สวัสดีครับ ผมเข้ามาแวะโพสเรื่องเล่าเรื่องสุดท้ายเกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้
หลังจากอุ๊บส์ไว้นานมาก ถ้านับจากตอนเดินทางก็เกือบๆหนึงปีแล้ว
ก่อนเล่าเรื่องเกี่ยวกับภาพนี้ ผมขอแสดงความเสียใจเกี่ยวกับ..
การเสียชีวิตของ นายฮวน ฟรานจิสโก นักปั่นชิลีและครอบครัวที่ได้รับบาดเจ็บด้วยนะครับ
นับเป็นเรื่องเศร้าเกี่ยวกับประเทศไทยที่เกิดอุบัติเหตุทำนองนี้ซ้ำอีกหลังจากนักปั่นรอบโลกสองสามีภรรยาเสียชีวิตเมื่อ 2 ปีที่แล้ว
ที่จริงแล้วไม่ว่าจะนักปั่นไทยหรือต่างประเทศล้วนมีคุณค่าชีวิต คุณค่าของมนุษย์เท่าเทียมกัน
ไม่ว่านักปั่นคนไหนก็ไม่ควรเสียชีวิตที่ไทย เพราะความมักง่ายของคนขับรถร่วมท้องถนนเดียวกันอีก
รัฐควรเอาจริงเอาจังทั้งเรื่องกฎหมายและบทลงโทษสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในกรณีแบบนี้
ขอแสดงความเสียใจด้วยใจจริงอีกครั้งครับ
ภาพข้างบนนี้ถ่ายตอน ผมปั่นจักรยานไปถึงหลวงพระบางแล้ว และขอเจ้าอาวาสวัดใหม่ค้างคืนกางเต๊นท์ที่วัด
ช่วงสายผมได้พบ พระอาจารย์ ลี ไกว เป็นพระภิกษุสงฆ์ในวัดจีน ประเทศมาเลเซีย
ผมมีโอกาสได้พูดคุยกันอยู่สองครั้ง ระหว่างที่มีโอกาสได้พบปะพูดคุยนั้นมีเรื่องน่าสนใจที่อยากนำมาเล่าสู่กันฟัง
พระอาจารย์ ลี ไกว เคยเดินทางไปมาแล้วหลายประเทศในเอเชีย อินเดีย ทิเบต จีน ลาว กัมพูชา ไทย พม่า และประเทศอื่นๆที่ผมจำไม่ได้ขออภัยด้วย
ผมสอบถามว่า เป็นพระทำไมถึงออกเดินทาง ไม่ได้ผิดศีลในพระธรรมวินัยหรอครับ
พระอาจารย์ ลี ไกว ตอบกลับมาว่า ถ้าเราไม่เข้าใจชีวิตของปุถุชนแล้วเราจะเทศนาสั่งสอนเขาได้อย่างไรกัน
อาตมาไม่ได้เดินทาง แบบท่องเที่ยว แต่เดินทางไปศึกษาธรรมมะในประเทศต่างๆ ไปศึกษาความทุกข์ของคนในพื้นที่นั้นๆ
ทุกครั้งที่เดินทางก็ไปพักที่วัด ไม่ได้ทำผิดศีลธรรมแต่อย่างใด และก็แลกเปลี่ยนธรรมมะกับพระในวัดต่างๆ ตามประเทศที่เดินทางไปด้วย
อาตมาชอบนั่งสมาธิ ศึกษาพระธรรมวินัย และขณะเดียวกันก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับทุกข์ ทั้งทุกข์ของร่างกายตัวเอง ทุกข์ของปุถุชน และทุกข์ในความหมาย
ของคนในพื้นที่นั้นๆ อาตมาทำความเข้าใจเพื่อที่จะได้เทศนาสั่งสอนเขาเหล่านั้นให้เข้าใจทุกข์ และอยู่อย่างมีความสุขมากขึ้น
ขณะเดียวกันอาตมาก็ฝึกขันติคือความอดทน ขณะเดินทางไปยังที่ต่างๆด้วย
การเดินทางของอาตมาจึงเป็นการเดินทางที่ทำความเข้าใจความทุกข์ เทศนาธรรม จาริกแสวงบุญ ศึกษาพระธรรมวินัย
และแลกเปลี่ยนพระธรรมกับพระในสถานที่ต่างๆ
ผมได้ถามเกี่ยวกับการให้ความหมายเกี่ยวกับการเดินทางในมิติการเดินทาง ของพระจารย์ ลี ไกว
พระอาจารย์บอกว่า การเดินทางนั้นจะไม่มีความหมายอะไรเลย หากโยมไม่ทำความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตตัวเอง
ไม่ทำความเข้าใจเกี่ยวกับความทุกข์ การปล่อยวาง และมีความสุขกับสิ่งที่ง่ายที่สุดในชีวิต
โยมเห็นความทุกข์ โยมทุกข์มั้ย ? โยมอาจจะทุกข์ หากโยมเคยผ่านหรือได้รับประสบการณ์เรื่องราวแบบนั้น
หรือโยมอาจจะไม่ทุกข์ เพราะโยมไม่เคยผ่านเรื่องราวแบบนั้น
สิ่งสำคัญคือ โยมเห็นความทุกข์แล้ว โยมจะแบ่งปันความสุขหรือปรอบโยนให้เขาคลายทุกข์ได้อย่างไร
หากโยมไม่สามารถช่วยเหลือในตรงนั้นได้ อาจจะด้วยภาษาหรือสถานการณ์ อย่างน้อยๆ โยมจงเรียนรู้กับความทุกข์นั้น
หากวันหนึ่งโยมอาจจะทุกข์เรื่องเดียวกันกับเขา หรือ ทุกข์เรื่องอื่น โยมจงเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง
หากโยมยังทุกข์อยู่ โยมจงคิดถึงเรื่องราวตอนที่โยมเคยเดินทาง อาตมาว่า การเดินทางปั่นจักรยานของโยมคงลำบากไม่น้อย
โยมมีความอดทนมากใช่มั้ย โยมก็ยังปั่นและเดินทางไปสู่เป้าหมาย หากเป้าหมายของโยมคือความสุข
วันนั้นที่โยมทุกข์ จงคิดถึงเรื่องราวการเดินทางปั่นจักรยานของโยม
ตอนปั่นจักรยานโยมเหนื่อย โยมพักใช่มั้ย ?
เมื่อไหร่ที่โยมทุกข์ โยมก็ปล่อยวางความทุกข์ลง
มันเป็นธรรมชาติของชีวิต โยมจงเรียนรู้ที่จะทุกข์ อยู่กับมันอย่างปล่อยวาง มีความสุขกับความทุกข์
ผมยังถามต่อว่า พระอาจารย์จะเดินทางไปอีกนานแค่ไหน ?
พระอาจารย์บอกว่า ยังอยากเดินทางไปเรียนรู้ที่จะทุกข์ และแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกับพระในที่ต่างๆอยู่
ไม่รู้ว่าจะเดินทางอีกนานแค่ไหน แต่ที่ออกไปเดินทางนี้จะนำไปสั่งสอนโยมที่มาเลเซียด้วย เพราะค่าใช้จ่ายในการเดินทางมีโยมหลายคนที่ชอบเดินทาง
เขาสนับสนุนและช่วยเหลือให้ อาตมาเองจึงยิ่งอยากศึกษาความทุกข์และสนทนาธรรมกับพระที่ต่างๆให้มากเท่าที่จะมากได้
ผมไม่แน่ใจว่าพี่ๆที่เข้ามาอ่านจะรู้สึกอย่างไรกับบทสนทนาและเรื่องราวที่ผมนำมาเล่าสู่กันฟัง
อย่างน้อยๆ ผมเห็นความจริงของชีวิต ในมิติของการเดินทาง ผมปั่นจักรยานไปด้วยร่างกาย บางครั้งเหนื่อยล้าก็นอนข้างถนน ใต้ต้นไม้บ้าง
เมื่อไปถึงจุดหมายแล้ว ผมไม่ได้รู้สึกว่าได้ไปพิชิตมัน แต่รับรู้ว่าได้ไปถึงเป้าหมายแล้ว เป็นธรรมดาที่จะมีความสุขกับการปั่นเดินทางไปถึง
ขณะเดียวกันกับพบว่า ระหว่างเดินทาง เรื่องราว ผู้คน ประสบการณ์เหล่านั้นต่างหากที่หล่อหลอม สร้างความหมายให้กับชีวิต
หากความทุกข์เหมือนการปั่นจักรยานแล้วเหนื่อย คงเหมือนที่พระอาจารย์ ลี ไกว กล่าวไว้
เมื่อไหร่ที่โยมทุกข์ โยมก็ปล่อยวางความทุกข์ลง
มันเป็นธรรมชาติของชีวิต โยมจงเรียนรู้ที่จะทุกข์ อยู่กับมันอย่างปล่อยวาง มีความสุขกับความทุกข์
(ในภาพที่ถ่ายนั้น ที่ผมนั่งบนเก้าอี้เท่ากับพระอาจารย์ ลี ไกว เพราะว่าพระอาจารย์ ไม่ให้นั่งพื้น ท่านบอกว่าเราต่างยังไม่ละกิเลส
และพระอาจารย์ไม่ได้ถือตัว ที่มาเลเซีย พระจีนจะไม่ได้ถือตรงนี้ว่าต้องนั่งยังไง แค่สำรวมและไม่ล่วงเกินก็พอ จึงขอชี้แจงมา ณ ที่นี้)
กราบนมัสการพระอาจารย์ ลี ไกว อีกครั้ง
ขอให้ทุกคนมีความสุข มีสติ เรียนรู้ที่จะอยู่กับความทุกข์อย่างมีความสุข และปล่อยวางทุกข์อย่างรู้เท่าทันนะครับ
ขอบคุณพี่ๆทุกคนที่เผลอกดเข้ามาอ่านอีกครั้ง
ขอบคุณครับ
Guidevoyage