![รูปภาพ](https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xaf1/v/t1.0-9/10411275_740346862738296_7108038553034221768_n.jpg?oh=4c47736daf78bf3d9c3e2f369bc55349&oe=5714FB55)
First Look Trek Madone 9.9
สัมผัสแรกขี่ มาโดนกันจังๆกับรถคอมพลีทครบรสของศักราชนี้
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xat1/v/t1.0-9/11225249_966656120071328_1274880401968072074_n.jpg?oh=2d45480e0c14f7b71ed1174c82b5dd5e&oe=56D7C8D7)
Trek Madone 9 หนึ่งในสามจักรยานที่ Trek ค่ายยักษ์ใหญ่ของโลกเจ้าหนึ่งและเป็นค่ายดังของอเมริกาที่ระยะหลังๆมานี้ความนิยมลดลงไปจากการสิ้นสุดลองของยุค"เดอะบอส" แลนซ์ อาร์มสตรอง ผันมาสู่ยุคของนักปั่นตำนานใหม่ค่ายสายฟ้าฟาด และล่าสุดก็เป็นยุคของนักปั่นเมืองผู้ดี และจักรยานไฮเอ็นด์ค่ายอิตาลี่ แต่แม้ความนิยมจะลดลงไป สิ่งหนึ่งที่ Trek ไม่เคยเปลี่ยนก็คือการมุ่งเน้นพัฒนาจักรยานเพื่อให้ได้จักรยานที่เป็นสุดยอดรถแข่งรองรับกับทั้งระดับนักปั่นอาชีพและนักจักรยานอื่นๆทั่วไป มายังยุคปัจจุบันที่ความได้เปรียบทุกเสี้ยวเศษมีค่าต่อการแข่งขันชี้เป็นชี้ตายบนความชนะหรือพ่ายแพ้ของนักปั่น ไหนเส้นทางและการแข่งก็ถูกสร้างให้ท้าทายมากยิ่งขึ้น ทางออกของแบรนด์จักรยานต่างๆจึงต้องเน้นพัฒนาจักรยานที่เหนือย ่งขึ้นไปอีก ลงลึกเฉพาะให้รองรับกับสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป
Madone จัดเป็นจักรยานที่สามารถทำเวลารวมในการแข่งตูร์ เดอ ฟร็องซ์ น้อยที่สุดได้คันหนึ่ง แม้ว่าชัยยชนะของแลนซ์ อาร์มสตรองจะถูกยกเลิกไปหมดสิ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตั้งแต่ Trek 5500 บรรพบุรุษก่อนจะมาเป็น Madone จวบจน Madone 6 เป็นจักรยานที่ขึ้นนำในการแข่งขันและพาให้นักปั่นประสบความสำเร็จได้ ทั้งแลนซ์ และ อัลเบอร์โต คอนทาดอร์ ซึ่งสิ่งที่โดดเด่นที่สุดของ Madone ก็คือเทคโนโลยีคาร์บอนที่ล้ำสมัย ในขณะที่จักรยานยุโรปในยุคนั้นยังอยู่กับการออกแบบในลักษณะอนุรักษ์นิยม แต่ Trek เน้นการออกแบบด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆที่ได้รับจากการควบรวมกิจการจักรยานที่เป็นสุดยอดการออกแบบต่างๆเอาข้อดีมารวมกันเอาไว้มากมาย จนเป็นหนึ่งในรถที่โดดเด่นในการใช้งานในสนามแข่งคันหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น Trek 5500 ของแลนซ์อ ที่รวมบันไดยังมีน้ำหนักเพียง 7.2 กก. หรือยุคของ Madone ที่เป็นจักรยานคาร์บอนคันแรกของโลกที่ใช้ในการแข่งขันทุกเสตจ(นอกจจากไทม์ไทรอัล) ของตูร์ เดอ ฟร็องซ์ ตั้งแต่ต้นยันจบ ที่มีน้ำหนักเฟรมเพียง 940 กรัม
เดิมที Madone เป็นจักรยานที่ถูกออกแบบมาให้เป็นรถที่"ครบเครื่อง" ในการใช้งานซึ่งหมายถึงมีน้ำหนักเบา มีการขี่ที่สบาย และมีความสติฟ ส่งกำลังได้ดี ซึ่งแตกต่างจากคู่แข่งที่อาจเน้นเฟรมที่เบา หรือเฟรมที่สติฟมากๆ และด้วยเหตุนี้เอง ที่เป็นแนวคิดมาถึงปัจจุบันนี้นั่นเอง
AERO ERA
"แอโร่ไดนามิคส์" กลายเป็นสิ่งสำคัญและถูกกล่าวถึงในหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งสำหรับ Madone เมื่อสิ้นสุดยุคของรุ่น Madone 6 ก็เข้าสู่ยุคของการแข่งขันตลาดรถเสือหมอบแอโร่ฯกันเต็มตัว ด้วยทรงท่อที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากรถไทม์ไทรอัล และผสมผสานกับแนวความคิดของการสร้าง อ ให้มีความครบเครื่อง โดยใส่เอาความแอโร่ฯเข้าไปเป็นปัจจัยที่ 4 ส่งผลให้ Madone 7 เป็นรถแอโร่ฯ ที่มีความสมดุลย์ประนีประนอมคุณสมบัติต่างๆได้เป็นอย่างดี
ต่อมาไม่นาน ในเมื่อตลาดจักรยานและการแข่งขันอาชีพเส้นทางมีความหลากหลายมากขึ้น ทำให้ Trek ตัดสินใจแตกสายการพัฒนาจักรยานของตนออกเป็น 3 กลุ่มหลักได้แก่
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xfa1/v/t1.0-9/12240055_966656183404655_6640401307571055441_n.jpg?oh=ba5e167f7e701eccd4b30226e54c1daf&oe=570C625D)
บริษัทโปรทไบค์ เชิญสื่อจักรยานทั้งนิตยสารและออนไลน์มาร่วมกันสัมผัสประสบการณ์ Madone 9 พร้อมๆกัน ทั้ง Thaimtb, นิตยสาร Sport Street และ Cycling Plus Thailand
Madone จักรยานแอโร่ฯ ที่ครบเครื่อง
Domane จักรยานที่ขี่สบายในการแข่งขันทรมานสังขาร
Emonda จักรยานครบเครื่องที่มีน้ำหนักเบาไต่เขาได้ดี
ทั้ง 3 กลุ่มต่างบริหารการออกแบบให้มีความสมดุลย์ในด้านต่างๆที่แตกต่างกันออกไป และส่งผลให้การพัฒนา อ แห่งศักราชนี้ มีแนวทางในการออกแบบที่ต่างไปจาก Madone 7 อย่างสิ้นเชิง ในเมื่อมีน้องร่วมตระกูลที่ไปเอาดีทั้งสองด้านไปแล้ว ดังนั้นพี่ Madone สามารถเน้นความแอโร่ฯได้อย่างเต็มที่ไม่ต้องกลัวอะไร
แต่ปรัชญาการออกแบบของ Trek ก็ยังคงมองหาสมดุลย์ที่สมบูรณ์แบบ อยู่เช่นเดิม
ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ Madone 9 กลายเป็น
จักรยานแอโร่ฯที่ครบเครื่องในความสมดุลย์ ตามปกติแล้วปัจจัยทั้งสี่ของการออกแบบจักรยานจะไม่ไปด้วยกัน เพราะเมื่อนักออกแบบเอนไปทางด้านหนึ่ง ก็จะเสียคุณสมบัติในด้านตรงกันข้ามไปด้วย ในภาพเป็นการแสดงให้เห็นสีต่างๆแสดงรถจักรยานในแต่ละรูปแบบที่มีแนวทางการออกแบบแตกต่างออกไป บ้างก็เน้นน้ำหนักและความสติฟ ซึ่งก็เสียความแอโร่ฯและความสบายออกไปด้วย และอะไรคือสิ่งที่ทำให้ 9 สามารถรักษาสมดุลย์เหล่านี้เอาไว้ได้มากที่สุดเท่าที่การออกแบบจะทำได้?? มาลองเจาะดูสิ่งที่เด่นในแต่ละด้านของเฟรมนี้กันก่อนครับ
AERODYNAMICS
มันก็แน่ล่ะครับเพราะมันคือรถที่ออกมาเพื่อให้ได้เปรียบด้านแอโร่ฯเป็นหลัก สิ่งนี้ต้องเด่นชัดและมีความยอดที่สุดในการออกแบบ ซึ่งสิ่งที่ซีรีส์ 9 ต่างขาก 7 ก็คือการเน้นความแอโร่ฯของเฟรม เพราะในซีรีส์ 7 เฟรมไม่ได้ออกแบบมาให้แอโร่ฯมากจนเกินไปจนเสียสมดุลย์ด้านอื่น แต่โจทย์ของซีรีส์ 9 ฝ่ายพัฒนาและวิจัยของ Trek ต้องการให้เฟรมออกมามีความแอโร่ฯในระดับสูง และได้เปรียบจริงทั้งในห้องทดลอง อุโมงค์ลม และการใช้งานจริง ซึ่งอะไรคือคำนิยามเหล่านั้นของ Madone มาติดตามกันได้เลยครับ
REAL WORLD ADVANTAGE
Trek ตัดสินใจเลือกใช้รูปทรงท่อที่เป็นเอกลักษณ์ที่สืบทอดมาตั้งแต่รถไทม์ไทรอัลลของค่ายตนอย่าง Speed Concept ด้วยทรงหยดน้ำหางตัดที่เป็นที่ทราบกันดีว่าอาจมีความสามารถในการลดแรงฉุดจากมุมตรงๆไม่ดีเท่าทรงแอโร่ฯแบบหยดน้ำ แต่เมื่อลมเปลี่ยนมากระทำจากด้านข้าง จะได้เปรียบด้วยการเกิดแรงฉุดโดยรวมน้อยกว่าทันที และจุดนี้เองที่ทำให้การวิจัยพัฒนาทรงของ Madone 9 สามารถก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับแนวหน้าของเฟรมแอโร่ฯด้วยคุณลักษณะความได้เปรียบเฉลี่ยนในทุกองศามุมกว้างถึง 20 องศา
ALL INTEGRATED
เรื่องนี้ขอไม่พูดเยอะครับ มันเห็นกันจะๆไปเลยอยู่แล้วว่าเฟรมนี้ไม่มีสายโผล่ออกมาให้เห็นกันเลยแม้แต่นิดเดียว สายทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นสายเบรค สายเกียร์ จะไฟฟ้าหรือสายเกียร์ธรรมดาก็สามารถร้อยผ่านเข้าไปเก็บซ่อนเอาไว้ได้หมด และการซ่อนสายทั้งหมดนี่เองที่ช่วยให้เฟรม Madone 9 มีความได้เปรียบด้านอากาศแหวกลมไปได้ดีที่มุม 0 องศาสู้กับเฟรมแอโร่ฯอื่นๆได้
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xtp1/v/t1.0-9/12376024_966656116737995_9106649521082146631_n.jpg?oh=b94de73c2c38088db7bf69638b1a9c4a&oe=5709A183)
ช่องสำหรับใส่แบทเตอรี่และจังก์ชั่นเชื่อมต่อของระบบเกียร์ไฟฟ้าที่มีสลักปิดอยู่ที่ท่อล่างด้านบน เหนือตำแหน่งกระบอกน้ำ ปิดเก็บระบบสายต่างๆได้เรียบร้อย และดูแลรักษาได้ง่ายมาก
WEIGHT
น้ำหนักเป็นสิ่งหนึ่งที่นักปั่นทุกคนต่างต้องการให้ได้จักรยานที่เบาที่สุด และสำหรับ Madone เองก็เน้นเรื่องของน้ำหนัก ถึงแม้ว่าในทุกวันนี้เฟรมจักรยานและจักรยานทั้งคันจะมีน้ำหนักที่เบามาก มากจนเบากว่ากติกาน้ำหนักจักรยานของการแข่งขันจักรยานอาชีพอยู่แล้ว แต่ในกลุ่มเสือหมอบแอโร่ฯเอง กำแพงของการรีดน้ำหนักจักรยานคือในระดับเฟรมเปล่าชั่งน้ำหนัก 1000 กรัม หรือน้ำหนักเฟรมเซ็ท(เฟรม หลักอาน ตะเกียบ) ที่ทำน้ำหนักรวมที่ราวๆ 1600 กรัม เฟรมแอโร่ฯหลายๆคค่ายตัดสินใจยอมทิ้งความท้าทายนี้และมุ่งเน้นไปที่ความแอโร่ฯมากขึ้น เพราะทราบกันดีว่าความเบาไม่ได้เป็นสิ่งได้เรปียบในทางราบและกระแสลม
แต่สำหรับ Madone 9 ที่ต้องการสมดุลย์ น้ำหนักเป็นสิ่งท้าทายจุดหนึ่ง และสามารถสร้างความน่าสนใจได้ด้วยน้ำหนักเฟรมเปล่า 940-970 กรัม ซึ่งมีน้ำหนักเข้ามาร่วมเบียดกับเฟรมแอโร่ฯเบาๆของค่ายอื่นได้ทันที รวมถึงน้ำหนักโดยรวมของเฟรมเซ็ทที่ทำได้ออกมา 1600 กรัมบวกลม (ในไซส์เล็กน้ำหนักต่ำกว่า 1600 กรัมพอสมควร) ถ้าจะอธิบายให้เห็นภาพกว่านั้น ก็คือรวมน้ำหนักทั้งหมดของเฟรมเซ็ท Madone 9 มีน้ำหนักรวมเบากว่าเฟรมแอโร่ฯในยุคก่อนๆอยู่ขีดนึง โดยที่แอโร่ฯพอๆกัน
OCLV หรือคำนิยามเทคโนโลยีของคาร์บอนจาก Trek ที่หมายถึงกระบวนผลิตและขึ้นรูปชิ้นส่วนคาร์บอนโดยที่มีช่องว่างระหว่างชั้นและฟองอากาศต่ำที่สุดด้วยแรงดันและระบบพิเศษ ทำให้เฟรมทำได้แข็งแรงและต้องการเนื้อวัสดุที่น้อยกว่า ช่องว่าง รอยยับและฟองอากาศเหล่านี้ ทำให้คาร์บอนแต่ละส่วนกระจายแรงต่อกันได้ไม่ดี สิ่งที่ตามมาก็คือความแข็งแรงที่ลดลงไป ส่งผลให้ต้องมีเนื้อวัสดุมากขึ้น นำมาซึ่งน้ำหนักที่มากตามไปด้วย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเกรดคาร์บอนเลยครับ (ขอยังไม่พูดถึงมากในเรื่องคาร์บอน T ต่างๆที่นักปั่นแทบทั้งหมดที่เคยสอบถามมา เข้าใจผิดหมดครับ ขอสรุปย่อๆครับว่าเฟรมต่างๆมันก็ใช้คาร์บอนเกรดต่างๆกันมาขึ้นรูป และไม่ได้แปลว่าเลขยิ่งเยอะยิ่งเป็นของเกรดดีนะครับ มันคือคุณสมบัติที่ต่างกันในแต่ละเบอร์ต่างหาก) สำหรับรหัสของเทคโนโลยีของคาร์บอนที่ใช้ใน Madone 9 ได้แก่ OCLV600 ในรุ่นปกติ H2 และเกรดสูงสุด OCLV700 ในเฟรมระดับ H1 ProjectONE ที่เป็นระดับสูงสุด ที่เฟรมมีน้ำหนักเบากว่าเดิมลงไปอีกราวๆ 100 กรัมเลยทีเดียว STIFFNESS
ความสติฟ แปลง่ายๆมันก็คือความแข็งแต่ถ้าเรียกความแข็งคนไทยเรามักจะตีความเป็นทั้งแข็งแรง และแข็งโป๊ก ดังนั้นความสติฟจริงๆมันก็คือความสามารถในการส่งกำลังมากกว่าคำว่า"แข็ง" ครับ และรวมไปถึงความสามารถของเฟรมในการรับแรงต่างๆ ทั้งแรงโยก บิด สปรินท์ การเอียงรถเข้าโค้งที่แนวของตะเกียบและเฟรมยังตรงกันไม่เกิดการบิดงอ ซึ่งปัจจัยหลักแน่นอนว่ามาจากทั้งวัสดุและการออกแบบด้วย เบื้องต้นเราอธิบายถึง OCLV ไปแล้ว แต่สิ่งสำคัญที่ Trek มั่นใจว่าเฟราของตนผ่านการทดสอบและรองรับแรงระดับโปรอาชีพกันได้แน่นอนก็คือการเลือกใช้กะโหลกแบบเป็นเอกลักษณ์ ที่ความกว้างถึง 90 มม. ซึ่งทำให้มีการส่งกำลังจากชุดขับเคลื่อนไปที่แกนดุมหลังได้อย่างดี ร่วมกับตะเกียบโซ่ที่ขึ้นรูปชิ้นเดียว ส่วนช่วงหน้าของรถ ที่ต้องรองรับทั้งการสปรินท์และการเข้าโค้งที่ดี การออกแบบใช้คอแบบเทเปอร์ด้านล่างใหญ่กว่าด้านบน เพื่อกระจายแรงและเป็นฐานที่ดี ด้านบนใช้เสป็คขนาด 1 1/8 นิ้ว ในขณะที่ด้านล่างใช้เสป็คใหญ่ 1 1/2 นิ้ว สิ่งสำคัญที่น่าสนใจในด้านความสามารถในการส่งกำลังคือการเชื่อมต่อการส่งแรงโครงสร้างตั้งแต่ท่อคอ ไปยังท่อล่าง กะโหลกไปยังระบบขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องกัน
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xtf1/v/t1.0-9/10414618_966656623404611_2277705570196033361_n.jpg?oh=e734fc274b22b557a2069c9317b83798&oe=5713B5DF)
COMFORTABLE
เทคโนโลยีสำคัญที่เป็นที่มาของคุณสมบัตินี้ Trek เรียกมันว่า ISOspeed หรือการออกแบบท่อนั่งและหลักอานที่เลือกใช้คาร์บอนที่ซับแรงลดการสั่นสะเทือน ซึ่งแรงสั่นสะเทือนจากถนนจะขึ้นมาที่ล้อหลังและหน้าผ่านมาที่ตะเกียบหลังและท่อนอนมาที่หลักอานและท่อนั่ง ซึ่งมีระบบการซับแรงสะเทือนหรือแรงใดๆก็ตามที่ไม่ได้มาในแนวด้านข้าง โครงสร้างจะให้ตัวได้เพื่อลดแรงที่จจะขึ้นมาหาผู้ปั่น เทคโนโลยีนี้เป็นการถ่ายทอดมาจากรถในตระกูล Domane ที่เน้นการปั่นบนนถนนขรุขระแรงสะเทือนมากๆอย่างรายการแข่งบนถนนอิฐได้ดี โดยในตระกูล Domane ระบบนี้ให้ตัวได้สูงสุดถึง 35 มม. ใน Madone 9 การออกแบบช่วยลดแรงสั่นสะเทือนสามารถให้ตัวได้สูงสุด 22 มม. มีหลายๆท่านถามผมมาว่ามันโยกได้ สั่นได้ แล้วเฟรมมันจะสติฟได้อย่างไร? ต้องเข้าใจกันก่อนนะครับว่าเฟรมใดๆนั้นรับแรงหลักๆใน 2 ลักษณะได้แก่
แรงแนวนอน หรือแรงที่ออกแรงบิดเฟรมในลักษณะซ้าย-ขวา เหมือนกับการกดบันไดหมันจานให้รถวิ่งแต่ก็เกิดการบิดเฟรมซ้้ายขวาด้วยนั่นเอง ในการออกแบบจุดสำคัญที่ต้องการความสติฟ เฟรมต้องรับแรงแนวนี้ได้ดีมาก
แรงแนวตั้ง หมายถึงแรงที่กระทำกับเฟรมในลักษณะล่าง-บน หรือจากหน้า-หลัง จำพวกแรงสะเทือน กระแทกจากพื้นถนน หลุม รอยต่อ ที่จะส่งเข้าหาเฟรมในทิศทางนี้ และนี่คือการทำให้เฟรมสามารถซับหรอกระจายแรงในทิศนี้ได้ดี เป้าหมายเพื่อลดแรงที่จะขึ้นไปสู่ผู้ปั่นให้ได้เหลือน้อยที่สุด
เป็นอันว่าทำความรู้จักสรรพคุณกันไปแล้ว แต่ก่อนจะไปเริ่มต้นดูประสบการณ์ของ Madone 9 รถรุ่นนี้ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้กับเจ้า "บานพับ" ที่ดูแล้วมันช่างไฮเท็คเสียเหลือเกิน มันคือ "Vector Wing" ที่โดดเด่นเตะตาสำหรับทุกคนที่ได้เห็นรถตัวนี้เป็นครั้งแรก ตั้งแต่เปิดตัว เป้าหมายของการออกแบบระบบปิดเปิดนี้ก็เพื่อ
สำามารถทำท่อคอให้แคบและเก็บสายทั้งหมดไว้ภายในได้
มันมีเท่านี้เลยครับ.. ไม่ใช่การออกแบบระบบสุดยอดตัดลม การสร้างแอโร่ฯอะไรอย่างที่ลือกัน และยิ่งกว่านั้น การทำงานมันก็เรียบง่ายเสียเหลือเกิน เพราะมันก็คือแผ่นขึ้นรูปมีจุดหมุน ดันกลับด้วยสปริงโลหะง่ายๆ เปิดออกด้วยสายเบรคที่ซ่อนอยู่ภายในดันออกไปในจังหวะที่บิดแฮนด์ในมุมมากๆ ไม่มีกลไกอะไรพิสดารอันต้องการการดูแลรักษาที่เกินปกติ ถ้าจะมองว่าการใช้งานยาวๆต้องการการดูแลอะไรบ้าง?? มันก็ไม่ต่างจากส่วนอื่นๆของจักรยานที่ต้องการการทำความสะอาดคราบฝุ่น เศษดินที่อาจเข้าไปได้ และหล่อลื่นจุดหมุนบ้างตามโอกาสเท่านั้น
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xaf1/v/t1.0-9/12321608_966656643404609_214070439353094212_n.jpg?oh=bdb0c9affb3d2f8b4564b54226522a86&oe=56DBA8F9)
Vector Wing เปิดบ่อยแค่ไหน? มีผลเสียแค่ไหน?
เป็นคำถามที่พบบ่อยมากเช่นกัน ลองทำความเข้าใจง่ายๆครับว่ามันจะเปิดก็ต่อเมื่อแฮนด์ถูกบิดเลี้ยวในมุมเกือบสุดเท่านั้น ซึ่งเวลาเราปั่นจักรยานไปปกติ ไม่ต้องเอาถึงขั้นเร็วจนสามารถเกิดแรงฉุดคิดได้เป็นน้ำหนัก 8 กก. หรอกครับ เเอาแค่ปั่นไปหยิบน้ำฟรีที่แจกก็พอ เราแทบจะไม่บิดแฮนด์เลยด้วยซ้ำ การเลี้ยวเสือหมอบทำด้วยการถ่ายน้ำหนักตัวเอียงรถ บิดแฮนด์นิดหน่อยเท่านั้น ดังนั้นตลอดเวลาการปั่น บานพับปีกนี้จะปิดสนิทตลอดเวลา ลองท่านจงใจจะเปิดมันด้วยการบิดแฮนด์ ตอนลงเขาเร็ว 80 บิดให้สุด ... ไม่ต้องรอแรงฉุดจากบานที่เปิดมารับลมหรอกครับ เพราะเพียงไม่ถึง 2 วินาทีก็จะลงไปกลิ้งบนพื้นแล้ว
Trek Madone 9 Thailand Press Test Ride
by Probike
กิจกรรมแนวอินเตอร์ที่โปรไบค์ ผู้นำเข้าจักรยาน Trek บริษัทจักรยานแนวหน้าของไทยเราดำริคิดขึ้นมาเพื่อให้สื่อจักรยานได้มาร่วมกันเป็นตัวแทนนักปั่น ร่วมทดลอง ทดสอบ จับ ขี่ รีดกันเน้นๆในรถรุ่นนี้เต็มที่ สื่อทั้ง 3 สำนักได้แก่ Thaimtb, Cycling Plus Thailand และ Sport Street ได้รับเทียบเชิญมาร่วมสัมผัสประสบการณ์นี้พร้อมกัน โดยโปรไบค์จัดจักรยาน Trek Madone 9.9 Complete Dura Ace Di2 เอาไว้ให้แต่ละคนเป็นการส่วนตัว หนึ่งคนหนึ่งคัน แกะกล่องประกอบใหม่ เซ็ทรถตามระยะฟิตติ้งที่ส่งมาให้ล่วงหน้า ไม่ต้องเสียเวลาลองเวียนไป เวียนมา
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xlt1/v/t1.0-9/1654024_966656050071335_7468501453337220060_n.jpg?oh=91c53fd6588d7e7cab99c280a40b376a&oe=56D5DCD9)
เสป็ครถ Madone 9.9 size 50
Frameset Trek Madone 9 H2 OCLV600
็Bar/Stem Trek Madone 9 Integrated
Drivetrain Shimano-Dura Ace Di2
Chain Rings Shimano Dura-Ace 50/34
Cassette Shimano Dura-Ace 11-28
Saddle Bontrager Paradigm XXX Carbon Rails
Wheels Bontrager Aerolus 5 DT TLR
Pedals Look Keo2Max
Computer Garmin EDGE 510
Bottle Bontrager
Cages Bontrager XXX
น้ำหนักรวม 7.0 กิโลกรัม (6.7 กก. ไม่รวมบันไดและไมล์)
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xfp1/v/t1.0-9/12347886_966658960071044_5328188758234431288_n.jpg?oh=b1590991de648af5893a172c01ce1b47&oe=571240B6)
การทดสอบในครั้งนี้ ส่วนตัวผมเองตั้งใจจะทดสอบในด้านฟิลลิ่งเปรียบเทียบมากกว่า ที่จะมานั่งหาความเร็ว หาวัตต์ เพราะการทดสอบแบบนั้นต้องใช้เวลาหลายๆวัน ควบคุมบรรยากาศโดยรวมให้ได้ แต่สิ่งที่เรา(สื่อทั้งสาม) เห็นตรงกันคือการเก็บประสบการณ์และมุมมองแทนนักปั่นให้ได้ละเอียดที่สุด โปรไบค์ก็อำนวยความสะดวกเสริมเส้นทางให้ได้ครบทุกรส มีภาระกิจที่แต่ละคนต้องฝ่าฟันให้ได้แตกต่างกันออกไป
เส้นทางทดสอบใช้เส้นทางนครนายกวนบริเวณใกล้ทางขึ้นเขื่อนขุนด่านฯ ที่หมายนักปั่นยอดนิยม เส้นทางประกอบด้วยทางราบลมแรง, ทางลงเบาๆลมส่ง, ทางขึ้นซึมๆยาวๆ, เส้นทางขรุขระผิวถนนชำรุด, ทางขึ้นเขา และลงเขา เพื่อให้ได้ร่วมกันทดสอบรถให้ได้ในทุกเส้นทางที่เราสามารถปั่นกันไปได้จริงๆ การทดสอบมีรถจักรยานยนต์วิ่งนำหน้าเสือหมอบ และคอยให้แต่ละคนได้ขึ้นไปทำความเร็วรีดเอาสมรรถนะรถออกมาให้สุดๆเท่าที่จะทำได้ รวมถึงช่วงทางตรงๆยาวๆ ลมสวน เรียบกริบ จำลองเส้นชัยให้ได้ลองสปรินท์ยัดกันให้ใส้ออกมากองกันข้างทาง
ส่วนตัวผมได้รับโจทย์ให้เกาะท้ายจักรยานยนต์หมกไปให้ดีๆ ก่อนจะบิดพาทำความเร็วพุ่งขึ้นไปอย่างช้าๆ ไล่จาก 40 ไป 50 กม./ชม. และไปแช่อยู่ที่ประมาณ 60 กม./ชม. ค้างอยู๋ราวๆ 3 นาที ก่อนจะเร่งไปความเร็วสูงสุดที่ 68 กม./ชม.
ส่วนหน้าเส้น ระยะทางไม่ยาวมากราวๆ 350-400 ม. จักรยานยนต์ลากแบบลีดเอาท์ ไล่ความเร็วไปก่อนจะปล่อยให้ออกสปรินท์รับลมแหวกไปเข้าเส้นองที่ความเร็ว 60 กม./ชม. ต้องยัดต่อสวนลมเข้าไปกระทืบหมดให้ได้
สิ้นสุดเส้นทางกันที่ทางขึ้นเชื่อนขุนด่านฯที่แม้จะไม่ชัน ไม่ยาว แต่ก็ให้ลองไต่เขากันได้สบายๆ จะขึ้น จะลงมาเล่นกี่รอบก็ตามศรัทธาของแต่ละคนครับ ปิดท้ายด้วยการดิ่งลงมาทดสอบกันดูว่ารถเข้าโค้ง พุ่งลงความเร็วสูงนิ่งแค่ไหน ลองเบรคกันดูว่าจะหนึบ เหนียว หรือแน่แรง
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xfa1/v/t1.0-9/1958015_966658943404379_6149481096169253230_n.jpg?oh=2f3be515812cb044845463aed2a6b543&oe=570BC188)
สัมผัสแรก
สัมผัสแรก ที่ไปจับตัวเป็นๆ คร่อม เพื่อเช็ครถให้พร้อมที่สุด เนื้องานคาร์บอน และงานสีจัดว่าอยู๋ในระดับดีเยี่ยมครับ อาจไม่หวือหวามาก เพราะเน้นลายเรียบๆ ดังนั้นก็ไม่มีตำหนิที่อาจเกิดได้มากนัก ชิ้นส่วนต่างๆของเฟรมค่อนข้างเยอะแต่การประกอบยึดมาแน่นนอน ดูแล้วไม่แคลงใจว่าผ่านกติกา UCI มาได้อย่างไรในเมื่อมีชิ้นส่วนแปะเสริมมากมายตามที่อ่านเสป็คก่อนมาทดสอบ เพราะปรากฏว่าทั้งหมดจัดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างชัดเจน ไม่มีการเอามาแปะ ล็อค เติมแต่งแต่อย่างไร
ในบรรดาชิ้นส่วนทั้งหมดผมชอบแฮนด์มากที่สุด เพราะงานคาร์บอนสวยงามมากๆ องศาก็ถูกใจเพราะก้มสุดๆ ระบบการรองแหวนไม่ลำบากยากเย็นนัก รองกันตามปกติด้านล่างเป็นแหวนโค้งทรงแอโร่ตามท่อคอ ด้านบนหากตัดซางให้โผล่ออกมาก็รองแหวนตามปกติมาตรฐานได้เลย นอกนั้นก็เป็นเรื่องพื้นฐานของรถคอมพลีทครับ เกียร์ปรับระยะเอื้อมของนิ้วให้เหมาะกับตัวเอง ระยะเบรคลึก/ตื่น ผมเป็นคนนิ้วสั้นครับ ต้องปรับเบรคมาใกล้หน่อยและตั้งเบรคให้ตื้นๆเข้าไว้
ล้อ ต้องบอกว่า เนี๊ยบสวยมากๆ ล้อคาร์บอน ยางงัด ดุมเป็นของ DT Swiss ขอบสูง 50 มม. ตัวขอบจัดว่าอ้วน แม้จะไม่ได้อ้วนมากอย่างบางยี่ห้อ ที่สวยบาดใจคือผิวขอบเป็นคาร์บอนมันตลอดทั้งตัวขอบแม้แต่ที่ขอบเบรคที่ปกติจะเป็นขอบบะซอลท์ด้าน ตัวนี้ก็มาเป็นผิวมันครับ สวย ดูมีประกายทั้งหมดเลย
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xft1/v/l/t1.0-9/10268442_966656560071284_6422394782519934966_n.jpg?oh=e1587bbc0ae316901288d5d7cadeee6d&oe=56D993B3)
การปรับเซ็ทรถ
เมื่อได้รับการยืนยันจาก Trek ว่าเราจะได้รับเชิญไปทดสอบสัมผัสกับเจ้า 9 อย่างเป็นทางการ โปรไบค์ประสานให้ผู้ทดสอบทั้งหมดส่งระยะต่างๆจากรถคันที่แต่ละคนใช้อยู่ที่ได้ปรับมาอย่างดีแล้วให้ล่วงหน้าเพื่อจัดการเซ็ทรถปรับให้จักรยานที่จะทดสอบอยู่ในมิติการฟิตติ้งที่ใกล้เคียงกับความถนัดและสรีระของแต่ละคนที่สุด สำหรับผู้ทดสอบท่านอื่นปัญหาดูจะไม่ค่อยมีครับ แต่สำหรับผม ที่เกิดมาเป็นชายไทยไซส์พกพาสะดวก ผมมีปัญหากับไซส์เล็กที่สุดของ Madone 9 อยู๋นิดหน่อย เมื่อไซส์เล็กสุดของซีรีส์นี้ ก็ยังมีระยะท่อบนที่ยาวกว่าคันปกติที่ผมขี่อยู่มากกว่า 10 มม. ถ้าจะให้เรียกกันตรงๆก็น่าจะบอกว่าด้วยสัดส่วนความสูง 165 ของผม ไซส์ 50 ของ Trek ถือว่า "พอดี" ตัวและเหมาะกับชิ้นส่วนที่ OEM ติดมาพื้นฐานในฐานะรถสำเร็จครับ ทว่า... จริตและรสนิยมของผมที่ดันไปชอบการขี่รถที่สั้นและเล็กกว่าตัว ด้วยเหตุผลสองประการคือ ระยะก้มที่ทำได้มากกว่า และการขี่รถที่เล็กลงแล้วยืดเสต็มไปด้านหน้า ได้ฟิลลิ่งของรถที่นิ่งแต่คล่องตัวปราดเปรียว บาลานซ์น้ำหนักรู้สึกทะยานไปมากกว่าการขีรถพอดีตัว ซึ่งเป็นความกระแดะอยากจะขี่แบบโปรเท่าที่สังขารจะอำนวยครับ ความทรมานก็คือต้องหมั่นปั่นระยะทางไกลๆ ท่าปั่นแบบนี้ หมั่นยืดกล้ามเนื้อ บริหารความยืดหยุ่นเพื่อให้ร่างกายปั่นอยู๋แบบนั้นได้จริงๆ
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xaf1/v/t1.0-9/12391356_966658993404374_844539460905962412_n.jpg?oh=7091c6df1e117624a7d6e0d139ca733d&oe=57142F7B)
แน่นอนล่ะครับรถทดสอบคันนี้แกะกลอ่งมาหมาดๆ และจะเป็นรถแสดงโชว์หรือทดสอบต่อไป มันไม่สามารถตัดซางหรือปรับต่างๆให้เป็นของผมเป๊ะๆได้ ระยะอินซีม ความสูงเบาะไม่มีปัญหา ระยะเบาะหน้าหลังก็ไม่มีปรัญหาครับ ระยะเอื้อมไม่มีปัญหาเช่นกัน แค่รู้สึกแปลกไปบ้างที่เสต็มสั้นลง (จากเดิมใช้ 110 ได้ตอนนี้หดมาเหลือราวๆ 90) แต่สิ่งที่ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ในแคมป์นี้ครับระยะก้ม
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xaf1/v/t1.0-9/12391957_966659050071035_4489561923833607143_n.jpg?oh=b89dd0e482661f896ca8ecea5a5837d3&oe=571CB174)
เนื่องจากสายกลไกและสายไฟทั้งหมดต้องใส่เข้าไปในระบบคอของเฟรม สายจึงมีความยาวยืดหยุ่นได้จำกัดกว่าปกติ ในเฟรมปกติ เราสามารถปรับยกความสูงเสต็มด้วยการรองแหวนเสปซเซอร์หรือตัดซางลงได้อิสระตราบที่แฮนด์ยังหมุนบิดได้ไม่ติดว่าสายสั้นเกินไป หรือถ้าสายยาวไปเนื่องจากการลดระดับมากก็มีผลเรื่องการเบรคนิดๆหน่อย แต่สำหรับ Madone 9 นี้ เมื่อใส่สาย ปรับตัดความยาวเรียบร้อยแล้วจะสามารถปรับขึ้น-ลงได้ในระดับที่จำกัด
ปรับขึ้นได้ไม่เกิน 20 มม. ปรับลงได้ไม่เกิน 5 มม.
เป็นคำแนะนำของช่าง หากจะปรับลงมากกว่านั้น ต้องรื้อสายออกมาตัดใหม่ เป็นงานช้างครับ ดังนั้นสำหรับผมที่ใจหวังจะเอาแหวนรองออกไปให้สิ้น หรือเหลือไว้ซัก 5 มม. น่าจะพอดีกับความชิน ก็ทำได้แค่เอาออกไปชั้นหนึ่ง (5 มม.) ส่วนซางที่โผล่มาด้านบนก็ใช้แหวนปกติซางกลมมาตรฐานมาใส่ได้เลย ในกรณีรถส่วนตัว เราอาจเผื่อเหลือซางเอาไว้สัก 5-10 มม. สำหรับปรับรถในอนาคต และ/หรือ ขายต่อได้โดยไม่จำกัดคนซื้อมากเกินไป แต่ถ้าอยากได้สวยๆ แน่นอนครับ ฟิตติ้งเสร็จจนพอใจแล้ว ตัดกุดปิดฝาเลย จุดูแล้ว"ซ่อน" เป็นอันเดียวกันมากๆ
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xtl1/v/t1.0-9/12391323_966688273401446_464532782845614004_n.jpg?oh=d496a4df1a815c320dc940f63e62766c&oe=57132E6D)
มาเริ่มปั่นทดสอบกัน
สมมุติฐานของเฟรมและรถแอโร่ฯทั่วๆไปที่หลายๆคนน่าจะเดาได้ไม่ยากคือ รถที่หน่วงนิดๆในความเร็วต่ำ ไหลได้ดีเมื่อความเร็วสูง และกระด้างสะเทือนพอดูด้วยรูปทรงของท่อที่แบนจนเสียความสามารถในการซับแรงกระแทก ดังนั้น ผมจึงคาดเดาเอาไว้ว่า Madone 9 นี้ ที่มีท่อต่างๆบางเฉียบ ทรงท่อหนาก็จริงแต่ผนังบางและเรียบมากๆ น่าจะมีอาการ "สะเทือน" จากถนนให้สัมผัสกันได้พอสมควร แต่ตัวแทนสื่อที่มาทดสอบทั้ง 4 คนลงความเห็นตรงกัน หลังจากที่ออกตัวกันไปได้ระยะทางไม่กี่กิโลเมตรว่าสัมผัสแรกๆที่ลงถนนแล้วเริ่มออกปั่นจริงๆของ Madone 9 คือ "นุ่มจริงๆ" ส่วนหนึ่งที่ต้องยกเครดิทให้ก็คือล้อคาร์บอน แฮนด์/เสต็มคาร์บอน และเบาะรางคาร์บอน ตัวเบาะคาร์บอนบุ สรุปคือ ... มันเป็นคาร์บอนทั้งคันจริงๆ แถมเจ้า ISO SPEED ก็ยังช่วยซับแรงเอาไว้ได้ ถนนช่วงแรกเป็นถนนขาว(ถนนคอนกรีท) ซึ่งผิวไม่ได้เรียบกริบ ขี่ไปไม่ได้รู้สึกถึงผิวสัมผัสถนน และเมื่อออกมาถนนใหญ่ที่เป็นถนนลาดยางอย่างดี ยิ่งรู็สึกเรียบนุ่มนวลมากๆ สิ่งบ่งชี้สำคัญคือแถบสะเทือนที่ไว้ให้รถชลอความเร็ว ซึ่งปกติบนเส้นทางนี้จะสั่นกันหัวคลอนเลยทีเดียว แต่บน Madone 9 เราสามารถรูดผ่านไปได้แบบไม่รู้สึกกระแทกมาก
"พี่โต" จาก Sport Street ซึ่งมี Madone 6 อยู่ในครอบครองใช้งานอยู่บ่อยๆ ให้ความเห็นว่า เจ้า 9 นี้นุ่มสบายยิ่งกว่า 6 เสียอีก
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xtf1/v/t1.0-9/10632820_966690626734544_7452709979955118192_n.jpg?oh=b63fd626378d1dd669e89024a3992418&oe=571B88CC)
บนถนนใหญ่ ผู้ทดสอบแต่ละคนมีโอกาสได้ลอง"ย่ำ" รถแรงกันได้เต็มที่เมื่อเส้นทางช่วงเช้าตรู่รถน้อย มีรถตู้ปิดท้าย และจักรยานยนต์ลากนำหน้าคอยช่วยกระตุ้นให้แต่ละคนทำความเร็วกันเต็มที่ เส้นทางในช่วงนี้บางช่วงขึ้นซึมๆ บางช่วงทิ้งลงนิดๆแต่ยาวๆ สามารถกดทำความเร็วกันสบายๆได้ที่ 50-60 กม./ชม. สรรพคุณของความแอโร่ฯมันส่งออกมาตอนนี้แหละครับ เมื่อ Madone 9 มีคุณลักษณะของรถแอโร่ฯอย่างเต็มตัว ผิดกับหน้าตาเหมือนรถถังถึกของมันโข เมื่อความเร็วดันไปถึงระดับสามสิบปลายๆ รถก็จะไหลมากๆ ยิ่งความเร็วสูงมากเท่าไหร่ ยิ่งรู้สึกว่ารถไปข้างหน้าได้เอง (ผมโดนลากไปยัน 68 กม./ชม.) มันสามารถ"ช่วย" ได้อย่างจริงๆ นักทดสอบแต่ละคนและลูกค้า Madone ก่อนหน้านี้ต่างผ่านรถแอโร่ฯกันมาไม่น้อย ลงความเห็นตรงกันว่ามันคือรถแอโร่ฯเต็มตัวครับ ต่างจากพวกกึ่งๆแอโร่ฯบ้าง ประนีประนอมบ้าง อย่างน้อยๆต่างจาก Madone 7 อย่างแน่นอน
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xpl1/v/t1.0-9/12369261_966688303401443_2598878571267699124_n.jpg?oh=0ca8f82b29d3179b2f05687321fc0870&oe=56D5BAEA)
ไฮไลท์แรกของการทดสอบอยู่ที่เส้นทางขรุขระ ชนิดว่ามีหลุมบ่อยตื้นๆกระจายประปราย ผิวถนนเป็นรอยแตกบ้าง มีรอยยางมะตอยหลุดบ้าง แถมถนนแคบเสียด้วย ปกติผมไม่ใช่คนที่ถนัดการขี่เข้าทางแคบๆ แล้วคุมรถสลับไลน์รูดทางไป ผิดกับนักทดสอบท่านอื่นๆที่มีประสบการณ์เสือภูเขากันมา สามารถจับรถพุ่งเข้าใส่ สลับไลน์สวยคมๆ แล้วปล่อยรถไปได้อย่างคล่อง ผมนี่เข้าโหมดการแข่งปารีส-รูเบซ์ จับบาร์บนหลวม ถ่ายน้ำหนักบาลานซ์ ย่ำเกียร์หนักใส่ไปเลย แต่ทักษะอันต่ำต้อยทำให้ตามเค้าไม่ทันครับ เลยมีเวลาเอาใจจดจ่ออยู๋กับผิวถนนและความรู้สึกบนมือ ต้องยอมรับกันว่ามันไม่ได้นุ่มมากแบบรถหมอบยางใหญ่ตามสมัยนิยม หรือพวกหมอบเอนดูแรนซ์ที่ใส่ยางได้ถึง 28 มีกระดอน เด้ง กระแทกบ้างตามเส้นทาง แต่โดยรวม เทียบกับรถดิบๆอื่นๆ ต้องยกนิ้วเลยว่า ISO SPEED นี้ยอดจริงๆครับ ท่อนั่งหลักอานให้ตัวได้ 22 มม. นั่งก้นติดเบาะใส่ไปเลย ไม่สะท้านจนต้องยกก้นหนี
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xfp1/v/t1.0-9/12347675_966690236734583_7309155700645517916_n.jpg?oh=f21939a06432e9fa6b8e9ff0eb9ef1d3&oe=570C9629)
ความมันส์แรกของการทดสอบคือช่วงทางตรง โล่ง ยาว ร่วมๆครึ่งกิโลเมตร ที่มีลมสวน เปิดโอกาสให้แต่ละคนลองออกตัวแล้วกระชากย่ำ Madone 9 ผ่านจุดเส้นชัยที่มาร์คบนพื้นเอาไว้กันให้สุดๆ แถมความสะใจแบบสปรินท์เตอร์ด้วยการลีดเอาท์แบบกิริน จักรยานยนต์ลากกันไปจนถึงระยะทำการแล้วยัดต่อกันจนสุด เอาเป็นว่า การทดสอบนี้ถึงจะสั้นๆและไม่สามารถหาคำตอบเชิงวิทยาศาสตร์ได้ชัดเจน แต่มันทำให้เห็นได้ว่า การตอบสนองของเฟรม ส่งกำลังพุ่งกระแทกไปทำได้ไม่แย่ โดยเฉพาะที่ความเร็วสูงมากๆ เมื่อจักรยานยนต์เปิดออกให้เราฝ่าลมไปเอง รถไม่มีอาการตื้นลงอย่างทันที ยังอัดต่อไปจนหมดอัตราทดจานหน้า 50 เฟือง 11 ได้เลย ส่วนช่วง 100 เมตรแรกจะลำบากหน่อยครับ เพราะทางสั้นมีเวลา(ระยะทาง)น้อยต้องไล่จาก 0 ไปถึง 50 แรงน้อยๆแบบผม ชอบการกระชากเร่งของพวกรถทั่วไปมากกว่า เพราะน้ำหนักเบากว่าเยอะ ... แต่รถทั่วไปเหล่านั้นต้องทำใจเมื่อเจอลมปะทะที่ความเร็ว 50-60 นะครับ มันจะตื้ออย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว
อัตราเร่งตีนต้น ทำได้ดีกว่ารถแอโร่ฯที่เน้นแอโร่ฯสุดขีด ลมหน้าตรง และออกแบบมารับลมและกระแสอากาศที่ความเร็วสูงมากๆ ที่มีฟิลลิ่งใกล้รถไทม์ไทรอัลหลายๆตัว แต่ก็ไม่ได้ดีเท่ารถเบาๆทั่วไปที่ไต่เขาได้ดีหรือแอโร่น้อยนิด สร้างน้ำหนักเบา เอาเป็นว่ามันอยู๋ตรงกลางครับ
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xap1/v/t1.0-9/12360383_966691270067813_4259938479170217490_n.jpg?oh=a5303bf13f924d20024a90490ee3d78a&oe=57113BC0)
อาหารหลักสุดท้ายที่ผมรอจะลองมันดูมาถึงเมื่อเราเข้าสู่ทางขึ้นเชื่อนขุนด่านปราการชล ที่แม้จะไม่ชัน ไม่ยาว แต่ก็มีุดที่สามารถลองกระทืบรถขึ้นเขาไปได้ รถเบาไม่เบา สติฟไม่สติฟ เรามาลองบนเขากันนี่แหละครับ Madone 9 มีความสบายตามที่เล่ามาแล้ว แอโร่ฯไหลดีตามที่เล่ามาแล้ว บนเขาจะเป็นอย่างไร? ย้วยมั้ย? อืดมั้ย? เป็นคำถามที่ผมอยากหาคำตอบ
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xtp1/v/t1.0-9/10446719_966691373401136_8464669360471952527_n.jpg?oh=c98395fb3fc56b044bb436fce0eb27e6&oe=571BA1CA)
ช่วงแรกๆที่ความชันไม่มากทดลองนั่งขึ้นเขาแบบซอยยิกไปเรื่อยๆ ใช้รอบขาควงรถไต่ความชันไป รถไปได้ดีกว่าที่คิดมาก น่าจะเพราะน้ำหนักที่ถือว่าเบาใจหายแล้วครับ อาจจะหนืดๆไปบ้างเมื่อเทียบกับพวกรถไต่เขาที่ใส่กันสุดๆงบเบากว่ากติกา UCI กันไปเกือบครึ่งโลฯหลายๆตัว แต่รับรองได้ว่าดีกว่ารถแอโร่ฯอีกหลายต่อหลายตัวมากนัก ช่วงที่ชันรอบแรกผมลองขึ้นแบบไม่เล่นเกียร์ นั่งย่ำรอบต่ำๆไปดูซิว่าจะรู็สึกยวบย้วยหรือไม่ รถจะขึ้นไปแบบ "อาดๆ" ตามแรงถีบหรือรักษาโมเมนตัมที่ดีไปได้ ผลคือมันก็ไม่ยวบครับ กระโหลกมาตรฐาน 90 ใหญ่บึกบึนมาก รับแรงบิดได้ดีเยี่ยม จากน้ัน ขอลงเขามาทดสอบอีกรอบ คราวนี้ ใส่เกียร์หนักยืนโยกรถโยนไปมา เต้นขึ้นไปเต็มเหนี่ยว ยาวกันยันสันเขื่อน ความรู้สึกประหลาดมากครับ เพราะนี่แทบจะห่างไกลฟิลลิ่งรถแอโร่ฯเลยก็ว่าได้ รถกลับโยกได้ดี ทะยานไปได้ดี ช่วงหลังแน่น สติฟมาก กดน้ำหนักลงแล้วขึ้นไปได้ จุดรอยต่อท่อนอนต่ำแนวเฟรมคอมแพ็คมากๆ ถ้าใครนึกถึงเฟรมหมอบท่อนอนลาดๆว่าโยกขึ้นเขามันส์แบบไหน Madone 9 อารมณ์ใกล้กันเลยครับ
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xap1/v/t1.0-9/12375986_966691460067794_8594800932870729947_n.jpg?oh=4a6fd372ea205f6e20c2b24fc7e1fcf0&oe=56D7ACE4)
ท้ายสุดคือการลงเขากลับลงมา ทางไม่ได้ยาวมาก ความเร็วไม่ได้สูงมาก แต่ถ้าใครเคยลงเส้นนี้จะพบว่าเราแทบจะปล่อยยาวๆลงมาได้เลย ผ่านโค้งตัวเอสที่ตัดไลน์ลงมาได้ (ถ้าไม่โดนรถสวนมาสอย) ช่วงท้ายปล่อยยาวๆกันได้จนหักศอกสู่ทางราบ แบบนี้เทกันสนุกครับ แถมลองดูว่าถ้าต้องเบรคหนักๆเบรคแบบพิเศษที่ได้ข้อมูลมาว่าเป็น OEM ซัพพลายจากค่ายเบรคไต้หวันชั้นยอดรายหนึ่งทำให้ ฟิลลิ่งเบรคกำลังดีครับ ไม่หนึบจึ้กเกินไป แม้ว่าผมจะตั้งเบรคค่อนข้างชิด และไม่หลวมจนต้องบีบให้เมื่อยนิ้ว แรงเบรคอาจไม่ได้ชัดเจนแบบแบรนด์ญี่ปุ่นรุ่นท็อป แต่ก็เกลี่ยได้ดีเลยครับ การเทโค้งต้องขอไม่เล่ามาก เนื่องจากองศาต่างๆของรถออกมาไม่คุ้นครับ หน้าเชิดๆ ไม่ชิน รู้สึกว่าตัวมันสูงๆกว่าเดิม เลยไม่กล้าเทเหวี่ยงโค้งออกไป แต่รถก็ถือว่าไม่ดื้อโค้ง จุดศูนย์ถ่วงต่ำดี เอนนิดๆก็ไปแล้ว ตะเกียบหน้าเชื่อได้ว่าสติฟมากๆ ผมไม่รู้สึกหรอกครับ แต่คนอื่นๆที่ทดสอบทิ้งดิ่งกันลงมา ตัวใหญ่ๆก็ยังเข้าไลน์แบนออกไปได้นิ่มๆ แสดงว่าช่วงฐานล้อหน้า-หลังน่าจะมั่นคงดี
และถือเป็นการสิ้นสุดการทดสอบในครั้งนี้ ที่เหลือคือการมานั่งรวมกัน เสวนา ถกกันว่า การทดสอบได้ผลความรู้สึกกันเป็นอย่างไรบ้าง แต่ละค่ายสื่อก็จับในจุดมุมมองที่แตกต่างกัน ซึ่งอยากฝากให้ติดตามอื่านกันให้ครบทุกค่ายที่ได้ลองครับ ต่อไปนี้เรามาดูสรุปข้อต่างๆที่ชัดเจนในนาม Thaimtb กันนะครับ
ข้อดี
1.ความสมดุลย์ของทุกกด้าน
อย่างที่เกริ่นมาแต่แรก และบอกเล่าในการทดสอบ เฟรม Madone 9 รวมถึงชิ้นส่วนที่มากับรถคอมพลีทนี้ จัดว่าเป็นรถที่เน้นความ"สมดุลย์" หากใครจะเรียกการออกแบบว่าต้องประนีประนอม ผมขอเรียกการออกแบบของนักออกแบบ Trek ว่ามันคือการเกลี่ยจุดเด่นให้อยู่ได้ครบถ้วนด้วยการแก้ปัญหาแต่ละจุด ในเมื่อเฟรมมันมีปัญหาทรงขี่กันไม่สบาย ก็สร้างระบบ ISO SPEED มารองรับ ในเมื่อมันต้องแอโร่ฯมากๆก็จับซ่อนสายยัดให้หมด และเลือกเสป็คกะโหลกและการกระจายแรงของท่อมาช่วยให้เฟรมสติฟได้ เทคโนโลยีเหล่านี้บางอย่างใช้ทุนการผลิตที่สูง ซับซ้อน (ยากจะโดนสำเนาได้) แต่ Trek ก็หาทางสร้างให้มันอยู่ในกรอบราคาที่เหมาะได้(เดี๋ยวเล่าครับว่าทำไม)
Madone 9 อาจะไม่ใช่เสือหมอบแอโร่ฯที่แอโร่ฯที่สุดในอุโมงค์ลม แต่เป็นเสือหมอบแอโร่ฯที่ขี่ได้ดีจริงบนทุกสภาพการใช้่งานบนถนนที่ไม่ยอมทิ้งด้านอื่นๆไป
2.เฟรมระบบซ่อนเก็บสายทั้งหมดที่ดูแลง่าย
หลายๆสำนักเชื่อกันว่าในอนาคตการซ่อนสายทั้งหมด(Integrated Internal Cable) น่าจะเป็นแนวทางเสือหมอบที่มาเป็นกระแสหลักไม่ว่าจะเป็นรถแอโร่ฯหรือรถทั่วไป นอกจากความแอโร่ฯที่ได้มา ยังดูแล้วเรียบหรู สวยงามถูกใจนักซิ่งกันเสียด้วย ยังไม่นับเรื่องของการตลาดที่ทำให้นักปั่น(ลูกค้า)ต้องซื้อแฮนด์ที่มาพร้อมกันทั้งชุดเท่านั้น ดังนั้นบรรดาบริษัทจักรยานยักษ์ใหญ่น่าจะพากันเอียงไปที่กระแสการออกแบบดังกล่าวเพื่อใช้ชิ้นส่วนในเครือตนเองให้ได้มากที่สุด ทว่าข้อเสียของระบบเก็บสายภายในแบบนี้ยังยุ่งยากมาก สำหรับ Madone 9 ระบบภายในอาจแตกต่างไปจากเดิมบ้างแต่กลไกและกรรมวิธีการประกอบและดูแลรักษา ยังถือว่าไม่ยากเกินร้านจักรยานทั่วไปจะทำได้อย่างแน่อน และที่สำคัญ ง่ายพอที่จะนั่งทำได้เองที่บ้านหากจำเป็นต้องแก้ไขเฉพาะหน้าขึ้นมา ซึ่งถือเป็นจุดสำคัญของรถล้ำสมัยแบบนี้ แม้แต่เกิดปัญหาบนถนน ก็สามารถแก้ได้ริมทางง่ายๆด้วยเครื่องมือพกพามาตรฐาน
3.คุ้มค่าในราคาที่ไม่น่าเชื่อ
เราต้องทำความเข้าใจกันก่อนนะครับว่า Madone 9 แบ่งออกเป็นในรหัส H1 และ H2 ซึ่งแตกต่างกันที่เทคโนโลยีคาร์บอน OCLV600 และ OCLV700 และองศาที่ดุกว่าในตัว H1 นอกจากนี้ยังมีให้เลือกแบบ ProjectONE ซึ่งสามารถเลือกสีและลวดลายได้เอง เรามามองกันเฉพาะ H! และ H2 ที่ความต่างของน้ำหนักเฟรมราวๆ 1 ขีด จากเฟรม 9 ขีดกว่าเป็น 8 ขีดกว่า และความสติฟที่เพิ่มขึ้นในระดับโปรทัวร์กระทืบ แน่นอนครับว่ามันต้องดีกว่าอย่างแน่นอน สนนราคาที่ต่างกันราวๆครึ่งแสน แต่สำหรับเฟรม Madone 9.9 ที่พวกเราได้ทดสอบนั้น เป็น H2 รถคอมพลีท เรียกกันบ้านๆก็คือ "ตัวรอง" แต่ผมกลับมองอีกแบบว่ามันคือ "ตัวเลือก" ที่เหมาะกว่า เพราะต่อให้คุณเอา H! ไปแล้วก้มไม่ได้ก็ต้องรองแหวนกันเยอะ ถ้าดื้อจะก้มก็ทรมานสังขารปั่นไม่สนุก น้ำหนักเบาลงขีดนึงกับงบครึ่งแสนไปหาล้อเทพๆมาใส่น่าจะได้คุ้มกว่า ที่สำคัญ ...เจ้าความสติฟที่เพิ่มขึ้นนั้น มีการทดสอบก่อนหน้านี้ที่พิสูจน์ได้ว่าเท้าระดับกีฬาแห่งชาติพบว่าในการขี่แบบไทม์ไทรอัล OCLV600/700 ไม่ได้ทำเวลได้ต่างกันเลยบนพิกัดการออกแรงที่เท่ากัน แน่นอนว่ามันน่าจะส่งผลที่การกระชากสปรินท์หนักๆ ... แต่ขานักปั่นทั่วไปกระทืบกันไม่ทะลุ 1000 วัตต์บ่อยๆ ผมว่าไม่รู็สึกต่างแน่นอน
เฟรมเซ็ทรวมชุดแฮนด์ ราคาขายจริงแสนนิดๆ กับคุณสมบัติทั้งหมดนี้ และบริการหลังการขายที่สบายใจได้สุดๆ ลองคิดดูกันครับว่ามันคุ้มอย่างที่บอกหรือไม่
หรือจะเอารถสำเร็จคันที่ได้มาทดลองขี่ เสป็คทั้งหมดดังกล่าว ราคาขายจริงก็สามแสนกว่าๆ ซึ่งจัดเต็มหัวยันท้าย ขาดอย่างเดียวคือหาล้อขอบต่ำแข็งๆมาไว้ซ้อมเอาแรง เก็บล้อทางราบหล่อๆเอาไว้โอกาสสำคัญ
4.รถปราดเปรียวคล่องแคล่วมาก
รถเสือหมอบแอโร่ฯส่วนมากจะมากับบุคลิกที่คล้ายไทม์ไทรอัล นิ่ง ยืนยาวได้ดี ข้อเสียคือดื้อโค้ง ไม่คล่องตัว ฐานล้อยาว การคุมรถไม่ว่องไวฉับพลัน และโยกไม่มันส์ ทว่า Madone 9 คราวนี้มากับมิติที่ไวปานวอกเลยครับ กดจุดศูนย์ถ่วงรถลงมาต่ำ รถมีระยะเื้อมที่ยาวหน่อยก็จริงแต่มีฐานล้อสั้นใช้ได้เลย องศาตะเกียบชัน หน้าชัน ไม่ค่อยดื้อโค้ง ซึ่งในบรรดารถแอโร่ฯในตลาด มีไม่เยอะที่จะบุคลิกแบบนี้ ถ้าใครที่เน้นการปั่นเป็นกลุ่ม บนเส้นทางถนนจริง ลงงานแข่งหรือทริปที่ทำความเร็วสูง กระชาก ังหวะ หรือไครทีเรียมความเร็วสูงใส่กันยาวๆแล้วตัดโค้งเล่นกัน ผมว่าถูกใจแน่นอนครับ
ข้อด้อย
1.ไม่สุดทางไปซักด้าน
เป็นข้อเสียที่ผมยากจะเอ่ยมากครับ แต่มันคือความจริง ในการทดสอบขี่เราพบข้อดีที่นักออกแบบได้ปั้นผสมความสมดุลย์ทุกอย่างออกมาได้ดีเยี่ยม แต่ในทางกลับกันมันไม่ได้ไปสุดทางเลยสักด้าน มีเสือหมอบแอโร่ฯที่ซิ่งกว่านี้ ฟิลลิ่งแทบไม่ต่างจากการปั่นไทม์ไทรอัล หากต้องการความเร็ว ทางราบ พวกนั้นทำได้สนุกกว่า และก็มีเสือหมอบที่ไต่เขากระชากกระแทกย่ำเหยียบได้ทะยานกว่านี้ ทั้งน้ำหนักเบาและความรู้สึกแข็งแน่นในการส่งกำลัง สุดท้ายคือด้านความสบาย โอเคครับว่ามันสบายกว่าหมอบดุๆที่ดุพอกันมากแต่ถ้าจะซื้อไปปั่นเอาสบายตัว เสือหมอบเอนดูแรนซ์แท้ๆย่อมทำได้ดีกว่า และนี่คือข้อด้อยที่ตามมาอย่างช่วยไม่ได้ ผมไม่มองว่าเป็นข้อเสียนะครับ แต่มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นอีกด้านของทางเลือกในการออกแบบดังกล่าว
2.ช่วงท่อคอและแฮนด์
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พบได้มากในรถแอโร่ฯที่พยายามทำท่อคอให้เรียว บาง เล็ก เพราะเกิดปัญหาท่อหน้าไม่ค่อยสติฟ เมื่อกดหน้าหนักๆบิดไปบิดมา ดัน ดึงเวลาสปรินท์หนักๆ รถที่สร้างมาสำหรับสปรินท์เตอร์นิยมทำช่วงหน้าให้สติฟมากๆ (เพราะโดนโปรขอมา) บางยี่ห้อเล่นเสป็คคอใหญ่พิเศษด้านบน 1 1/4 ด้านล่าง 1 1/2 นิ้วกันไปเลย บางยี่ห้อทำท่อคออ้วนหนาเป็นกระป๋องเบียร์ตันๆ ซึ่งสำหรับ Madone 9 แม้ว่าจะสปรินท์ได้ดี มากๆ ก็มีอาการต่างตรงนี้ไปบ้าง
ออกตัวก่อนว่าผมตัวเล็ก แรงไม่ได้เยอะ แต่ด้วยรถทดสอบเทียบกับที่คุ้นเคย ก็รู้สึกว่ามีอาการดังกล่าวนิดๆ ส่วนหนึ่งน่าจะเพราะทรงแฮนด์แอโร่ฯด้วย อันนี้ฟันธงไม่ได้ครับ ถ้าจะให้ดีต้องใช้แฮนด์แบบเดียวกัน หรือจับเข้าแล็บไปทดสอบหาการบิดตัวเมื่อรับแรงกัน ข้อนี้เป็นความรู้สึกล้วนๆ
แต่สิ่งที่น่าสังเกตุคือทีม Trek Factory ใช้สปรินท์เตอร์ที่ขี่ Madone 9 เป็นหัวลากลีดเอาท์แล้วมีตัวจบเกมส์ขี่ Emonda นะครับ เพราะเค้ามองว่า Madone เหมาะสำหรับการลากความเร็วสูงมากๆแช่ไว้ ส่วน Emonda นอกจากขึ้นเขาได้ดี ยังสามารถพุ่งออกไปปิดเกมส์ได้ (วิธีคิดนี้ต่างจากค่ายอื่นๆที่ใช้เฟรมแอโร่ฯสุดติ่งแหวกลมไปปิดเกมส์) ข้อนี้ฝากให้ลองพิจารณากันครับ
3.คนตัวเล็กหรือผู้หญิงอาจไม่เหมาะ
กรณีผู้หญิง สำหรับ Madone 9 เฟรมผู้หญิงหรือ WSD นั้นคือเฟรมปกติที่มีลายสำหรับสาวๆ และรถสำเร็จสำหรับผู้หญิงือรถที่ใส่แฮนด์แคบลงและเบาะกว้างขึ้น ไม่ใช่มิติพิเศษสำหรับผู้หญิง ที่สำคัญหากคุณไม่สูงมาก .. เอาเป็นว่าไม่ถึง 160 ซม. น่าจะเริ่มลำบากกับการจัดไซส์รถรุ่นนี้ได้ ต้องดูว่าเสต็มสั้นพอหรือไม่ อาจต้องมองหาวิธีติดตั้งเลือกใช้ชิฟท์เตอร์เพื่อให้ระยะเอื้อมไม่ไกลเกินไป สำหรับความสูงราวๆ 165 ซม. ขี่ได้แน่นอนครับ แต่ไม่ใช่การเซ็ทรถแบบดุดัน ก้มโหด เสต็มยาว ไซส์เล็ก แต่เป็นรถลักษณะพอดีตัวมาตรฐาน อันนี้ต้องเลือกเอาครับ
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xpf1/v/t1.0-9/11030238_966656096737997_6998127545227048711_n.jpg?oh=20a6f87446d452eb79dfe42e88d0beff&oe=56DD8E67)
สรุป Madone 9 เหมาะกับใคร
ในความเห็นผม การเลือกจักรยานที่ดีคือการเลือกรถให้เหมาะกับสิ่งที่เราต้องการ มิติและองศาสามารถปรับแก้ได้ในรายละเอียดหากไม่ผิดไซส์จริงๆย่อมไม่ส่งผลจนถึงทางตัน
Madone 9 คันนี้จะเป็นรถในฝันหากคุณต้องการเสือหมอบที่ทำความเร็วได้ดี ขี่มันส์บนทางราบ และไม่ใช่เพียงนักปั่นจำเจ มีโอกาสออกไปเจอเส้นทางหลากหลาย เนินเขา ภูเขา เข้าถนนชนบท คันนี้จะเป็นคันเดียวที่คุณจะคว้าไปทุกเส้นทางโดยไม่คิดมาก และที่สำคัญมันคือเทคโนโลยีปีล่าสุด มีความเป็นเอกลักษณ์สูง ยากจะโดนของสำเนาขี่มาตีคู่หรือจอดไว้ข้างกันให้หมองใจ มานั่งคิดดีๆ รถที่จะให้อารมณ์ครบแบบนี้ กรอบออกมาก็เหลือไม่มากและหนึ่งในนั้นที่ทั้งราคาและคุณค่าดูน่าจัดมาบรรเทาอาการก็คือ Madone 9
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xtf1/v/t1.0-9/12348009_966656250071315_2692284761426818328_n.jpg?oh=5a4003ad3d4c40863f4222f0a4c4701d&oe=571ABBD2)
ในโอกาสนี้
Thaimtb ขอขอบคุณบริษัทโปรไบค์ และจักรยาน Trek ที่จัดกิจกรรมมันส์ โดนๆ แบบนี้ให้พวกเราได้มาโดนกันอย่างถึงใจครับ พบกันใหม่ในการทดสอบ พรีวิวจักรยานและอุปกรณ์ต่างๆต่อไปอีกในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน[homeimg=300,250]http://www.thaimtb.com/forum/picture_mt ... 503466.jpg[/homeimg]