????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

บอร์ดสำหรับ นักปั่นทัวร์ริ่ง นักปั่นระยะทางไกล พูดคุยเรื่องอุปกรณ์ เทคนิตการปั่น ที่พัก หรือการกินอยู่
กฏการใช้บอร์ด
บอร์ดสำหรับ นักปั่นทัวร์ริ่ง นักปั่นระยะทางไกล พูดคุยเรื่องอุปกรณ์ เทคนิตการปั่น ที่พัก หรือการกินอยู่
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4365
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: สายน้ำ..เมื่อมันไหลไปแล้ว มันไม่หวนกลับ !

ถ้าเรายังทำไม่เต็มที่
แล้วเราต้องจากโลกนี้ไป
ต้องร้อนใจในภายหลัง

ถึงเวลานั้น..
ก็แก้ไขอะไรกันไม่ได้แล้ว
เพราะฉะนั้น จงเตือนตนเองอยู่เสมอ

พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ว่า..
ผู้ที่ตื่นขึ้น เห็นโลกตามความเป็นจริง
แม้มีชีวิตอยู่เพียงวันหนึ่ง คืนหนึ่ง

ก็ประเสริฐกว่า..
ใช้ชีวิตมา 100 ปี แต่ยังหลับไหลอยู่
ไม่เกิดคุณค่าอะไรแก่ตนเองเลย

จนกว่าจะได้ก้าวสู่เส้นทางที่ถูกต้อง
เจริญอริยมรรคมีองค์ 8
ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
แม้มีชีวิตอยู่เพียงวันหนึ่ง
ก็ประเสริฐกว่า

ก็พิจารณาตนเอง
ถ้าเรามีชีวิตเหลือเพียงวันนี้วันเดียว
ความตาย เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น
กับพวกเราทุกคนแน่นอน

คนที่อายุน้อยกว่าเรา
ที่ล้มหายตายจาก
เป็นตัวอย่างให้เห็นมากต่อมาก
ตัวเราเองก็เช่นกัน ต้องตายแน่นอน

เราจะแน่ใจเหรอว่า..
รอแก่ก่อน ค่อยปฏิบัติ
ถึงตอนนั้น เราจะมีชีวิตอยู่
แน่ใจหรือ ?

อาจจะล้มตัวลงนอน
แล้วก็ตายในขณะนี้เลยก็ได้
ความตาย เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น
กับพวกเราทุกคนอย่างแน่นอน

แต่ในขณะที่เรามีชีวิตอยู่
ได้ทำสิ่งที่สมควรหรือยัง ?
กับโอกาสให้เราได้รับ ณ ขณะนี้

หนทางหมื่นลี้ ก็เริ่มที่ก้าวแรก
ถ้าเราได้รับโอกาส แล้วเรายังไม่ปฏิบัติ
แล้วโอกาสต่อไปมันจะมาได้อย่างไร ?

เพราะฉะนั้น
ก็ใช้ชีวิตในทุก ๆ วัน ให้มีความรู้สึกว่า..
วันนี้มันเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเรา
................
มูลนิธิเดินจิต
8-) 8-)
ไฟล์แนบ
CSC_๓๘.jpg
CSC_๓๘.jpg (49.9 KiB) เข้าดูแล้ว 969 ครั้ง
วันที่ ๑๙ พ.ย.๖๕ พี่สาวที่แสนดี จัดเตรียมอาหารสำหรับถวายพระให้เราแต่เช้า เราสองคนพาอาหารไปที่วัดร่วมถวายอาหารแด่พระสงฆ์ หลังจากที่รับพรพระเรียบร้อย เราก็ร่วมทานมื้อเช้าที่วัดไปพร้อมกับญาติธรรม อาหารเยอะมากเรียกว่าเหลือกิน ยิ่งชาวบ้านทราบว่าเราไม่ทานเนื้อสัตว์ ก็จะมีขนม นม เนย ต่าง ๆ แบ่งมาให้เรา ที่เยอะก็คือผักต่าง ๆ กับน้ำพริกอร่อยครับ<br /><br />วันนี้เป้าหมายหลักของเรา ท่านพระอาจารย์บัณฑิตแนะนำให้ไปชมเจดีย์หลวงปู่วัน ซึ่งจะมีอะไรให้เราได้ชมเยอะมาก เรียกว่าอยู่ได้ทั้งวัน ในช่วงเดินทางระหว่างที่พักจนถึงเจดีย์เป้าหมาย เราก็เจอสถานที่อีกหลายที่ ที่เราต้องแวะกันติดตามไปครับ
วันที่ ๑๙ พ.ย.๖๕ พี่สาวที่แสนดี จัดเตรียมอาหารสำหรับถวายพระให้เราแต่เช้า เราสองคนพาอาหารไปที่วัดร่วมถวายอาหารแด่พระสงฆ์ หลังจากที่รับพรพระเรียบร้อย เราก็ร่วมทานมื้อเช้าที่วัดไปพร้อมกับญาติธรรม อาหารเยอะมากเรียกว่าเหลือกิน ยิ่งชาวบ้านทราบว่าเราไม่ทานเนื้อสัตว์ ก็จะมีขนม นม เนย ต่าง ๆ แบ่งมาให้เรา ที่เยอะก็คือผักต่าง ๆ กับน้ำพริกอร่อยครับ

วันนี้เป้าหมายหลักของเรา ท่านพระอาจารย์บัณฑิตแนะนำให้ไปชมเจดีย์หลวงปู่วัน ซึ่งจะมีอะไรให้เราได้ชมเยอะมาก เรียกว่าอยู่ได้ทั้งวัน ในช่วงเดินทางระหว่างที่พักจนถึงเจดีย์เป้าหมาย เราก็เจอสถานที่อีกหลายที่ ที่เราต้องแวะกันติดตามไปครับ
CSC_๑๓.jpg (183.02 KiB) เข้าดูแล้ว 969 ครั้ง
สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และอนุสาวรีย์<br /><br />วัดพระธาตุศรีมงคล ตำบลบ้านธาตุ ริมเส้นทางสายวาริชภูมิ-พังโคน ห่างจากตัวจังหวัด ประมาณ 65 กม. ลักษณะเป็นเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยม ยอดแหลม ตกแต่งด้วยศิลปกรรมยุคใหม่ก่ออิฐถือปูนประดับด้วยลายปั้นดินเผา บริเวณฐานเป็นพุทธประวัติของพระพุทธเจ้าสร้างด้วยดินเผาที่สร้างขึ้นครอบพระธาตุองค์เดิม ซึ่งเป็นศิลาแลงที่ชำรุด การคมนาคมสะดวกรถยนต์สามารถเข้าถึงบริเวณวัด นับเป็นพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองของชาววาริชภูมิ <br /><br />บริเวณที่ตั้งบ้านธาตุแต่เดิมพื้นที่เป็นป่าดง ครั้งแรกได้มีบุคคลกลุ่มหนึ่งมีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่อำเภอวาริชภูมิปัจจุบันนี้ เดิมเรียกว่า &quot; เมืองวารี&quot; มีนายเวียงแก โฮมวงศ์ เป็นหัวหน้า พร้อมด้วยหลวงสุวรรณราช (กะยะ) ต้นตระกูลของสกุล &quot;บุญรักษา&quot; นายจันทะ-เนตร โฮมวงศ์ นายเมืองกาง หัศกรรจ์ หลวงแก้ว (ไม่ทราบนามสกุล) นายบุตราช บุญรักษา และนายจันด้วง แก้วคำแสน ได้พากันออกมาหักร้างถางพงไพร เพื่อทำไร่ แต่พอถางลึกเข้าไปก็พบองค์พระธาตุร้างอยู่ในดง จึงชะงักการถากถาง เพราะกลัวอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของพระธาตุนี้จะลงโทษ <br /><br />ดังนั้นได้จึงนิมนต์ท่านพระครูหลักคำ ประธานสงฆ์เมืองวารี มาพิจารณา ท่านเห็นว่าสถานที่บริเวณนี้เป็นมงคล เหมาะที่จะสร้างหมู่บ้านได้จึงได้พร้อมใจกันถากถางบริเวณพระธาตุร้างนี้พร้อมทั้งได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลแผ่ไปให้แก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่รักษาองค์พระธาตุ และได้สร้างวัดตรงนั้น ท่านพระครูหลักคำได้ตั้งชื่อพระธาตุร้างนั้นว่า &quot;พระธาตุศรีมงคล&quot; ตั้งชื่อวัดว่า &quot;วัดธาตุศรีมงคล&quot; เมื่อประมาณ พ.ศ. 2444 และเรียกหมู่บ้านว่า &quot;บ้านธาตุ&quot; จนปัจจุบันนี้
สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และอนุสาวรีย์

วัดพระธาตุศรีมงคล ตำบลบ้านธาตุ ริมเส้นทางสายวาริชภูมิ-พังโคน ห่างจากตัวจังหวัด ประมาณ 65 กม. ลักษณะเป็นเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยม ยอดแหลม ตกแต่งด้วยศิลปกรรมยุคใหม่ก่ออิฐถือปูนประดับด้วยลายปั้นดินเผา บริเวณฐานเป็นพุทธประวัติของพระพุทธเจ้าสร้างด้วยดินเผาที่สร้างขึ้นครอบพระธาตุองค์เดิม ซึ่งเป็นศิลาแลงที่ชำรุด การคมนาคมสะดวกรถยนต์สามารถเข้าถึงบริเวณวัด นับเป็นพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองของชาววาริชภูมิ

บริเวณที่ตั้งบ้านธาตุแต่เดิมพื้นที่เป็นป่าดง ครั้งแรกได้มีบุคคลกลุ่มหนึ่งมีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่อำเภอวาริชภูมิปัจจุบันนี้ เดิมเรียกว่า " เมืองวารี" มีนายเวียงแก โฮมวงศ์ เป็นหัวหน้า พร้อมด้วยหลวงสุวรรณราช (กะยะ) ต้นตระกูลของสกุล "บุญรักษา" นายจันทะ-เนตร โฮมวงศ์ นายเมืองกาง หัศกรรจ์ หลวงแก้ว (ไม่ทราบนามสกุล) นายบุตราช บุญรักษา และนายจันด้วง แก้วคำแสน ได้พากันออกมาหักร้างถางพงไพร เพื่อทำไร่ แต่พอถางลึกเข้าไปก็พบองค์พระธาตุร้างอยู่ในดง จึงชะงักการถากถาง เพราะกลัวอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของพระธาตุนี้จะลงโทษ

ดังนั้นได้จึงนิมนต์ท่านพระครูหลักคำ ประธานสงฆ์เมืองวารี มาพิจารณา ท่านเห็นว่าสถานที่บริเวณนี้เป็นมงคล เหมาะที่จะสร้างหมู่บ้านได้จึงได้พร้อมใจกันถากถางบริเวณพระธาตุร้างนี้พร้อมทั้งได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลแผ่ไปให้แก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่รักษาองค์พระธาตุ และได้สร้างวัดตรงนั้น ท่านพระครูหลักคำได้ตั้งชื่อพระธาตุร้างนั้นว่า "พระธาตุศรีมงคล" ตั้งชื่อวัดว่า "วัดธาตุศรีมงคล" เมื่อประมาณ พ.ศ. 2444 และเรียกหมู่บ้านว่า "บ้านธาตุ" จนปัจจุบันนี้
CSC_๒๓.jpg (134.59 KiB) เข้าดูแล้ว 969 ครั้ง
ต่อมาได้เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่เมืองวารี ประกอบกับทำเลตั้งบ้านเรือนคับแคบและเป็นที่ลุ่ม หน้าฝนบางครั้งน้ำท่วม ผู้คนจึงได้แยกย้ายอพยพออกไปจากเมืองวารีทางด้านทิศเหนือ ไปอยู่ที่บ้านพังฮอ ทางด้านทิศใต้ไปอยู่ที่บ้านห้วยบาง และทางทิศตะวันออกไปอยู่ที่บ้านธาตุจนถึงปัจจุบันนี้ ส่วนวัดธาตุศรีมงคล ได้มีเจ้าอาวาสปกครองดูแลมาตามลำดับ นับแต่เจ้าอาวาสองค์แรก พ.ศ. 2444 คือท่านพระครูพร ซึ่งเป็นลูกผู้ไทยบ้านธาตุมาจนถึงพระครูศรีเจติยานุ-รักษ์องค์ปัจจุบัน รวมทั้งหมดมี 13 องค์ <br /><br />ส่วนพระธาตุศรีมงคลนั้นสร้างขึ้นในสมัยใดไม่ทราบแน่ชัด ภายในพระธาตุนั้นมีวัตถุโบราณอันล้ำค่ายิ่ง เช่น พระพุทธรูปที่ทำด้วยทองคำบ้าง ทองสัมฤทธิ์บ้าง และทำด้วยวัตถุอย่างอื่นอีกมากมาย จะเห็นได้จากเมื่อพระธาตุสลักหักพังลงมา ชาวบ้านก็ได้รวบรวมโบราณวัตถุเหล่านั้นรักษาไว้ในสถานที่อันสมควร เพื่อการสักการบูชา มีพระพุทธรูปต่าง ๆ จำนวนมาก ต่อมามีผู้แสวงหาวัตถุโบราณขโมยไปบางอย่าง ส่วนที่เหลือก็ได้รวบรวมบรรจุไว้ในองค์พระธาตุทั้งหมด กล่าวกันว่า พระธาตุศรีมงคลนี้ได้สร้างคู่กับพระธาตุดงเชียงเครือ ซึ่งตั้งอยู่ห่างไปทางทิศเหนือประมาณ 500 เมตร สันนิษฐานว่า พะธาตุทั้งสองแห่งนี้ได้สร้างในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ผู้ครองเมืองเวียงจันทน์
ต่อมาได้เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่เมืองวารี ประกอบกับทำเลตั้งบ้านเรือนคับแคบและเป็นที่ลุ่ม หน้าฝนบางครั้งน้ำท่วม ผู้คนจึงได้แยกย้ายอพยพออกไปจากเมืองวารีทางด้านทิศเหนือ ไปอยู่ที่บ้านพังฮอ ทางด้านทิศใต้ไปอยู่ที่บ้านห้วยบาง และทางทิศตะวันออกไปอยู่ที่บ้านธาตุจนถึงปัจจุบันนี้ ส่วนวัดธาตุศรีมงคล ได้มีเจ้าอาวาสปกครองดูแลมาตามลำดับ นับแต่เจ้าอาวาสองค์แรก พ.ศ. 2444 คือท่านพระครูพร ซึ่งเป็นลูกผู้ไทยบ้านธาตุมาจนถึงพระครูศรีเจติยานุ-รักษ์องค์ปัจจุบัน รวมทั้งหมดมี 13 องค์

ส่วนพระธาตุศรีมงคลนั้นสร้างขึ้นในสมัยใดไม่ทราบแน่ชัด ภายในพระธาตุนั้นมีวัตถุโบราณอันล้ำค่ายิ่ง เช่น พระพุทธรูปที่ทำด้วยทองคำบ้าง ทองสัมฤทธิ์บ้าง และทำด้วยวัตถุอย่างอื่นอีกมากมาย จะเห็นได้จากเมื่อพระธาตุสลักหักพังลงมา ชาวบ้านก็ได้รวบรวมโบราณวัตถุเหล่านั้นรักษาไว้ในสถานที่อันสมควร เพื่อการสักการบูชา มีพระพุทธรูปต่าง ๆ จำนวนมาก ต่อมามีผู้แสวงหาวัตถุโบราณขโมยไปบางอย่าง ส่วนที่เหลือก็ได้รวบรวมบรรจุไว้ในองค์พระธาตุทั้งหมด กล่าวกันว่า พระธาตุศรีมงคลนี้ได้สร้างคู่กับพระธาตุดงเชียงเครือ ซึ่งตั้งอยู่ห่างไปทางทิศเหนือประมาณ 500 เมตร สันนิษฐานว่า พะธาตุทั้งสองแห่งนี้ได้สร้างในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ผู้ครองเมืองเวียงจันทน์
CSC_๑๙.jpg (141.26 KiB) เข้าดูแล้ว 969 ครั้ง
CSC_๑๕.jpg
CSC_๑๕.jpg (122.74 KiB) เข้าดูแล้ว 969 ครั้ง
CSC_๑๖.jpg
CSC_๑๖.jpg (107.11 KiB) เข้าดูแล้ว 969 ครั้ง
ออกจากพระธาตุศรีมงคล ชาวบ้านแนะนำให้เราสองคนไปกราบสักการะพ่อปู่มเหศักดิ์ ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาววาริชภูมิ์ ให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก ไม่รอช้าเราก็ไปตามคำแนะนำครับ ก็ไม่ผิดหวังได้ทราบประวัติความเป็นมา ก็เลื่อมใสศรัทธาคนสมัยก่อนไม่ธรรมดาครับ
ออกจากพระธาตุศรีมงคล ชาวบ้านแนะนำให้เราสองคนไปกราบสักการะพ่อปู่มเหศักดิ์ ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาววาริชภูมิ์ ให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก ไม่รอช้าเราก็ไปตามคำแนะนำครับ ก็ไม่ผิดหวังได้ทราบประวัติความเป็นมา ก็เลื่อมใสศรัทธาคนสมัยก่อนไม่ธรรมดาครับ
CSC_๒๔.jpg (83.78 KiB) เข้าดูแล้ว 969 ครั้ง
CSC_๑๗.jpg
CSC_๑๗.jpg (120.68 KiB) เข้าดูแล้ว 969 ครั้ง
CSC_๑๘.jpg
CSC_๑๘.jpg (112.28 KiB) เข้าดูแล้ว 969 ครั้ง
DSC_5374.JPG
DSC_5374.JPG (132.6 KiB) เข้าดูแล้ว 969 ครั้ง
DSC_5381.JPG
DSC_5381.JPG (102.14 KiB) เข้าดูแล้ว 969 ครั้ง
DSC_5399.JPG
DSC_5399.JPG (124.03 KiB) เข้าดูแล้ว 969 ครั้ง
ศาลเจ้าปู่มเหสักข์ @วาริชภูมิ<br /><br />ประวัติศาลเจ้าปู่มเหสักข์ <br /><br />เมื่อชาวผู้ไทยอพยพข้ามโขงเดินทางมาถึงเมืองสกลนคร จึงได้เข้ามาตั้งที่พักชั่วคราวในสนามมิ่งเมืองใกล้ ๆ บ้านเจ้าเมืองสกลนคร โดยมีผู้นำชื่อว่าท้าวราชนิกูลเป็นหัวหน้าควบคุมผู้คนอพยพเข้ามาใน พ.ศ.๒๓๘๗ ในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เป็นสมัยที่ชนกลุ่มเมืองต่าง ๆ ได้เรียกร้องขอตั้งเป็นบ้านเป็นเมืองขึ้นหลายแห่ง ท้าวราชนิกูลซึ่งอดทนมาเป็นเวลาแรมปี จึงขออนุญาตพาไพร่พลออกไปตั้งบ้านเมือง แต่กลับถูกขัดขวางไม่ยอมยกพื้นที่แห่งหนึ่งแห่งใดให้ตั้งเมือง กลับแต่งตั้งให้บุตรท้าวราชนิกูล อีกคนหนึ่งเป็นนายหมวด นายกองควบคุมชาวผู้ไทยแทน  <br /><br />ท้าวราชนิกูลเห็นว่าการเจรจาไม่เป็นผลจึงนำอพยพไพร่พลมุ่งไปทางทิศตะวันตกออกจากเมืองสกลนคร เจ้าเมืองสกลนครได้นำไพร่พลออกขัดขวางแต่ก็ไม่เป็นผล คงนำไพร่พลออกเดินทางไปตั้งบ้านเรือนที่บ้านหนองหอย ใกล้กับที่ตั้งอำเภอวาริชภูมิในปัจจุบัน ใน พ.ศ. ๒๔๑๖ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ชาวไทโย้ย ตั้งเมืองวานรนิวาสได้แล้วการตั้งบ้านเรือนที่บ้านหนองหอยในระยะนั้น ถือว่ายังอยู่ในเขตเมืองสกลนคร และเป็นเมืองที่ยังมิได้รับในตราภูมิอนุญาตให้ตั้งเมือง <br /><br />ด้วยปัญหาดังกล่าวท้าวสุพรหม บุตรท้าวราชนิกูล จึงได้ขอพึ่งบารมีพระพิทักษ์เขตขันธ์เจ้าเมืองหนองหาน ท้าวสุพรหม ได้พาบ่าวไพร่เดินทางไปกรุงเทพฯ เข้าร้องเรียนต่อพระยาภูธราภัย เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองแต่เนื่องจากไม่มีใบบอกของเจ้าเมืองสกลนครก็ไม่อาจนำความขึ้นกราบบังคมทูลได้ ท้าวสุพรหมจึงเดินทางกลับมาและได้รับการยกบ้านป่าเป้าเมืองไพร ในเขตหนองหาน ให้เป็นเมืองของชาวผู้ไทยแทน<br /><br /> ต่อมาเมื่อเกิดศึกฮ่อใน พ.ศ.๒๔๑๘ กองทัพของพระยามหาอำมาติย์ (ชื่น) เดินทัพขึ้นไปที่หนองคาย ท้าวสุพรหมได้คุมเลกไพร่ของตน ๓๐ คน เข้าร่วมกับกองทัพของพระพิทักษ์เขตขันธ์ เจ้าเมืองหนองหาน ในการปราบฮ่อ เมื่อเสร็จศึกฮ่อแล้ว ท้าวสุพรหมได้ทูลขอบ้านผ้าขาวแขวงเมืองสกลนคร เป็นเมืองขึ้น แต่พระยาประจันตประเทศธานีคัดค้าน พระพิทักษ์เขตขันธ์จึงขอตั้งบ้านป่าเป้าเมืองไพร่ เป็นเมืองวาริชภูมิให้ท้าวสุพรหม เป็นพระสุรินทร์บริรักษ์ เจ้าเมืองวาริชภูมิ ขึ้นเมืองหนองหาน <br /><br />เมื่อ พ.ศ.๒๔๒๐ในสมัยกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการหัวเมือง มณฑลอุดรธานี ได้มีคำสั่งให้เมืองวาริชภูมิ โอนมาทำราชการที่เมืองสกลนคร ใน พ.ศ.๒๔๓๕ โดยได้กรมการเมืองวาริชภูมิยังคงตำแหน่งเดิมทุกคน ใน พ.ศ. ๒๔๔๑ (ร.ศ.๑๑๗) ได้ประกาศยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงค์ ราชบุตรมาเป็นตำแหน่งข้าราชการส่วนกลางเช่นปัจจุบัน<br /><br />ชาววาริชภูมิเชื่อในความมีจริงของอิทธิฤทธิ์เจ้าปู่มเหสักข์ของตนว่าสามารถเป็นที่พึ่งในยามคับขันให้ตนได้ ทั้งยังมีเรื่องเล่าสืบเนื่องต่อกันมาช้านานในอิทธิฤทธิ์ของเจ้าปู่ ดังความตอนหนึ่งว่า ในสมัยอดีต ขุนเพายาว เจ้าเมืองน้ำน้อยอ้อยหนู มีบุตรชาย ๒ คน ชื่อเจ้าหุน และเจ้าหาญ ขุนเพายาว ได้ปกครองไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินด้วยความสุข ผู้คนมีมากด้วยทรายหลายดังน้ำ ต่างก็มีอันจะกิน สร้างบ้านแปลงเมือง อยู่มานานหลายปีถึงช่วงระยะหนึ่งบ้านเมืองประสบภาวะฝนแล้ง ข้าวไร่นาเสียหาย เก็บเกี่ยวไม่ได้ผล ประกอบกับความแห้งแล้ง มีติดต่อกันมาหลายปี ขุนเพายาวพร้อมครอบครัว บ่าว นาย ไพร่ จึงได้อพยพลงมาทางใต้ <br /><br />ขบวนเดินทางรอนแรมผ่านป่า ผ่านเขา เป็นเวลาช้านานหลายเดือน เนื่องจากขบวนประกอบด้วยผู้คนจำนวนมาก ขบวนเดินเท้าจึงหยุดพักผ่อนตั้งค่ายพักแล้ว จึงเดินทางต่อเป็นอย่างนี้เรื่อยมา ช่วงเวลาหนึ่งขุนเพายาวได้สั่งให้ขบวนหยุดพัก ตั้งค่ายพัก ณ ที่แห่งหนึ่งด้วยเห็นเป็นทำเลที่เหมาะ และในวันหนึ่งขณะที่ผู้คนต่างออกหาเสบียง เจ้าหาญลูกชายขุนเพายาว ผู้น้อง ยิงกวางตัวหนึ่งจนบาดเจ็บ วิ่งหนีไปได้ เจ้าหาญจึงได้แกะรอยเข้าไปอย่างใกล้ชิด จนไปพบกวางตัวนั้นนอนตายที่หน้าเจ้าหุนผู้เป็นพี่ ต่างฝ่ายต่างเลยเถียงกันว่า กวางตัวนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของตน ต่างฝ่ายโต้เถียงอย่างไม่ละลดไม่ยอมกัน <br /><br />ร้อนถึงขุนเพายาวผู้เป็นบิดาต้องมาช่วยตัดสินปัญหา ขุนเพายาว ตัดสินให้กวางตัวนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าหุน ทำให้เจ้าหาญผู้เป็นน้องเสียใจว่าบิดาไม่รัก ไม่ตั้งอยู่ในสัตย์ เข้าข้างผู้เป็นพี่ชาย ความรู้สึกน้อยใจทำให้เจ้าหาญชักชวนบ่าวไพร่ และผู้รักใคร่พร้อมด้วยครอบครัวอพยพออกจากขบวนของบิดา ไปหาถิ่นที่อยู่ใหม่ปรากฏว่ามีผู้ติดตามไปจำนวนมาก ขบวนอพยพรอนแรมป่าอยู่หลายวัน ผู้คนได้รับความลำบากเป็นอันมาก จึงได้หันไปพึ่งผีฟ้า ซึ่งชาวผู้ไทยนับถือเช่นเดียวกับชาวฮ่อ เจ้าหาญคิดว่าต่อไปข้างหน้าขบวนอพยพของตนอาจได้รับความลำบากได้รับอันตรายตลอดจนอุปสรรคต่าง ๆ อาจถึงมีศึกสงครามเป็นแน่แท้ แต่ก็จนใจที่ชาวผู้ไทยไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเจ้ายึดเหนี่ยว เป็นที่พึ่งทางใจคุ้มภัยให้เลย<br /><br />ครั้นขบวนอพยพมาถึงธารน้ำแห่งหนึ่ง ด้านหลังมีภูเขาใหญ่มีหน้าผาสูงชัน แหงนคอตั้งบ่าเจ้าหาญจึงสั่งให้ขบวนหยุดและตั้งค่ายพักขึ้น และพาไพร่พลจำนวนหนึ่งสร้างศาลขึ้นหลังหนึ่งด้านหลังค่ายพักหน้าผาสูงแห่งนั้นแล้วต่อมาเมื่อเห็นผู้คนหายเหนื่อยแล้ว จึงนำผู้คน บ่าวไพร่ พร้อมใจกันอธิษฐาน อัญเชิญเทพยดาฟ้าดิน เจ้าภูผา เจ้าป่าเจ้าเขา ให้มาสถิตอยู่ ณ ศาลนั้น ขอให้เป็นกำแพงคุ้มกันขบวนของชาวผู้ไทยตลอดไป<br /><br /><br />ครั้นทำพิธีเสร็จได้พร้อมกันหาดอกไม้ธูปเทียนบูชา จัดสำรับกับข้าวคาวหวานเลี้ยงและเรียกชื่อเทพสถิตอยู่ ณ ศาลแห่งนี้ว่า “เจ้าปู่มเหสักข์” ผู้คนในขบวนต่างก็ร่วมฉลองเป็นการใหญ่ขบวนอพยพได้รอนแรมเรื่อยมา ค่ำลง ณ ที่ใดก็ตั้งค่ายพัก เจอที่เหมาะก็พักหลายวัน ตั้งค่ายลงที่ใดก็ตั้งศาลเจ้าปู่ขึ้นไว้ เคารพบูชามิได้ขาด จากนั้นขบวนก็มุ่งลงใต้เรื่อยมา พอถึงฤดูฝนการเดินทางลำบากก็หยุดพักขบวน พอเข้าหน้าแล้งก็ออกเดินทางต่อไป ตกบ่ายวันหนึ่งขบวนอพยพผ่านเข้าไปในป่าใหญ่ อากาศร้อนอบอ้าวมากได้เกิดไฟป่าโดยมิได้คาดฝัน ไฟได้ไหม้ลุกล้อมขบวนทุกด้านอย่างรวดเร็ว ต่างคนต่างจวนตัวไม่รู้ว่าจะไปทางทิศใด เจ้าหาญเห็นจวนตัวนึกอะไรไม่ออกจึงพนมมือตั้งจิตวิงวอนขอความช่วยเหลือต่อเจ้าปู่มเหสักข์ว่า “บัดนี้ลูกหลานได้รับความลำบากยิ่งถึงคราวจวนตัวไฟป่ามาถึงแล้ว ขอบารมีท่านช่วยขจัดปัดเป่าช่วยคุ้มภัยช่วยเป็นกำแพงกันไฟป่าให้ลูกหลานด้วย<br /><br /><br />ท่ามกลางเสียงร้องคร่ำครวญกู่เรียกหา และเสียงกิ่งไม้ถูกไฟป่าเผาผลาญ ปาฏิหารย์ของเจ้าปู่ก็ปรากฏไฟป่าอ่อนตัวลง บ้างก็ดับ บ้างก็เปลี่ยนทิศทาง ไม่นานท้องฟ้าก็แจ่มใสอากาศโปร่งเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก คนทั้งปวงเห็นนิมิตเป็นมงคล เมื่อตั้งค่ายพักแรมในค่ำวันนั้น เจ้าหาญจึงให้จัดพิธีบวงสรวงเจ้าปู่ขึ้น ดังนั้นการเซ่นสรวงสำหรับผู้ตกทุกข์ขอความช่วยเหลือจึงมีมาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อชาวผู้ไทยในสมัยของท้าวสุพรหม ผู้เป็นบุตรของท้าวราชนิกูลได้เป็นเจ้าเมืองคนต่อมา ได้รับพระราชทานทินนามเป็นพระสุรินทร์บริรักษ์และขอพระราชทานเมืองหนองหอยขึ้นเป็นเมืองวาริชภูมิ <br /><br />ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็ได้อัญเชิญเจ้าปู่มเหสักข์ แล้วตั้งศาลเจ้าปู่ขึ้นบริเวณที่ดอนซึ่งเป็นป่ารกทึบ ห่างจากตัวเมืองประมาณ ๑ กิโลเมตร (คือบริเวณบ้านนายสาย ใกล้ฝน ในปัจจุบัน) และใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่จัดพิธีเซ่นสังเวยเจ้าปู่มเหสักข์ทุกปี แต่ศาลเจ้าปู่แห่งนี้ไม่สะดวกสำหรับชาววาริชภูมิ ที่ต้องการไปไหว้เจ้าปู่เพราะเป็นป่ารกทึบ จึงได้สร้างศาลจำลองขึ้นหลังหนึ่งไว้ที่บ้านเจ้าจ้ำ (นายทองเพื่อน เหมะธุลิน) จวบจนสามารถสร้างศาลเจ้าปู่มเหสักข์จากที่ดอนมาประดิษฐานไว้ในที่แห่งนี้<br /><br /><br />ชาวผู้ไทยวาริชภูมิมีความเชื่อในความศักดิ์สิทธิของเจ้าปู่มเหสักข์ว่า นอกจากจะสามารถคุ้มครองป้องกันภัยต่าง ๆ ได้แล้ว การคุ้มครองป้องกันอัคคีภัยไหม้บ้าน เมื่อเกิดเหตุยังสามารถพึ่งบารมีได้อย่างชงัด นอกจากนี้ยังปรากฏนิมิตร่างของเจ้าปู่เป็นสัตว์ต่าง ๆ เช่น เสือลายพาดกลอน งูใหญ่ สุนัขสีขาว หรือปรากฏในความฝันว่าเป็นชายร่างใหญ่ ผิวดำ เสียงดัง มีอำนาจ แต่งกายนักรบโบราณ มือถือดาบ หน้าอิ่มเป็นลักษณะผู้ดี มีสกุลเป็นชั้นเจ้าตามบุคลิกของผู้นำที่สามารถ<br /><br />พิธีกรรม<br /><br />ประเพณีในการทำพิธีเซ่นสังเวยเจ้าปู่มเหสักข์ ในสมัยก่อนมักทำในช่วงเดือนมีนาคมของทุกปี เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ชาวนาเก็บเกี่ยวเสร็จ มีเงินทองจับจ่ายอย่างสะดวก เป็นช่วงเวลาที่เดินทางสะดวกก่อนถึงฤดูฝนและมักจะทำพิธีสามปีต่อครั้ง ดังที่กล่าวกันว่า “สองปีฮาม สามปีคอบ” โดยการเซ่นสังเวยในยุคนั้นเชื่อว่า วัว-ควาย ที่ถึงคราวหมดอายุขัยจะมาตายเองที่ศาลเจ้าปู่ ผู้คนเตรียมเครื่องปรุงอาหารไว้ให้พร้อมเพื่อทำลาบแดง ลาบขาว เนื้อหาบ เนื้อคอน ถวายเจ้าปู่ก่อนหลังจากนั้น ลูกหลานเจ้าปู่จึงบริโภคให้หมดให้สิ้นห้ามนำกลับบ้าน<br /><br /><br />อย่างไรก็ดีพิธีกรรมดังกล่าวในปัจจุบันก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา โดยเฒ่าจ้ำและผู้รับภาระหน้าที่จะจัดเครื่องเซ่นสังเวย อาหารคาว พานบายศรี ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๘ ตามธรรมเนียมเพื่อไหว้เจ้าปู่ ในตอนเช้ามีการแสดง เช่น หมอลำให้ประชาชนชมในช่วงกลางวัน ส่วนในภาคกลางคืนเป็นการชุมนุมพี่น้องลูกหลานชาวผู้ไทย กะป๋องวาริชภูมิ หน้าศาลเจ้าปู่ มีการแสดงฟ้อนรำผู้ไทยกะป๋อง ฟ้อนบายศรีขณะเดียวกันก็จะมีการผูกข้อต่อแขนให้ศีลขอพรจากผู้เฒ่าผู้แก่<br /><br />เครดิตจาก  มหัศจรรย์ดอทคอม
ศาลเจ้าปู่มเหสักข์ @วาริชภูมิ

ประวัติศาลเจ้าปู่มเหสักข์

เมื่อชาวผู้ไทยอพยพข้ามโขงเดินทางมาถึงเมืองสกลนคร จึงได้เข้ามาตั้งที่พักชั่วคราวในสนามมิ่งเมืองใกล้ ๆ บ้านเจ้าเมืองสกลนคร โดยมีผู้นำชื่อว่าท้าวราชนิกูลเป็นหัวหน้าควบคุมผู้คนอพยพเข้ามาใน พ.ศ.๒๓๘๗ ในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เป็นสมัยที่ชนกลุ่มเมืองต่าง ๆ ได้เรียกร้องขอตั้งเป็นบ้านเป็นเมืองขึ้นหลายแห่ง ท้าวราชนิกูลซึ่งอดทนมาเป็นเวลาแรมปี จึงขออนุญาตพาไพร่พลออกไปตั้งบ้านเมือง แต่กลับถูกขัดขวางไม่ยอมยกพื้นที่แห่งหนึ่งแห่งใดให้ตั้งเมือง กลับแต่งตั้งให้บุตรท้าวราชนิกูล อีกคนหนึ่งเป็นนายหมวด นายกองควบคุมชาวผู้ไทยแทน

ท้าวราชนิกูลเห็นว่าการเจรจาไม่เป็นผลจึงนำอพยพไพร่พลมุ่งไปทางทิศตะวันตกออกจากเมืองสกลนคร เจ้าเมืองสกลนครได้นำไพร่พลออกขัดขวางแต่ก็ไม่เป็นผล คงนำไพร่พลออกเดินทางไปตั้งบ้านเรือนที่บ้านหนองหอย ใกล้กับที่ตั้งอำเภอวาริชภูมิในปัจจุบัน ใน พ.ศ. ๒๔๑๖ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ชาวไทโย้ย ตั้งเมืองวานรนิวาสได้แล้วการตั้งบ้านเรือนที่บ้านหนองหอยในระยะนั้น ถือว่ายังอยู่ในเขตเมืองสกลนคร และเป็นเมืองที่ยังมิได้รับในตราภูมิอนุญาตให้ตั้งเมือง

ด้วยปัญหาดังกล่าวท้าวสุพรหม บุตรท้าวราชนิกูล จึงได้ขอพึ่งบารมีพระพิทักษ์เขตขันธ์เจ้าเมืองหนองหาน ท้าวสุพรหม ได้พาบ่าวไพร่เดินทางไปกรุงเทพฯ เข้าร้องเรียนต่อพระยาภูธราภัย เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองแต่เนื่องจากไม่มีใบบอกของเจ้าเมืองสกลนครก็ไม่อาจนำความขึ้นกราบบังคมทูลได้ ท้าวสุพรหมจึงเดินทางกลับมาและได้รับการยกบ้านป่าเป้าเมืองไพร ในเขตหนองหาน ให้เป็นเมืองของชาวผู้ไทยแทน

ต่อมาเมื่อเกิดศึกฮ่อใน พ.ศ.๒๔๑๘ กองทัพของพระยามหาอำมาติย์ (ชื่น) เดินทัพขึ้นไปที่หนองคาย ท้าวสุพรหมได้คุมเลกไพร่ของตน ๓๐ คน เข้าร่วมกับกองทัพของพระพิทักษ์เขตขันธ์ เจ้าเมืองหนองหาน ในการปราบฮ่อ เมื่อเสร็จศึกฮ่อแล้ว ท้าวสุพรหมได้ทูลขอบ้านผ้าขาวแขวงเมืองสกลนคร เป็นเมืองขึ้น แต่พระยาประจันตประเทศธานีคัดค้าน พระพิทักษ์เขตขันธ์จึงขอตั้งบ้านป่าเป้าเมืองไพร่ เป็นเมืองวาริชภูมิให้ท้าวสุพรหม เป็นพระสุรินทร์บริรักษ์ เจ้าเมืองวาริชภูมิ ขึ้นเมืองหนองหาน

เมื่อ พ.ศ.๒๔๒๐ในสมัยกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการหัวเมือง มณฑลอุดรธานี ได้มีคำสั่งให้เมืองวาริชภูมิ โอนมาทำราชการที่เมืองสกลนคร ใน พ.ศ.๒๔๓๕ โดยได้กรมการเมืองวาริชภูมิยังคงตำแหน่งเดิมทุกคน ใน พ.ศ. ๒๔๔๑ (ร.ศ.๑๑๗) ได้ประกาศยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงค์ ราชบุตรมาเป็นตำแหน่งข้าราชการส่วนกลางเช่นปัจจุบัน

ชาววาริชภูมิเชื่อในความมีจริงของอิทธิฤทธิ์เจ้าปู่มเหสักข์ของตนว่าสามารถเป็นที่พึ่งในยามคับขันให้ตนได้ ทั้งยังมีเรื่องเล่าสืบเนื่องต่อกันมาช้านานในอิทธิฤทธิ์ของเจ้าปู่ ดังความตอนหนึ่งว่า ในสมัยอดีต ขุนเพายาว เจ้าเมืองน้ำน้อยอ้อยหนู มีบุตรชาย ๒ คน ชื่อเจ้าหุน และเจ้าหาญ ขุนเพายาว ได้ปกครองไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินด้วยความสุข ผู้คนมีมากด้วยทรายหลายดังน้ำ ต่างก็มีอันจะกิน สร้างบ้านแปลงเมือง อยู่มานานหลายปีถึงช่วงระยะหนึ่งบ้านเมืองประสบภาวะฝนแล้ง ข้าวไร่นาเสียหาย เก็บเกี่ยวไม่ได้ผล ประกอบกับความแห้งแล้ง มีติดต่อกันมาหลายปี ขุนเพายาวพร้อมครอบครัว บ่าว นาย ไพร่ จึงได้อพยพลงมาทางใต้

ขบวนเดินทางรอนแรมผ่านป่า ผ่านเขา เป็นเวลาช้านานหลายเดือน เนื่องจากขบวนประกอบด้วยผู้คนจำนวนมาก ขบวนเดินเท้าจึงหยุดพักผ่อนตั้งค่ายพักแล้ว จึงเดินทางต่อเป็นอย่างนี้เรื่อยมา ช่วงเวลาหนึ่งขุนเพายาวได้สั่งให้ขบวนหยุดพัก ตั้งค่ายพัก ณ ที่แห่งหนึ่งด้วยเห็นเป็นทำเลที่เหมาะ และในวันหนึ่งขณะที่ผู้คนต่างออกหาเสบียง เจ้าหาญลูกชายขุนเพายาว ผู้น้อง ยิงกวางตัวหนึ่งจนบาดเจ็บ วิ่งหนีไปได้ เจ้าหาญจึงได้แกะรอยเข้าไปอย่างใกล้ชิด จนไปพบกวางตัวนั้นนอนตายที่หน้าเจ้าหุนผู้เป็นพี่ ต่างฝ่ายต่างเลยเถียงกันว่า กวางตัวนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของตน ต่างฝ่ายโต้เถียงอย่างไม่ละลดไม่ยอมกัน

ร้อนถึงขุนเพายาวผู้เป็นบิดาต้องมาช่วยตัดสินปัญหา ขุนเพายาว ตัดสินให้กวางตัวนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าหุน ทำให้เจ้าหาญผู้เป็นน้องเสียใจว่าบิดาไม่รัก ไม่ตั้งอยู่ในสัตย์ เข้าข้างผู้เป็นพี่ชาย ความรู้สึกน้อยใจทำให้เจ้าหาญชักชวนบ่าวไพร่ และผู้รักใคร่พร้อมด้วยครอบครัวอพยพออกจากขบวนของบิดา ไปหาถิ่นที่อยู่ใหม่ปรากฏว่ามีผู้ติดตามไปจำนวนมาก ขบวนอพยพรอนแรมป่าอยู่หลายวัน ผู้คนได้รับความลำบากเป็นอันมาก จึงได้หันไปพึ่งผีฟ้า ซึ่งชาวผู้ไทยนับถือเช่นเดียวกับชาวฮ่อ เจ้าหาญคิดว่าต่อไปข้างหน้าขบวนอพยพของตนอาจได้รับความลำบากได้รับอันตรายตลอดจนอุปสรรคต่าง ๆ อาจถึงมีศึกสงครามเป็นแน่แท้ แต่ก็จนใจที่ชาวผู้ไทยไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเจ้ายึดเหนี่ยว เป็นที่พึ่งทางใจคุ้มภัยให้เลย

ครั้นขบวนอพยพมาถึงธารน้ำแห่งหนึ่ง ด้านหลังมีภูเขาใหญ่มีหน้าผาสูงชัน แหงนคอตั้งบ่าเจ้าหาญจึงสั่งให้ขบวนหยุดและตั้งค่ายพักขึ้น และพาไพร่พลจำนวนหนึ่งสร้างศาลขึ้นหลังหนึ่งด้านหลังค่ายพักหน้าผาสูงแห่งนั้นแล้วต่อมาเมื่อเห็นผู้คนหายเหนื่อยแล้ว จึงนำผู้คน บ่าวไพร่ พร้อมใจกันอธิษฐาน อัญเชิญเทพยดาฟ้าดิน เจ้าภูผา เจ้าป่าเจ้าเขา ให้มาสถิตอยู่ ณ ศาลนั้น ขอให้เป็นกำแพงคุ้มกันขบวนของชาวผู้ไทยตลอดไป


ครั้นทำพิธีเสร็จได้พร้อมกันหาดอกไม้ธูปเทียนบูชา จัดสำรับกับข้าวคาวหวานเลี้ยงและเรียกชื่อเทพสถิตอยู่ ณ ศาลแห่งนี้ว่า “เจ้าปู่มเหสักข์” ผู้คนในขบวนต่างก็ร่วมฉลองเป็นการใหญ่ขบวนอพยพได้รอนแรมเรื่อยมา ค่ำลง ณ ที่ใดก็ตั้งค่ายพัก เจอที่เหมาะก็พักหลายวัน ตั้งค่ายลงที่ใดก็ตั้งศาลเจ้าปู่ขึ้นไว้ เคารพบูชามิได้ขาด จากนั้นขบวนก็มุ่งลงใต้เรื่อยมา พอถึงฤดูฝนการเดินทางลำบากก็หยุดพักขบวน พอเข้าหน้าแล้งก็ออกเดินทางต่อไป ตกบ่ายวันหนึ่งขบวนอพยพผ่านเข้าไปในป่าใหญ่ อากาศร้อนอบอ้าวมากได้เกิดไฟป่าโดยมิได้คาดฝัน ไฟได้ไหม้ลุกล้อมขบวนทุกด้านอย่างรวดเร็ว ต่างคนต่างจวนตัวไม่รู้ว่าจะไปทางทิศใด เจ้าหาญเห็นจวนตัวนึกอะไรไม่ออกจึงพนมมือตั้งจิตวิงวอนขอความช่วยเหลือต่อเจ้าปู่มเหสักข์ว่า “บัดนี้ลูกหลานได้รับความลำบากยิ่งถึงคราวจวนตัวไฟป่ามาถึงแล้ว ขอบารมีท่านช่วยขจัดปัดเป่าช่วยคุ้มภัยช่วยเป็นกำแพงกันไฟป่าให้ลูกหลานด้วย


ท่ามกลางเสียงร้องคร่ำครวญกู่เรียกหา และเสียงกิ่งไม้ถูกไฟป่าเผาผลาญ ปาฏิหารย์ของเจ้าปู่ก็ปรากฏไฟป่าอ่อนตัวลง บ้างก็ดับ บ้างก็เปลี่ยนทิศทาง ไม่นานท้องฟ้าก็แจ่มใสอากาศโปร่งเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก คนทั้งปวงเห็นนิมิตเป็นมงคล เมื่อตั้งค่ายพักแรมในค่ำวันนั้น เจ้าหาญจึงให้จัดพิธีบวงสรวงเจ้าปู่ขึ้น ดังนั้นการเซ่นสรวงสำหรับผู้ตกทุกข์ขอความช่วยเหลือจึงมีมาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อชาวผู้ไทยในสมัยของท้าวสุพรหม ผู้เป็นบุตรของท้าวราชนิกูลได้เป็นเจ้าเมืองคนต่อมา ได้รับพระราชทานทินนามเป็นพระสุรินทร์บริรักษ์และขอพระราชทานเมืองหนองหอยขึ้นเป็นเมืองวาริชภูมิ

ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็ได้อัญเชิญเจ้าปู่มเหสักข์ แล้วตั้งศาลเจ้าปู่ขึ้นบริเวณที่ดอนซึ่งเป็นป่ารกทึบ ห่างจากตัวเมืองประมาณ ๑ กิโลเมตร (คือบริเวณบ้านนายสาย ใกล้ฝน ในปัจจุบัน) และใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่จัดพิธีเซ่นสังเวยเจ้าปู่มเหสักข์ทุกปี แต่ศาลเจ้าปู่แห่งนี้ไม่สะดวกสำหรับชาววาริชภูมิ ที่ต้องการไปไหว้เจ้าปู่เพราะเป็นป่ารกทึบ จึงได้สร้างศาลจำลองขึ้นหลังหนึ่งไว้ที่บ้านเจ้าจ้ำ (นายทองเพื่อน เหมะธุลิน) จวบจนสามารถสร้างศาลเจ้าปู่มเหสักข์จากที่ดอนมาประดิษฐานไว้ในที่แห่งนี้


ชาวผู้ไทยวาริชภูมิมีความเชื่อในความศักดิ์สิทธิของเจ้าปู่มเหสักข์ว่า นอกจากจะสามารถคุ้มครองป้องกันภัยต่าง ๆ ได้แล้ว การคุ้มครองป้องกันอัคคีภัยไหม้บ้าน เมื่อเกิดเหตุยังสามารถพึ่งบารมีได้อย่างชงัด นอกจากนี้ยังปรากฏนิมิตร่างของเจ้าปู่เป็นสัตว์ต่าง ๆ เช่น เสือลายพาดกลอน งูใหญ่ สุนัขสีขาว หรือปรากฏในความฝันว่าเป็นชายร่างใหญ่ ผิวดำ เสียงดัง มีอำนาจ แต่งกายนักรบโบราณ มือถือดาบ หน้าอิ่มเป็นลักษณะผู้ดี มีสกุลเป็นชั้นเจ้าตามบุคลิกของผู้นำที่สามารถ

พิธีกรรม

ประเพณีในการทำพิธีเซ่นสังเวยเจ้าปู่มเหสักข์ ในสมัยก่อนมักทำในช่วงเดือนมีนาคมของทุกปี เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ชาวนาเก็บเกี่ยวเสร็จ มีเงินทองจับจ่ายอย่างสะดวก เป็นช่วงเวลาที่เดินทางสะดวกก่อนถึงฤดูฝนและมักจะทำพิธีสามปีต่อครั้ง ดังที่กล่าวกันว่า “สองปีฮาม สามปีคอบ” โดยการเซ่นสังเวยในยุคนั้นเชื่อว่า วัว-ควาย ที่ถึงคราวหมดอายุขัยจะมาตายเองที่ศาลเจ้าปู่ ผู้คนเตรียมเครื่องปรุงอาหารไว้ให้พร้อมเพื่อทำลาบแดง ลาบขาว เนื้อหาบ เนื้อคอน ถวายเจ้าปู่ก่อนหลังจากนั้น ลูกหลานเจ้าปู่จึงบริโภคให้หมดให้สิ้นห้ามนำกลับบ้าน


อย่างไรก็ดีพิธีกรรมดังกล่าวในปัจจุบันก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา โดยเฒ่าจ้ำและผู้รับภาระหน้าที่จะจัดเครื่องเซ่นสังเวย อาหารคาว พานบายศรี ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๘ ตามธรรมเนียมเพื่อไหว้เจ้าปู่ ในตอนเช้ามีการแสดง เช่น หมอลำให้ประชาชนชมในช่วงกลางวัน ส่วนในภาคกลางคืนเป็นการชุมนุมพี่น้องลูกหลานชาวผู้ไทย กะป๋องวาริชภูมิ หน้าศาลเจ้าปู่ มีการแสดงฟ้อนรำผู้ไทยกะป๋อง ฟ้อนบายศรีขณะเดียวกันก็จะมีการผูกข้อต่อแขนให้ศีลขอพรจากผู้เฒ่าผู้แก่

เครดิตจาก มหัศจรรย์ดอทคอม
CSC_๑๙.jpg (143.61 KiB) เข้าดูแล้ว 969 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4365
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D เราออกจาก อ.วาริชภูมิ มุ่งหน้าสู่เจดีย์หลวงปู่ วัน ฯ ช่วงที่ขับรถไปเรื่อย ๆ บังเอิญสายตาผมไปเห็นป้ายบอกว่า "สถานที่ จิตร ภูมิศักดิ์ เสียชีวิต" มีหรือครับที่ผมจะเลยผ่าน มันเป็นไปไม่ได้ ผมชื่นชมและติดตามผลงานของจิตร ภูมิศักดิ์ และนับถือน้ำใจของเขามาก ๆ เมื่อครั้งที่ผมต้อง ต่อสู้อยู่กับ ผกค.ผมเจอเพื่อนผมหลาย ๆ คนที่หนีเข้าป่า เราเจอกันมีโอกาสคุยกัน ผมได้รู้ความจริงหลาย ๆ เรื่อง ที่ต้องยอมรับ แต่ด้วยหน้าที่ต่างกัน ก็สัญญากัน "หน้าที่ใครหน้าที่มัน" ยากที่จะพูดครับ "ฆ่ากันทำไม คนไทยเหมือนกัน" :( :(

:) :D สถานที่เสียชีวิต ของ "จิตร ภูมิศักดิ์" :) :D


:) :D “จิตร ภูมิศักดิ์” ชีวิต และ ผลงาน :) :D
ไฟล์แนบ
DSC_5414.JPG
DSC_5414.JPG (105.49 KiB) เข้าดูแล้ว 969 ครั้ง
DSC_5415.JPG
DSC_5415.JPG (111.35 KiB) เข้าดูแล้ว 969 ครั้ง
DSC_5417.JPG
DSC_5418.JPG
DSC_5418.JPG (109.49 KiB) เข้าดูแล้ว 969 ครั้ง
DSC_5446.JPG
DSC_5459.JPG
DSC_5459.JPG (96.5 KiB) เข้าดูแล้ว 969 ครั้ง
DSC_5484.JPG
DSC_5484.JPG (120.5 KiB) เข้าดูแล้ว 969 ครั้ง
CSC_๒๖.JPG
CSC_๒๖.JPG (67.87 KiB) เข้าดูแล้ว 969 ครั้ง
CSC_๒๗.jpg
CSC_๒๗.jpg (184.22 KiB) เข้าดูแล้ว 969 ครั้ง
CSC_๒๘.jpg
CSC_๒๘.jpg (223.42 KiB) เข้าดูแล้ว 969 ครั้ง
IMG20221119100805.jpg
IMG20221119100912.jpg
IMG20221119100926.jpg
IMG20221119100113.jpg
จิตร ภูมิศักดิ์<br /><br />จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี<br /><br />จิตร ภูมิศักดิ์ เกิด 25 กันยายน พ.ศ. 2473<br />จังหวัดปราจีนบุรี ประเทศสยาม<br />เสียชีวิต	5 พฤษภาคม พ.ศ. 2509 (35 ปี)<br />อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร ประเทศไทย<br /><br />สาเหตุเสียชีวิต	ถูกล้อมยิง<br />ชื่ออื่น	สหายปรีชา<br />ศิษย์เก่า	คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  อาชีพ	นักเขียน, อาจารย์, นักประวัติศาสตร์, นักภาษาศาสตร์, นักกิจกรรม<br /><br />ผลงานเด่น  โฉมหน้าศักดินาไทยความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ<br /><br />พรรคการเมือง	พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พ.ศ. 2508–2509)<br />ถูกกล่าวหา	กระทำการเป็นคอมมิวนิสต์<br />สถานะทางคดี	ถูกคุมขังก่อนพิจารณาคดี และยกฟ้อง<br /><br />บิดามารดา	ศิริ ภูมิศักดิ์ (บิดา) แสงเงิน ฉายาวงศ์ (มารดา)<br /><br />จิตรเป็นนักวิชาการคนแรก ๆ ที่กล้าถกเถียงคัดค้านปราชญ์คนสำคัญ ด้วยวิธีคิดที่มีเหตุผลลุ่มลึก มีความโดดเด่นจากผลงานการค้นคว้าทางวิชาการที่แปลกใหม่และลึกซึ้ง ขณะเดียวกันจิตรยังมีความคิดต่อต้านระบบเผด็จการและการใช้อำนาจกดขี่ของชนชั้นสูงมาโดยตลอด[2]<br /><br />แม้ว่าจะมีผลงานหลากหลายแขนง แต่อุดมการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจของเขาเป็นปรปักษ์กับระบอบทหารที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างเข้มข้นในเวลานั้น จนทำให้ตัดสินใจไปเข้าร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ก่อนถูกยิงเสียชีวิต กระนั้นผลงานและแนวคิดของเขาเป็นส่วนหนึ่งของพลังผลักดันให้เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา[3] และยังมีอิทธิพลอยู่เรื่อยมา<br /><br />จิตรเป็นบุตรของศิริ ภูมิศักดิ์ กับแสงเงิน ฉายาวงศ์[4] มีชื่อเดิมว่า สมจิตร ภูมิศักดิ์ แต่ต่อมาเปลี่ยนเป็น จิตร เพียงคำเดียว ตามนโยบายตั้งชื่อให้ระบุเพศชายหญิงอย่างชัดเจน ของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม[5] บิดาเป็นผู้มีความคิดก้าวหน้าและถือว่าหัวสมัยใหม่มากสำหรับคนในยุคนั้น มีการรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ จากต่างประเทศเข้ามาใช้ เป็นผลทำให้ความคิดของผู้เป็นบุตรมีความก้าวหน้าและเปิดกว้างมากกว่าเด็กในสมัยนั้น[5]<br /><br />พ.ศ. 2479 จิตรติดตามบิดา ซึ่งรับราชการเป็นนายตรวจสรรพสามิต เดินทางไปรับราชการยังจังหวัดกาญจนบุรี และเข้ารับการศึกษาชั้นประถมที่โรงเรียนประจำจังหวัดกาญจนบุรี จนถึงปี พ.ศ. 2482 จิตรย้ายมาอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ อีก 7 เดือนบิดาก็ได้รับคำสั่งย้ายไปรับราชการในเมืองพระตะบอง (ปัจจุบันอยู่ในประเทศกัมพูชา) จิตรจึงย้ายตามไปด้วย และได้เข้าศึกษาชั้นมัธยมที่นั้น<br /><br />พ.ศ. 2490 ประเทศไทยเสียพระตะบองให้ฝรั่งเศส จิตรจึงอพยพตามมารดากลับไทย ระหว่างที่ครอบครัวเขายังอยู่ที่เมืองพระตะบอง มารดาเดินทางไปค้าขายที่จังหวัดลพบุรี ขณะที่จิตรและพี่สาว เดินทางมาศึกษาต่อในกรุงเทพมหานคร โดยจิตรเข้าเรียนที่โรงเรียนเบญจมบพิตร (โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตรในปัจจุบัน) และสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในที่สุด<br /><br />จิตร เคยคบหากับเวียน เกิดผล ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม แล้วใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอยู่นาน แต่ก็เลิกรากันไป โดยไม่ได้แต่งงานกัน[6]<br /><br />การเคลื่อนไหวทางการเมือง<br />จิตรเริ่มเป็นที่รู้จักจากกรณี &quot;โยนบก&quot; เมื่อครั้งที่เขาเป็นสาราณียากรให้กับหนังสือประจำปีของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2496 ในครั้งนั้นเขาเปลี่ยนเนื้อหาของหนังสือโดยลงบทความสะท้อนปัญหาสังคม ประณามผู้เอารัดเอาเปรียบในสังคม ระหว่างการพิมพ์หนังสือได้ถูกตำรวจสันติบาลอายัด และมีการสอบสวนจิตรที่หอประชุมใหญ่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในเหตุการณ์นั้น จิตรถูกกลุ่มนิสิตที่นำโดยนายสีหเดช บุนนาค คณะวิศวกรรมศาสตร์ จับโยนบกลงจากเวทีหอประชุม ทำให้จิตรได้รับบาดเจ็บต้องเข้าโรงพยาบาลและพักรักษาตัวอยู่หลายวัน ต่อมาทางมหาวิทยาลัยได้ตั้งคณะกรรมการพิจารณาโทษและมีมติให้จิตรถูกพักการเรียนเป็นเวลา 1 ปี คือในปี พ.ศ. 2497[7]<br /><br />ระหว่างถูกพักการเรียน จิตรได้ไปสอนวิชาภาษาไทยที่โรงเรียนอินทร์ศึกษา แต่สอนได้ไม่นานก็ถูกไล่ออก เนื่องจากถูกกล่าวหาว่ามีหัวก้าวหน้ามากเกินไป จิตรจึงไปทำงานกับหนังสือพิมพ์ไทยใหม่ ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เอง ที่จิตรได้สร้างสรรค์ผลงานการวิจารณ์ที่มีคุณค่าต่อวงวิชาการไทยหลายเรื่อง เช่น การวิจารณ์วรรณศิลป์ วิจารณ์หนังสือ วิจารณ์ภาพยนตร์ โดยใช้นามปากกา &quot;บุ๊คแมน&quot; และ &quot;มูฟวี่แมน&quot;[5]<br /><br />ในงานเขียน โฉมหน้าศักดินาไทย จิตรใช้วิธีวิเคราะห์แบบวัตถุนิยมทางประวัติศาสตร์ในสำนักลัทธิมากซ์[8][9]<br /><br />ปี พ.ศ. 2498 เขากลับเข้าเรียนอีกครั้งและสำเร็จปริญญาอักษรศาสตร์บัณฑิตในปี พ.ศ. 2500 จากนั้นก็เข้าเป็นอาจารย์ที่&quot;วิทยาลัยเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์&quot; และศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่วิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร[10]<br /><br />จิตรถูกจับเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ในข้อหากระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์ โดยมีการนำตัวไปคุมขังหลายที่ และย้ายไปขังที่คุกลาดยาวใน พ.ศ. 2503[11] วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2506 อัยการศาลทหารกรุงเทพฯ ยื่นฟ้องจิตรตามพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ. 2495 ในคดีนี้ผู้พิพากษาให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลได้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมในโอกาสครบรอบ 25 พุทธศตวรรษ พ.ศ. 2499 ไปแล้ว การฟ้องคดีดังกล่าวเป็นการฟ้องคดีซ้ำซึ่งขัดต่อหลักการพื้นฐานของกฎหมาย ศาลทหารยกฟ้องและมีคำสั่งปล่อยตัวจิตรเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2507[12]<br /><br />เนื่องจากเขาถูกติดตามคุกคามจากทางการและเจ้าหน้าที่บ้านเมืองอย่างหนักทำให้เดือนตุลาคม พ.ศ. 2508 จิตรได้เดินทางสู่ชนบทภาคอีสาน เพื่อเข้าร่วมต่อสู้กับการปกครองด้วยระบบทหาร ในนาม สหายปรีชา เมื่อ พ.ศ. 2508 ต่อมาด้วยการคุกคามจากอำนาจรัฐ จิตรถูกอดีตกำนันตำบลคำบ่อ อาสาสมัคร และทหาร ล้อมยิงจนเสียชีวิตที่ทุ่งนากลางป่าละเมาะในบ้านหนองกุง ตำบลคำบ่อ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2509[13]<br /><br />จากแนวคิดและอิทธิพลของเขาทำให้บ้างมีการเรียกเขาว่าเป็น &quot;เช เกบาราเมืองไทย&quot;[14]<br /><br />ผลงานเขียน<br />จิตรมีความสามารถในด้านภาษาศาสตร์และนิรุกติศาสตร์อย่างมาก และยังมีความสามารถระดับสูงในด้านอื่น ๆ เช่น ประวัติศาสตร์ ถือว่าเป็นอัจฉริยะบุคคลของไทยคนหนึ่ง ในด้านภาษาศาสตร์นั้น จิตรมีความเชี่ยวชาญในภาษาฝรั่งเศส ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษาเขมร โดยเฉพาะภาษาเขมรนั้น จิตรมีความเชี่ยวชาญทั้งภาษาเขมรปัจจุบันและภาษาเขมรโบราณด้วย นอกจากนี้ จิตรได้เขียนพจนานุกรม&quot;ภาษาละหุ&quot; (มูเซอ) โดยเรียนรู้กับชาวมูเซอขณะอยู่ในคุกลาดยาว<br /><br />ผลงาน 3 รายการของเขาได้รับยกย่องเป็น หนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน ประกอบด้วย โฉมหน้าของศักดินาไทยในปัจจุบัน (2500), ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ และ บทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์
จิตร ภูมิศักดิ์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

จิตร ภูมิศักดิ์ เกิด 25 กันยายน พ.ศ. 2473
จังหวัดปราจีนบุรี ประเทศสยาม
เสียชีวิต 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2509 (35 ปี)
อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร ประเทศไทย

สาเหตุเสียชีวิต ถูกล้อมยิง
ชื่ออื่น สหายปรีชา
ศิษย์เก่า คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาชีพ นักเขียน, อาจารย์, นักประวัติศาสตร์, นักภาษาศาสตร์, นักกิจกรรม

ผลงานเด่น โฉมหน้าศักดินาไทยความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ

พรรคการเมือง พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พ.ศ. 2508–2509)
ถูกกล่าวหา กระทำการเป็นคอมมิวนิสต์
สถานะทางคดี ถูกคุมขังก่อนพิจารณาคดี และยกฟ้อง

บิดามารดา ศิริ ภูมิศักดิ์ (บิดา) แสงเงิน ฉายาวงศ์ (มารดา)

จิตรเป็นนักวิชาการคนแรก ๆ ที่กล้าถกเถียงคัดค้านปราชญ์คนสำคัญ ด้วยวิธีคิดที่มีเหตุผลลุ่มลึก มีความโดดเด่นจากผลงานการค้นคว้าทางวิชาการที่แปลกใหม่และลึกซึ้ง ขณะเดียวกันจิตรยังมีความคิดต่อต้านระบบเผด็จการและการใช้อำนาจกดขี่ของชนชั้นสูงมาโดยตลอด[2]

แม้ว่าจะมีผลงานหลากหลายแขนง แต่อุดมการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจของเขาเป็นปรปักษ์กับระบอบทหารที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างเข้มข้นในเวลานั้น จนทำให้ตัดสินใจไปเข้าร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ก่อนถูกยิงเสียชีวิต กระนั้นผลงานและแนวคิดของเขาเป็นส่วนหนึ่งของพลังผลักดันให้เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา[3] และยังมีอิทธิพลอยู่เรื่อยมา

จิตรเป็นบุตรของศิริ ภูมิศักดิ์ กับแสงเงิน ฉายาวงศ์[4] มีชื่อเดิมว่า สมจิตร ภูมิศักดิ์ แต่ต่อมาเปลี่ยนเป็น จิตร เพียงคำเดียว ตามนโยบายตั้งชื่อให้ระบุเพศชายหญิงอย่างชัดเจน ของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม[5] บิดาเป็นผู้มีความคิดก้าวหน้าและถือว่าหัวสมัยใหม่มากสำหรับคนในยุคนั้น มีการรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ จากต่างประเทศเข้ามาใช้ เป็นผลทำให้ความคิดของผู้เป็นบุตรมีความก้าวหน้าและเปิดกว้างมากกว่าเด็กในสมัยนั้น[5]

พ.ศ. 2479 จิตรติดตามบิดา ซึ่งรับราชการเป็นนายตรวจสรรพสามิต เดินทางไปรับราชการยังจังหวัดกาญจนบุรี และเข้ารับการศึกษาชั้นประถมที่โรงเรียนประจำจังหวัดกาญจนบุรี จนถึงปี พ.ศ. 2482 จิตรย้ายมาอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ อีก 7 เดือนบิดาก็ได้รับคำสั่งย้ายไปรับราชการในเมืองพระตะบอง (ปัจจุบันอยู่ในประเทศกัมพูชา) จิตรจึงย้ายตามไปด้วย และได้เข้าศึกษาชั้นมัธยมที่นั้น

พ.ศ. 2490 ประเทศไทยเสียพระตะบองให้ฝรั่งเศส จิตรจึงอพยพตามมารดากลับไทย ระหว่างที่ครอบครัวเขายังอยู่ที่เมืองพระตะบอง มารดาเดินทางไปค้าขายที่จังหวัดลพบุรี ขณะที่จิตรและพี่สาว เดินทางมาศึกษาต่อในกรุงเทพมหานคร โดยจิตรเข้าเรียนที่โรงเรียนเบญจมบพิตร (โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตรในปัจจุบัน) และสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในที่สุด

จิตร เคยคบหากับเวียน เกิดผล ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม แล้วใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอยู่นาน แต่ก็เลิกรากันไป โดยไม่ได้แต่งงานกัน[6]

การเคลื่อนไหวทางการเมือง
จิตรเริ่มเป็นที่รู้จักจากกรณี "โยนบก" เมื่อครั้งที่เขาเป็นสาราณียากรให้กับหนังสือประจำปีของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2496 ในครั้งนั้นเขาเปลี่ยนเนื้อหาของหนังสือโดยลงบทความสะท้อนปัญหาสังคม ประณามผู้เอารัดเอาเปรียบในสังคม ระหว่างการพิมพ์หนังสือได้ถูกตำรวจสันติบาลอายัด และมีการสอบสวนจิตรที่หอประชุมใหญ่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในเหตุการณ์นั้น จิตรถูกกลุ่มนิสิตที่นำโดยนายสีหเดช บุนนาค คณะวิศวกรรมศาสตร์ จับโยนบกลงจากเวทีหอประชุม ทำให้จิตรได้รับบาดเจ็บต้องเข้าโรงพยาบาลและพักรักษาตัวอยู่หลายวัน ต่อมาทางมหาวิทยาลัยได้ตั้งคณะกรรมการพิจารณาโทษและมีมติให้จิตรถูกพักการเรียนเป็นเวลา 1 ปี คือในปี พ.ศ. 2497[7]

ระหว่างถูกพักการเรียน จิตรได้ไปสอนวิชาภาษาไทยที่โรงเรียนอินทร์ศึกษา แต่สอนได้ไม่นานก็ถูกไล่ออก เนื่องจากถูกกล่าวหาว่ามีหัวก้าวหน้ามากเกินไป จิตรจึงไปทำงานกับหนังสือพิมพ์ไทยใหม่ ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เอง ที่จิตรได้สร้างสรรค์ผลงานการวิจารณ์ที่มีคุณค่าต่อวงวิชาการไทยหลายเรื่อง เช่น การวิจารณ์วรรณศิลป์ วิจารณ์หนังสือ วิจารณ์ภาพยนตร์ โดยใช้นามปากกา "บุ๊คแมน" และ "มูฟวี่แมน"[5]

ในงานเขียน โฉมหน้าศักดินาไทย จิตรใช้วิธีวิเคราะห์แบบวัตถุนิยมทางประวัติศาสตร์ในสำนักลัทธิมากซ์[8][9]

ปี พ.ศ. 2498 เขากลับเข้าเรียนอีกครั้งและสำเร็จปริญญาอักษรศาสตร์บัณฑิตในปี พ.ศ. 2500 จากนั้นก็เข้าเป็นอาจารย์ที่"วิทยาลัยเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์" และศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่วิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร[10]

จิตรถูกจับเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ในข้อหากระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์ โดยมีการนำตัวไปคุมขังหลายที่ และย้ายไปขังที่คุกลาดยาวใน พ.ศ. 2503[11] วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2506 อัยการศาลทหารกรุงเทพฯ ยื่นฟ้องจิตรตามพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ. 2495 ในคดีนี้ผู้พิพากษาให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลได้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมในโอกาสครบรอบ 25 พุทธศตวรรษ พ.ศ. 2499 ไปแล้ว การฟ้องคดีดังกล่าวเป็นการฟ้องคดีซ้ำซึ่งขัดต่อหลักการพื้นฐานของกฎหมาย ศาลทหารยกฟ้องและมีคำสั่งปล่อยตัวจิตรเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2507[12]

เนื่องจากเขาถูกติดตามคุกคามจากทางการและเจ้าหน้าที่บ้านเมืองอย่างหนักทำให้เดือนตุลาคม พ.ศ. 2508 จิตรได้เดินทางสู่ชนบทภาคอีสาน เพื่อเข้าร่วมต่อสู้กับการปกครองด้วยระบบทหาร ในนาม สหายปรีชา เมื่อ พ.ศ. 2508 ต่อมาด้วยการคุกคามจากอำนาจรัฐ จิตรถูกอดีตกำนันตำบลคำบ่อ อาสาสมัคร และทหาร ล้อมยิงจนเสียชีวิตที่ทุ่งนากลางป่าละเมาะในบ้านหนองกุง ตำบลคำบ่อ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2509[13]

จากแนวคิดและอิทธิพลของเขาทำให้บ้างมีการเรียกเขาว่าเป็น "เช เกบาราเมืองไทย"[14]

ผลงานเขียน
จิตรมีความสามารถในด้านภาษาศาสตร์และนิรุกติศาสตร์อย่างมาก และยังมีความสามารถระดับสูงในด้านอื่น ๆ เช่น ประวัติศาสตร์ ถือว่าเป็นอัจฉริยะบุคคลของไทยคนหนึ่ง ในด้านภาษาศาสตร์นั้น จิตรมีความเชี่ยวชาญในภาษาฝรั่งเศส ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษาเขมร โดยเฉพาะภาษาเขมรนั้น จิตรมีความเชี่ยวชาญทั้งภาษาเขมรปัจจุบันและภาษาเขมรโบราณด้วย นอกจากนี้ จิตรได้เขียนพจนานุกรม"ภาษาละหุ" (มูเซอ) โดยเรียนรู้กับชาวมูเซอขณะอยู่ในคุกลาดยาว

ผลงาน 3 รายการของเขาได้รับยกย่องเป็น หนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน ประกอบด้วย โฉมหน้าของศักดินาไทยในปัจจุบัน (2500), ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ และ บทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4365
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: #มีแต่คนชอบชวนไปทำบุญ #น้อยคนที่จะชวนกันละบาป

"การทำดี" คือเปลือกนอก..
แก่นแท้ของความเป็นมนุษย์..คือการละชั่ว
"ศีล" คือบาทฐานของการละชั่ว

"การทำบุญ" คือเปลือกนอก..
แก่นแท้ของการปฏิบัติธรรม..คือการละบาป
"สมาธิ" เป็นบาทฐานของการละบาป

"ความสุข" คือเปลือกนอก..
แก่นแท้ของการใช้ชีวิต..คือการพ้นทุกข์
"ปัญญา" เป็นบาทฐานของการพ้นทุกข์

อย่าติดอยู่เพียงแค่เปลือกนอก..
จงพัฒนาจิตใจไปให้ถึงแก่นแท้

ถ้าทำดีแต่ไม่ยอมละชั่ว..
เราจะกลายเป็นคนอวดดี
ถ้าทำบุญแต่ไม่ยอมละบาป..
บุญจะกลายเป็นการลงทุนของกิเลส
สิ่งใดมอบความสุขให้กับเรามาก..
เราจะทุกข์เพราะสิ่งนั้นมากไม่ต่างกัน

ตนเตือนตน สุขง่ายๆด้วยใจแบ่งปัน.....บทความธรรมะ
:idea: :idea:




:mrgreen: :mrgreen: พิพิธภัณฑ์อัฐบริขาร พระอุดมสังวรวิสุทธิเถร (พระอาจารย์วัน อุตตโม) 19-03-2563 :) :D
ไฟล์แนบ
ออกจากอนุสรณ์สถาน จิตร ภูมิศักดิ์ เราก็ตรงไปวัดถ้ำพวง ซึ่งเป็นที่ตั้งพระเจดีย์หลวงปู่วัน และพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์วัน อุตตโม ตั้งอยู่ภายในศูนย์ปฏิบัติธรรม วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม หรือวัดถ้ำพวง อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร เป็นอาคารทรงจตุรมุข ประดับด้วยหินอ่อนทั้งหลัง ภายในประดิษฐานรูปเหมือนพระอาจารย์วัน อุตตโม ในท่านั่งขัดสมาธิ พร้อมทั้งเครื่องสักการะบูชาที่ตกแต่งอย่างงดงาม และจัดแสดงเครื่องอัฐบริขารของพระอาจารย์วันไว้อีกด้วย
ออกจากอนุสรณ์สถาน จิตร ภูมิศักดิ์ เราก็ตรงไปวัดถ้ำพวง ซึ่งเป็นที่ตั้งพระเจดีย์หลวงปู่วัน และพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์วัน อุตตโม ตั้งอยู่ภายในศูนย์ปฏิบัติธรรม วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม หรือวัดถ้ำพวง อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร เป็นอาคารทรงจตุรมุข ประดับด้วยหินอ่อนทั้งหลัง ภายในประดิษฐานรูปเหมือนพระอาจารย์วัน อุตตโม ในท่านั่งขัดสมาธิ พร้อมทั้งเครื่องสักการะบูชาที่ตกแต่งอย่างงดงาม และจัดแสดงเครื่องอัฐบริขารของพระอาจารย์วันไว้อีกด้วย
CSC_๒๙.jpg (122.82 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
CSC_๓๐.jpg
CSC_๓๐.jpg (140.3 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
CSC_๓๓.JPG
CSC_๓๓.JPG (111.95 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
CSC_๓๑.JPG
CSC_๓๑.JPG (127.28 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
CSC_๓๒.jpg
CSC_๓๒.jpg (114 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
CSC_๓๔.JPG
CSC_๓๔.JPG (84.87 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
CSC_๓๕.jpg
CSC_๓๕.jpg (127.59 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
CSC_๓๗.jpg
CSC_๓๗.jpg (157.6 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
CSC_๓๖.JPG
CSC_๓๖.JPG (107.89 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
CSC_๓๘.JPG
CSC_๓๘.JPG (122.95 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
CSC_๓๙.jpg
CSC_๓๙.jpg (138.82 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
CSC_๔๐.JPG
CSC_๔๐.JPG (121.16 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
DSC_5537.JPG
DSC_5537.JPG (114.96 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
DSC_5538.JPG
DSC_5539.JPG
DSC_5539.JPG (126.77 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
เราเพลิดเพลินเจริญใจไปกับบริเวณที่ตั้งของพระเจดีย์ที่กว้างใหญ่ไพศาล เดินจนขาอ่อน ไม่รู้ทิศทางเดินลงไปสุดทางเจอกุฏิพระ มีพระอาจารย์กำลังเก็บกวาดอาสนะ ก็ได้สนทนาและสอบถามข้อข้องใจ เพราะที่ผ่านมาเห็นป้ายชี้บอกทางไปทั้งทางซ้ายทางขวา ล้วนแล้วแต่น่าไปแทบทั้งสิ้น <br /><br />ท่านเมตตาชี้นำให้เราเมื่อออกจากเจดีย์นี้แล้วต้องไปยังถ้ำพวง และไปอนุสรณ์สถานสังเวชนียสถานจำลองทั้ง ๔ ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกัน ช่วงนี้เป็นเวลาใกล้เที่ยง ท่านยังแนะนำให้หาอะไรติดไม้ติดมือไปนั่งรับประทาน แถว ๆ บริเวณสังเวชนียสถานด้วยยิ่งดี กราบขอบพระคุณในความเมตตาของพระท่าน จากนั้นเราก็อำลาเดินทางไปตามคำบอกของท่านครับ
เราเพลิดเพลินเจริญใจไปกับบริเวณที่ตั้งของพระเจดีย์ที่กว้างใหญ่ไพศาล เดินจนขาอ่อน ไม่รู้ทิศทางเดินลงไปสุดทางเจอกุฏิพระ มีพระอาจารย์กำลังเก็บกวาดอาสนะ ก็ได้สนทนาและสอบถามข้อข้องใจ เพราะที่ผ่านมาเห็นป้ายชี้บอกทางไปทั้งทางซ้ายทางขวา ล้วนแล้วแต่น่าไปแทบทั้งสิ้น

ท่านเมตตาชี้นำให้เราเมื่อออกจากเจดีย์นี้แล้วต้องไปยังถ้ำพวง และไปอนุสรณ์สถานสังเวชนียสถานจำลองทั้ง ๔ ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกัน ช่วงนี้เป็นเวลาใกล้เที่ยง ท่านยังแนะนำให้หาอะไรติดไม้ติดมือไปนั่งรับประทาน แถว ๆ บริเวณสังเวชนียสถานด้วยยิ่งดี กราบขอบพระคุณในความเมตตาของพระท่าน จากนั้นเราก็อำลาเดินทางไปตามคำบอกของท่านครับ
DSC_5540.JPG (137.34 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
แก้ไขล่าสุดโดย Deang-sarapee เมื่อ 14 มี.ค. 2023, 15:09, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4365
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: วัดถ้ำพวง สังเวชนียสถาน 4 ตำบล แห่งเดียวในภาคอีสาน :) :D
ไฟล์แนบ
DSC_5731.JPG
DSC_5731.JPG (142.03 KiB) เข้าดูแล้ว 940 ครั้ง
DSC_5741.JPG
DSC_5741.JPG (97.21 KiB) เข้าดูแล้ว 940 ครั้ง
สังเวชนียสถานจำลองนี้ เกิดขึ้นจากแรงศรัทธาของพระอาจารย์วัน อุตตโม และพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เป็นผู้ริเริ่ม โดยใช้เวลาก่อสร้างทั้งหมด 6 ปีเต็ม โดยสังเวชนียสถาน 4 ตำบล ประกอบด้วย “สถานที่ประสูติ” ของพระพุทธเจ้าที่ลุมพินีวัน ประเทศเนปาล บริเวณนี้จะเป็นที่ตั้งของ “เจดีย์สิริมหามายา” ที่ภายในมีรูปจำลองเหตุการณ์ที่พระนางสิริมหามายาทรงยืนเหนี่ยวกิ่งต้นสาละ และเจ้าชายสิทธัตถะที่เพิ่งประสูติจากครรภ์มารดาทรงยืนอยู่ที่พื้นและมีดอกบัวรองรับพระบาท ส่วนบริเวณด้านหน้าของเจดีย์ก็มีเสาหินพระเจ้าอโศกมหาราชจำลองเท่าของจริง
สังเวชนียสถานจำลองนี้ เกิดขึ้นจากแรงศรัทธาของพระอาจารย์วัน อุตตโม และพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เป็นผู้ริเริ่ม โดยใช้เวลาก่อสร้างทั้งหมด 6 ปีเต็ม โดยสังเวชนียสถาน 4 ตำบล ประกอบด้วย “สถานที่ประสูติ” ของพระพุทธเจ้าที่ลุมพินีวัน ประเทศเนปาล บริเวณนี้จะเป็นที่ตั้งของ “เจดีย์สิริมหามายา” ที่ภายในมีรูปจำลองเหตุการณ์ที่พระนางสิริมหามายาทรงยืนเหนี่ยวกิ่งต้นสาละ และเจ้าชายสิทธัตถะที่เพิ่งประสูติจากครรภ์มารดาทรงยืนอยู่ที่พื้นและมีดอกบัวรองรับพระบาท ส่วนบริเวณด้านหน้าของเจดีย์ก็มีเสาหินพระเจ้าอโศกมหาราชจำลองเท่าของจริง
CSC_๔๑.jpg (189.97 KiB) เข้าดูแล้ว 940 ครั้ง
CSC_๔๒.jpg
CSC_๔๒.jpg (165.37 KiB) เข้าดูแล้ว 940 ครั้ง
ถัดจากสถานที่ประสูติมาไม่ไกลนักจะพบกับ “สถานที่ตรัสรู้” ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ ที่เมืองอุรุเวลาเสนานิคม โดยที่วัดถ้ำพวงนี้ได้จำลองเอา “พระเจดีย์ศรีมหาโพธิ์” หรือเจดีย์พุทธคยา ที่สร้างในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช แต่ย่อส่วนลงมาจากองค์จริง โดยสามารถเข้าไปกราบสักการะพระพุทธรูปด้านในองค์เจดีย์และขึ้นไปชมด้านบนขององค์เจดีย์ได้
ถัดจากสถานที่ประสูติมาไม่ไกลนักจะพบกับ “สถานที่ตรัสรู้” ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ ที่เมืองอุรุเวลาเสนานิคม โดยที่วัดถ้ำพวงนี้ได้จำลองเอา “พระเจดีย์ศรีมหาโพธิ์” หรือเจดีย์พุทธคยา ที่สร้างในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช แต่ย่อส่วนลงมาจากองค์จริง โดยสามารถเข้าไปกราบสักการะพระพุทธรูปด้านในองค์เจดีย์และขึ้นไปชมด้านบนขององค์เจดีย์ได้
CSC_๔๓.jpg (158.8 KiB) เข้าดูแล้ว 940 ครั้ง
CSC_๔๔.jpg
CSC_๔๔.jpg (145.86 KiB) เข้าดูแล้ว 940 ครั้ง
ต่อจากนั้นจะเป็น “สถานที่แสดงปฐมเทศนา” ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน สำหรับสังเวชนียสถานของจริงที่ประเทศอินเดียนั้น จะเป็นเจดีย์ปิดไม่มีประตูหน้าต่าง แต่สำหรับเจดีย์ที่จำลองมานี้ได้ย่อส่วนให้เล็กลง และจัดทำให้มีช่องประตูหน้าต่าง ส่วนด้านในจะเป็นการจำลองเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 นั่นเอง
ต่อจากนั้นจะเป็น “สถานที่แสดงปฐมเทศนา” ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน สำหรับสังเวชนียสถานของจริงที่ประเทศอินเดียนั้น จะเป็นเจดีย์ปิดไม่มีประตูหน้าต่าง แต่สำหรับเจดีย์ที่จำลองมานี้ได้ย่อส่วนให้เล็กลง และจัดทำให้มีช่องประตูหน้าต่าง ส่วนด้านในจะเป็นการจำลองเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 นั่นเอง
CSC_๔๕.jpg (148.31 KiB) เข้าดูแล้ว 940 ครั้ง
CSC_๔๖.jpg
CSC_๔๖.jpg (135.14 KiB) เข้าดูแล้ว 940 ครั้ง
ใกล้กันนั้นจะเป็นสังเวชนียสถานแห่งสุดท้ายคือ “สถานที่ปรินิพพาน” ที่เมืองกุสินารา สังเวชนียสถานแห่งนี้ก่อสร้างจำลองจากประเทศอินเดียมาทุกประการ แต่ย่อส่วนให้เล็กลง โดยภายในเป็นห้องโถงใหญ่ มีพระพุทธรูปปางปรินิพพานประดิษฐานอยู่
ใกล้กันนั้นจะเป็นสังเวชนียสถานแห่งสุดท้ายคือ “สถานที่ปรินิพพาน” ที่เมืองกุสินารา สังเวชนียสถานแห่งนี้ก่อสร้างจำลองจากประเทศอินเดียมาทุกประการ แต่ย่อส่วนให้เล็กลง โดยภายในเป็นห้องโถงใหญ่ มีพระพุทธรูปปางปรินิพพานประดิษฐานอยู่
CSC_๔๗.jpg (134.91 KiB) เข้าดูแล้ว 940 ครั้ง
CSC_๔๙.jpg
เราเข้าชมสถานที่ปรินิพานเก็บภาพตามไสตล์ เวลาก็ได้ ๑๒.๔๕ น. ณ บริเวณนั้นมีที่ ๆ สัปปายะสำหรับเรา ก็ได้อาศัยเป็นที่เติมพลังมื้อเที่ยง ใกล้ ๆ กับสถูปปรินิพพาน อากาศมีลมโชยอ่อน ๆ เย็นสบาย กินไปก็คุยกันเกี่ยวเรื่องราวของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ที่มีบารมีในการก่อสร้างสังเวชนียสถาน ไว้ให้หลายล้านคนที่ไม่มีวาสนาที่จะเดินทางไปแสวงบุญที่อินเดีย จะได้มีโอกาสทัศนาอย่างน้อย ๆ ก็เพิ่มแรงศรัทธาไม่ให้ยิ่งหย่อน เป็นการเสริมสร้างพลังศรัทธาที่มีต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ
เราเข้าชมสถานที่ปรินิพานเก็บภาพตามไสตล์ เวลาก็ได้ ๑๒.๔๕ น. ณ บริเวณนั้นมีที่ ๆ สัปปายะสำหรับเรา ก็ได้อาศัยเป็นที่เติมพลังมื้อเที่ยง ใกล้ ๆ กับสถูปปรินิพพาน อากาศมีลมโชยอ่อน ๆ เย็นสบาย กินไปก็คุยกันเกี่ยวเรื่องราวของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ที่มีบารมีในการก่อสร้างสังเวชนียสถาน ไว้ให้หลายล้านคนที่ไม่มีวาสนาที่จะเดินทางไปแสวงบุญที่อินเดีย จะได้มีโอกาสทัศนาอย่างน้อย ๆ ก็เพิ่มแรงศรัทธาไม่ให้ยิ่งหย่อน เป็นการเสริมสร้างพลังศรัทธาที่มีต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ
CSC_๔๘.jpg (178.35 KiB) เข้าดูแล้ว 940 ครั้ง
หลังจากที่อิ่มท้อง อิ่มใจ ไปกับอาหารกาย+อาหารใจ เรียบร้อย เราก็ออกเดินทางโดยไม่ต้องย้อนทางเก่า วนออกไปเป็นวงกลม ผ่านอุทยานภูผาเหล็ก ที่ ๆ มีหอดูดาว และได้ชมวิวทิวทัศน์ของดอยก่อ<br /><br />อุทยานแห่งชาติภูผาเหล็ก<br /><br />ครอบคลุมพื้นที่ในส่วนของอำเภอส่องดาว อำเภอวาริชภูมิ อำเภอนิคมน้ำอูน อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร อำเภอสามหมอ จังหวัดอุดรธานี และอำเภอสมเด็จ อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ มีเนื้อที่ 261,875 ไร่ ลักษณะภูมิประเทศเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาภูพาน ภูเขาที่สูงที่สุดคือ ภูอ่างสอ สภาพป่าเป็นป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ไผ่หลายชนิด และสมุนไพรชนิดต่าง ๆ สัตว์ป่าที่พบเห็นได้แก่ หมูป่า เก้ง กระจง นกชนิดต่าง ๆ แหล่งท่องเที่ยวบนยอดภูผาเหล็กโดยเฉพาะบริเวณหน้าผาต่าง ๆ หอส่องดาว สามารถใช้รถยนต์ขึ้นไปตามถนน รพช. จากที่ทำการอุทยานฯ ถึงหอส่องดาวระยะทาง 5.5 กิโลเมตร และเดินเท้าสู่จุดท่องเที่ยว <br /><br />สถานที่น่าสนใจในเขตอุทยานฯ ได้แก่ ผาสุริยันต์ เป็นหน้าผาสูงอยู่บนยอดเขาสูงสุดของภูผาเหล็ก เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า ผาดงก่อ เป็นหน้าผาสูงอยู่บนยอดภูผาเหล็กอันเป็นยอดสูงสุดของเทือกเขาภูพาน มีก้อนหินขนาดใหญ่วางพาดอยู่ริมหน้าผาที่ดูเหมือนจะหล่นลงไปข้างล่าง หากยืนบนภูเขาแห่งนี้จะมองเห็นทิวเขาอันสลับซับซ้อนของภูพาน และมองเห็นภูผาหัก ภูไม้ ภูซากลาก อยู่ในเขตอำเภอวังสามหมอ ของจังหวัดอุดรธานี ผาน้ำโจ้ก เป็นหน้าผาสูงที่อยู่ยอดภูผาเหล็ก สามารถมองเห็นอ่างเก็บน้ำห้วยหวด และมองเห็นวิวทิวทัศน์ของจังหวัดอุดรธานี จังหวัดขอนแก่นได้
หลังจากที่อิ่มท้อง อิ่มใจ ไปกับอาหารกาย+อาหารใจ เรียบร้อย เราก็ออกเดินทางโดยไม่ต้องย้อนทางเก่า วนออกไปเป็นวงกลม ผ่านอุทยานภูผาเหล็ก ที่ ๆ มีหอดูดาว และได้ชมวิวทิวทัศน์ของดอยก่อ

อุทยานแห่งชาติภูผาเหล็ก

ครอบคลุมพื้นที่ในส่วนของอำเภอส่องดาว อำเภอวาริชภูมิ อำเภอนิคมน้ำอูน อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร อำเภอสามหมอ จังหวัดอุดรธานี และอำเภอสมเด็จ อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ มีเนื้อที่ 261,875 ไร่ ลักษณะภูมิประเทศเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาภูพาน ภูเขาที่สูงที่สุดคือ ภูอ่างสอ สภาพป่าเป็นป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ไผ่หลายชนิด และสมุนไพรชนิดต่าง ๆ สัตว์ป่าที่พบเห็นได้แก่ หมูป่า เก้ง กระจง นกชนิดต่าง ๆ แหล่งท่องเที่ยวบนยอดภูผาเหล็กโดยเฉพาะบริเวณหน้าผาต่าง ๆ หอส่องดาว สามารถใช้รถยนต์ขึ้นไปตามถนน รพช. จากที่ทำการอุทยานฯ ถึงหอส่องดาวระยะทาง 5.5 กิโลเมตร และเดินเท้าสู่จุดท่องเที่ยว

สถานที่น่าสนใจในเขตอุทยานฯ ได้แก่ ผาสุริยันต์ เป็นหน้าผาสูงอยู่บนยอดเขาสูงสุดของภูผาเหล็ก เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า ผาดงก่อ เป็นหน้าผาสูงอยู่บนยอดภูผาเหล็กอันเป็นยอดสูงสุดของเทือกเขาภูพาน มีก้อนหินขนาดใหญ่วางพาดอยู่ริมหน้าผาที่ดูเหมือนจะหล่นลงไปข้างล่าง หากยืนบนภูเขาแห่งนี้จะมองเห็นทิวเขาอันสลับซับซ้อนของภูพาน และมองเห็นภูผาหัก ภูไม้ ภูซากลาก อยู่ในเขตอำเภอวังสามหมอ ของจังหวัดอุดรธานี ผาน้ำโจ้ก เป็นหน้าผาสูงที่อยู่ยอดภูผาเหล็ก สามารถมองเห็นอ่างเก็บน้ำห้วยหวด และมองเห็นวิวทิวทัศน์ของจังหวัดอุดรธานี จังหวัดขอนแก่นได้
CSC_๓๖.JPG (107.89 KiB) เข้าดูแล้ว 938 ครั้ง
หอส่องดาวจึงเป็นที่สำหรับศึกษาดวงดาวในเวลากลางคืน สามารถชมปรากฏการณ์ฝนดาวตกได้ชัดเจนมาก ค่าเข้าชม คนไทยผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท /ชาวต่างชาติผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาท อัตราค่าบริการ สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยลด 50 เปอร์เซ็นต์ วันจันทร์-วันศุกร์ ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์
หอส่องดาวจึงเป็นที่สำหรับศึกษาดวงดาวในเวลากลางคืน สามารถชมปรากฏการณ์ฝนดาวตกได้ชัดเจนมาก ค่าเข้าชม คนไทยผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท /ชาวต่างชาติผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาท อัตราค่าบริการ สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยลด 50 เปอร์เซ็นต์ วันจันทร์-วันศุกร์ ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์
CSC_๕๐.jpg (62.39 KiB) เข้าดูแล้ว 938 ครั้ง
ผาดงก่อ เป็นหน้าผาสูงอยู่บนยอดภูผาเหล็กอันเป็นยอดสูงสุดของเทือกเขาภูพาน มีก้อนหินขนาดใหญ่วางพาดอยู่ริมหน้าผาที่ดูเหมือนจะหล่นลงไปข้างล่าง หากยืนบนภูเขาแห่งนี้จะมองเห็นทิวเขาอันสลับซับซ้อนของภูพาน และมองเห็นภูผาหัก ภูไม้ ภูซากลาก อยู่ในเขตอำเภอวังสามหมอ ของจังหวัดอุดรธานี ผาน้ำโจ้ก เป็นหน้าผาสูงที่อยู่ยอดภูผาเหล็ก สามารถมองเห็นอ่างเก็บน้ำห้วยหวด และมองเห็นวิวทิวทัศน์ของจังหวัดอุดรธานี
ผาดงก่อ เป็นหน้าผาสูงอยู่บนยอดภูผาเหล็กอันเป็นยอดสูงสุดของเทือกเขาภูพาน มีก้อนหินขนาดใหญ่วางพาดอยู่ริมหน้าผาที่ดูเหมือนจะหล่นลงไปข้างล่าง หากยืนบนภูเขาแห่งนี้จะมองเห็นทิวเขาอันสลับซับซ้อนของภูพาน และมองเห็นภูผาหัก ภูไม้ ภูซากลาก อยู่ในเขตอำเภอวังสามหมอ ของจังหวัดอุดรธานี ผาน้ำโจ้ก เป็นหน้าผาสูงที่อยู่ยอดภูผาเหล็ก สามารถมองเห็นอ่างเก็บน้ำห้วยหวด และมองเห็นวิวทิวทัศน์ของจังหวัดอุดรธานี
CSC_๕๑.jpg (164.05 KiB) เข้าดูแล้ว 938 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4365
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D อรุณสวัสดิ์ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพและญาติธรรมที่รักทุกท่านครับ เราออกจากสังเวชนียสถานขับรถวนเพื่อไปยังถ้ำพวง ไม่ต้องกลัวหลง ทางวนถึงกันครับ เดินชมภายในบริเวณวัดที่กว้างขวาง ภาพที่เก็บมาเยอะผมนั้นไม่ชอบการเก็บภาพแบบวีดีโอ แต่พอมาถึงจุดที่อยากจะให้ทุกท่านได้ชมภาพเยอะ ๆ มันมากเกิน จึงต้องขอนำวีดีโอที่มีผู้โพสต์ก๊อปมาให้ชม ขอบคุณคลิปนี้ด้วยนะครับ :) :D

:) :) วิหารพระมงคลมุจลินท์ วัดถ้ำพวง อ.ส่องดาว จ.สกลนคร :D :D


:) :D ถ้ามีเวลาพอ ชมวัดถ้ำพวง อ.ส่องดาว จังหวัดสกลนคร แบบเต็มอีกครั้งได้ครับ :) :D
ไฟล์แนบ
CSC_๕๘.jpg
CSC_๕๘.jpg (58.1 KiB) เข้าดูแล้ว 895 ครั้ง
CSC_๖๐.jpg
CSC_๖๐.jpg (71.48 KiB) เข้าดูแล้ว 895 ครั้ง
CSC_๖๑.jpg
CSC_๖๑.jpg (144.92 KiB) เข้าดูแล้ว 895 ครั้ง
เราออกจากสังเวชนียสถานหลังจากที่เราทานมื้อเที่ยงเรียบร้อย ผมบอกแต่ต้นแล้วว่าถนนมันวนไปวนมาเป็นวงกลม เราวนกลับมาที่หน้าถ้ำวัดพวง ทำให้เราได้เข้าไปเก็บภาพอย่างละเอียดในเจดีย์หลวงปู่วันอีกครั้ง ก่อนที่จะลงไปยังถ้ำพวงครับ ไปแบบไม่ได้ค้นคว้าข้อมูลมากนักมักจะสับสนพอสมควรครับ
เราออกจากสังเวชนียสถานหลังจากที่เราทานมื้อเที่ยงเรียบร้อย ผมบอกแต่ต้นแล้วว่าถนนมันวนไปวนมาเป็นวงกลม เราวนกลับมาที่หน้าถ้ำวัดพวง ทำให้เราได้เข้าไปเก็บภาพอย่างละเอียดในเจดีย์หลวงปู่วันอีกครั้ง ก่อนที่จะลงไปยังถ้ำพวงครับ ไปแบบไม่ได้ค้นคว้าข้อมูลมากนักมักจะสับสนพอสมควรครับ
CSC_๕๒.jpg (137.14 KiB) เข้าดูแล้ว 895 ครั้ง
CSC_๕๓.jpg
CSC_๕๓.jpg (116.83 KiB) เข้าดูแล้ว 895 ครั้ง
CSC_๕๔.jpg
CSC_๕๔.jpg (114.38 KiB) เข้าดูแล้ว 895 ครั้ง
CSC_๕๕.jpg
CSC_๕๕.jpg (144.32 KiB) เข้าดูแล้ว 895 ครั้ง
CSC_๕๗.jpg
CSC_๕๗.jpg (145.94 KiB) เข้าดูแล้ว 895 ครั้ง
IMG20221119133809.jpg
IMG20221119133809.jpg (114.85 KiB) เข้าดูแล้ว 895 ครั้ง
IMG20221119133941.jpg
IMG20221119133941.jpg (52.09 KiB) เข้าดูแล้ว 895 ครั้ง
IMG20221119133955.jpg
IMG20221119133955.jpg (57.49 KiB) เข้าดูแล้ว 895 ครั้ง
IMG20221119134039.jpg
IMG20221119134039.jpg (66.49 KiB) เข้าดูแล้ว 895 ครั้ง
IMG20221119135055.jpg
IMG20221119135317.jpg
IMG20221119135350.jpg
IMG20221119135350.jpg (103.52 KiB) เข้าดูแล้ว 895 ครั้ง
IMG20221119140506.jpg
เดินกันจนเหนื่อยอ่อนครับ พอสมควรแก่เวลา เราก็พากันเดินทางกลับที่พัก พักผ่อนเอาแรงไว้วันต่อไปเราวางแผนกันว่าจะไปกราบวัดหลวงปู่สิม ทราบจากครูบาอาจารย์มานานแล้วว่าท่านกลับมาสร้างวัดไว้ที่บ้านเกิด แต่เราจนแล้วจนรอดบุญไม่ถึงจึงยังมาไม่ถึงสักที ครานี้เราจะไม่พลาดครับ
เดินกันจนเหนื่อยอ่อนครับ พอสมควรแก่เวลา เราก็พากันเดินทางกลับที่พัก พักผ่อนเอาแรงไว้วันต่อไปเราวางแผนกันว่าจะไปกราบวัดหลวงปู่สิม ทราบจากครูบาอาจารย์มานานแล้วว่าท่านกลับมาสร้างวัดไว้ที่บ้านเกิด แต่เราจนแล้วจนรอดบุญไม่ถึงจึงยังมาไม่ถึงสักที ครานี้เราจะไม่พลาดครับ
CSC_๕๖.jpg (201.81 KiB) เข้าดูแล้ว 895 ครั้ง
แก้ไขล่าสุดโดย Deang-sarapee เมื่อ 17 มี.ค. 2023, 14:36, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4365
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D ไปเที่ยวกันต่อนะครับ ที่พระธาตุภูเพ็ก พระธาตุนี้มีตำนานใครมาสกลอย่าพลาดนะครับ เรียกว่าคู่แข่งของปราสาทนารายณ์เจงเวงทีเดียวครับ ไปชมประวัติกันครับ :) :D

:idea: :idea: ไปกับปลาย...ครั้งหนึ่งของชีวิต พระธาตุภูเพ็ก ดินแดนลอยฟ้าอันศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรขอมโบราณ จ.สกลนคร กับ หมอปลาย พรายกระซิบ :) :D
ไฟล์แนบ
CSC_๕๙.jpg
CSC_๕๙.jpg (92.52 KiB) เข้าดูแล้ว 881 ครั้ง
CSC_๖๔.jpg
CSC_๖๔.jpg (144.99 KiB) เข้าดูแล้ว 881 ครั้ง
CSC_๖๓.jpg
CSC_๖๓.jpg (123.04 KiB) เข้าดูแล้ว 881 ครั้ง
ช่วงที่เราเดินทางกลับสายตาผมก็สดุดอยู่ที่ชื่อวัด ๆ หนึ่งคือ..อะไรเป็ด ๆ นี่ละครับ......เอะใจครับ...(ทราบแต่นานแล้วท่านอยู่แถว ๆ สกลนี่ละแต่ไม่ทราบที่ใด) ไม่รอช้าหักเลี้ยวแวะไปเยี่ยมและตั้งใจไปกราบท่านให้ได้ เป็นบุญจริง ๆ ไม่คิดว่าจะได้เจอกับหลวงพ่อท่าน เราเข้าไปในวัด วัดสวยงามร่มรื่นมาก ๆ เป็นสัดส่วนมีพระหลายองค์ ให้การต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี เราพากันไปกราบหลวงพ่อที่ศาลา ต้องนั่งรอท่านครู่ใหญ่ ๆ <br /><br />ช่วงที่รอบังเอิญลูกกะตาผมไปเจอพัดลมมีข้อความตามที่ปรากฏ ภาพต่าง ๆ ที่ผมเก็บไว้เป็นอันต้องทำตามคำสั่งของหลวงพ่อท่าน เมื่อท่านได้ออกมาพบเรา ท่านสนทนาและให้ธรรมะดีมาก ๆ ใจอยากจะสอบถามเรื่อง &quot;ห้าม..&quot; แต่ไม่กล้าครับ เอาเป็นว่าคราวหน้าจะหาเวลามานอนที่วัดแล้วจะหาความจริง<br /><br />ความจริงที่จริง ๆ ผมพอทราบแต่ไม่อยากจะพูด ไว้ให้ชัดเจนค่อยว่ากันครับ อดใจไม่นานคงได้กระจ่าง ก่อนจะลาท่าน หลวงพ่อท่านเมตตาให้สร้อยคอเป็นเหรียญของหลวงพ่อ และตระกรุดอีกคนละ ๑ เส้น รวมเป็น ๒ เส้น กลับถึงบ้านอวดให้พี่สาวและพระอาจารย์ ทั้งพี่สาวและพระอาจารย์บอก ป๊าดโถ๊ะ...โชคดีอะไรจะปานนั้น &quot;...????...&quot;
ช่วงที่เราเดินทางกลับสายตาผมก็สดุดอยู่ที่ชื่อวัด ๆ หนึ่งคือ..อะไรเป็ด ๆ นี่ละครับ......เอะใจครับ...(ทราบแต่นานแล้วท่านอยู่แถว ๆ สกลนี่ละแต่ไม่ทราบที่ใด) ไม่รอช้าหักเลี้ยวแวะไปเยี่ยมและตั้งใจไปกราบท่านให้ได้ เป็นบุญจริง ๆ ไม่คิดว่าจะได้เจอกับหลวงพ่อท่าน เราเข้าไปในวัด วัดสวยงามร่มรื่นมาก ๆ เป็นสัดส่วนมีพระหลายองค์ ให้การต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี เราพากันไปกราบหลวงพ่อที่ศาลา ต้องนั่งรอท่านครู่ใหญ่ ๆ

ช่วงที่รอบังเอิญลูกกะตาผมไปเจอพัดลมมีข้อความตามที่ปรากฏ ภาพต่าง ๆ ที่ผมเก็บไว้เป็นอันต้องทำตามคำสั่งของหลวงพ่อท่าน เมื่อท่านได้ออกมาพบเรา ท่านสนทนาและให้ธรรมะดีมาก ๆ ใจอยากจะสอบถามเรื่อง "ห้าม.." แต่ไม่กล้าครับ เอาเป็นว่าคราวหน้าจะหาเวลามานอนที่วัดแล้วจะหาความจริง

ความจริงที่จริง ๆ ผมพอทราบแต่ไม่อยากจะพูด ไว้ให้ชัดเจนค่อยว่ากันครับ อดใจไม่นานคงได้กระจ่าง ก่อนจะลาท่าน หลวงพ่อท่านเมตตาให้สร้อยคอเป็นเหรียญของหลวงพ่อ และตระกรุดอีกคนละ ๑ เส้น รวมเป็น ๒ เส้น กลับถึงบ้านอวดให้พี่สาวและพระอาจารย์ ทั้งพี่สาวและพระอาจารย์บอก ป๊าดโถ๊ะ...โชคดีอะไรจะปานนั้น "...????..."
ก่อนเข้าบ้านเราแวะ ๗-๑๑ ที่ตัวอำเภอ เพื่อจัดหาจัดเตรียมเสบียงไว้พรุ่งนี้เช้า ให้พี่สาวได้เตรียมไปถวายพระ
ก่อนเข้าบ้านเราแวะ ๗-๑๑ ที่ตัวอำเภอ เพื่อจัดหาจัดเตรียมเสบียงไว้พรุ่งนี้เช้า ให้พี่สาวได้เตรียมไปถวายพระ
CSC_๖๕.jpg (97.24 KiB) เข้าดูแล้ว 881 ครั้ง
รุ่งเช้าพี่สาวทำสำรับกับข้าวเตรียมไว้ให้เราเหมือนทุกวัน ให้เรานำไปถวายพระที่วัด หลังจากที่รับพรพระก็ร่วมกับญาติธรรมรับประทานอาหารมื้อเช้า<br /><br />วันนี้เช่นกัน พระอาจารย์ท่านยังคงติดธุระ ปล่อยให้เราสองคนเดินทางไปเที่ยวกันเอง เป้าหมายของเราจุดใหญ่ใจความจะอยู่ที่วัดหลวงปู่สิม ซึ่งเราทราบมานานแล้วว่าท่านได้มาวางรากฐานในการก่อสร้างไว้ที่นี่ด้วย<br /><br />ช่วงเดินทางเราก็คุยกันว่า ภูเพ็กที่ตั้งใจไว้เรายังไปไม่ถึง เราแวะภูเพ็กก่อนน่าจะดี (ทางผ่าน) ตกลงเป็นที่เข้าใจกันเราก็แวะชมพระธาตุภูเพ็กก่อน ไม่ผิดหวังจริง ๆ ใครไปสกลนครเมื่อไปปราสาทนารายณ์เจงเวง ก็อย่าลืมไปภูเพ็กด้วยนะครับ
รุ่งเช้าพี่สาวทำสำรับกับข้าวเตรียมไว้ให้เราเหมือนทุกวัน ให้เรานำไปถวายพระที่วัด หลังจากที่รับพรพระก็ร่วมกับญาติธรรมรับประทานอาหารมื้อเช้า

วันนี้เช่นกัน พระอาจารย์ท่านยังคงติดธุระ ปล่อยให้เราสองคนเดินทางไปเที่ยวกันเอง เป้าหมายของเราจุดใหญ่ใจความจะอยู่ที่วัดหลวงปู่สิม ซึ่งเราทราบมานานแล้วว่าท่านได้มาวางรากฐานในการก่อสร้างไว้ที่นี่ด้วย

ช่วงเดินทางเราก็คุยกันว่า ภูเพ็กที่ตั้งใจไว้เรายังไปไม่ถึง เราแวะภูเพ็กก่อนน่าจะดี (ทางผ่าน) ตกลงเป็นที่เข้าใจกันเราก็แวะชมพระธาตุภูเพ็กก่อน ไม่ผิดหวังจริง ๆ ใครไปสกลนครเมื่อไปปราสาทนารายณ์เจงเวง ก็อย่าลืมไปภูเพ็กด้วยนะครับ
CSC_๖๖.jpg (142.83 KiB) เข้าดูแล้ว 881 ครั้ง
CSC_๖๗.jpg
CSC_๖๗.jpg (156.91 KiB) เข้าดูแล้ว 881 ครั้ง
CSC_๖๘.jpg
CSC_๖๘.jpg (163.31 KiB) เข้าดูแล้ว 881 ครั้ง
ผมคนเกิดปีขาล รักเสือ ชอบเสือ เห็นเสืออดไม่ได้ที่จะเก็บภาพเป็นที่ระลึกขอคุณนายช่วยสงเคราะห์ เล่นซะหลายภาพ (ถูกใจครับ) ได้หลายอิริยาบถนะครับ
ผมคนเกิดปีขาล รักเสือ ชอบเสือ เห็นเสืออดไม่ได้ที่จะเก็บภาพเป็นที่ระลึกขอคุณนายช่วยสงเคราะห์ เล่นซะหลายภาพ (ถูกใจครับ) ได้หลายอิริยาบถนะครับ
CSC_๖๙.jpg (171.44 KiB) เข้าดูแล้ว 881 ครั้ง
CSC_๗๐.jpg
CSC_๗๐.jpg (120.87 KiB) เข้าดูแล้ว 881 ครั้ง
CSC_๗๑.jpg
CSC_๗๑.jpg (178.45 KiB) เข้าดูแล้ว 881 ครั้ง
CSC_๗๒.jpg
CSC_๗๒.jpg (179 KiB) เข้าดูแล้ว 881 ครั้ง
CSC_๗๓.jpg
CSC_๗๓.jpg (149.6 KiB) เข้าดูแล้ว 881 ครั้ง
CSC_๗๔.jpg
CSC_๗๔.jpg (140.49 KiB) เข้าดูแล้ว 881 ครั้ง
CSC_๗๕.jpg
CSC_๗๖.jpg
CSC_๗๖.jpg (166.71 KiB) เข้าดูแล้ว 881 ครั้ง
CSC_๗๗.jpg
CSC_๗๗.jpg (193.98 KiB) เข้าดูแล้ว 881 ครั้ง
โบกมืออำลาพระธาตุภูเพ็ก โอกาสหน้าถ้าผ่านก็จะแวะมาเที่ยวอีกครับ
โบกมืออำลาพระธาตุภูเพ็ก โอกาสหน้าถ้าผ่านก็จะแวะมาเที่ยวอีกครับ
CSC_๘๐.jpg
CSC_๘๐.jpg (164.29 KiB) เข้าดูแล้ว 881 ครั้ง
เราเที่ยวที่ภูเพ็กแบบว่า &quot;เจริญตา เจริญใจ&quot; แทบไม่อยากไปต่อ แต่อย่างว่าเวลาไม่รอท่าใคร จะมัวโอ้เอ้วิหารรายเดี๋ยวก็ไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ สุดท้ายจำใจลาด้วยหมดเวลา ขอลาก่อนเอย......๕๕.
เราเที่ยวที่ภูเพ็กแบบว่า "เจริญตา เจริญใจ" แทบไม่อยากไปต่อ แต่อย่างว่าเวลาไม่รอท่าใคร จะมัวโอ้เอ้วิหารรายเดี๋ยวก็ไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ สุดท้ายจำใจลาด้วยหมดเวลา ขอลาก่อนเอย......๕๕.
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4365
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: 10 ความจริงสูงสุดที่ทุกคนควรตระหนัก!!!

1. แท้จริงแล้วสุขทุกข์ไม่ได้เกิดจากใครทำ ไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอก แต่เกิดจากการกระทบกันของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ปัจจัยภายนอกเป็นเพียงตัวแปร ปัจจัยภายในได้แก่ สติ คือสาเหตุใหญ่ ถ้าสติไม่แข็งแรง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด เป็นใครมาจากไหน ก็มีความทุกข์ได้ทั้งนั้น เมื่อสติแข็งแรง ย่อมเห็นกระบวน การทำงานของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อเห็นกระบวนการดังกล่าว จิตย่อมไม่เสวยอารมณ์ อันเป็นต้นเหตุของสุข ทุกข์ สุขทุกข์จึงถูกปรับสมดุลให้อยู่ในภาวะเป็นกลาง สิ่งนี้เรียกว่า ความเบิกบาน

2. ความเป็นเรา เป็นเขา คือ กระบวนการปรุงแต่งของจิต แท้จริงแล้ว ตัวเราไม่มีอยู่ คำว่าตัวเราไม่มีอยู่นี้ ไม่ใช่คำอุปมาอุปไมย แต่เป็นสิ่งที่สามารถตรวจสอบได้เอง จากการฝึกจิต ความเป็นตัวเรานั้นเปรียบเหมือนรถยนต์หนึ่งคัน เมื่อจับล้อไว้ทางหนึ่งเครื่องยนต์ไว้ทางหนึ่ง ประตู ตัวถังไว้ทางหนึ่ง เมื่อจับแยกส่วนได้เช่นนี้ สภาพความเป็นรถยนต์ก็หมดไป เมื่อฝึกสติจนแยกกาย ความคิด และจิต ออกจากกันได้ ความเป็นตัวเราก็หมดไปด้วย เมื่อความเป็นตัวเราหมดไป ผู้ยึดมั่นถือมั่นก็หมดไปด้วย ความทุกข์ทั้งปวงก็เป็นอันยุติ

3. เราทั้งหลาย ล้วนเกิดมานับล้านล้านล้านชาติ เป็นจำนวนที่นับไม่ได้ เคยเกิดเป็นคนรวย คนจน ราชา พระ ยาจก เป็นคนฉลาด เป็นคนโง่เขลา เป็นคนพิการ เป็นคนรูปงาม เป็นชาย เป็นหญิง เป็นกระเทย เป็นทอม เป็นนักบุญ เป็นมหาโจร เคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก เปรต อสูรกาย เทวดา เคยเป็นมาทุกอย่าง ดังนั้น ถ้าชาตินี้เกิดมาดี ก็ไม่ได้แปลว่าชาติหน้าจะดี ชาตินี้อาจเป็นมหาเศรษฐี ชาติหน้าอาจเกิดเป็นสัตว์นรก ชาตินี้อาจเป็นสัตว์เดรัจฉาน ชาติหน้าอาจเกิดเป็นมนุษย์อยู่ในตระกูลสูงก็เป็นได้ ตราบใดที่ยังเวียนว่ายตายเกิด จงอย่าลำพองใจว่า เรานั้นดีแล้ว ประเสริฐแล้ว เพราะแท้จริง ไม่มีใครเลยที่ดีกว่าใคร ทุกคนล้วนอยู่ในความสุ่มเสี่ยงทั้งสิ้น

4. จิตสุดท้ายก่อนตาย เป็นสิ่งชี้วัดว่าชาติหน้าเราจะไปเกิดเป็นอะไร ขณะที่จิตสุดท้ายเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยากที่สุด ในวินาทีสุดท้ายความเศร้า ความกลัว ความสงสัย การยึดติด และความเจ็บปวด สิ่งเหล่านี้ จะดึงมนุษย์ให้ไปปฏิสนธิจิตในภูมิเบื้องต่ำ ได้แก่ นรก เปรต อสูรกาย เดรฉาน พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งหลังจากตายไปแล้ว มีเท่าจำนวนเม็ดทรายที่ปลายนิ้ว ส่วนทรายที่เหลือบนปฐพี เทียบได้กับผู้ที่ตายแล้วไปจุติในอบายภูมิ ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้ว คงน้อยกว่า 0.00000000000001 เปอร์เซ็นต์ นั่นเท่ากับว่า เป็นไปได้มากเหลือเกินว่า คนทั้งหมดที่เรารู้จัก จะไม่มีใครเลยที่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ไม่เว้นแม้กระทั้งเราเอง!!!

5. ชีวิตที่เราเห็นอยู่ เป็นชีวิตชั่วคราว เมื่อเราตาย สิ่งที่เราหามาด้วยความลำบาก สิ่งที่เราเคยมั่นหมายว่าสำคัญ ทั้งความสามารถ เกียรติภูมิ ลูก เมีย ผัว ญาติพี่น้อง เพื่อน มิตรสหาย หน้าที่การงาน สมบัติพัสถาน เงินทอง บ้านช่อง ที่ดิน ความภาคภูมิใจ ทั้งหมดนี้ ไม่มีอะไรเลยที่เราสามารถนำติดตัวไปได้ คำถามสำคัญที่เราควรต้องคิด คือ "ทุกวันนี้เราใช้เวลาที่มีเพื่อสิ่งใด" แน่นอนว่า เวลาเกือบทั้งหมดของเรามุ่งไปสู่สิ่งที่เราไม่สามารถนำติดตัวไปได้ เหล่านี้ คือเรื่องอันตรายที่เราสมควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเร่งด่วน

6. บุญบาปเป็นของมีจริง ทุกการกระทำของเรา ย่อมส่งผลสะท้อนกลับ ไม่วันนี้ก็วันหน้า ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า คำพูด และการกระทำ จึงเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าที่เราคิด พูดสิ่งใด ทำสิ่งใดลงไป มิได้จารึกไว้เพียงโลกนี้ หากแต่มันจะจารึกไว้ในสังสารวัฏ ในจิตของเรา และเราจะต้องเป็นผู้รับผลแห่งการกระทำของตนเอง ตลอดการเวียนว่ายตายเกิด ดังนั้น จงระวังคำพูด และการกระทำของเราไว้ให้มากกว่าที่เป็นอยู่

7. ทุกคนที่เราเห็น พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ เพื่อนฝูง มิตรสหาย ผู้คน ทั้งคนที่รู้จัก และไม่รู้จัก ตลอดการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีใครเลยที่ไม่รู้จักกัน ไม่มีใครเลยที่ไม่เกี่ยวข้องกัน และตราบใดที่เรายังเวียนว่ายตายเกิด เราและเขา จะได้พบกันอีก ไม่ฐานะใดฐานะหนึ่ง ทำดีกับเขาวันนี้ จะพบกันในเส้นทางที่ดี ทำร้ายเขาในวันนี้ ก็จะต้องตามจองเวรกันต่อไป ไม่สิ้นสุด ดังนั้น คำว่า "เพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย" จึงเป็นคำที่มีนัยยะสำคัญกว่าที่เราคิดไว้หลายเท่า จงมองผู้อื่นให้เหมือนครอบครัวของท่าน นั่นคือ หนทางที่ดีที่สุด

8. เมื่อการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง การบริหารจัดการชีวิตของเรา ก็สมควรเป็นการบริหารจัดการชีวิตที่ครอบคลุมทุกมิติ ไม่เน้นหนักในชาติใดชาติหนึ่ง ชาตินี้ก็ต้องกินต้องใช้ แต่ชาติหน้าก็ต้องเผื่อเหลือเผื่อขาด กิจกรรมบางอย่าง อาจส่งผลดีสูงสุดในชาตินี้ แต่ชาติหน้าอาจทำให้ท่านไม่เหลืออะไรเลยแม้แต่อัตภาพความเป็นมนุษย์ ดังนั้น ในทุกวัน เราควรถามตนเองว่า วันนี้เราได้เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัวในชาติหน้าบ้างแล้วหรือยัง

9. เวลาที่เราเห็นตรงหน้า มีเพียงปัจจุบัน วินาทีต่อวินาที เมื่อเวลาเคลื่อนเลยไป ไม่มีใครสามารถนำช่วงเวลานั้นกลับมาใช้ซ้ำได้ อดีต ไม่มีจริง เพราะอดีต คือภาพจำที่เรานำมาคิดซ้ำในเวลาปัจจุบัน ส่วนอนาคตก็ไม่มีจริง เพราะอนาคต ก็คือการปรุงแต่งในปัจจุบันของเรา จงจำไว้เสมอ ชีวิต คือเรื่องสดใหม่ ตัวท่านมีอยู่เพียงปัจจุบันการอยู่กับปัจจุบันจะช่วยแก้ปัญหาทุกอย่างในชีวิตของท่านได้ และนี่คือ กุญแจเพียงดอกเดียวที่จะไขความลับของชีวิต จงอยู่กับปัจจุบันจนถึงที่สุด(มีสติและสัมปชัญญะ) แล้วชีวิตจะเป็นของท่านอย่างแท้จริง

10. เป้าหมายของการเกิดเป็นมนุษย์คืออะไร บางคนบอกว่า ฉันเกิดมาเพื่อมีความสุข บางคนบอกว่า ฉันเกิดมาเพื่อสร้างสิ่งดีงามไว้ให้โลก บางคนบอกว่า ฉันเกิดมาเพื่อคนที่ฉันรัก นั่นก็เป็นสิ่งที่จะคิดกันไปตามภูมิปัญญา แต่ละคนก็มีเป้าหมายชีวิตที่แตกต่างกันไป แต่สำหรับพระพุทธเจ้า ท่านได้ฝากเป้าหมายไว้ให้มนุษยชาติอย่างชัดเจน เป้าหมายของการเกิดเป็นมนุษย์ในทัศนะของพระพุทธเจ้า ก็คือ การดับกิเลส และทำที่สุดแห่งทุกข์ให้แจ้ง คือการดับความไม่รู้ หรืออวิชา อันเป็นต้นเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิดตลอดการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ

ขอให้เชื่อเถอะว่า เราเคยตั้งเป้าหมายชีวิตมาแล้วนับไม่ถ้วน และขอให้เชื่อเถอะว่า ทุกเป้าหมาย ทุกความปราถนา ทุกความสำเร็จ ทุกความอยากมี อยากดี อยากได้ อยากเป็น เราล้วนเคยบรรลุมาแล้วก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น คงเหลือเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้นที่เรายังไม่เคยบรรลุ นั่นคือเป้าหมายแห่งการไม่เกิด ไม่ตาย

เช่นนั้นแล้ว ถ้าชาตินี้เรายังตั้งเป้าหมายเก่าๆ ซ้ำๆ เดิมๆ ชีวิตของเราคงไม่ต่างอะไรกับนิยายน้ำเน่าที่นำมาเล่าซ้ำๆ เปลี่ยนแต่เพียงชื่อแซ่ หน้าตา เสื้อผ้า หน้า ผม แต่ทุกอย่างก็ยังวนเวียนอยู่ในวังวนเก่าๆ

เช่นนี้แล้ว การเกิดของเราคงเป็นการเกิดที่ไร้ค่า

จงหยุดคิด พินิจ ใคร่ครวญ ด้วยสัมปชัญญะของท่าน อัตภาพความเป็นมนุษย์ คือ สิ่งล้ำค่าอันหาที่สุดมิได้ ทุกวันนี้ท่านกำลังใช้สิ่งล้ำค่าที่ว่า เพื่อแสวงหาสิ่งใดอยู่หรือ!!!

ขออนุโมทนาบุญกับพระสงฆ์ผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบแล้วในศาสนาพุทธ..ทุกองค์...ท่านผู้มีศีลใฝ่ธรรมใฝ่เจริญภาวนา ในฐานะที่ท่านอยู่ในเส้นทางที่ควรจะเป็น ในการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ และขออนุโมทนาบุญกับท่านเจ้าของบทความนี้ขอให้ท่านจงเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นครับ
:idea: :idea:
ไฟล์แนบ
CSC_๑๐.jpg
CSC_๑๐.jpg (24.89 KiB) เข้าดูแล้ว 845 ครั้ง
CSC_๑๖.jpg
CSC_๑๖.jpg (117.62 KiB) เข้าดูแล้ว 845 ครั้ง
สวัสดียามบ่ายของวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๖ วันที่อากาศเปิดพอให้หายใจหายคอได้สดวก แต่ไม่ถึงกับร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นเวลาเกือบ ๓ เดือนเต็ม ๆ ที่เราไม่ได้จับจักรยานคู่ใจออกปั่นไปทิศทางใดเลย เนื่องจากสภาพอากาศที่สุดแย่ที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมาเลยละครับ ฝุ่น pm.2.5 มันร้ายกาจโหดร้ายพอสมควร ผมไม่เคยแพ้อะไรเลย พอมาเจอหนัก ๆ เล่นเอาย่ำแย่พอสมควร<br /><br />เมื่อวานท้องฟ้าเมืองเชียงใหม่มีพายุฝน ลูกเห็บกระหน่ำพังเสียหายหลาย ๆ พื้นที่ ตั้งแต่ อ.ฝาง ขึ้นมาจนถึงตัวเมืองเชียงใหม่ เป็นเวลาประจวบเหมาะกับคนสำคัญมาเหยียบเมืองเชียงใหม่ด้วย ความคิดความอ่านของคนยิ่งแตกแยกกันไปใหญ่ <br /><br />เช้าวันนี้เราสองคนมองฟ้าอากาศ พอที่จะออกไปปั่นตัดสินใจพาเจ้าตัวเล็กออกไปปั่น บอกตรง ๆ สองข้างทางมีป้ายหาเสียงเต็มไปหมด อ่านแทบจะทุกป้าย จิตมีหน้าที่คิด (ห้ามไม่ได้) ทั้งคิดดีคิดไม่ดี หลั่งไหลออกมาสุดท้าย &quot;เศร้าใจครับ&quot; บ้านเมืองเราคนระดับมันสมอง สติปัญญาล้ำเลิศ สิ่งที่เขาเหล่านั้นแสดงออกมามองได้ชัดเจนว่า &quot;เขาดูถูกประชาชน คนหาเช้ากินค่ำ คนจน ไพร่ &quot;<br /><br />อีกไม่นานเราจะได้เห็นเขา(กลุ่มคน)ที่รณรงณ์หาเสียงแบบดูถูก ดูแคลน ประชาชนคนรากหญ้า ว่า ปชช.ก็มีจิตมีวิญญาณ รู้อะไรดี อะไรชอบ อะไรถูก อะไรควร ฯ เขาจะตัดสินใจเลือกใคร<br /><br />ส่วนตัวผมเฝ้าสวดมนต์วิงวอนสิ่งศักดิ์ขอให้ได้ดลใจให้ ประชาชนคนรากหญ้าเลิก &quot;โง่&quot; เลือกคนดีที่มีคุณธรรมเข้ามาบริหารบ้านเมือง <br /><br />เข้าเขตลำพูน เจอป้ายหาเสียงมีอยู่ป้ายหนึ่งประทับใจมาก ๆ ไม่บอกพรรคใด มีแต่รูปภาพคนหาเสียงในป้าย ป้ายนั้นมีคำที่กินใจ ถูกใจ เขียนว่า &quot;เลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ชอบ&quot; <br /><br />จริง ๆ ครับเวลานี้เราไม่สามารถแบ่งแยกออกได้เลยว่า &quot;พรรคใดดี ?&quot; เลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ใช่ น่าจะเป็นหนทางเดียวที่เราพอจะตัดสินใจได้ครับ สำหรับผมและคุณนายมี &quot;คนที่รักและมีพรรคที่ใช่&quot; อยู่ในใจแล้วรอเวลาแค่นั้น และพร้อมนี้หวังใจว่า ปชช.จะให้บทเรียนแก่นักการเมืองเลว ๆ ที่ออกมาอาละวาด โกหก ตอแหล หน้าด้าน ๆ แบบไม่อายฟ้าดินขอให้กูได้สิ่งที่กูต้องการแค่นั้นพอ<br /><br />นรกแย่งกันมาเกิด สวรรค์รอพระศรีอาริยเมตตรัย โลกจึงใกล้เวลาอวสาน ปชช.ต้องตระหนักช่วยกันเลือก ให้ได้คนเลวน้อยที่สุด เพื่อประวิงเวลาให้คนรุ่นเรามีลมหายใจที่เป็นสุข สงบ จนกว่าวาระสุดท้ายของพวกเรา อย่าลืมไปเลือก &quot;คนที่รักพรรคที่ใช่&quot; แล้ววันนั้นเราจะมาดูกันว่า คนไทย โง่ จริงหรือ ??????
สวัสดียามบ่ายของวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๖ วันที่อากาศเปิดพอให้หายใจหายคอได้สดวก แต่ไม่ถึงกับร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นเวลาเกือบ ๓ เดือนเต็ม ๆ ที่เราไม่ได้จับจักรยานคู่ใจออกปั่นไปทิศทางใดเลย เนื่องจากสภาพอากาศที่สุดแย่ที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมาเลยละครับ ฝุ่น pm.2.5 มันร้ายกาจโหดร้ายพอสมควร ผมไม่เคยแพ้อะไรเลย พอมาเจอหนัก ๆ เล่นเอาย่ำแย่พอสมควร

เมื่อวานท้องฟ้าเมืองเชียงใหม่มีพายุฝน ลูกเห็บกระหน่ำพังเสียหายหลาย ๆ พื้นที่ ตั้งแต่ อ.ฝาง ขึ้นมาจนถึงตัวเมืองเชียงใหม่ เป็นเวลาประจวบเหมาะกับคนสำคัญมาเหยียบเมืองเชียงใหม่ด้วย ความคิดความอ่านของคนยิ่งแตกแยกกันไปใหญ่

เช้าวันนี้เราสองคนมองฟ้าอากาศ พอที่จะออกไปปั่นตัดสินใจพาเจ้าตัวเล็กออกไปปั่น บอกตรง ๆ สองข้างทางมีป้ายหาเสียงเต็มไปหมด อ่านแทบจะทุกป้าย จิตมีหน้าที่คิด (ห้ามไม่ได้) ทั้งคิดดีคิดไม่ดี หลั่งไหลออกมาสุดท้าย "เศร้าใจครับ" บ้านเมืองเราคนระดับมันสมอง สติปัญญาล้ำเลิศ สิ่งที่เขาเหล่านั้นแสดงออกมามองได้ชัดเจนว่า "เขาดูถูกประชาชน คนหาเช้ากินค่ำ คนจน ไพร่ "

อีกไม่นานเราจะได้เห็นเขา(กลุ่มคน)ที่รณรงณ์หาเสียงแบบดูถูก ดูแคลน ประชาชนคนรากหญ้า ว่า ปชช.ก็มีจิตมีวิญญาณ รู้อะไรดี อะไรชอบ อะไรถูก อะไรควร ฯ เขาจะตัดสินใจเลือกใคร

ส่วนตัวผมเฝ้าสวดมนต์วิงวอนสิ่งศักดิ์ขอให้ได้ดลใจให้ ประชาชนคนรากหญ้าเลิก "โง่" เลือกคนดีที่มีคุณธรรมเข้ามาบริหารบ้านเมือง

เข้าเขตลำพูน เจอป้ายหาเสียงมีอยู่ป้ายหนึ่งประทับใจมาก ๆ ไม่บอกพรรคใด มีแต่รูปภาพคนหาเสียงในป้าย ป้ายนั้นมีคำที่กินใจ ถูกใจ เขียนว่า "เลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ชอบ"

จริง ๆ ครับเวลานี้เราไม่สามารถแบ่งแยกออกได้เลยว่า "พรรคใดดี ?" เลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ใช่ น่าจะเป็นหนทางเดียวที่เราพอจะตัดสินใจได้ครับ สำหรับผมและคุณนายมี "คนที่รักและมีพรรคที่ใช่" อยู่ในใจแล้วรอเวลาแค่นั้น และพร้อมนี้หวังใจว่า ปชช.จะให้บทเรียนแก่นักการเมืองเลว ๆ ที่ออกมาอาละวาด โกหก ตอแหล หน้าด้าน ๆ แบบไม่อายฟ้าดินขอให้กูได้สิ่งที่กูต้องการแค่นั้นพอ

นรกแย่งกันมาเกิด สวรรค์รอพระศรีอาริยเมตตรัย โลกจึงใกล้เวลาอวสาน ปชช.ต้องตระหนักช่วยกันเลือก ให้ได้คนเลวน้อยที่สุด เพื่อประวิงเวลาให้คนรุ่นเรามีลมหายใจที่เป็นสุข สงบ จนกว่าวาระสุดท้ายของพวกเรา อย่าลืมไปเลือก "คนที่รักพรรคที่ใช่" แล้ววันนั้นเราจะมาดูกันว่า คนไทย โง่ จริงหรือ ??????
CSC_๑๐๑.jpg (96.36 KiB) เข้าดูแล้ว 845 ครั้ง
เราออกจากพระธาตุภูเพ็ก ปั่นออกมาเรื่อย ๆ ผ่านวัด ๆ หนึ่งเห็นคนนุ่งชุดขาวเยอะมาก เต็มถนน(กำลังข้ามถนน) ผมจอดรถให้คนข้ามตาก็เหลือบไปเห็นป้ายชื่อวัด สังเกตุผู้ปฏิบัติธรรมล้วนน่าเลื่อมใส ใจอยากจะเข้าไปเยี่ยมชม แต่ดู ๆ แล้วเขาน่าจะมีกรรมวิธีพอสมควร อย่ารบกวนหมู่กลุ่มเขาเลยไว้ตั้งใจมาจริง ๆ ค่อยว่ากัน เมื่อผู้ปฏิบัติธรรมข้ามถนนหมดเราก็เดินทางต่อไป ถึงบ้านสืบข้อมูล ก็ไม่แปลกใจทำไมผู้ปฏิบัติธรรมจึงเยอะขนาดนั้น (บารมีหลวงปู่เทียนนี่เอง) <br /><br />ประวัติ และความเป็นมาของ วัดโสมนัส จังหวัดสกลนคร ที่ต้องไปซักครั้ง<br /><br />วัดป่าโศมพนัส เป็นวัดที่อยู่ในจังหวัดสกลนคร เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมที่ดูแลโดย “พระอาจารย์สุริยา มหาปุญุโญ” ด้วยการนำแนวทางการปฎิบัติของหลวงพ่อเทียน จิตุตสุโภมาปรับใช้ ซึ่งเรียกว่า “การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว” ตลอดปีจะมีบรรดาผู้สนใจเข้ามาศึกษาและปฏิบัติธรรมเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักท่องเที่ยว พนักงานบริษัทเอกชน หรือประชาชนในทั่วไปในพื้นที่ โดยเน้นการสอนแบบแนวทางปฏิบัติ ให้รู้จักกับตนเอง ดูแลการสอนโดยพระอาจารย์โดยตรง เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงคำสอนได้ถูกต้อง<br /><br />การก่อตั้งวัดป่าโสมพนัส<br /><br />เรื่องราวเกิดขึ้นใน พ.ศ. 2494 เมื่อหลวงพ่อโสม โสภิโตได้กำลังธุดงค์มาจำพรรษาที่พระธาตุภูเพ็ก ทว่ากว่าที่จะเดินทางมาถึงจุดหมายท้องฟ้าก็เริ่มมืดเสียก่อน หลวงพ่อโสมจึงตัดสินใจที่จัดปักกรดในบริเวณนั้น (อ่างเก็บน้ำภูเพ็ก) เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นก็มีชาวบ้านผ่านมาเห็นท่านเข้า ก็เลยนิมนต์มาพักอยู่ที่หมู่บ้าน ด้วยความที่หมู่บ้านนี้ไม่มีวัด เวลาจะไปทำบุญก็ต้องเดินทางไปวัดที่อยู่ไกลออกไปจากหมู่บ้าน ชาวบ้านมีความเห็นกันว่าอยากจะสร้างวัดเอาไว้ใกล้ๆหมู่บ้าน เลยช่วยกันสร้างกุฎิ และศาลาไว้ในบริเวณพะลานหิน ชาวบ้านเรียกวัดแห่งนี้ว่า “วัดหลวงพ่อเซ็น”<br /><br /><br />ต่อมาได้มีพระรูปหนึ่งที่เดินทางมาศึกษาประวัติศาสตร์ของพระธาตุภูเพ็ก ท่านก็คือ “พระมหาสม สุมโณ” โดยระหว่างที่เดินทางก็มักจะมาพักอยู่ที่วัดหลวงพ่อเซ็นแห่งนี้ ซึ่งท่านก็เป็นผู้ที่ได้มอบชื่อ “วัดโสมพนัส” ให้ ตลอดระยะเวลานานกว่าหลายสิบปี วัดแห่งนี้ก็ได้พัฒนาเรื่อยมา จนมีพระสงฆ์จำพรรษาหลายองค์ ในขณะที่บางปีก็กลายเป็นวัดร้างที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา หลังจากที่พระมหาสมได้ศึกษาเรื่องราวของพระธาตุภูเพ็กมาอย่างยาวนาน ก็ได้กลายเป็นโบราณสถานที่มีคนรู้จักมากมาย ทำให้ผู้คนจำนวนมากเดินทางมาเยี่ยมชม ในขณะที่ได้มีการสร้างวัดใหม่ขึ้นคือ “วัดพระธาตุภูเพ็ก”<br /><br /><br />ก่อนที่จะมาเป็น “วัดป่าโศมพนัส” เคยเปลี่ยนชื่อมาแล้วถึง 5 ชื่อ ในตอนแรกที่วัดสร้างใหม่ยังไม่มีใครตั้งชื่อวัด แต่ในสมัยก่อนชาวบ้านมักเรียกว่า “วัดหลวงพ่อเซ็น” ก่อนที่พระมหาสมจะตั้งใหม่ให้คือ “วัดโสมพนส” พระครูสุวรรณเห็นว่าชื่อควรจะเปลี่ยนใหม่เป็น “วัดโสมมนัส” และเปลี่ยนเป็นครั้งที่ 4 โดยหลวงพ่อคือ “วัดป่าโสมพนัสสามัคคีธรรม” ในช่วงปี พ.ศ. 2531-2534 สุดท้ายในสมัยของพระอาจารย์สุริยา มหาปญุโญ ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็นครั้งสุดท้ายคือ “วัดป่าโสมพนัส” ซึ่งเป็นชื่อวัดในปัจจุบันที่ใช้มาตั้งแต่ช่วงที่พระอาจารย์มาจำพรรษาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538<br /><br />ข้อมูลจาก ศูนย์ปฏิบัติธรรม วัดป่าโสมนัส จ.สกลนคร สถานที่พัฒนาจิต เพื่อชีวิตที่ตื่นรู้ด้วยสัจธรรม
เราออกจากพระธาตุภูเพ็ก ปั่นออกมาเรื่อย ๆ ผ่านวัด ๆ หนึ่งเห็นคนนุ่งชุดขาวเยอะมาก เต็มถนน(กำลังข้ามถนน) ผมจอดรถให้คนข้ามตาก็เหลือบไปเห็นป้ายชื่อวัด สังเกตุผู้ปฏิบัติธรรมล้วนน่าเลื่อมใส ใจอยากจะเข้าไปเยี่ยมชม แต่ดู ๆ แล้วเขาน่าจะมีกรรมวิธีพอสมควร อย่ารบกวนหมู่กลุ่มเขาเลยไว้ตั้งใจมาจริง ๆ ค่อยว่ากัน เมื่อผู้ปฏิบัติธรรมข้ามถนนหมดเราก็เดินทางต่อไป ถึงบ้านสืบข้อมูล ก็ไม่แปลกใจทำไมผู้ปฏิบัติธรรมจึงเยอะขนาดนั้น (บารมีหลวงปู่เทียนนี่เอง)

ประวัติ และความเป็นมาของ วัดโสมนัส จังหวัดสกลนคร ที่ต้องไปซักครั้ง

วัดป่าโศมพนัส เป็นวัดที่อยู่ในจังหวัดสกลนคร เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมที่ดูแลโดย “พระอาจารย์สุริยา มหาปุญุโญ” ด้วยการนำแนวทางการปฎิบัติของหลวงพ่อเทียน จิตุตสุโภมาปรับใช้ ซึ่งเรียกว่า “การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว” ตลอดปีจะมีบรรดาผู้สนใจเข้ามาศึกษาและปฏิบัติธรรมเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักท่องเที่ยว พนักงานบริษัทเอกชน หรือประชาชนในทั่วไปในพื้นที่ โดยเน้นการสอนแบบแนวทางปฏิบัติ ให้รู้จักกับตนเอง ดูแลการสอนโดยพระอาจารย์โดยตรง เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงคำสอนได้ถูกต้อง

การก่อตั้งวัดป่าโสมพนัส

เรื่องราวเกิดขึ้นใน พ.ศ. 2494 เมื่อหลวงพ่อโสม โสภิโตได้กำลังธุดงค์มาจำพรรษาที่พระธาตุภูเพ็ก ทว่ากว่าที่จะเดินทางมาถึงจุดหมายท้องฟ้าก็เริ่มมืดเสียก่อน หลวงพ่อโสมจึงตัดสินใจที่จัดปักกรดในบริเวณนั้น (อ่างเก็บน้ำภูเพ็ก) เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นก็มีชาวบ้านผ่านมาเห็นท่านเข้า ก็เลยนิมนต์มาพักอยู่ที่หมู่บ้าน ด้วยความที่หมู่บ้านนี้ไม่มีวัด เวลาจะไปทำบุญก็ต้องเดินทางไปวัดที่อยู่ไกลออกไปจากหมู่บ้าน ชาวบ้านมีความเห็นกันว่าอยากจะสร้างวัดเอาไว้ใกล้ๆหมู่บ้าน เลยช่วยกันสร้างกุฎิ และศาลาไว้ในบริเวณพะลานหิน ชาวบ้านเรียกวัดแห่งนี้ว่า “วัดหลวงพ่อเซ็น”


ต่อมาได้มีพระรูปหนึ่งที่เดินทางมาศึกษาประวัติศาสตร์ของพระธาตุภูเพ็ก ท่านก็คือ “พระมหาสม สุมโณ” โดยระหว่างที่เดินทางก็มักจะมาพักอยู่ที่วัดหลวงพ่อเซ็นแห่งนี้ ซึ่งท่านก็เป็นผู้ที่ได้มอบชื่อ “วัดโสมพนัส” ให้ ตลอดระยะเวลานานกว่าหลายสิบปี วัดแห่งนี้ก็ได้พัฒนาเรื่อยมา จนมีพระสงฆ์จำพรรษาหลายองค์ ในขณะที่บางปีก็กลายเป็นวัดร้างที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา หลังจากที่พระมหาสมได้ศึกษาเรื่องราวของพระธาตุภูเพ็กมาอย่างยาวนาน ก็ได้กลายเป็นโบราณสถานที่มีคนรู้จักมากมาย ทำให้ผู้คนจำนวนมากเดินทางมาเยี่ยมชม ในขณะที่ได้มีการสร้างวัดใหม่ขึ้นคือ “วัดพระธาตุภูเพ็ก”


ก่อนที่จะมาเป็น “วัดป่าโศมพนัส” เคยเปลี่ยนชื่อมาแล้วถึง 5 ชื่อ ในตอนแรกที่วัดสร้างใหม่ยังไม่มีใครตั้งชื่อวัด แต่ในสมัยก่อนชาวบ้านมักเรียกว่า “วัดหลวงพ่อเซ็น” ก่อนที่พระมหาสมจะตั้งใหม่ให้คือ “วัดโสมพนส” พระครูสุวรรณเห็นว่าชื่อควรจะเปลี่ยนใหม่เป็น “วัดโสมมนัส” และเปลี่ยนเป็นครั้งที่ 4 โดยหลวงพ่อคือ “วัดป่าโสมพนัสสามัคคีธรรม” ในช่วงปี พ.ศ. 2531-2534 สุดท้ายในสมัยของพระอาจารย์สุริยา มหาปญุโญ ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็นครั้งสุดท้ายคือ “วัดป่าโสมพนัส” ซึ่งเป็นชื่อวัดในปัจจุบันที่ใช้มาตั้งแต่ช่วงที่พระอาจารย์มาจำพรรษาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538

ข้อมูลจาก ศูนย์ปฏิบัติธรรม วัดป่าโสมนัส จ.สกลนคร สถานที่พัฒนาจิต เพื่อชีวิตที่ตื่นรู้ด้วยสัจธรรม
CSC_๘๑.jpg (177.11 KiB) เข้าดูแล้ว 845 ครั้ง
CSC_๘๒.jpg
CSC_๘๒.jpg (130.88 KiB) เข้าดูแล้ว 845 ครั้ง
เรามุ่งตรงเพื่อให้ถึงยังวัดหลวงปู่สิม บังเอิญเราผ่านวัดที่ขึ้นป้ายว่ารักษาโรคมะเร็ง ความสนใจพุ่งสู่สมองมีหรือที่เราจะไม่แวะเข้าไปหาความรู้ เพื่อเป็นประสบการณ์อีกหนึ่งประสบการณ์ ที่จะไว้บอกกล่าวกับคนเป็นโรคมะเร็ง ซึ่งขณะนี้ติด Top Ten ในบ้านเมืองเราแล้ว<br /><br />อโรคยศาลวัดคำประมง สถานอภิบาลพักฟื้นผู้ป่วยด้วยสมุนไพรตามธรรมชาติ<br /><br />อโรคยศาล หมายถึง สถานอภิบาลพักฟื้นผู้ป่วยด้วยสมุนไพรตามธรรมชาติไปจนกว่าอาการของผู้ป่วยจะทุเลาเบาบางลงไป หรือหมดไปสิ้นไปด้วยวิถีแห่งธรรมะและธรรมชาติบำบัดและหรือการแพทย์แบบองค์รวม<br /><br />ประวัติความเป็นมาของอโรคยศาล<br /><br />อโรคยศาลมีความเป็นมาจากอารยธรรมขอม ในยุคสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ยุคนั้นมีการเกณฑ์ผู้คนมากมายในการสร้างปราสาทวิหาร การก่อสร้างก็ใช้ระยะเวลาในการสร้างยาวนานหลายสิบปี ผู้คนมากมายต่างก็ล้มป่วยด้วยโรคต่างๆ นานาชนิด จึงเกิดความเชื่ออย่างหนึ่งว่า ถ้ามีการก่อสร้างปราสาทต่างๆ ให้จัดทำสถานที่อภิบาล บำบัดรักษาผู้ป่วยก่อน ซึ่งสถานที่นี้เรียกกันว่า อโรคยศาล เพื่อให้ผู้คนหายจากอาการเจ็บป่วยและมีเรี่ยวแรงในการสร้างปราสาท สร้างวิหารให้สำเร็จต่อไป (จากหนังสือสมาธิบำบัดกับการรักษาโรคมะเร็ง, ๒๕๕๐)
เรามุ่งตรงเพื่อให้ถึงยังวัดหลวงปู่สิม บังเอิญเราผ่านวัดที่ขึ้นป้ายว่ารักษาโรคมะเร็ง ความสนใจพุ่งสู่สมองมีหรือที่เราจะไม่แวะเข้าไปหาความรู้ เพื่อเป็นประสบการณ์อีกหนึ่งประสบการณ์ ที่จะไว้บอกกล่าวกับคนเป็นโรคมะเร็ง ซึ่งขณะนี้ติด Top Ten ในบ้านเมืองเราแล้ว

อโรคยศาลวัดคำประมง สถานอภิบาลพักฟื้นผู้ป่วยด้วยสมุนไพรตามธรรมชาติ

อโรคยศาล หมายถึง สถานอภิบาลพักฟื้นผู้ป่วยด้วยสมุนไพรตามธรรมชาติไปจนกว่าอาการของผู้ป่วยจะทุเลาเบาบางลงไป หรือหมดไปสิ้นไปด้วยวิถีแห่งธรรมะและธรรมชาติบำบัดและหรือการแพทย์แบบองค์รวม

ประวัติความเป็นมาของอโรคยศาล

อโรคยศาลมีความเป็นมาจากอารยธรรมขอม ในยุคสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ยุคนั้นมีการเกณฑ์ผู้คนมากมายในการสร้างปราสาทวิหาร การก่อสร้างก็ใช้ระยะเวลาในการสร้างยาวนานหลายสิบปี ผู้คนมากมายต่างก็ล้มป่วยด้วยโรคต่างๆ นานาชนิด จึงเกิดความเชื่ออย่างหนึ่งว่า ถ้ามีการก่อสร้างปราสาทต่างๆ ให้จัดทำสถานที่อภิบาล บำบัดรักษาผู้ป่วยก่อน ซึ่งสถานที่นี้เรียกกันว่า อโรคยศาล เพื่อให้ผู้คนหายจากอาการเจ็บป่วยและมีเรี่ยวแรงในการสร้างปราสาท สร้างวิหารให้สำเร็จต่อไป (จากหนังสือสมาธิบำบัดกับการรักษาโรคมะเร็ง, ๒๕๕๐)
CSC_๘๓.jpg (146.47 KiB) เข้าดูแล้ว 845 ครั้ง
CSC_๘๔.jpg
CSC_๘๔.jpg (124.82 KiB) เข้าดูแล้ว 845 ครั้ง
CSC_๘๕.jpg
CSC_๘๕.jpg (126.81 KiB) เข้าดูแล้ว 845 ครั้ง
คัดย่อบางส่วน จากความเป็นมาของวัดคำประมง<br />(ย่อจาก บทสัมภาษณ์พระปพนพัชร์ ภิบาลพักตร์นิธี วันที่ ๑๙ พ.ค. ๒๕๕๐)<br /><br />หลวงตาไปภาวนาที่ถ้ำขาม จังหวัดสกลนคร ช่วงเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๒๙ ได้ทราบข่าวหลังจากไปวิเวกได้ลงมาข้างล่างที่วัดสันติฆาราม บ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ผู้ใหญ่บ้านชื่อนายเสริม มีจิตศรัทธาถวายที่ดินให้หลวงตาในนามของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร ซึ่งติดแม่น้ำอูน เป็นป่าเสื่อมโทรม ต่อมา ในเดือนเมษายน ประมาณวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๒๙ มีผู้ประสงค์ชื่อ คุณสมถวิล น้อยลมทวน ต้องการสร้างพระประธานถวาย จึงได้แจ้งให้หลวงปู่สิม ทราบว่ามีผู้ประสงค์ สร้างพระพุทธโสธรจำลองเท่าองค์จริงถวายเป็นพระประธาน หลวงปู่ ก็บอกว่างั้นพัลลภ(ชื่อเดิม) ท่านไปอยู่วัดคำประมงก็แล้วกันนะ ท่านจึงได้ย้ายจากวัดถ้ำผาปล่องมา อยุ่ที่วัดคำประมง อำเภอพรรณานิคม จังหวัด สกลนคร หลวงปู่สิมท่านมาเททองหล่อพระประธาน ในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๒๙<br /><br />เดิมนั้น วัดคำประมงยังไม่เจริญ ต้องขุดน้ำ ไฟฟ้า ยาไม่มี กุฏิชาวบ้านก็มาช่วยกันปักเสา เลื่อยไม้ ทำกุฏิจำนวน ๕ หลัง มุงหญ้า ฝาทำด้วยใบตองตึงและถุงปูน พระสงฆ์พอจำพรรษาได้จำนวน ๕ รูป เมื่อออกพรรษา เหลือท่านเพียงรูปเดียว ต่อมาได้ดำเนินการสร้างอุโบสถแล้วเสร็จในปี พ.ศ.๒๕๓๓
คัดย่อบางส่วน จากความเป็นมาของวัดคำประมง
(ย่อจาก บทสัมภาษณ์พระปพนพัชร์ ภิบาลพักตร์นิธี วันที่ ๑๙ พ.ค. ๒๕๕๐)

หลวงตาไปภาวนาที่ถ้ำขาม จังหวัดสกลนคร ช่วงเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๒๙ ได้ทราบข่าวหลังจากไปวิเวกได้ลงมาข้างล่างที่วัดสันติฆาราม บ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ผู้ใหญ่บ้านชื่อนายเสริม มีจิตศรัทธาถวายที่ดินให้หลวงตาในนามของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร ซึ่งติดแม่น้ำอูน เป็นป่าเสื่อมโทรม ต่อมา ในเดือนเมษายน ประมาณวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๒๙ มีผู้ประสงค์ชื่อ คุณสมถวิล น้อยลมทวน ต้องการสร้างพระประธานถวาย จึงได้แจ้งให้หลวงปู่สิม ทราบว่ามีผู้ประสงค์ สร้างพระพุทธโสธรจำลองเท่าองค์จริงถวายเป็นพระประธาน หลวงปู่ ก็บอกว่างั้นพัลลภ(ชื่อเดิม) ท่านไปอยู่วัดคำประมงก็แล้วกันนะ ท่านจึงได้ย้ายจากวัดถ้ำผาปล่องมา อยุ่ที่วัดคำประมง อำเภอพรรณานิคม จังหวัด สกลนคร หลวงปู่สิมท่านมาเททองหล่อพระประธาน ในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๒๙

เดิมนั้น วัดคำประมงยังไม่เจริญ ต้องขุดน้ำ ไฟฟ้า ยาไม่มี กุฏิชาวบ้านก็มาช่วยกันปักเสา เลื่อยไม้ ทำกุฏิจำนวน ๕ หลัง มุงหญ้า ฝาทำด้วยใบตองตึงและถุงปูน พระสงฆ์พอจำพรรษาได้จำนวน ๕ รูป เมื่อออกพรรษา เหลือท่านเพียงรูปเดียว ต่อมาได้ดำเนินการสร้างอุโบสถแล้วเสร็จในปี พ.ศ.๒๕๓๓
CSC_๘๖.jpg (142.41 KiB) เข้าดูแล้ว 845 ครั้ง
หลวงพ่อเคยอยู่เชียงใหม่มาก่อน และเคยอยู่ที่วัดสันติธรรมด้วย วัดสันติธรรมนั้นคุณแม่ผมท่านเป็นศรัทธาประจำ วันที่ท่านเสียชีวิตก็นำร่างของท่านไปบำเพ็ญกุศลศพที่นั่น ก่อนที่จะมอบร่างให้ รพ.สวนดอก ท่านเจ้าอาวาสรับเป็นเจ้าภาพสวดศพทุกคืน นอกจากนี้ท่านก็ติดตามหลวงปู่สิมไปอยู่ที่ถ้ำผาปล่องด้วย เราคุยกันสนุกสนานถูกคอกันดีครับ ท่านเล่าให้ฟังพอสรุปได้ว่า<br /><br />วัตถุประสงค์ของ อโรคยศาล วัดคำประมง เกิดขึ้นเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์(ทุกชาติศาสนา) ที่มีความทุกข์อันเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บที่รุนแรงโดยเฉพาะโรคมะเร็ง โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น<br /><br /><br />เป้าหมายของการรักษา ไม่ได้อยู่ที่จะรักษาโรคให้หายหรือทุเลาเบาบางลงไปแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่อยู่ที่สามารถตอบสนองความต้องการตามธรรมชาติของผู้ป่วย ที่ต้องการความเข้าใจชีวิตและมีความสุขในช่วงที่เจ็บป่วย ถ้าหากว่าจะต้องเสียชีวิตก็เสียชีวิตไปอย่างสุขสงบ (ตายแบบยิ้มได้) อยู่บนพื้นฐานของการปฏิบัติตามแนวทางศาสนาและวิทยาศาสตร์การแพทย์ ญาติและผู้ป่วยก็จะได้รับประโยชน์จากการช่วยดูแลผู้ป่วย ซึ่งจะมีผลในการปรับทัศนคติในการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข และสามารถเข้าใจและดูแลตนเองไม่ให้ป่วยเป็นมะเร็งต่อไป<br /><br />อนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ปชช.คนป่วยจะได้มีอีกหนึ่งทางเลือกครับ
หลวงพ่อเคยอยู่เชียงใหม่มาก่อน และเคยอยู่ที่วัดสันติธรรมด้วย วัดสันติธรรมนั้นคุณแม่ผมท่านเป็นศรัทธาประจำ วันที่ท่านเสียชีวิตก็นำร่างของท่านไปบำเพ็ญกุศลศพที่นั่น ก่อนที่จะมอบร่างให้ รพ.สวนดอก ท่านเจ้าอาวาสรับเป็นเจ้าภาพสวดศพทุกคืน นอกจากนี้ท่านก็ติดตามหลวงปู่สิมไปอยู่ที่ถ้ำผาปล่องด้วย เราคุยกันสนุกสนานถูกคอกันดีครับ ท่านเล่าให้ฟังพอสรุปได้ว่า

วัตถุประสงค์ของ อโรคยศาล วัดคำประมง เกิดขึ้นเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์(ทุกชาติศาสนา) ที่มีความทุกข์อันเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บที่รุนแรงโดยเฉพาะโรคมะเร็ง โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น


เป้าหมายของการรักษา ไม่ได้อยู่ที่จะรักษาโรคให้หายหรือทุเลาเบาบางลงไปแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่อยู่ที่สามารถตอบสนองความต้องการตามธรรมชาติของผู้ป่วย ที่ต้องการความเข้าใจชีวิตและมีความสุขในช่วงที่เจ็บป่วย ถ้าหากว่าจะต้องเสียชีวิตก็เสียชีวิตไปอย่างสุขสงบ (ตายแบบยิ้มได้) อยู่บนพื้นฐานของการปฏิบัติตามแนวทางศาสนาและวิทยาศาสตร์การแพทย์ ญาติและผู้ป่วยก็จะได้รับประโยชน์จากการช่วยดูแลผู้ป่วย ซึ่งจะมีผลในการปรับทัศนคติในการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข และสามารถเข้าใจและดูแลตนเองไม่ให้ป่วยเป็นมะเร็งต่อไป

อนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ปชช.คนป่วยจะได้มีอีกหนึ่งทางเลือกครับ
CSC_๘๗.jpg (124.03 KiB) เข้าดูแล้ว 845 ครั้ง
CSC_๘๘.jpg
CSC_๘๘.jpg (132.41 KiB) เข้าดูแล้ว 845 ครั้ง
CSC_๘๙.jpg
CSC_๘๙.jpg (37.3 KiB) เข้าดูแล้ว 845 ครั้ง
อำลาหลวงพ่อท่านเดินทางสู่เป้าหมายของเราต่อไป คราวนี้ไม่แวะที่ใดแล้ว ประมาณว่าเราจะไปทานมื้อเที่ยงกันที่วัดหลวงปู่สิมครับ เป็นไปตามที่ตั้งใจไว้ แต่เวลาก็เลยไปพอสมควร เราไปชมวัดหลวงปู่กันครับ
อำลาหลวงพ่อท่านเดินทางสู่เป้าหมายของเราต่อไป คราวนี้ไม่แวะที่ใดแล้ว ประมาณว่าเราจะไปทานมื้อเที่ยงกันที่วัดหลวงปู่สิมครับ เป็นไปตามที่ตั้งใจไว้ แต่เวลาก็เลยไปพอสมควร เราไปชมวัดหลวงปู่กันครับ
CSC_๙๐.jpg (85.52 KiB) เข้าดูแล้ว 845 ครั้ง
CSC_๙๑.jpg
CSC_๙๑.jpg (130.22 KiB) เข้าดูแล้ว 845 ครั้ง
CSC_๙๒.jpg
CSC_๙๒.jpg (124.69 KiB) เข้าดูแล้ว 845 ครั้ง
เราพากันไปกราบท่านเจ้าอาวาส พอทราบประวัติคร่าว ๆ ว่า<br /><br /><br />สำหรับ วัดสันติสังฆาราม จังหวัดสกลนครนี้ หลวงปู่ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างพระอุโบสถตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ จนแล้วเสร็จ และได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จมาฝังลูกนิมิตในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๓ ในโอกาสเดียวกับงานอายุครบ ๗๑ พรรษา ของหลวงปู่<br /><br />จริง ๆ แล้วหลวงปู่ได้มาจัดสร้างไว้นานแล้วคือ &quot;<br />ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ ออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ได้เรียนขออนุญาตต่อสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เดินทางธุดงค์กลับถึงบ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เพื่อโปรดญาติโยมที่บ้านเกิดตามคำอาราธนา และเมื่อหลวงปู่ปรารภ ที่จะให้มีวัดป่าธรรมยุติกนิกายขึ้นเป็นวัดแรกในบ้านบัว ญาติโยม จึงต่างสนองตอบ คำปรารภของหลวงปู่อย่างกระตือรือร้นและเต็มอกเต็มใจ โยมอาของท่าน คือนางคำไพ ทุมกิจจะ ได้มีศรัทธาถวายที่ดินให้หลวงปู่ จัดสร้างเป็นสำนักสงฆ์ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๘๐ สำนักสงฆ์นี้ปัจจุบันได้พัฒนาเป็น &quot;วัดสันติสังฆาราม&quot; ในปัจจุบันนี้
เราพากันไปกราบท่านเจ้าอาวาส พอทราบประวัติคร่าว ๆ ว่า


สำหรับ วัดสันติสังฆาราม จังหวัดสกลนครนี้ หลวงปู่ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างพระอุโบสถตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ จนแล้วเสร็จ และได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จมาฝังลูกนิมิตในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๓ ในโอกาสเดียวกับงานอายุครบ ๗๑ พรรษา ของหลวงปู่

จริง ๆ แล้วหลวงปู่ได้มาจัดสร้างไว้นานแล้วคือ "
ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ ออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ได้เรียนขออนุญาตต่อสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เดินทางธุดงค์กลับถึงบ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เพื่อโปรดญาติโยมที่บ้านเกิดตามคำอาราธนา และเมื่อหลวงปู่ปรารภ ที่จะให้มีวัดป่าธรรมยุติกนิกายขึ้นเป็นวัดแรกในบ้านบัว ญาติโยม จึงต่างสนองตอบ คำปรารภของหลวงปู่อย่างกระตือรือร้นและเต็มอกเต็มใจ โยมอาของท่าน คือนางคำไพ ทุมกิจจะ ได้มีศรัทธาถวายที่ดินให้หลวงปู่ จัดสร้างเป็นสำนักสงฆ์ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๘๐ สำนักสงฆ์นี้ปัจจุบันได้พัฒนาเป็น "วัดสันติสังฆาราม" ในปัจจุบันนี้
CSC_๙๔.jpg (134.22 KiB) เข้าดูแล้ว 845 ครั้ง
CSC_๙๕.jpg
CSC_๙๕.jpg (107.63 KiB) เข้าดูแล้ว 845 ครั้ง
CSC_๙๓.jpg
CSC_๙๓.jpg (135.54 KiB) เข้าดูแล้ว 845 ครั้ง
CSC_๙๖.jpg
CSC_๙๖.jpg (99.31 KiB) เข้าดูแล้ว 845 ครั้ง
เราอยู่สนทนากับท่านเจ้าอาวาสพอสมควร ท่านเมตตาเปิดประตูพระธาตุ และพระอุโบสถให้เราเข้าชม สิ่งสวยงามในพระอุโบสถและพระเจดีย์หลวงปู่ เมื่อเราชมจนอิ่มใจได้เวลา หาที่รับประทานมื้อเที่ยงกัน ไปได้กุฏิด้านหลังพอหลบนั่งทานอาหาร <br /><br />หลังจากที่ทานอาหารเรียบร้อยเราก็ตกลงกันว่ากลับที่พักเพื่อเตรียมตัว อำลา ท่านพระอาจารย์ เพราะเรามาอยู่ที่วัดและพักที่บ้านพี่สาวตั้งแต่ ๑๖ - ๑๙ พ.ย.๖๕ รวม ๔ คืน ๕ วันได้ท่องเที่ยวกราบสักการะพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของเราสมใจ แต่ หากเราปั่นเจ้าตัวเล็กของเรา เรียกว่าครึ่งเดือนคงไม่ได้ขนาดนี้ นับเป็นความโชคดีของเรา &quot;โชคดีมีบุญมาก ๆ ครับ&quot;
เราอยู่สนทนากับท่านเจ้าอาวาสพอสมควร ท่านเมตตาเปิดประตูพระธาตุ และพระอุโบสถให้เราเข้าชม สิ่งสวยงามในพระอุโบสถและพระเจดีย์หลวงปู่ เมื่อเราชมจนอิ่มใจได้เวลา หาที่รับประทานมื้อเที่ยงกัน ไปได้กุฏิด้านหลังพอหลบนั่งทานอาหาร

หลังจากที่ทานอาหารเรียบร้อยเราก็ตกลงกันว่ากลับที่พักเพื่อเตรียมตัว อำลา ท่านพระอาจารย์ เพราะเรามาอยู่ที่วัดและพักที่บ้านพี่สาวตั้งแต่ ๑๖ - ๑๙ พ.ย.๖๕ รวม ๔ คืน ๕ วันได้ท่องเที่ยวกราบสักการะพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของเราสมใจ แต่ หากเราปั่นเจ้าตัวเล็กของเรา เรียกว่าครึ่งเดือนคงไม่ได้ขนาดนี้ นับเป็นความโชคดีของเรา "โชคดีมีบุญมาก ๆ ครับ"
แก้ไขล่าสุดโดย Deang-sarapee เมื่อ 21 มี.ค. 2023, 06:15, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4365
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D เพลงคำขวัญ18อำเภอสกลนคร :) :D

:) :D วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราสองคนได้พากันมาปั่นเที่ยวเมืองรอง "เมืองสกลนคร" ครั้งแรกเราเป็นห่วงว่าเราคงไปกราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ได้ไม่กี่องค์ เป็นความโชคดีที่ท่านพระอาจารย์ บัณฑิตเหมือนจะรู้ใจ สั่งให้เราสองคนไปนอนที่บ้านพี่สาว ให้โอกาสเราได้สร้างบุญกุศล ทุกเช้าที่วัดป่าอุดมสมพร ที่สำคัญท่านได้พาไปชมวัดถ้ำขาม ที่เราสองคนตั้งใจไว้หลายรอบ แต่ไม่ถึงสักรอบ รอบนี้สมหวังจริง ๆ และเพื่อให้ไปได้หลาย ๆ วัดท่านเมตตาแนะนำ ให้เราใช้รถยนต์ไปกราบ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ดีกว่า จะได้หลาย ๆ ที่ตามที่ตั้งใจ ต้องกราบขอบพระคุณไว้ ณที่นี้ด้วยครับ :) :D

:) :D โฮมเหง้าไทสกล - เครือข่าย เพลง ดนตรี กวี ศิลป์ สกลนคร :) :D
ไฟล์แนบ
น้ำใส เกินไป ก็ไร้ปลา<br />ตรงไป ตรงมา ก็ไร้เพื่อน<br />ฟ้าแจ้ง เกินไป ก็ไร้เดือน<br />ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ก็ไร้ใจ<br /><br />มีพร้อม เกินไป ก็ไม่ดี<br />บกพร่อง กว่านี้ ก็ไม่ไหว<br />ลุ่มหลง เกินรัก ก็หนักใจ<br />คิดมาก เกินไป ก็หนักตน<br /><br />อ่อนน้อม ถ่อมไป ก็เสียเชิง<br />ตะเพิด เปิดเปิง ก็เสียผล<br />เข้มงวด เกินไป ก็เสียคน<br />ยอมให้ ทุกหน ก็เสียการ<br /><br />พอให้พอดี... ก็พอ<br />&quot; คน &quot; คบได้ ก็คบ..<br />ถ้าคบแล้วมีแต่ &quot;เสีย&quot;<br />ก็ควร &quot;แยกย้าย&quot;<br /><br />คิดจะซื้อใจ &quot;คนเห็นแก่ได้&quot;<br />ด้วยการ &quot;ให้&quot;<br />เท่าไหร่ ก็ &quot;ไม่พอ!”
น้ำใส เกินไป ก็ไร้ปลา
ตรงไป ตรงมา ก็ไร้เพื่อน
ฟ้าแจ้ง เกินไป ก็ไร้เดือน
ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ก็ไร้ใจ

มีพร้อม เกินไป ก็ไม่ดี
บกพร่อง กว่านี้ ก็ไม่ไหว
ลุ่มหลง เกินรัก ก็หนักใจ
คิดมาก เกินไป ก็หนักตน

อ่อนน้อม ถ่อมไป ก็เสียเชิง
ตะเพิด เปิดเปิง ก็เสียผล
เข้มงวด เกินไป ก็เสียคน
ยอมให้ ทุกหน ก็เสียการ

พอให้พอดี... ก็พอ
" คน " คบได้ ก็คบ..
ถ้าคบแล้วมีแต่ "เสีย"
ก็ควร "แยกย้าย"

คิดจะซื้อใจ "คนเห็นแก่ได้"
ด้วยการ "ให้"
เท่าไหร่ ก็ "ไม่พอ!”
263748.jpg (59.2 KiB) เข้าดูแล้ว 839 ครั้ง
CSC_๙๘.jpg
CSC_๙๘.jpg (118.8 KiB) เข้าดูแล้ว 839 ครั้ง
วัดป่าสันติสังฆาราม (วัดหลวงปู่สิม) เป้าหมายสุดท้ายของเรา เป็นอันว่า &quot;จ.สกลนคร&quot; เมืองรองในรอบนี้ก็ได้เวลาสิ้นสุดลง (หมดเวลา) ก่อนจากเรามาศึกษาประวัติหลวงปู่กันสักนิดครับ<br /><br />พระญาณสิทธาจารย์ (สิม พุทฺธาจาโร) จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี<br /><br />พระญาณสิทธาจารย์ หรือ หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ท่านเกิดเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2452 ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 12 ปีระกา เวลาประมาณ 21.00 น. ตรงกับปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่บ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร บิดามารดาชื่อ นายสาน - นางสิงห์คำ วงศ์เข็มมา มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 10 คน ท่านเป็นคนที่ 5<br /><br />เมื่อท่านอายุ 17 ปี ได้ขอบิดามารดาบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดศรีรัตนาราม ซึ่งเป็นวัดมหานิกาย ณ บ้านบัว นั้นเอง เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2469 ตรงกับวัน อาทิตย์ แรม 7 ค่ำ เดือน 8 ปีมะโรง โดยมีพระอาจารย์สีทอง เป็นพระอุปัชฌาย์<br /><br />ต่อมา กองทัพธรรมของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้เดินทางธุดงค์มาถึงหนองคาย ท่านก็เฝ้าดูสังเกตพระศีลวัตรปฏิบัติของหลวงปู่มั่นและหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม และเกิดความเลื่อมใส จึงขอถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น ต่อมาท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2472 โดยมีพระเทพสิทธาจารย์ (จันทร์ เขมิโย) เมื่อครั้งยังเป็นพระครูพิศาลอรัญญเขต เจ้าคณะธรรมยุติจังหวัดขอนแก่น เป็นพระอุปัชฌาย์ และมีพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปลัดดวงจันทร์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า &quot;พุทฺธาจาโร&quot; หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่าได้ติดตามพระอาจารย์สิงห์ ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าวิเวกธรรม (วัดป่าบ้านเหล่างา) อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น วัดป่าบ้านเหล่างานี้เป็นวัดอยู่ในเขตป่าช้า (บริเวณโรงพยาบาลขอนแก่นในปัจจุบัน) <br /><br />ซึ่งท่านพระอาจารย์สิงห์ และ ท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ได้จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นสำนักอบรมกรรมฐาน แก่ญาติโยมชาวขอนแก่น จากนั้นท่านก็เริ่มปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์สิงห์ ได้เรียนรู้ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ จนถึงปี พ.ศ. 2480 <br /><br />หลังจากออกพรรษา ได้เรียนขออนุญาตต่อสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เดินทางธุดงค์กลับถึงบ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เพื่อโปรดญาติโยมที่บ้านเกิดตามคำอาราธนา และเมื่อหลวงปู่ปรารภ ที่จะให้มีวัดป่าธรรมยุติกนิกายขึ้นเป็นวัดแรกในบ้านบัว ญาติโยม จึงต่างสนองตอบ คำปรารภของหลวงปู่สิม อย่างกระตือรือร้นและเต็มอกเต็มใจ <br /><br />และในปี พ.ศ. 2504 ท่านพ่อลี ได้มรณภาพลง ทางคณะสงฆ์จึงมอบหมายให้หลวงปู่สิม ทำหน้าที่รักษาการเจ้าอาวาสชั่วคราว และในปี พ.ศ. 2508 และ พ.ศ. 2509 ท่านได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าสุทธาวาส จำพรรษาอยู่ได้เพียง 1 พรรษา ในปี พ.ศ. 2510 หลวงปู่สิมได้อาพาธหลายโรค ท่านจึงได้ลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสทุกวัด และได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดถ้ำผาปล่อง<br /><br />หลวงปู่เป็นผู้มีความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง อดทน พูดจริง ทำจริง ถือสัจจะมั่นคง เป็นผู้ไม่มากโวหาร ทุกวันหลวงปู่จะพาเริ่มงานตั้งแต่ตี 4 ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นพอ 10 โมงเช้า จึงพักฉันอาหาร หลังอาหารแล้วก็เริ่มทำงานกันต่อจนมืดค่ำ พอถึงเวลา 1 ทุ่ม หลวงปู่ก็จะพาสวดมนต์และฟังเทศน์ เสร็จแล้ว ก็เริ่มทิ้งหินลงในคอกไม้ที่สร้างไว้ ตลอดแนวฝาย กว่าจะได้จำวัดก็ 4 ทุ่ม หรือบางวัน งานจะติดพันจนถึงตีหนึ่งตีสอง เป็นดังนี้ตลอดระยะเวลา 4 เดือน นับตั้งแต่ เดือนมกราคม จนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2521 จนฝายน้ำล้นสร้างสำเร็จ หลวงปู่จึงกลับไปจำพรรษาที่ถ้ำผาปล่อง<br /><br />หลวงปู่สิมได้ละสังขารเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2535 เวลา 3.00 น. สิริอายุได้ 82 ปี 63 พรรษา
วัดป่าสันติสังฆาราม (วัดหลวงปู่สิม) เป้าหมายสุดท้ายของเรา เป็นอันว่า "จ.สกลนคร" เมืองรองในรอบนี้ก็ได้เวลาสิ้นสุดลง (หมดเวลา) ก่อนจากเรามาศึกษาประวัติหลวงปู่กันสักนิดครับ

พระญาณสิทธาจารย์ (สิม พุทฺธาจาโร) จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

พระญาณสิทธาจารย์ หรือ หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ท่านเกิดเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2452 ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 12 ปีระกา เวลาประมาณ 21.00 น. ตรงกับปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่บ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร บิดามารดาชื่อ นายสาน - นางสิงห์คำ วงศ์เข็มมา มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 10 คน ท่านเป็นคนที่ 5

เมื่อท่านอายุ 17 ปี ได้ขอบิดามารดาบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดศรีรัตนาราม ซึ่งเป็นวัดมหานิกาย ณ บ้านบัว นั้นเอง เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2469 ตรงกับวัน อาทิตย์ แรม 7 ค่ำ เดือน 8 ปีมะโรง โดยมีพระอาจารย์สีทอง เป็นพระอุปัชฌาย์

ต่อมา กองทัพธรรมของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้เดินทางธุดงค์มาถึงหนองคาย ท่านก็เฝ้าดูสังเกตพระศีลวัตรปฏิบัติของหลวงปู่มั่นและหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม และเกิดความเลื่อมใส จึงขอถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น ต่อมาท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2472 โดยมีพระเทพสิทธาจารย์ (จันทร์ เขมิโย) เมื่อครั้งยังเป็นพระครูพิศาลอรัญญเขต เจ้าคณะธรรมยุติจังหวัดขอนแก่น เป็นพระอุปัชฌาย์ และมีพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปลัดดวงจันทร์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "พุทฺธาจาโร" หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่าได้ติดตามพระอาจารย์สิงห์ ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าวิเวกธรรม (วัดป่าบ้านเหล่างา) อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น วัดป่าบ้านเหล่างานี้เป็นวัดอยู่ในเขตป่าช้า (บริเวณโรงพยาบาลขอนแก่นในปัจจุบัน)

ซึ่งท่านพระอาจารย์สิงห์ และ ท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ได้จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นสำนักอบรมกรรมฐาน แก่ญาติโยมชาวขอนแก่น จากนั้นท่านก็เริ่มปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์สิงห์ ได้เรียนรู้ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ จนถึงปี พ.ศ. 2480

หลังจากออกพรรษา ได้เรียนขออนุญาตต่อสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เดินทางธุดงค์กลับถึงบ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เพื่อโปรดญาติโยมที่บ้านเกิดตามคำอาราธนา และเมื่อหลวงปู่ปรารภ ที่จะให้มีวัดป่าธรรมยุติกนิกายขึ้นเป็นวัดแรกในบ้านบัว ญาติโยม จึงต่างสนองตอบ คำปรารภของหลวงปู่สิม อย่างกระตือรือร้นและเต็มอกเต็มใจ

และในปี พ.ศ. 2504 ท่านพ่อลี ได้มรณภาพลง ทางคณะสงฆ์จึงมอบหมายให้หลวงปู่สิม ทำหน้าที่รักษาการเจ้าอาวาสชั่วคราว และในปี พ.ศ. 2508 และ พ.ศ. 2509 ท่านได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าสุทธาวาส จำพรรษาอยู่ได้เพียง 1 พรรษา ในปี พ.ศ. 2510 หลวงปู่สิมได้อาพาธหลายโรค ท่านจึงได้ลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสทุกวัด และได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดถ้ำผาปล่อง

หลวงปู่เป็นผู้มีความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง อดทน พูดจริง ทำจริง ถือสัจจะมั่นคง เป็นผู้ไม่มากโวหาร ทุกวันหลวงปู่จะพาเริ่มงานตั้งแต่ตี 4 ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นพอ 10 โมงเช้า จึงพักฉันอาหาร หลังอาหารแล้วก็เริ่มทำงานกันต่อจนมืดค่ำ พอถึงเวลา 1 ทุ่ม หลวงปู่ก็จะพาสวดมนต์และฟังเทศน์ เสร็จแล้ว ก็เริ่มทิ้งหินลงในคอกไม้ที่สร้างไว้ ตลอดแนวฝาย กว่าจะได้จำวัดก็ 4 ทุ่ม หรือบางวัน งานจะติดพันจนถึงตีหนึ่งตีสอง เป็นดังนี้ตลอดระยะเวลา 4 เดือน นับตั้งแต่ เดือนมกราคม จนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2521 จนฝายน้ำล้นสร้างสำเร็จ หลวงปู่จึงกลับไปจำพรรษาที่ถ้ำผาปล่อง

หลวงปู่สิมได้ละสังขารเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2535 เวลา 3.00 น. สิริอายุได้ 82 ปี 63 พรรษา
CSC_๙๙.jpg (73.73 KiB) เข้าดูแล้ว 839 ครั้ง
การนำเสนอสรุปการท่องเที่ยวเมืองรอง จ.สกลนคร ก็มาถึงวาระสุดท้ายที่เราต้องเดินทางกลับ ชีวิตฆราวาส มีเรื่องที่ต้องทำเยอะแยะมากมาย ทั้ง ๆ ที่เราบอกเราหมดภาระแล้ว แท้จริงยังมีเรื่องให้ได้ต้องรับผิดชอบมากมาย เกิดเป็นคนต้องทำหน้าที่ &quot;การทำหน้าที่คือการปฏิบัติธรรม&quot; คิดเสียแบบนี้ก็จะทำให้ทุกอย่างคลี่คลาย แม้หลากหลายเรื่องราวเราไม่สบอารมณ์เลย ก็ต้องทำใจ วาสนาเราไม่ถึงซึ่งนิพพาน แต่อย่างน้อยก็ไม่ตกต่ำไปสู่นรก อบาย ก็ถือว่าไม่เสียชาติเกิด<br /><br />ครั้งต่อไปเราจะไปจังหวัดไหนอีก ต้องรอลมฟ้าอากาศเสียก่อน ที่ทราบ ๆ มาว่า &quot;ธรรมชาติจะโหดร้ายรุนแรงขึ้น&quot; เอาเป็นว่าเราไม่ประมาท&quot; แผนการท่องเที่ยวยังอยู่ใน &quot;หัว&quot; ไม่ลบล้างไปไหนพบกันในทริปต่อไป ขอได้รับคำขอบคุณจากใจ &quot;คุณลุงแดง - คุณป้าอ๋อย&quot; นะครับ สวัสดีและโชคดีทุกท่านทุกคนครับ
การนำเสนอสรุปการท่องเที่ยวเมืองรอง จ.สกลนคร ก็มาถึงวาระสุดท้ายที่เราต้องเดินทางกลับ ชีวิตฆราวาส มีเรื่องที่ต้องทำเยอะแยะมากมาย ทั้ง ๆ ที่เราบอกเราหมดภาระแล้ว แท้จริงยังมีเรื่องให้ได้ต้องรับผิดชอบมากมาย เกิดเป็นคนต้องทำหน้าที่ "การทำหน้าที่คือการปฏิบัติธรรม" คิดเสียแบบนี้ก็จะทำให้ทุกอย่างคลี่คลาย แม้หลากหลายเรื่องราวเราไม่สบอารมณ์เลย ก็ต้องทำใจ วาสนาเราไม่ถึงซึ่งนิพพาน แต่อย่างน้อยก็ไม่ตกต่ำไปสู่นรก อบาย ก็ถือว่าไม่เสียชาติเกิด

ครั้งต่อไปเราจะไปจังหวัดไหนอีก ต้องรอลมฟ้าอากาศเสียก่อน ที่ทราบ ๆ มาว่า "ธรรมชาติจะโหดร้ายรุนแรงขึ้น" เอาเป็นว่าเราไม่ประมาท" แผนการท่องเที่ยวยังอยู่ใน "หัว" ไม่ลบล้างไปไหนพบกันในทริปต่อไป ขอได้รับคำขอบคุณจากใจ "คุณลุงแดง - คุณป้าอ๋อย" นะครับ สวัสดีและโชคดีทุกท่านทุกคนครับ
CSC_๑๐๐.jpg (93.8 KiB) เข้าดูแล้ว 839 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4365
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D สวัสดีครับท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ และญาติธรรมที่รักทุกท่าน หายหน้าหายตาไปหลายเวลาเลยทีเดียว ที่หายไปมันมีเหตุครับแล้วค่อย ๆ ทะยอยเล่าไปเป็นเรื่อง ๆ นะครับ ช่วงนี้สถานการณ์บ้านเมืองของเราก็วุ่นวายน่าดูนะครับ เศรษฐกิจก็ไปไม่รอดโอดครวญกันทุกหย่อมหญ้า เป็นห่วงเรื่องของสงครามที่มีแนวโน้มว่า จะเกิดขึ้นทั้งภายใน-ภายนอก แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร คงต้องเตือนจิตเตือนใจพวกเราว่า "โลกที่ขาดศีลขาดธรรม โดยเฉพาะคนเป็นผู้นำ สงครามเกิดแน่" เตรียมตัวเตรียมใจรับสถานการณ์กันให้ดี (อย่าประมาทครับ) :( :(

:idea: :idea: 2 ถ้าศีลธรรมไม่กลับมาโลกาวินาศ| เพลงธรรมะ | จีวันแบนด์ | GOneBand :idea: :idea:
ไฟล์แนบ
936010.jpg
936010.jpg (34.35 KiB) เข้าดูแล้ว 728 ครั้ง
328346.jpg
328346.jpg (59.57 KiB) เข้าดูแล้ว 728 ครั้ง
จะมีเรื่องเล่าให้ได้รับทราบ ว่า เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องราวที่ท่าน ปริญญา ฯ ได้พูดคุยกับผมทางโทรศัพท์หลายครั้ง และเรื่องดังกล่าวก็เกิดขึ้นจริง ๆ ซะด้วย ถือว่าไม่ธรรมดา ติดตามนะครับ สุดท้ายเรื่องจะลงเอยที่ ????<br /><br />ผมจะมีโอกาศเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลครั้งที่สามหรือไหมครับ<br /><br />           ผม พ.ต.ท ปริญญา ทับกล่ำ ขณะที่บันทึกนี้ ผมอายุ ๖๔ ปี  ( พศ.๒๕๕๗ ) จะย่างเข้าอายุ ๖๕ ปี ใน วันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ ๒๕๕๘ ผมเติบโตจากเด็กชายจากวัยเด็กในช่วงเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ ๑ เรียนอยู่ที่โรงเรียนบ้านริมใต้ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยความซุกซนได้แอบปีนรั้วลวดหนามไปยืนที่บนเสารั้ว พาดพลัดตกลงพื้นดิน มือด้านขวาจับลวดหนามได้ รั้วหนามเกี่ยวใต้แขนขวาเป็นแผลยาว ที่แรกไม่รู้ว่าถูกรั้วหนามเกี่ยวแขน พอตกถึงพื้นดินมองดูใต้แขนขวาเป็นแผลยาว มองขึ้นไปรั้วหนามเห็นมีมันแขนติดอยู่กับรั้วหนามนั้น จึงรีบกลับบ้านที่อยู่ไม่ห่างที่เกิดเหตุ พ่อและพี่ชายรีบนำตัวส่งที่โรงหมอในค่ายดารารัศมี หมอช่วยกันล้างแผลทำการเย็บแผลที่ใต้แขน พอดีที่แผลรั้วหนามมันเกี่ยวผิวหนังชั้นนอก ไม่ลึกเข้าไปถึงกล้ามเนื้อ หมอเย็บสด ๆ มีพีชายของผมใช้มือปิดตาผมไว้ ความรู้สึกว่าเข็มดึงหนังที่แขนผมรู้สึกเจ็บแต่พอทนได้ เมื่อหมอเย็บเสร็จบอกว่าเย็บสิบเข็ม จากนั้นหมอใช้ผ้าพันแผลปิดบาดแผล ขณะที่ผมรออยู่ในห้องปฐมพยาบาล ได้ยินพูดว่า &quot;หมอลืมกรรไกรอยู่ในแผลที่แขนลืมเอาออก&quot; ผมได้ยินคำนี้ใจแทบวายหายใจไม่ทั่วท้อง และมีเสียงพูดอีกว่าไม่เป็นไรเอาฝากไว้ก่อนค่อยมาเอาออกที่หลัง ถ้ายังซนอีกก็จะเอาไว้ ผมจำหมอที่พูดครั้งแรกได้ชื่อ จ.ส.ต ซ้อน ผ่องฉวี ผมจำได้แม่นยำทั้งเสียงพูดและท่าทางการเดิน ผมได้แม่นยำ<br /><br />            กาลเวลาผ่านมา ผมเข้ารับราชการเป็นตำรวจตระเวนชายแดน เขต 5 ค่ายดารารัศมี ตอนที่สอบ ได้สอบสัมภาษณ์ กรรมการมีสามคนหนึ่งในสามนั้นก็คือ พ.ต.ต ซ้อน ผ่องฉวี ประธานกรรมการถามว่าจบโรงเรียนอะไรมา ผมตอบด้วยเสียงดังว่าจบจากโรงเรียนยุพราชวิทยาลัยครับ รองประธานถาม &quot;ยุพราชภาษาอังกฤษพูดว่าอย่างไร&quot; ผมตอบว่า &quot;ยุพราชสคูร&quot; ครับ รองประธานบอก &quot;ไม่ใช่&quot; ผมนึกในใจว่ากูเรียนภาษาอังกฤษสอบตกทุกครั้ง นึกอยู่ตั้งนาน ก็มีเสียงจาก พ.ต.ต ซ้อน ฯ พูดลอย ๆ มาว่า &quot;มันก็ปริ้นเจ้าชายอย่างไรหว่า&quot; ผมนึกได้รีบตอบว่า &quot;ปริ้นครับ&quot; ประธานกรรมการบอกว่าใช่แล้วไปได้ วันประกาศผลการสอบปรากฎว่าผมสอบได้<br />            <br />ต่อมาผมก็สัมผัสกับ พ.ต.ต ซ้อน ฯ อยู่ตลอดมา ครั้งล่าสุดผมไปลาว่าผมจะต้องไปช่วยราชการที่ กองติดถามผลงาน ศูนย์ฝึกอบรม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ( กอ.รมน.สวนรื่นฤดี กทม. ) ท่านบอกว่าไปอยู่ที่ กทม.ก็ให้ไปเรียนหนังสือด้วยและให้ได้ปริญญาตรีให้ได้ ผมรับปากว่าพยายามทำให้ได้ ผมใช้เวลาอยู่หลายปีพยายามเรียนได้ปริญญาตรีสองใบปริญญาโทหนึ่งใบ<br /><br />           จากเหตุการณ์ในอดีตที่เย็บแผลที่ใต้แขนขวาสิบสี่เข็ม เข้าวัยรุ่นก็ไม่เคยเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลใด ๆ ถ้าเป็นไข้หวัดจะใช้เวลาไม่ถึงสองวันมันก็หายเพราะร่างกายแข็งแรง ต่อมาอายุย่างห้าสิบก็ยังรู้ว่าร่างกายแข็ง ผมเป็นไข้หรือเป็นเกี่ยวกับร่างกาย ผมจะไม่บอกภรรยาหรือลูกทราบ กลัวจะเป็นห่วงเพราะทั้งสองกำลังเรียนและภรรยาเป็นครูสอน ไม่อยากให้เขามาเสียเวลากับผม
จะมีเรื่องเล่าให้ได้รับทราบ ว่า เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องราวที่ท่าน ปริญญา ฯ ได้พูดคุยกับผมทางโทรศัพท์หลายครั้ง และเรื่องดังกล่าวก็เกิดขึ้นจริง ๆ ซะด้วย ถือว่าไม่ธรรมดา ติดตามนะครับ สุดท้ายเรื่องจะลงเอยที่ ????

ผมจะมีโอกาศเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลครั้งที่สามหรือไหมครับ

ผม พ.ต.ท ปริญญา ทับกล่ำ ขณะที่บันทึกนี้ ผมอายุ ๖๔ ปี ( พศ.๒๕๕๗ ) จะย่างเข้าอายุ ๖๕ ปี ใน วันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ ๒๕๕๘ ผมเติบโตจากเด็กชายจากวัยเด็กในช่วงเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ ๑ เรียนอยู่ที่โรงเรียนบ้านริมใต้ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยความซุกซนได้แอบปีนรั้วลวดหนามไปยืนที่บนเสารั้ว พาดพลัดตกลงพื้นดิน มือด้านขวาจับลวดหนามได้ รั้วหนามเกี่ยวใต้แขนขวาเป็นแผลยาว ที่แรกไม่รู้ว่าถูกรั้วหนามเกี่ยวแขน พอตกถึงพื้นดินมองดูใต้แขนขวาเป็นแผลยาว มองขึ้นไปรั้วหนามเห็นมีมันแขนติดอยู่กับรั้วหนามนั้น จึงรีบกลับบ้านที่อยู่ไม่ห่างที่เกิดเหตุ พ่อและพี่ชายรีบนำตัวส่งที่โรงหมอในค่ายดารารัศมี หมอช่วยกันล้างแผลทำการเย็บแผลที่ใต้แขน พอดีที่แผลรั้วหนามมันเกี่ยวผิวหนังชั้นนอก ไม่ลึกเข้าไปถึงกล้ามเนื้อ หมอเย็บสด ๆ มีพีชายของผมใช้มือปิดตาผมไว้ ความรู้สึกว่าเข็มดึงหนังที่แขนผมรู้สึกเจ็บแต่พอทนได้ เมื่อหมอเย็บเสร็จบอกว่าเย็บสิบเข็ม จากนั้นหมอใช้ผ้าพันแผลปิดบาดแผล ขณะที่ผมรออยู่ในห้องปฐมพยาบาล ได้ยินพูดว่า "หมอลืมกรรไกรอยู่ในแผลที่แขนลืมเอาออก" ผมได้ยินคำนี้ใจแทบวายหายใจไม่ทั่วท้อง และมีเสียงพูดอีกว่าไม่เป็นไรเอาฝากไว้ก่อนค่อยมาเอาออกที่หลัง ถ้ายังซนอีกก็จะเอาไว้ ผมจำหมอที่พูดครั้งแรกได้ชื่อ จ.ส.ต ซ้อน ผ่องฉวี ผมจำได้แม่นยำทั้งเสียงพูดและท่าทางการเดิน ผมได้แม่นยำ

กาลเวลาผ่านมา ผมเข้ารับราชการเป็นตำรวจตระเวนชายแดน เขต 5 ค่ายดารารัศมี ตอนที่สอบ ได้สอบสัมภาษณ์ กรรมการมีสามคนหนึ่งในสามนั้นก็คือ พ.ต.ต ซ้อน ผ่องฉวี ประธานกรรมการถามว่าจบโรงเรียนอะไรมา ผมตอบด้วยเสียงดังว่าจบจากโรงเรียนยุพราชวิทยาลัยครับ รองประธานถาม "ยุพราชภาษาอังกฤษพูดว่าอย่างไร" ผมตอบว่า "ยุพราชสคูร" ครับ รองประธานบอก "ไม่ใช่" ผมนึกในใจว่ากูเรียนภาษาอังกฤษสอบตกทุกครั้ง นึกอยู่ตั้งนาน ก็มีเสียงจาก พ.ต.ต ซ้อน ฯ พูดลอย ๆ มาว่า "มันก็ปริ้นเจ้าชายอย่างไรหว่า" ผมนึกได้รีบตอบว่า "ปริ้นครับ" ประธานกรรมการบอกว่าใช่แล้วไปได้ วันประกาศผลการสอบปรากฎว่าผมสอบได้

ต่อมาผมก็สัมผัสกับ พ.ต.ต ซ้อน ฯ อยู่ตลอดมา ครั้งล่าสุดผมไปลาว่าผมจะต้องไปช่วยราชการที่ กองติดถามผลงาน ศูนย์ฝึกอบรม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ( กอ.รมน.สวนรื่นฤดี กทม. ) ท่านบอกว่าไปอยู่ที่ กทม.ก็ให้ไปเรียนหนังสือด้วยและให้ได้ปริญญาตรีให้ได้ ผมรับปากว่าพยายามทำให้ได้ ผมใช้เวลาอยู่หลายปีพยายามเรียนได้ปริญญาตรีสองใบปริญญาโทหนึ่งใบ

จากเหตุการณ์ในอดีตที่เย็บแผลที่ใต้แขนขวาสิบสี่เข็ม เข้าวัยรุ่นก็ไม่เคยเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลใด ๆ ถ้าเป็นไข้หวัดจะใช้เวลาไม่ถึงสองวันมันก็หายเพราะร่างกายแข็งแรง ต่อมาอายุย่างห้าสิบก็ยังรู้ว่าร่างกายแข็ง ผมเป็นไข้หรือเป็นเกี่ยวกับร่างกาย ผมจะไม่บอกภรรยาหรือลูกทราบ กลัวจะเป็นห่วงเพราะทั้งสองกำลังเรียนและภรรยาเป็นครูสอน ไม่อยากให้เขามาเสียเวลากับผม
102413.jpg (98.9 KiB) เข้าดูแล้ว 728 ครั้ง
ลำปางก่อนประวัติศาสตร์<br /><br />มีคนกล่าวไว้ว่า การรู้จักตัวเองนั้น ยิ่งสืบค้นไปได้ไกลเท่าใด ก็ยิ่งจะรู้ถึงความลึกซึ้งของบ้านเมืองได้เท่านั้น เสมือนกับการยิงธนูที่จำเป็นต้องง้างไปให้ไกลฉันใดก็ฉันนั้น ขณะที่หลักฐานทางธรณีวิทยา ประวัติศาสตร์ โบราณคดีในจังหวัดลำปางนั้น กระจายตัวอยู่เป็นจำนวนมากแทบจะทุกอำเภอ ในที่นี้จึงขอรวบรัดอธิบายภาพรวมของพัฒนาการยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีความโดดเด่นและสำคัญในระดับชาติ แม้ว่าจะเป็นพื้นที่นอกเขตศึกษาก็ตาม ความพยามยามนี้เป็นการปูพื้นฐานให้เห็นความเปลี่ยนแปลง และพัฒนาการประวัติศาสตร์ อันจะส่งต่อความเป็นเมืองศูนย์กลางการบริหารการปกครองที่มีตำแหน่งอยู่อำเภอเมืองลำปาง<br /><br /><br />ร่องรอยบรรพบุรุษของมนุษยชาติ มนุษย์เกาะคา<br /><br />พบหลักฐานของมนุษย์ช่วงก่อนประวัติศาสตร์ ได้แก่ มนุษย์โอโมอีเรคตัส หรือ มนุษย์เกาะคาที่มีอายุกว่า 500,000 ปี ร่วมสมัยกับมนุษย์ปักกิ่ง และมนุษย์ชวามีการค้นพบชิ้นส่วนกะโหลกกะลาด้านขวา ฟันหน้าข้าง ฟันด้านขวา และส่วนอื่นๆบริเวณหาดปู่ด้าย ต.นาแส่ง อ.เกาะคา ทางทิศใต้ของตัวเมืองลำปาง ถือเป็นการค้นพบทางโบราณคดีที่สำคัญของประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2541<br /><br />ผาศักดิ์สิทธิ์กับการตั้งถิ่นฐาน<br /><br />พัฒนาการต่อมา ปรากฎหลักฐานแหล่งที่อยู่อาศัยของมนุษย์ อายุกว่า 3,000 ปี ที่ประตูผา รอยต่อระหว่าง อ.แม่เมาะ - อ.งาว ขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวเมืองปัจจุบัน ซึ่งมีการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ เครื่องประกอบพิธีศพ พร้อมกับภาพเขียนสีจำนวนมากถึง 1,872 ภาพที่แสดงถึงสภาพชีวิตความเป็นอยู่และพิธีกรรมไว้ แบ่งเป็น 7 กลุ่มได้แก่ กลุ่มที่ 1 ผาเลียงผา กลุ่มที่ 2 ผานกยูง กลุ่มที่ 3 ผาวัว กลุ่มที่ 4 ผาเต้นระบำ กลุ่มที่ 5 ผาหินตั้ง กลุ่มที่ 6 ผานางกางแขน กลุ่มที่ 7 ผาล่าสัตว์และผากระจง (วลัยลักษณ์,2545) อย่างไรก็ตามในบริเวณใกล้เคียงกัน ก็ยังปรากฎภาพเขียนสีในถ้ำต่างๆด้วย เชื่อกันว่าพื้นที่ดังกล่าวมีความสำคัญก็คือ เป็นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมความเชื่อ ในฐานะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์ยุคก่อน ประการสำคัญต่อมา ก็คือเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ถูกแต่งแต้มเป็นภาพเขียนสีจำนวนมหาศาลนั่นเอง<br /><br />จากหลักฐานดังกล่าวจะเห็นถึงสภาพการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในยุคแรกๆที่อยู่รายรอบ นครลำปาง ในปัจจุบัน ซึ่งนับเป็นห้วงเวลาที่สั่งสม ความหลากหลายก่อนที่จะมีพัฒนาการทางสังคม วิธีคิด เทคโนโลยี เข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ในเวลาต่อมา
ลำปางก่อนประวัติศาสตร์

มีคนกล่าวไว้ว่า การรู้จักตัวเองนั้น ยิ่งสืบค้นไปได้ไกลเท่าใด ก็ยิ่งจะรู้ถึงความลึกซึ้งของบ้านเมืองได้เท่านั้น เสมือนกับการยิงธนูที่จำเป็นต้องง้างไปให้ไกลฉันใดก็ฉันนั้น ขณะที่หลักฐานทางธรณีวิทยา ประวัติศาสตร์ โบราณคดีในจังหวัดลำปางนั้น กระจายตัวอยู่เป็นจำนวนมากแทบจะทุกอำเภอ ในที่นี้จึงขอรวบรัดอธิบายภาพรวมของพัฒนาการยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีความโดดเด่นและสำคัญในระดับชาติ แม้ว่าจะเป็นพื้นที่นอกเขตศึกษาก็ตาม ความพยามยามนี้เป็นการปูพื้นฐานให้เห็นความเปลี่ยนแปลง และพัฒนาการประวัติศาสตร์ อันจะส่งต่อความเป็นเมืองศูนย์กลางการบริหารการปกครองที่มีตำแหน่งอยู่อำเภอเมืองลำปาง


ร่องรอยบรรพบุรุษของมนุษยชาติ มนุษย์เกาะคา

พบหลักฐานของมนุษย์ช่วงก่อนประวัติศาสตร์ ได้แก่ มนุษย์โอโมอีเรคตัส หรือ มนุษย์เกาะคาที่มีอายุกว่า 500,000 ปี ร่วมสมัยกับมนุษย์ปักกิ่ง และมนุษย์ชวามีการค้นพบชิ้นส่วนกะโหลกกะลาด้านขวา ฟันหน้าข้าง ฟันด้านขวา และส่วนอื่นๆบริเวณหาดปู่ด้าย ต.นาแส่ง อ.เกาะคา ทางทิศใต้ของตัวเมืองลำปาง ถือเป็นการค้นพบทางโบราณคดีที่สำคัญของประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2541

ผาศักดิ์สิทธิ์กับการตั้งถิ่นฐาน

พัฒนาการต่อมา ปรากฎหลักฐานแหล่งที่อยู่อาศัยของมนุษย์ อายุกว่า 3,000 ปี ที่ประตูผา รอยต่อระหว่าง อ.แม่เมาะ - อ.งาว ขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวเมืองปัจจุบัน ซึ่งมีการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ เครื่องประกอบพิธีศพ พร้อมกับภาพเขียนสีจำนวนมากถึง 1,872 ภาพที่แสดงถึงสภาพชีวิตความเป็นอยู่และพิธีกรรมไว้ แบ่งเป็น 7 กลุ่มได้แก่ กลุ่มที่ 1 ผาเลียงผา กลุ่มที่ 2 ผานกยูง กลุ่มที่ 3 ผาวัว กลุ่มที่ 4 ผาเต้นระบำ กลุ่มที่ 5 ผาหินตั้ง กลุ่มที่ 6 ผานางกางแขน กลุ่มที่ 7 ผาล่าสัตว์และผากระจง (วลัยลักษณ์,2545) อย่างไรก็ตามในบริเวณใกล้เคียงกัน ก็ยังปรากฎภาพเขียนสีในถ้ำต่างๆด้วย เชื่อกันว่าพื้นที่ดังกล่าวมีความสำคัญก็คือ เป็นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมความเชื่อ ในฐานะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์ยุคก่อน ประการสำคัญต่อมา ก็คือเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ถูกแต่งแต้มเป็นภาพเขียนสีจำนวนมหาศาลนั่นเอง

จากหลักฐานดังกล่าวจะเห็นถึงสภาพการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในยุคแรกๆที่อยู่รายรอบ นครลำปาง ในปัจจุบัน ซึ่งนับเป็นห้วงเวลาที่สั่งสม ความหลากหลายก่อนที่จะมีพัฒนาการทางสังคม วิธีคิด เทคโนโลยี เข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ในเวลาต่อมา
3032890.jpg (59.49 KiB) เข้าดูแล้ว 728 ครั้ง
หลานน้อยของผมเขาปิดเทอม เพื่อให้เด็กน้อยได้ซึมซับเกี่ยวกับเรื่องของการท่องเที่ยว เราสองคน ปู่-ย่า  จึงสอบถามความรู้สึกและสิ่งที่ต้องการหากเขามีโอกาสเขาอยากจะดูอะไร คำตอบคือเขาอยากจะไปเที่ยวดูไดโนเสาร์ เขาบอกเขาได้เห็นเรื่องราวในคลิปว่า ที่เมืองลำปางมีพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ด้วย เราจึงได้พาเจ้าตัวน้อยทัวร์เมืองลำปาง ในโอกาสนี้ก็ถือเป็นการเที่ยวเมืองรอง ไปพร้อมกันเลย<br /><br />ความจริงเมือง ลป.เราสองคนปั่นมาเที่ยวหลายรอบแล้ว แต่ยังไม่เคยรีวิว ก็ถือโอกาสนี้นำทุกท่านไปเที่ยวเมืองรอง เมืองต่อไปคือ เมืองลำปางนะครับ
หลานน้อยของผมเขาปิดเทอม เพื่อให้เด็กน้อยได้ซึมซับเกี่ยวกับเรื่องของการท่องเที่ยว เราสองคน ปู่-ย่า จึงสอบถามความรู้สึกและสิ่งที่ต้องการหากเขามีโอกาสเขาอยากจะดูอะไร คำตอบคือเขาอยากจะไปเที่ยวดูไดโนเสาร์ เขาบอกเขาได้เห็นเรื่องราวในคลิปว่า ที่เมืองลำปางมีพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ด้วย เราจึงได้พาเจ้าตัวน้อยทัวร์เมืองลำปาง ในโอกาสนี้ก็ถือเป็นการเที่ยวเมืองรอง ไปพร้อมกันเลย

ความจริงเมือง ลป.เราสองคนปั่นมาเที่ยวหลายรอบแล้ว แต่ยังไม่เคยรีวิว ก็ถือโอกาสนี้นำทุกท่านไปเที่ยวเมืองรอง เมืองต่อไปคือ เมืองลำปางนะครับ
cats 1.jpg (105.08 KiB) เข้าดูแล้ว 728 ครั้ง
คำขวัญ จังหวัดลำปาง<br />&quot;ถ่านหินลือชา รถม้าลือลั่น เครื่องปั้นลือนาม งามพระธาตุลือไกล ฝึกช้างใช้ลือโลก&quot;<br /><br />จังหวัดลำปาง มีลักษณะที่โดดเด่นอย่างหนึ่งคือ เป็นจังหวัดเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่ยังใช้รถม้าเดินทางท่องเที่ยวในตัวเมืองอยู่ แต่นอกเหนือจากเรื่องนี้แล้ว ลำปาง ยังเป็นจังหวัดที่มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานอีกแห่งหนึ่งด้วยเช่นกัน วันนี้เราเลยจะมาชวนทุกคนเจาะลึก ประวัติ จังหวัดลำปาง ย้อนเวลาสู่ เขลางค์นคร จุดเริ่มต้นของ จังหวัดลำปาง ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน 20 ที่เที่ยวลำปาง 2021 สโลว์ไลฟ์ ในเมืองที่ไม่หมุนไปตามกาลเวลา ไหว้พระ 9 วัด ลำปาง เที่ยว วัดสวย สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิ่มบุญอิ่มใจ<br /><br />ภูมิประเทศของ จังหวัดลำปาง ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบลุ่ม ล้อมรอบด้วยหุบเขาจากทุกด้าน ทำให้พื้นที่ของเมืองเป็นแอ่งอยู่ตรงกลางเหมือน แอ่งกระทะ โดยมี แม่น้ำวัง เป็นแม่น้ำสำคัญหล่อเลี้ยงชาวลำปางจากทางเหนือสู่ทางใต้ของจังหวัด ที่น่าสนใจคือในเขตของ อำเภอเมืองลำปาง-อำเภอแม่ทะ และ อำเภอเกาะคา-อำเภอสบปราบ ได้มีการค้นพบแหล่งภูเขาไฟอย่าง กลุ่มหินบะซอลต์ ที่เกิดจากลาวาในภูเขาไฟลำปางไหลลงมาอาบทั่วพื้นที่ และก่อตัวอยู่ ณ ที่นั้นเป็นเวลายาวนาน<br /><br />ส่วนสภาพอากาศของ จังหวัดลำปาง นั้น แม้จะแบ่งออกเป็น 3 ฤดูคือ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว แต่ส่วนใหญ่จะมีอากาศอบอ้าว ฝนตกค่อนข้างน้อย จึงทำให้ที่นี่ต้องประสบกับปัญหาภัยแล้งอยู่บ่อยครั้ง<br /><br /><br /> ถ้าพูดถึง ลำปาง ก็ต้องพูดถึง ลำพูน ด้วยเช่นกัน เพราะประวัติศาสตร์ของ 2 จังหวัดนี้มีความเกี่ยวเนื่องกันอยู่ค่ะ ย้อนไปเมื่อ 1,300 ปี ก่อน อาณาจักรหริภุญชัย (ลำพูนในสมัยก่อน) ได้สร้างขึ้นและมีปฐมกษัตริย์เป็น พระนางจามเทวี ราชธิดากษัตริย์แห่งละโว้ พระองค์ทรงมีพระโอรสฝาแฝดอยู่ 2 พระองค์คือ เจ้ามหันตยศ และ เจ้าอนันตยศ เมื่อพระนางจามเทวีทรงชราภาพก็ได้ทำพิธีราชาภิเษกให้เจ้ามหันตยศขึ้นเป็นกษัตริย์ครองเมืองหริภุญชัย ส่วนเจ้าอนันตยศก็มีความปรารถนาไปครองเมืองใหม่ จึงเสด็จไปพบ สุพรหมฤาษี ที่ เขาบรรพต และขออาราธนาให้ช่วยสร้างบ้านเมืองให้ พรหมฤาษี จึงขึ้นไปบนเขาบรรพต มองลงมาเห็นชัยภูมิตรง แม่น้ำวัง เป็นพื้นที่ที่ดีในการสร้างเมือง จึงเริ่มมีการสร้างเมือง เขลางค์นคร ขึ้นนับแต่นั้น ซึ่งหลังจากที่เจ้าอนันตยศทรงราชาภิเษกเป็นกษัตริย์ก็ทรงพระนามว่า พระเจ้าอินทรเกิงการ<br /><br /> ประวัติ จังหวัดลำปาง ยุคล้านนา จนถึง รัตนโกสินทร์<br /> <br />      ช่วงศตวรรษที่ 19 เขลางค์นคร หรือ นครลำปาง ในขณะนั้นก็ตกเป็นของอาณาจักรล้านนาเช่นเดียวกับหริภุญชัย หลังจากที่อยู่ภายใต้การปกครองของล้านนามาเป็นช่วงเวลาหนึ่ง ก็ได้ตกเป็นประเทศราชของพม่าด้วยเช่นกัน จนกระทั่งในสมัยกรุงธนบรี เจ้าทิพย์ช้าง ก็ได้ขับไล่พม่าออกจาก เมืองลำปาง ได้สำเร็จ จึงได้รับการสถาปนาเป็น พระยาสุวลือไชยสงคราม และขึ้นครองนครลำปางในปี พ.ศ.2279 ต่อมา เจ้าแก้วฟ้า พระโอรสเจ้าทิพย์ช้างก็ได้ขึ้นครองนครลำปางต่อ และเป็นต้นตระกูล ณ ลำพูน และ ณ เชียงใหม่<br /><br />      ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ลำปาง ก็ถูกตั้งให้เป็นจังหวัด ซึ่งขึ้นตรงกับ มณฑลพายับ ในปี พ.ศ. 2435 และแยกมาเป็น มณฑลมหาราษฎร์ ในปี พ.ศ. 2458 แต่หลังจากประกาศยกเลิกมณฑลทั่วราชอาณาจักร ลำปาง ก็ถูกตั้งให้เป็น จังหวัดลำปาง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2476 จนถึงปัจจุบัน<br /><br /> เครดิต  TrueID Travel Community
คำขวัญ จังหวัดลำปาง
"ถ่านหินลือชา รถม้าลือลั่น เครื่องปั้นลือนาม งามพระธาตุลือไกล ฝึกช้างใช้ลือโลก"

จังหวัดลำปาง มีลักษณะที่โดดเด่นอย่างหนึ่งคือ เป็นจังหวัดเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่ยังใช้รถม้าเดินทางท่องเที่ยวในตัวเมืองอยู่ แต่นอกเหนือจากเรื่องนี้แล้ว ลำปาง ยังเป็นจังหวัดที่มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานอีกแห่งหนึ่งด้วยเช่นกัน วันนี้เราเลยจะมาชวนทุกคนเจาะลึก ประวัติ จังหวัดลำปาง ย้อนเวลาสู่ เขลางค์นคร จุดเริ่มต้นของ จังหวัดลำปาง ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน 20 ที่เที่ยวลำปาง 2021 สโลว์ไลฟ์ ในเมืองที่ไม่หมุนไปตามกาลเวลา ไหว้พระ 9 วัด ลำปาง เที่ยว วัดสวย สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิ่มบุญอิ่มใจ

ภูมิประเทศของ จังหวัดลำปาง ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบลุ่ม ล้อมรอบด้วยหุบเขาจากทุกด้าน ทำให้พื้นที่ของเมืองเป็นแอ่งอยู่ตรงกลางเหมือน แอ่งกระทะ โดยมี แม่น้ำวัง เป็นแม่น้ำสำคัญหล่อเลี้ยงชาวลำปางจากทางเหนือสู่ทางใต้ของจังหวัด ที่น่าสนใจคือในเขตของ อำเภอเมืองลำปาง-อำเภอแม่ทะ และ อำเภอเกาะคา-อำเภอสบปราบ ได้มีการค้นพบแหล่งภูเขาไฟอย่าง กลุ่มหินบะซอลต์ ที่เกิดจากลาวาในภูเขาไฟลำปางไหลลงมาอาบทั่วพื้นที่ และก่อตัวอยู่ ณ ที่นั้นเป็นเวลายาวนาน

ส่วนสภาพอากาศของ จังหวัดลำปาง นั้น แม้จะแบ่งออกเป็น 3 ฤดูคือ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว แต่ส่วนใหญ่จะมีอากาศอบอ้าว ฝนตกค่อนข้างน้อย จึงทำให้ที่นี่ต้องประสบกับปัญหาภัยแล้งอยู่บ่อยครั้ง


ถ้าพูดถึง ลำปาง ก็ต้องพูดถึง ลำพูน ด้วยเช่นกัน เพราะประวัติศาสตร์ของ 2 จังหวัดนี้มีความเกี่ยวเนื่องกันอยู่ค่ะ ย้อนไปเมื่อ 1,300 ปี ก่อน อาณาจักรหริภุญชัย (ลำพูนในสมัยก่อน) ได้สร้างขึ้นและมีปฐมกษัตริย์เป็น พระนางจามเทวี ราชธิดากษัตริย์แห่งละโว้ พระองค์ทรงมีพระโอรสฝาแฝดอยู่ 2 พระองค์คือ เจ้ามหันตยศ และ เจ้าอนันตยศ เมื่อพระนางจามเทวีทรงชราภาพก็ได้ทำพิธีราชาภิเษกให้เจ้ามหันตยศขึ้นเป็นกษัตริย์ครองเมืองหริภุญชัย ส่วนเจ้าอนันตยศก็มีความปรารถนาไปครองเมืองใหม่ จึงเสด็จไปพบ สุพรหมฤาษี ที่ เขาบรรพต และขออาราธนาให้ช่วยสร้างบ้านเมืองให้ พรหมฤาษี จึงขึ้นไปบนเขาบรรพต มองลงมาเห็นชัยภูมิตรง แม่น้ำวัง เป็นพื้นที่ที่ดีในการสร้างเมือง จึงเริ่มมีการสร้างเมือง เขลางค์นคร ขึ้นนับแต่นั้น ซึ่งหลังจากที่เจ้าอนันตยศทรงราชาภิเษกเป็นกษัตริย์ก็ทรงพระนามว่า พระเจ้าอินทรเกิงการ

ประวัติ จังหวัดลำปาง ยุคล้านนา จนถึง รัตนโกสินทร์

ช่วงศตวรรษที่ 19 เขลางค์นคร หรือ นครลำปาง ในขณะนั้นก็ตกเป็นของอาณาจักรล้านนาเช่นเดียวกับหริภุญชัย หลังจากที่อยู่ภายใต้การปกครองของล้านนามาเป็นช่วงเวลาหนึ่ง ก็ได้ตกเป็นประเทศราชของพม่าด้วยเช่นกัน จนกระทั่งในสมัยกรุงธนบรี เจ้าทิพย์ช้าง ก็ได้ขับไล่พม่าออกจาก เมืองลำปาง ได้สำเร็จ จึงได้รับการสถาปนาเป็น พระยาสุวลือไชยสงคราม และขึ้นครองนครลำปางในปี พ.ศ.2279 ต่อมา เจ้าแก้วฟ้า พระโอรสเจ้าทิพย์ช้างก็ได้ขึ้นครองนครลำปางต่อ และเป็นต้นตระกูล ณ ลำพูน และ ณ เชียงใหม่

ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ลำปาง ก็ถูกตั้งให้เป็นจังหวัด ซึ่งขึ้นตรงกับ มณฑลพายับ ในปี พ.ศ. 2435 และแยกมาเป็น มณฑลมหาราษฎร์ ในปี พ.ศ. 2458 แต่หลังจากประกาศยกเลิกมณฑลทั่วราชอาณาจักร ลำปาง ก็ถูกตั้งให้เป็น จังหวัดลำปาง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2476 จนถึงปัจจุบัน

เครดิต TrueID Travel Community
303281.jpg (84.29 KiB) เข้าดูแล้ว 728 ครั้ง
ข้อมูลพิพิธภัณฑ์<br />พิพิธภัณฑ์ซากดึกดำบรรพ์ ธรณีวิทยา และธรรมชาติวิทยาจังหวัดลำปาง เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมความรู้และตัวอย่างด้านธรณีวิทยา ซากดึกดำบรรพ์ และธรรมชาติวิทยา เพื่อให้บริการองค์ความรู้ที่รวบรวมไว้แก่ประชาชน และเป็นศูนย์กลางการบริหารจัดการ ศึกษาวิจัยที่ถ่ายทอดความรู้ที่เกี่ยวข้องกับแหล่งซากดึกดำบรรพ์ และแหล่งธรณีวิทยาที่สำคัญในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือของประเทศ<br /><br />ภายในนิทรรศการ แบ่งเป็น 3 โซน<br /><br />โซนชั้น 3  บอกเล่าเรื่องราวการกำเนิดโลกและสิ่งมีชีวิตในมหายุคพาลีโอโซอิก ผ่านหุ่นจำลองเคลื่อนไหวได้<br /><br />โซนชั้น 2  บอกเล่าเรื่องราวในมหายุคมีโซโซอิก พร้อมจัดแสดงหุ่นไดโนเสาร์เคลื่อนไหวได้ พร้อมทั้งห้องจำลองการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์หลังสิ้นสุดมหายุคมีโซโซอิก เมื่อไดโนเสาร์สูญพันธุ์ได้กำเนิดมหายุคที่ 3 คือมหายุคซีโนโซอิก บอกเล่าเรื่องราวสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม<br /><br />โซนชั้น 1  กิจกรรมการเรียนรู้ด้านธรณีวิทยา ธรณีพิบัติภัย และซากดึกดำบรรพ์
ข้อมูลพิพิธภัณฑ์
พิพิธภัณฑ์ซากดึกดำบรรพ์ ธรณีวิทยา และธรรมชาติวิทยาจังหวัดลำปาง เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมความรู้และตัวอย่างด้านธรณีวิทยา ซากดึกดำบรรพ์ และธรรมชาติวิทยา เพื่อให้บริการองค์ความรู้ที่รวบรวมไว้แก่ประชาชน และเป็นศูนย์กลางการบริหารจัดการ ศึกษาวิจัยที่ถ่ายทอดความรู้ที่เกี่ยวข้องกับแหล่งซากดึกดำบรรพ์ และแหล่งธรณีวิทยาที่สำคัญในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือของประเทศ

ภายในนิทรรศการ แบ่งเป็น 3 โซน

โซนชั้น 3 บอกเล่าเรื่องราวการกำเนิดโลกและสิ่งมีชีวิตในมหายุคพาลีโอโซอิก ผ่านหุ่นจำลองเคลื่อนไหวได้

โซนชั้น 2 บอกเล่าเรื่องราวในมหายุคมีโซโซอิก พร้อมจัดแสดงหุ่นไดโนเสาร์เคลื่อนไหวได้ พร้อมทั้งห้องจำลองการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์หลังสิ้นสุดมหายุคมีโซโซอิก เมื่อไดโนเสาร์สูญพันธุ์ได้กำเนิดมหายุคที่ 3 คือมหายุคซีโนโซอิก บอกเล่าเรื่องราวสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม

โซนชั้น 1 กิจกรรมการเรียนรู้ด้านธรณีวิทยา ธรณีพิบัติภัย และซากดึกดำบรรพ์
cats 2.JPG (70 KiB) เข้าดูแล้ว 728 ครั้ง
cats 3.JPG
cats 3.JPG (120.74 KiB) เข้าดูแล้ว 728 ครั้ง
cats 4.JPG
cats 5.JPG
cats 5.JPG (120.43 KiB) เข้าดูแล้ว 728 ครั้ง
cats 6.JPG
cats 6.JPG (85.7 KiB) เข้าดูแล้ว 728 ครั้ง
cats 7.JPG
cats 7.JPG (68.73 KiB) เข้าดูแล้ว 728 ครั้ง
cats 8.jpg
cats 8.jpg (109.98 KiB) เข้าดูแล้ว 728 ครั้ง
cats 9.jpg
cats 9.jpg (98.51 KiB) เข้าดูแล้ว 728 ครั้ง
cats 10.jpg
cats 10.jpg (117.97 KiB) เข้าดูแล้ว 728 ครั้ง
cats 11.jpg
cats 11.jpg (117.25 KiB) เข้าดูแล้ว 728 ครั้ง
cats 12.jpg
cats 12.jpg (129.2 KiB) เข้าดูแล้ว 728 ครั้ง
cats 13.jpg
cats 13.jpg (96.22 KiB) เข้าดูแล้ว 728 ครั้ง
cats 14.jpg
cats 14.jpg (87.16 KiB) เข้าดูแล้ว 728 ครั้ง
cats 15.jpg
cats 15.jpg (111.94 KiB) เข้าดูแล้ว 728 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4365
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: ถ้าธรรมะ..แยกขาดจากการเมือง โลกก็คือ..นรก

ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ ได้เสนอทางออกไว้นานแล้วว่า..ต้องธรรมมิกสังคมนิยม คือการเมืองที่ประกอบไปด้วย ธรรมะ และ ศีลธรรม ที่ตั้งอยู่บน..ความถูกต้อง ความรัก และความเมตตา อย่างแท้จริง

เมื่อธรรมะไม่กลับมา โลกาจะวินาศ
มวลมนุษย์จะลำบาก คนบาปจะครองเมือง

กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม
คนดีโดนรังแก คนชั่วโดนยกย่อง
สีขาวกลายเป็นสีดำ สีดำกลายเป็นสีขาว
เรื่องราวโดนบิดผัน สัจจะกลายเป็นโจร
คนจะกินคน คนจะฆ่ากัน
ความมืดจะคลุมวัน ความมืดจะครองเมือง

เมื่อธรรมะไม่กลับมา โลกาจะวินาศ
มวลมนุษย์จะลำบาก คนบาปจะครองเมือง

โลกาไร้การแบ่งปัน สังคมไร้ซึ่งน้ำใจ
มองไปทิศทางใด เศร้าใจทุกข์ระทม
แผ่นดินเดือดร้อนเป็นไฟ ภูเขาร่ำไห้หมองหม่น
ป่าไม้หม่นไหม้โศกตรม แม่น้ำขื่นขมแห้งขอด
ปีศาจหน้างอเป็นใหญ่ เก้าอี้สีขาวก็ซีดหม่น
ใบหน้าผู้คนก็ซีดเซียว มนุษย์มีเขี้ยวไล่กัดมนุษย์มีธรรม

เมื่อธรรมะไม่กลับมา โลกาจะวินาศ
มวลมนุษย์จะลำบาก คนบาปจะครองเมือง

กลียุค ๒๐๐๐ ++
:idea: :idea:
ไฟล์แนบ
421361.jpg
230373.jpg
230373.jpg (83.89 KiB) เข้าดูแล้ว 666 ครั้ง
มีเหตุ ก็ย่อมมีผล ลำพังวันนี้ก็เสื่อมพังไปหมดทั้งชาติแล้ว เศรษฐกิจพัง สังคมพัง ความมั่นคงของชาติในทุก ๆ ด้านพัง นิติรัฐพัง กระบวนการยุติธรรมพัง ตำรวจเป็นยิ่งกว่าโจร ข้าราชการโจร นักการเมืองโคตรโจร ปชช.เสื่อม คนครึ่งค่อนประเทศแยกแยะผิดชอบไม่ได้ แยกแยะคนดีคนชั่วไม่เป็น ไม่รู้ดีรู้ชั่ว ขนาดวงการสงฆ์ยังเสื่อมไม่เหลือ <br /><br />ขอพระสยามเทวาธิราชช่วยดลใจคนไทยทั้งประเทศกับการเลือกตั้งครั้งนี้ ขอให้ได้คนที่เลวน้อยที่สุด คนที่เห็นแก่ประชาชนจริง ๆ เข้ามารับผิดชอบสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังย่ำแย่เช่นทุกวันนี้ ประชาชนเลิก&quot;โง่&quot;กันได้แล้วครับ เงินไม่มากาไม่เป็นครั้งนี้คงไม่มีหรือมีคงเป็น เงินมาแต่กาเบอร์อื่น แบบนี้ประเทศชาติแคล้วคลาดปลอดภัยครับ
มีเหตุ ก็ย่อมมีผล ลำพังวันนี้ก็เสื่อมพังไปหมดทั้งชาติแล้ว เศรษฐกิจพัง สังคมพัง ความมั่นคงของชาติในทุก ๆ ด้านพัง นิติรัฐพัง กระบวนการยุติธรรมพัง ตำรวจเป็นยิ่งกว่าโจร ข้าราชการโจร นักการเมืองโคตรโจร ปชช.เสื่อม คนครึ่งค่อนประเทศแยกแยะผิดชอบไม่ได้ แยกแยะคนดีคนชั่วไม่เป็น ไม่รู้ดีรู้ชั่ว ขนาดวงการสงฆ์ยังเสื่อมไม่เหลือ

ขอพระสยามเทวาธิราชช่วยดลใจคนไทยทั้งประเทศกับการเลือกตั้งครั้งนี้ ขอให้ได้คนที่เลวน้อยที่สุด คนที่เห็นแก่ประชาชนจริง ๆ เข้ามารับผิดชอบสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังย่ำแย่เช่นทุกวันนี้ ประชาชนเลิก"โง่"กันได้แล้วครับ เงินไม่มากาไม่เป็นครั้งนี้คงไม่มีหรือมีคงเป็น เงินมาแต่กาเบอร์อื่น แบบนี้ประเทศชาติแคล้วคลาดปลอดภัยครับ
308347.jpg (91.26 KiB) เข้าดูแล้ว 666 ครั้ง
เรามาต่อกันกับเรื่องราวของท่าน พ.ต.ท.ปริญญา ฯ ที่มีจิตสัมผัสจนเป็นเหมือนสิ่งเตือนใจกลายเป็นลางสังหรณ์ ที่ทำให้ท่านไม่ประมาทกับชีวิตเร่งสร้างบุญกุศลเป็นทุนในภพชาติต่อไป<br /><br />จนกระทั่งอายุย่างห้าสิบห้าปี ชีวิตประจำของผมเป็นอาจารย์ประจำวิชายูโดกลุ่มงานพลศึกษา กองบังการปกครอง โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม    ในวันศุกร์ผมจะขับรถพาภรรยาและลูกทั้งสองคนเข้ากรุงเทพไปบ้านน้องสาวของภรรยาซึ่งเป็นหมอฟัน และจะกลับบ้านพักที่สามพรานฯ ในวันอาทิตย์ตอนเย็น จะปฎิบัติอย่างนี้มาตลอดหลายปี ในช่วงอายุเข้าห้าสิบห้าปี  ผมจะมีอาการขณะขับรถยนต์ทั้งไปกลับ มีอาการมองเห็นข้างหน้ามีลักษณะเป็นสีแสดบ้างสีส้มบ้าง บางครั้งเป็นสีเจ็ดสี ผมพยายามขัดความรู้สึกมาตลอดเป็นเวลาหลายเดือนโดยไม่เคยบอกให้ภรรยาและลูกทราบ <br /><br />ในช่วงวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ 2548 เป็นวันเสาร์ผมจะต้องเดินทางกลับสามพรานก่อน พอดีหลานชาย(ตู่) เข้าเรียนเป็นนักเรียนตำรวจชั้นปีที่ 1 กลับด้วย ผมขับรถยนต์กลับสามพราน โดยหลานชายนั่งด้านหน้า ผมไม่รู้ว่าหลานชายสังเกตอาการผมอยู่ตลอด ได้ยินพูดโทรศัพท์กับพ่อ (พี่ชาย) ขณะผ่านเข้าถนนสายเจ็ด หลานชายบอกว่าให้ผมขับรถยนต์เข้าโรงพยาบาลไร่ขิง ผมจึงขับแวะเข้าโรงพยาบาล ทีแรกนึกว่าหลานชายจะเข้าไปตรวจที่โรงพยาบาล เมื่อไปถึงห้องตรวจบอกว่า “อาจุกเข้าตรวจดูว่าเป็นอะไร”<br /><br /> ผมนึกว่าไหน ๆ ก็เข้าที่โรงพยาบาลแล้วก็ตรวจซะไม่เสียหายอะไร ขณะที่หมอตรวจก็สอบถามอาการต่าง ๆ จากนั้นหมอบอกให้ผมนอนโรงพยาบาลเลยไม่ให้กลับบ้าน จากนั้นหมอพาผมไปห้องฉุกฉิน และเข้านอนรักษาอาการทั้งกล่าว จากนั้นหลานชายบอกว่าเรื่องต่างๆ  จะดำเนินการให้หมอบอกว่าขณะนี้ห้องพิเศษเต็มให้นอนห้องร่วมกันไปก่อน ผมนึกในใจว่าห้องรวมก็ดีไม่ต้องเป็นภาระภรรยาและลูกมานอนเฝ้าไข้ ภรรยาสอนหนังสือลูกก็กำลังเรียนหนังสือ นอนห้องรวมก็ดี (เป็นการที่รักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นครั้งแรกในชีวิต )<br /><br /> ผมเข้ารักษาพยาบาลเป็นวันที่สาม หมอพยายามตรวจผมทุกระบบก็ไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไร ในวันที่สามนั้นภรรยาผมบอกให้ทราบว่าสุนัขที่ผมเลี้ยงไว้ที่บ้านน้องสาวที่กรุงเทพฯ ได้ตายไม่ทราบสาเหตุว่าตายเพราะอะไร  สุนัขตัวนี้ตอนเช้าวันเสาร์ทุกครั้งผมจะซื้อหมูปิ้งบ้าง ตับปิ้งบ้าง    นั่งป้อนให้ทุกครั้ง เข้าวันที่สี่หมอยังหาสาเหตุยังไม่พบ หมอขอตรวจเช็คผม ผมบอกหมอตรวจเลยครับ อาจจะเป็นเอดส์ก็ได้ ผมรู้ดีว่าไม่เป็นแน่นอน จากนั้นอีกสองวันหมอบอกว่าไม่เป็นอะไร ผมนึกได้บอกหมอว่าผมรู้สึกเจ็บที่ท้อง หมอตรวจและส่งผมอุลต้าซาวด์ที่ตัวจังหวัดนครปฐม อีกสองวันต่อมาผลปรากฎว่าเป็นจุดที่ตับสองจุด จากนั้นแขนทั้งสองข้างเพิ่มเข็มสายยาเป็นขวดมากขึ้นกว่าเดิม<br /><br />          ต่อมาในวันที่ 19 ธันวาคม 2548 เวลาบ่าย ๆ ภรรยาได้รับโทรศัพท์จากเชียงใหม่ว่า น้าคำแปง ได้เสียชีวิตลงเอาศพตั้งบำเพ็ญกุศลไว้ที่วัดดวงดี อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่   ผมก็ไม่สามารถเดินทางไปร่วมได้เพราะหมอไม่ให้ออกโรงพยาบาล ในการเข้าโรงพยาบาลครั้งนี้ ผมยังไม่นึกว่าสุนัขที่ผมเลี้ยงไว้มาช่วยตัดชีวิต(ตายแทน) การเข้าโรงพยาบาลในครั้งนี้ ยังไม่นึกคิดว่าสุนัขมาตายแทน แต่คิดว่าสุนัขคงกินผิดอะไรไป ผมนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลไร่ขิงประมาณสิบกว่าถึงออกกลับบ้านได้<br /><br />           ช่วงชีวิตจะต้องเข้าโรงพยาบาลครั้งที่ 2 เมื่ออายุ 63 ปี ผมเกษียณอายุราชการเมื่อปี พ.ศ 2553 เวลามาถึงช่วงอายุ  63 ปี เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ 2556 ผมไปรับลูกสาวที่หอพักแม่เหียะ หอพักของคณะสัตวแพทย์ ตามปกติวันเสาร์จะไปรับลูกสาวมาที่บ้านแม่ริม ซึ่งลูกสาวจะเอาเสื้อผ้ามาซักตอนเช้า ตอนบ่ายเสื้อผ้าแห้งแล้วลูกสาวจะกลับหอพัก ในวันที่ 1 วันนั้นในช่วงเวลาตอนเช้าลูกสาวบอกว่าขอให้ซื้อขนมจีนน้ำเงี้ยวให้กิน ผมจึงไปตลาดซื้ออุปกรณ์ทำขนมน้ำเงี๊ยวและได้ซื้อขนมจีนมาประมาณหนึ่งกิโล เมื่อทำเสร็จเรียบร้อยลูกสาวกินขนมจีนน้ำเงี๊ยว ผมเอาขนมจีนราดน้ำเงี๊ยวกินไปหนึ่งจาน กินขนมจีนน้ำเงี๊ยวได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง มีอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก รู้ตัวร้อนเหมือนเป็นไข้ กินยาแก้ไขก็ไม่หาย<br /><br />ลูกสาวเห็นผมมีอาการไม่ดีขึ้น จึงตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบินนกแอร์ พอดีมีเหลือสองที่นั่ง ได้โทรเรียกน้องชายตอนแรกไม่อยู่บ้าน แต่ก็กลับมาพอดีจึงรีบส่งขึ้นเครื่องบิน ตลอดระยะทางลูกสาวโทรให้ภรรยาผมทราบและให้ไปรอที่โรงพยาบาลไร่ขิง เมื่อถึงสนามบินดอนเมือง หลานชายเอารถยนต์มารับรีบนำส่งโรงพยาบาลไร่ขิงทันที ถึงโรงพยาบาล ฯ หมอให้นอนรอดูอาการ ผ่านไปประมาณสิบนาทีอาการยังไม่แสดงออกให้เห็น หมอบอกว่าให้ไปนอนดูอาการที่บ้านพักก่อน ถ้ามีอาการรีบนำส่งมาที่โรงพยาบาล ผมกลับมานอนพักที่บ้านซึ่งก็อยู่ไกลห่างกันประมาณหนึ่งกิโลกว่า ผมนอนดูอาการเวลาประมาณเกือบจะทุ่ม เริ่มมีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ภรรยาและลูกสาวรีบเอาขึ้นรถยนต์ ผมนั่งตอนหน้ากับภรรยาเป็นผู้ขับรถยนต์ ลูกสาวนั่งด้านหลัง ขณะที่ภรรยากำลังขับไปตามถนนเข้าโรงพยาบาลไร่ขิง ผมไม่รู้สึกตัว ภรรยากับลูกสาวบอกหลังจากส่งผมเข้าโรงพยาบาลแล้วว่า ขณะขับรถยนต์มาตามถนนเข้าโรงพยาบาลเห็นแมวสีดำตัวโต วิ่งพุ่งชนด้านหน้าตรงที่ผมนั่ง ภรรยากับลูกสาวตกใจมาก ลูกสาวได้สติรีบบอกภรรยารีบขับรถยนต์เอาส่งโรงพยาบาล เมื่อนำผมเข้าโรงพยาบาลเรียบร้อย <br /><br />ภรรยากับลูกสาวเดินมารถยนต์ด้านที่นั่ง ปรากฎว่าไม่พบร่องรอยอะไรเลยสักอย่าง ทุกอย่างเป็นปกติดี ภรรยากับลูกสาวตัดสินใจมาดูที่บริเวณที่แมวดำวิ่งชนรถยนต์ ก็ไม่พบซากแมวดำเลย สอบถามผู้คนที่อยู่บริเวณก็ไม่มีใครเห็นแมวดำเลย จึงรีบกลับมาที่โรงพยาบาล จากนั้นทั้งสองก็เงียบไม่บอกเรื่องนี้ให้ใครทราบ
เรามาต่อกันกับเรื่องราวของท่าน พ.ต.ท.ปริญญา ฯ ที่มีจิตสัมผัสจนเป็นเหมือนสิ่งเตือนใจกลายเป็นลางสังหรณ์ ที่ทำให้ท่านไม่ประมาทกับชีวิตเร่งสร้างบุญกุศลเป็นทุนในภพชาติต่อไป

จนกระทั่งอายุย่างห้าสิบห้าปี ชีวิตประจำของผมเป็นอาจารย์ประจำวิชายูโดกลุ่มงานพลศึกษา กองบังการปกครอง โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ในวันศุกร์ผมจะขับรถพาภรรยาและลูกทั้งสองคนเข้ากรุงเทพไปบ้านน้องสาวของภรรยาซึ่งเป็นหมอฟัน และจะกลับบ้านพักที่สามพรานฯ ในวันอาทิตย์ตอนเย็น จะปฎิบัติอย่างนี้มาตลอดหลายปี ในช่วงอายุเข้าห้าสิบห้าปี ผมจะมีอาการขณะขับรถยนต์ทั้งไปกลับ มีอาการมองเห็นข้างหน้ามีลักษณะเป็นสีแสดบ้างสีส้มบ้าง บางครั้งเป็นสีเจ็ดสี ผมพยายามขัดความรู้สึกมาตลอดเป็นเวลาหลายเดือนโดยไม่เคยบอกให้ภรรยาและลูกทราบ

ในช่วงวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ 2548 เป็นวันเสาร์ผมจะต้องเดินทางกลับสามพรานก่อน พอดีหลานชาย(ตู่) เข้าเรียนเป็นนักเรียนตำรวจชั้นปีที่ 1 กลับด้วย ผมขับรถยนต์กลับสามพราน โดยหลานชายนั่งด้านหน้า ผมไม่รู้ว่าหลานชายสังเกตอาการผมอยู่ตลอด ได้ยินพูดโทรศัพท์กับพ่อ (พี่ชาย) ขณะผ่านเข้าถนนสายเจ็ด หลานชายบอกว่าให้ผมขับรถยนต์เข้าโรงพยาบาลไร่ขิง ผมจึงขับแวะเข้าโรงพยาบาล ทีแรกนึกว่าหลานชายจะเข้าไปตรวจที่โรงพยาบาล เมื่อไปถึงห้องตรวจบอกว่า “อาจุกเข้าตรวจดูว่าเป็นอะไร”

ผมนึกว่าไหน ๆ ก็เข้าที่โรงพยาบาลแล้วก็ตรวจซะไม่เสียหายอะไร ขณะที่หมอตรวจก็สอบถามอาการต่าง ๆ จากนั้นหมอบอกให้ผมนอนโรงพยาบาลเลยไม่ให้กลับบ้าน จากนั้นหมอพาผมไปห้องฉุกฉิน และเข้านอนรักษาอาการทั้งกล่าว จากนั้นหลานชายบอกว่าเรื่องต่างๆ จะดำเนินการให้หมอบอกว่าขณะนี้ห้องพิเศษเต็มให้นอนห้องร่วมกันไปก่อน ผมนึกในใจว่าห้องรวมก็ดีไม่ต้องเป็นภาระภรรยาและลูกมานอนเฝ้าไข้ ภรรยาสอนหนังสือลูกก็กำลังเรียนหนังสือ นอนห้องรวมก็ดี (เป็นการที่รักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นครั้งแรกในชีวิต )

ผมเข้ารักษาพยาบาลเป็นวันที่สาม หมอพยายามตรวจผมทุกระบบก็ไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไร ในวันที่สามนั้นภรรยาผมบอกให้ทราบว่าสุนัขที่ผมเลี้ยงไว้ที่บ้านน้องสาวที่กรุงเทพฯ ได้ตายไม่ทราบสาเหตุว่าตายเพราะอะไร สุนัขตัวนี้ตอนเช้าวันเสาร์ทุกครั้งผมจะซื้อหมูปิ้งบ้าง ตับปิ้งบ้าง นั่งป้อนให้ทุกครั้ง เข้าวันที่สี่หมอยังหาสาเหตุยังไม่พบ หมอขอตรวจเช็คผม ผมบอกหมอตรวจเลยครับ อาจจะเป็นเอดส์ก็ได้ ผมรู้ดีว่าไม่เป็นแน่นอน จากนั้นอีกสองวันหมอบอกว่าไม่เป็นอะไร ผมนึกได้บอกหมอว่าผมรู้สึกเจ็บที่ท้อง หมอตรวจและส่งผมอุลต้าซาวด์ที่ตัวจังหวัดนครปฐม อีกสองวันต่อมาผลปรากฎว่าเป็นจุดที่ตับสองจุด จากนั้นแขนทั้งสองข้างเพิ่มเข็มสายยาเป็นขวดมากขึ้นกว่าเดิม

ต่อมาในวันที่ 19 ธันวาคม 2548 เวลาบ่าย ๆ ภรรยาได้รับโทรศัพท์จากเชียงใหม่ว่า น้าคำแปง ได้เสียชีวิตลงเอาศพตั้งบำเพ็ญกุศลไว้ที่วัดดวงดี อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ผมก็ไม่สามารถเดินทางไปร่วมได้เพราะหมอไม่ให้ออกโรงพยาบาล ในการเข้าโรงพยาบาลครั้งนี้ ผมยังไม่นึกว่าสุนัขที่ผมเลี้ยงไว้มาช่วยตัดชีวิต(ตายแทน) การเข้าโรงพยาบาลในครั้งนี้ ยังไม่นึกคิดว่าสุนัขมาตายแทน แต่คิดว่าสุนัขคงกินผิดอะไรไป ผมนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลไร่ขิงประมาณสิบกว่าถึงออกกลับบ้านได้

ช่วงชีวิตจะต้องเข้าโรงพยาบาลครั้งที่ 2 เมื่ออายุ 63 ปี ผมเกษียณอายุราชการเมื่อปี พ.ศ 2553 เวลามาถึงช่วงอายุ 63 ปี เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ 2556 ผมไปรับลูกสาวที่หอพักแม่เหียะ หอพักของคณะสัตวแพทย์ ตามปกติวันเสาร์จะไปรับลูกสาวมาที่บ้านแม่ริม ซึ่งลูกสาวจะเอาเสื้อผ้ามาซักตอนเช้า ตอนบ่ายเสื้อผ้าแห้งแล้วลูกสาวจะกลับหอพัก ในวันที่ 1 วันนั้นในช่วงเวลาตอนเช้าลูกสาวบอกว่าขอให้ซื้อขนมจีนน้ำเงี้ยวให้กิน ผมจึงไปตลาดซื้ออุปกรณ์ทำขนมน้ำเงี๊ยวและได้ซื้อขนมจีนมาประมาณหนึ่งกิโล เมื่อทำเสร็จเรียบร้อยลูกสาวกินขนมจีนน้ำเงี๊ยว ผมเอาขนมจีนราดน้ำเงี๊ยวกินไปหนึ่งจาน กินขนมจีนน้ำเงี๊ยวได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง มีอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก รู้ตัวร้อนเหมือนเป็นไข้ กินยาแก้ไขก็ไม่หาย

ลูกสาวเห็นผมมีอาการไม่ดีขึ้น จึงตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบินนกแอร์ พอดีมีเหลือสองที่นั่ง ได้โทรเรียกน้องชายตอนแรกไม่อยู่บ้าน แต่ก็กลับมาพอดีจึงรีบส่งขึ้นเครื่องบิน ตลอดระยะทางลูกสาวโทรให้ภรรยาผมทราบและให้ไปรอที่โรงพยาบาลไร่ขิง เมื่อถึงสนามบินดอนเมือง หลานชายเอารถยนต์มารับรีบนำส่งโรงพยาบาลไร่ขิงทันที ถึงโรงพยาบาล ฯ หมอให้นอนรอดูอาการ ผ่านไปประมาณสิบนาทีอาการยังไม่แสดงออกให้เห็น หมอบอกว่าให้ไปนอนดูอาการที่บ้านพักก่อน ถ้ามีอาการรีบนำส่งมาที่โรงพยาบาล ผมกลับมานอนพักที่บ้านซึ่งก็อยู่ไกลห่างกันประมาณหนึ่งกิโลกว่า ผมนอนดูอาการเวลาประมาณเกือบจะทุ่ม เริ่มมีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ภรรยาและลูกสาวรีบเอาขึ้นรถยนต์ ผมนั่งตอนหน้ากับภรรยาเป็นผู้ขับรถยนต์ ลูกสาวนั่งด้านหลัง ขณะที่ภรรยากำลังขับไปตามถนนเข้าโรงพยาบาลไร่ขิง ผมไม่รู้สึกตัว ภรรยากับลูกสาวบอกหลังจากส่งผมเข้าโรงพยาบาลแล้วว่า ขณะขับรถยนต์มาตามถนนเข้าโรงพยาบาลเห็นแมวสีดำตัวโต วิ่งพุ่งชนด้านหน้าตรงที่ผมนั่ง ภรรยากับลูกสาวตกใจมาก ลูกสาวได้สติรีบบอกภรรยารีบขับรถยนต์เอาส่งโรงพยาบาล เมื่อนำผมเข้าโรงพยาบาลเรียบร้อย

ภรรยากับลูกสาวเดินมารถยนต์ด้านที่นั่ง ปรากฎว่าไม่พบร่องรอยอะไรเลยสักอย่าง ทุกอย่างเป็นปกติดี ภรรยากับลูกสาวตัดสินใจมาดูที่บริเวณที่แมวดำวิ่งชนรถยนต์ ก็ไม่พบซากแมวดำเลย สอบถามผู้คนที่อยู่บริเวณก็ไม่มีใครเห็นแมวดำเลย จึงรีบกลับมาที่โรงพยาบาล จากนั้นทั้งสองก็เงียบไม่บอกเรื่องนี้ให้ใครทราบ
102416.jpg (137.44 KiB) เข้าดูแล้ว 666 ครั้ง
ไปชมพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์กับเด็กน้อยกันต่อครับ ชื่นชมจัดได้ดีมาก ๆ ได้ความรู้แน่นขึ้นไปอีก ไม่แพ้ที่ใดแน่นอน ไม่นึกไม่ฝัน ลป.จะมีของดีดึกดำบรรพ์ทั้งแหล่งแร่ แหล่งกำเนิดของมนุษยชาติ แหล่งหินและแหล่งพลังงานต่าง ๆ สุดยอดจริง ๆ บอกคำเดียว &quot;อย่าพลาด&quot; หาเวลาโอกาสไปชมกันนะครับ
ไปชมพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์กับเด็กน้อยกันต่อครับ ชื่นชมจัดได้ดีมาก ๆ ได้ความรู้แน่นขึ้นไปอีก ไม่แพ้ที่ใดแน่นอน ไม่นึกไม่ฝัน ลป.จะมีของดีดึกดำบรรพ์ทั้งแหล่งแร่ แหล่งกำเนิดของมนุษยชาติ แหล่งหินและแหล่งพลังงานต่าง ๆ สุดยอดจริง ๆ บอกคำเดียว "อย่าพลาด" หาเวลาโอกาสไปชมกันนะครับ
cats 16.jpg (112.25 KiB) เข้าดูแล้ว 666 ครั้ง
cats 17.jpg
cats 17.jpg (96.37 KiB) เข้าดูแล้ว 666 ครั้ง
cats 18.jpg
cats 18.jpg (86.97 KiB) เข้าดูแล้ว 666 ครั้ง
cats 19.jpg
cats 19.jpg (116 KiB) เข้าดูแล้ว 666 ครั้ง
cats 20.JPG
cats 20.JPG (89.95 KiB) เข้าดูแล้ว 666 ครั้ง
cats 21.jpg
cats 21.jpg (117.59 KiB) เข้าดูแล้ว 666 ครั้ง
cats 22.jpg
cats 22.jpg (119.01 KiB) เข้าดูแล้ว 666 ครั้ง
cats 23.jpg
cats 23.jpg (91.16 KiB) เข้าดูแล้ว 666 ครั้ง
cats 24.jpg
cats 24.jpg (110.04 KiB) เข้าดูแล้ว 666 ครั้ง
cats 25.JPG
cats 25.JPG (95.98 KiB) เข้าดูแล้ว 666 ครั้ง
cats 26.JPG
cats 26.JPG (92.9 KiB) เข้าดูแล้ว 666 ครั้ง
cats 27.jpg
cats 27.jpg (95.13 KiB) เข้าดูแล้ว 666 ครั้ง
cats 28.jpg
cats 28.jpg (72.37 KiB) เข้าดูแล้ว 666 ครั้ง
cats 29.jpg
cats 29.jpg (109.69 KiB) เข้าดูแล้ว 666 ครั้ง
cats 30.JPG
cats 30.JPG (76.74 KiB) เข้าดูแล้ว 666 ครั้ง
เด็กน้อยมีความสุข(ประทับใจ เดินชมจนจบแล้วยังบอกจะมาอีก) เราออกจากพิพิธภัณฑ์เป็นเวลาเที่ยงเรียกว่าได้เวลาเติมพลังกันแล้วก่อนที่จะไปเที่ยวกันต่อ ค้นหาร้านเจซึ่งที่ลำปางมีหลายร้านให้เลือกอย่าลืมปักหมุดในลุงกูนะครับ ๕๕๕
เด็กน้อยมีความสุข(ประทับใจ เดินชมจนจบแล้วยังบอกจะมาอีก) เราออกจากพิพิธภัณฑ์เป็นเวลาเที่ยงเรียกว่าได้เวลาเติมพลังกันแล้วก่อนที่จะไปเที่ยวกันต่อ ค้นหาร้านเจซึ่งที่ลำปางมีหลายร้านให้เลือกอย่าลืมปักหมุดในลุงกูนะครับ ๕๕๕
cats 31.JPG (66.57 KiB) เข้าดูแล้ว 666 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4365
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D วันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ เป็นวันที่ "พระยาพิชัยดาบหัก" ถูกประหารชีวิต

เมื่อสิ้นแผ่นดินพระเจ้าตากสิน สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกตั้งกรุงเทพฯเป็นเมืองหลวง พระยาพิชัยดาบหักทูลขอถวายความกตัญญู ความจงรักภักดี และถวายชีวิตเป็นราชพลีตามสมเด็จพระเจ้าตากสิน เมื่อวันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ สิริอายุรวมได้ ๔๑ ปี
:o :o

:( :( อรุณสวัสดิ์ครับท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน จากข้อความข้างบน ไม่ทราบท่านจะคิดเหมือนผมไหม ? เมืองไทยของเราปัจจุบันผู้ที่มีศักดิ์ มีศรี มีอำนาจบารมีของบ้านเมืองแทบจะหาไม่ได้เลย เราจะพบเห็นแต่พวกที่เนรคุณ อกตัญญู ยิ่งสมัยหาเสียงปัจจุบันบรรดาท่านผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย มีหลาย ๆ คนแสดงตน "ชั่วชัดเจน" เขาเหล่านั้น แทนที่จะยึดแนวของ พระยาพิชัยดาบหักมาเป็นแม่แบบตรงข้ามกลับ ยึดถือแนว ศรีธนญชัย มาเป็นแม่แบบ ตื่นเถิดชาวไทย อย่ามัวหลับใหลลุ่มหลง.....ขอให้การเลือกตั้งครั้งนี้ได้พิสูจน์ให้โลกรู้ว่า คนไทยไม่ได้ "โง่" นะโว้ย...๕๕๕๕. :lol: :lol: :lol:

:o :o วัดเชียงราย#แต่อยู่ลำปาง# :lol: :lol:

:lol: :lol: เราพากันเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์จนกระทั่งใกล้จะบ่าย น้องสาวคุณม่อย(ญาติธรรม)แห่งร้านกวยเตี๊ยวโกจือที่แสนอร่อยของเมืองลำปาง ก็โทร ฯ มาแจ้งว่าได้ไปรอที่ร้านอาหาร เจ ตรงข้ามวัดเชียงราย แล้ว งง ไหมครับวัดเชียงราย แต่ตั้งอยู่ที่เมืองลำปาง ปักหมุดตรงไปที่นัดหมายก็เจอร้านอยู่ตรงข้ามวัดเชียงราย นั่งในร้านมองเห็นวัดชัดเจน จอดรถตรงริมทางหน้าวัดพอดิบพอดีครับ :lol: :lol:
ไฟล์แนบ
อยู่ฝั่งที่จอดรถวัดเชียงราย มองเห็นร้านอาหารที่นัดหมายพอดิบพอดีครับ ถือโอกาสเดินชมวัดนิดหน่อย
อยู่ฝั่งที่จอดรถวัดเชียงราย มองเห็นร้านอาหารที่นัดหมายพอดิบพอดีครับ ถือโอกาสเดินชมวัดนิดหน่อย
235628.jpg (102.39 KiB) เข้าดูแล้ว 595 ครั้ง
235632.jpg
235632.jpg (81.08 KiB) เข้าดูแล้ว 595 ครั้ง
320161.jpg
320161.jpg (163.45 KiB) เข้าดูแล้ว 595 ครั้ง
320162.jpg
320162.jpg (127.13 KiB) เข้าดูแล้ว 595 ครั้ง
320163.jpg
320163.jpg (68.05 KiB) เข้าดูแล้ว 595 ครั้ง
วัดเชียงราย (ข้อมูลจาก ทริปดอทคอม)<br /><br />แปลกแต่จริง ชื่อวัดเชียงราย แต่อยู่ในจังหวัดลำปาง งงไหมละ วัดเชียงราย ตั้งอยู่สวนดอก อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง ตามหลักฐานประวัติกล่าวว่า วัดเชียงรายสร้างขึ้นราว พ.ศ.2200 พระยาชมภู บุตรชายของเจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง คชเสนี) ที่อพยพจากเมืองเชียงแสน เข้ามาอยู่ที่ลำปางพร้อมครอบครัว และต่อมาได้สร้างวัดนี้ขึ้นเพื่อรำลึกถึง เมืองเชียงราย ที่จากมานั่นเอง และนี้ก็เป็นที่มาของวัดเชียงรายในจังหวัดลำปาง<br /><br />ภายในบริเวณวัดเชียงรายโดดเด่นด้วย วิหารสีขาวที่ประดับลวดลายปูนปั้นสีขาว ประดับกระจกชิ้นเล็กๆในยามกระทบแสงส่งประกายอย่างวิจิตรงดงาม ภายในวิหารประดิษฐานพระพทธรูปประธานปางมารวิชัย พระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถประทับ( นั่ง )ขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา ( ตัก ) พระหัตถ์ขวาวางบนพระชานุ ( เข่า ) นิ้วพระหัตถ์ชี้ลงพื้นธรณี พระประธานในพระอุโบสถ ปิดทองอร่าม บอกเลยคะว่ามีความงดงามมากๆ
วัดเชียงราย (ข้อมูลจาก ทริปดอทคอม)

แปลกแต่จริง ชื่อวัดเชียงราย แต่อยู่ในจังหวัดลำปาง งงไหมละ วัดเชียงราย ตั้งอยู่สวนดอก อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง ตามหลักฐานประวัติกล่าวว่า วัดเชียงรายสร้างขึ้นราว พ.ศ.2200 พระยาชมภู บุตรชายของเจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง คชเสนี) ที่อพยพจากเมืองเชียงแสน เข้ามาอยู่ที่ลำปางพร้อมครอบครัว และต่อมาได้สร้างวัดนี้ขึ้นเพื่อรำลึกถึง เมืองเชียงราย ที่จากมานั่นเอง และนี้ก็เป็นที่มาของวัดเชียงรายในจังหวัดลำปาง

ภายในบริเวณวัดเชียงรายโดดเด่นด้วย วิหารสีขาวที่ประดับลวดลายปูนปั้นสีขาว ประดับกระจกชิ้นเล็กๆในยามกระทบแสงส่งประกายอย่างวิจิตรงดงาม ภายในวิหารประดิษฐานพระพทธรูปประธานปางมารวิชัย พระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถประทับ( นั่ง )ขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา ( ตัก ) พระหัตถ์ขวาวางบนพระชานุ ( เข่า ) นิ้วพระหัตถ์ชี้ลงพื้นธรณี พระประธานในพระอุโบสถ ปิดทองอร่าม บอกเลยคะว่ามีความงดงามมากๆ
320164.jpg (73.74 KiB) เข้าดูแล้ว 595 ครั้ง
235513.jpg
235513.jpg (86.25 KiB) เข้าดูแล้ว 595 ครั้ง
ร้านนี้เป็นร้านที่ทำอาหารเจอร่อยมาก ๆ เสียดายที่วันนี้ราคาขอขยับขึ้นไปเกือบ ๕ บ.ต่อเมนู คนที่กินธรรมดาเขาคงไม่สั่ง เจ มากินแน่นอนรู้สึกได้ว่า &quot;แพงไป&quot; เราไม่มีปัญหาสั่งกินตามปกติ หลังจากที่อิ่มหมีพีมันกันแล้ว เป้าหมายของเราจะไปเที่ยวเขื่อนกัน เด็กน้อยอยากเห็นเขื่อนครับ จัดไป.....
ร้านนี้เป็นร้านที่ทำอาหารเจอร่อยมาก ๆ เสียดายที่วันนี้ราคาขอขยับขึ้นไปเกือบ ๕ บ.ต่อเมนู คนที่กินธรรมดาเขาคงไม่สั่ง เจ มากินแน่นอนรู้สึกได้ว่า "แพงไป" เราไม่มีปัญหาสั่งกินตามปกติ หลังจากที่อิ่มหมีพีมันกันแล้ว เป้าหมายของเราจะไปเที่ยวเขื่อนกัน เด็กน้อยอยากเห็นเขื่อนครับ จัดไป.....
cats 34.jpg (129.3 KiB) เข้าดูแล้ว 595 ครั้ง
cats 4.JPG
cats 4.JPG (145.23 KiB) เข้าดูแล้ว 595 ครั้ง
cats 5.JPG
cats 5.JPG (141.33 KiB) เข้าดูแล้ว 595 ครั้ง
เขื่อนกิ่วลม(จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี) <br /><br />เป็นเขื่อนในการดูแลของกรมชลประทาน ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองลำปางขึ้นไปทางทิศเหนือตามถนนพหลโยธิน ประมาณ 38 กิโลเมตรเศษ แยกซ้ายกิโลเมตรที่ 623 เข้า ไปอีก 14 กิโลเมตร ปิดกั้น แม่น้ำวัง ซึ่งเป็นแควที่มีขนาดเล็กและสั้นที่สุดของแม่น้ำเจ้าพระยา อยู่ในท้องที่จังหวัดลำปางเพียงจังหวัดเดียวเกือบตลอดสาย และไหลลงสู่แม่น้ำปิงในเขตจังหวัดตาก แม่น้ำวังมีพื้นที่ลุ่มน้ำแคบ ประกอบกับมีฝนน้อยกว่าลุ่มน้ำอื่น ๆ ในภาคนี้ แม่น้ำจึงเล็ก แต่น้ำขึ้นและลงในเวลาอันรวดเร็ว กับมีระยะเวลาขาดแคลนน้ำค่อนข้างมาก การทำนาจึงขึ้นอยู่กับฝนเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนเป็นอันมาก และข้าวที่ปลูกได้ก็น้อยจนไม่พอบริโภคในจังหวัด เพื่อเป็นการแก้ไขความเดือดร้อนเกี่ยวกับเรื่องน้ำเพื่อการเพาะปลูกของราษฎรในขั้นแรกนั้น กรมชลประทานได้พิจารณาสร้างโครงการชลประทานแม่วังซึ่งเป็นโครงการประเภททดและส่งน้ำแบบเหมืองฝายขึ้นเป็นโครงการแรกเมื่อ พ.ศ. 2478 ต่อมา เมื่อความต้องการน้ำเพื่อการเพาะปลูกเพิ่มขึ้น กรมชลประทานจึงสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำกิ่วลมที่ตำบลบ้านแลง อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง เพื่อเก็บกักน้ำบนแม่น้ำวัง และสามารถส่งให้ราษฎรทำการเพาะปลูกได้ตลอดปี เขื่อนกิ่วลมเป็นเขื่อนเก็กน้ำแห่งแรกในภาคเหนือ และเริ่มเก็บน้ำได้ในปี 2515<br /><br />ลักษณะตัวเขื่อน  เป็นเขื่อนเก็บกักน้ำคอนกรีตเสริมเหล็ก สูง 26.50 ม. ยาว 135 ม. มีช่องระบายกว้าง 13.00 ม. จำนวน 5 ช่อง<br /> <br />ปริมาณน้ำที่ระดับเก็บกัก 112 ล้าน บ.ม.ปริมาณน้ำที่ระดับเก็บกักสูงสุด 112 ล้าน ลบ.ม.<br />อาณาเขตรับน้ำ 2,700 ตร.กม. พื้นที่อ่าง ฯ ที่ระดับเก็บกักสูงสุด 19 ตร.กม. ปริมาณฝนเฉลี่ย 1,200 มม./ปี<br /><br />Service  Spillway ขนาด 1.25 x 2.00 ม. ระบายน้ำได้ 12.00 ลบ.ม./วินาที<br />ทางระบายน้ำฉุกเฉิน ขนาด 13.00 x 8.00 ม. ระบายน้ำได้ 3,000 ลบ.ม./วินาที<br />คลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งขวา ยาว 40.30 กม. ปริมาณน้ำผ่านเต็มที่ 25.00 ลบ.ม./วินาที คลองซอยและคลองแยกซอย 31 สาย ยาวรวม 71.60 กม.<br /><br />เขื่อนกิ่วลมขณะก่อสร้างถูกใช้เป็นฉากของเรื่องสั้นชุดชาวเขื่อนโดย มนันยา มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับชีวิตของข้าราชการกรมชลประทานและเหล่าคนงานก่อสร้าง เธอได้รับแรงบันดาลใจในการแต่งจากการติดตามสามีของเธอที่เป็นหนึ่งในข้าราชการควบคุมการก่อสร้าง เรื่องสั้นถูกตีพิมพ์เป็นตอนๆ ในนิตยสาร สตรีสาร และต่อมาได้มีการรวมเล่มเป็นหนังสือ 3 เล่ม ในชื่อ ชาวเขื่อน, เอ แมน คอลด์ เป๋ง และ ลาก่อนกิ่วลม
เขื่อนกิ่วลม(จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)

เป็นเขื่อนในการดูแลของกรมชลประทาน ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองลำปางขึ้นไปทางทิศเหนือตามถนนพหลโยธิน ประมาณ 38 กิโลเมตรเศษ แยกซ้ายกิโลเมตรที่ 623 เข้า ไปอีก 14 กิโลเมตร ปิดกั้น แม่น้ำวัง ซึ่งเป็นแควที่มีขนาดเล็กและสั้นที่สุดของแม่น้ำเจ้าพระยา อยู่ในท้องที่จังหวัดลำปางเพียงจังหวัดเดียวเกือบตลอดสาย และไหลลงสู่แม่น้ำปิงในเขตจังหวัดตาก แม่น้ำวังมีพื้นที่ลุ่มน้ำแคบ ประกอบกับมีฝนน้อยกว่าลุ่มน้ำอื่น ๆ ในภาคนี้ แม่น้ำจึงเล็ก แต่น้ำขึ้นและลงในเวลาอันรวดเร็ว กับมีระยะเวลาขาดแคลนน้ำค่อนข้างมาก การทำนาจึงขึ้นอยู่กับฝนเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนเป็นอันมาก และข้าวที่ปลูกได้ก็น้อยจนไม่พอบริโภคในจังหวัด เพื่อเป็นการแก้ไขความเดือดร้อนเกี่ยวกับเรื่องน้ำเพื่อการเพาะปลูกของราษฎรในขั้นแรกนั้น กรมชลประทานได้พิจารณาสร้างโครงการชลประทานแม่วังซึ่งเป็นโครงการประเภททดและส่งน้ำแบบเหมืองฝายขึ้นเป็นโครงการแรกเมื่อ พ.ศ. 2478 ต่อมา เมื่อความต้องการน้ำเพื่อการเพาะปลูกเพิ่มขึ้น กรมชลประทานจึงสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำกิ่วลมที่ตำบลบ้านแลง อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง เพื่อเก็บกักน้ำบนแม่น้ำวัง และสามารถส่งให้ราษฎรทำการเพาะปลูกได้ตลอดปี เขื่อนกิ่วลมเป็นเขื่อนเก็กน้ำแห่งแรกในภาคเหนือ และเริ่มเก็บน้ำได้ในปี 2515

ลักษณะตัวเขื่อน เป็นเขื่อนเก็บกักน้ำคอนกรีตเสริมเหล็ก สูง 26.50 ม. ยาว 135 ม. มีช่องระบายกว้าง 13.00 ม. จำนวน 5 ช่อง

ปริมาณน้ำที่ระดับเก็บกัก 112 ล้าน บ.ม.ปริมาณน้ำที่ระดับเก็บกักสูงสุด 112 ล้าน ลบ.ม.
อาณาเขตรับน้ำ 2,700 ตร.กม. พื้นที่อ่าง ฯ ที่ระดับเก็บกักสูงสุด 19 ตร.กม. ปริมาณฝนเฉลี่ย 1,200 มม./ปี

Service Spillway ขนาด 1.25 x 2.00 ม. ระบายน้ำได้ 12.00 ลบ.ม./วินาที
ทางระบายน้ำฉุกเฉิน ขนาด 13.00 x 8.00 ม. ระบายน้ำได้ 3,000 ลบ.ม./วินาที
คลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งขวา ยาว 40.30 กม. ปริมาณน้ำผ่านเต็มที่ 25.00 ลบ.ม./วินาที คลองซอยและคลองแยกซอย 31 สาย ยาวรวม 71.60 กม.

เขื่อนกิ่วลมขณะก่อสร้างถูกใช้เป็นฉากของเรื่องสั้นชุดชาวเขื่อนโดย มนันยา มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับชีวิตของข้าราชการกรมชลประทานและเหล่าคนงานก่อสร้าง เธอได้รับแรงบันดาลใจในการแต่งจากการติดตามสามีของเธอที่เป็นหนึ่งในข้าราชการควบคุมการก่อสร้าง เรื่องสั้นถูกตีพิมพ์เป็นตอนๆ ในนิตยสาร สตรีสาร และต่อมาได้มีการรวมเล่มเป็นหนังสือ 3 เล่ม ในชื่อ ชาวเขื่อน, เอ แมน คอลด์ เป๋ง และ ลาก่อนกิ่วลม
cats 6.JPG (111.73 KiB) เข้าดูแล้ว 595 ครั้ง
cats 7.JPG
cats 7.JPG (102.06 KiB) เข้าดูแล้ว 595 ครั้ง
cats 2.JPG
cats 2.JPG (109.88 KiB) เข้าดูแล้ว 595 ครั้ง
cats 3.JPG
cats 3.JPG (108.4 KiB) เข้าดูแล้ว 595 ครั้ง
ติดตามเรื่องราวของเพื่อนจุกกันต่อครับ<br /><br /><br />ผมนอนห้องพิเศษเพราะก่อนหน้าผมมีคนไข้หมอให้กลับบ้านไปแล้ว จึงได้เข้าห้องพิเศษดังกล่าว หมอเวรมาตรวจอาการของผมก็ยังไม่ทราบว่าเป็นอะไร จึงเติมน้ำเกลือไปก่อน ผมก็บอกอาการทุกอย่างให้หมอเวรรับทราบ หมอเวรบอกว่าพรุ่งนี้จะมีหมอเฉพาะทางมาตรวจอีกครั้ง เวลาย่างเข้าประมาณตีสามกว่า ผมเริ่มมีอาการหนาวเย็นขึ้นมาทีละน้อย จนกระทั่งอาการหนาวจนทนไม่ได้พยาบาลรีบนำผ้าห่มหลายผืนมาห่มให้แต่อาการหนาวก็ไม่หาย     ผมหนาวจนหมดสติมือเท้าอ่อนหมด ก่อนที่ผมจะหมดความรู้ตัวเสียงของลูกสาวบอกว่าพ่อหายใจไว้หายใจไว้ เสียงดังกล่าวเริ่มเบาลงเบาลง จนผมไม่ได้ยินเสียงของลูกสาว และก่อนที่หมดสติรู้สึกว่าพยาบาลเอาน้ำร้อนที่ใส่ถุงยัดไว้ข้างตัวผม แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้ มารู้สึกอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่าที่หน้าอกมีความร้อนวางอยู่บนหน้าอก แขนขาเริ่มขยับได้หายใจออกพยามลืมตามองดูรอบๆ เห็นภรรยากับลูกสาวยืนอยู่ข้างๆ ลูกสาวบอกว่าพ่อหมดสติไปแล้ว พอดีถุงน้ำร้อนตกที่เท้าภรรยา จึงรีบเอายัดไว้ที่หน้าอกพ่อ <br /><br />พอได้สติอาการหนาวก็หายไปทีละน้อย จนเป็นปกติ จากนั้นพยาบาลได้เตรียมผ้าห่มจำนวนหลายผืนเตรียมไว้และเตรียมถุงน้ำร้อนไว้หลายถุง จนกระทั่งถึงเวลาเช้า เวลาประมาณเก้าโมงเช้า แพทย์เฉพาะทางมาตรวจผมสอบถามอาการต่าง ๆ  หมอออกห้องไปประมาณไม่ถึงสิบนาที อาการหนาวเย็นเริ่มกลับมาให้เห็นอีกครั้ง อาการเหมือนเดิมให้ผ้าห่มหลายผืนใช้ถุงน้ำร้อนหลายถุงประกบข้างซ้ายของขวาและตรงหน้าอก หมอรีบกลับมาหาผม ประมาณสักสามสี่นาทีอาการหนาวเย็นก็ลดลง เมื่ออาการปกติหมอให้เอ็กซ์เรย์ ผลออกมาหมอก็ยังวิเคราะห์ไม่ได้ว่าเป็นอะไร จึงได้สั่งพยาบาลว่าพรุ่งนี้เช้าพาผมเข้าตรวจทุกระบบโดยเข้าอุโมงค์ตรวจที่โรงพยาบาลประชาชื่นในกรุงเทพ วันนี้ให้ดูอาการผมอย่างใกล้ชิดมีเหตุใดรีบแจ้งให้หมอทราบโดยด่วน <br /><br />วันนี้ทั้งวันผมต้องนอนระวังอาการหนาวเย็นไปตลอด มีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้น ขณะที่ผมนอนอยู่ถ้าไม่หลับตาจะเห็นภาพหรือเหตุการณ์เป็นปกติ ถ้าหลับตาลงในความรู้สึกจะเห็นอะไรหลายอย่างผิดปกติ เช่น นอนเห็นเพดานเป็นหลุมเป็นบ่อขรุขระเป็นร่องรอย นึกอยู่ในใจว่าช่างปูนพวกนี้ฝีมือหยาบ มองเห็นผู้ช่วยพยาบาลมานั่งเฝ้าอยู่ที่ปลายเตียงนอนสวมชุดสีเขียว ในมือมีที่วัดความดัน นั่งยิ้มอยู่ หันไปอีกด้านตรงข้ามพบว่าตัวผมไปยืนอยู่ที่ปลายเตียงยืนยิ้มให้ ผมยังถามว่ายิ้มให้ใคร นึกไปนึกมามันยิ้มให้ตัวเรานี่หว่า ยังสวมกางเกงยีนส์สีดำ สวมเสื้อยืดลายเส้นที่ภรรยาซื้อให้ใส่ จากนั้นก็ลืมตาก็ไม่พบอะไรสักอย่าง จึงนึกในใจว่าจิตตัวเราคงถอดแล้ว จึงตั้งสมาธิจรดจิตใจให้เข็มแข็ง บอกกับตัวเองว่ามึงยังตายไม่ได้ ลูกสองคนยังไม่จบมหาวิทยาลัย อีกอย่างมึงต้องอายุถึง 65 ปีก่อนเพราะจะต้องเอาเงินก่อนตายอีกสองแสนกว่าบาท มึงยังตายไม่ได้ ความรู้สึกทุกอย่างจะก้องอยู่ในจิตใต้สำนึกตลอด <br />            <br /> เมื่อรวบรวมสมาธิตั้งสติให้เข็มแข็งให้มั่นคง พยายามต่อสู้กับโรคร้ายที่หมอยังไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไร จนกระทั่งวันใหม่และวันนี้พยาบาลจะต้องนำผมนั่งรถพยาบาลไปตรวจอุโมงค์ที่โรงพยาบาลประชาชื่น ได้เวลาไปตรวจที่โรงพยาบาลก่อนรอคิวเข้าตรวจ อาการหนาวสั่นเริ่มก่อตัวขึ้นมาอีก ภรรยาและพยาบาลรีบเอาผ้าห่มมาห่มให้ อาการหนาวในครั้งนี้ไม่รุนแรงผมสามารถต้านได้ เมื่อตรวจเสร็จเดินทางกลับโรงพยาบาลไร่ขิง ผลการตรวจจะแจ้งตามมาให้ทราบ เมื่อผลการตรวจมาปรากฎว่าไม่พบว่าเป็นโรคอะไร หมอได้เอาประวัติผมตรวจเพราะประวัติผมเข้ารักษาที่โรงพยาบาลไร่ขิงมาตรวจ การตรวจพบว่าผมเป็นคนไข้ของคุณหมอวิสิทธ์  ซึ่งผมเป็นคนไข้คุณหมอวิสิทธ์มาหลายปีแล้ว หมอจึงได้โทรสอบถามว่าผมเป็นคนไข้คุณหมอวิสิทธ์นะ เมื่อคุณหมอวิสิทธ์ทราบประมาณห้านาทีคุณหมอวิสิทธิ์ได้เดินเข้ามาในห้องดูอาการแล้วใช้มือเคาะที่หน้าท้องผม แล้วบอกว่างดน้ำงดอาหารใช้สายยางล้วงลงไปในปากประมาณ 45 เซนติเมตร ปลายสายยางมีขวดแก้วขนาดกลางรับสายยางเวลาไม่ถึงสองสามนาทีมีมูกมันของเหลวไหลมาตามยาง ไม่ถึงห้านาทีขวดแก้วของเหลวไหลออกมาในขวดเกือบเต็ม พยาบาลรีบเปลี่ยนขวดใหม่ ขวดที่สองอาการไหลของเหลวเริ่มไหลช้าลง ผมต้องนอนอมสายยางไปเกือบสองวัน แขนทั้งสองข้างผมเต็มไปด้วยน้ำเกลือ ขวดยาฆ่าเชื้อ ขวดไหนหมดพยาบาลก็นำขวดใหม่มาเปลี่ยนจะสลับกันอยู่อย่างนี้เป็นเวลาหลายวัน<br />               <br />เมื่อหมอเอาสายยางออกบอกว่าพิษออกหมดแล้ว แต่หมอต้องให้ยาล้างพิษไปก่อน อาหารยังให้งด ต่อมาอีกสองสามวันอาการผมดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่แข็งแรงจะลุกด้วยตนเอง ภรรยากับลูกสาวจะสลับเปลี่ยนกันช่วยพยุงผมขึ้นจากเตียงนอน เมื่อผมเริ่มแข็งแรงลูกสาวต้องกลับไปเรียนหนังสือที่คณะสัตวแพทย์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ลูกชายมาเยี่ยมนอนเป็นเพื่อนถึงเวลาก็ต้องกลับไปเรียนหนังสือที่คณะวิศวะเคมีที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีบางมด เหลือแต่ภรรยาเป็นผู้เฝ้าโดยถ้ามีคาบการสอนก็จะกลับไปสอน ถ้าไม่มีคาบสอนก็จะมาเฝ้า อาการผมเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ วันไหนที่คุณหมอวิสิทธ์มาตรวจคนไข้มักจะมาดูอาการผมตลอด ผมก็เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้ฟัง คุณหมอวิเคราะห์ว่าขนมจีนที่ผมกินเข้าไปนั้นเป็นจังหวะที่มีเชื้อราประเภทหมักอย่างแรง จึงทำให้เกิดติดเชื้ออย่างรุนแรง ผมก็บ่นกับคุณหมอวิสิทธ์ว่าถ้าลูกสาวเอาผมเข้าโรงพยาบาลที่เชียงใหม่คงตายแน่ ตอนลงเครื่องบินถ้าเอาเข้าโรงพยาบาลศิริราชก็คงตายเหมือนกัน เพราะโรงพยาบาลเหล่านี้ประวัติไข้ผมไม่มี ขนาดมาโรงพยาบาลไร่ขิงเกือบเอาไม่อยู่ โชคดีที่ยังพบหมอจึงรอดตาย คุณหมอวิสิทธ์บอกว่าต่อไปจะออกใบแพทย์ไว้ให้ เวลาเกิดเป็นอะไรที่ไหนก็เอาใบแพทย์ให้ดู เขาจะได้รู้เหตุแห่งโรคผมเข้านอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลไร่ขิงตั้งแต่วันที่ 1 -19 ธันวาคม 2556. <br />                <br />ช่วงเวลาที่ผมเข้ารักษาตัวครั้งแรกมาถึงครั้งที่สองห่างกันเป็นเวลา  8 ปี ผมจะมีโอกาสเข้าโรงพยาบาลครั้งสามอีกไหมหนอ เข้าโรงพยาบาลแล้วจะมีตัวช่วยเหมือนครั้งที่หนึ่งครั้งสองไหมหนอ ทำใจเถอะโยมถึงเวลามันก็มาเอง  (ขอบคุณครับที่อ่านจนจบ )
ติดตามเรื่องราวของเพื่อนจุกกันต่อครับ


ผมนอนห้องพิเศษเพราะก่อนหน้าผมมีคนไข้หมอให้กลับบ้านไปแล้ว จึงได้เข้าห้องพิเศษดังกล่าว หมอเวรมาตรวจอาการของผมก็ยังไม่ทราบว่าเป็นอะไร จึงเติมน้ำเกลือไปก่อน ผมก็บอกอาการทุกอย่างให้หมอเวรรับทราบ หมอเวรบอกว่าพรุ่งนี้จะมีหมอเฉพาะทางมาตรวจอีกครั้ง เวลาย่างเข้าประมาณตีสามกว่า ผมเริ่มมีอาการหนาวเย็นขึ้นมาทีละน้อย จนกระทั่งอาการหนาวจนทนไม่ได้พยาบาลรีบนำผ้าห่มหลายผืนมาห่มให้แต่อาการหนาวก็ไม่หาย ผมหนาวจนหมดสติมือเท้าอ่อนหมด ก่อนที่ผมจะหมดความรู้ตัวเสียงของลูกสาวบอกว่าพ่อหายใจไว้หายใจไว้ เสียงดังกล่าวเริ่มเบาลงเบาลง จนผมไม่ได้ยินเสียงของลูกสาว และก่อนที่หมดสติรู้สึกว่าพยาบาลเอาน้ำร้อนที่ใส่ถุงยัดไว้ข้างตัวผม แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้ มารู้สึกอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่าที่หน้าอกมีความร้อนวางอยู่บนหน้าอก แขนขาเริ่มขยับได้หายใจออกพยามลืมตามองดูรอบๆ เห็นภรรยากับลูกสาวยืนอยู่ข้างๆ ลูกสาวบอกว่าพ่อหมดสติไปแล้ว พอดีถุงน้ำร้อนตกที่เท้าภรรยา จึงรีบเอายัดไว้ที่หน้าอกพ่อ

พอได้สติอาการหนาวก็หายไปทีละน้อย จนเป็นปกติ จากนั้นพยาบาลได้เตรียมผ้าห่มจำนวนหลายผืนเตรียมไว้และเตรียมถุงน้ำร้อนไว้หลายถุง จนกระทั่งถึงเวลาเช้า เวลาประมาณเก้าโมงเช้า แพทย์เฉพาะทางมาตรวจผมสอบถามอาการต่าง ๆ หมอออกห้องไปประมาณไม่ถึงสิบนาที อาการหนาวเย็นเริ่มกลับมาให้เห็นอีกครั้ง อาการเหมือนเดิมให้ผ้าห่มหลายผืนใช้ถุงน้ำร้อนหลายถุงประกบข้างซ้ายของขวาและตรงหน้าอก หมอรีบกลับมาหาผม ประมาณสักสามสี่นาทีอาการหนาวเย็นก็ลดลง เมื่ออาการปกติหมอให้เอ็กซ์เรย์ ผลออกมาหมอก็ยังวิเคราะห์ไม่ได้ว่าเป็นอะไร จึงได้สั่งพยาบาลว่าพรุ่งนี้เช้าพาผมเข้าตรวจทุกระบบโดยเข้าอุโมงค์ตรวจที่โรงพยาบาลประชาชื่นในกรุงเทพ วันนี้ให้ดูอาการผมอย่างใกล้ชิดมีเหตุใดรีบแจ้งให้หมอทราบโดยด่วน

วันนี้ทั้งวันผมต้องนอนระวังอาการหนาวเย็นไปตลอด มีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้น ขณะที่ผมนอนอยู่ถ้าไม่หลับตาจะเห็นภาพหรือเหตุการณ์เป็นปกติ ถ้าหลับตาลงในความรู้สึกจะเห็นอะไรหลายอย่างผิดปกติ เช่น นอนเห็นเพดานเป็นหลุมเป็นบ่อขรุขระเป็นร่องรอย นึกอยู่ในใจว่าช่างปูนพวกนี้ฝีมือหยาบ มองเห็นผู้ช่วยพยาบาลมานั่งเฝ้าอยู่ที่ปลายเตียงนอนสวมชุดสีเขียว ในมือมีที่วัดความดัน นั่งยิ้มอยู่ หันไปอีกด้านตรงข้ามพบว่าตัวผมไปยืนอยู่ที่ปลายเตียงยืนยิ้มให้ ผมยังถามว่ายิ้มให้ใคร นึกไปนึกมามันยิ้มให้ตัวเรานี่หว่า ยังสวมกางเกงยีนส์สีดำ สวมเสื้อยืดลายเส้นที่ภรรยาซื้อให้ใส่ จากนั้นก็ลืมตาก็ไม่พบอะไรสักอย่าง จึงนึกในใจว่าจิตตัวเราคงถอดแล้ว จึงตั้งสมาธิจรดจิตใจให้เข็มแข็ง บอกกับตัวเองว่ามึงยังตายไม่ได้ ลูกสองคนยังไม่จบมหาวิทยาลัย อีกอย่างมึงต้องอายุถึง 65 ปีก่อนเพราะจะต้องเอาเงินก่อนตายอีกสองแสนกว่าบาท มึงยังตายไม่ได้ ความรู้สึกทุกอย่างจะก้องอยู่ในจิตใต้สำนึกตลอด

เมื่อรวบรวมสมาธิตั้งสติให้เข็มแข็งให้มั่นคง พยายามต่อสู้กับโรคร้ายที่หมอยังไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไร จนกระทั่งวันใหม่และวันนี้พยาบาลจะต้องนำผมนั่งรถพยาบาลไปตรวจอุโมงค์ที่โรงพยาบาลประชาชื่น ได้เวลาไปตรวจที่โรงพยาบาลก่อนรอคิวเข้าตรวจ อาการหนาวสั่นเริ่มก่อตัวขึ้นมาอีก ภรรยาและพยาบาลรีบเอาผ้าห่มมาห่มให้ อาการหนาวในครั้งนี้ไม่รุนแรงผมสามารถต้านได้ เมื่อตรวจเสร็จเดินทางกลับโรงพยาบาลไร่ขิง ผลการตรวจจะแจ้งตามมาให้ทราบ เมื่อผลการตรวจมาปรากฎว่าไม่พบว่าเป็นโรคอะไร หมอได้เอาประวัติผมตรวจเพราะประวัติผมเข้ารักษาที่โรงพยาบาลไร่ขิงมาตรวจ การตรวจพบว่าผมเป็นคนไข้ของคุณหมอวิสิทธ์ ซึ่งผมเป็นคนไข้คุณหมอวิสิทธ์มาหลายปีแล้ว หมอจึงได้โทรสอบถามว่าผมเป็นคนไข้คุณหมอวิสิทธ์นะ เมื่อคุณหมอวิสิทธ์ทราบประมาณห้านาทีคุณหมอวิสิทธิ์ได้เดินเข้ามาในห้องดูอาการแล้วใช้มือเคาะที่หน้าท้องผม แล้วบอกว่างดน้ำงดอาหารใช้สายยางล้วงลงไปในปากประมาณ 45 เซนติเมตร ปลายสายยางมีขวดแก้วขนาดกลางรับสายยางเวลาไม่ถึงสองสามนาทีมีมูกมันของเหลวไหลมาตามยาง ไม่ถึงห้านาทีขวดแก้วของเหลวไหลออกมาในขวดเกือบเต็ม พยาบาลรีบเปลี่ยนขวดใหม่ ขวดที่สองอาการไหลของเหลวเริ่มไหลช้าลง ผมต้องนอนอมสายยางไปเกือบสองวัน แขนทั้งสองข้างผมเต็มไปด้วยน้ำเกลือ ขวดยาฆ่าเชื้อ ขวดไหนหมดพยาบาลก็นำขวดใหม่มาเปลี่ยนจะสลับกันอยู่อย่างนี้เป็นเวลาหลายวัน

เมื่อหมอเอาสายยางออกบอกว่าพิษออกหมดแล้ว แต่หมอต้องให้ยาล้างพิษไปก่อน อาหารยังให้งด ต่อมาอีกสองสามวันอาการผมดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่แข็งแรงจะลุกด้วยตนเอง ภรรยากับลูกสาวจะสลับเปลี่ยนกันช่วยพยุงผมขึ้นจากเตียงนอน เมื่อผมเริ่มแข็งแรงลูกสาวต้องกลับไปเรียนหนังสือที่คณะสัตวแพทย์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ลูกชายมาเยี่ยมนอนเป็นเพื่อนถึงเวลาก็ต้องกลับไปเรียนหนังสือที่คณะวิศวะเคมีที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีบางมด เหลือแต่ภรรยาเป็นผู้เฝ้าโดยถ้ามีคาบการสอนก็จะกลับไปสอน ถ้าไม่มีคาบสอนก็จะมาเฝ้า อาการผมเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ วันไหนที่คุณหมอวิสิทธ์มาตรวจคนไข้มักจะมาดูอาการผมตลอด ผมก็เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้ฟัง คุณหมอวิเคราะห์ว่าขนมจีนที่ผมกินเข้าไปนั้นเป็นจังหวะที่มีเชื้อราประเภทหมักอย่างแรง จึงทำให้เกิดติดเชื้ออย่างรุนแรง ผมก็บ่นกับคุณหมอวิสิทธ์ว่าถ้าลูกสาวเอาผมเข้าโรงพยาบาลที่เชียงใหม่คงตายแน่ ตอนลงเครื่องบินถ้าเอาเข้าโรงพยาบาลศิริราชก็คงตายเหมือนกัน เพราะโรงพยาบาลเหล่านี้ประวัติไข้ผมไม่มี ขนาดมาโรงพยาบาลไร่ขิงเกือบเอาไม่อยู่ โชคดีที่ยังพบหมอจึงรอดตาย คุณหมอวิสิทธ์บอกว่าต่อไปจะออกใบแพทย์ไว้ให้ เวลาเกิดเป็นอะไรที่ไหนก็เอาใบแพทย์ให้ดู เขาจะได้รู้เหตุแห่งโรคผมเข้านอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลไร่ขิงตั้งแต่วันที่ 1 -19 ธันวาคม 2556.

ช่วงเวลาที่ผมเข้ารักษาตัวครั้งแรกมาถึงครั้งที่สองห่างกันเป็นเวลา 8 ปี ผมจะมีโอกาสเข้าโรงพยาบาลครั้งสามอีกไหมหนอ เข้าโรงพยาบาลแล้วจะมีตัวช่วยเหมือนครั้งที่หนึ่งครั้งสองไหมหนอ ทำใจเถอะโยมถึงเวลามันก็มาเอง (ขอบคุณครับที่อ่านจนจบ )
117924_0.jpg (79.7 KiB) เข้าดูแล้ว 595 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4365
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :Dพระยาพิชัยดาบหัก เดิมชื่อ จ้อย เกิดในปี พ.ศ. 2284 ที่บ้านห้วยคา เมืองพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ มีพี่น้อง 4 คน แต่เสียชีวิตไป 3 คน เด็กชายจ้อยมีนิสัยชอบชกมวยมาตั้งแต่เยาว์วัย บิดาได้พร่ำสอนเสมอ ถ้าจะชกมวยให้เก่งต้องขยันเรียนหนังสือด้วย เมื่ออายุได้ 14 ปี บิดานำไปฝากกับท่านพระครูวัดมหาธาตุ เมืองพิชัย จ้อยสามารถอ่านออกเขียนได้จนแตกฉานและซ้อมมวยไปด้วย

ต่อมาเจ้าเมืองพิชัยได้นำบุตร (ชื่อเฉิด) มาฝากที่วัดเพื่อร่ำเรียนวิชา เฉิดกับพวกมักหาทางทะเลาะวิวาทกับจ้อยเสมอ เขาจึงตัดสินใจหนีออกจากวัดขึ้นไปทางเหนือโดยมิได้บอกพ่อแม่และอาจารย์ เดินตามลำน้ำน่านไปเรื่อยๆ เมื่อเหนื่อยก็หยุดพักตามวัด ที่วัดบ้านแก่ง จ้อย ได้พบกับครูฝึกมวยคนหนึ่งชื่อ เที่ยง จึงฝากตัวเป็นศิษย์แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นทองดี ครูเที่ยงรักนายทองดีมากและมักเรียกนายทองดีว่านายทองดี ฟันขาว (เนื่องจากท่านไม่เคี้ยวหมากพลูดังคนสมัยนั้น) ด้วยความสุภาพเรียบร้อย และขยันขันแข็งเอาใจใส่การฝึกมวยช่วยการงานบ้านครูเที่ยงด้วยดีเสมอมา ทำให้ลูกหลานครูเที่ยงอิจฉานายทองดีมาก จนหาทางกลั่นแกล้งต่างๆ นานา นายทองดี ฟันขาว เห็นว่าอยู่บ้านแก่งต่อไปคงลำบาก ประกอบครูเที่ยงก็ถ่ายทอดวิชามวยให้จบหมดสิ้นแล้วจึงกราบลาครูขึ้นเหนือต่อไป[3]

ชื่อเสียง

เมื่อเดินถึงบางโพได้เข้าพักที่วัดวังเตาหม้อ (ปัจจุบันคือวัดท่าถนน) พอดีกับมีการแสดงงิ้ว จึงอยู่ดูอยู่เจ็ดวันเจ็ดคืน นายทองดี ฟันขาว สนใจงิ้วแสดง ท่าทางหกคะเมน จึงจดจำไปฝึกหัดจนจดจำท่างิ้วได้ทั้งหมดสามารถกระโดดข้ามศีรษะคนยืนได้อย่างสบาย จากนั้นก็ลาพระสงฆ์วัดวังเตาหม้อขึ้นไปท่าเสา ขอสมัครเป็นลูกศิษย์ครูเมฆซึ่งมีชื่อเสียงในการสอนมวย ครูเมฆรักนิสัยใจคอจึงถ่ายทอดวิชาการชกมวยให้จนหมดสิ้น[4]

ขณะนั้นนายทองดี ฟันขาว อายุได้ 18 ปี ต่อมาได้มีโอกาสชกมวยในงานไหว้พระแท่นศิลาอาสน์ กับนายถึก ศิษย์เอกของครูนิล นายถึกไม่สามารถป้องกันได้ ถูกเตะสลบไปนานประมาณ 10 นาที ครูนิลอับอายมากจึงท้าครูเมฆชกกัน นายทองดี ฟันขาว ได้กราบอ้อนวอนขอร้อง ขอชกแทนครูเมฆและได้ตะลุยเตะต่อยจนครูนิลฟันหลุดถึง 4 ซี่ เลือดเต็มปากสลบอยู่เป็นเวลานาน ชื่อเสียงนายทองดี ฟันขาว กระฉ่อนไปทั่วเมืองทุ่งยั้ง ลับแล พิชัย และเมืองฝาง นายทองดีอยู่กับครูเมฆประมาณ 2 ปี ก็ขอลาไปศึกษาการฟันดาบที่เมืองสวรรคโลก ด้วยความฉลาดมีไหวพริบ เขาใช้เวลาเพียง 3 เดือน ก็เรียนฟันดาบสำเร็จเป็นที่พิศวงต่อครูผู้สอนยิ่งนัก หลังจากนั้นก็ไปเที่ยวเมืองสุโขทัยและเมืองตากระหว่างทางได้รับศิษย์ไว้ 1 คน ชื่อบุญเกิด (หมื่นหาญณรงค์)[5][6] โดยเมื่อครั้งที่บุญเกิดถูกเสือคาบไปนั้น ทองดีได้ช่วยบุญเกิดไว้โดยการแทงมีดที่ปากเสือ จนเป็นที่ร่ำลือไปทั่ว[7]

รับราชการ

ภาพเขียนพระยาพิชัยต่อสู้กับพม่าเมื่อครั้งศึกโปสุพลายกทัพมาตีเมืองพิชัยจนดาบหัก
เมื่อท่านเดินทางถึงเมืองตาก ขณะนั้นได้มีพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาที่วัดใหญ่เจ้าเมืองตาก สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจัดให้มีมวยฉลองด้วย นายทองดี ฟันขาว ดีใจมากเข้าไปเปรียบมวยกับครูห้าวซึ่งเป็นครูมวยมือดีของเจ้าเมืองตากและมีอิทธิพลมาก นายทองดี ฟันขาว ใช้ความว่องไวใช้หมัดศอกและเตะขากรรไกรจนครูห้าวสลบไป เจ้าเมืองตากจึงถามว่าสามารถชกนักมวยอื่นอีกได้หรือไม่ นายทองดี ฟันขาว บอกว่าสามารถชกได้อีก เจ้าเมืองตากจึงให้ชกกับครูหมึกครูมวยร่างสูงใหญ่ ผิวดำ นายทองดี เตะซ้ายเตะขวา บริเวณขากรรไกร จนครูหมึกล้มลงสลบไป[8]

เจ้าเมืองตากพอใจมากให้เงิน 3 ตำลึง และชักชวนให้อยู่ด้วย นายทองดี ฟันขาว จึงได้ถวายตัวเป็นทหารของเจ้าเมืองตาก (สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี) ตั้งแต่บัดนั้น เป็นที่โปรดปรานมากและได้รับยศเป็น "หลวงพิชัยอาสา" เมื่อเจ้าเมืองตากได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระยาวชิรปราการ ครองเมืองกำแพงเพชร หลวงพิชัยอาสาได้ติดตามไปรับใช้อย่างใกล้ชิดและเป็นเวลาเดียวที่พม่ายกทัพล้อม กรุงศรีอยุธยา[8]

พระยาวชิรปราการพร้อมด้วยหลวงพิชัยอาสา และทหารเข้าสู้รบกับทัพพม่าหลายคราวจนได้รับชัยชนะ ได้ช้างม้าอาหารพอสมควร สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้รับการต้อนรับจากประชาชนและยกย่องขึ้นเป็นผู้นำ เมื่อกอบกู้เอกราชได้แล้ว สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองกรุงธนบุรีและได้โปรดเกล้าฯ ให้หลวงพิชัยอาสา เป็นเจ้าหมื่นไวยวรนาถ เป็นทหารเอกราชองครักษ์ในพระองค์[9]

ในปี พ.ศ. 2311 พม่าได้ยกทัพมาอีก 1 หมื่นคน สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีพร้อมด้วยหมื่นไวยวรนาถได้เข้าโจมตีจนแตกพ่าย และได้มีการสู้รบปราบก๊กต่าง ๆ อีกหลายคราว เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จกลับกรุงธนบุรี โปรดตั้งเจ้าหมื่นไวยวรนาถเป็น "พระยาสีหราชเดโช" มีตำแหน่งเป็นนายทหารเอกราชองครักษ์ตามเดิม สุดท้ายเมื่อปราบชุมนุมเจ้าพระฝางได้แล้ว สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงปูนบำเหน็จความชอบให้ทหารของพระองค์โดยทั่วหน้า ส่วนพระยาสีหราชเดโช (จ้อย หรือ ทองดี ฟันขาว) นั้น ได้โปรดเกล้าฯ บำเหน็จความชอบให้เป็นพระยาพิชัยปกครองเมืองพิชัยอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนแต่เยาว์วัย[10]

ในปี พ.ศ. 2313 - พ.ศ. 2316 ได้เกิดการสู้รบกับกองทัพพม่าอีกหลายคราว พอสิ้นฤดูฝนปีมะเส็ง พ.ศ. 2316 โปสุพลายกกองทัพมาตีเมืองพิชัย "ศึกครั้งนี้พระยาพิชัยจับดาบสองมือคาดด้าย ออกไล่ฟันแทงพม่าอย่างชุลมุน ณ สมรภูมิบริเวณ วัดเอกา จนเมื่อพระยาพิชัยเสียการทรงตัว ก็ได้ใช้ดาบข้างขวาพยุงตัวไว้ จนดาบข้างขวาหักเป็นสองท่อน" กองทัพโปสุพลาก็แตกพ่ายกลับไป เมื่อวันอังคาร เดือนยี่ แรม 7 ค่ำ ปีมะเส็ง พ.ศ. 2316 (ตรงกับวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2316)[8]

ชีวิตคู่ครอง

พระยาพิชัย สมรสกับสตรีท่านใดไม่ปรากฎหลักฐานในทางประวัติศาสตร์ แต่มีความเชื่อจากคำบอกเล่าและร่างทรงในยุคร่วมสมัย ว่าพระยาพิชัยดาบหักเมื่อได้ขึ้นปกครองเมืองพิชัย ได้สมรสกับนางลำยง[11]

ท่านมีลูกหลานที่สืบทอดวงศ์ตระกูล มาจนถึงปัจจุบัน โดยในสมัย ร.6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดพระราชทานนามสกุล "วิชัยขัทคะ" ให้ลูกหลานของท่าน มีความหมายโดยอนุโลมว่า ดาบวิเศษ นับเป็นเชื้อสายสกุลไทยที่เก่าแก่อีกสกุล ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา[12]

ถวายชีวิตเป็นราชพลี

พระปรางค์วัดราชคฤห์วรวิหาร สถานที่บรรจุอัฐิของพระยาพิชัยดาบหัก เมื่อปี พ.ศ. 2325 หลังจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชถูกสำเร็จโทษ[13] สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเล็งเห็นว่าพระยาพิชัยเป็นขุนนางคู่พระทัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่มีฝีมือและซื่อสัตย์ จึงชวนพระยาพิชัยเข้ารับราชการในแผ่นดินใหม่ แต่พระยาพิชัยไม่ขอรับตำแหน่งด้วยท่านเป็นคนจงรักภักดีและซื่อสัตย์ต่อองค์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และถือคติที่ว่า "ข้าสองเจ้าบ่าวสองนายมิดี" จึงขอให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกสำเร็จโทษตนเป็นการถวายชีวิตตายตามสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช[14] ซึ่งทายาทของพระยาพิชัยดาบหัก ก็ได้รับราชการสืบมา โดยท่านเป็นต้นตระกูลของนามสกุล วิชัยขัทคะ วิชัยลักขณา ศรีศรากร พิชัยกุล ศิริปาละ ดิฐานนท์ เชาวนปรีชา[15]

หลังจากท่านได้ถูกสำเร็จโทษ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีเฉลิมพระนามว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระองค์จึงได้มีรับสั่งให้สร้างพระปรางค์นำอัฐิของท่านไปบรรจุไว้ ณ วัดราชคฤห์วรวิหาร ซึ่งพระปรางค์นี้ก็ยังปรากฏสืบมาจนปัจจุบัน[16]

พระยาพิชัยดาบหักได้สร้างมรดกอันควรแก่การยกย่องสรรเสริญให้สืบทอดมาถึงปัจจุบันได้แก่ ความซื่อสัตย์สุจริต ความกตัญญูกตเวที ความเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดกล้าหาญ รวมถึงความรักชาติ ต้องการให้ชาติเจริญรุ่งเรืองมั่นคงต่อไป

ในระหว่างวันที่ 7 - 13 มกราคม ของทุกปี จังหวัดอุตรดิตถ์ได้กำหนดให้มีการจัดงานเพื่อระลึกถึงวีรกรรมของท่าน ถือเป็นงานประจำปีของจังหวัดอุตรดิตถ์ เรียกชื่องานว่า "งานพระยาพิชัยดาบหักและงานกาชาด" โดยจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้ถือเอาวันที่ 7 มกราคม ของทุกปี เป็นวันเปิดงานพระยาพิชัยดาบหักฯ โดยอ้างอิงตามพระราชพงศาวดาร ที่ระบุวันซึ่งพระยาพิชัยออกสู้รบกับกองทัพโปสุพลาจนดาบหักสองท่อนตามปฏิทินสุริยคติ
:idea: :idea:
ไฟล์แนบ
1480.jpg
1480.jpg (81.33 KiB) เข้าดูแล้ว 594 ครั้ง
321474.jpg
321474.jpg (72.26 KiB) เข้าดูแล้ว 594 ครั้ง
พระยาพิชัยดาบหัก จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี<br /><br />อนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก หน้าศาลากลางจังหวัดอุตรดิตถ์ เกิด	พ.ศ. 2284 บ้านห้วยคา เมืองพิชัย อาณาจักรกรุงศรีอยุธยา เสียชีวิต	7 เมษายน พ.ศ. 2325 (41 ปี) เมืองธนบุรี อาณาจักรธนบุรี สัญชาติ	สยาม ชื่ออื่น	จ้อย, นายทองดีฟันขาว อาชีพ	ขุนนางฝ่ายทหารในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี, เจ้าเมืองพิชัย<br />Era	พ.ศ. 2310 – 2325<br /><br />ผลงานเด่น	ขุนศึกสำคัญของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีในการร่วมกอบกู้เอกราชหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง (พ.ศ. 2310 - 2313), เจ้าเมืองพิชัย (พ.ศ. 2313-2325), ออกสู้รบกับกองทัพโปสุพลาจนดาบหักเป็นสองท่อน (พ.ศ. 2316), สละชีวิตตนเองเป็นราชพลี (พ.ศ. 2325) ตำแหน่ง	ขุนนางชั้นพระยาพานทองในสมัยธนบุรี คู่สมรส	พระนางสะวิสุตา (ลำยง)<br /><br />พระยาพิชัยดาบหัก เป็นขุนนางในสมัยอยุธยาตอนปลายและธนบุรี ปรากฏชื่อในพระราชพงศาวดารเนื่องจากเป็นทหารเอกคู่พระทัยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี และเป็นผู้มีส่วนกอบกู้เอกราชของชาติไทยหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง มีชื่อเสียงอย่างยิ่งจากความกตัญญูกตเวทีและความกล้าหาญ[1] หนึ่ง ใน สี่ทหารเสือของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้แก่ หลวงราชเสน่หา (กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท), หลวงพิชัยอาสา (พระยาพิชัยดาบหัก), พระยาเชียงเงิน (พระยาสุโขทัย), หลวงพรหมเสนา (เจ้าพระยานครสวรรค์)[2]<br /><br />เดิมท่านชื่อ จ้อย เกิดที่บ้านห้วยคา อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา ศึกษาอยู่กับท่านพระครูวัดมหาธาตุหรือวัดใหญ่ เมืองพิชัย ภายหลัง จ้อยได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นทองดี หรือ ทองดีฟันขาว มีความสามารถและชื่อเสียงอย่างยิ่งทั้งทางเชิงมวยและเชิงดาบ จนได้เข้ารับราชการกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ตั้งแต่ครั้งดำรงตำแหน่งเป็นพระยาตาก ต่อมานายทองดีได้รับแต่งตั้งเป็นองครักษ์มีบรรดาศักดิ์เป็น &quot;หลวงพิชัยอาสา&quot; เมื่อรับราชการมีความดีความชอบจึงได้รับแต่งตั้งเป็น เจ้าหมื่นไวยวรนาถ พระยาสีหราชเดโช และพระยาพิชัย ผู้สำเร็จราชการครองเมืองพิชัย ซึ่งรับพระราชทานเครื่องยศเสมอเจ้าพระยาสุรสีห์ ตามลำดับ<br /><br />ภายหลังข้าศึกยกทัพมาตีเมืองพิชัย 2 ครั้ง ในการรบครั้งที่ 2 พระยาพิชัยถือดาบสองมือออกต่อสู้จนดาบหักไปข้างหนึ่ง และรักษาเมืองไว้ได้ ดังนั้นจึงไดัรับสมญานามว่า &quot;พระยาพิชัยดาบหัก&quot;
พระยาพิชัยดาบหัก จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

อนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก หน้าศาลากลางจังหวัดอุตรดิตถ์ เกิด พ.ศ. 2284 บ้านห้วยคา เมืองพิชัย อาณาจักรกรุงศรีอยุธยา เสียชีวิต 7 เมษายน พ.ศ. 2325 (41 ปี) เมืองธนบุรี อาณาจักรธนบุรี สัญชาติ สยาม ชื่ออื่น จ้อย, นายทองดีฟันขาว อาชีพ ขุนนางฝ่ายทหารในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี, เจ้าเมืองพิชัย
Era พ.ศ. 2310 – 2325

ผลงานเด่น ขุนศึกสำคัญของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีในการร่วมกอบกู้เอกราชหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง (พ.ศ. 2310 - 2313), เจ้าเมืองพิชัย (พ.ศ. 2313-2325), ออกสู้รบกับกองทัพโปสุพลาจนดาบหักเป็นสองท่อน (พ.ศ. 2316), สละชีวิตตนเองเป็นราชพลี (พ.ศ. 2325) ตำแหน่ง ขุนนางชั้นพระยาพานทองในสมัยธนบุรี คู่สมรส พระนางสะวิสุตา (ลำยง)

พระยาพิชัยดาบหัก เป็นขุนนางในสมัยอยุธยาตอนปลายและธนบุรี ปรากฏชื่อในพระราชพงศาวดารเนื่องจากเป็นทหารเอกคู่พระทัยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี และเป็นผู้มีส่วนกอบกู้เอกราชของชาติไทยหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง มีชื่อเสียงอย่างยิ่งจากความกตัญญูกตเวทีและความกล้าหาญ[1] หนึ่ง ใน สี่ทหารเสือของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้แก่ หลวงราชเสน่หา (กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท), หลวงพิชัยอาสา (พระยาพิชัยดาบหัก), พระยาเชียงเงิน (พระยาสุโขทัย), หลวงพรหมเสนา (เจ้าพระยานครสวรรค์)[2]

เดิมท่านชื่อ จ้อย เกิดที่บ้านห้วยคา อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา ศึกษาอยู่กับท่านพระครูวัดมหาธาตุหรือวัดใหญ่ เมืองพิชัย ภายหลัง จ้อยได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นทองดี หรือ ทองดีฟันขาว มีความสามารถและชื่อเสียงอย่างยิ่งทั้งทางเชิงมวยและเชิงดาบ จนได้เข้ารับราชการกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ตั้งแต่ครั้งดำรงตำแหน่งเป็นพระยาตาก ต่อมานายทองดีได้รับแต่งตั้งเป็นองครักษ์มีบรรดาศักดิ์เป็น "หลวงพิชัยอาสา" เมื่อรับราชการมีความดีความชอบจึงได้รับแต่งตั้งเป็น เจ้าหมื่นไวยวรนาถ พระยาสีหราชเดโช และพระยาพิชัย ผู้สำเร็จราชการครองเมืองพิชัย ซึ่งรับพระราชทานเครื่องยศเสมอเจ้าพระยาสุรสีห์ ตามลำดับ

ภายหลังข้าศึกยกทัพมาตีเมืองพิชัย 2 ครั้ง ในการรบครั้งที่ 2 พระยาพิชัยถือดาบสองมือออกต่อสู้จนดาบหักไปข้างหนึ่ง และรักษาเมืองไว้ได้ ดังนั้นจึงไดัรับสมญานามว่า "พระยาพิชัยดาบหัก"
1539.jpg (42.93 KiB) เข้าดูแล้ว 594 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
ลุงเนตร
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 19852
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 19:20
Tel: 0898133936
team: อิสระ
Bike: Trek 3900, Dark Rock ทัวร์ริ่ง
ตำแหน่ง: ๔๖๕ ซอยจ่าโสด ถนนทางรถไฟเก่า แขวง,เขตบางนา กทม.๑๐๒๖๐
ติดต่อ:

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย ลุงเนตร »

"..สาธุ.."
*..ยิ่งปั่น..ยิ่งแข็ง..แรงยิ่งดี..โรคไม่ค่อยมี..ไม่ทุกข์..*
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4365
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: การเจริญมรณสติ :idea: :idea:
ลุงเนตร เขียน: 08 เม.ย. 2023, 15:32"..สาธุ.."
:) :D อรุณสวัสดิ์ครับท่านพี่และญาติธรรมทุกท่าน เงียบหายไปนานเลยนะครับท่านพี่ ไม่ทราบว่าไปแสวงบุญแถบท้องถิ่นใดบ้างครับ ขอบพระคุณที่ยังคิดถึงกระทู้นี้ได้เข้ามาให้กำลังใจ พร้อมนี้ขอร่วมอนุโมทนาบุญทุกกิจกรรมที่ท่านพี่ได้กระทำ กราบขอบพระคุณครับ

เช้านี้...หวังว่าทุกท่านคงไม่ข้ามการฟังธรรม ในหัวข้อการเจริญมรณานุสติกันนะครับ (ใครข้ามย้อนกลับไปฟังได้ครับ) ชีวิตคนถ้าไม่คิดเรื่องความตายไว้บ้าง ก็จะดำรงชีวิตอย่างประมาท เพื่อนผมก่อนจะจากกันได้คุยเรื่องนี้เสมอ ๆ เชื่อเขาคงไปสู่สุคติภพแน่นอน
:) :D
ไฟล์แนบ
เมื่อวันที่ ๗ ที่ผ่านมาผมต้องไปตามคำสั่งหมอที่นัดให้ไปเจาะเลือด เพื่อหาค่าของ ตับ ไต ไส้ พุง อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแนวทางการรักษา ผลการเจาะเลือด ดี แต่มีบางอย่างที่ผิดปกติ หมอเปลี่ยนยารักษาและนัดใหม่อีกครั้งใน ๒ เดือนข้างหน้าคือ วันที่ ๒ มิถุนายน ไปหาหมอถ้าไม่เชื่อหมอก็อย่าไปครับ ๕๕๕.
เมื่อวันที่ ๗ ที่ผ่านมาผมต้องไปตามคำสั่งหมอที่นัดให้ไปเจาะเลือด เพื่อหาค่าของ ตับ ไต ไส้ พุง อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแนวทางการรักษา ผลการเจาะเลือด ดี แต่มีบางอย่างที่ผิดปกติ หมอเปลี่ยนยารักษาและนัดใหม่อีกครั้งใน ๒ เดือนข้างหน้าคือ วันที่ ๒ มิถุนายน ไปหาหมอถ้าไม่เชื่อหมอก็อย่าไปครับ ๕๕๕.
321525.jpg (105.81 KiB) เข้าดูแล้ว 552 ครั้ง
เมื่อประมาณปลายกุมภาพันธ์-ต้นมีนาคม จุก เพื่อนได้โทร ฯ คุยกับผม สะดุดใจมาก ๆ คำหนึ่งเพื่อนเอ่ยขึ้น &quot;ฮา..ถ้าจะบ่ารอดแล้วละเปื้อน ฮากำลังจะเข้า รพ.เป๋นหนที่ ๓ แล้ว&quot; (กู..คงไม่รอดแล้วเพื่อน กู..กำลังจะเข้า รพ.เป็นหนที่ ๓ แล้ว)<br /><br />คำพูดนี้ยังก้องในหูผมครับ...จุกได้บันทึกเรื่องราวซึ่งนำเสนอจบไปล่าสุดนี้ จุกเหมือนมีลางสังหรณ์และเชื่อจริง ๆ ว่า &quot;เขาจะเข้า รพ.รักษาตัวเพียง ๒ ครั้ง ครั้งที่ ๓ เขาต้องไม่รอดแน่นอน&quot;<br /><br />ผมก็คุยให้กำลังใจ โดยยกเคสของผมมาเป็นตัวอย่าง ผมเข้า รพ.ทั้งผ่าตัด คีโม หลายรอบ เข้า - ออก ๆ ยังรอดมาได้ แต่คุณจุก เถียงครับ &quot;มันคนละคนกัน&quot; <br /><br />ขอก๊อปปี้ข้อเขียนที่ท่าน จุก ทิ้งท้ายไว้ว่า &quot;ช่วงเวลาที่ผมเข้ารักษาตัวครั้งแรกมาถึงครั้งที่สองห่างกันเป็นเวลา 8 ปี ผมจะมีโอกาสเข้าโรงพยาบาลครั้งสามอีกไหมหนอ เข้าโรงพยาบาลแล้วจะมีตัวช่วยเหมือนครั้งที่หนึ่งครั้งสองไหมหนอ ทำใจเถอะโยมถึงเวลามันก็มาเอง (ขอบคุณครับที่อ่านจนจบ )&quot;<br /><br />จากที่เราคุยกันมาเป็นปี ๆ เราจะคุยกันถึงเรื่องมรณานุสติเสมอ ๆ ผมเชื่อว่า วิญญาณเพื่อนผมต้องไปสู่สุคติสรวงสวรรค์แน่นอน เพราะท่านไม่ได้ประมาทในชีวิตเลย ท่านรู้เรื่องการทำบุญ รักษาศีล ที่สำคัญเข้าใจเรื่องของการภาวนา และมองทุกสิ่งอย่างเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น
เมื่อประมาณปลายกุมภาพันธ์-ต้นมีนาคม จุก เพื่อนได้โทร ฯ คุยกับผม สะดุดใจมาก ๆ คำหนึ่งเพื่อนเอ่ยขึ้น "ฮา..ถ้าจะบ่ารอดแล้วละเปื้อน ฮากำลังจะเข้า รพ.เป๋นหนที่ ๓ แล้ว" (กู..คงไม่รอดแล้วเพื่อน กู..กำลังจะเข้า รพ.เป็นหนที่ ๓ แล้ว)

คำพูดนี้ยังก้องในหูผมครับ...จุกได้บันทึกเรื่องราวซึ่งนำเสนอจบไปล่าสุดนี้ จุกเหมือนมีลางสังหรณ์และเชื่อจริง ๆ ว่า "เขาจะเข้า รพ.รักษาตัวเพียง ๒ ครั้ง ครั้งที่ ๓ เขาต้องไม่รอดแน่นอน"

ผมก็คุยให้กำลังใจ โดยยกเคสของผมมาเป็นตัวอย่าง ผมเข้า รพ.ทั้งผ่าตัด คีโม หลายรอบ เข้า - ออก ๆ ยังรอดมาได้ แต่คุณจุก เถียงครับ "มันคนละคนกัน"

ขอก๊อปปี้ข้อเขียนที่ท่าน จุก ทิ้งท้ายไว้ว่า "ช่วงเวลาที่ผมเข้ารักษาตัวครั้งแรกมาถึงครั้งที่สองห่างกันเป็นเวลา 8 ปี ผมจะมีโอกาสเข้าโรงพยาบาลครั้งสามอีกไหมหนอ เข้าโรงพยาบาลแล้วจะมีตัวช่วยเหมือนครั้งที่หนึ่งครั้งสองไหมหนอ ทำใจเถอะโยมถึงเวลามันก็มาเอง (ขอบคุณครับที่อ่านจนจบ )"

จากที่เราคุยกันมาเป็นปี ๆ เราจะคุยกันถึงเรื่องมรณานุสติเสมอ ๆ ผมเชื่อว่า วิญญาณเพื่อนผมต้องไปสู่สุคติสรวงสวรรค์แน่นอน เพราะท่านไม่ได้ประมาทในชีวิตเลย ท่านรู้เรื่องการทำบุญ รักษาศีล ที่สำคัญเข้าใจเรื่องของการภาวนา และมองทุกสิ่งอย่างเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น
325452.jpg (91.34 KiB) เข้าดูแล้ว 552 ครั้ง
เมื่อทางครอบครัวแจ้งให้ทราบว่าเพื่อน จุก เราเสียชีวิตแล้ว พวกเราเตรียมตัวและพากันไปร่วมงานศพส่งเพื่อนสู่สุคติสรวรรค์พร้อมมอบเงินสวัสดิการต่าง ๆ ของเพื่อนให้กับครอบครัว
เมื่อทางครอบครัวแจ้งให้ทราบว่าเพื่อน จุก เราเสียชีวิตแล้ว พวกเราเตรียมตัวและพากันไปร่วมงานศพส่งเพื่อนสู่สุคติสรวรรค์พร้อมมอบเงินสวัสดิการต่าง ๆ ของเพื่อนให้กับครอบครัว
325474.jpg (119.18 KiB) เข้าดูแล้ว 552 ครั้ง
310695.jpg
310695.jpg (163.12 KiB) เข้าดูแล้ว 552 ครั้ง
310691.jpg
310691.jpg (132.45 KiB) เข้าดูแล้ว 552 ครั้ง
ขอให้เพื่อนหลับสบายในสรวงสวรรค์ชั้นฟ้า ทุกสิ่งที่เพื่อนสั่งการไว้ เราได้ทำให้เพื่อนครบทุกประเด็นไม่มีขาดตกบกพร่อง &quot;คิดถึงเพื่อนนะ..ต่อไปนี้เราคงไม่ได้คุยกันอีกแล้ว...อีกไม่นานเราก็จะตามไปนะเพื่อน&quot;
ขอให้เพื่อนหลับสบายในสรวงสวรรค์ชั้นฟ้า ทุกสิ่งที่เพื่อนสั่งการไว้ เราได้ทำให้เพื่อนครบทุกประเด็นไม่มีขาดตกบกพร่อง "คิดถึงเพื่อนนะ..ต่อไปนี้เราคงไม่ได้คุยกันอีกแล้ว...อีกไม่นานเราก็จะตามไปนะเพื่อน"
310692.jpg (149.6 KiB) เข้าดูแล้ว 552 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4365
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D ในคัมภีร์สัทธัมมปัชโชติกา อรรถกถาขุททกนิกาย มหานิเทศ(เป็นคัมภีร์อรรถกถาของพระพุทธศาสนาเถรวาท) มีข้อความว่าด้วยสาเหตุแห่งความฝันไว้ ๔ อย่าง คือ

๑. เจ็บป่วย ร่างกายไม่ปกติ ทำให้ฝันไปต่างๆ ภาษาพระว่า ธาตุกโขภะ แปลว่า ธาตุกำเริบ
๒. จิตวิตกกังวล คิดมาก ทำให้ฝันไปตามที่วิตกกังวล ภาษาพระว่า อนุภูตปุพพะ แปลว่า หวนระลึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้ว
๓. เทวดาดลใจ ทำให้ฝันไป ภาษาพระว่า เทวโตปสังหรณะ แปลว่า เทวดาหาเรื่องมาให้
๔. มีลางบอกเหตุ (มีเหตุปัจจัยกระตุ้น) ทำให้ฝัน ภาษาพระว่า ปุพพนิมิต แปลว่าสัญลักษณ์/เครื่องหมายบ่งบอกล่วง หน้า


เมื่อเช้าจะต่อเรื่องนี้น้ำตามันรื้นเต็มขอบตา มองพร่ามัวอารมณ์คิดถึงเพื่อนรัก มันรุนแรงเกินระงับเลยต้องพัก ไปตั้งสติที่วัดทำบุญอุทิศส่วนกุศลถึงเพื่อน สบายใจกลับมาก็มาเริ่มต่อ(ก่อนที่จะลืม) เพื่อนจุกคงมีลางบอกเหตุมานานแล้ว ถึงได้เขียนเรื่องราวส่งให้ผมเก็บไว้ ก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นบันทึกจำที่จะฝังใจผมไปอีกนาน
:( :(

:idea: :idea: สะพานรัษฎาภิเศก จ.ลำปาง | ข้อมูลเที่ยวไทย Thai Travel Guide :idea: :idea:
ไฟล์แนบ
45605.jpg
45605.jpg (73.27 KiB) เข้าดูแล้ว 1439 ครั้ง
เช้าวันนี้ไปสงบสติอารมณ์ที่สำนักสงฆ์อุดมธรรม ต.ป่าเมี่ยง อ.ดอยสะเก็ด ลูกศิษย์หลวงปู่ประสิทธิ์และหลวงปู่กวงไปประจำอยู่ที่นั่น เราได้นำน้ำปานะน้ำดื่มสะอาดไปถวาย พร้อมอุทิศบุญกุศลถึงท่าน จุก เพื่อนรักขอให้ได้รับอานิสงส์ที่เป็นเครื่องทานในครั้งนี้ด้วย
เช้าวันนี้ไปสงบสติอารมณ์ที่สำนักสงฆ์อุดมธรรม ต.ป่าเมี่ยง อ.ดอยสะเก็ด ลูกศิษย์หลวงปู่ประสิทธิ์และหลวงปู่กวงไปประจำอยู่ที่นั่น เราได้นำน้ำปานะน้ำดื่มสะอาดไปถวาย พร้อมอุทิศบุญกุศลถึงท่าน จุก เพื่อนรักขอให้ได้รับอานิสงส์ที่เป็นเครื่องทานในครั้งนี้ด้วย
230373.jpg (150.08 KiB) เข้าดูแล้ว 1439 ครั้ง
มาติดตามการเที่ยวเมืองรถม้ากันต่อครับ....เราออกจากเขื่อนกิ่วลมบ่ายมากแล้ว ทดสอบใช้ GPS.เป็นตัวนำทางกลับโรงแรมที่จองไว้ ปรากฏว่าจีพีเอสนำเราวนออกไปทาง อ.แจ้ซ้อนเนื่องจาก ทางกำลังดำเนินการก่อสร้างหลายจุด ในที่สุดเกรงว่าจะเสียเวลามากไป เราต้องอาศัยคนในพื้นที่ เป็นผู้ชี้บอกทางกลับเข้าตัวเมืองลำปาง ตลกจังเลยครับ
มาติดตามการเที่ยวเมืองรถม้ากันต่อครับ....เราออกจากเขื่อนกิ่วลมบ่ายมากแล้ว ทดสอบใช้ GPS.เป็นตัวนำทางกลับโรงแรมที่จองไว้ ปรากฏว่าจีพีเอสนำเราวนออกไปทาง อ.แจ้ซ้อนเนื่องจาก ทางกำลังดำเนินการก่อสร้างหลายจุด ในที่สุดเกรงว่าจะเสียเวลามากไป เราต้องอาศัยคนในพื้นที่ เป็นผู้ชี้บอกทางกลับเข้าตัวเมืองลำปาง ตลกจังเลยครับ
DSC_6017.JPG (136.54 KiB) เข้าดูแล้ว 1439 ครั้ง
236138.jpg
236138.jpg (65.17 KiB) เข้าดูแล้ว 1439 ครั้ง
เด็กน้อยมีความสุขมาก ๆ ได้ออกนอกสถานที่ ร่าเริงตามประสาเด็กครับ เห็นเขามีความสุข ปุ่-ย่า ก็มีความสุขครับ
เด็กน้อยมีความสุขมาก ๆ ได้ออกนอกสถานที่ ร่าเริงตามประสาเด็กครับ เห็นเขามีความสุข ปุ่-ย่า ก็มีความสุขครับ
235718.jpg (67.49 KiB) เข้าดูแล้ว 1439 ครั้ง
หลังโรงแรมมองเห็นสะพานขาว ตั้งใจไว้พรุ่งนี้เช้าเราจะพากันไปเดินชมวิวเก็บภาพกันครับ
หลังโรงแรมมองเห็นสะพานขาว ตั้งใจไว้พรุ่งนี้เช้าเราจะพากันไปเดินชมวิวเก็บภาพกันครับ
236136.jpg
236136.jpg (105.6 KiB) เข้าดูแล้ว 1439 ครั้ง
“สะพานรัษฎาภิเศก” หรือ “สะพานขาว” ที่เป็นดังแลนด์มาร์กของเมืองรถม้าลำปาง ได้มีอายุครบ 100 ปีแล้วเป็นเวลายาวนานที่สะพานสีขาวสะอาดตา โดดเด่นด้วยเส้นโค้งทรงคันธนูรวม 4 โค้งทอดข้ามผ่านแม่น้ำวัง ให้ผู้คนได้ใช้สัญจรผ่านไปมาระหว่างสองฝั่งแม่น้ำในเขตใจกลางเมืองลำปาง และกลายเป็นสัญลักษณ์คู่เมืองที่ชาวลำปางคุ้นตา  <br /><br />              สะพานรัษฎาภิเศก หรือ สะพานขาว ตั้งอยู่ที่ถนนรัษฎา เป็นสะพานข้ามแม่น้ำวัง ตั้งอยู่ในเขตตำบลหัวเวียง อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง เจ้าผู้ครองนครเป็นผู้ที่ตั้งชื่อจากพิธีเฉลิมฉลองรัษฎาภิเษก สมัยรัชกาลที่ 5 สะพานรัษฎาเป็นสะพานร่วมสมัยกับยุคอารยธรรมรถไฟมีอายุผ่านสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 มาแล้วและรอดพ้นจากการโจมตีทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรมาได้ด้วยการทาสีพรางตา และมีการอ้างว่าสะพานแห่งนี้ไม่มีประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของนางลูซี สคาร์ลิง อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนวิชานารีซึ่งเป็นที่ปรึกษาของกองทัพสัมพันธมิตรในขณะนั้น<br /><br />             นอกจากนี้ เดิมเป็นสะพานไม้เสริมเหล็กชำรุดผุพัง จึงมีการก่อสร้างใหม่เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2460 ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองลำปาง ซึ่งมีชื่อเรียกกันหลายชื่อเช่น “ขัวสี่โก๊ง”(สะพานสี่โค้ง) “ขัวหลวง” (สะพานใหญ่) และ “ขัวขาว” (สะพานขาว) ถือว่าเป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กที่มีความคงทนมากกว่าสะพานรุ่นเดียวกันที่ไม่เหลืออยู่แล้วในปัจจุบัน นอกจากนี้ตรงหัวของสะพานยังมีสัญลักษณ์ที่สื่อความหมายถึงความเป็นมาดังนี้
“สะพานรัษฎาภิเศก” หรือ “สะพานขาว” ที่เป็นดังแลนด์มาร์กของเมืองรถม้าลำปาง ได้มีอายุครบ 100 ปีแล้วเป็นเวลายาวนานที่สะพานสีขาวสะอาดตา โดดเด่นด้วยเส้นโค้งทรงคันธนูรวม 4 โค้งทอดข้ามผ่านแม่น้ำวัง ให้ผู้คนได้ใช้สัญจรผ่านไปมาระหว่างสองฝั่งแม่น้ำในเขตใจกลางเมืองลำปาง และกลายเป็นสัญลักษณ์คู่เมืองที่ชาวลำปางคุ้นตา

สะพานรัษฎาภิเศก หรือ สะพานขาว ตั้งอยู่ที่ถนนรัษฎา เป็นสะพานข้ามแม่น้ำวัง ตั้งอยู่ในเขตตำบลหัวเวียง อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง เจ้าผู้ครองนครเป็นผู้ที่ตั้งชื่อจากพิธีเฉลิมฉลองรัษฎาภิเษก สมัยรัชกาลที่ 5 สะพานรัษฎาเป็นสะพานร่วมสมัยกับยุคอารยธรรมรถไฟมีอายุผ่านสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 มาแล้วและรอดพ้นจากการโจมตีทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรมาได้ด้วยการทาสีพรางตา และมีการอ้างว่าสะพานแห่งนี้ไม่มีประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของนางลูซี สคาร์ลิง อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนวิชานารีซึ่งเป็นที่ปรึกษาของกองทัพสัมพันธมิตรในขณะนั้น

นอกจากนี้ เดิมเป็นสะพานไม้เสริมเหล็กชำรุดผุพัง จึงมีการก่อสร้างใหม่เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2460 ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองลำปาง ซึ่งมีชื่อเรียกกันหลายชื่อเช่น “ขัวสี่โก๊ง”(สะพานสี่โค้ง) “ขัวหลวง” (สะพานใหญ่) และ “ขัวขาว” (สะพานขาว) ถือว่าเป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กที่มีความคงทนมากกว่าสะพานรุ่นเดียวกันที่ไม่เหลืออยู่แล้วในปัจจุบัน นอกจากนี้ตรงหัวของสะพานยังมีสัญลักษณ์ที่สื่อความหมายถึงความเป็นมาดังนี้
DSC_6038.JPG (58.9 KiB) เข้าดูแล้ว 1439 ครั้ง
DSC_6039.JPG
DSC_6039.JPG (62.71 KiB) เข้าดูแล้ว 1439 ครั้ง
DSC_6041.JPG
DSC_6041.JPG (65.38 KiB) เข้าดูแล้ว 1439 ครั้ง
236123.jpg
236123.jpg (103.46 KiB) เข้าดูแล้ว 1439 ครั้ง
- เสาสี่ต้น ที่ตั้งอยู่หัวสะพานฝั่งละสองต้น หมายถึงความมั่นคงแข็งแรง<br /><br />- ครุฑสีแดงด้านหน้าของเสาทุกต้น เป็นตราสัญลักษณ์ของแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ 6<br /><br />- พวงมาลัยยอดเสาทั้งสี่ด้านของเสา หมายถึง เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br /><br />- ไก่หลวง หรือ ไก่ขาว ตรงกลางเสา เป็นสัญลักษณ์ประจำนครลำปาง<br /><br />          จากที่กล่าวมาข้างต้นนอกจากรถม้า และถ้วยตราไก่ เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดลำปางแล้ว&quot;สะพานรัษฎา&quot; ก็เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของลำปางที่แขกไปใครมาเป็นต้องแวะมาถ่ายรูปถือว่าเป็นแลนด์มาร์กของจังหวัดลำปางอีกแห่งหนึ่งอีกด้วย เมื่อมาจังหวัดลำปางต้องมาที่สะพานรัษฎา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของถนนคนเดินกาดกองต้า  ตั้งหลักที่จุดนี้แล้วค่อย ๆ เดินปล่อยใจไปกับบรรยากาศครึกครื้นรอบตัว หรือจะแวะพักจิบกาแฟริมทางให้ชื่นใจก็ผ่อนคลายดีไม่น้อย <br /><br />ข้อมูลจาก http://www.manager.co.th
- เสาสี่ต้น ที่ตั้งอยู่หัวสะพานฝั่งละสองต้น หมายถึงความมั่นคงแข็งแรง

- ครุฑสีแดงด้านหน้าของเสาทุกต้น เป็นตราสัญลักษณ์ของแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ 6

- พวงมาลัยยอดเสาทั้งสี่ด้านของเสา หมายถึง เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

- ไก่หลวง หรือ ไก่ขาว ตรงกลางเสา เป็นสัญลักษณ์ประจำนครลำปาง

จากที่กล่าวมาข้างต้นนอกจากรถม้า และถ้วยตราไก่ เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดลำปางแล้ว"สะพานรัษฎา" ก็เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของลำปางที่แขกไปใครมาเป็นต้องแวะมาถ่ายรูปถือว่าเป็นแลนด์มาร์กของจังหวัดลำปางอีกแห่งหนึ่งอีกด้วย เมื่อมาจังหวัดลำปางต้องมาที่สะพานรัษฎา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของถนนคนเดินกาดกองต้า ตั้งหลักที่จุดนี้แล้วค่อย ๆ เดินปล่อยใจไปกับบรรยากาศครึกครื้นรอบตัว หรือจะแวะพักจิบกาแฟริมทางให้ชื่นใจก็ผ่อนคลายดีไม่น้อย

ข้อมูลจาก http://www.manager.co.th
317163.jpg (24.11 KiB) เข้าดูแล้ว 1439 ครั้ง
DSC_6040.JPG
DSC_6040.JPG (94.84 KiB) เข้าดูแล้ว 1439 ครั้ง
240790.jpg
240790.jpg (94.59 KiB) เข้าดูแล้ว 1439 ครั้ง
240791.jpg
240791.jpg (126.51 KiB) เข้าดูแล้ว 1439 ครั้ง
240792.jpg
240792.jpg (93.56 KiB) เข้าดูแล้ว 1439 ครั้ง
เดินเก็บภาพและชมบรรยากาศยามเช้าที่เชิงสะพานขาว จนอิ่มเอมก็ได้เวลาที่นัดกับน้องม่อย ให้ไปทานบะหมี่โกจือ (ร้านเก่าแก่ของเมืองลำปาง) ร้านนี้เป็นร้านตระกูล &quot;ดำเนินสวัสดิ์&quot; บะหมี่โกจือได้รับ &quot;เชลล์ชวนชิม&quot; มากว่า ๔๐ปี การันตีความอร่อยไม่มีจืด อากง อาม่า ใจดีมาก ๆ เห็นชายปุรณพัฒฯ์ ก็ดีใจ ไม่ได้เห็นกันหลายเดือนมาแล้ว<br /><br />หลังจากที่เสร็จจากมื้อเช้าอยู่คุยกับอากง อาม่า ก่อนออกเดินทางไปเที่ยวกันต่อ ส่วนจะเป็นที่ใดติดตามกันต่อไปครับ
เดินเก็บภาพและชมบรรยากาศยามเช้าที่เชิงสะพานขาว จนอิ่มเอมก็ได้เวลาที่นัดกับน้องม่อย ให้ไปทานบะหมี่โกจือ (ร้านเก่าแก่ของเมืองลำปาง) ร้านนี้เป็นร้านตระกูล "ดำเนินสวัสดิ์" บะหมี่โกจือได้รับ "เชลล์ชวนชิม" มากว่า ๔๐ปี การันตีความอร่อยไม่มีจืด อากง อาม่า ใจดีมาก ๆ เห็นชายปุรณพัฒฯ์ ก็ดีใจ ไม่ได้เห็นกันหลายเดือนมาแล้ว

หลังจากที่เสร็จจากมื้อเช้าอยู่คุยกับอากง อาม่า ก่อนออกเดินทางไปเที่ยวกันต่อ ส่วนจะเป็นที่ใดติดตามกันต่อไปครับ
240793.jpg (104.61 KiB) เข้าดูแล้ว 1439 ครั้ง
แก้ไขล่าสุดโดย Deang-sarapee เมื่อ 12 เม.ย. 2023, 18:34, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
ตอบกลับ

กลับไปยัง “ทัวร์ริ่ง (Touring)”