......จักรยานธุดงค์..........

ห้องนี้เทียบได้กับ "ห้องนั่งเล่น" ในกระดานเดิมนะครับ
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D อรุณสวัสดิ์ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ ปี ๒๕๖๔ มีโอกาสไปชาร์ทแบตเตอรี่ชีวิตอีกครั้งเมื่อ ๑๑-๑๕ ก.พ.๖๔ รวม ๔ คืน ๕ วัน เป็นหนแรกของปี ๒๕๖๔ ที่วัดสนติบท บ.แม่มาลัย อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ทำอาหารถวายพระทุกเช้า(ท่านฉันมื้อเดียว) หลังฉันเสร็จท่านเจ้าอาวาสเมตตาเปิดโอกาสให้สนทนาปัญหาธรรมทุกเช้า ส่วนกลางวันเราแยกย้ายกันไปเดินจงกรม นั่งสมาธิ อ่านหนังสือธรรมะ ตามสไตล์และจริตของใครของมัน อิ่มอกอิ่มใจ ขออุทิศบุญกุศลให้ทุก ๆ ท่านได้อนุโมทนาบุญร่วมกันครับ :) :D
ไฟล์แนบ
59.jpg
59.jpg (60.06 KiB) เข้าดูแล้ว 1109 ครั้ง
234007.jpg
234008.jpg
234009.jpg
234010.jpg
234012.jpg
234014.jpg
234015.jpg
234016.jpg
112954.jpg
112957.jpg
112960_0.jpg
112962.jpg
S__67330065.jpg
S__67330065.jpg (43.32 KiB) เข้าดูแล้ว 1108 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
ลุงเนตร
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 19852
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 19:20
Tel: 0898133936
team: อิสระ
Bike: Trek 3900, Dark Rock ทัวร์ริ่ง
ตำแหน่ง: ๔๖๕ ซอยจ่าโสด ถนนทางรถไฟเก่า แขวง,เขตบางนา กทม.๑๐๒๖๐
ติดต่อ:

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย ลุงเนตร »

"..สาธุ..ยินดีด้วยครับ..ขอบคุณมาก.."
*..ยิ่งปั่น..ยิ่งแข็ง..แรงยิ่งดี..โรคไม่ค่อยมี..ไม่ทุกข์..*
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

ลุงเนตร เขียน: 25 มี.ค. 2021, 09:38 "..สาธุ..ยินดีด้วยครับ..ขอบคุณมาก.."
:) :D อรุณสวัสดิ์ท่าพี่ที่เคารพ ขอบคุณท่านพี่ที่ไม่ลืมกระทู้นี้ครับ มีเรื่องน่ายินดีและอนุโมทนามาเล่าสู่ฟังครับคือว่า "เจ้าคณะเชียงราย “ปลื้ม” ประกาศพุทธศาสนา จ.เชียงราย “เผย” เดินตามปณิธาน พ่อขุนเม็งราย!" ข่าวนี้นำเสนอโดยเพสต์ไทยยอดฟ้าเมื่อ 21 มีนาคม 2564 ความว่า

21 มีนาคม 2564 พระรัตนมุนี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย นำคณะสงฆ์ ร่วมกับสมาพันธ์ส่งเสริมและพิทักษ์พระพุทธศาสนาของจังหวัดเชียงราย นำโดย นายปรีชา พัวนุกุลนนท์ ได้จัดกิจกรรมประกาศปฏิญญาให้พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาหลักประจำจังหวัดเชียงราย” เมื่อบ่ายวันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564 ที่บริเวณพุทธมณฑลสมโภช 750 ปี เมืองเชียงราย ตำบลบัวสลี อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย โดยมีพุทธศาสนิกชนจากกลุ่มพุทธสมาคมแห่งจังหวัดเซียงราย สภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย สมาพันธ์ส่งเสริมและพิทักษ์พระพุทธศาสนาจังหวัดเซียงรายพุทธสมาคมอำเภอ สภาวัฒนธรรมอำเภอทุกอำเภอ และองค์กรเครือข่าย รวมกว่า 7,000 คน เข้าร่วมกิจกรรมด้วยความสำรวมอย่างพร้อมเพรียง

สำหรับพิธีพุทธศาสนิกชนได้ร่วมกันประกาศปฏิญญาให้พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาหลักประจำจังหวัดเชียงรายประกอบด้วยกิจกรรมแสดงตนเป็นพุทธมามกะ กิจกรรมสวดมนต์ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร กิจกรรมการเสวนาทางวิชาการเรื่อง “พระพุทธศาสนาในประเทศไทยยุคโลกาภิวัตน์” โดยพระเมธีวชิโรดม (ว.วชิรเมธี) นาวาอากาศเอกคัมภีร์ คัมภีรญาณนนท์ และศาสตราจารย์ ดร.ดุษฎีวัฒน์ แก้วอินทร์ รวมทั้ง กิจกรรมการทอดผ้าป้าระดมทุนเพื่อดำเนินงานส่งเสริมและพิทักษ์พระพุทธศาสนาในจังหวัดเชียงราย และกิจกรรมการแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนาอย่างต่อเนื่องงดงามมากมาย

พระรัตนมุนี เปิดเผยเพิ่มเติมว่า อาตมารู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ ที่จังหวัดเชียงรายได้ตอบแทนและดำรงตามปณิธานของพ่อขุนเม็งราย และบูรพมหากษัตริย์ล้านนา ที่ได้ปักหลักพระพุทธศาสนาให้กับแผ่นดินล้านนา มาตั้งแต่ก่อตั้งเมืองเชียงรายในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ.1805 รวมระยะเวลาสถาปนา 759 ปี จนมาถึงทุกวันนี้พระพุทธศาสนาเป็นรากเหง้าของขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมของชาวเชียงราย กลายเป็นวิถีชีวิตทำให้ชาวล้านนาเป็นชาวล้านนา มีความสุขด้วยแบบแผนของขนบธรรมเนียม อาตมาขอขอบคุณทุกส่วนงานที่ทำให้งานประสบความสำเร็จในครั้งนี้ โดยเฉพาะการได้มาซึ่งที่ดินของพุทธมณฑลเชียงรายได้การประสานจากคณะกรรมาธิการการศาสนาฯ สภาฯ โดยมี ดร.เพชรวรรตวัฒนพงศศิริกุล และ ดร.ณพลเดช มณีลังกา อีกทั้งคณะทำงานที่นำโดยอาจารย์ปรีชา พัวนุกุลนท์ รวมถึงคหบดีผู้สนับสนุนเช่น บริษัททิพยประกันภัย และ โตโยต้าเชียงราย ฯลฯ มีผู้ร่วมทำบุญเป็นหลักล้านให้กับสมาพันธ์ด้วยเห็นการตั้งใจทำงานอย่างจริงจัง

นายปรีชา พัวนุกุลนนท์ ได้กล่าวว่า ที่มาของการจัดงานครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากปัจจุบัน พระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติไทย และเป็นศาสนาซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี ศิลปวัฒนธรรม และวิถีชีวิตของคนไทยและคนล้านนา รวมทั้งคนในจังหวัดเชียงรายกำลังได้รับความกระทบกระเทือนจากภัยคุกคามทั้งหลาย ทั้งจากภัยภายในและภัยภายนอกพื้นที่

ด้วยเหตุนี้ จึงจัดกิจกรรมเพื่อแสดงออกถึงบทบาทหน้าที่ที่สำคัญของพุทธบริษัทพลเมืองไทย พุทธศาสนิกชนในจังหวัดเชียงราย อันประกอบด้วยบุคคล คณะบุคคล องค์กรพุทธ และองค์กรเครือข่าย ได้แก่ พุทธสมาคมแห่งจังหวัดเชียงราย สภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย สมาพันธ์ชาวพุทธจังหวัดเชียงราย พุทธสมาคมอำเภอทุกอำเภอ สภาวัฒนธรรมอำเภอทุกอำเภอ และองค์กรพุทธอื่น ๆ ตลอดถึงองค์กรทางสังคมที่มีแนวคิดในการส่งเสริมและพิทักษ์พระพุทธศาสนา จึงได้รวมตัวกันก่อตั้ง “สมาพันธ์ส่งเสริมและพิทักษ์พระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงราย” ขึ้น

ทั้งนี้ เพื่อจะมีการผลักดันให้พุทธศาสนิกชนในจังหวัดเชียงราย ยึดหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังมีแก่นของศาสนาคือ “ทาน ศีล ภาวนา” อีกทั้ง จะนำวิถีแห่งชาวล้านนาแต่ดั้งเดิมที่หายไปกลับมาอนุรักษ์ให้เป็นอัตลักษณ์อันโดดเด่นเช่นเดิม อันประกอบด้วย ความสะอาดเรียบร้อยความละเอียดลออ ความอ่อนช้อย ความรักในหมู่เหล่า มีความซื่อสัตย์ และความเคารพต่อผู้หลักผู้ใหญ่ผู้อาวุโส ทั้งนี้ จะนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามหลัก ปรัชญาแห่งองค์ในหลวงรัชกาลที่ 9 นำมาปลูกฝังให้ประชาชนชาวพุทธดำเนินชีวิตอยู่อย่างมีความผาสุกสวัสดีต่อไป

อนุโมทนา..สาธุ และต่อแต่นี้ไปพุทธศาสนาจะมั่นคงหรือไม่ขึ้นอยู่กับพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จะประพฤติปฏิบัติตามคำสอนขององค์พระศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลกว่า พุทธะนี่แหละคือศาสนาแห่งสันติจริง ๆ .
:) :D
ไฟล์แนบ
88AF4073-9BA2-4761-A62B-01ADA546527A-1024x683.jpeg
88AF4073-9BA2-4761-A62B-01ADA546527A-1024x683.jpeg (150.72 KiB) เข้าดูแล้ว 1103 ครั้ง
368E1562-7048-4BA4-9FB4-C85DA06ECCC0-1024x683.jpeg
368E1562-7048-4BA4-9FB4-C85DA06ECCC0-1024x683.jpeg (126.82 KiB) เข้าดูแล้ว 1103 ครั้ง
8424F611-8FCE-4242-B1B3-A9F8E0AF139C-1024x683.jpeg
8424F611-8FCE-4242-B1B3-A9F8E0AF139C-1024x683.jpeg (195.64 KiB) เข้าดูแล้ว 1103 ครั้ง
8505E245-51F5-46E1-BC84-5E56FC444FAE-1024x1024.jpeg
8505E245-51F5-46E1-BC84-5E56FC444FAE-1024x1024.jpeg (229.65 KiB) เข้าดูแล้ว 1103 ครั้ง
31590D5F-2E55-4726-92BC-999A5502728A-1024x683.jpeg
31590D5F-2E55-4726-92BC-999A5502728A-1024x683.jpeg (159.37 KiB) เข้าดูแล้ว 1103 ครั้ง
92E59820-692D-4FF0-9DF3-EE8B0AAA85D9-1024x530.jpeg
92E59820-692D-4FF0-9DF3-EE8B0AAA85D9-1024x530.jpeg (106.01 KiB) เข้าดูแล้ว 1103 ครั้ง
50AAFD59-403C-480D-BE14-61CD9D9E7DFA-1024x683.jpeg
50AAFD59-403C-480D-BE14-61CD9D9E7DFA-1024x683.jpeg (187.71 KiB) เข้าดูแล้ว 1103 ครั้ง
265655.jpg
265655.jpg (99.22 KiB) เข้าดูแล้ว 1103 ครั้ง
265656.jpg
265656.jpg (70.62 KiB) เข้าดูแล้ว 1103 ครั้ง
265888.jpg
265888.jpg (102.03 KiB) เข้าดูแล้ว 1103 ครั้ง
265657.jpg
265658.jpg
265660.jpg
265660.jpg (142.29 KiB) เข้าดูแล้ว 1103 ครั้ง
265661.jpg
265661.jpg (127.87 KiB) เข้าดูแล้ว 1103 ครั้ง
265662.jpg
265888.jpg
265888.jpg (102.03 KiB) เข้าดูแล้ว 1103 ครั้ง
B28DC972-FE3C-4987-A920-ABE22ECFD668-1024x526.jpeg
B28DC972-FE3C-4987-A920-ABE22ECFD668-1024x526.jpeg (149.46 KiB) เข้าดูแล้ว 1103 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
ลุงเนตร
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 19852
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 19:20
Tel: 0898133936
team: อิสระ
Bike: Trek 3900, Dark Rock ทัวร์ริ่ง
ตำแหน่ง: ๔๖๕ ซอยจ่าโสด ถนนทางรถไฟเก่า แขวง,เขตบางนา กทม.๑๐๒๖๐
ติดต่อ:

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย ลุงเนตร »

"..สวัสดีครับ ท่านน้อง Deang-sarapee สาธุ ยินดีด้วยครับ ขอบคุณมาก.."
*..ยิ่งปั่น..ยิ่งแข็ง..แรงยิ่งดี..โรคไม่ค่อยมี..ไม่ทุกข์..*
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

ลุงเนตร เขียน: 29 มี.ค. 2021, 15:02 "..สวัสดีครับ ท่านน้อง Deang-sarapee สาธุ ยินดีด้วยครับ ขอบคุณมาก.."
:) :D อรุณสวัสดิ์ครับท่านพี่ที่เคารพ fc.ห้องนี้ยังอบอุ่นดีนะครับท่านพี่ ขอบคุณมากครับที่กรุณาเข้ามาเยี่ยมชมเป็นกำลังใจ ตอนนี้ผมและครอบครัวขึ้นไปเชียงใหม่เพื่อรับการตรวจ(follow up)ผลการผ่าตัดต้อกระจก เช้านี้เวลา ๐๙.๐๐ น.ที่ รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ อาการก่อนพบหมอ ณ วันนี้การมองเห็นดีมากแจ่มใสขึ้นแต่ข้างซ้ายยังคงเหมือนเดิม ถ้าหมอจะให้ผ่าตัดข้างซ้ายคงต้องรีบจัดการเพื่อจะได้สดใสทั้ง ๒ ข้าง

เมื่อวันที่ ๒๗ มี.ค.๖๔ ได้นำหลานชายไปสร้างบุญกุศลเนื่องในวันเกิด พาไปกราบหลวงปู่ภูมิ์แห่งวัดสันป่าสักวรอุไร(เจ้าอาวาส) ซึ่งท่านเมตตากับครอบครัวเรามาก หลานชายเกิดเมื่อ ๑๐ มี.ค.๖๑ ปีนี้ครบ ๕ ขวบกำลังซนครับเราพาเขาเข้าวัดแต่เยาว์วัยเพื่อมั่นใจว่าอนาคตเขาจะได้เป็นเด็กดี

จากนั้นพาขึ้นไปเที่ยวดอยคำซึ่งนานมากแล้วที่ไม่ได้ไปเยี่ยม ดอยคำนี้เป็นอีกไฮไลท์หนึ่งของนักปั่นจักรยาน ต้องมาปั่นขึ้นให้ได้ ย้อนหลังไปเมื่อสิบปีที่ผ่านมาผมคนหนึ่งที่คลั่งไคล้มาก หาโอกาสมาปั่นขึ้นดอยคำบ่อยครั้ง และเมื่อคุณนายลาออกจากราชการและมาปั่นด้วย ไม่พลาดที่จะพาคุณนายมาฝึกและทดสอบที่ดอยลูกนี้บ่อยครั้งเช่นกัน
:) :D
ไฟล์แนบ
วัดสันป่าสัก ๒๗ มี.ค.๖๔ (2).jpg
วัดสันป่าสัก ๒๗ มี.ค.๖๔ (4).jpg
วัดสันป่าสัก ๒๗ มี.ค.๖๔ (5).jpg
วัดสันป่าสัก ๒๗ มี.ค.๖๔ (7).jpg
วัดสันป่าสัก ๒๗ มี.ค.๖๔ (9).jpg
วัดสันป่าสัก ๒๗ มี.ค.๖๔ (11).jpg
วัดสันป่าสัก ๒๗ มี.ค.๖๔ (14).jpg
วัดสันป่าสัก ๒๗ มี.ค.๖๔ (16).jpg
2 มีนาคม เวลา 19:47 น.<br />&quot;...มนุษย์เราน่ะมีความสุขที่เราได้เสียสละ<br />ถ้าเราเสียสละ เราถึงจะเป็นคนมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา<br />ปัจจุบันเราต้องเสียสละอดีตออกหมด<br />อยู่กับอดีตมันจะเป็นบ้า<br /><br />พระมันอยู่ที่ใจนะ<br />ใจเสียสละ<br />ถ้าใจเสียสละ ไม่ยึดในตัวในตน เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้ง นั่นน่ะ...พระนะ<br />ถ้าไปเอาแต่เค้านินทา เอาแต่เค้าสรรเสริญน่ะ ไม่ได้เป็นพระนะ<br />บางทีก็จะเป็นเปรต บางทีเป็นยักษ์ เป็นมาร<br />เห็นด้วยมั้ย<br /><br />ต้องเข้มแข็งนะ ไม่เข้มแข็งไม่ได้หรอก เพราะว่าความเข้มแข็งมันได้บุญเยอะ ความอดทนได้บุญเยอะ ถ้าไม่อดทน มันไม่ได้บรรลุธรรมน่ะ เพราะว่าการบรรลุธรรมมันต้องมีความสุขในความอดทนเนาะ มีความสุขในความเข้มแข็ง...&quot;<br /><br />หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม<br />ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม<br />วันอังคารที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๔
2 มีนาคม เวลา 19:47 น.
"...มนุษย์เราน่ะมีความสุขที่เราได้เสียสละ
ถ้าเราเสียสละ เราถึงจะเป็นคนมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา
ปัจจุบันเราต้องเสียสละอดีตออกหมด
อยู่กับอดีตมันจะเป็นบ้า

พระมันอยู่ที่ใจนะ
ใจเสียสละ
ถ้าใจเสียสละ ไม่ยึดในตัวในตน เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้ง นั่นน่ะ...พระนะ
ถ้าไปเอาแต่เค้านินทา เอาแต่เค้าสรรเสริญน่ะ ไม่ได้เป็นพระนะ
บางทีก็จะเป็นเปรต บางทีเป็นยักษ์ เป็นมาร
เห็นด้วยมั้ย

ต้องเข้มแข็งนะ ไม่เข้มแข็งไม่ได้หรอก เพราะว่าความเข้มแข็งมันได้บุญเยอะ ความอดทนได้บุญเยอะ ถ้าไม่อดทน มันไม่ได้บรรลุธรรมน่ะ เพราะว่าการบรรลุธรรมมันต้องมีความสุขในความอดทนเนาะ มีความสุขในความเข้มแข็ง..."

หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม
วันอังคารที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๔
วัดพระธาตุดอยคำ (จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)<br /><br />วัดพระธาตุดอยคำ เป็นวัดสำคัญในจังหวัดเชียงใหม่ อายุเก่าแก่กว่า 1,300 ปี ตั้งอยู่บริเวณดอยคำ ด้านหลังอุทยานหลวงราชพฤกษ์ ห่างจากตัวเมืองประมาณ 10 กิโลเมตร วัดพระธาตุดอยคำมีความสูงจากระดับที่ราบเชียงใหม่ราว 140 เมตร และมีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 465 เมตร วัดพระธาตุดอยคำมีลานชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์รอบเมืองเชียงใหม่ และยังเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าทันใจซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่าห้าร้อยปี<br /><br />วัดพระธาตุดอยคำสร้างในปี พ.ศ. 1230 รัชสมัยพระนางจามเทวีกษัตริย์แห่งหริภุญชัย โดยพระโอรสทั้ง 2 เป็นผู้สร้าง ประกอบด้วยเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ศาลาการเปรียญกุฏิสงฆ์ และพระพุทธรูปปูนปั้น เดิมชื่อวัดสุวรรณบรรพต แต่ชาวบ้านเรียกว่า &quot;วัดดอยคำ&quot;<br /><br />พ.ศ. 2509 ขณะนั้นวัดดอยคำเป็นวัดร้าง ต่อมากรุแตกชาวบ้านพบโบราณวัตถุหลายชิ้น เช่น พระรอดหลวง พระหินทรายปิดทององค์ใหญ่ พระสามหมอ (เนื้อดิน) ซึ่งนำมาประดิษฐานไว้ ณ วัดพระธาตุดอยคำ พระธาตุดอยคำนอกจากจะเป็นที่สักการบูชาของคนท้องถิ่นแล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์อีกแห่งหนึ่งของการบินไทยที่ใช้กำหนดพื้นที่ทางสายตา ก่อนที่จะนำเครื่องบินลงจอดที่สนามบินเชียงใหม่<br /><br />ประจำทุกปี โดยยึดถือเอาวันแรม 7 ค่ำ 8 ค่ำ หลังวันวิสาขบูชาทุกปี เป็นวันสรงน้ำพระธาตุ ซึ่งถือว่าเป็นวันถวายพระเพลิงพระพุทธศรีระของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (หลังเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ 8 วัน) ถือเป็นวันสำคัญในพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง ตรงกับวันแรม 8 ค่ำ เดือนวิสาขะ (เดือน 6 ของไทย) ทางวัดพระธาตุดอยคำ จึงยึดถือเอาวันนี้จัดงาน และพิธีสรงน้ำเพื่อรำลึกนึกถึง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ที่ท่านได้สร้างเผยแพร่พระพุทธศาสนาเอาไว้
วัดพระธาตุดอยคำ (จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)

วัดพระธาตุดอยคำ เป็นวัดสำคัญในจังหวัดเชียงใหม่ อายุเก่าแก่กว่า 1,300 ปี ตั้งอยู่บริเวณดอยคำ ด้านหลังอุทยานหลวงราชพฤกษ์ ห่างจากตัวเมืองประมาณ 10 กิโลเมตร วัดพระธาตุดอยคำมีความสูงจากระดับที่ราบเชียงใหม่ราว 140 เมตร และมีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 465 เมตร วัดพระธาตุดอยคำมีลานชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์รอบเมืองเชียงใหม่ และยังเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าทันใจซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่าห้าร้อยปี

วัดพระธาตุดอยคำสร้างในปี พ.ศ. 1230 รัชสมัยพระนางจามเทวีกษัตริย์แห่งหริภุญชัย โดยพระโอรสทั้ง 2 เป็นผู้สร้าง ประกอบด้วยเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ศาลาการเปรียญกุฏิสงฆ์ และพระพุทธรูปปูนปั้น เดิมชื่อวัดสุวรรณบรรพต แต่ชาวบ้านเรียกว่า "วัดดอยคำ"

พ.ศ. 2509 ขณะนั้นวัดดอยคำเป็นวัดร้าง ต่อมากรุแตกชาวบ้านพบโบราณวัตถุหลายชิ้น เช่น พระรอดหลวง พระหินทรายปิดทององค์ใหญ่ พระสามหมอ (เนื้อดิน) ซึ่งนำมาประดิษฐานไว้ ณ วัดพระธาตุดอยคำ พระธาตุดอยคำนอกจากจะเป็นที่สักการบูชาของคนท้องถิ่นแล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์อีกแห่งหนึ่งของการบินไทยที่ใช้กำหนดพื้นที่ทางสายตา ก่อนที่จะนำเครื่องบินลงจอดที่สนามบินเชียงใหม่

ประจำทุกปี โดยยึดถือเอาวันแรม 7 ค่ำ 8 ค่ำ หลังวันวิสาขบูชาทุกปี เป็นวันสรงน้ำพระธาตุ ซึ่งถือว่าเป็นวันถวายพระเพลิงพระพุทธศรีระของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (หลังเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ 8 วัน) ถือเป็นวันสำคัญในพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง ตรงกับวันแรม 8 ค่ำ เดือนวิสาขะ (เดือน 6 ของไทย) ทางวัดพระธาตุดอยคำ จึงยึดถือเอาวันนี้จัดงาน และพิธีสรงน้ำเพื่อรำลึกนึกถึง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ที่ท่านได้สร้างเผยแพร่พระพุทธศาสนาเอาไว้
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (26).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (27).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (28).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (29).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (30).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (32).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (35).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (36).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (37).jpg
ตำนาน ณ เทือกเขาถนนธงชัย ด้านทิศตะวันตกบนเทือกเขาเหล่านั้นจะเป็นที่ประดิษฐานขององค์พระเจดีย์สำคัญและเก่าแก่ คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ถึง 2 องค์พระเจดีย์ แต่ละแห่งถูกสถาปนาขึ้นโดยพระมหากษัตริย์ในสมัยหริภุญชัยและล้านนาตามลำดับ หนึ่งในนั้นคือพระธาตุดอยคำ อยู่บนยอดเขาเล็กๆ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตัวเมืองเชียงใหม่ เรียกว่า “พระธาตุดอยคำ” เคยเป็นที่อยู่อาศัยของยักษ์สองผัวเมีย ชื่อ จิคำและตาเขียวมาก่อน ซึ่งต่อมาชาวบ้านได้เรียกยักษ์ทั้งสองนี้ว่า “ปู่แสะ – ย่าแสะ” ปู่แสะย่าแสะมีลูก 1 คน ชื่อว่า “สุเทวฤๅษี” เหตุที่ได้ชื่อว่าดอยคำ เนื่องจากศุภนิมิตที่ยักษ์ทั้งสองได้รับพระเกศาธาตุจากพระพุทธเจ้า เกิดฝนตกหนักหลายวัน ทำให้น้ำฝนเซาะและพัดพาแร่ทองคำบนไหล่เขา และลำห้วยไหลลงสู่ปากถ้ำเป็นจำนวนมาก จึงเรียกภูเขาลูกนี้ว่า “ดอยคำ”<br /><br />จากตำนานหลายฉบับได้กล่าวว่า เทวดาได้นำพระเกศาธาตุที่พระพุทธเจ้าได้ประทานแก่ปู่แสะและย่าแสะ นำขึ้นมาฝังและก่อสถูปไว้บนดอยแห่งนี้ และต่อมาในปี พ.ศ. 1230 เจ้ามหันตยศและเจ้าอนันตยศ สองพระโอรสแฝดของพระนางจามเทวีแห่งหริภุญชัยได้ขึ้นมาก่อเจดีย์ครอบพระสถูปเกศานั้นไว้
ตำนาน ณ เทือกเขาถนนธงชัย ด้านทิศตะวันตกบนเทือกเขาเหล่านั้นจะเป็นที่ประดิษฐานขององค์พระเจดีย์สำคัญและเก่าแก่ คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ถึง 2 องค์พระเจดีย์ แต่ละแห่งถูกสถาปนาขึ้นโดยพระมหากษัตริย์ในสมัยหริภุญชัยและล้านนาตามลำดับ หนึ่งในนั้นคือพระธาตุดอยคำ อยู่บนยอดเขาเล็กๆ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตัวเมืองเชียงใหม่ เรียกว่า “พระธาตุดอยคำ” เคยเป็นที่อยู่อาศัยของยักษ์สองผัวเมีย ชื่อ จิคำและตาเขียวมาก่อน ซึ่งต่อมาชาวบ้านได้เรียกยักษ์ทั้งสองนี้ว่า “ปู่แสะ – ย่าแสะ” ปู่แสะย่าแสะมีลูก 1 คน ชื่อว่า “สุเทวฤๅษี” เหตุที่ได้ชื่อว่าดอยคำ เนื่องจากศุภนิมิตที่ยักษ์ทั้งสองได้รับพระเกศาธาตุจากพระพุทธเจ้า เกิดฝนตกหนักหลายวัน ทำให้น้ำฝนเซาะและพัดพาแร่ทองคำบนไหล่เขา และลำห้วยไหลลงสู่ปากถ้ำเป็นจำนวนมาก จึงเรียกภูเขาลูกนี้ว่า “ดอยคำ”

จากตำนานหลายฉบับได้กล่าวว่า เทวดาได้นำพระเกศาธาตุที่พระพุทธเจ้าได้ประทานแก่ปู่แสะและย่าแสะ นำขึ้นมาฝังและก่อสถูปไว้บนดอยแห่งนี้ และต่อมาในปี พ.ศ. 1230 เจ้ามหันตยศและเจ้าอนันตยศ สองพระโอรสแฝดของพระนางจามเทวีแห่งหริภุญชัยได้ขึ้นมาก่อเจดีย์ครอบพระสถูปเกศานั้นไว้
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
ลุงเนตร
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 19852
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 19:20
Tel: 0898133936
team: อิสระ
Bike: Trek 3900, Dark Rock ทัวร์ริ่ง
ตำแหน่ง: ๔๖๕ ซอยจ่าโสด ถนนทางรถไฟเก่า แขวง,เขตบางนา กทม.๑๐๒๖๐
ติดต่อ:

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย ลุงเนตร »

"..สวัสดีครับ ท่านน้องแดง สารภี - ยินดีด้วย ขอบคุณมาก ที่ให้ทราบด้วย.."
*..ยิ่งปั่น..ยิ่งแข็ง..แรงยิ่งดี..โรคไม่ค่อยมี..ไม่ทุกข์..*
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

ลุงเนตร เขียน: 04 เม.ย. 2021, 17:12 "..สวัสดีครับ ท่านน้องแดง สารภี - ยินดีด้วย ขอบคุณมาก ที่ให้ทราบด้วย.."
:) :D สวัสดียามเช้าครับท่านพี่ ดอยคำแต่ก่อนก็ธรรมดา ๆ ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน แต่หลังจากมีคนโพสต์การแก้บนด้วยดอกมะลิล้านพวงเมื่อถูกรางวัลที่ ๑ (เท็จจริง..ไม่ทราบ) และอีกหลาย ๆ ราย ผู้คนพากันแตกตื่นไปบนบานสารกล่าวกันเยอะมาก และก็มีทั้งสมหวังและผิดหวัง คนที่สมหวังก็ดีอกดีใจ โพสต์ลงในโซเชียลส่วนคนที่ผิดหวังไม่มีสักคนที่จะโพสต์ให้ได้ทราบบ้าง เช้านี้มีเรื่องความงมงาย ดี ๆ มาให้อ่านครับ

:lol: :lol: คนไทยงมงายทุกเรื่อง และตีเลขได้จากทุกอย่าง (โดย ณัฐวุฒิ แสงชูวงษ์ 5 กุมภาพันธ์ 2561)

เราน่าจะเป็นประเทศเดียวที่ตีเลขออกมาเป็นหวยได้จากความฝัน ทะเบียนรถ อายุคนตาย วัวสามขา กล้วยห้าแฉก หยดน้ำตาเทียน และต้นตะเคียนทอง

เราน่าจะเป็นประเทศเดียวที่มีการทำนายเบอร์โทรศัพท์มือถือมงคล มีการดูดวงชะตาจากหมายเลขโทรศัพท์หรือทะเบียนรถได้ (ประเทศอื่นน่าจะเน้นเบอร์สวย)

เราน่าจะเป็นประเทศเดียวที่เมื่อรู้ว่าสีรถไม่ถูกโฉลกกับตนเอง ก็จัดการติดสติ๊กเกอร์ว่า “รถคันนี้สี…” เท่านี้ก็ทำให้โชคดีแล้ว

เราน่าจะเป็นประเทศเดียวที่ระหว่างไลฟ์เหตุการณ์ซูเปอร์บลูบลัดมูน แล้วเข้าไปคอมเมนท์ขอโชคลาภ ขอพรประหนึ่งว่าพระจันทร์คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ไม่ใช่คนไทยทุกคนหรอกที่มีความเชื่องมงายแบบนี้ แต่ผมก็มั่นใจว่ามากกว่าครึ่งประเทศไทยยังมีชีวิตที่วนเวียนอยู่กับความงมงายแบบนี้ จนนำไปสู่ความเชื่อ และบางครั้งก็ถลำลึกเป็นความศรัทธา จริงๆ แล้ว ‘ความเชื่อเป็นเรื่องส่วนบุคคล’ พวกเขามีสิทธิที่จะคิดแบบนั้น ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้ามันมากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดและอยู่คู่กับสังคมไทยมาตลอดก็คือ ‘หวย’ คนไทยบ้าเล่นหวยหรือล็อตเตอรี่ชนิดเข้าเส้น เมื่อสมัย 20 ปีก่อนเป็นยังไง ตอนนี้ก็เป็นอย่างงั้น และดูเหมือนจะมากขึ้นด้วยซ้ำ ส่วนหนึ่งเพราะคนเห็นข่าวผู้โชคดีถูกรางวัลที่ 1 แพร่กระจายตามโลกโซเชียลง่ายขึ้นกว่าสมัยก่อน เลยกลายเป็นแรงจูงใจให้อยากรวยทางลัดบ้าง หลายคนทำงานหาเช้ากินค่ำ เงินประทังชีวิตยังแทบไม่มี แต่ก็หวังรวยด้วยโชคลาภ เล่นหวยแบบเกินตัวทุกงวด ที่พูดนี่มาจากประสบการณ์จริงจากคนแถวบ้านล้วนๆ

ใช่ ใครๆ ก็อยากรวย ผมก็อยากรวย แต่ชีวิตนี้ผมเคยซื้อล็อตเตอรี่ไม่เกินห้าครั้ง (ถึงได้ไม่รวยซะที 555) แต่ผมเชื่อว่าทุกอย่างเกิดขึ้นจากตัวเรา “อยากรวยก็ทำงานสิ” ผมคิดแบบนี้ “ทำงานยังหาเงินไม่พอ ก็หารายได้เสริมสิ” ทุกอย่างทำเงินให้กับเราได้หมด ถ้าเราขยันพอที่จะลุกขึ้นมาหยิบจับ ไม่ใช่นั่งรอว่าเมื่อไหร่จะถูกรางวัลที่หนึ่ง มีหญิงสูงอายุแถวบ้านผมท่านหนึ่ง แกซื้อหวยเดือนละหลายพันบาท (ได้ยินแกคุยกับแม่ผม) โดยใช้เงินจากที่ลูกชายให้ไว้ ก็ไม่ใช่เรื่องผิดหรอกที่คนแก่จะอยากรวยบ้าง แต่ผมก็นั่งคิดว่าจะรวยไปทำไม แกก็มีบ้านอยู่ มีข้าวกิน มีเงินใช้จ่าย แกยังเปรยว่าเห็นผมเดินทางบ่อย ได้เที่ยวนั่นเที่ยวนี่ แกคงไม่มีปัญหาไป แต่ผมคิดในใจว่าถ้าแกหยุดซื้อหวยไปสัก 3 เดือน แกจะมีเงินเก็บหมื่นกว่าบาท บินไปเที่ยวใกล้ๆ ได้สบาย แต่ถ้ารอให้ถูกหวยรางวัลใหญ่ สักวันแกอาจจะถูกจริง แต่จะมีโอกาสได้ไปเที่ยวหรือเปล่าไม่รู้

นั่นแหละ เรื่องอยากถูกหวยก็นำพาไปสู่การหาเลขเด็ด ทะเบียนรถก็ตีเป็นหวย ฝันก็ตีเป็นหวย อายุบุคคลสำคัญที่เสียชีวิตก็ตีเป็นหวย พวกนี้ยังพอรับได้ แต่ที่ควรจะเลิกได้แล้วคือเมื่อมีการเจอวัวสามขา กล้วยหอมประหลาด หรือต้นตะเคียนพันปี ชาวบ้านก็ต้องแห่มาจุดธูปเทียนกราบไหว้หรือขูดหาตัวเลข เมื่อไม่กี่วันก่อน เกิดเหตุการณ์พระจันทร์สีเลือดที่เห็นว่ามีคนไทยพากันไปคอมเมนท์ขอโชคลาภผ่านไลฟ์สด ขณะที่ชาวต่างชาติคอมเมนท์ไปในเชิงวิทยาศาสตร์เสียมากกว่า

ความน่ากลัวคือเมื่อรู้ว่าคนไทยงมงาย เลยมีคนชั่ว ‘ใช้ความเชื่อมาหลอกหาเงิน’ ในรูปแบบต่างๆ นานา ตั้งแต่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกให้โอนเงินเพราะเป็นผู้โชคดีได้รับรางวัล จนถึงการตั้งลัทธิใหม่นอกศาสนา หากแต่ใช้หลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาอ้าง ไม่ว่าจะเป็นวัดชื่อดังแห่งหนึ่งที่เสมือนเป็นลานจอดยานยูเอฟโอ เน้นให้คนบริจาคเงินจำนวนมหาศาล ยิ่งบริจาคมากก็ยิ่งได้บุญมาก แต่ก็ว่าไม่ได้ เพราะสุดท้ายเจ้าอาวาสก็แสดงอิทธิฤทธิ์แวบตัวหายวับไปได้

จนมาถึงกรณีล่าสุดที่มีผู้หญิงคนหนึ่งแห่งวิปัสสนาสถาน อวดอ้างตนว่าสามารถบรรลุธรรมได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องบวช ไม่ต้องเข้าวัด ก็มีกระแสถึงพระพุทธเจ้าได้ มีผู้คนพากันแห่ไปกราบไหว้เต็มไปหมด ที่น่าตกใจคือมีพระสงฆ์หลายรูปยกมือไหว้ผู้หญิงคนนี้ ทั้งที่เธอเป็นแค่อุบาสิกา ที่น่าเคลือบแคลงใจคือวิปัสสนาสถานแห่งนี้สนับสนุนให้คนบริจาคเงินเข้ามูลนิธิของตนมากกว่าไปทำบุญที่วัด ผมไม่เถียงว่าปัจจุบันนี้มีข่าวที่ไม่ค่อยดีเกี่ยวกับวัดและพระสงฆ์เต็มไปหมด แต่ผมก็ยังเชื่อว่าเป็นส่วนน้อย แต่ถึงอย่างไร การศรัทธาเลื่อมใสในสิ่งใดก็ควรมีการปรับทัศนคติด้านความเชื่อ พยายามหาเหตุและผลมาประกอบ หาข้อมูลมาเป็นองค์ความรู้ ไม่ใช่ว่าได้ยินมาอย่างไร ก็เชื่อแบบนั้น

แม้เราจะบอกว่าอยู่ในยุคดิจิตัล คนไทยก็ยังงมงายบนโลกอินเทอร์เน็ต เรายังเห็นโพสต์ “ถ้าแชร์ภาพนี้ไปให้ครบ 9 คน แล้วจะโชคดี” หรือบางครั้งเป็นการโพสต์ขอความเห็นใจช่วยบริจาคเงิน คนไทยเป็นคนใจบุญ เห็นปุ๊บก็โอนปั๊บหรือไม่ก็แชร์ลิงค์กันไปโดยไม่ตรวจดูต้นทางให้ดีเสียก่อน เรามักจะได้ยินประโยคที่ว่า “ความเชื่อเป็นเรื่องส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ” แต่สื่อมวลชนนี่แหละที่ชอบนำเสนอเรื่องนี้ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์หัวหนึ่งที่ชอบนำเสนอข่าวเรื่องคนถูกหวย ข่าวการขูดหาเลขเด็ดจากสิ่งแปลกๆ ข่าวการทำนายดวงชะตา เพราะเป็นข่าวที่ถูกใจชาวบ้าน แต่นั่นก็ไม่ต่างจากการใช้ความเชื่อมาหากินและสร้างความเชื่อที่ผิดๆ ให้แก่คนไทยกลุ่มหนึ่ง

นั่นแหละที่ทำให้ประเทศไทยยังขอพรพระจันทร์สีเลือดผ่านคอมเมนท์ในไลฟ์ของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี…. ช่างคอนทราสต์กันจริงๆ
:lol: :lol:
ไฟล์แนบ
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (18).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (41).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (42).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (43).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (44).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (45).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (46).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (46).jpg (135.19 KiB) เข้าดูแล้ว 809 ครั้ง
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (48).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (49).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (50).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (51).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (52).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (53).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (54).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (56).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (58).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (59).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (60).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (61).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (61).jpg
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
ลุงเนตร
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 19852
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 19:20
Tel: 0898133936
team: อิสระ
Bike: Trek 3900, Dark Rock ทัวร์ริ่ง
ตำแหน่ง: ๔๖๕ ซอยจ่าโสด ถนนทางรถไฟเก่า แขวง,เขตบางนา กทม.๑๐๒๖๐
ติดต่อ:

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย ลุงเนตร »

"..สวัสดีครับ ท่านน้อง Deang Sarapee และสมาชิกทุกท่านที่เข้ามาติดตามกระทู้ที่มีสาระดีๆมากมายมหาศาล ขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่มานะพยายามสรรหามามอบให้เป็นวิทยาทาน ณ ที่นี้.."

(เนื้อหาสาระของโพสท์ข้างต้น ถูกต้องตรงประเด็นความเป็นจริงของประชาชนคนไทยในกลุ่มผู้มีรายได้พอกินพอใช้ไปจนถึงไม่ค่อยพอกินพอใช้ อ่านแล้ว พิจารณาเห็นว่าน่านำเผยแพร่ต่อ เพื่อให้ข้อความส่วนที่เป็นประโยชน์ได้เกิดประโยชน์กว้างออกไปมากขึ้น จะได้และดีหรือเปล่าครับ)

(อีกเรื่องหนึ่ง ช่วงนี้กระทู้คุณลุง+คุณป้าพาเที่ยวหายไป มีกระทู้นี้ขึ้นมาแทน ซึ่งเดิมทีกระทู้นี้ยุติไปแล้ว หรือข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรครับ)ั
ไฟล์แนบ
FB_IMG_1460784945984.jpg
FB_IMG_1460784945984.jpg (116.43 KiB) เข้าดูแล้ว 807 ครั้ง
FB_IMG_1464323428712.jpg
FB_IMG_1464323428712.jpg (21.39 KiB) เข้าดูแล้ว 807 ครั้ง
FB_IMG_1467031494647.jpg
FB_IMG_1467031494647.jpg (32.56 KiB) เข้าดูแล้ว 807 ครั้ง
*..ยิ่งปั่น..ยิ่งแข็ง..แรงยิ่งดี..โรคไม่ค่อยมี..ไม่ทุกข์..*
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

ลุงเนตร เขียน: 09 เม.ย. 2021, 05:44 "..สวัสดีครับ ท่านน้อง Deang Sarapee และสมาชิกทุกท่านที่เข้ามาติดตามกระทู้ที่มีสาระดีๆมากมายมหาศาล ขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่มานะพยายามสรรหามามอบให้เป็นวิทยาทาน ณ ที่นี้.."

(เนื้อหาสาระของโพสท์ข้างต้น ถูกต้องตรงประเด็นความเป็นจริงของประชาชนคนไทยในกลุ่มผู้มีรายได้พอกินพอใช้ไปจนถึงไม่ค่อยพอกินพอใช้ อ่านแล้ว พิจารณาเห็นว่าน่านำเผยแพร่ต่อ เพื่อให้ข้อความส่วนที่เป็นประโยชน์ได้เกิดประโยชน์กว้างออกไปมากขึ้น จะได้และดีหรือเปล่าครับ)

(อีกเรื่องหนึ่ง ช่วงนี้กระทู้คุณลุง+คุณป้าพาเที่ยวหายไป มีกระทู้นี้ขึ้นมาแทน ซึ่งเดิมทีกระทู้นี้ยุติไปแล้ว หรือข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรครับ)ั
:) :D สวัสดียามเช้าครับ ท่านพี่ที่เคารพ กระทู้คุณลุง-คุณป้า ยังคงดำเนินไปตามปกติครับ สำหรับกระทู้จักรยานธุดงค์เป็นกระทู้ที่ผมตั้งใจมาก ๆ ที่จะให้เป็นกระทู้หลักแต่กระแสไม่ค่อยดีเท่าที่ควร ก็ลองไปเปิดกระทู้ใหม่(คุณลุง-คุณป้า)ปรากฏว่าแรงกว่าจักรยานธุดงค์ ทำให้ผมละ(แต่ไม่ลาจาก)จักรยานธุดงค์ ขณะนี้ผมยังคิดถึงอยู่จึงกลับมาเริ่มใหม่ และจะดำเนินคู่ไปกับกระทู้คุณลุง-คุณป้า ติดตามได้ทั้ง ๒ กระทู้และจะพยายามแยกประเด็นให้ชัดเจน เรื่องธรรมะ + เรื่องท่องเที่ยวครับ ขอบพระคุณมากครับท่านพี่ :) :D
ไฟล์แนบ
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (62).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (63).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (64).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (65).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (66).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (67).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (68).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (69).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (70).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (71).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (72).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (73).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (74).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (75).jpg
วัดดอยคำ ๒๗ มี.ค.๖๔ (76).jpg
ดร.ปุรินทร์ นาคสิงห์ อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ความเชื่อในสังคมไทยมีอยู่ในทุกพื้นที่ ทุกระดับ ตั้งแต่ในชีวิตประจำวัน ที่บ้าน ที่โรงเรียน มีเรื่องของความเชื่อ การบนบานศาลกล่าวเข้ามา ถ้าจะปฏิเสธความเชื่อในสังคมไทยจะให้ยึดหลักเหตุผลอย่างเดียวต้องใช้เวลา แม้แต่ในระดับสถาบันการศึกษาที่สอนให้เกิดการตั้งคำถาม และพยายามหาคำอธิบายในเชิงเหตุผล หรือใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ในการอธิบาย แต่หลายต่อหลายครั้งพิธีกรรมในสถาบันการศึกษาก็ยังยึดโยงเกี่ยวกับระบบความเชื่อมีการบนบานศาลกล่าว ต้องย้อนกลับไปว่าระบบการศึกษาที่เราสั่งสมกันมาได้ทำลายความไม่รู้ออกไปบ้างหรือไม่ หรือยิ่งตอกย้ำและสร้างความไม่รู้ให้สืบทอดกันมา<br /><br />ดร.ปุรินทร์ กล่าวต่อว่า การสอบเข้าในระดับชั้นประถม เป็นการจับฉลากเข้าเรียน แล้วทำอย่างไรเด็กถึงจะจับฉลากให้ได้เข้าเรียน มันอยู่นอกเหนือการควบคุมของตัวเราเอง ต้องพึ่งอำนาจเหนือธรรมชาติหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ จึงเกิดการบนบาน เช่น บนขอให้จับฉลากเข้าเรียนได้กับพระประจำโรงเรียน เจ้าพ่อเจ้าแม่ประจำโรงเรียน และหลายต่อหลายครั้งจะเห็นการอาราธนาพระเครื่องเต็มคอใส่ให้ลูกหลานก่อนให้จับฉลาก ทั้งๆ ที่อยู่ในระบบการศึกษา ในทุกระดับชั้นก็เช่นกัน ทั้งในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก เพราะสิ่งเหล่านี้คือความไม่แน่นอน คุณส่งหุ่นยนต์ไปแข่งแต่ก่อนที่จะไปแข่งขันคุณยกมือท่วมหัวเอาพวงมาลัยไปคล้องหุ่นยนต์ นี่คืออะไร มันคือสิ่งที่ตอกย้ำและผลิตซ้ำๆ เรื่อยมา เช่นเดียวกับบริบทในครอบครัวที่มีการส่งต่อความเชื่อให้กัน<br /><br />“จุดเริ่มต้นของความเชื่อของมนุษย์เกิดจากความกลัวในสิ่งที่ตนเองไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมีอำนาจในการให้คุณให้โทษเรา ตั้งแต่ฝนตก แดดออก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ในอดีตที่มนุษย์มีความซับซ้อนในการอธิบายน้อย มนุษย์ไม่รู้หรอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติสามารถอธิบายได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่ตอนนั้นไม่รู้จริงๆ ไม่ใช่เพราะมนุษย์โง่ แต่เพราะความซับซ้อนของวิธีคิดยังไม่ได้พัฒนา ทำให้มนุษย์เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอำนาจเหนือธรรมชาติ มีวิญญาณบางอย่างสถิตอยู่ จึงเป็นที่มาของการนับถือ บูชา อำนาจเหนือธรรมชาติ จนกลายเป็นเจ้าพ่อ เจ้าแม่ จนพัฒนามาเป็นลัทธิ  ความเชื่อ และศาสนา เพียงแต่ว่าการถ่ายทอดความเชื่อเหล่านี้แต่ละยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป ตามบริบทแวดล้อมของสังคม ซึ่งความเชื่อดังกล่าวไม่ได้หายไป<br /><br />ผมได้เห็นศรัทธาจากผู้คนที่ขึ้นมายังดอยคำ ล้วนแล้วแต่มุ่งมั่นที่จะมาขอลาภ ขอพร กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามข่าวที่เล่าลือกัน มากันเยอะมากครับเรียกว่าแออัดยัดเยียด ย่อมจะมีคนสมหวังและผิดหวัง ผู้สมหวังมาก ๆ ก็จะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนหลั่งไหลมายังดอยคำไม่ขาดสายนับวันก็จะยิ่งทวีมากขึ้น ๆ ขอเป็น สติ ตรงนี้ครับว่า &quot;บุญท่านไม่เคยสร้างมาแต่ชาติปางก่อน มาอ้อนมาวอนปัจจุบัน ไม่มีทางสำเร็จครับ&quot; คนที่เขามาแล้วสำเร็จล้วนแต่เป็นกุศลผลบุญที่เขาทำมาแต่ปางก่อน เชื่อคำสอนพระพุทธองค์เถิดครับ &quot;ไม่มีเทพเจ้าองค์ใดจะบันดาลให้เป็นเช่นนั้นเช่นนี้ นอกจากตัวท่านเองท่านทำดี ดีก็ตอบสนองครับ&quot; <br /><br />เราลงจากดอยคำเพื่อพาหลานรักไปเที่ยวหาประสบการณ์ชีวิตในเมืองเชียงใหม่ต่อไปสังเกตุหลานจะถามตลอดเวลา &quot;เขาทำอะไร ทำทำไม ฯ ต้องอธิบายและตอบคำถาม ส่วนจะเข้าใจไม่เข้าใจต้องตอบให้ได้ ไว้โตขึ้นเขาต้องเข้าใจ&quot;
ดร.ปุรินทร์ นาคสิงห์ อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ความเชื่อในสังคมไทยมีอยู่ในทุกพื้นที่ ทุกระดับ ตั้งแต่ในชีวิตประจำวัน ที่บ้าน ที่โรงเรียน มีเรื่องของความเชื่อ การบนบานศาลกล่าวเข้ามา ถ้าจะปฏิเสธความเชื่อในสังคมไทยจะให้ยึดหลักเหตุผลอย่างเดียวต้องใช้เวลา แม้แต่ในระดับสถาบันการศึกษาที่สอนให้เกิดการตั้งคำถาม และพยายามหาคำอธิบายในเชิงเหตุผล หรือใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ในการอธิบาย แต่หลายต่อหลายครั้งพิธีกรรมในสถาบันการศึกษาก็ยังยึดโยงเกี่ยวกับระบบความเชื่อมีการบนบานศาลกล่าว ต้องย้อนกลับไปว่าระบบการศึกษาที่เราสั่งสมกันมาได้ทำลายความไม่รู้ออกไปบ้างหรือไม่ หรือยิ่งตอกย้ำและสร้างความไม่รู้ให้สืบทอดกันมา

ดร.ปุรินทร์ กล่าวต่อว่า การสอบเข้าในระดับชั้นประถม เป็นการจับฉลากเข้าเรียน แล้วทำอย่างไรเด็กถึงจะจับฉลากให้ได้เข้าเรียน มันอยู่นอกเหนือการควบคุมของตัวเราเอง ต้องพึ่งอำนาจเหนือธรรมชาติหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ จึงเกิดการบนบาน เช่น บนขอให้จับฉลากเข้าเรียนได้กับพระประจำโรงเรียน เจ้าพ่อเจ้าแม่ประจำโรงเรียน และหลายต่อหลายครั้งจะเห็นการอาราธนาพระเครื่องเต็มคอใส่ให้ลูกหลานก่อนให้จับฉลาก ทั้งๆ ที่อยู่ในระบบการศึกษา ในทุกระดับชั้นก็เช่นกัน ทั้งในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก เพราะสิ่งเหล่านี้คือความไม่แน่นอน คุณส่งหุ่นยนต์ไปแข่งแต่ก่อนที่จะไปแข่งขันคุณยกมือท่วมหัวเอาพวงมาลัยไปคล้องหุ่นยนต์ นี่คืออะไร มันคือสิ่งที่ตอกย้ำและผลิตซ้ำๆ เรื่อยมา เช่นเดียวกับบริบทในครอบครัวที่มีการส่งต่อความเชื่อให้กัน

“จุดเริ่มต้นของความเชื่อของมนุษย์เกิดจากความกลัวในสิ่งที่ตนเองไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมีอำนาจในการให้คุณให้โทษเรา ตั้งแต่ฝนตก แดดออก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ในอดีตที่มนุษย์มีความซับซ้อนในการอธิบายน้อย มนุษย์ไม่รู้หรอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติสามารถอธิบายได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่ตอนนั้นไม่รู้จริงๆ ไม่ใช่เพราะมนุษย์โง่ แต่เพราะความซับซ้อนของวิธีคิดยังไม่ได้พัฒนา ทำให้มนุษย์เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอำนาจเหนือธรรมชาติ มีวิญญาณบางอย่างสถิตอยู่ จึงเป็นที่มาของการนับถือ บูชา อำนาจเหนือธรรมชาติ จนกลายเป็นเจ้าพ่อ เจ้าแม่ จนพัฒนามาเป็นลัทธิ ความเชื่อ และศาสนา เพียงแต่ว่าการถ่ายทอดความเชื่อเหล่านี้แต่ละยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป ตามบริบทแวดล้อมของสังคม ซึ่งความเชื่อดังกล่าวไม่ได้หายไป

ผมได้เห็นศรัทธาจากผู้คนที่ขึ้นมายังดอยคำ ล้วนแล้วแต่มุ่งมั่นที่จะมาขอลาภ ขอพร กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามข่าวที่เล่าลือกัน มากันเยอะมากครับเรียกว่าแออัดยัดเยียด ย่อมจะมีคนสมหวังและผิดหวัง ผู้สมหวังมาก ๆ ก็จะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนหลั่งไหลมายังดอยคำไม่ขาดสายนับวันก็จะยิ่งทวีมากขึ้น ๆ ขอเป็น สติ ตรงนี้ครับว่า "บุญท่านไม่เคยสร้างมาแต่ชาติปางก่อน มาอ้อนมาวอนปัจจุบัน ไม่มีทางสำเร็จครับ" คนที่เขามาแล้วสำเร็จล้วนแต่เป็นกุศลผลบุญที่เขาทำมาแต่ปางก่อน เชื่อคำสอนพระพุทธองค์เถิดครับ "ไม่มีเทพเจ้าองค์ใดจะบันดาลให้เป็นเช่นนั้นเช่นนี้ นอกจากตัวท่านเองท่านทำดี ดีก็ตอบสนองครับ"

เราลงจากดอยคำเพื่อพาหลานรักไปเที่ยวหาประสบการณ์ชีวิตในเมืองเชียงใหม่ต่อไปสังเกตุหลานจะถามตลอดเวลา "เขาทำอะไร ทำทำไม ฯ ต้องอธิบายและตอบคำถาม ส่วนจะเข้าใจไม่เข้าใจต้องตอบให้ได้ ไว้โตขึ้นเขาต้องเข้าใจ"
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
ลุงเนตร
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 19852
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 19:20
Tel: 0898133936
team: อิสระ
Bike: Trek 3900, Dark Rock ทัวร์ริ่ง
ตำแหน่ง: ๔๖๕ ซอยจ่าโสด ถนนทางรถไฟเก่า แขวง,เขตบางนา กทม.๑๐๒๖๐
ติดต่อ:

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย ลุงเนตร »

"..สวัสดีครับ ขอบคุณมากที่ตอบให้ทราบ (สงสัยจะมีเราเพียง ๒ คน ที่เข้ากระทู้นี้ ก็ช่างเถอะ สงสัยไปงั้นๆ) ดีครับ แยกให้ชัดเจน.."
*..ยิ่งปั่น..ยิ่งแข็ง..แรงยิ่งดี..โรคไม่ค่อยมี..ไม่ทุกข์..*
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

ลุงเนตร เขียน: 16 เม.ย. 2021, 15:43 "..สวัสดีครับ ขอบคุณมากที่ตอบให้ทราบ (สงสัยจะมีเราเพียง ๒ คน ที่เข้ากระทู้นี้ ก็ช่างเถอะ สงสัยไปงั้นๆ) ดีครับ แยกให้ชัดเจน.."
:) :D อรุณสวัสดิ์ครับท่านพี่ที่เคารพ ใช่ครับน่าจะมีเรา ๒ คนชอบจังกับคำว่า "ก็ช่างเถอะ" เป็นคำสั้น ๆ ได้ใจความไม่ต้องแปลแต่ความหมายลึกซึ้ง และนี่คือกำลังใจที่ท่านพี่มีให้ ได้สติกับท่านพี่เสมอมา ขอบพระคุณมากครับท่านพี่

ได้ฟังข่าวที่สะเทือนยุทธจักรชาวพุทธบ้างไหมครับ เรื่อง พระท่านบั่นคอตัวเองด้วยเครื่องกิโยติน วางแผนมา ๕ ปี ค้นหาข่าวสารก็เห็นมี comments ต่าง ๆ ทั้งคนในและนอกศาสนาโจมตีกันหนักมาก และนี่ก็คืออวิชชา ผมไปค้นคว้ามาเพื่อท่านผู้มีบุญทั้งหลายจะได้ศึกษากันครับ
:( :(

:idea: :idea: พระไตรปิฎก : พระสุตตันตปิฎก เล่ม 4 มัชฌิมนิกายมูลปัณณาสก์ วัตถูปมสูตร

[๙๒] พระผู้มีพระภาคจึงตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผ้าที่เศร้าหมองมลทินจับ ช่างย้อมพึงนำเอาผ้านั้นใส่ลงในน้ำย้อมใดๆ คือ สีเขียว สีเหลือง สีแดง หรือสีชมภู ผ้านั้นพึงเป็นของมีสีที่เขาย้อมไม่ดี มีสีมัวหมอง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร? เพราะผ้าเป็นของไม่บริสุทธิ์ ฉันใด เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันหวังได้ ฉันนั้น.

ผ้าที่บริสุทธิ์สะอาด ช่างย้อมพึงนำเอาผ้านั้นใส่ลงในน้ำย้อมใดๆ คือ สีเขียว สีเหลือง สีแดง หรือสีชมภู ผ้านั้นพึงเป็นของมีสีที่เขาย้อมดี มีสีสด ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร? เพราะผ้าเป็นของบริสุทธิ์ ฉันใด เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้ ฉันนั้น.
:idea: :idea:

คนทั่วไปก่อนฆ่าตัวตายนั้น จิตจะน้อมไปในทางโทสะอย่างแรงกล้า (ความโกรธ เศร้า หดหู่ หมดหวัง กลัว ความทุกข์ทางใจทั้งหลาย) เพราะธรรมดาแล้ว ชีวิตของตนย่อมเป็นที่รักยิ่งของคนทั่วไป คนทั่วไปนั้นเมื่อรู้ตัวว่าความตายกำลังจะมาถึง จะมีความหวาดหวั่น พลั่นพลึง กลัวตาย และจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ แม้จะต้องอยู่อย่างยากลำบาก ก็ยังดีกว่าจะต้องตายไป แม้สัตว์ทั้งหลายก็ยังดิ้นรนเพื่อหนีความตาย

ดังนั้น คนที่จะสามารถฆ่าตัวตายได้นั้น ขณะนั้นจะต้องถูกความทุกข์ทางใจ (ทุกทางใจทุกชนิด เป็นจิตที่มีโทสะเป็นมูล) ครอบงำอย่างรุนแรง จึงจะสามารถทำลายชีวิตอันเป็นที่รักยิ่งของตนลงได้ ซึ่งความทุกข์ทางใจ หรือโทสมูลจิตนี้ อาจจะมีสาเหตุจากเรื่องทางใจ หรือเรื่องทางกายก็ได้ เช่น อกหัก ผิดหวัง เป็นหนี้สินล้นพ้นตัว ความล้มเหลวในชีวิต ฯลฯ

เมื่อเป็นดังนี้แล้ว หลังจากตายไปก็ย่อมจะต้องไปเกิดในทุคติภูมิอย่างไม่ต ้องสงสัย และด้วยความรุนแรงของไฟโทสะที่ครอบงำจิตใจนั้น ทุคติภูมิที่ว่าก็คงไม่พ้นนรกอย่างแน่นอน เพราะเป็นภพภูมิที่มีสภาพใกล้เคียงกับโทสะที่สุดนั่น เอง

ดังนั้น ผู้ที่คิดสั้นจะยุติปัญหาด้วยการฆ่าตัวตายนั้น ขอให้คิดดูให้ดี เพราะนอกจากจะต้องไปพบกับทุกข์ครั้งใหม่ในนรก ซึ่งเป็นทุกข์ที่รุนแรงกว่าแล้ว ยังเป็นการสร้างทุกข์ สร้างปัญหาให้กับคนอื่นๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้ต้องรับความทุกข์ที่เขาไม่ได้ก่ออีกด้วย กรุณาให้ความเป็นธรรมกับเขาเหล่านั้นด้วย :( :(
ไฟล์แนบ
289870.jpg
289870.jpg (146.31 KiB) เข้าดูแล้ว 792 ครั้ง
289871.jpg
289872.jpg
289873.jpg
289873.jpg (106.33 KiB) เข้าดูแล้ว 792 ครั้ง
289874.jpg
289874.jpg (104.91 KiB) เข้าดูแล้ว 792 ครั้ง
289875.jpg
289875.jpg (89.55 KiB) เข้าดูแล้ว 792 ครั้ง
ในพุทธศาสนา ได้พูดถึงการฆ่าตัวตาย ของ พระอรหันต์ ไว้ดังนี้ ...<br /><br />๑.ในฉันโนวาทสูตร เล่าถึง  พระฉันนะ ฆ่าตัวตาย พระพุทธเจ้าไม่ตำหนิ เพราะท่านเป็นพระอรหันต์<br /><br />“           [๗๕๑] เมื่อท่านพระฉันนะกล่าวแล้วอย่างนี้ ท่านพระมหาจุนทะได้กล่าว กะท่านพระฉันนะดังนี้ว่า ดูกรท่านฉันนะ เพราะฉะนั้นแล ท่านควรใส่ใจคำสั่งสอน ของพระผู้มีพระภาคนั้นไว้ตลอดกาลเนืองนิตย์แม้ดังนี้ว่า บุคคลผู้อันตัณหาและทิฐิ อาศัยอยู่แล้ว ย่อมมีความหวั่นไหว สำหรับผู้ไม่มีตัณหาและทิฐิอาศัย ย่อมไม่มี ความหวั่นไหว เมื่อไม่มีความหวั่นไหว ก็มีความสงบ เมื่อมีความสงบ ก็ไม่มีตัณหาตัวน้อมไปสู่ภพ เมื่อไม่มีตัณหาตัวน้อมไปสู่ภพ ก็ไม่มีการมาเกิด ไปเกิด เมื่อไม่มีการมาเกิดไปเกิด ก็ไม่มีจุติและอุปบัติ เมื่อไม่มีจุติและอุปบัติ ก็ไม่มี โลกนี้ ไม่มีโลกหน้า ไม่มีระหว่างกลางทั้งสองโลก นี่แหละที่สุดแห่งทุกข์ ครั้น ท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาจุนทะ กล่าวสอนท่านพระฉันนะด้วยโอวาท นี้แล้ว จึงลุกจากอาสนะ หลีกไป ฯ<br /><br />             [๗๕๒] ครั้งนั้นแล ท่านพระฉันนะ เมื่อท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาจุนทะหลีกไปแล้วไม่นาน ได้หาศาตรามาฆ่าตัวเสียทันทีนั้น ท่านพระสารีบุตรจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ แล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า<br /><br />ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระฉันนะหาศาตรามาฆ่าตัวเสียแล้ว ท่านจะมีคติ อย่างไร มีสัมปรายภพอย่างไร ฯ<br /><br />             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสารีบุตร ฉันนภิกษุพยากรณ์ ความเป็นผู้ไม่ควรตำหนิต่อหน้าเธอแล้วมิใช่หรือ ฯ<br /><br />             สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มีบ้านในแคว้นวัชชีนามว่าปุพพชิระ ที่หมู่บ้านนั้น ท่านพระฉันนะยังมีสกุลมิตร สกุลสหาย และสกุลคนที่คอยตำหนิอยู่ ฯ<br /><br />             [๗๕๓] พ. ดูกรสารีบุตร ฉันนภิกษุยังมีสกุลมิตร สกุลสหาย และสกุลที่คอยตำหนิอยู่ก็จริง แต่เราหาเรียกบุคคลว่า ควรถูกตำหนิด้วยเหตุเพียง<br />เท่านี้ไม่ ดูกรสารีบุตร บุคคลใดแล ทิ้งกายนี้และยึดมั่นกายอื่น บุคคลนั้นเรา เรียกว่า ควรถูกตำหนิ ฉันนภิกษุหามีลักษณะนั้นไม่ ฉันนภิกษุหาศาตรามาฆ่าตัว<br />อย่างไม่ควรถูกตำหนิ ฯ<br /><br />             พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรจึงชื่นชมยินดี พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ”<br /><br />๒. พระวักกลิ ฆ่าตัวตาย เช่นกัน ท่านก็เป็นพระอรหันต์<br /><br />  พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค [๑. ขันธสังยุต]<br />                                                                 มัชฌิมปัณณาสก์ ๔. เถรวรรค ๕. วักกลิสูตร<br /><br />             ไม่เคลือบแคลงสัญญาที่ไม่เที่ยง ไม่สงสัยว่า ‘สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์’ ไม่สงสัยว่า ‘สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรผันเป็นธรรมดา ความพอใจ ความกำหนัด หรือความรักใคร่ในสิ่งนั้นไม่มีแก่เรา’<br /><br />             ไม่เคลือบแคลงสังขารที่ไม่เที่ยง ไม่สงสัยว่า ‘สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์’ ไม่สงสัยว่า ‘สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรผันเป็นธรรมดา ความพอใจความกำหนัด หรือความรักใคร่ในสิ่งนั้นไม่มีแก่เรา’<br /><br />             ไม่เคลือบแคลงวิญญาณที่ไม่เที่ยง ไม่สงสัยว่า ‘สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์’ ไม่สงสัยว่า ‘สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรผันเป็นธรรมดา ความพอใจความกำหนัด หรือความรักใคร่ในสิ่งนั้นไม่มีแก่เรา”<br /><br />             ภิกษุเหล่านั้นรับคำแล้วก็จากไป เมื่อภิกษุเหล่านั้นจากไปไม่นาน ท่านพระ<br /><br />วักกลิก็ได้นำศัสตรามา๑-<br /><br />             ต่อมา ภิกษุเหล่านั้นเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ นั่ง ณ ที่สมควร แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุวักกลิอาพาธ ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก เธอขอถวายอภิวาทพระยุคลบาทของพระองค์ด้วยเศียรเกล้าและฝากมากราบทูลอย่างนี้ว่า ‘ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่เคลือบแคลง รูปที่ไม่เที่ยง ไม่สงสัยว่า ‘สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์’ ไม่สงสัยว่า ‘สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรผันเป็นธรรมดา ความพอใจ ความกำหนัด หรือความรัก ใคร่ในสิ่งนั้นไม่มีแก่เรา’<br /><br />             ไม่เคลือบแคลงเวทนาที่ไม่เที่ยง ... สัญญา ... สังขาร ... ไม่เคลือบแคลง วิญญาณที่ไม่เที่ยง ไม่สงสัยว่า ‘สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์’ ไม่สงสัยว่า ‘สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรผันเป็นธรรมดา ความพอใจ ความกำหนัด หรือความรักใคร่ในสิ่งนั้นไม่มีแก่เรา”<br /><br />             ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า “มาเถิด ภิกษุ ทั้งหลาย เราจะไปยังวิหารกาฬสิลาข้างภูเขาอิสิคิลิ ซึ่งเป็นสถานที่ที่วักกลิกุลบุตรได้นำศัสตรามา(นำศัสตรามา ในที่นี้หมายถึงนำศัสตรามาฆ่าตัวตาย คือตัดก้านคอ)” ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว<br /><br />             ต่อมา พระผู้มีพระภาคเสด็จไปยังวิหารกาฬสิลาข้างภูเขาอิสิคิลิพร้อมด้วย ภิกษุจำนวนมาก ได้ทอดพระเนตรเห็นท่านพระวักกลินอนคอบิดอยู่บนเตียงแต่ไกลเทียว<br /><br />             สมัยนั้น ปรากฏกลุ่มควันกลุ่มหมอกลอยไปทางทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง และทิศเฉียง ลำดับนั้นเอง พระผู้มี พระภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายมองเห็น<br /><br />กลุ่มควันกลุ่มหมอกลอยไปทางทิศตะวันออก ฯลฯ และทิศเฉียงหรือไม่”<br /><br />             ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า “เห็น พระพุทธเจ้าข้า”<br /><br />             “ภิกษุทั้งหลาย นั่นแลคือมารผู้มีบาป ค้นหาวิญญาณของวักกลิกุลบุตรด้วย คิดว่า ‘วิญญาณของวักกลิกุลบุตรสถิตอยู่ที่ไหน’ ภิกษุทั้งหลาย วักกลิกุลบุตรไม่ มีวิญญาณสถิตอยู่ ปรินิพพานแล้ว”<br /><br />ชาวพุทธอย่าหวั่นไหวหรือเคลือบแคลสงสัยและขอให้คิดเสมอ ๆ ว่า &quot;สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม&quot; นะครับ..สาธุ สาธุ สาธุ.
ในพุทธศาสนา ได้พูดถึงการฆ่าตัวตาย ของ พระอรหันต์ ไว้ดังนี้ ...

๑.ในฉันโนวาทสูตร เล่าถึง พระฉันนะ ฆ่าตัวตาย พระพุทธเจ้าไม่ตำหนิ เพราะท่านเป็นพระอรหันต์

“ [๗๕๑] เมื่อท่านพระฉันนะกล่าวแล้วอย่างนี้ ท่านพระมหาจุนทะได้กล่าว กะท่านพระฉันนะดังนี้ว่า ดูกรท่านฉันนะ เพราะฉะนั้นแล ท่านควรใส่ใจคำสั่งสอน ของพระผู้มีพระภาคนั้นไว้ตลอดกาลเนืองนิตย์แม้ดังนี้ว่า บุคคลผู้อันตัณหาและทิฐิ อาศัยอยู่แล้ว ย่อมมีความหวั่นไหว สำหรับผู้ไม่มีตัณหาและทิฐิอาศัย ย่อมไม่มี ความหวั่นไหว เมื่อไม่มีความหวั่นไหว ก็มีความสงบ เมื่อมีความสงบ ก็ไม่มีตัณหาตัวน้อมไปสู่ภพ เมื่อไม่มีตัณหาตัวน้อมไปสู่ภพ ก็ไม่มีการมาเกิด ไปเกิด เมื่อไม่มีการมาเกิดไปเกิด ก็ไม่มีจุติและอุปบัติ เมื่อไม่มีจุติและอุปบัติ ก็ไม่มี โลกนี้ ไม่มีโลกหน้า ไม่มีระหว่างกลางทั้งสองโลก นี่แหละที่สุดแห่งทุกข์ ครั้น ท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาจุนทะ กล่าวสอนท่านพระฉันนะด้วยโอวาท นี้แล้ว จึงลุกจากอาสนะ หลีกไป ฯ

[๗๕๒] ครั้งนั้นแล ท่านพระฉันนะ เมื่อท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาจุนทะหลีกไปแล้วไม่นาน ได้หาศาตรามาฆ่าตัวเสียทันทีนั้น ท่านพระสารีบุตรจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ แล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระฉันนะหาศาตรามาฆ่าตัวเสียแล้ว ท่านจะมีคติ อย่างไร มีสัมปรายภพอย่างไร ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสารีบุตร ฉันนภิกษุพยากรณ์ ความเป็นผู้ไม่ควรตำหนิต่อหน้าเธอแล้วมิใช่หรือ ฯ

สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มีบ้านในแคว้นวัชชีนามว่าปุพพชิระ ที่หมู่บ้านนั้น ท่านพระฉันนะยังมีสกุลมิตร สกุลสหาย และสกุลคนที่คอยตำหนิอยู่ ฯ

[๗๕๓] พ. ดูกรสารีบุตร ฉันนภิกษุยังมีสกุลมิตร สกุลสหาย และสกุลที่คอยตำหนิอยู่ก็จริง แต่เราหาเรียกบุคคลว่า ควรถูกตำหนิด้วยเหตุเพียง
เท่านี้ไม่ ดูกรสารีบุตร บุคคลใดแล ทิ้งกายนี้และยึดมั่นกายอื่น บุคคลนั้นเรา เรียกว่า ควรถูกตำหนิ ฉันนภิกษุหามีลักษณะนั้นไม่ ฉันนภิกษุหาศาตรามาฆ่าตัว
อย่างไม่ควรถูกตำหนิ ฯ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรจึงชื่นชมยินดี พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ”

๒. พระวักกลิ ฆ่าตัวตาย เช่นกัน ท่านก็เป็นพระอรหันต์

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค [๑. ขันธสังยุต]
มัชฌิมปัณณาสก์ ๔. เถรวรรค ๕. วักกลิสูตร

ไม่เคลือบแคลงสัญญาที่ไม่เที่ยง ไม่สงสัยว่า ‘สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์’ ไม่สงสัยว่า ‘สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรผันเป็นธรรมดา ความพอใจ ความกำหนัด หรือความรักใคร่ในสิ่งนั้นไม่มีแก่เรา’

ไม่เคลือบแคลงสังขารที่ไม่เที่ยง ไม่สงสัยว่า ‘สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์’ ไม่สงสัยว่า ‘สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรผันเป็นธรรมดา ความพอใจความกำหนัด หรือความรักใคร่ในสิ่งนั้นไม่มีแก่เรา’

ไม่เคลือบแคลงวิญญาณที่ไม่เที่ยง ไม่สงสัยว่า ‘สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์’ ไม่สงสัยว่า ‘สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรผันเป็นธรรมดา ความพอใจความกำหนัด หรือความรักใคร่ในสิ่งนั้นไม่มีแก่เรา”

ภิกษุเหล่านั้นรับคำแล้วก็จากไป เมื่อภิกษุเหล่านั้นจากไปไม่นาน ท่านพระ

วักกลิก็ได้นำศัสตรามา๑-

ต่อมา ภิกษุเหล่านั้นเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ นั่ง ณ ที่สมควร แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุวักกลิอาพาธ ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก เธอขอถวายอภิวาทพระยุคลบาทของพระองค์ด้วยเศียรเกล้าและฝากมากราบทูลอย่างนี้ว่า ‘ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่เคลือบแคลง รูปที่ไม่เที่ยง ไม่สงสัยว่า ‘สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์’ ไม่สงสัยว่า ‘สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรผันเป็นธรรมดา ความพอใจ ความกำหนัด หรือความรัก ใคร่ในสิ่งนั้นไม่มีแก่เรา’

ไม่เคลือบแคลงเวทนาที่ไม่เที่ยง ... สัญญา ... สังขาร ... ไม่เคลือบแคลง วิญญาณที่ไม่เที่ยง ไม่สงสัยว่า ‘สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์’ ไม่สงสัยว่า ‘สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรผันเป็นธรรมดา ความพอใจ ความกำหนัด หรือความรักใคร่ในสิ่งนั้นไม่มีแก่เรา”

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า “มาเถิด ภิกษุ ทั้งหลาย เราจะไปยังวิหารกาฬสิลาข้างภูเขาอิสิคิลิ ซึ่งเป็นสถานที่ที่วักกลิกุลบุตรได้นำศัสตรามา(นำศัสตรามา ในที่นี้หมายถึงนำศัสตรามาฆ่าตัวตาย คือตัดก้านคอ)” ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว

ต่อมา พระผู้มีพระภาคเสด็จไปยังวิหารกาฬสิลาข้างภูเขาอิสิคิลิพร้อมด้วย ภิกษุจำนวนมาก ได้ทอดพระเนตรเห็นท่านพระวักกลินอนคอบิดอยู่บนเตียงแต่ไกลเทียว

สมัยนั้น ปรากฏกลุ่มควันกลุ่มหมอกลอยไปทางทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง และทิศเฉียง ลำดับนั้นเอง พระผู้มี พระภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายมองเห็น

กลุ่มควันกลุ่มหมอกลอยไปทางทิศตะวันออก ฯลฯ และทิศเฉียงหรือไม่”

ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า “เห็น พระพุทธเจ้าข้า”

“ภิกษุทั้งหลาย นั่นแลคือมารผู้มีบาป ค้นหาวิญญาณของวักกลิกุลบุตรด้วย คิดว่า ‘วิญญาณของวักกลิกุลบุตรสถิตอยู่ที่ไหน’ ภิกษุทั้งหลาย วักกลิกุลบุตรไม่ มีวิญญาณสถิตอยู่ ปรินิพพานแล้ว”

ชาวพุทธอย่าหวั่นไหวหรือเคลือบแคลสงสัยและขอให้คิดเสมอ ๆ ว่า "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" นะครับ..สาธุ สาธุ สาธุ.
289876.jpg (103.32 KiB) เข้าดูแล้ว 792 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: สงกรานต์ภาคเหนือ

สงกรานต์ล้านนา หรือ "ประเพณีปี๋ใหม่เมือง" อันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เริ่มตั้งแต่ "วันสังขารล่อง" (13 เมษายน) หมายความว่า วันนี้สิ้นสุดศักราชเก่า ในวันนี้จะได้ยินเสียงยิงปืนจุดประทัดกันแต่เช้าตรู่ โดยการยิงปืนและการจุดประทัด มีความเชื่อถือกันแต่โบราณว่า เป็นการขับไล่เสนียดจัญไรต่าง ๆ ให้ล่องไปพร้อมกับสังขาร จากนั้น ชาวบ้านจะกวาดขยะมูลฝอยตามลานบ้าน ไปกองไว้แล้วจุดไฟเผา และทำความสะอาดปัดกวาดบ้านเรือนให้เรียบร้อย เก็บเสื้อผ้า มุ้ง หมอน ผ้าปูที่นอนไปซัก ส่วนอุปกรณ์ที่ซักไม่ได้ก็นำออกไปผึ่งแดด เสร็จแล้วก็ชำระร่างกายสระผม (ดำหัว) ให้สะอาด และมีการแห่พระพุทธรูปสำคัญประจำเมือง เพื่อความเป็นสิริมงคล

ถัดมาคือ "วันเนา" หรือ "วันเน่า" (14 เมษายน) วันที่ห้ามใครด่าทอว่าร้าย เพราะจะทำให้โชคร้ายไปตลอดทั้งปี โดยในวันนี้ตามประเพณี ถือว่าเป็นวันสำคัญและเป็นมงคลแก่ชีวิต จะได้ประสบแต่ความดีงามตลอดปี จะไม่ทำอะไรที่ไม่เป็นมงคล เช่น ด่า ทอ หรือทะเลาะวิวาทกัน ตอนเช้าต่างก็จะไปตลาด เพื่อจะจัดซื้ออาหารและข้าวของมาทำบุญ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "วันดา" (คือวันสุขดิบทางใต้)

ตอนบ่ายจะมีการขนทรายเข้าวัด โดยขนจากแม่น้ำปิง แล้วนำไปยังวัดที่อยู่ใกล้บ้าน เพื่อก่อเจดีย์ทรายตามลานวัด เจดีย์ที่ก่อขึ้นจะตบแต่งด้วยธงทิวสีต่าง ๆ ธงสีนี้ชาวพื้นเมืองเรียกว่า "ตุง" ทำด้วยกระดาษสี ตัดเป็นรูปสามเหลี่ยมชายธงและรูปร่างต่าง ๆ ติดปลายไม้ อีกชนิดหนึ่งตัดเป็นรูปลวดลายต่าง ๆ ติดปลายไม้เรียกว่า "ช่อ" การทาน หรือถวายตุง หรือช่อนี้ ถือกันว่าเมื่อตาย (สำหรับผู้ที่มีบาปหนักถึงตกนรก) จะสามารถพ้นจากขุมนรกได้ด้วยช่อและตุงนี้

ส่วนการขนทรายเข้าวัด ถือว่าเป็นการทดแทนที่เมื่อตนเดินผ่านหรือเข้าออกวัด ทรายในวัดย่อมจะติดเท้าออกไปนอกวัด ซึ่งเป็นบาปกรรม ทางวัดจะได้ใช้ทรายเพื่อประโยชน์ในการสร้าง หรือถมลานวัด เจดีย์ทรายนี้จะทำพิธีถวายทานในวันรุ่งขึ้น และจะมีการปล่อยนกปล่อยปลาอีกด้วย ทั้งนี้ ในวันขนทราย จะมีการเล่นรดน้ำกัน และเป็นการเล่นอย่างสนุกสนานที่สุดวันหนึ่ง ผู้หญิงจะแต่งกายพื้นเมือง จะนุ่งผ้าซิ่นสวมเสื้อแขนยาว ทัดดอกเอื้องที่มวยผม ส่วนผู้ชายจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดพื้นเมือง คล้องคอด้วยดอกมะลิ ถือขันหรือโอคนละใบ ใส่น้ำเพื่อรดกันอย่างสนุกสนาน และขนทรายเข้าวัดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสทุก ๆ คน

วันที่สาม "วันพญาวัน" หรือ "วันเถลิงศก" (15 เมษายน) วันนี้ชาวบ้านจะตื่นแต่เช้าทำบุญตักบาตรเข้าวัดฟังธรรม ก่อนจะไป "รดน้ำดำหัว" ขอขมาญาติผู้ใหญ่ในช่วงบ่าย ซึ่งเป็นประเพณีอย่างหนึ่งของชาวเมืองเหนือ คือ การนำลูกหลานญาติพี่น้องไปขอขมาลาโทษ (สูมาคาระวะ) ต่อผู้ใหญ่ในตอนเย็น

วันที่สี่ "วันปากปี" (16 เมษายน) ชาวบ้านจะพากันไปรดน้ำเจ้าอาวาสตามวัดต่าง ๆ เพื่อขอขมาคารวะ โดยตั้งแต่เช้าตรู่ ชาวบ้านจะจัดอาหารหวานคาวใส่สำรับไปถวายพระที่วัด เป็นการถวายภัตตาหารหรือที่เรียกกันว่า ทานขันข้าว เป็นการถวายทานเพื่ออุทิศส่วนกุศลถึงญาติพี่น้องที่ล่วงลับ รวมทั้งถวายเจดีย์ทราย ถวายจ่อตุง เพราะถือว่าเป็นอานิสงส์ และวันที่ 5 "วันปากเดือน" (17 เมษายน) เป็นวันที่ชาวบ้านส่งเคราะห์ต่าง ๆ ออกไปจากตัว เพื่อปิดฉากประเพณีสงกรานต์ล้านนา

ทั้งนี้ ประเพณีดำหัว สำหรับชาวล้านนาหมายถึง "การสระผม" เพื่อเป็นการชำระสะสางเอาสิ่งอันเป็นอัปมงคลในชีวิตให้วิปลาสไป โดยการใช้น้ำขมิ้นส้มป่อยเป็นเครื่องชำระ ซึ่งการดำหัวของชาวล้านนามี 3 ลักษณะ...

ลักษณะที่ 1 ดำหัวตนเอง คือ ทำพิธีเสกน้ำส้มป่อยด้วยคำที่เป็นศิริมงคล "สัพพทุกขา สัพพภย สัพพโรคา วินาสันตุ" แล้วลูบหัวด้วยน้ำส้มป่อย
ลักษณะที่ 2 ดำหัวผู้อาวุโสที่เราเคารพนับถือ เช่น บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ พระเถระ ผู้นำฯ
ลักษณะที่ 3 ดำหัวผู้น้อย เช่น ภรรยา บุตร หลาน คือการใช้น้ำส้มป่อยลูบศรีษะภรรยา บุตร หลาน
:idea: :idea:

:) :D อรุณสวัสดิ์ครับ เช้านี้นำเรื่องสงกรานต์ภาคเหนือมาเล่าสู่กันฟัง ก่อนจะหมดฤดูจางหายไปแต่สงกรานต์ปีนี้ เราอยู่กันแบบ เซ็ง ๆ สุด ๆ ไม่ได้เล่นน้ำสงกรานต์กันเลย สงสารวัยรุ่นทั้งหลาย ผมผ่านวัยนี้มาเข้าใจอารมณ์วัยนี้ดี แต่ไม่เป็นไรนะเด็ก ๆ เชื่อหากคนในชาติโดยเฉพาะผู้นำประเทศ หันหน้ามารักษาศีลปฏิบัติธรรมเอาคำสอนของพระพุทธศาสนามาปฏิบัติอย่างจริงจัง ดังพ่อหลวง ร.๙ ท่านปฏิบัติ "ปกครองแผ่นดินโดยธรรม" สงกรานต์ปีหน้าฟ้าต้องเปิด เอาให้เต็มที่
:lol: :lol:
ไฟล์แนบ
288326.jpg
288329.jpg
ปีนี้ผมไม่มีพ่อ-แม่อยู่ให้ได้ดำหัวแล้ว แต่ก็ยังมีคนที่เราเคารพนับถืออีกหลายท่าน ครอบครัวเราก็ยังไม่ละเลยจารีตประเพณีแม้จะห้ามเล่นสงกรานต์ แต่เราก็ยังพาลูกหลานไปดำหัวคนเฒ่าคนแก่ ภาพนี้เป็นน้องของพ่อคุณนาย คุณตาวิลาศ บุญมา อายุ ๘๖ ปี อดีตตำรวจภูธรเชียงใหม่
ปีนี้ผมไม่มีพ่อ-แม่อยู่ให้ได้ดำหัวแล้ว แต่ก็ยังมีคนที่เราเคารพนับถืออีกหลายท่าน ครอบครัวเราก็ยังไม่ละเลยจารีตประเพณีแม้จะห้ามเล่นสงกรานต์ แต่เราก็ยังพาลูกหลานไปดำหัวคนเฒ่าคนแก่ ภาพนี้เป็นน้องของพ่อคุณนาย คุณตาวิลาศ บุญมา อายุ ๘๖ ปี อดีตตำรวจภูธรเชียงใหม่
คุณยายสง่า อายุ ๙๕ ปีเพื่อนคุณแม่ผม วันที่คุณแม่ผมเสียชีวิตเมื่อเดือนที่แล้ว คุณยายสง่าบ่นไม่อยากจะอยู่แล้วอยากไปกับคุณแม่ วันดำหัวนี้ได้โอกาสผมก็อราธนา ขอให้คุณยายอยู่เป็นเสาหลักให้ลูกหลานได้สืบประเพณีรดน้ำดำหัว ต่อไปจนเท่าครบ ๑๐๐ ปี ผมย้ำนะครับว่า &quot;แม่ผมขอแล้วนะ&quot; คุณยายตอบน่ารัก &quot;แม่จะพยายามแต่ไม่รู้พญายมเจ้าเหนือหัวเขาจะยอมไหม เอาบุญวาสนาเป็นไปนะลูก&quot;<br /><br />เมื่อผมยังเด็กยายสง่าจะทำขนมท๊อฟฟี่ให้ผมกับพี่สาวนำไปขายที่ รร.เป็นรายได้ยายมีสามีเป็นตำรวจภูธรเชียงใหม่ คุณลุง กฤต เสียชีวิตไปก่อนยายนานแล้วเกือบ ๒๕ ปี
คุณยายสง่า อายุ ๙๕ ปีเพื่อนคุณแม่ผม วันที่คุณแม่ผมเสียชีวิตเมื่อเดือนที่แล้ว คุณยายสง่าบ่นไม่อยากจะอยู่แล้วอยากไปกับคุณแม่ วันดำหัวนี้ได้โอกาสผมก็อราธนา ขอให้คุณยายอยู่เป็นเสาหลักให้ลูกหลานได้สืบประเพณีรดน้ำดำหัว ต่อไปจนเท่าครบ ๑๐๐ ปี ผมย้ำนะครับว่า "แม่ผมขอแล้วนะ" คุณยายตอบน่ารัก "แม่จะพยายามแต่ไม่รู้พญายมเจ้าเหนือหัวเขาจะยอมไหม เอาบุญวาสนาเป็นไปนะลูก"

เมื่อผมยังเด็กยายสง่าจะทำขนมท๊อฟฟี่ให้ผมกับพี่สาวนำไปขายที่ รร.เป็นรายได้ยายมีสามีเป็นตำรวจภูธรเชียงใหม่ คุณลุง กฤต เสียชีวิตไปก่อนยายนานแล้วเกือบ ๒๕ ปี
คุณแม่จีราทร อายุ ๘๖ ปีท่านเป็นครูสอนผมสมัยเด็ก ๆ ที่ รร.หอพระ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ผมรักท่านเท่ากับคุณแม่ทีเดียว ท่านดูแลเอาใจใส่เป็นห่วงเป็นใยตลอดมา คอยสอบถามตักเตือนให้กำลังใจไม่ได้ขาด ท่านยังแข็งแรง ปีนี้ท่านเบรคผมว่า &quot;ห้ามมาขอแม่อยู่ให้ครบร้อยนะ&quot;
คุณแม่จีราทร อายุ ๘๖ ปีท่านเป็นครูสอนผมสมัยเด็ก ๆ ที่ รร.หอพระ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ผมรักท่านเท่ากับคุณแม่ทีเดียว ท่านดูแลเอาใจใส่เป็นห่วงเป็นใยตลอดมา คอยสอบถามตักเตือนให้กำลังใจไม่ได้ขาด ท่านยังแข็งแรง ปีนี้ท่านเบรคผมว่า "ห้ามมาขอแม่อยู่ให้ครบร้อยนะ"
ลูกหลานดำหัวพ่อ-แม่
ลูกหลานดำหัวพ่อ-แม่
สือดาวแอบมาตอนกลางคืน เพื่อไปเยี่ยมแม่วัวที่เคยให้นมมันตอนเล็กๆ หลังจากแม่ของมันตาย !! ภาพถูกถ่ายด้วยกล้อง<br />ที่ตั้งไว้ในหมู่บ้านเพื่อดูว่าสุนัขเห่าในช่วงกลางคืนทำไม ? ความสัมพันธ์ในวัยเด็ก เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการอยู่รอด และเป็นความผูกพันต่อชีวิต...<br /><br />เมตตาธรรม..ค้ำจุนโลก
สือดาวแอบมาตอนกลางคืน เพื่อไปเยี่ยมแม่วัวที่เคยให้นมมันตอนเล็กๆ หลังจากแม่ของมันตาย !! ภาพถูกถ่ายด้วยกล้อง
ที่ตั้งไว้ในหมู่บ้านเพื่อดูว่าสุนัขเห่าในช่วงกลางคืนทำไม ? ความสัมพันธ์ในวัยเด็ก เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการอยู่รอด และเป็นความผูกพันต่อชีวิต...

เมตตาธรรม..ค้ำจุนโลก
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
ลุงเนตร
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 19852
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 19:20
Tel: 0898133936
team: อิสระ
Bike: Trek 3900, Dark Rock ทัวร์ริ่ง
ตำแหน่ง: ๔๖๕ ซอยจ่าโสด ถนนทางรถไฟเก่า แขวง,เขตบางนา กทม.๑๐๒๖๐
ติดต่อ:

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย ลุงเนตร »

"..สวัสดีครับ ท่านน้อง Deang Sarapee ขอบคุณมากครับ สำหรับสิ่งดี ๆ ที่นำมามอบให้ไว้ที่นี่.."
*..ยิ่งปั่น..ยิ่งแข็ง..แรงยิ่งดี..โรคไม่ค่อยมี..ไม่ทุกข์..*
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

ลุงเนตร เขียน: 25 เม.ย. 2021, 15:21 "..สวัสดีครับ ท่านน้อง Deang Sarapee ขอบคุณมากครับ สำหรับสิ่งดี ๆ ที่นำมามอบให้ไว้ที่นี่.."
:) :D อรุณสวัสดิ์ครับท่านพี่ที่เคารพ ขอบพระคุณมากครับสำหรับกำลังใจ ว่าง ๆ เรียนเชิญกระทู้คุณลุง-คุณป้าบ้างนะครับ เหงาครับ คงมีเรา ๒ คนนะครับที่ให้กำลังใจกันและกัน ผมมีกำลังใจและแบบอย่างที่ดีจากคุณพี่พร้อมคำสั่งสอนของพ่อ -แม่-ครูบาอาจารย์ ที่ให้ไปนำศีลธรรมกลับมา ทำให้มีกำลังใจที่จะดำเนินต่อไปเพื่อกุศลผลบุญในภายภาคหน้า ส่งบุญกุศลทั้งหมดทั้งถึงคุณพี่และครอบครัวครับ :) :D
ไฟล์แนบ
คู่มือมนุษย์นี่ผมอ่านได้ ๙ รอบ ยังไม่นับกับสมัยเรียนที่เป็นภาควิชาบังคับให้เรียน อยากให้ทุกท่านทุกคนได้หาซื้อติดบ้านเพื่อให้ลูกหลานได้อ่านศึกษา บอกคำได้ว่า &quot;สุดยอด&quot; ท่านจะได้แนวทางการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า สำคัญท่านจะมีความสุข ใครที่ขี้เกียจซื้อเข้าไปอ่านในกระทู้ของ &quot;ลุงเนตร&quot; ได้ท่านนำมาเขียนลงไว้ให้ได้อ่านครับ
คู่มือมนุษย์นี่ผมอ่านได้ ๙ รอบ ยังไม่นับกับสมัยเรียนที่เป็นภาควิชาบังคับให้เรียน อยากให้ทุกท่านทุกคนได้หาซื้อติดบ้านเพื่อให้ลูกหลานได้อ่านศึกษา บอกคำได้ว่า "สุดยอด" ท่านจะได้แนวทางการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า สำคัญท่านจะมีความสุข ใครที่ขี้เกียจซื้อเข้าไปอ่านในกระทู้ของ "ลุงเนตร" ได้ท่านนำมาเขียนลงไว้ให้ได้อ่านครับ
ช่วงนี้อยู่เหย้าเฝ้าเรือนไปไหนไม่ได้ค้นหนังสือเก่า ๆ ที่ซื้อศึกษาเก็บรักษาไว้อย่างดี ได้เวลางัดออกมาทบทวน อ่านแล้วดีต่อใจคิดครับว่า &quot;สุญญตาดีมากแต่จะสร้างขึ้นได้อย่างไรนี่ซิ&quot; มีหนทางเดียวครับ ต้องฝึกปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอเรียกว่าต้องมีสักวัน ๆ ได้ครับ พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการฝึกศึกษาและปฏิบัติมิใช่ศาสนาที่อ้อนวอน บนบานศาลกล่าว หรือศรัทธาแบบไม่ใช้ปัญญา
ช่วงนี้อยู่เหย้าเฝ้าเรือนไปไหนไม่ได้ค้นหนังสือเก่า ๆ ที่ซื้อศึกษาเก็บรักษาไว้อย่างดี ได้เวลางัดออกมาทบทวน อ่านแล้วดีต่อใจคิดครับว่า "สุญญตาดีมากแต่จะสร้างขึ้นได้อย่างไรนี่ซิ" มีหนทางเดียวครับ ต้องฝึกปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอเรียกว่าต้องมีสักวัน ๆ ได้ครับ พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการฝึกศึกษาและปฏิบัติมิใช่ศาสนาที่อ้อนวอน บนบานศาลกล่าว หรือศรัทธาแบบไม่ใช้ปัญญา
สมุนไพรราคาถูกเก็บในสวนภายในรั้วบ้านครับ ไม่คิดว่าจะรักษาป้องกันอะไร แต่มีเวลาก็ทำรับประทาน แต่เพื่อนผมเขาไลน์มาบอกว่า &quot;และนี่ก็คือสมุนไพรที่สามารถรักษาป้องกันโรคได้&quot; ก็ดีใจนะครับปลูก ๆ กันไว้ในบ้านมีเวลาก็มาทำกินราคาถูกอีกต่างหาก
สมุนไพรราคาถูกเก็บในสวนภายในรั้วบ้านครับ ไม่คิดว่าจะรักษาป้องกันอะไร แต่มีเวลาก็ทำรับประทาน แต่เพื่อนผมเขาไลน์มาบอกว่า "และนี่ก็คือสมุนไพรที่สามารถรักษาป้องกันโรคได้" ก็ดีใจนะครับปลูก ๆ กันไว้ในบ้านมีเวลาก็มาทำกินราคาถูกอีกต่างหาก
298019.jpg (181.43 KiB) เข้าดูแล้ว 680 ครั้ง
156290.jpg
156291.jpg
293018.jpg
293018.jpg (134.44 KiB) เข้าดูแล้ว 680 ครั้ง
ข่าวสารต่าง ๆ ที่เผยแพร่ทั้งใน Social และหน้าหนังสือพิมพ์เยอะแยะมากมาย อยากจะรู้ใจพวกบรรดานักกินเมืองทั้งหลายที่กำลังบริหารประเทศ ณ วันนี้ เขาจะรู้สึกรู้สาบ้างไหม เห็นข่าวสารแบบนี้ในเมืองนอก ผู้ที่ถูกประณาม เขาลาออกครับ แต่บ้านเราเมืองเราก็จะอยู่ต่อยังไม่พออยู่ต่อไปนู่น ๒๐ ปีจะไหวเหรอ. <br /><br /> มีอำนาจอย่าลิอ่านปิดโน่นปิดนี่ เพราะคนอาจจะอดตายก่อนโรคตาย. แต่คนมีปัญญาควรแนะวิธีอยู่กับมันให้ได้อย่างมีความสุขและปลอดภัย  จึงถูกต้องและบัณฑิตควรประพฤติ ไม่ใช่พากันขาดความสำนึกดีและถูกต้องอย่างขาดเมตตาและคุณธรรม <br /> <br />   ศีลธรรมประจำชาติไทยมีมานาน  แสนนานนับร้อยปีพันปีมาแล้วในเพราะกิเลสของพวกท่าน บางคนบางกลุ่ม ตามที่เป็นข่าว &quot;ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวืนาศ&quot; คนไทยห่างไกลศีลธรรมออกไปเรื่อยๆ ผู้นำก็ไร้ศีลธรรม และนี่ก็คือ&quot;ความวิบัติ&quot; <br /><br />ยังไม่สายครับ ทำที่ตัวเราครอบครัวเรา ทุกคนในชาติร่วมกัน เราจะปลอดภัยครับ
ข่าวสารต่าง ๆ ที่เผยแพร่ทั้งใน Social และหน้าหนังสือพิมพ์เยอะแยะมากมาย อยากจะรู้ใจพวกบรรดานักกินเมืองทั้งหลายที่กำลังบริหารประเทศ ณ วันนี้ เขาจะรู้สึกรู้สาบ้างไหม เห็นข่าวสารแบบนี้ในเมืองนอก ผู้ที่ถูกประณาม เขาลาออกครับ แต่บ้านเราเมืองเราก็จะอยู่ต่อยังไม่พออยู่ต่อไปนู่น ๒๐ ปีจะไหวเหรอ.

มีอำนาจอย่าลิอ่านปิดโน่นปิดนี่ เพราะคนอาจจะอดตายก่อนโรคตาย. แต่คนมีปัญญาควรแนะวิธีอยู่กับมันให้ได้อย่างมีความสุขและปลอดภัย จึงถูกต้องและบัณฑิตควรประพฤติ ไม่ใช่พากันขาดความสำนึกดีและถูกต้องอย่างขาดเมตตาและคุณธรรม

ศีลธรรมประจำชาติไทยมีมานาน แสนนานนับร้อยปีพันปีมาแล้วในเพราะกิเลสของพวกท่าน บางคนบางกลุ่ม ตามที่เป็นข่าว "ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวืนาศ" คนไทยห่างไกลศีลธรรมออกไปเรื่อยๆ ผู้นำก็ไร้ศีลธรรม และนี่ก็คือ"ความวิบัติ"

ยังไม่สายครับ ทำที่ตัวเราครอบครัวเรา ทุกคนในชาติร่วมกัน เราจะปลอดภัยครับ
297998.jpg (131.91 KiB) เข้าดูแล้ว 680 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
ลุงเนตร
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 19852
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 19:20
Tel: 0898133936
team: อิสระ
Bike: Trek 3900, Dark Rock ทัวร์ริ่ง
ตำแหน่ง: ๔๖๕ ซอยจ่าโสด ถนนทางรถไฟเก่า แขวง,เขตบางนา กทม.๑๐๒๖๐
ติดต่อ:

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย ลุงเนตร »

"..สวัสดีครับ ท่านน้อง Deang Sarapee และสมาชิก www.thaimtb.com ทุกท่าน

..ขอบคุณมาก ที่สละเวลาพยายามนำสิ่งดีๆมาโพสท์แสดงไว้ ณ ที่นี้ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่ท่านทั้งหลาย

..ปล. ตัวอักษร "เอน + ลายเส้นผอม + ช่องไฟชิด" รู้สึกว่าอ่านยาก ไม่ทราบว่า มีท่านอื่นคิดเหมือนกันบ้างหรือไม่ครับ.


----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

= เป็นบทความที่ดีมาก ๆ รีเรให้อ่านกันชัดๆ ง่ายๆ สบายตาครับ =

"ข่าวสารต่าง ๆ ที่เผยแพร่ทั้งใน Social และหน้าหนังสือพิมพ์เยอะแยะมากมาย อยากจะรู้ใจพวกบรรดานักกินเมืองทั้งหลายที่กำลังบริหารประเทศ ณ วันนี้ เขาจะรู้สึกรู้สาบ้างไหม เห็นข่าวสารแบบนี้ในเมืองนอก ผู้ที่ถูกประณาม เขาลาออกครับ แต่บ้านเราเมืองเราก็จะอยู่ต่อยังไม่พออยู่ต่อไปนู่น ๒๐ ปีจะไหวเหรอ.

มีอำนาจอย่าลิอ่านปิดโน่นปิดนี่ เพราะคนอาจจะอดตายก่อนโรคตาย. แต่คนมีปัญญาควรแนะวิธีอยู่กับมันให้ได้อย่างมีความสุขและปลอดภัย จึงถูกต้องและบัณฑิตควรประพฤติ ไม่ใช่พากันขาดความสำนึกดีและถูกต้องอย่างขาดเมตตาและคุณธรรม

ศีลธรรมประจำชาติไทยมีมานาน แสนนานนับร้อยปีพันปีมาแล้วในเพราะกิเลสของพวกท่าน บางคนบางกลุ่ม ตามที่เป็นข่าว "ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวืนาศ" คนไทยห่างไกลศีลธรรมออกไปเรื่อยๆ ผู้นำก็ไร้ศีลธรรม และนี่ก็คือ"ความวิบัติ"

ยังไม่สายครับ ทำที่ตัวเราครอบครัวเรา ทุกคนในชาติร่วมกัน เราจะปลอดภัยครับ"
ไฟล์แนบ
PICT0084.JPG
PICT0084.JPG (164.28 KiB) เข้าดูแล้ว 671 ครั้ง
PICT0096.JPG
PICT0096.JPG (165.14 KiB) เข้าดูแล้ว 671 ครั้ง
*..ยิ่งปั่น..ยิ่งแข็ง..แรงยิ่งดี..โรคไม่ค่อยมี..ไม่ทุกข์..*
ตอบกลับ

กลับไปยัง “คุยนอกเรื่องใดๆ ที่ไม่เกี่ยวกับจักรยาน”