว 545 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (105).jpg
หมู่บ้านวัฒนธรรมไทดำ<br /><br />ตั้งอยู่ที่บ้านนาป่าหนาด ตำบลเขาแก้ว เดิมชาวไทดำอพยพมาจากเมืองเชียงขวาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว<br /><br />ไทดำ บ้านนาป่าหนาด เป็นกลุ่มชาวไทกลุ่ม หนึ่งที่เคยตั้งรกรากอยู่ในเมืองไทดำ บริเวณลุ่มแม่น้ำดำและแม่น้ำแดงในเขตเวียดนามเหนือ เมื่อปี พ.ศ. 2425 สมัยสงครามฮ่อ และหลังจากสงครามยุติลง ไทดำส่วนหนึ่งจึงได้อพยพผ่านเข้ามาสู่ประเทศไทย <br /><br />กลุ่มหนึ่งที่เรารู้จักกันดีก็คือ &quot;ไทดำ&quot; หรือ &quot;ลาวโซ่ง&quot; ที่อยู่ในเขตจังหวัดเพชรบุรี ส่วนหนึ่งจะอาศัยอยู่ทางภาคกลาง ส่วนกลุ่มสุดท้ายก็อาศัยอยู่ที่บ้านนาป่าหนาด จังหวัดเลย นี่เอง <br /><br />นอกจากนี้ ไทดำที่อพยพเข้ามายังบ้านนาป่าหนาดแห่งนี้ ส่วนใหญ่ยังเป็นไทดำชนชั้นราชวงศ์แทบทั้งสิ้นอีกด้วย เมื่อเดินทางมาถึง นอกจากการเยี่ยมชมวิถีชีวิตและสภาพบ้านเรือนของชาวไทดำที่ สร้างมากว่าร้อยปีแล้วนั้น จุดที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะกันก็คือ &quot;หมู่บ้านวัฒนธรรมไทดำ&quot; ซึ่งตั้งอยู่บริเวณ บ้านนาป่าหนาด หมู่ที่ 4 <br /><br />ที่นี่เราจะพบกับบ้านจำลองที่สร้างขึ้นตามรูปแบบของชาวไทดำในอดีต โดยตัวบ้านจะสร้างแบบเรือนเครื่องผูก หลังคามุงด้วยหญ้าคาหรือแฝก ใต้ถุนสูง ซึ่งภายในบ้านจะแบ่งออกเป็นห้อง ๆ ไล่มาตั้งแต่บันไดบ้านด้านหน้า ที่จะขึ้นได้แต่เฉพาะผู้ชายเท่านั้น <br /><br />เมื่อขึ้นไปแล้วห้องแรกจะเป็นห้องของผีเรือน ผีปู่ย่า ที่ชาวไทดำนับถือ ถัดมาเป็นห้องโล่งและมีพื้นที่กว้างสุดในบ้าน ใช้สำหรับเป็นห้องนอน โดยในห้องนี้จะมีเตาไฟวางไว้ปลายเท้าของเจ้าบ้าน เพื่อให้ความอบอุ่นแก่สมาชิกทุกคนในครอบครัวด้วย ถัดไปซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายของตัวบ้าน จะเป็นที่ประกอบอาหาร โดยมีบันไดที่ใช้เป็นทางขึ้นลงสำหรับผู้หญิงชาวไทดำด้วย <br /><br />นอกจากนี้บริเวณใต้ถุนบ้านที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งนี้ ยังมีกลุ่มสตรีสหกรณ์ชาวไทดำนั่งรวมตัวกันทำผ้าทอมือแบบโบราณ หลังว่างเว้นจากการทำนา เพาะปลูก ให้ได้ชมกัน ซึ่งขอบอกว่าพลาดไม่ได้เลย เพราะผ้าทอมือหรือที่ชาวไทดำเรียกว่า &quot;ซิ่นนางหาญ&quot; มรดกตกทอดที่ทำสืบต่อกันมากว่า 100 ปีนั้น มีลวดลายที่สวยงามและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างมาก ซึ่งซิ่นนางหาญนี้ มีตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาอย่างน่าสนใจว่า มีหญิงไทดำ 3 พี่น้องตั้งใจที่จะทอผ้าซิ่นขึ้นมาผืนหนึ่ง โดยหญิงคนแรกเป็นผู้คิดค้นการมัดลายและทำการทอ แต่ทอยังไม่ทันแล้วเสร็จก็ได้เสียชีวิตลง หญิงคนที่สองจึงได้ทอต่อ และในระหว่างทอก็เสียชีวิตตามกันไปเป็นคนที่สอง <br /><br />หญิงคนที่สามจึงได้บอกกล่าวผีเรือนว่า หากทอซิ่นผืนนี้สำเร็จ เมื่อมีการเสนเรือน (การเสนเรือน หมายถึง พิธีเซ่นไหว้ผีเรือนของชนเผ่าไทดำ) จะใส่สำรับให้ ทำให้หญิงคนที่สามทอซิ่นผืนดังกล่าวได้สำเร็จ ตั้งแต่นั้นมาชาวไทดำจึงนิยมใช้ซิ่นนางหาญในการประกอบพิธีเสนเรือนเรื่อยมา จนถึงปัจจุบัน ซึ่งคำว่า &quot;นางหาญ&quot; ที่ชาวไทดำ บ้านนาป่าหนาด เรียกกันนั้น ก็หมายถึงความกล้าหาญ ความเด็ดเดี่ยว ของหญิงในตำนานคนที่สาม ที่กล้าทอผ้าซิ่นผืนดังกล่าวได้จนสำเร็จนั่นเอง <br /><br />นอกจากนี้ที่ศูนย์วัฒนธรรมฯ ดังกล่าว ยังมีผังตัวอักษรไทดำที่ เขียนบันทึกไว้สำหรับให้ผู้สนใจและนักท่องเที่ยวได้ศึกษา พร้อมทั้งซื้อหาของฝากฝีมือกลุ่มสตรีสหกรณ์ชาวไทดำ อาทิเช่น ผ้าทอมือ สบู่สมุนไพร ดอกไม้ประดิษฐ์ที่ทำจากไหมพรมหลากสี ติดไม้ติดมือกลับไปในราคาที่ไม่แพงอีกด้วย <br /><br />เบอร์ติดต่อ : สมาคมอนุรักษ์วัฒนธรรมไทดำ โทร 08 1048 2000 / การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเลย โทร. 0 4281 2812/0 4281 1405 Facebook : หมู่บ้านวัฒนธรรมไทดำ บ้านนาป่าหนาด เวลาทำการ : 9.00-21.00 น. ช่วงเวลาแนะนำ : ตลอดทั้งปี ไฮไลท์ : การสาธิตวิธีการทอผ้าแบบชาวไทดำ และการเรียนรู้ตัวอักษร ภาษาไทดำ กิจกรรม : ชมวิถีชีวิตของชาวไทดำ ชมการสาธิตการทอผ้า และชมบ้านจำลองที่สร้างตามแบบบ้านโบราณในอดีต<br /><br />ขอบคุณข้อมูลจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
หมู่บ้านวัฒนธรรมไทดำ

ตั้งอยู่ที่บ้านนาป่าหนาด ตำบลเขาแก้ว เดิมชาวไทดำอพยพมาจากเมืองเชียงขวาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

ไทดำ บ้านนาป่าหนาด เป็นกลุ่มชาวไทกลุ่ม หนึ่งที่เคยตั้งรกรากอยู่ในเมืองไทดำ บริเวณลุ่มแม่น้ำดำและแม่น้ำแดงในเขตเวียดนามเหนือ เมื่อปี พ.ศ. 2425 สมัยสงครามฮ่อ และหลังจากสงครามยุติลง ไทดำส่วนหนึ่งจึงได้อพยพผ่านเข้ามาสู่ประเทศไทย

กลุ่มหนึ่งที่เรารู้จักกันดีก็คือ "ไทดำ" หรือ "ลาวโซ่ง" ที่อยู่ในเขตจังหวัดเพชรบุรี ส่วนหนึ่งจะอาศัยอยู่ทางภาคกลาง ส่วนกลุ่มสุดท้ายก็อาศัยอยู่ที่บ้านนาป่าหนาด จังหวัดเลย นี่เอง

นอกจากนี้ ไทดำที่อพยพเข้ามายังบ้านนาป่าหนาดแห่งนี้ ส่วนใหญ่ยังเป็นไทดำชนชั้นราชวงศ์แทบทั้งสิ้นอีกด้วย เมื่อเดินทางมาถึง นอกจากการเยี่ยมชมวิถีชีวิตและสภาพบ้านเรือนของชาวไทดำที่ สร้างมากว่าร้อยปีแล้วนั้น จุดที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะกันก็คือ "หมู่บ้านวัฒนธรรมไทดำ" ซึ่งตั้งอยู่บริเวณ บ้านนาป่าหนาด หมู่ที่ 4

ที่นี่เราจะพบกับบ้านจำลองที่สร้างขึ้นตามรูปแบบของชาวไทดำในอดีต โดยตัวบ้านจะสร้างแบบเรือนเครื่องผูก หลังคามุงด้วยหญ้าคาหรือแฝก ใต้ถุนสูง ซึ่งภายในบ้านจะแบ่งออกเป็นห้อง ๆ ไล่มาตั้งแต่บันไดบ้านด้านหน้า ที่จะขึ้นได้แต่เฉพาะผู้ชายเท่านั้น

เมื่อขึ้นไปแล้วห้องแรกจะเป็นห้องของผีเรือน ผีปู่ย่า ที่ชาวไทดำนับถือ ถัดมาเป็นห้องโล่งและมีพื้นที่กว้างสุดในบ้าน ใช้สำหรับเป็นห้องนอน โดยในห้องนี้จะมีเตาไฟวางไว้ปลายเท้าของเจ้าบ้าน เพื่อให้ความอบอุ่นแก่สมาชิกทุกคนในครอบครัวด้วย ถัดไปซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายของตัวบ้าน จะเป็นที่ประกอบอาหาร โดยมีบันไดที่ใช้เป็นทางขึ้นลงสำหรับผู้หญิงชาวไทดำด้วย

นอกจากนี้บริเวณใต้ถุนบ้านที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งนี้ ยังมีกลุ่มสตรีสหกรณ์ชาวไทดำนั่งรวมตัวกันทำผ้าทอมือแบบโบราณ หลังว่างเว้นจากการทำนา เพาะปลูก ให้ได้ชมกัน ซึ่งขอบอกว่าพลาดไม่ได้เลย เพราะผ้าทอมือหรือที่ชาวไทดำเรียกว่า "ซิ่นนางหาญ" มรดกตกทอดที่ทำสืบต่อกันมากว่า 100 ปีนั้น มีลวดลายที่สวยงามและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างมาก ซึ่งซิ่นนางหาญนี้ มีตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาอย่างน่าสนใจว่า มีหญิงไทดำ 3 พี่น้องตั้งใจที่จะทอผ้าซิ่นขึ้นมาผืนหนึ่ง โดยหญิงคนแรกเป็นผู้คิดค้นการมัดลายและทำการทอ แต่ทอยังไม่ทันแล้วเสร็จก็ได้เสียชีวิตลง หญิงคนที่สองจึงได้ทอต่อ และในระหว่างทอก็เสียชีวิตตามกันไปเป็นคนที่สอง

หญิงคนที่สามจึงได้บอกกล่าวผีเรือนว่า หากทอซิ่นผืนนี้สำเร็จ เมื่อมีการเสนเรือน (การเสนเรือน หมายถึง พิธีเซ่นไหว้ผีเรือนของชนเผ่าไทดำ) จะใส่สำรับให้ ทำให้หญิงคนที่สามทอซิ่นผืนดังกล่าวได้สำเร็จ ตั้งแต่นั้นมาชาวไทดำจึงนิยมใช้ซิ่นนางหาญในการประกอบพิธีเสนเรือนเรื่อยมา จนถึงปัจจุบัน ซึ่งคำว่า "นางหาญ" ที่ชาวไทดำ บ้านนาป่าหนาด เรียกกันนั้น ก็หมายถึงความกล้าหาญ ความเด็ดเดี่ยว ของหญิงในตำนานคนที่สาม ที่กล้าทอผ้าซิ่นผืนดังกล่าวได้จนสำเร็จนั่นเอง

นอกจากนี้ที่ศูนย์วัฒนธรรมฯ ดังกล่าว ยังมีผังตัวอักษรไทดำที่ เขียนบันทึกไว้สำหรับให้ผู้สนใจและนักท่องเที่ยวได้ศึกษา พร้อมทั้งซื้อหาของฝากฝีมือกลุ่มสตรีสหกรณ์ชาวไทดำ อาทิเช่น ผ้าทอมือ สบู่สมุนไพร ดอกไม้ประดิษฐ์ที่ทำจากไหมพรมหลากสี ติดไม้ติดมือกลับไปในราคาที่ไม่แพงอีกด้วย

เบอร์ติดต่อ : สมาคมอนุรักษ์วัฒนธรรมไทดำ โทร 08 1048 2000 / การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเลย โทร. 0 4281 2812/0 4281 1405 Facebook : หมู่บ้านวัฒนธรรมไทดำ บ้านนาป่าหนาด เวลาทำการ : 9.00-21.00 น. ช่วงเวลาแนะนำ : ตลอดทั้งปี ไฮไลท์ : การสาธิตวิธีการทอผ้าแบบชาวไทดำ และการเรียนรู้ตัวอักษร ภาษาไทดำ กิจกรรม : ชมวิถีชีวิตของชาวไทดำ ชมการสาธิตการทอผ้า และชมบ้านจำลองที่สร้างตามแบบบ้านโบราณในอดีต

ขอบคุณข้อมูลจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
19418.jpg
19418.jpg (61.76 KiB) เข้าดูแล้ว 545 ครั้ง
54217.jpg
54217.jpg (71.55 KiB) เข้าดูแล้ว 540 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4402
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D วันที่เราไปเขาไม่มีการแสดง ได้สนทนากับแม่ค้าและชาวไทดำทราบว่าการแสดงฟ้อนรำสวยงามเป็นที่น่าประทับใจหาชมได้ยากแล้ว กลับมาถึงบ้านได้เข้าไปค้นในยูทูปเจอคลิปข้างล่างนี้ น่าสนใจเก็บรายละเอียดเหมือนกับเราไปนั่งชมอยู่ใกล้ ๆ โดยเฉพาะเสียงดนตรีฟังได้ใจเพราะจริง ๆ ไม่เคยได้ฟังมาก่อน จึงขอนำมาฝากทุกท่านและขอขอบคุณ "พี่หมู" เจ้าของคลิปด้วยนะครับ เยี่ยมครับ :) :D


:) :D ไทดำ บ้านนาป่าหนาด พิพิธภัณฑ์เรียนรู้วัฒนธรรม ไทดำ เชียงคาน จังหวัดเลย :) :D
ไฟล์แนบ
cats3.jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (19).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (19).jpg (130.12 KiB) เข้าดูแล้ว 532 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (69).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (69).jpg (132.56 KiB) เข้าดูแล้ว 532 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (81).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (81).jpg (76.1 KiB) เข้าดูแล้ว 532 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (86).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (86).jpg (105.59 KiB) เข้าดูแล้ว 532 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (94).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (94).jpg (128.52 KiB) เข้าดูแล้ว 532 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (118).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (118).jpg (75.58 KiB) เข้าดูแล้ว 532 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (159).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (185).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (233).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (233).jpg (124.13 KiB) เข้าดูแล้ว 532 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (236).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (236).jpg (77.86 KiB) เข้าดูแล้ว 532 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (278).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (312).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (312).jpg (90.36 KiB) เข้าดูแล้ว 532 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (359).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (359).jpg (130.29 KiB) เข้าดูแล้ว 532 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (369).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (369).jpg (141.9 KiB) เข้าดูแล้ว 532 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (380).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (380).jpg (114.36 KiB) เข้าดูแล้ว 532 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (382).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (382).jpg (111.86 KiB) เข้าดูแล้ว 532 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (392).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (392).jpg (95.54 KiB) เข้าดูแล้ว 532 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (429).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (429).jpg (138.1 KiB) เข้าดูแล้ว 532 ครั้ง
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (348).jpg
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4402
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: คำสอนหลวงพ่อเรื่อง "โลกธรรม ๘".. โลกธรรม ๘ ประการมีอะไรบ้าง ลูกและหลานที่รัก จงอย่าเมาในโลกธรรม ๘ ประการ คือ

๑."ลาภ" ยังไม่เกิดขึ้น อย่าตะเกียกตะกายเกินไป อย่าเมาเกินไป อย่าลืมว่า "คนตายแล้วน่ะแบกอะไรไปไม่ได้ แม้แต่ผมสักเส้นเดียวก็นำไปไม่ได้" แต่ลาภสักการะจำเป็นจะต้องหา เพราะร่างกายต้องกินต้องใช้ แต่ก็หาด้วยความขยันหมั่นเพียร หาด้วยความซื่อสัตย์สุจริต คิดว่าภารกิจที่เรารับผิดชอบ มีอะไรบ้าง เราต้องทำตามนั้น เรียกว่า "ทำตามหน้าที่ของเรา" ลาภถ้าหามาได้ ควรทำลาภที่ได้มาด้วยความเหนื่อยยาก ให้เป็นประโยชน์แก่ตนเองและบุคคลอื่น ตามสมควรที่พึงแบ่งสรรปันส่วนได้ เพื่อเป็นการสร้างความสามัคคี เป็นการสร้างความรัก เพื่อความสุขใจของเรา

๒."ลาภหมดไป" ชื่อว่า เสื่อมลาภ เมื่อลาภมันต้องสลายตัวไปก็ต้องรู้ตัวว่า สิ่งเหล่านี้มันเป็นของธรรมดา เพราะเราหามาเพื่อใช้ ถ้ามันจำจะต้องเสียไปด้วยเหตุใดก็ตาม เป็นกฎของกรรม เราต้องยอมรับ ทำใจให้สบายว่า นี่มันเป็นของธรรมดา เมื่อมันหมดไปเราก็ต้องหามาใหม่ตามหน้าที่ อย่าสร้างความเสียใจให้เกิดขึ้นในลาภ "ถ้าเราเมาในลาภเมื่อได้มาแล้ว แล้วก็เสียใจเมื่อลาภหมดไป เราก็เป็นคนเลว"

๓."ยศ" เราทำความดี ย่อมมียศ ยศเขาแปลว่าอะไร พ่อไม่ทราบ พ่อก็ขอพูดตามภาษาของพ่อว่า "ยศ" คือการแต่งตั้ง ยกย่อง ส่งเสริม ที่บุคคลเขาเห็นว่าดี ถ้าเราดีเขาชอบใจ เขาก็ยกย่องสงเสริมว่าเราเป็นคนดี แต่ว่า ถ้าบังเอิญเขาเกิดไม่ชอบใจขึ้นมาเมื่อไร เขาก็ทำลายยศเสียได้เหมือนกัน

๔."การถอดถอนยศฐาบรรดาศักดิ์" ถอดการยกย่องสรรเสริญเชิดชูว่าเป็นคนมีศักดิ์ศรีดี นี่เรื่องของชาวโลกมันต้องมียศ ฉะนั้นเรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์ บรรดาลูกหลานที่รัก จงอย่าตะเกียกตะกายเข้ามาเพื่อตน แต่ความดีเราทำ ทำให้มันดีที่สุดตามธรรม ตามประเพณีนิยม หมายความว่า ประเพณีที่เขาใช้กันเป็นปกติ ที่ไหนก็ตาม อย่าฝืนประเพณีนิยมของถิ่นนั้น อีกประการหนึ่งอย่าฝืนศีลฝืนธรรม ฝืนกฎข้อบังคับ ฝืนกฎหมาย มันจะเป็นเหตุภัยให้เรามีความทุกข์ "เขาจะยกย่องแต่งตั้งสรรเสริญเยินยอ ให้เรามียศชั้นไหน อย่าสนใจ"

คำว่า ไม่สนใจ หมายความว่า เขาให้แล้วก็รับ เป็นการสนองความดี แต่ว่าจงอย่าเมาในยศที่พึงได้ คิดว่าเราได้มาจากความดี ผลความดีที่เราต้องการช่วยตัวเรา ให้ผลตามนี้เราก็รับ ผลที่เราต้องการคือ วัตถุที่เราพึงได้มาในการครองชีพ นั่นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต "ความสุขจริงๆ ก็คือ ใจที่มีความสงบ" ถ้าบังเอิญยศฐาบรรดาศักดิ์ เราทำดีทุกอย่าง แต่ไม่เป็นที่พอใจของผู้ให้ "เขาถอดถอนไป ก็โยนทิ้งให้เขาไป" การตะเกียกตะกายอยากได้ลาภ มันเป็นความเลวของใจ การทะเยอทะยานอยากได้ยศฐาบรรดาศักดิ์มันก็เป็นความเลวของใจเหมือนกัน "ถ้าลาภหมดไป ยศหมดไป เสียใจ ก็เป็นความเลวของใจ" จงจำไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นโลกธรรม วางมันเสีย "ทำงานตามหน้าที่ของตน"

๕ และ ๖ "นินทากับสรรเสริญ" ก็เหมือนกัน อย่ามีในวงการของเรา คือ ใครเขานินทาอย่าสะเทือนใจ อย่าสนใจ "แม้แต่พระพุทธเจ้าถูกนินทาถูกด่ายิ่งกว่าเราเยอะ" ท่านก็เป็นพระพุทธเจ้าอยู่ได้ "แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เหมือนกัน" พระองค์ทรงเมตตาอย่างยิ่งไปทุกแห่งหน ต้องการให้ประชาชนมีความสุข แต่ข่าวนินทาว่าร้ายก็ยังมีเป็นปกติ

"ใครจะว่าท่านอย่างไร จะนินทา จะด่าว่าท่านอย่างไรก็ตาม ท่านก็เฉย ท่านทรงวางพระทัยได้ดีมาก" และท่านก็ทำทุกอย่างเพื่อความดี เพื่อความอยู่เป็นสุขของประชาชน เราพยายามมองตัวของเราเองอยู่เสมอ ว่าเรามันดีหรือมันชั่ว การนินทาสรรเสริญ มันเป็นความเลวของปาก "เขานินทาเรามา เรานินทาเขาไป ก็เหมือนกับสุนัขมันเห่าเรา เราก็เห่าสุนัขตอบ สุนัขมันกัดเรา เราก็กัดสุนัข ก็เสร็จ อุจจาระมันเปื้อนเรา เรากัดอุจจาระ มันก็พัง"

๗ กับ ๘ "ความสุขและความทุกข์" ในโลกนี้อย่าสนใจ จงสนใจอย่างเดียว "ธรรมมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ที่ทรงสอนให้เรามีความสุข เราทำทุกอย่าง "โลกนี้มันจะสุขหรือจะทุกข์ก็เป็นเรื่องของมัน ร่างกายของเราจะอยู่ในโลกนี้ไม่กี่วันมันก็พัง" ฉะนั้นในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านปรินิพพานไปแล้ว ร่างกายของท่านพัง ท่านบอกว่า ท่านมีความสุข พระอรหันต์ทั้งหลาย ร่างกายของท่านพัง ท่านก็บอกว่า ท่านมีความสุข เราก็พยายามสุขอย่างท่านบ้าง ท่านทำอย่างไรเราก็ทำอย่างนั้น ค่อยๆ ทำไป

ขอสรุปว่า ข่าวคราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ถือว่าเป็นธรรมดาของโลก เราจงโทษกฎของกรรมว่า กรรมที่เรามีความโง่เกิดมาในโลกนี้แล้ว มันจะทำความโง่ไม่ได้อย่างไร ผลของความโง่ ก็คือ ความชั่วของจิต เราเกิดมาในโลกนี้ โลกที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อน ความร้อนมันก็ถูกเรา แต่ว่าให้มันถูกแต่กาย "ข่าวมีมาให้มันกระทบแต่เฉพาะหู อย่าให้มันเข้าไปถึงใจ" ใจของเราทำอย่างไร "อุเบกขา วางเฉยเข้าไว้" เรามีเมตตาในคนให้ข่าว ว่าคนที่ออกข่าวไป น่าสงสารไม่กี่วันท่านก็ตายแล้ว ทำไมท่านสร้างความชั่วให้เป็นความเดือดร้อนของท่าน ข้อนี้สำคัญ จงจำไว้ว่า "จงอย่าคิดว่าเราดีไว้เสมอ อัตตนา โจทยัตตานัง" จงกล่าวโทษโจทความผิด มองดูความบกพร่องของจิต ว่าจิตเราบกพร่องตรงไหน พยายามแก้ไขไปสู่ระดับความดี "ความดีอย่างนี้ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการ"

ที่มาจาก.. พ่อสอนลูก เล่ม ๒ หน้าที่ ๒๖๕-๒๖๘.. (พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
:idea: :idea:

:) :D อรุณสวัสดิ์ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ เรื่องของโลกธรรม ๘ ที่นำมาเสนอในเช้านี้ขอให้สังเกตุให้ดีว่า ณ ปัจจุบันบ้านเมืองของเราโดยเฉพาะวงการตำรวจ เป็นตัวอย่างที่ดีที่มาสอนพวกเราเกี่ยกับเรื่องราวของ โลกธรรม เป็นอย่างดี ติดตามข่าวสารแล้วก็ให้ได้ปัญญา เราเป็นเพียงผู้ชมเข้าไปทำอะไรไม่ได้(ไม่ใช่หน้าที่) อย่าลืมนำไปสอนคนรอบข้างด้วยนะ สำหรับคำว่า โลกธรรม ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายไว้ว่า

โลกธรรม (โลกกะ-) น. เรื่องของโลก, ธรรมดาของโลก (ทางพระพุทธศาสนามี ๘ ประการ ดังที่กล่าวมาข้างต้นครับ)

เราไปเที่ยวกันต่อนะ...ออกจากศูนย์ไทดำเป็นเวลาเกือบจะบ่ายแล้ว เราไปหาอะไรใส่ท้องกันค้นหาร้าน เจ จากลุงกู เจออยู่ร้านเดียวดั้นด้นไปตามที่ลุงกูแนะนำ กว่าจะถึงเรียกว่า "เพลียเลย ๕๕ ดีลุงกูไม่พาลงคลอง" ความอ่อนล้าทำให้ลืมเก็บภาพเป็นร้านเล็ก ๆ ของคนที่เข้ารับธรรมะในสายเจ้าแม่กวนอิม ไปถึงร้านก็ปิดแล้ว (บ่าย ๒ แล้วครับ) แต่ด้วยความเมตตากรุณาและเห็นว่าพวกเราคือคนกินเจ ด้วยกัน (ยังไม่พอมาไกลจากเชียงใหม่โน่น) แม่ค้ารีบจัดการปรุงอาหารเป็นพิเศษให้เรากินแถมด้วยการมานั่งคุยสนุกให้ได้ความรู้เรื่องราวต่าง ๆ มากมายเยอะเลย ขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
:) :D
ไฟล์แนบ
หลังจากที่เราทานมื้อเที่ยงกันเรียบร้อยก็พากันกลับมาที่พัก ปรากฏหนูน้อยมีอาการตัวร้อนนิด ๆ ก็ได้ให้ยาทานและให้พักผ่อน เย็น ๆ จะพาออกปั่นไปซื้อของฝากซึ่งไม่ไกลจากที่พักครับ<br /><br />คุณนายเมื่อช่วงเช้าไม่ได้ไปปั่นชมโขงกับผมเพราะให้หลานพักผ่อนให้เต็มที่ ช่วงเย็นนี้จึงขอไปปั่นชมโขงยามเย็นให้ผมเฝ้าหลาน พาหลานพักผ่อน ภาพที่คุณนายเก็บมาฝาก ก็จะได้บรรยากาศไปอีกแบบ แม้ภาพจะเป็นสถานที่เดียวกัน แต่ feel จะคนละอารมณ์ครับ ไปชมภาพที่คุณนายเก็บมากันครับ เยี่ยม !!!
หลังจากที่เราทานมื้อเที่ยงกันเรียบร้อยก็พากันกลับมาที่พัก ปรากฏหนูน้อยมีอาการตัวร้อนนิด ๆ ก็ได้ให้ยาทานและให้พักผ่อน เย็น ๆ จะพาออกปั่นไปซื้อของฝากซึ่งไม่ไกลจากที่พักครับ

คุณนายเมื่อช่วงเช้าไม่ได้ไปปั่นชมโขงกับผมเพราะให้หลานพักผ่อนให้เต็มที่ ช่วงเย็นนี้จึงขอไปปั่นชมโขงยามเย็นให้ผมเฝ้าหลาน พาหลานพักผ่อน ภาพที่คุณนายเก็บมาฝาก ก็จะได้บรรยากาศไปอีกแบบ แม้ภาพจะเป็นสถานที่เดียวกัน แต่ feel จะคนละอารมณ์ครับ ไปชมภาพที่คุณนายเก็บมากันครับ เยี่ยม !!!
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (434).jpg (83.47 KiB) เข้าดูแล้ว 394 ครั้ง
cats4.jpg
cats5.jpg
cats5.jpg (102.97 KiB) เข้าดูแล้ว 394 ครั้ง
cats6.jpg
cats6.jpg (82.97 KiB) เข้าดูแล้ว 394 ครั้ง
cats7.jpg
cats8.jpg
cats8.jpg (107.6 KiB) เข้าดูแล้ว 394 ครั้ง
cats9.1.jpg
cats9.1.jpg (122.9 KiB) เข้าดูแล้ว 394 ครั้ง
cats9.jpg
cats9.jpg (68.83 KiB) เข้าดูแล้ว 394 ครั้ง
cats10.jpg
cats11.1.jpg
cats11.jpg
cats12.jpg
cats12.jpg (94.66 KiB) เข้าดูแล้ว 394 ครั้ง
436508988_1491624931742974_114377187822998688_n (1).jpg
436508988_1491624931742974_114377187822998688_n (1).jpg (92.7 KiB) เข้าดูแล้ว 394 ครั้ง
436551259_1894287431016821_1979185746920768022_n.jpg
436551259_1894287431016821_1979185746920768022_n.jpg (92.04 KiB) เข้าดูแล้ว 394 ครั้ง
436621773_998342711634091_4475708231695499621_n (1).jpg
436621773_998342711634091_4475708231695499621_n (1).jpg (56.56 KiB) เข้าดูแล้ว 394 ครั้ง
436685044_1227361378258887_6701402877356497211_n.jpg
436685044_1227361378258887_6701402877356497211_n.jpg (68.98 KiB) เข้าดูแล้ว 394 ครั้ง
441110061_806655264743311_2437564696841904699_n.jpg
441110061_806655264743311_2437564696841904699_n.jpg (59.13 KiB) เข้าดูแล้ว 394 ครั้ง
441563468_437993325856227_5253478518654449510_n.jpg
441563468_437993325856227_5253478518654449510_n.jpg (123.38 KiB) เข้าดูแล้ว 394 ครั้ง
441987794_2661271147366371_2771905185880802056_n.jpg
441987794_2661271147366371_2771905185880802056_n.jpg (94.86 KiB) เข้าดูแล้ว 394 ครั้ง
436570563_490441183419025_1702502281996932273_n (1).jpg
436570563_490441183419025_1702502281996932273_n (1).jpg (97.74 KiB) เข้าดูแล้ว 394 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4402
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »


:) :o #มาดูวิธีและขั้นตอนการทำมะพร้าวแก้วเชียงคานกันครับ :o :o


:) :D ร้านติ๊กมะพร้าวแก้ว ต้นตำรับมะพร้าวแก้วเชียงคาน ยาวนานกว่า 31 ปี :) :D
ไฟล์แนบ
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (40).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (201).jpg
785916.jpg
785917.jpg
785917.jpg (133.72 KiB) เข้าดูแล้ว 373 ครั้ง
785918.jpg
785919.jpg
785920.jpg
785920.jpg (144.34 KiB) เข้าดูแล้ว 373 ครั้ง
785921.jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (88).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (220).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (292).jpg
เที่ยวเมืองเชียงคาน ๑-๓ มิ.ย.๖๗ (307).jpg
442016285_812929044363878_3341095011709856598_n.jpg
442016285_812929044363878_3341095011709856598_n.jpg (133.49 KiB) เข้าดูแล้ว 373 ครั้ง
441990083_981268266720175_2073649200068541156_n.jpg
441990083_981268266720175_2073649200068541156_n.jpg (150.22 KiB) เข้าดูแล้ว 373 ครั้ง
ด.ช.ปุรณพัฒน์ ฯ เป็นเด็กที่จะจำคำสัญญาต่าง ๆ ได้ดีมาก ๆ เช่นกันเมื่อคุณยายต้อย ได้ฝากเงินเพื่อซื้อมะพร้าวแก้วเชียงคาน ที่แสนอร่อย เด็กน้อยจะคอยเตือนคุณปู่ - คุณย่าเสมอ ๆ ว่า &quot;มะพร้าวแก้ว ๆ &quot; หลังจากที่คุณย่าไปปั่นชมวิวริมโขงยามเย็นกลับมาถึงที่พัก ชายปุรณ์ ฯ ไม่รีรอให้เราสองคนพาไปหาซื้อมะพร้าวแก้วให้ได้ก่อนเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้ (๓ มิ.ย.๖๗) แม่ค้าชอบใจหนูน้อย &quot;เรียกว่าทั้งขาย ทั้งแถม&quot; งานนี้ชายปุรณ์ ฯ มีกำไร ๕๕๕ <br /><br />พรุ่งนี้ ๓ มิ.ย.๖๗  ช่วงเช้าเราจะไปชมหมอกสวยที่ภูทอกก่อนก่อนเดินทางกลับ อย่าลืมติดตามให้กำลังใจนะครับ ขอบคุณมากครับ
ด.ช.ปุรณพัฒน์ ฯ เป็นเด็กที่จะจำคำสัญญาต่าง ๆ ได้ดีมาก ๆ เช่นกันเมื่อคุณยายต้อย ได้ฝากเงินเพื่อซื้อมะพร้าวแก้วเชียงคาน ที่แสนอร่อย เด็กน้อยจะคอยเตือนคุณปู่ - คุณย่าเสมอ ๆ ว่า "มะพร้าวแก้ว ๆ " หลังจากที่คุณย่าไปปั่นชมวิวริมโขงยามเย็นกลับมาถึงที่พัก ชายปุรณ์ ฯ ไม่รีรอให้เราสองคนพาไปหาซื้อมะพร้าวแก้วให้ได้ก่อนเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้ (๓ มิ.ย.๖๗) แม่ค้าชอบใจหนูน้อย "เรียกว่าทั้งขาย ทั้งแถม" งานนี้ชายปุรณ์ ฯ มีกำไร ๕๕๕

พรุ่งนี้ ๓ มิ.ย.๖๗ ช่วงเช้าเราจะไปชมหมอกสวยที่ภูทอกก่อนก่อนเดินทางกลับ อย่าลืมติดตามให้กำลังใจนะครับ ขอบคุณมากครับ
436570563_490441183419025_1702502281996932273_n (3).jpg (19.52 KiB) เข้าดูแล้ว 373 ครั้ง
436570563_490441183419025_1702502281996932273_n (2).jpg
436570563_490441183419025_1702502281996932273_n (2).jpg (75.94 KiB) เข้าดูแล้ว 373 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
ตอบกลับ

กลับไปยัง “ทัวร์ริ่ง (Touring)”