????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

บอร์ดสำหรับ นักปั่นทัวร์ริ่ง นักปั่นระยะทางไกล พูดคุยเรื่องอุปกรณ์ เทคนิตการปั่น ที่พัก หรือการกินอยู่
กฏการใช้บอร์ด
บอร์ดสำหรับ นักปั่นทัวร์ริ่ง นักปั่นระยะทางไกล พูดคุยเรื่องอุปกรณ์ เทคนิตการปั่น ที่พัก หรือการกินอยู่
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D ประเพณีสงกรานต์ 4 ภาคของไทย เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร :) :D

:) :D สวัสดีครับ...ญาติธรรมและท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ ในวาระดิถีปีใหม่ของไทยที่เวียนมาบรรจบครบรอบอีกวาระหนึ่ง ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่ท่านนับถือโปรดจงดูแล ปกป้องรักษาท่านตลอดทั้งครอบครัว ให้มีความสุข สนุกสนานสำเริงสำราญเบิกบานใจ ความทุกข์อย่าได้เข้ามาใกล้ จะไปแห่งหนตำบลใดก็ขอให้แคล้วคลาดปลอดภัย มีความสุขทุกท่านทุกคนเทอญ :) :D

:) :D ศึกษาประวัติสงกรานต์เมืองเหนือซึ่งมีมาแต่นมนาน ผมเกิดมาก็ได้สืบสานประเพณีมาโดยตลอดไม่เคยละเลย สามปีที่ผ่านมา "เหงา" เลย..เจ้าโควิด ขวิดกระเดน ปีนี้ทางการไฟเขียวให้เล่นน้ำกันได้ เชียงใหม่เล่นกันแล้วตั้งแต่เมื่อวานครับ วันนี้ถือเป็นวันสุดท้ายของปี พรุ่งนี้ก็จะเริ่มศักราชปีใหม่ ก็ขอให้สนุกสนานกันให้เต็มที่ ในขณะเดียวกันก็อย่าเล่นเลยเถิดเกินฮีตฮอยประเพณีนะครับ

เราไปเที่ยวลำปางกันต่อนะครับ คือ หลังจากที่เราทานมื้อเช้าเรียบร้อย ที่ร้านน้องม่อย (บะหมี่โกจือ) เราก็พากันไปเที่ยวชมสะพานดำ หลายครั้งที่นั่งรถไฟผ่านจุดนี้พยายามเก็บภาพ แต่ไม่เคยได้ภาพที่จุใจเลย มาลำปางหนนี้จึงตั้งใจจริง ๆ ต้องไปดูให้ได้ ปรากฏว่าเป็นช่วงที่เทศบาลกำลังปรับปรุงให้อลังการมาก ๆ โชคดีจังเลย ติดตามกันนะครับ
:D :D
ไฟล์แนบ
327154.jpg
327154.jpg (69.72 KiB) เข้าดูแล้ว 1430 ครั้ง
327155.jpg
327155.jpg (43.05 KiB) เข้าดูแล้ว 1430 ครั้ง
14 มีนาคม 2566 นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) กระทรวงวัฒนธรรม ได้จัดทำภาพวาดนางสงกรานต์ ประจำปี 2566 พร้อมเผยแพร่ประกาศสงกรานต์ ปีพุทธศักราช 2566 จากฝ่ายโหรพราหมณ์ กองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง ดังนี้<br /><br /><br />ปีเถาะ (มนุษย์ผู้หญิง ธาตุไม้) เบญจศก จุลศักราช ๑๓๘๕ ทางจันทรคติ เป็น อธิกมาส ทางสุริยคติ เป็น ปกติสุรทิน วันที่ ๑๔ เมษายน เป็น วันมหาสงกรานต์ ทางจันทรคติตรงกับวันศุกร์ แรม ๙ ค่ำ เดือน ๕ เวลา ๑๖ นาฬิกา ๐๑ นาที ๐๒ วินาที<br /><br />นางสงกรานต์ ทรงนามว่า “กิมิทาเทวี” ทรงพาหุรัดทัดดอกจงกลนี อาภรณ์แก้วบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำ พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จนั่งมาเหนือหลังมหิงสา (ควาย) เป็นพาหนะ<br /><br />ด้านคำทำนาย วันที่ ๑๖ เมษายน เวลา ๒๐ นาฬิกา ๑๒ นาที ๒๔ วินาที เปลี่ยนจุลศักราชใหม่เป็น ๑๓๘๕ ปีนี้ วันเสาร์ เป็น ธงชัย , วันพุธ เป็น อธิบดี , วันศุกร์ เป็น อุบาทว์ , วันศุกร์ เป็น โลกาวินาศ ปีนี้ วันจันทร์ เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก ๕๐๐ ห่า ตกในโลกมนุษย์ ๕๐ ห่า ตกในมหาสมุทร ๑๐๐ ห่า ตกในป่าหิมพานต์ ๑๕๐ ห่า ตกในเขาจักรวาล ๒๐๐ ห่า นาคให้น้ำ ๒ ตัว<br /><br />เกณฑ์ธัญญาหาร ได้เศษ ๖ ชื่อ ลาภะ ข้าวกล้าในภูมินาจะได้ ๙ ส่วน เสีย ๑ ส่วน ธัญญาหาร พลาหาร มัจฉมังษาหาร จะบริบูรณ์ อุดมสมบูรณ์ เกณฑ์ธาราธิคุณ ตกราศีปัถวี ( ดิน ) น้ำงามพอดี
14 มีนาคม 2566 นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) กระทรวงวัฒนธรรม ได้จัดทำภาพวาดนางสงกรานต์ ประจำปี 2566 พร้อมเผยแพร่ประกาศสงกรานต์ ปีพุทธศักราช 2566 จากฝ่ายโหรพราหมณ์ กองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง ดังนี้


ปีเถาะ (มนุษย์ผู้หญิง ธาตุไม้) เบญจศก จุลศักราช ๑๓๘๕ ทางจันทรคติ เป็น อธิกมาส ทางสุริยคติ เป็น ปกติสุรทิน วันที่ ๑๔ เมษายน เป็น วันมหาสงกรานต์ ทางจันทรคติตรงกับวันศุกร์ แรม ๙ ค่ำ เดือน ๕ เวลา ๑๖ นาฬิกา ๐๑ นาที ๐๒ วินาที

นางสงกรานต์ ทรงนามว่า “กิมิทาเทวี” ทรงพาหุรัดทัดดอกจงกลนี อาภรณ์แก้วบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำ พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จนั่งมาเหนือหลังมหิงสา (ควาย) เป็นพาหนะ

ด้านคำทำนาย วันที่ ๑๖ เมษายน เวลา ๒๐ นาฬิกา ๑๒ นาที ๒๔ วินาที เปลี่ยนจุลศักราชใหม่เป็น ๑๓๘๕ ปีนี้ วันเสาร์ เป็น ธงชัย , วันพุธ เป็น อธิบดี , วันศุกร์ เป็น อุบาทว์ , วันศุกร์ เป็น โลกาวินาศ ปีนี้ วันจันทร์ เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก ๕๐๐ ห่า ตกในโลกมนุษย์ ๕๐ ห่า ตกในมหาสมุทร ๑๐๐ ห่า ตกในป่าหิมพานต์ ๑๕๐ ห่า ตกในเขาจักรวาล ๒๐๐ ห่า นาคให้น้ำ ๒ ตัว

เกณฑ์ธัญญาหาร ได้เศษ ๖ ชื่อ ลาภะ ข้าวกล้าในภูมินาจะได้ ๙ ส่วน เสีย ๑ ส่วน ธัญญาหาร พลาหาร มัจฉมังษาหาร จะบริบูรณ์ อุดมสมบูรณ์ เกณฑ์ธาราธิคุณ ตกราศีปัถวี ( ดิน ) น้ำงามพอดี
327156.jpg (54.83 KiB) เข้าดูแล้ว 1430 ครั้ง
326979.jpg
326979.jpg (89.3 KiB) เข้าดูแล้ว 1430 ครั้ง
326980.jpg
326981.jpg
326981.jpg (118.27 KiB) เข้าดูแล้ว 1430 ครั้ง
326982.jpg
326982.jpg (108.83 KiB) เข้าดูแล้ว 1430 ครั้ง
326983.jpg
326983.jpg (115.12 KiB) เข้าดูแล้ว 1430 ครั้ง
326984.jpg
326984.jpg (120.65 KiB) เข้าดูแล้ว 1430 ครั้ง
326985.jpg
326985.jpg (107.66 KiB) เข้าดูแล้ว 1430 ครั้ง
326986.jpg
326986.jpg (101.85 KiB) เข้าดูแล้ว 1430 ครั้ง
326987.jpg
326987.jpg (117.97 KiB) เข้าดูแล้ว 1430 ครั้ง
ไปเที่ยวเมืองรถม้า(ลำปาง)กันต่อครับ เช้าวันนั้นหลังจากที่เราทานมื้อเช้าที่ร้านบะหมี่โกจือเรียบร้อย เราก็พากันไปเที่ยวที่สะพานดำ เพื่อไปดูให้ชัด ๆ ว่าจะสวยงามขนาดไหน เพราะช่วงที่นั่งรถไฟมาอยู่บนรถไฟ เก็บภาพสวยไม่ได้เลยครับ...ไปครับไปชมกัน
ไปเที่ยวเมืองรถม้า(ลำปาง)กันต่อครับ เช้าวันนั้นหลังจากที่เราทานมื้อเช้าที่ร้านบะหมี่โกจือเรียบร้อย เราก็พากันไปเที่ยวที่สะพานดำ เพื่อไปดูให้ชัด ๆ ว่าจะสวยงามขนาดไหน เพราะช่วงที่นั่งรถไฟมาอยู่บนรถไฟ เก็บภาพสวยไม่ได้เลยครับ...ไปครับไปชมกัน
DSC_6042.JPG (145.26 KiB) เข้าดูแล้ว 1430 ครั้ง
DSC_6043.JPG
DSC_6044.JPG
DSC_6044.JPG (119.61 KiB) เข้าดูแล้ว 1430 ครั้ง
DSC_6045.JPG
DSC_6045.JPG (141.83 KiB) เข้าดูแล้ว 1430 ครั้ง
DSC_6049.JPG
DSC_6059.JPG
DSC_6065.JPG
DSC_6065.JPG (107.15 KiB) เข้าดูแล้ว 1430 ครั้ง
DSC_6069.JPG
DSC_6069.JPG (102.8 KiB) เข้าดูแล้ว 1430 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: ใจมนุษย์ ยากแท้ จะหยั่งถึง
ร้อยครั้งบึ้ง หนึ่งครั้งดี ก็มีได้
ร้อยครั้งรัก หนึ่งครั้งหัก ปรักทลาย
ลืมความหมาย ในวานสิ้น แค่ลิ้นเลีย
อยู่กับใคร ก็ชมเขา เอาดีใส่
พอจากไป ก็ไล่ด่า ว่าให้เสีย
นกสองหัว บินว่อน ตะกอนเพลีย
สันดานเบี้ย ไม่ถึงบ่อน ตะกอนคน
:idea: :idea:


:idea: :idea: สะพานรัษฎาภิเศก จ.ลำปาง | ข้อมูลเที่ยวไทย Thai Travel Guide :idea: :idea:


:idea: :idea: Mikado 943…สะพานดำลำปาง :idea: :idea:


:) :D สวัสดียามบ่าย ของวันมหาสงกรานต์ปี ๒๕๖๖ ขอให้ทุกท่านมีความสุข และวันนี้ถูกกำหนดให้เป็นวันครอบครัวด้วย ก็หวังใจว่าทุกท่านทุกคนก็จะได้มีโอกาสใกล้ชิดกัน รื่นเริงสนุกสนานร่วมกันภายในครอบครัว ใครที่ห่างไกลครอบครัวก็ไม่ต้องเสียใจ ถึงจะอยู่ไกลแต่จิตใจถึงกันย่อมเป็นสุข ขอให้คิดถึงกันไว้ก็เพียงพอครับ ศึกษาเรื่องราวสงกรานต์พอสมควรแล้วผมก็จะนำทุกท่านไปเที่ยวเมืองรถม้าต่อนะครับ :) :D
ไฟล์แนบ
ประกาศสงกรานต์ พุทธศักราช 2566 จ.ศ. 1385 ร.ศ. 242 ปีเถาะ  เบญจศก จันทรคติเป็น อธิกมาส ปกติวาร สุริยคติเป็น ปกติสุรทิน<br /><br />วันมหาสงกรานต์ ตรงกับ วันศุกร์ที่ 14 เมษายน เวลา 16 นาฬิกา 4 นาที 48 วินาที<br />จันทรคติ ตรงกับ วันศุกร์ แรม ๙ ค่ำ เดือนห้า(๕) ปีเถาะ<br /><br />นางสงกรานต์นามว่า นางกิมิทาเทวี ทรงพาหุรัด ทัดดอกจงกลนี (บัวชนิดหนึ่ง) อาภรณ์แก้วบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำ พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จนั่ง มาเหนือหลังมหิงส์ (กระบือ) เป็นพาหนะ<br /><br />เกณฑ์พิรุณศาสตร์ ปีนี้ จันทร์ เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก 500 ห่า ตกในเขาจักรวาล 200 ห่า ตกในป่าหิมพานต์ 150 ห่า ตกในมหาสมุทร 100 ห่า ตกในโลกมนุษย์ 50 ห่า<br /><br />เกณฑ์ธาราธิคุณ ตกราศีกันย์ ชื่อปฐวี (ธาตุดิน) น้ำอุดมสมบูรณ์ดี<br /><br />เกณฑ์นาคราชให้น้ำ ปีนี้ นาคราชให้น้ำ 2 ตัว ทำนายว่า ฝนกลางปีอุดม<br /><br />เกณฑ์ธัญญาหารชื่อ ลาภะ ข้าวกล้าในนา จะได้ 10 ส่วน เสียเพียงส่วนเดียว ธัญญาหาร มังสาหารบริบูรณ์ ประชาชนทั้งหลายจะอยู่เย็นเป็นสุขฯ<br /><br />วันเถลิงศก ตรงกับ วันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน เวลา 20 นาฬิกา 2 นาที 24 วินาที จันทรคติ ตรงกับ วันอาทิตย์ แรม ๑๑ ค่ำ เดือนห้า(๕) ปีเถาะ
ประกาศสงกรานต์ พุทธศักราช 2566 จ.ศ. 1385 ร.ศ. 242 ปีเถาะ เบญจศก จันทรคติเป็น อธิกมาส ปกติวาร สุริยคติเป็น ปกติสุรทิน

วันมหาสงกรานต์ ตรงกับ วันศุกร์ที่ 14 เมษายน เวลา 16 นาฬิกา 4 นาที 48 วินาที
จันทรคติ ตรงกับ วันศุกร์ แรม ๙ ค่ำ เดือนห้า(๕) ปีเถาะ

นางสงกรานต์นามว่า นางกิมิทาเทวี ทรงพาหุรัด ทัดดอกจงกลนี (บัวชนิดหนึ่ง) อาภรณ์แก้วบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำ พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จนั่ง มาเหนือหลังมหิงส์ (กระบือ) เป็นพาหนะ

เกณฑ์พิรุณศาสตร์ ปีนี้ จันทร์ เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก 500 ห่า ตกในเขาจักรวาล 200 ห่า ตกในป่าหิมพานต์ 150 ห่า ตกในมหาสมุทร 100 ห่า ตกในโลกมนุษย์ 50 ห่า

เกณฑ์ธาราธิคุณ ตกราศีกันย์ ชื่อปฐวี (ธาตุดิน) น้ำอุดมสมบูรณ์ดี

เกณฑ์นาคราชให้น้ำ ปีนี้ นาคราชให้น้ำ 2 ตัว ทำนายว่า ฝนกลางปีอุดม

เกณฑ์ธัญญาหารชื่อ ลาภะ ข้าวกล้าในนา จะได้ 10 ส่วน เสียเพียงส่วนเดียว ธัญญาหาร มังสาหารบริบูรณ์ ประชาชนทั้งหลายจะอยู่เย็นเป็นสุขฯ

วันเถลิงศก ตรงกับ วันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน เวลา 20 นาฬิกา 2 นาที 24 วินาที จันทรคติ ตรงกับ วันอาทิตย์ แรม ๑๑ ค่ำ เดือนห้า(๕) ปีเถาะ
ขอให้ทุก ๆ ครอบครัวจงมีความสุข สดชื่น สมหวัง อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา (ถ้ายึดถือตามประเพณี ปีมีหนเดียว เอาให้คุ้มนะครับ) กว่าจะได้เจอกันเนาะ...
ขอให้ทุก ๆ ครอบครัวจงมีความสุข สดชื่น สมหวัง อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา (ถ้ายึดถือตามประเพณี ปีมีหนเดียว เอาให้คุ้มนะครับ) กว่าจะได้เจอกันเนาะ...
236098.jpg (78.29 KiB) เข้าดูแล้ว 1397 ครั้ง
ความภาคภูมิใจ! สภารัฐนิวยอร์กยกย่อง สงกรานต์’ เป็นประเพณีที่งดงาม ความภาคภูมิใจของประเพณีไทย สภาแห่งรัฐนิวยอร์ก เป็นรัฐแรกของอเมริกา ซึ่งประกาศว่า &quot;สงกรานต์&quot; คือ เทศกาลประเพณีที่งดงาม  14 เมษายน 2566 (https://www.dailynews.co.th/news/2215707/)<br /><br />สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 14 เม.ย. ว่า ที่ประชุมสภาแห่งรัฐนิวยอร์กเห็นชอบร่วมกัน เมื่อวันที่ 12 เม.ย. ที่ผ่านมา ร่วมเฉลิมฉลองวันปีใหม่ของไทย และถือให้สงกรานต์เป็นเทศกาลประเพณีอันงดงามในสหรัฐด้วย มติดังกล่าวเสนอโดยนายสตีเวน รากา หนึ่งในสมาชิกสภาแห่งรัฐนิวยอร์ก ซึ่งเป็นผู้แจ้งให้ชุมชนชาวไทยและชาวเอเชียในรัฐนิวยอร์ก ได้รับทราบเรื่องน่ายินดีดังกล่าว<br /><br />“ทุกวันนี้ชุมชนคนเอเชียซึ่งอยู่ในสหรัฐ มีความเจริญก้าวหน้า มีประเพณีที่งดงามและยิ่งใหญ่ และเล็งเห็นได้ว่าคนเอเชียหรือคนที่เป็นคนไทยได้เข้าไปทำงานในภาคองค์กรของรัฐและเอกชนเป็นจำนวนมาก และมีคนไทยลูกหลานคนเอเชียมีตำแหน่งที่สูงขึ้นในทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชน<br /><br />เราจะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ สมาชิกวุฒิสภา ลัดดา แทมมี ดักเวิร์ธ สมาชิกวุฒิสภา มลรัฐอิลลินอยส์ จากพรรคเดโมแครต ซึ่งมีเชื้อสายชาวไทย ตลอดจนผู้ที่ทำงานในหน่วยงานของรัฐ และองค์ธุรกิจเอกชนสมาคมต่าง ๆ มีชาวไทยและชาวเอเชียเข้ามามีบทบาทอยู่ในหน่วยงานเหล่านี้มากขึ้น จึงประกาศและร่วมฉลองเทศกาลสงกรานต์ให้เป็นประเพณีที่งดงามในสหรัฐ&quot;<br /><br />ขณะที่ นายธานี แสงรัตน์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน นายฟาบิโอ จินดา กงสุลใหญ่ไทยประจำนครนิวยอร์ก และตัวแทนจากภาคการเมืองในรัฐนิวยอร์กหลายคน เข้าร่วมกิจกรรมงานสงกรานต์ ที่เขตวูดไซด์ ของรัฐนิวยอร์ก เมื่อวันพุธที่ผ่านมา
ความภาคภูมิใจ! สภารัฐนิวยอร์กยกย่อง สงกรานต์’ เป็นประเพณีที่งดงาม ความภาคภูมิใจของประเพณีไทย สภาแห่งรัฐนิวยอร์ก เป็นรัฐแรกของอเมริกา ซึ่งประกาศว่า "สงกรานต์" คือ เทศกาลประเพณีที่งดงาม 14 เมษายน 2566 (https://www.dailynews.co.th/news/2215707/)

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 14 เม.ย. ว่า ที่ประชุมสภาแห่งรัฐนิวยอร์กเห็นชอบร่วมกัน เมื่อวันที่ 12 เม.ย. ที่ผ่านมา ร่วมเฉลิมฉลองวันปีใหม่ของไทย และถือให้สงกรานต์เป็นเทศกาลประเพณีอันงดงามในสหรัฐด้วย มติดังกล่าวเสนอโดยนายสตีเวน รากา หนึ่งในสมาชิกสภาแห่งรัฐนิวยอร์ก ซึ่งเป็นผู้แจ้งให้ชุมชนชาวไทยและชาวเอเชียในรัฐนิวยอร์ก ได้รับทราบเรื่องน่ายินดีดังกล่าว

“ทุกวันนี้ชุมชนคนเอเชียซึ่งอยู่ในสหรัฐ มีความเจริญก้าวหน้า มีประเพณีที่งดงามและยิ่งใหญ่ และเล็งเห็นได้ว่าคนเอเชียหรือคนที่เป็นคนไทยได้เข้าไปทำงานในภาคองค์กรของรัฐและเอกชนเป็นจำนวนมาก และมีคนไทยลูกหลานคนเอเชียมีตำแหน่งที่สูงขึ้นในทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชน

เราจะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ สมาชิกวุฒิสภา ลัดดา แทมมี ดักเวิร์ธ สมาชิกวุฒิสภา มลรัฐอิลลินอยส์ จากพรรคเดโมแครต ซึ่งมีเชื้อสายชาวไทย ตลอดจนผู้ที่ทำงานในหน่วยงานของรัฐ และองค์ธุรกิจเอกชนสมาคมต่าง ๆ มีชาวไทยและชาวเอเชียเข้ามามีบทบาทอยู่ในหน่วยงานเหล่านี้มากขึ้น จึงประกาศและร่วมฉลองเทศกาลสงกรานต์ให้เป็นประเพณีที่งดงามในสหรัฐ"

ขณะที่ นายธานี แสงรัตน์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน นายฟาบิโอ จินดา กงสุลใหญ่ไทยประจำนครนิวยอร์ก และตัวแทนจากภาคการเมืองในรัฐนิวยอร์กหลายคน เข้าร่วมกิจกรรมงานสงกรานต์ ที่เขตวูดไซด์ ของรัฐนิวยอร์ก เมื่อวันพุธที่ผ่านมา
329542.jpg (91.37 KiB) เข้าดูแล้ว 1397 ครั้ง
คนเมืองเหนือนั้นถึงวันปีใหม่ ก็จะมีการรดดำหัวพ่อ-แม่ ปู่-ย่า ตา-ยาย ตลอดจนครูบาอาจารย์ที่เคารพนับถือ ก็ขอนำกรรมวิธีที่แนะนำโดยผู้รู้ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาให้ได้เป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติ จะได้ไม่ต้องตะขิดตะขวงใจภายหลัง (คนเหนือไม่นิยมน้ำรดมือ เพราะหมายถึงรดน้ำศพครับ)
คนเมืองเหนือนั้นถึงวันปีใหม่ ก็จะมีการรดดำหัวพ่อ-แม่ ปู่-ย่า ตา-ยาย ตลอดจนครูบาอาจารย์ที่เคารพนับถือ ก็ขอนำกรรมวิธีที่แนะนำโดยผู้รู้ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาให้ได้เป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติ จะได้ไม่ต้องตะขิดตะขวงใจภายหลัง (คนเหนือไม่นิยมน้ำรดมือ เพราะหมายถึงรดน้ำศพครับ)
414751.jpg (75 KiB) เข้าดูแล้ว 1397 ครั้ง
cats 35.jpg
cats 35.jpg (130.11 KiB) เข้าดูแล้ว 1397 ครั้ง
cats 36.jpg
cats 36.jpg (141.7 KiB) เข้าดูแล้ว 1397 ครั้ง
cats 37.jpg
cats 38.jpg
cats 38.jpg (149.64 KiB) เข้าดูแล้ว 1397 ครั้ง
cats 39.JPG
cats 39.JPG (131.34 KiB) เข้าดูแล้ว 1397 ครั้ง
cats 40.JPG
cats 40.JPG (132.16 KiB) เข้าดูแล้ว 1397 ครั้ง
สะพานดำหรือสะพานรถไฟจังหวัดลำปางที่พาดผ่านระหว่างสถานีรถไฟนครลำปาง มุ่งสู่สถานีรถไฟบ่อแฮ้ว ลักษณะของสะพานดำนั้นเป็นสะพานเหล็ก บริเวณด้านข้างนั้นเป็นทางเดินที่ทำด้วยไม้ สะพานดำสร้างขึ้นในช่วงสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นเข้ามาเพื่อเคลื่อนพลผ่านประเทศไทย และได้ตั้งกองบัญชาการที่ลำปาง เข้าทำการยึดอาคารสถานที่ในกิจการของ ทั้งชาวอังกฤษ อเมริกัน และชนชาติอื่น ๆ ทำให้คนเหล่านั้นได้ทำการลี้ภัยออกไป <br /><br />ขณะที่ประเทศไทยสมัยนั้น เป็นคู่สงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร จึงถูกฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีเมือง ด้วยการทิ้งระเบิดในพื้นที่ต่าง ๆ หลายๆครอบครัวที่อาศัยอยู่ในเมือง ได้ทำการย้ายไปอยู่นอกเมืองชั่วคราวเพื่อหลบภัยสงคราม บางร้านที่อยู่ในเมืองก็ต้องพรางอาคารด้วยยอดมะพร้าว หรือเอาสีดำมาทาตัวตึก สะพานก็เหมือนกันอาจจะทาสีดำเพื่ออำพรางไม่ให้โดนระเบิดก็ได้ ดังนั้นการทาสีดำของสะพานในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงเป็นที่มาของ สะพานดำหรือสะพานรถไฟในปัจจุบัน<br /><br />ในอดีตนั้นสะพานดำแห่งนี้มีความสำคัญในด้านการคมนาคม ใช้เดินทางระหว่างผู้คน การค้าขายโดยเส้นทางรถไฟ  ในปัจจุบันนี้สะพานดำได้มีความทรุดโทรม โดยเฉพาะบริเวณทางเดินไม้ได้ผุพังตามกาลเวลา ทางสถานีรถไฟจึงมีการติดป้ายไว้ว่าสะพานชำรุด
สะพานดำหรือสะพานรถไฟจังหวัดลำปางที่พาดผ่านระหว่างสถานีรถไฟนครลำปาง มุ่งสู่สถานีรถไฟบ่อแฮ้ว ลักษณะของสะพานดำนั้นเป็นสะพานเหล็ก บริเวณด้านข้างนั้นเป็นทางเดินที่ทำด้วยไม้ สะพานดำสร้างขึ้นในช่วงสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นเข้ามาเพื่อเคลื่อนพลผ่านประเทศไทย และได้ตั้งกองบัญชาการที่ลำปาง เข้าทำการยึดอาคารสถานที่ในกิจการของ ทั้งชาวอังกฤษ อเมริกัน และชนชาติอื่น ๆ ทำให้คนเหล่านั้นได้ทำการลี้ภัยออกไป

ขณะที่ประเทศไทยสมัยนั้น เป็นคู่สงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร จึงถูกฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีเมือง ด้วยการทิ้งระเบิดในพื้นที่ต่าง ๆ หลายๆครอบครัวที่อาศัยอยู่ในเมือง ได้ทำการย้ายไปอยู่นอกเมืองชั่วคราวเพื่อหลบภัยสงคราม บางร้านที่อยู่ในเมืองก็ต้องพรางอาคารด้วยยอดมะพร้าว หรือเอาสีดำมาทาตัวตึก สะพานก็เหมือนกันอาจจะทาสีดำเพื่ออำพรางไม่ให้โดนระเบิดก็ได้ ดังนั้นการทาสีดำของสะพานในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงเป็นที่มาของ สะพานดำหรือสะพานรถไฟในปัจจุบัน

ในอดีตนั้นสะพานดำแห่งนี้มีความสำคัญในด้านการคมนาคม ใช้เดินทางระหว่างผู้คน การค้าขายโดยเส้นทางรถไฟ ในปัจจุบันนี้สะพานดำได้มีความทรุดโทรม โดยเฉพาะบริเวณทางเดินไม้ได้ผุพังตามกาลเวลา ทางสถานีรถไฟจึงมีการติดป้ายไว้ว่าสะพานชำรุด
cats 41.jpg (129.17 KiB) เข้าดูแล้ว 1397 ครั้ง
จากการพูดคุยกับชาวบ้านที่อาศัยในบริเวณนั้นในอดีตสะพานดำนอกจากจะเป็นสะพานสำหรับการเดินทางโดยรถไฟแล้วยังเป็นที่สัญจรทางเท้าของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ ซึ่งชาวบ้านที่อาศัยฝั่งทางนาก่วมเหนือ(ทางฝั่งสถานีรถไฟนครลำปาง) มักจะเดินทางข้ามไปยังบ้านบ่อแฮ้ว บ้านทับหมาก บ้านดง และจะมีชาวบ้านที่อยู่บริเวณฝั่งบ่อแฮ้ว นำพืชผักสวนครัว หรือข้าวของต่างๆมาวางขายที่ตลาดเก๊าจาว (ตลาดรัตน์) ซึ่งเป็นตลาดตอนเช้า อยู่ติดกับทางรถไฟและสะพานดำ โดยชาวบ้านจะเดินเลาะด้านข้างของสะพานดำ สัญจรกันไปมา แต่ในเวลาที่รถไฟผ่านมา ในขณะที่ชาวบ้านข้ามสะพานก็จะมีความน่าวิตกเป็นอย่างมาก เนื่องจากชาวบ้านต้องพยายามเกาะเกาะราวเหล็กด้านข้างให้แน่นที่สุด ทำให้การสัญจรนั้นอันตรายและลำบากต่อชาวบ้าน แต่ในปัจจุบันมีการสร้างสะพานปูนข้ามแม่น้ำใกล้ๆกับสะพานดำ ชื่อว่าสะพานสบตุย จึงทำให้สะพานดำไม่ค่อยได้ถูกใช้สัญจรโดยชาวบ้าน เนื่องจากมีเส้นทางสะพานสัญจรแห่งใหม่ที่สะดวก ไม่อันตราย และสามารถนำยานพาหนะข้ามไปมาได้อีกด้วย ประโยชน์ของสะพานดำของชาวบ้านในบริเวณนั้นจึงหมดคุณค่าไป แต่ก็ยังมีความสำคัญต่อการเดินทางโดยรถไฟ ซึ่งเป็นเส้นทางการติดต่อค้าขาย และการเดินทางไปมาระหว่างผู้คนที่ขึ้นรถไฟสถานีเชียงใหม่มุ่งสู่สถานีหัวลำโพง<br /><br />เนื่องจากสะพานดำไม่ได้เป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่ก็ยังมีผู้ที่สนใจเห็นถึงความสวยงามของสะพานดำได้เดินทางเข้าไปถ่ายรูปกันเป็นจำนวนมากรวมถึงการถ่ายภาพพรีเว็ดดิ้ง ถึงแม้ว่าสะพานดำจะไม่ได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ผู้คนให้ความสนใจ แต่สะพานดำยังมีความเกี่ยวข้องทางประวัติศาสตร์ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งหลังจากที่มีการสร้างทางรถไฟสายเหนือเสร็จ รวมถึงสะพานดำ ก็ส่งผลให้เศรษฐกิจของลำปางดำเนินไปในทางที่ดี ซึ่งในอดีตมีพ่อค้าชาวจีนได้อพยพเข้ามาอาศัยแล้วทำการค้าขายเป็นจำนวนมาก ซึ่งในอดีตนั้นลำปางไม่สามารถปลูกข้าวเพื่อเป็นสินค้าส่งออกไปยังกรุงเทพได้เนื่องจากขาดน้ำ แต่เป็นเส้นทางด้านคมนาคม ขนส่งโดยรถไฟ ทำให้พ่อค้าชาวจีนได้ทำการตั้งโรงสีและโรงเลื้อย เพื่อนำข้าวนั้นมาสี และส่งต่อไปยังกรุงเทพ จะสังเกตเห็นได้จากโรงสี และโรงงาน ที่ตั้งอยู่บริเวณสถานีรถไฟสบตุ๋ย<br /><br /> Cr.Museum thailand [มิวเซียมไทยแลนด์]
จากการพูดคุยกับชาวบ้านที่อาศัยในบริเวณนั้นในอดีตสะพานดำนอกจากจะเป็นสะพานสำหรับการเดินทางโดยรถไฟแล้วยังเป็นที่สัญจรทางเท้าของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ ซึ่งชาวบ้านที่อาศัยฝั่งทางนาก่วมเหนือ(ทางฝั่งสถานีรถไฟนครลำปาง) มักจะเดินทางข้ามไปยังบ้านบ่อแฮ้ว บ้านทับหมาก บ้านดง และจะมีชาวบ้านที่อยู่บริเวณฝั่งบ่อแฮ้ว นำพืชผักสวนครัว หรือข้าวของต่างๆมาวางขายที่ตลาดเก๊าจาว (ตลาดรัตน์) ซึ่งเป็นตลาดตอนเช้า อยู่ติดกับทางรถไฟและสะพานดำ โดยชาวบ้านจะเดินเลาะด้านข้างของสะพานดำ สัญจรกันไปมา แต่ในเวลาที่รถไฟผ่านมา ในขณะที่ชาวบ้านข้ามสะพานก็จะมีความน่าวิตกเป็นอย่างมาก เนื่องจากชาวบ้านต้องพยายามเกาะเกาะราวเหล็กด้านข้างให้แน่นที่สุด ทำให้การสัญจรนั้นอันตรายและลำบากต่อชาวบ้าน แต่ในปัจจุบันมีการสร้างสะพานปูนข้ามแม่น้ำใกล้ๆกับสะพานดำ ชื่อว่าสะพานสบตุย จึงทำให้สะพานดำไม่ค่อยได้ถูกใช้สัญจรโดยชาวบ้าน เนื่องจากมีเส้นทางสะพานสัญจรแห่งใหม่ที่สะดวก ไม่อันตราย และสามารถนำยานพาหนะข้ามไปมาได้อีกด้วย ประโยชน์ของสะพานดำของชาวบ้านในบริเวณนั้นจึงหมดคุณค่าไป แต่ก็ยังมีความสำคัญต่อการเดินทางโดยรถไฟ ซึ่งเป็นเส้นทางการติดต่อค้าขาย และการเดินทางไปมาระหว่างผู้คนที่ขึ้นรถไฟสถานีเชียงใหม่มุ่งสู่สถานีหัวลำโพง

เนื่องจากสะพานดำไม่ได้เป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่ก็ยังมีผู้ที่สนใจเห็นถึงความสวยงามของสะพานดำได้เดินทางเข้าไปถ่ายรูปกันเป็นจำนวนมากรวมถึงการถ่ายภาพพรีเว็ดดิ้ง ถึงแม้ว่าสะพานดำจะไม่ได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ผู้คนให้ความสนใจ แต่สะพานดำยังมีความเกี่ยวข้องทางประวัติศาสตร์ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งหลังจากที่มีการสร้างทางรถไฟสายเหนือเสร็จ รวมถึงสะพานดำ ก็ส่งผลให้เศรษฐกิจของลำปางดำเนินไปในทางที่ดี ซึ่งในอดีตมีพ่อค้าชาวจีนได้อพยพเข้ามาอาศัยแล้วทำการค้าขายเป็นจำนวนมาก ซึ่งในอดีตนั้นลำปางไม่สามารถปลูกข้าวเพื่อเป็นสินค้าส่งออกไปยังกรุงเทพได้เนื่องจากขาดน้ำ แต่เป็นเส้นทางด้านคมนาคม ขนส่งโดยรถไฟ ทำให้พ่อค้าชาวจีนได้ทำการตั้งโรงสีและโรงเลื้อย เพื่อนำข้าวนั้นมาสี และส่งต่อไปยังกรุงเทพ จะสังเกตเห็นได้จากโรงสี และโรงงาน ที่ตั้งอยู่บริเวณสถานีรถไฟสบตุ๋ย

Cr.Museum thailand [มิวเซียมไทยแลนด์]
cats 44.jpg (156.55 KiB) เข้าดูแล้ว 1397 ครั้ง
เจ้าตัวเล็ก(หลานรัก)สนุกสนานกับการวิ่งเล่น ณ สะพานดำ เราพยายามจะชักชวนให้เดินทางไปที่ใหม่ กว่าจะเปลี่ยนใจได้ ต้องคุยเปลี่ยนอารมณ์อยู่เป็นนาน (แกรัก ชอบ รถไฟมาก อยู่บ้านปากกองสารภี บ้านอยู่ใกล้รางรถไฟ พอเลิกโรงเรียนต้องพาปั่นจักรยานไปรอชมรถไฟวิ่งผ่านทุกวัน)
เจ้าตัวเล็ก(หลานรัก)สนุกสนานกับการวิ่งเล่น ณ สะพานดำ เราพยายามจะชักชวนให้เดินทางไปที่ใหม่ กว่าจะเปลี่ยนใจได้ ต้องคุยเปลี่ยนอารมณ์อยู่เป็นนาน (แกรัก ชอบ รถไฟมาก อยู่บ้านปากกองสารภี บ้านอยู่ใกล้รางรถไฟ พอเลิกโรงเรียนต้องพาปั่นจักรยานไปรอชมรถไฟวิ่งผ่านทุกวัน)
DSC_6093.JPG
DSC_6093.JPG (126.52 KiB) เข้าดูแล้ว 1397 ครั้ง
DSC_6094.JPG
DSC_6094.JPG (144.98 KiB) เข้าดูแล้ว 1397 ครั้ง
เป้าหมายต่อไปผมจะพาไปเที่ยววัดศรีรองเมือง อย่าลืมติดตามกันไป เป็นกำลังใจเรื่อย ๆ ไป...นะครับ
เป้าหมายต่อไปผมจะพาไปเที่ยววัดศรีรองเมือง อย่าลืมติดตามกันไป เป็นกำลังใจเรื่อย ๆ ไป...นะครับ
cats 42.JPG
cats 42.JPG (112.36 KiB) เข้าดูแล้ว 1393 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D สวัสดีครับท่านผู้มีเกียรติที่เคารพทุกท่าน ภารกิจของชาวโลกในยามเทศกาลรู้สึกได้ จะวุ่นวายกันทั้งงานบุญ งานบาป งานขาวดำ งานสีเทา ฯ หากเราขาดสติตามกระแสโลก ที่หมายไม่แคล้วนรกท่านใดที่สติดี มรรคมีองค์แปดแน่นย่อมล่วงพ้นหนทางแห่งอบายไปได้ สำหรับผมมีที่พึ่งคือ "พุทโธ" ติดอยู่ที่ใจทั้งยามนอนยามตื่น เมื่อใดที่จิตตกต้องรีบยก "พุทโธ" มาสู่ใจทันที ก่อนทำสิ่งใดรำลึกเสมอ ๆ ว่า "สัมมาทิฏฐิ หรือ มิจฉาทิฏฐิ"

ระยะนี้ผมหายหน้าไปหลายวันก็ด้วยภารกิจทางโลก ที่เราต้องดูแลรักษาอันเนื่องด้วยเทศกาล ในฐานะพุทธบริษัทไม่ให้หลงลืมจารีตประเพณีอันดีงามต่าง ๆ ในขณะเดียวกันก็ติดตามสถานการณ์การบ้านการเมือง เพื่อให้ทันเหตุการณ์ประดับสติปัญญาไว้ตอบคำถาม บรรดาลูก ๆ หลาน ๆ หรือผู้ที่สนใจไถ่ถามจะได้ไม่ "แก่แบบกะโหลกกะลา" อย่างน้อย ๆ ก็ได้ให้ข้อคิดข้อพิจารณาที่ถูกที่ควรได้

วันนี้พอเจียดเวลาที่จะมานั่งนึกนั่งคิด ถ่ายทอดการท่องเที่ยวที่ยังคั่งค้างกันต่อ ขออนุญาติสรุปเรื่องการบ้านการเมืองสักนิดครับว่า "ฤดูการหาเสียงครานี้เรียกว่า สนุกสุด ๆ ครับ เราได้เห็นนักการเมืองประเภทหน้าด้าน หน้าทน ตะแบงกันจนสุดลิ่มทิ่มประตู ชนิดน่ารังเกียจหลาย ๆ ราย" เป็นห่วงบ้านเมืองจริง ๆ นักการเมืองร้อยละ ๙๐ พูดว่า "อย่านึกว่าชาวบ้านโง่" จริงๆ แล้วผมซึ่งสัมผัสกับชาวบ้านมามาก ๆ โดยเฉพาะกลุ่มไกลปืนเที่ยง อยากจะบอกว่า "ความจริงไม่ใช่ครับ" จึงขอสรุปว่า คนพวกนี้กำลังดูถูกชาวบ้านจัง ๆ ดูที่การแข่งขันกันแจกเงิน ฯ นั่นละครับ

ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศคือ "คนจน" การแจกเงินแจกทองมันเป็นรูปธรรม แจกแล้วเขามั่นใจว่าได้แน่ ดังนั้นในการเลือกตั้งปี ๒๕๖๖ ในครั้งนี้ผมมีความหวังมาก ๆ ครับว่า "ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนจะได้ให้บทเรียน แก่นักการเมืองทั้งหลายเหล่านี้" เงินมากาพรรคอื่น อย่าห่วงเรื่องนรกสวรรค์ครับ เอาบ้านเมืองไว้ก่อนครับ
:) :D
ไฟล์แนบ
1539.jpg
1539.jpg (122.27 KiB) เข้าดูแล้ว 1281 ครั้ง
235632.jpg
235632.jpg (40.88 KiB) เข้าดูแล้ว 1281 ครั้ง
330910.jpg
330910.jpg (125.36 KiB) เข้าดูแล้ว 1281 ครั้ง
เทศกาลงานสงกรานต์หรือประเพณีปี๋ใหม่เมือง สิ่งที่ลืมไม่ได้คือการสรงน้ำพระพุทธรูปในบ้านเรือนของเราครับ ปีหนึ่งมีหนเดียวถวายน้ำขมิ้นส้มป่อย เพื่อความเป็นศิริมงคลแก่บ้านเรือนของตนครับ
เทศกาลงานสงกรานต์หรือประเพณีปี๋ใหม่เมือง สิ่งที่ลืมไม่ได้คือการสรงน้ำพระพุทธรูปในบ้านเรือนของเราครับ ปีหนึ่งมีหนเดียวถวายน้ำขมิ้นส้มป่อย เพื่อความเป็นศิริมงคลแก่บ้านเรือนของตนครับ
330913.jpg (88.11 KiB) เข้าดูแล้ว 1281 ครั้ง
ต่อมาก็ไปทำบุญที่วัด ขนทรายเข้าวัดสรงน้ำพระในวัดตามรีตรอยประเพณี ปล่อยนกปล่อยปลา สร้างกุศลผลบุญ (ก็ว่ากันไป) จากนั้นก็เป็นเริ่มตระเวนดำหัวผู้เฒ่าผู้แก่ ครูบาอาจารย์ที่เราเคารพนับถือ ปีนี้ผมยังมีญาตุผู้ใหญ่เหลืออยู่ไม่กี่คนแต่ละคนอยู่ไกลกัน ก็ต้องแบ่งเวลาไปจนครบครับ
ต่อมาก็ไปทำบุญที่วัด ขนทรายเข้าวัดสรงน้ำพระในวัดตามรีตรอยประเพณี ปล่อยนกปล่อยปลา สร้างกุศลผลบุญ (ก็ว่ากันไป) จากนั้นก็เป็นเริ่มตระเวนดำหัวผู้เฒ่าผู้แก่ ครูบาอาจารย์ที่เราเคารพนับถือ ปีนี้ผมยังมีญาตุผู้ใหญ่เหลืออยู่ไม่กี่คนแต่ละคนอยู่ไกลกัน ก็ต้องแบ่งเวลาไปจนครบครับ
330696.jpg (199.77 KiB) เข้าดูแล้ว 1281 ครั้ง
ดัน ‘สงกรานต์’สู่เวิลด์คลาส เทศกาลระดับโลก<br />จ่อขึ้นบัญชีมรดกโลก “ประเพณีสงกรานต์” จัดงานเย็นทั่วหล้า ทั่วทุกภาค เหนือ ใต้ อีสาน<br />13 เมษายน 2566 12:11 น.<br /><br />ประเพณีสงกรานต์ ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทย ซึ่งยึดถือปฏิบัติสืบเนื่องกันมาแต่โบราณ และเป็นวัฒนธรรมประจำชาติที่งดงามฝังลึกอยู่ในชีวิตของคนไทย ตรงกับวันที่ 13-15 เมษายนของทุกปี ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศให้เป็นวันหยุดราชการต่อเนื่องกัน เพื่อให้ประชาชนที่ทำงานในต่างท้องที่ได้กลับไปยังถิ่นฐานของตน เพื่อไปร่วมทำบุญ เยี่ยมเยียนญาติผู้ใหญ่ บุพการี และเล่นสนุกสนานกับครอบครัว เพื่อนฝูง กิจกรรมส่วนใหญ่เป็นการทำบุญทำทาน การอุทิศส่วนกุศลแด่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ การสรงน้ำพระ การรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ การเล่นสาดน้ำ ประแป้ง และการละเล่นรื่นเริงต่างๆ<br /><br />จ่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ล่าสุด “องค์การยูเนสโก” อนุมัติให้ “ประเพณีสงกรานต์” เข้าสู่บัญชีรายชื่อเบื้องต้นเพื่อพิจารณาในที่ประชุมในช่วงปลายปี 2566 ให้เป็น มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ชิ้นที่ 4 ของไทย ต่อจาก โขน นวดไทย โนรา สะท้อนให้เห็นว่า ทั่วโลกให้ความสำคัญกับประเทศไทยและให้การยอมรับ โดยเห็นถึงคุณค่าและเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของวัฒนธรรมไทย พร้อมกับเชื่อมั่นว่าทุกประเพณี วัฒนธรรมของไทยทรงคุณค่า สามารถต่อยอดความสำเร็จผ่านการสืบสาน พัฒนา สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ในอนาคต
ดัน ‘สงกรานต์’สู่เวิลด์คลาส เทศกาลระดับโลก
จ่อขึ้นบัญชีมรดกโลก “ประเพณีสงกรานต์” จัดงานเย็นทั่วหล้า ทั่วทุกภาค เหนือ ใต้ อีสาน
13 เมษายน 2566 12:11 น.

ประเพณีสงกรานต์ ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทย ซึ่งยึดถือปฏิบัติสืบเนื่องกันมาแต่โบราณ และเป็นวัฒนธรรมประจำชาติที่งดงามฝังลึกอยู่ในชีวิตของคนไทย ตรงกับวันที่ 13-15 เมษายนของทุกปี ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศให้เป็นวันหยุดราชการต่อเนื่องกัน เพื่อให้ประชาชนที่ทำงานในต่างท้องที่ได้กลับไปยังถิ่นฐานของตน เพื่อไปร่วมทำบุญ เยี่ยมเยียนญาติผู้ใหญ่ บุพการี และเล่นสนุกสนานกับครอบครัว เพื่อนฝูง กิจกรรมส่วนใหญ่เป็นการทำบุญทำทาน การอุทิศส่วนกุศลแด่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ การสรงน้ำพระ การรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ การเล่นสาดน้ำ ประแป้ง และการละเล่นรื่นเริงต่างๆ

จ่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ล่าสุด “องค์การยูเนสโก” อนุมัติให้ “ประเพณีสงกรานต์” เข้าสู่บัญชีรายชื่อเบื้องต้นเพื่อพิจารณาในที่ประชุมในช่วงปลายปี 2566 ให้เป็น มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ชิ้นที่ 4 ของไทย ต่อจาก โขน นวดไทย โนรา สะท้อนให้เห็นว่า ทั่วโลกให้ความสำคัญกับประเทศไทยและให้การยอมรับ โดยเห็นถึงคุณค่าและเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของวัฒนธรรมไทย พร้อมกับเชื่อมั่นว่าทุกประเพณี วัฒนธรรมของไทยทรงคุณค่า สามารถต่อยอดความสำเร็จผ่านการสืบสาน พัฒนา สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ในอนาคต
329542.jpg (91.37 KiB) เข้าดูแล้ว 1281 ครั้ง
cats 45.jpg
cats 45.jpg (143.74 KiB) เข้าดูแล้ว 1281 ครั้ง
cats 46.jpg
cats 46.jpg (142.98 KiB) เข้าดูแล้ว 1281 ครั้ง
cats 47.JPG
cats 48.JPG
cats 49.JPG
cats 49.JPG (118.73 KiB) เข้าดูแล้ว 1281 ครั้ง
cats 50.jpg
cats 50.jpg (164.68 KiB) เข้าดูแล้ว 1281 ครั้ง
cats 51.jpg
cats 51.jpg (158.5 KiB) เข้าดูแล้ว 1281 ครั้ง
DSC_6123.JPG
DSC_6123.JPG (108.38 KiB) เข้าดูแล้ว 1281 ครั้ง
DSC_6126.JPG
DSC_6127.JPG
DSC_6130.JPG
DSC_6129.JPG
วัดศรีรองเมือง จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี<br /><br />วัดศรีรองเมือง เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่ในตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง<br /><br />วัดศรีรองเมืองสร้างโดยพ่อเฒ่าจองตะก่าอินต๊ะ คหบดีชาวไทใหญ่ ที่เข้ามาทำไม้ในเมืองลำปาง ของบริษัท บอมเมย์เบอร์ม่า สร้างวัดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2447 ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เหตุที่มีอาชีพตัดไม้ โค่นต้นไม้ในป่า จึงได้สร้างวัดศรีรองเมืองนี้ได้เพื่อเป็นที่พึ่งทางจิตใจ ขอขมาต่อธรรมชาติ[1] โดยใช้ช่างฝีมือชาวพม่าในการบูรณะจากวัดเดิมที่มีอยู่ก่อน ชื่อวัดศรีรองเมืองสะกดเพี้ยนมาจากชื่อเดิมที่เรียก วัดศรีสองเมือง ซึ่งสร้างขึ้นบนพื้นที่ของสำนักสงฆ์อันมีชื่อตามนามสกุลของผู้บริจาคที่ดิน สำนักสงฆ์ศรีสองเมือง สร้างเมื่อ พ.ศ. 2434[2] วัดนี้เดิมชื่อ วัดท่าคราวน้อยพม่า ต่อมาใน พ.ศ. 2524 กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดขอบเขตวิหารของวัดศรีรองเมืองไว้ในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 98 ตอนที่ 177 ลงวันที่ 27 ตุลาคม 2524<br /><br />วิหารมีลักษณะแบบวิหารไทใหญ่ในภาคเหนือซึ่งมีลวดลายสลักปิดทองและเครื่องไม้ประดับที่สวยงาม วิหารเป็นอาคาร 2 ชั้นมีหลังคาซ้อนกันแบบพม่า ชั้นล่างก่ออิฐถือปูน ส่วนชั้นบนทำด้วยไม้ ภายในวิหารประดิษฐานพระประธานที่ทำจากไม้ขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางของเรือนยอด บนวิหารที่เป็นเรือนไม้นั้นมีเสากลมใหญ่เรียงรายกันหลายต้น แต่ละต้นประดับประดาด้วยลวดลายจำหลักไม้และกระจกสีแวววับสวยสดงดงาม พระพุทธรูปบัวเข็ม เป็นพระประธานของวิหาร แกะสลักจากไม้ศิลปะพม่า มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระพุทธรูปองค์นี้ว่า สมัยก่อนมีไม้สักท่อนขนาดมหึมาไหลมาตามแม่น้ำวังแล้วมาติดอยู่ที่ท่าน้ำหลังวัดศรีรองเมือง ชาวบ้านจึงได้ช่วยกันนำท่อนไม้สักมาเก็บรักษาไว้ที่วัดและกราบไหว้กัน จนวันหนึ่งมีฝนตกฟ้าร้องลมพัดแรงมากปรากฏว่าเทียนที่จุดไว้บนท่อนไม้ไม่ยอมดับ ศรัทธาชาวบ้านพร้อมด้วยพ่อเฒ่าจองตะก่าอินต๊ะจึงได้ให้ช่างมาแกะสลักเป็นพระพุทธรูปแบบพม่าแล้วจึงนำมาประดิษฐานไว้ที่วิหารวัด[3]<br /><br />วัดยังมีสิ่งก่อสร้างที่สวยงามอีกมากมาย เช่น เว็จกุฏีหรือส้วมพระที่มีลักษณะแปลกตาและงดงามตามศิลปะการก่อสร้างของไทยใหญ่เว็จกุฏีนี้ตั้งอยู่ห่างจากแนวโบราณสถานเดิม (วิหาร) ประมาณ 15 เมตร โดยตั้งอยู่ชิดกำแพงวัดทางด้านทิศตะวันตก ใน พ.ศ.2544 ได้มีหนังสือขอให้ดำเนินการขึ้นทะเบียนเว็จกุฏีแห่งนี้เพิ่มเติม
วัดศรีรองเมือง จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

วัดศรีรองเมือง เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่ในตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง

วัดศรีรองเมืองสร้างโดยพ่อเฒ่าจองตะก่าอินต๊ะ คหบดีชาวไทใหญ่ ที่เข้ามาทำไม้ในเมืองลำปาง ของบริษัท บอมเมย์เบอร์ม่า สร้างวัดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2447 ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เหตุที่มีอาชีพตัดไม้ โค่นต้นไม้ในป่า จึงได้สร้างวัดศรีรองเมืองนี้ได้เพื่อเป็นที่พึ่งทางจิตใจ ขอขมาต่อธรรมชาติ[1] โดยใช้ช่างฝีมือชาวพม่าในการบูรณะจากวัดเดิมที่มีอยู่ก่อน ชื่อวัดศรีรองเมืองสะกดเพี้ยนมาจากชื่อเดิมที่เรียก วัดศรีสองเมือง ซึ่งสร้างขึ้นบนพื้นที่ของสำนักสงฆ์อันมีชื่อตามนามสกุลของผู้บริจาคที่ดิน สำนักสงฆ์ศรีสองเมือง สร้างเมื่อ พ.ศ. 2434[2] วัดนี้เดิมชื่อ วัดท่าคราวน้อยพม่า ต่อมาใน พ.ศ. 2524 กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดขอบเขตวิหารของวัดศรีรองเมืองไว้ในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 98 ตอนที่ 177 ลงวันที่ 27 ตุลาคม 2524

วิหารมีลักษณะแบบวิหารไทใหญ่ในภาคเหนือซึ่งมีลวดลายสลักปิดทองและเครื่องไม้ประดับที่สวยงาม วิหารเป็นอาคาร 2 ชั้นมีหลังคาซ้อนกันแบบพม่า ชั้นล่างก่ออิฐถือปูน ส่วนชั้นบนทำด้วยไม้ ภายในวิหารประดิษฐานพระประธานที่ทำจากไม้ขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางของเรือนยอด บนวิหารที่เป็นเรือนไม้นั้นมีเสากลมใหญ่เรียงรายกันหลายต้น แต่ละต้นประดับประดาด้วยลวดลายจำหลักไม้และกระจกสีแวววับสวยสดงดงาม พระพุทธรูปบัวเข็ม เป็นพระประธานของวิหาร แกะสลักจากไม้ศิลปะพม่า มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระพุทธรูปองค์นี้ว่า สมัยก่อนมีไม้สักท่อนขนาดมหึมาไหลมาตามแม่น้ำวังแล้วมาติดอยู่ที่ท่าน้ำหลังวัดศรีรองเมือง ชาวบ้านจึงได้ช่วยกันนำท่อนไม้สักมาเก็บรักษาไว้ที่วัดและกราบไหว้กัน จนวันหนึ่งมีฝนตกฟ้าร้องลมพัดแรงมากปรากฏว่าเทียนที่จุดไว้บนท่อนไม้ไม่ยอมดับ ศรัทธาชาวบ้านพร้อมด้วยพ่อเฒ่าจองตะก่าอินต๊ะจึงได้ให้ช่างมาแกะสลักเป็นพระพุทธรูปแบบพม่าแล้วจึงนำมาประดิษฐานไว้ที่วิหารวัด[3]

วัดยังมีสิ่งก่อสร้างที่สวยงามอีกมากมาย เช่น เว็จกุฏีหรือส้วมพระที่มีลักษณะแปลกตาและงดงามตามศิลปะการก่อสร้างของไทยใหญ่เว็จกุฏีนี้ตั้งอยู่ห่างจากแนวโบราณสถานเดิม (วิหาร) ประมาณ 15 เมตร โดยตั้งอยู่ชิดกำแพงวัดทางด้านทิศตะวันตก ใน พ.ศ.2544 ได้มีหนังสือขอให้ดำเนินการขึ้นทะเบียนเว็จกุฏีแห่งนี้เพิ่มเติม
DSC_6132.JPG (137.87 KiB) เข้าดูแล้ว 1281 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D สวัสดียามสาย ๆ เที่ยง บ่ายและเย็นครับ ท่านที่เคารพ ช่วง 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมา อากาศมันร้อนสุดๆ ปากกอง สารภี น้ำในอ่างเดือด ปลาลอยแพลาโลกยกอ่าง (เศร้าจัง) ปีนี้นับเป็นปีแรกของชีวิตที่เจอสภาพอากาศร้อนแบบนี้ ค่าไฟมาเมื่อวาน + สองเท่า เคยเสียพันงานนี้สามพัน 55 (ไม่ว่ากัน) ภาวนาขอให้พวกคุณชาว กฟผ.ซื่อสัตย์ จริงใจต่อประชาชนแค่นี้พอใจ (ไม่พูดถึง รบ.ละ)

พิจารณาให้ดีนะครับ โลกเดินทางไปสู่วันสิ้นโลกทุกทีๆ สังเกตุจากธรรมชาติที่โหมกระหน่ำ ทั้งน้ำท่วม ร้อนแห้งแล้ง น้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างน่าตกใจ สาเหตุเพราะเราชาวโลกร่วมด้วยช่วยกันทำลายธรรมชาติอย่างเมามัน วันนี้ เวลานี้ ถึงเวลาที่ธรรมชาติจะมาเอาคืนแล้ว ก็ก้มหน้ารับกรรมกันไป

เรามาดูสิ่งดีๆ ของความพยายามที่จะรักษ์โลก ประกาศให้วันที่ 22 เมษายน ของทุกปีเป็นวันคุ้มครองโลก ถามคนไทยเราตระหนักกันไหม?



:idea: :idea: Earth Day วันคุ้มครองโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 22 เมษายน ของทุกปี คือ วันที่กำหนดขึ้นเพื่อระลึกถึงจุดกำเนิดของการเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมสมัยใหม่ในปี ค.ศ. 1970 เพื่อสร้างความตระหนักเกี่ยวกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนดำเนินการเพื่ออนุรักษ์ ปรับปรุง และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของเรา

เราสามารถช่วยรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ช่วยโลกของเเราได้ด้วย เช่น
-ลดการบริโภคเนื้อสัตว์ เนื่องจากอุตสาหกรรมการผลิตและการจัดจำหน่ายเนื้อสัตว์ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นจำนวนมาก
-ลดการใช้พลาสติก ด้วยการหันมาใช้ขวดและถุงที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้
ซื้อสินค้า Fairtrad (แฟร์เทรด) เพื่อช่วยส่งเสริมการพัฒนาระบบการค้าที่เป็นธรรมอย่างยั่งยืน
:idea: :idea:

:) :D Earth day 2023 หรือ วันคุ้มครองโลก 22 เมษายน :) :D
ไฟล์แนบ
วันคุ้มครองโลกคืออะไร<br /><br />วันคุ้มครองโลก (ภาษาอังกฤษ: Earth Day) คือ วันที่กำหนดขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักเกี่ยวกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และกระตุ้นให้ผู้คนดำเนินการต่าง ๆ เพื่ออนุรักษ์ ปรับปรุง และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของโลก วันคุ้มครองโลก (Earth Day) ตรงกับวันที่ 22 เมษายน ของทุกปี โดยจัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1970 (พ.ศ. 2513) ซึ่งถือว่าเป็นจุดกำเนิดของการเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมสมัยใหม่ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย รวมทั้งช่วยให้ผู้คนหันมาสนใจปัญหาทางสิ่งแวดล้อมมากขึ้น<br /><br />เหตุผลของการจัดวันคุ้มครองโลก<br />การกำหนดวันคุ้มครองโลกหรือ Earth Day นั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักในประเด็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลก และเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนและหน่วยงานดำเนินการต่าง ๆ เพื่ออนุรักษ์ ปรับปรุง และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่เราอาศัยอยู่ และทำการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นเพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งช่วยสร้างสำนึกในการรักษาโลกไว้ทั้งในระดับบุคคล ชุมชน และประเทศชาติ<br /><br />หัวใจสำคัญของการก่อตั้งวันคุ้มครองโลก (Earth Day) ก็คือ การระดมพลังประชาสังคม (Civil Society Mobilisation) เพื่อช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ระดับรากหญ้า ไปจนถึงการสร้างแรงกดดันเพื่อเปลี่ยนแปลงนโยบายในประเทศและระดับโลก<br /><br />ประวัติวันคุ้มครองโลก (Earth Day) 22 เมษายน<br />วันคุ้มครองโลก (Earth Day) มีต้นกำเนิดในประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ไม่นานก็กลายเป็นวันสำคัญที่ได้รับการยอมรับในหลายประเทศ และวันนี้ก็เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ปัจจุบันผู้คนกว่าหนึ่งพันล้านคนจากมากกว่า 190 ประเทศได้เข้าร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับวันคุ้มครองโลก<br /><br />ในปี ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) รัฐแคลิฟอร์เนียประสบภัยพิบัติด้านสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่ การรั่วไหลของน้ำมันในซานตาบาร์บารา ทำให้น้ำมัน 3 ล้านแกลลอนรั่วไหลลงสู่ทะเลตามแนวชายฝั่งแคลิฟอร์เนีย คราบน้ำมันกระจายไปไกลถึง 35 ไมล์<br /><br />เกย์ลอร์ด เนลสัน (Gaylord Nelson) สมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกา ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ก่อตั้ง Earth Day ได้พบเห็นและตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ จึงได้ตัดสินใจผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในขณะนั้น เนลสันยังถือเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ เขาจึงขอความช่วยเหลือจากนักเคลื่อนไหวที่ชื่อเดนิส เฮยส์ (Dennis Hayes) เพื่อจัดการประท้วงทั่วประเทศ และเลือกวันที่ 22 เมษายน เป็นวันจัดงาน<br /><br />โรงเรียนและมหาวิทยาลัยกว่า 2,000 แห่งทั่วสหรัฐฯ เข้าร่วมการประท้วงแบบ &quot;sit-in&quot; ซึ่งหมายถึงการประท้วงอยู่กับที่โดยปฏิเสธที่จะออกจากสถานที่ และเดินขบวนอย่างสันติ ผู้ที่เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวและนักศึกษา การประท้วงที่จัดขึ้นได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนเป็นอย่างมาก จนทำให้วุฒิสมาชิกเนลสันตัดสินใจจัดตั้งทีมและดำเนินการเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมต่อไป<br /><br />ในปี ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533) วันคุ้มครองโลกได้มีการจัดงานทั่วโลก โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 200 ล้านคนจาก 141 ประเทศ ส่งผลให้ประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมได้รับความสนใจในเวทีโลก วันคุ้มครองโลกหรือ Earth Day ในปี 1990 กระตุ้นให้ผู้คนหันมาสนใจการรีไซเคิล และช่วยปูทางไปสู่การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา (United Nations Conference on Environment and Development - UNCED) หรือ Earth Summit ในปี ค.ศ. 1992 (พ.ศ. 2535) ณ กรุงรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล<br /><br />ความสำเร็จของวันคุ้มครองโลกยังส่งผลให้วุฒิสมาชิกเนลสันได้รับรางวัล Presidential Medal of Freedom จากประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นเกียรติยศสูงสุดสำหรับประชาชนทั่วไป ในฐานะผู้ก่อตั้งวันคุ้มครองโลก (Earth Day)<br /><br />วันคุ้มครองโลกในประเทศไทย<br />ประเทศไทยได้มีจัดกิจกรรมอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเช่นกัน โดยเริ่มจากการรณรงค์วันคุ้มครองโลก ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2533 โดยโรงเรียนสอนภาษาสมาคมนักเรียนเก่าสหรัฐอเมริกา และในปี พ.ศ. 2533 ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญสำหรับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในประเทศไทย อันเป็นผลจากการเสียชีวิตของสืบ นาคะเสถียร หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง นักวิชาการ และนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม คณะอาจารย์และนักศึกษาจาก 16 สถาบันได้ร่วมกันจัดงานวันคุ้มครองโลกขึ้น จากนั้นเป็นต้นมาจึงได้มีการรณรงค์อนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้คนและหน่วยงานต่าง ๆ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงผลกระทบอันร้ายแรงจากการกระทำของมนุษย์ที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและโลกของเรา<br /><br />*ขอขอบคุณข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
วันคุ้มครองโลกคืออะไร

วันคุ้มครองโลก (ภาษาอังกฤษ: Earth Day) คือ วันที่กำหนดขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักเกี่ยวกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และกระตุ้นให้ผู้คนดำเนินการต่าง ๆ เพื่ออนุรักษ์ ปรับปรุง และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของโลก วันคุ้มครองโลก (Earth Day) ตรงกับวันที่ 22 เมษายน ของทุกปี โดยจัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1970 (พ.ศ. 2513) ซึ่งถือว่าเป็นจุดกำเนิดของการเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมสมัยใหม่ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย รวมทั้งช่วยให้ผู้คนหันมาสนใจปัญหาทางสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

เหตุผลของการจัดวันคุ้มครองโลก
การกำหนดวันคุ้มครองโลกหรือ Earth Day นั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักในประเด็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลก และเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนและหน่วยงานดำเนินการต่าง ๆ เพื่ออนุรักษ์ ปรับปรุง และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่เราอาศัยอยู่ และทำการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นเพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งช่วยสร้างสำนึกในการรักษาโลกไว้ทั้งในระดับบุคคล ชุมชน และประเทศชาติ

หัวใจสำคัญของการก่อตั้งวันคุ้มครองโลก (Earth Day) ก็คือ การระดมพลังประชาสังคม (Civil Society Mobilisation) เพื่อช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ระดับรากหญ้า ไปจนถึงการสร้างแรงกดดันเพื่อเปลี่ยนแปลงนโยบายในประเทศและระดับโลก

ประวัติวันคุ้มครองโลก (Earth Day) 22 เมษายน
วันคุ้มครองโลก (Earth Day) มีต้นกำเนิดในประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ไม่นานก็กลายเป็นวันสำคัญที่ได้รับการยอมรับในหลายประเทศ และวันนี้ก็เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ปัจจุบันผู้คนกว่าหนึ่งพันล้านคนจากมากกว่า 190 ประเทศได้เข้าร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับวันคุ้มครองโลก

ในปี ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) รัฐแคลิฟอร์เนียประสบภัยพิบัติด้านสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่ การรั่วไหลของน้ำมันในซานตาบาร์บารา ทำให้น้ำมัน 3 ล้านแกลลอนรั่วไหลลงสู่ทะเลตามแนวชายฝั่งแคลิฟอร์เนีย คราบน้ำมันกระจายไปไกลถึง 35 ไมล์

เกย์ลอร์ด เนลสัน (Gaylord Nelson) สมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกา ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ก่อตั้ง Earth Day ได้พบเห็นและตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ จึงได้ตัดสินใจผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในขณะนั้น เนลสันยังถือเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ เขาจึงขอความช่วยเหลือจากนักเคลื่อนไหวที่ชื่อเดนิส เฮยส์ (Dennis Hayes) เพื่อจัดการประท้วงทั่วประเทศ และเลือกวันที่ 22 เมษายน เป็นวันจัดงาน

โรงเรียนและมหาวิทยาลัยกว่า 2,000 แห่งทั่วสหรัฐฯ เข้าร่วมการประท้วงแบบ "sit-in" ซึ่งหมายถึงการประท้วงอยู่กับที่โดยปฏิเสธที่จะออกจากสถานที่ และเดินขบวนอย่างสันติ ผู้ที่เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวและนักศึกษา การประท้วงที่จัดขึ้นได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนเป็นอย่างมาก จนทำให้วุฒิสมาชิกเนลสันตัดสินใจจัดตั้งทีมและดำเนินการเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมต่อไป

ในปี ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533) วันคุ้มครองโลกได้มีการจัดงานทั่วโลก โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 200 ล้านคนจาก 141 ประเทศ ส่งผลให้ประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมได้รับความสนใจในเวทีโลก วันคุ้มครองโลกหรือ Earth Day ในปี 1990 กระตุ้นให้ผู้คนหันมาสนใจการรีไซเคิล และช่วยปูทางไปสู่การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา (United Nations Conference on Environment and Development - UNCED) หรือ Earth Summit ในปี ค.ศ. 1992 (พ.ศ. 2535) ณ กรุงรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล

ความสำเร็จของวันคุ้มครองโลกยังส่งผลให้วุฒิสมาชิกเนลสันได้รับรางวัล Presidential Medal of Freedom จากประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นเกียรติยศสูงสุดสำหรับประชาชนทั่วไป ในฐานะผู้ก่อตั้งวันคุ้มครองโลก (Earth Day)

วันคุ้มครองโลกในประเทศไทย
ประเทศไทยได้มีจัดกิจกรรมอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเช่นกัน โดยเริ่มจากการรณรงค์วันคุ้มครองโลก ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2533 โดยโรงเรียนสอนภาษาสมาคมนักเรียนเก่าสหรัฐอเมริกา และในปี พ.ศ. 2533 ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญสำหรับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในประเทศไทย อันเป็นผลจากการเสียชีวิตของสืบ นาคะเสถียร หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง นักวิชาการ และนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม คณะอาจารย์และนักศึกษาจาก 16 สถาบันได้ร่วมกันจัดงานวันคุ้มครองโลกขึ้น จากนั้นเป็นต้นมาจึงได้มีการรณรงค์อนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้คนและหน่วยงานต่าง ๆ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงผลกระทบอันร้ายแรงจากการกระทำของมนุษย์ที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและโลกของเรา

*ขอขอบคุณข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
338779.jpg (125.09 KiB) เข้าดูแล้ว 1218 ครั้ง
ประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ ทั่วโลกได้จัดกิจกรรมมากมายเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวระดับโลกในวันคุ้มครองโลก (Earth Day) ตัวอย่างกิจกรรมวันคุ้มครองโลกมีดังต่อไปนี้<br /><br />การร่วมชุมนุมและเดินขบวนเพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และเน้นย้ำเป้าหมายสำคัญในการอนุรักษ์ และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม<br /><br />จัดการประชุมและสัมมนา เพื่อสร้างความตระหนักเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของวันคุ้มครองโลก และเผยแพร่ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม<br /><br />จัดคอนเสิร์ต การแสดง งานบันเทิงอื่น ๆ และนิทรรศการเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยสร้างความตระหนักเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม<br /><br />จัดงานเพื่อระดมทุนให้กับหน่วยงานที่รับผิดชอบทางด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม<br /><br />ร่วมกันรักษาความสะอาดและทำความสะอาดบริเวณบ้าน ชุมชน สถานที่ทางธรรมชาติและสถานที่สาธารณะต่าง ๆ
ประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ ทั่วโลกได้จัดกิจกรรมมากมายเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวระดับโลกในวันคุ้มครองโลก (Earth Day) ตัวอย่างกิจกรรมวันคุ้มครองโลกมีดังต่อไปนี้

การร่วมชุมนุมและเดินขบวนเพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และเน้นย้ำเป้าหมายสำคัญในการอนุรักษ์ และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม

จัดการประชุมและสัมมนา เพื่อสร้างความตระหนักเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของวันคุ้มครองโลก และเผยแพร่ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม

จัดคอนเสิร์ต การแสดง งานบันเทิงอื่น ๆ และนิทรรศการเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยสร้างความตระหนักเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม

จัดงานเพื่อระดมทุนให้กับหน่วยงานที่รับผิดชอบทางด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม

ร่วมกันรักษาความสะอาดและทำความสะอาดบริเวณบ้าน ชุมชน สถานที่ทางธรรมชาติและสถานที่สาธารณะต่าง ๆ
339743.jpg (118.73 KiB) เข้าดูแล้ว 1218 ครั้ง
ไปเที่ยวลำปางกันต่อนะครับ เราออกจากวัดศรีรองเมือง น้องม่อยชวนไปเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่ชาวลำปางให้ความสนใจนั่นคือ บ้านหลุยทีเลียวโนเวนครับ<br /><br />“บ้านหลุยส์ ที เลียวโนเวนส์” บ้านไม้สุดคลาสสิกแห่งลำปาง ที่วันนี้ยังงดงามเหนือกาลเวลา<br />เผยแพร่: 29 ม.ค. 2566 11:08   ปรับปรุง: 29 ม.ค. 2566 11:08   โดย: ผู้จัดการออนไลน์<br /><br />ปี 2563 มีกรณีการรื้อบ้านไม้โบราณที่จังหวัดแพร่ ซึ่งเป็นจังหวะที่ “บ้านหลุยส์ ที เลียวโนเวนส์” บ้านโบราณอายุกว่าร้อยปีในเมืองลำปางอยู่ในช่วงทรุดโทรมและกำลังรื้อเพื่อทำการซ่อมแซมพอดี ก็ทำเอาหลายคนตกอกตกใจว่าจะเกิดเหตุซ้ำรอยหรือเปล่า<br /><br />แต่สำหรับวันนี้ ใครไปเยือนชุมชนท่ามะโอ เมืองลำปาง คงไม่ต้องห่วงอีกแล้ว เพราะปัจจุบัน “บ้านหลุยส์ ที เลียวโนเวนส์” ได้รับการบูรณะเป็นอย่างดีเสร็จสมบูรณ์ 100% ผ่านการซ่อมแซมให้แข็งแรงขึ้น เพราะมีการเสริมเหล็กยึดในจุดต่างๆที่เคยชำรุด เสริมคานเพดานที่ถูกปลวกกัดกินไปพร้อมทั้งเปลี่ยนฝ้าเพดาน ส่วนสิ่งของเครื่องใช้เก่าก็ยังคงนำเก็บไว้จัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ของชุมชน<br /><br />หลังจากได้รับการบูรณะซ่อมแซมครั้งใหญ่ ช่วงระหว่างปี 2563-2564 ภาพความงามที่ปรากฏในวันนี้จึงเป็นบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้สองชั้น หลังคาทรงปั้นหยาสไตล์โคโลเนียล ด้านหน้ามีมุขเจ็ดเหลี่ยม ยื่นออกมาเจ็ดด้าน ใต้ถุนมุขเปิดโล่ง ด้านล่างก่ออิฐถือปูนหนาหลายชั้น โดยชั้นบนเป็นเรือนไม้ ชั้นล่างมีประตูเข้าหน้าบ้าน เป็นซุ้มโค้งแบบฝรั่ง พร้อมช่องแสงระบายอากาศ ไม้ฉลุลายละเอียดประณีตสวยงาม พร้อมทั้งมีกิจกรรมต่างๆ เพื่อเสริมให้บ้านยังมีชีวิต มีสีสันความเคลื่อนไหวดึงดูดให้ผู้สนใจได้แวะเวียนมาเยี่ยมชมไม่เคยขาด
ไปเที่ยวลำปางกันต่อนะครับ เราออกจากวัดศรีรองเมือง น้องม่อยชวนไปเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่ชาวลำปางให้ความสนใจนั่นคือ บ้านหลุยทีเลียวโนเวนครับ

“บ้านหลุยส์ ที เลียวโนเวนส์” บ้านไม้สุดคลาสสิกแห่งลำปาง ที่วันนี้ยังงดงามเหนือกาลเวลา
เผยแพร่: 29 ม.ค. 2566 11:08 ปรับปรุง: 29 ม.ค. 2566 11:08 โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ปี 2563 มีกรณีการรื้อบ้านไม้โบราณที่จังหวัดแพร่ ซึ่งเป็นจังหวะที่ “บ้านหลุยส์ ที เลียวโนเวนส์” บ้านโบราณอายุกว่าร้อยปีในเมืองลำปางอยู่ในช่วงทรุดโทรมและกำลังรื้อเพื่อทำการซ่อมแซมพอดี ก็ทำเอาหลายคนตกอกตกใจว่าจะเกิดเหตุซ้ำรอยหรือเปล่า

แต่สำหรับวันนี้ ใครไปเยือนชุมชนท่ามะโอ เมืองลำปาง คงไม่ต้องห่วงอีกแล้ว เพราะปัจจุบัน “บ้านหลุยส์ ที เลียวโนเวนส์” ได้รับการบูรณะเป็นอย่างดีเสร็จสมบูรณ์ 100% ผ่านการซ่อมแซมให้แข็งแรงขึ้น เพราะมีการเสริมเหล็กยึดในจุดต่างๆที่เคยชำรุด เสริมคานเพดานที่ถูกปลวกกัดกินไปพร้อมทั้งเปลี่ยนฝ้าเพดาน ส่วนสิ่งของเครื่องใช้เก่าก็ยังคงนำเก็บไว้จัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ของชุมชน

หลังจากได้รับการบูรณะซ่อมแซมครั้งใหญ่ ช่วงระหว่างปี 2563-2564 ภาพความงามที่ปรากฏในวันนี้จึงเป็นบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้สองชั้น หลังคาทรงปั้นหยาสไตล์โคโลเนียล ด้านหน้ามีมุขเจ็ดเหลี่ยม ยื่นออกมาเจ็ดด้าน ใต้ถุนมุขเปิดโล่ง ด้านล่างก่ออิฐถือปูนหนาหลายชั้น โดยชั้นบนเป็นเรือนไม้ ชั้นล่างมีประตูเข้าหน้าบ้าน เป็นซุ้มโค้งแบบฝรั่ง พร้อมช่องแสงระบายอากาศ ไม้ฉลุลายละเอียดประณีตสวยงาม พร้อมทั้งมีกิจกรรมต่างๆ เพื่อเสริมให้บ้านยังมีชีวิต มีสีสันความเคลื่อนไหวดึงดูดให้ผู้สนใจได้แวะเวียนมาเยี่ยมชมไม่เคยขาด
cats 53.jpg (112.07 KiB) เข้าดูแล้ว 1218 ครั้ง
DSC_6146.JPG
DSC_6146.JPG (79.39 KiB) เข้าดูแล้ว 1218 ครั้ง
ประวัติบ้านหลุยส์ ที เลียวโนเวนส์<br />บ้านหลังนี้ แต่เดิมเป็นบ้านของนายหลุยส์ โทมัส เลียวโนเวนส์ (Louis Thomas Leonowens) บุตรชายของนางแอนนา เลียวโนเวนส์ หรือ แหม่มแอนนา ที่คนไทยคุ้นหู ผู้เป็นครูสอนภาษาอังกฤษในราชสำนักของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔<br /><br />หลังจากสำเร็จการศึกษาในยุโรปแล้ว นายหลุยส์ได้กลับเข้ามาในสยามอีกครั้ง และเริ่มเข้าสู่วงการค้าไม้ โดยได้รับแต่งตั้งเป็นตัวแทนของบริษัท บริติชบอร์เนียว ในการเจรจาขอรับอนุญาตทำป่าไม้ประจำเมืองระแหง (ปัจจุบันคืออำเภอหนึ่งในจังหวัดตาก) ต่อมา ก็ได้เปิดบริษัทค้าขายทั่วไปของตัวเองที่เชียงใหม่ และได้ย้ายบริษัทมาตั้งที่ลำปางเมื่อ พ.ศ. 2442 พร้อมทั้งได้รับสัมปทานทำป่าไม้ด้วย<br /><br />ดังนั้น บ้านหลังนี้จึงปลูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นทั้งที่พักของนายหลุยส์และอาคารสำนักงานของเขาที่ลำปาง จนเมื่อเขาเสียชีวิตที่อังกฤษในปี พ.ศ. 2462 กรมป่าไม้จึงได้รับมอบโอนกิจการทำไม้ของบริษัท บริติช บอร์เนียว จำกัด และบริษัทหลุยส์ ตี. เลียวโนเวนส์ รวมถึงบ้านหลังนี้ด้วย<br /><br />ใน พ.ศ. 2482 บ้านหลังนี้จึงกลายเป็นอาคารที่ทำการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ในระยะหนึ่ง และต่อมาได้กลายเป็นบ้านพักสำหรับพนักงาน จนกระทั่งพนักงานลดจำนวนลง จึงไม่มีผู้พักอาศัยอีก และทรุดโทรมไปตามกาลเวลา แต่ก็ได้รับการบูรณะเก็บรักษาไว้ โดยการบูรณะครั้งใหญ่เมื่อปี 2563-2564 ที่ผ่านมา<br /><br />ปัจจุบันบ้านหลุยส์ ที เลียวโนเวนส์ อยู่ในความดูแลขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ภาคเหนือบน ตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านพักองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) ลำปาง ถนนป่าไม้ เขตชุมชนท่ามะโอ ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมือง เขตเทศบาลนครลำปาง<br /><br />และถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่ให้ความรู้ทั้งด้านประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม การอนุรักษ์ รวมถึงวิถีของชุมชนเก่าที่งดงามของนครลำปาง
ประวัติบ้านหลุยส์ ที เลียวโนเวนส์
บ้านหลังนี้ แต่เดิมเป็นบ้านของนายหลุยส์ โทมัส เลียวโนเวนส์ (Louis Thomas Leonowens) บุตรชายของนางแอนนา เลียวโนเวนส์ หรือ แหม่มแอนนา ที่คนไทยคุ้นหู ผู้เป็นครูสอนภาษาอังกฤษในราชสำนักของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔

หลังจากสำเร็จการศึกษาในยุโรปแล้ว นายหลุยส์ได้กลับเข้ามาในสยามอีกครั้ง และเริ่มเข้าสู่วงการค้าไม้ โดยได้รับแต่งตั้งเป็นตัวแทนของบริษัท บริติชบอร์เนียว ในการเจรจาขอรับอนุญาตทำป่าไม้ประจำเมืองระแหง (ปัจจุบันคืออำเภอหนึ่งในจังหวัดตาก) ต่อมา ก็ได้เปิดบริษัทค้าขายทั่วไปของตัวเองที่เชียงใหม่ และได้ย้ายบริษัทมาตั้งที่ลำปางเมื่อ พ.ศ. 2442 พร้อมทั้งได้รับสัมปทานทำป่าไม้ด้วย

ดังนั้น บ้านหลังนี้จึงปลูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นทั้งที่พักของนายหลุยส์และอาคารสำนักงานของเขาที่ลำปาง จนเมื่อเขาเสียชีวิตที่อังกฤษในปี พ.ศ. 2462 กรมป่าไม้จึงได้รับมอบโอนกิจการทำไม้ของบริษัท บริติช บอร์เนียว จำกัด และบริษัทหลุยส์ ตี. เลียวโนเวนส์ รวมถึงบ้านหลังนี้ด้วย

ใน พ.ศ. 2482 บ้านหลังนี้จึงกลายเป็นอาคารที่ทำการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ในระยะหนึ่ง และต่อมาได้กลายเป็นบ้านพักสำหรับพนักงาน จนกระทั่งพนักงานลดจำนวนลง จึงไม่มีผู้พักอาศัยอีก และทรุดโทรมไปตามกาลเวลา แต่ก็ได้รับการบูรณะเก็บรักษาไว้ โดยการบูรณะครั้งใหญ่เมื่อปี 2563-2564 ที่ผ่านมา

ปัจจุบันบ้านหลุยส์ ที เลียวโนเวนส์ อยู่ในความดูแลขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ภาคเหนือบน ตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านพักองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) ลำปาง ถนนป่าไม้ เขตชุมชนท่ามะโอ ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมือง เขตเทศบาลนครลำปาง

และถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่ให้ความรู้ทั้งด้านประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม การอนุรักษ์ รวมถึงวิถีของชุมชนเก่าที่งดงามของนครลำปาง
DSC_6133.JPG (139.74 KiB) เข้าดูแล้ว 1218 ครั้ง
DSC_6134.JPG
DSC_6134.JPG (114.02 KiB) เข้าดูแล้ว 1218 ครั้ง
DSC_6135.JPG
DSC_6135.JPG (111.72 KiB) เข้าดูแล้ว 1218 ครั้ง
DSC_6136.JPG
DSC_6137.JPG
DSC_6138.JPG
DSC_6138.JPG (86.07 KiB) เข้าดูแล้ว 1218 ครั้ง
DSC_6139.JPG
DSC_6140.JPG
DSC_6141.JPG
DSC_6142.JPG
DSC_6143.JPG
DSC_6144.JPG
DSC_6145.JPG
DSC_6145.JPG (92.49 KiB) เข้าดูแล้ว 1218 ครั้ง
DSC_6147.JPG
DSC_6147.JPG (61.45 KiB) เข้าดูแล้ว 1218 ครั้ง
DSC_6148.JPG
DSC_6148.JPG (108.05 KiB) เข้าดูแล้ว 1218 ครั้ง
หลุยส์ ทอมัส กันนิส ลีโอโนเวนส์ (อังกฤษ: Louis Thomas Gunnis Leonowens; 25 ตุลาคม 1856 – 17 กุมภาพันธ์ 1919) นักธุรกิจชาวอังกฤษผู้เป็นบุตรชายของแอนนา ลีโอโนเวนส์ หรือ แหม่มแอนนา พระอาจารย์สอนภาษาอังกฤษของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งทั้งสองเป็นตัวละครเอกในนวนิยายเรื่อง แอนนาและพระเจ้าแห่งกรุงสยาม ที่ตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. 1944<br /><br />หลุยส์ ที. ลีโอโนเวนส์เกิด25 ตุลาคม ค.ศ. 1856เสียชีวิต17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1919 (62 ปี 115 วัน)ลอนดอน<br /><br />เดินทางมาสยามพร้อมมารดาเมื่ออายุ 7 ปี ในเวลาต่อมาหลุยส์ได้เข้ารับราชการเป็นทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ก่อนจะลาออกจากราชการมาเปิดบริษัทแลกเปลี่ยนสินค้าที่ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบันคือ บริษัท หลุยส์ ที. ลีโอโนเวนส์ จำกัด<br /><br />ใน ค.ศ. 1881 ขณะอายุได้ 25 ปี หลุยส์เดินทางกลับมายังสยามอีกครั้งหลังเดินทางออกจากสยามไปหลายปีโดยได้รับตำแหน่งกัปตันในกองทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาใน ค.ศ. 1884 เขาลาออกจากกองทัพและเริ่มต้นธุรกิจค้าไม้สักกระทั่ง ค.ศ. 1905 หลุยส์ได้ตั้งบริษัท หลุยส์ โทมัส ลีโอโนเวนส์ จำกัดขึ้นก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น หลุยส์ ที. ลีโอโนเวนส์ จำกัด ในภายหลัง เป็นธุรกิจสัมปทานไม้สัก รับเป็นผู้แทนบริษัทผลิตซีเมนต์ นำเข้าแชมเปญ วิสกี้ เครื่องพิมพ์ดีด ผลิตภัณฑ์ด้านวิศวกรรม และธุรกิจประกันภัย และได้เดินทางออกจากสยามเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อ ค.ศ. 1913 โดยมิได้เดินทางกลับมายังสยามอีกเลยจนสิ้นชีวิต<br /><br />หลุยส์ โทมัส กันนิส ลีโอโนเวนส์แต่งงานทั้งหมด 2 ครั้งกับ<br /><br />แคโรไลน์ น็อกซ์ (1856–1893) บุตรสาวคนเล็กของเซอร์โทมัส ยอร์ช น็อกซ์ กงสุลอังกฤษประจำสยามผู้มีชีวิตอยู่ระหว่าง 1824 ถึง 1887 และภรรยา ปราง เย็น สตรีชั้นสูงชาวสยาม ทั้งคู่มีบุตรชาย 1 คนคือ โทมัส (&quot;ยอร์ช&quot;) น็อกซ์ ลีโอโนเวนส์ (1888–1953) ซึ่งตั้งชื่อตามผู้เป็นตาและบุตรสาว 1 คนคือ แอนนา แฮร์เรียต ลีโอโนเวนส์ (1890–?) ซึ่งตั้งชื่อตามผู้เป็นย่ารีตาเมย์ (1880–1936) แต่งงานเมื่อ ค.ศ. 1900 ทั้งคู่ไม่มีบุตร–ธิดาด้วยกัน<br /><br />หลุยส์ ที. ลีโอโนเวนส์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1919 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษระหว่างเกิดการระบาดใหญ่ทั่วโลกของไข้หวัดใหญ่สเปน โดยศพของเขาถูกฝังเคียงข้างกับภรรยาคนที่สองที่สุสานบรอมพ์ตันในกรุงลอนดอน<br /><br />Cr.วิกิพีเดีย
หลุยส์ ทอมัส กันนิส ลีโอโนเวนส์ (อังกฤษ: Louis Thomas Gunnis Leonowens; 25 ตุลาคม 1856 – 17 กุมภาพันธ์ 1919) นักธุรกิจชาวอังกฤษผู้เป็นบุตรชายของแอนนา ลีโอโนเวนส์ หรือ แหม่มแอนนา พระอาจารย์สอนภาษาอังกฤษของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งทั้งสองเป็นตัวละครเอกในนวนิยายเรื่อง แอนนาและพระเจ้าแห่งกรุงสยาม ที่ตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. 1944

หลุยส์ ที. ลีโอโนเวนส์เกิด25 ตุลาคม ค.ศ. 1856เสียชีวิต17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1919 (62 ปี 115 วัน)ลอนดอน

เดินทางมาสยามพร้อมมารดาเมื่ออายุ 7 ปี ในเวลาต่อมาหลุยส์ได้เข้ารับราชการเป็นทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ก่อนจะลาออกจากราชการมาเปิดบริษัทแลกเปลี่ยนสินค้าที่ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบันคือ บริษัท หลุยส์ ที. ลีโอโนเวนส์ จำกัด

ใน ค.ศ. 1881 ขณะอายุได้ 25 ปี หลุยส์เดินทางกลับมายังสยามอีกครั้งหลังเดินทางออกจากสยามไปหลายปีโดยได้รับตำแหน่งกัปตันในกองทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาใน ค.ศ. 1884 เขาลาออกจากกองทัพและเริ่มต้นธุรกิจค้าไม้สักกระทั่ง ค.ศ. 1905 หลุยส์ได้ตั้งบริษัท หลุยส์ โทมัส ลีโอโนเวนส์ จำกัดขึ้นก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น หลุยส์ ที. ลีโอโนเวนส์ จำกัด ในภายหลัง เป็นธุรกิจสัมปทานไม้สัก รับเป็นผู้แทนบริษัทผลิตซีเมนต์ นำเข้าแชมเปญ วิสกี้ เครื่องพิมพ์ดีด ผลิตภัณฑ์ด้านวิศวกรรม และธุรกิจประกันภัย และได้เดินทางออกจากสยามเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อ ค.ศ. 1913 โดยมิได้เดินทางกลับมายังสยามอีกเลยจนสิ้นชีวิต

หลุยส์ โทมัส กันนิส ลีโอโนเวนส์แต่งงานทั้งหมด 2 ครั้งกับ

แคโรไลน์ น็อกซ์ (1856–1893) บุตรสาวคนเล็กของเซอร์โทมัส ยอร์ช น็อกซ์ กงสุลอังกฤษประจำสยามผู้มีชีวิตอยู่ระหว่าง 1824 ถึง 1887 และภรรยา ปราง เย็น สตรีชั้นสูงชาวสยาม ทั้งคู่มีบุตรชาย 1 คนคือ โทมัส ("ยอร์ช") น็อกซ์ ลีโอโนเวนส์ (1888–1953) ซึ่งตั้งชื่อตามผู้เป็นตาและบุตรสาว 1 คนคือ แอนนา แฮร์เรียต ลีโอโนเวนส์ (1890–?) ซึ่งตั้งชื่อตามผู้เป็นย่ารีตาเมย์ (1880–1936) แต่งงานเมื่อ ค.ศ. 1900 ทั้งคู่ไม่มีบุตร–ธิดาด้วยกัน

หลุยส์ ที. ลีโอโนเวนส์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1919 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษระหว่างเกิดการระบาดใหญ่ทั่วโลกของไข้หวัดใหญ่สเปน โดยศพของเขาถูกฝังเคียงข้างกับภรรยาคนที่สองที่สุสานบรอมพ์ตันในกรุงลอนดอน

Cr.วิกิพีเดีย
DSC_6149.JPG (96.33 KiB) เข้าดูแล้ว 1218 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D สวัสดียามเย็น ๆ ท่านผู้มีเกียรติและญาติธรรมที่เคารพทุกท่าน เมื่อปี ๒๕๖๕ ผมไปหมั้นหมายสาว กทม.ให้ลูกชายบุญธรรมของผม ปีนี้ได้ฤกษ์ถึงเวลาที่ทั้งสองจะได้อยู่กินกันเยี่ยงสามีภรรยา ทั้งคู่ได้เลือกสถานที่ ๆ จะทำพิธีมงคลสมรส ณ ที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ ครั้งแรกที่ลูกชายโทร ฯ มาบอกกล่าว ผมยังไม่เชื่อว่า "จริงหรือ?" เมื่อได้เข้าค้นหาในยูทูป ปรากฏเป็นเรื่องจริง ๆ ด้วย (แปลกใจในครั้งแรก) พอเข้าไปชม บอกได้คำเดียวว่า "ถูกใจพ่อกับแม่มาก ๆ "

อาจจะมีอีกหลาย ๆ ท่านที่คงไม่เคยได้ทราบเรื่องราวเหมือนผมและคุณนาย เอาเป็นว่าผมได้นำคลิปวีดีโอที่มีคนทำไว้มาให้ได้ชมกัน พร้อมนี้ก็แถมด้วยภาพวันงานของลูกทั้งสอง(มือสมัครเล่น) เก็บมาให้ได้ชมกันนะครับ..เชิญชมได้ครับ


:idea: :idea: วัดชลประทานก็รับจัดงานแต่งนะคะ :idea: :idea:

:) :D งานมงคลสมรส สุธีร์ ลูกชาย :) :D
ไฟล์แนบ
33954.jpg
33954.jpg (146.49 KiB) เข้าดูแล้ว 1128 ครั้ง
เมื่อ ๘ พ.ค. ๒๕๖๕ เป็นงานหมั้นหมาย ที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน งานจัดขึ้นที่บ้านเจ้าสาว กทม.ครับ
เมื่อ ๘ พ.ค. ๒๕๖๕ เป็นงานหมั้นหมาย ที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน งานจัดขึ้นที่บ้านเจ้าสาว กทม.ครับ
33955.jpg (134.12 KiB) เข้าดูแล้ว 1128 ครั้ง
269549.jpg
269549.jpg (62.3 KiB) เข้าดูแล้ว 1128 ครั้ง
269550.jpg
269550.jpg (62.98 KiB) เข้าดูแล้ว 1128 ครั้ง
269551.jpg
วันที่ ๒๘ / ๔ / ๖๖ เดินทางโดยสายการบินเวียตเจตจากสนามบินเชียงใหม่ - สนามบินสุวรรณภูมิ์ ลูกชายไปรับที่สนามบิน
วันที่ ๒๘ / ๔ / ๖๖ เดินทางโดยสายการบินเวียตเจตจากสนามบินเชียงใหม่ - สนามบินสุวรรณภูมิ์ ลูกชายไปรับที่สนามบิน
351383.jpg (149.05 KiB) เข้าดูแล้ว 1128 ครั้ง
ร่วมกันตรวจสอบความพร้อมของงานก่อนวันจริง ในวันรุ่งขึ้น (ทุกอย่างพร้อม)
ร่วมกันตรวจสอบความพร้อมของงานก่อนวันจริง ในวันรุ่งขึ้น (ทุกอย่างพร้อม)
351382.jpg (143.88 KiB) เข้าดูแล้ว 1128 ครั้ง
เช้าวันที่ ๒๙ / ๔ / ๖๖ คู่บ่าวสาวตักบาตรถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์
เช้าวันที่ ๒๙ / ๔ / ๖๖ คู่บ่าวสาวตักบาตรถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์
345757.jpg (143.39 KiB) เข้าดูแล้ว 1128 ครั้ง
เวลา ๐๙.๐๐ น.พิธีแห่ขันหมากไปหาเจ้าสาวซึ่งซ่อนตัวอยู่ในห้องพิธี
เวลา ๐๙.๐๐ น.พิธีแห่ขันหมากไปหาเจ้าสาวซึ่งซ่อนตัวอยู่ในห้องพิธี
351381.jpg (112.63 KiB) เข้าดูแล้ว 1128 ครั้ง
เมื่อเจ้าบ่าวถึงบริเวณพิธี ได้เข้ามอบสินสอดทองหมั้นทั้งหมดให้ทางฝ่าย พ่อ-แม่ เจ้าสาวตรวจสอบ และรับไหว้ จากนั้นฝ่ายเจ้าสาวจึงได้พาไปพบเจ้าสาว และทั้งคู่ได้จูงมือกันมาในบริเวณพิธี พากันมากราบคุณพ่อ คุณแม่ ทั้งสองฝ่ายเพื่อขอขมาพร้อมขอพร จากนั้นเป็นโอกาสของหมู่ญาติพี่น้องได้เข้ามาร่วมอวยพร และรับของไหว้จากคู่บ่าวสาว<br /><br />เสร็จพิธีทางโลกเป็นพิธีทางธรรม โดยเจ้าบ่าวเจ้าสาว ร่วมกันจุดเทียนธูปบูชาพระรัตนตรัย รับศีล ๕ จากพระสงฆ์ พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ เสร็จจากเจริญพระพุทธมนต์ประธานสงฆ์ ได้ให้โอวาทเกี่ยวกับการครองรักครองเรือน ครองตน ในแบบของชาวพุทธที่แท้จริง พร้อมให้คู่มือและหนังสือแก่คู่บ่าวสาวเป็นที่ระลึก จากนั้นเจ้าบ่าวเจ้าสาวถวายภัตตาหารเพลและปัจจัยแด่พระภิกษุสงฆ์ พระภิกษุสงฆ์ให้พรและประพรมน้ำพระพุทธมนต์ เป็นเสร็จพิธี <br /><br />(ในฐานะพ่อแม่ของเจ้าบ่าวเจ้าสาว สองฝ่ายปลื้มใจ ดีใจ มีความสุขมาก เหมือนเราได้พาญาติสนิทมิตรสหายมาเข้าวัดฟังธรรมและเจริญพระพุทธมนต์ครับ)<br /><br />เมื่อพิธีสงฆ์เสร็จสิ้น เจ้าบ่าวเจ้าสาวได้เรียนเชิญแขกผู้มีเกียรติ ที่มาในงาน ร่วมรับประทานอาหารกลางวัน งานเสร็จเรียบร้อยด้วย ความเรียบ ง่าย ประหยัด ไม่มีสิ่งมึนเมาใด ๆ เป็นการเริ่มต้นชีวิตคู่ที่สมบูรณ์ที่สุด
เมื่อเจ้าบ่าวถึงบริเวณพิธี ได้เข้ามอบสินสอดทองหมั้นทั้งหมดให้ทางฝ่าย พ่อ-แม่ เจ้าสาวตรวจสอบ และรับไหว้ จากนั้นฝ่ายเจ้าสาวจึงได้พาไปพบเจ้าสาว และทั้งคู่ได้จูงมือกันมาในบริเวณพิธี พากันมากราบคุณพ่อ คุณแม่ ทั้งสองฝ่ายเพื่อขอขมาพร้อมขอพร จากนั้นเป็นโอกาสของหมู่ญาติพี่น้องได้เข้ามาร่วมอวยพร และรับของไหว้จากคู่บ่าวสาว

เสร็จพิธีทางโลกเป็นพิธีทางธรรม โดยเจ้าบ่าวเจ้าสาว ร่วมกันจุดเทียนธูปบูชาพระรัตนตรัย รับศีล ๕ จากพระสงฆ์ พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ เสร็จจากเจริญพระพุทธมนต์ประธานสงฆ์ ได้ให้โอวาทเกี่ยวกับการครองรักครองเรือน ครองตน ในแบบของชาวพุทธที่แท้จริง พร้อมให้คู่มือและหนังสือแก่คู่บ่าวสาวเป็นที่ระลึก จากนั้นเจ้าบ่าวเจ้าสาวถวายภัตตาหารเพลและปัจจัยแด่พระภิกษุสงฆ์ พระภิกษุสงฆ์ให้พรและประพรมน้ำพระพุทธมนต์ เป็นเสร็จพิธี

(ในฐานะพ่อแม่ของเจ้าบ่าวเจ้าสาว สองฝ่ายปลื้มใจ ดีใจ มีความสุขมาก เหมือนเราได้พาญาติสนิทมิตรสหายมาเข้าวัดฟังธรรมและเจริญพระพุทธมนต์ครับ)

เมื่อพิธีสงฆ์เสร็จสิ้น เจ้าบ่าวเจ้าสาวได้เรียนเชิญแขกผู้มีเกียรติ ที่มาในงาน ร่วมรับประทานอาหารกลางวัน งานเสร็จเรียบร้อยด้วย ความเรียบ ง่าย ประหยัด ไม่มีสิ่งมึนเมาใด ๆ เป็นการเริ่มต้นชีวิตคู่ที่สมบูรณ์ที่สุด
345758.jpg (149.67 KiB) เข้าดูแล้ว 1128 ครั้ง
351391.jpg
351391.jpg (149.08 KiB) เข้าดูแล้ว 1128 ครั้ง
133975.jpg
133975.jpg (76.06 KiB) เข้าดูแล้ว 1128 ครั้ง
133976.jpg
133976.jpg (81.48 KiB) เข้าดูแล้ว 1128 ครั้ง
หลังจากที่ส่งแขกกลับกันหมด ก็ได้เวลาที่เราพากันขึ้นไปยังชั้น ๓ ชั้น ๕ เพื่อไปศึกษาและชมนิทัศการที่ทางวัดจัดไว้ให้สาธุชนเข้าศึกษาหาความรู้ ทุกชั้นจะมีพระสงฆ์ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องและภาพต่าง ๆ สุดยอดจริง ๆ ครับ ใครที่ยังไม่ได้ไปชมหาเวลาพาลูกพาหลานไปศึกษาหาความรู้ได้ครับ<br /><br />เป็นบุญและวาสนาของเรา พ่อ - แม่ - ลูก ที่มีโอกาสได้เห็นได้จับต้องพระไตรปิฏกที่อยู่ในห้อง จำนวนถึง ๑๕ ภาษา แต่ก่อนแต่ไรก็เห็นแค่พระไตรปิฏกฉบับภาษาไทยเท่านั้น (มีไว้ประจำบ้านหนึ่งชุดครับ)
หลังจากที่ส่งแขกกลับกันหมด ก็ได้เวลาที่เราพากันขึ้นไปยังชั้น ๓ ชั้น ๕ เพื่อไปศึกษาและชมนิทัศการที่ทางวัดจัดไว้ให้สาธุชนเข้าศึกษาหาความรู้ ทุกชั้นจะมีพระสงฆ์ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องและภาพต่าง ๆ สุดยอดจริง ๆ ครับ ใครที่ยังไม่ได้ไปชมหาเวลาพาลูกพาหลานไปศึกษาหาความรู้ได้ครับ

เป็นบุญและวาสนาของเรา พ่อ - แม่ - ลูก ที่มีโอกาสได้เห็นได้จับต้องพระไตรปิฏกที่อยู่ในห้อง จำนวนถึง ๑๕ ภาษา แต่ก่อนแต่ไรก็เห็นแค่พระไตรปิฏกฉบับภาษาไทยเท่านั้น (มีไว้ประจำบ้านหนึ่งชุดครับ)
133972.jpg (88.03 KiB) เข้าดูแล้ว 1128 ครั้ง
346566.jpg
346566.jpg (114.51 KiB) เข้าดูแล้ว 1128 ครั้ง
ลูกชายและสะใภ้พา พ่อ - แม่ และหลานน้อยไปพักผ่อนที่บางแสนเล่นน้ำทะเล เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ไม่ได้ไปทะเล รู้สึกเปลี่ยนแปลงไปมาก
ลูกชายและสะใภ้พา พ่อ - แม่ และหลานน้อยไปพักผ่อนที่บางแสนเล่นน้ำทะเล เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ไม่ได้ไปทะเล รู้สึกเปลี่ยนแปลงไปมาก
346794.jpg (116.55 KiB) เข้าดูแล้ว 1128 ครั้ง
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำน่าสนใจมาก ๆ อลังการงานสร้างจริง ๆ ครับ
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำน่าสนใจมาก ๆ อลังการงานสร้างจริง ๆ ครับ
133974.jpg (118.89 KiB) เข้าดูแล้ว 1128 ครั้ง
351389.jpg
351389.jpg (132.28 KiB) เข้าดูแล้ว 1128 ครั้ง
351388.jpg
351388.jpg (110.06 KiB) เข้าดูแล้ว 1128 ครั้ง
เสร็จภารกิจเราเดินทางกลับโดยขบวนรถไฟเพื่อให้เจ้าตัวน้อยได้มีประสบการณ์ชีวิตครับ
เสร็จภารกิจเราเดินทางกลับโดยขบวนรถไฟเพื่อให้เจ้าตัวน้อยได้มีประสบการณ์ชีวิตครับ
351387.jpg (131.88 KiB) เข้าดูแล้ว 1128 ครั้ง
แก้ไขล่าสุดโดย Deang-sarapee เมื่อ 12 พ.ค. 2023, 19:42, แก้ไขแล้ว 6 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D
ไฟล์แนบ
351386.jpg
351386.jpg (129.52 KiB) เข้าดูแล้ว 1128 ครั้ง
351384.jpg
351384.jpg (122.2 KiB) เข้าดูแล้ว 1128 ครั้ง
351385.jpg
351385.jpg (139.61 KiB) เข้าดูแล้ว 1128 ครั้ง
รถด่วนขบวนพิเศษ (อุตรวิถี) ได้พาเราสามคนปู่-ย่า - หลานน้อย กลับถึงบ้านด้วยความสุขและปลอดภัย  ต่อจากนี้ไปลูกทั้งสองต้องใช้ชีวิตร่วมกัน &quot;อดทน อดกลั้น อดออม&quot; ให้สมกับที่ท่านประธานสงฆ์ได้มีเมตตาเทศนาให้ฟัง จงจำคำอบรมสั่งสอนนี้และยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จะได้ประสบความสุข ความสำเร็จ นำพาชีวิตลูกทั้งสองไปสู่ &quot;ไม้เท้ายอดทอง ตระบองยอดเพชร&quot;  พ่อ-แม่ ขออวยพรและเป็นกำลังใจให้ลูกตลอดไป รักและโชคดีนะลูกทั้งสอง.
รถด่วนขบวนพิเศษ (อุตรวิถี) ได้พาเราสามคนปู่-ย่า - หลานน้อย กลับถึงบ้านด้วยความสุขและปลอดภัย ต่อจากนี้ไปลูกทั้งสองต้องใช้ชีวิตร่วมกัน "อดทน อดกลั้น อดออม" ให้สมกับที่ท่านประธานสงฆ์ได้มีเมตตาเทศนาให้ฟัง จงจำคำอบรมสั่งสอนนี้และยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จะได้ประสบความสุข ความสำเร็จ นำพาชีวิตลูกทั้งสองไปสู่ "ไม้เท้ายอดทอง ตระบองยอดเพชร" พ่อ-แม่ ขออวยพรและเป็นกำลังใจให้ลูกตลอดไป รักและโชคดีนะลูกทั้งสอง.
351390.jpg (85.47 KiB) เข้าดูแล้ว 1128 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: คนรุ่นผมถูกคนหนุ่มคนสาวสมัยนี้เรียกว่าเป็นไดโนเสาร์ ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุผลกลใด แต่วันนี้จะมาเล่าถึง “วิถีชีวิต” ที่ต่างกันของคนแต่ละวัย

คนรุ่นพ่อผม หรือจะเรียกว่ารุ่นพ่อไดโนเสาร์ ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ประมาณอายุว่าสัก ๙๐ ปีขึ้นไป คนรุ่นนั้นส่วนมากการศึกษาไม่สูงมากนัก ทำงานรายได้ก็ไม่มาก ชีวิตจึงก้มหน้าก้มตาทำงาน ใช้เงินน้อย ๆ เก็บหอมรอมริบ อยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ กระเบียดกระเสียร เพื่อให้ลูกได้เรียนมีการศึกษา จะได้ไม่ลำบากเหมือนรุ่นตัวเอง

พอถึงวันหยุดก็จะอยู่บ้าน ผู้หญิงก็ทำงานบ้าน ซักผ้า รีดผ้า ทำกับข้าวกินกันภายในครอบครัว ผู้ชายก็ปลูกต้นไม้ รดน้ำต้นไม้ วันไหนพิเศษหน่อยก็พาลูกไปเที่ยวสวนสัตว์เขาดินวนา นาน ๆ สักครั้งหากมีหนังโปรแกรมถูกใจจึงจะพาลูกพาเมียไปดูหนัง การพักผ่อนหย่อนใจมีแค่นี้ สิ่งยั่วใจมีไม่มาก

มาถึงคนรุ่นผม อายุก็ตั้งแต่เจ็ดสิบกลาง ๆ ลงไปจนถึงสักหกสิบ คนรุ่นนี้การศึกษาเริ่มสูงขึ้น เพราะพ่อแม่อดออมส่งเสียให้เรียน พ่อแม่ไดโนเสาร์มักจะคิดกันว่า เรียนหนังสือสูง ๆ จะได้ไม่ลำบาก จะได้เป็นเจ้าคนนายคน ไดโนเสาร์รุ่นผมจึงเริ่มเรียนจบปริญญาตรี จบเตรียมทหารกันมากขึ้น อย่างน้อยก็จบอาชีวะ ปวช. ปวส. อ่านออกเขียนได้แตกฉาน เมื่อไดโนเสาร์มีครอบครัว ก็ก้มหน้าก้มตาทำงานแข่งขันกันเพื่อให้ตัวเองมีตำแหน่งสูงขึ้น มีรายได้มากขึ้น ในช่วงกลาง ๆ ของชีวิตถึงขนาด “แบกจ๊อบ ทำโอที กันหามรุ่งหามค่ำ” เพื่อหาเงินให้ลูก ๆ อีกทอดหนึ่ง เพราะรุ่นลูกของไดโนเสาร์เพียงแค่ได้เรียน ได้จบการศึกษามันไม่พอเสียแล้ว มันต้องเรียนโรงเรียนดัง มันต้องจบมหาวิทยาลัยชั้นนำ มันต้องให้ลูกได้ไปเรียนเมืองนอก

เศรษฐกิจของโลกเริ่มเปิดกว้าง ธุรกิจการค้าเริ่มมีการแข่งขันกับต่างชาติที่เข้ามาปักหลักกันมากขึ้น ไดโนเสาร์รุ่นผมจึงหวังว่า “อย่างน้อยลูก ๆ ต้องได้ภาษาอังกฤษด้วย” พ่อแม่จึงกัดฟันทำงานจนล้มป่วยไปตาม ๆ กัน

ไหนจะต้องมีบ้านจัดสรรงาม ๆ ถ้าอยู่ทาวน์เฮาส์ก็ต้องขยับไปอยู่บ้านเดี่ยวให้ได้ แล้วยังจะต้องมีรถยนต์ส่วนตัว มีรถยนต์ให้ลูกขับไปเรียนหนังสืออีก

การก้มหน้าก้มตาทำงานหา เงินในคนรุ่นผม ถึงขนาดมีสปอตโฆษณาลูกน้อยยืนเกาะรั้วหน้าบ้านในเวลายามค่ำ เพื่อรอพ่อรอแม่กลับบ้านมากอด ๕๕๕๕๕๕

การพักผ่อนหย่อนใจของไดโนเสาร์รุ่นผม คือเมื่อถึงเทศกาลมีวันหยุด ก็พาครอบ ครัวไปเที่ยวเชียง ใหม่ ไปเที่ยวหัวหิน ไปเที่ยวภูเก็ต หรือไปสมุย เท่านี้ก็สุดแสนจะหรูหราแล้ว เพราะแม้ว่าบางคนจะมีเงินก็ไม่มีเวลา ด้วยว่าต้องทำงานหาเงินกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง

มาถึงคนรุ่นปัจจุบันอายุไม่เกินสามสิบ หรือเอาว่าตั้งแต่ ๒๕ ลงมาก็ว่าได้ ถ้าพ่อแม่แต่งงานช้าหรือมีลูกช้า พ่อแม่ก็คงใกล้เคียงรุ่นผม ถ้าพ่อแม่แต่งงานเร็วก็เป็นลำดับชั้นหลานไดโนเสาร์ของรุ่นผม คนรุ่นนี้ชีวิตไม่ต้องต่อสู้อะไรแล้ว เพราะพ่อแม่หรือปู่ย่าตายาย กัดฟันทำงานจนล้มป่วยด้วยหลากหลายโรค หาไว้ให้หมดแล้ว ได้เรียนในโรงเรียนดีดี ทุกเสาร์อาทิตย์ได้ไปเดินห้างสรรพสินค้า ได้ไปกินของตามย่านหรูร้านดัง มีโทรศัพท์มือถือรุ่นล่าสุดติดมือตลอดเวลา เสื้อผ้าก็แบรนด์เนมหรูหราหมาเห่า เสาร์อาทิตย์ถ้าไม่ได้ไปเดินห้าง ก็ไปเรียนพิเศษ เรียนเปียโน เรียนว่ายน้ำ

ชีวิตจับกลุ่มกันซ้อมเต้นเล่นดนตรี กิจกรรมรื่นเริงบันเทิงใจ มีคอนเสิร์ทดัง ๆ ทั้งไทยและเทศมาก็ขอให้พ่อแม่ซื้อบัตรราคาเป็นพัน ๆ บาทให้ เมื่อชีวิตสุขสบายและว่างมาก จึงเริ่มหันมาด่าคนรุ่นไดโนเสาร์ ว่าวางกฎตีกรอบบ้า ๆ บอ ๆ จะให้ไปเที่ยวแค่สมุยภูเก็ตได้อย่างไร มันต้องไปเกาหลี ไปชินจูกุ ไปฮอคไกโด ไปยุโรป ถึงจะไม่น้อยหน้าเพื่อน ๆ ถึงจะคุยกับเพื่อน ๆรู้เรื่อง อยากรู้เรื่องอะไรก็เปิดคอมพิวเตอร์ ถามใครก็ไม่รู้ในคอมพิวเตอร์ ในโทรศัพท์ ต่างจากคนยุคไดโนเสาร์ที่หากต้องการรู้เรื่องอะไร ก็ไต่ถามจากพ่อแม่หรือถามจากครู ความสัมพันธ์ระหว่างวัยจึงแนบชิดกว่า

ในเมื่อคนยุค ๔ จี ๕ จี หาคำตอบจากใครที่ไหนก็ไม่รู้ที่ไม่มีตัวตน จึงกลายเป็นเชื่อถือเชื่อมันไว้ใจใครก็ได้ ที่สามารถบอกเล่าผ่านเครื่องมือได้ ที่ให้คำตอบผ่านเครื่องมือได้ และได้รับปุ๊บก็เชื่อว่าถูกต้อง ไว้วางใจทั้งทีไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยได้ยินเสียงด้วยซ้ำ มนุษย์ ๔ จี ๕ จี จึงโดนหลอกจากใครที่ไหนไม่รู้อยู่บ่อย ๆ วิถีชีวิตของคนยุคนี้ก็ต้องดิ้นรน แต่เป็นการดิ้นรนเพื่อที่จะได้ “คุยกับใครเขารู้เรื่อง”

เวลาเปลี่ยน วิถีชีวิตคนก็เปลี่ยน ครอบครัวไหนที่คนระหว่างวัยไม่แนบชิดกันเอาไว้ ทั้งทางความคิด, อารมณ์, ศีลธรรม, ศิลปะ, วัฒนธรรม ครอบครัวไหนที่ไม่มีความอบอุ่นอย่างจริงจัง คนในครอบครัวนั้น ๆ ก็มีโอกาสที่จะ “ห่างความสัมพันธ์ทางใจ” กันไปด้วย

เชิญกดไลค์กดแชร์เพจ มูลนิธิสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่ facebook https://m.facebook.com/yorsorsor/
:idea: :idea:

:) :D สวัสดีครับ ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ ไดโนเสาร์เยี่ยงผมหลังจากที่เสร็จภารกิจ จากงานแต่งของลูกชายก็กลับเชียงใหม่ พอกลับถึงบ้านสิ่งแรกเลยคือ ติดตามผลการหาเสียง ของแต่ละพรรคการเมืองอย่างสนุกสนาน จิตมันมีหน้าที่คิด ก็คิดไปตามที่เขาพูดเขาหาเสียง รู้สึกได้ "เศร้าใจจังครับ" มันโกหกตอแหลสิ้นดีบางพรรคน่าเกลียดสุด ๆ เรียกว่า "ศีลธรรมไม่มีเลยเอามันส์เข้าว่า" ยุค ๔ จี ๕ จี ไปกันถึงขนาดนี้แล้ว

การปกครองในโลกปัจจุบัน แบบประชาธิปไตยเป็นที่ยอมรับ ของคนทั้งโลก หลังจากที่ได้ติดตามการหาเสียงและดูโพลของแต่ละสำนัก วิสัยทัศน์นโยบาย ตลอดจนภูมิหลังของผู้ที่เสนอตัวเข้ามารับใช้ ปชช.คนอย่างพวกเรา พอที่จะสังเคราะห์ และนำเสนอเพื่อเป็นแนวทางในการออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งในครั้งนี้ได้ดังนี้

พรรคไหนที่จะทำให้ประชาชน มีความอยู่ดีกินดี มีศักดิ์มีศรี ไปแห่งหนตำบลใดในโลกไม่อายเขา ผลงานของแต่ละพรรคในอดีต พอที่จะทำให้เราตัดสินใจได้แน่นอน "ถ้าไม่โง่เกิน" อย่าหลงคารม สินบน หรือการลูบหน้าปะจมูก ขอให้จับ "ตอแหล" ให้ได้คนถ้ามันตอแหล จะไม่ประพฤติชั่วไม่มีในโลกครับ ยิ่งตอนนี้มุสา วาทา เวรมณี เต็มพื้นที่ประเทศไทยครับ ใครตอแหลน้อยที่สุด เลือกคนนั้นครับ
:lol: :lol:
ไฟล์แนบ
255449.jpg
255449.jpg (73.77 KiB) เข้าดูแล้ว 1077 ครั้ง
421361.jpg
จริง ๆ นะครับ สับสนจริง ๆ แต่ไม่เกินขีดความสามารถของเรานะครับ ที่จะเลือกเฟ้นแยกแยะคนไม่ดีได้ ง่าย ๆ ก็ดูที่ &quot;ตอแหล&quot; นั่นละครับ ส่วนพรรคก็เปรียบเทียบดู พรรคใดที่มีคนออกมาตอแหลเยอะ ๆ อย่าเลือกครับ จบ.
จริง ๆ นะครับ สับสนจริง ๆ แต่ไม่เกินขีดความสามารถของเรานะครับ ที่จะเลือกเฟ้นแยกแยะคนไม่ดีได้ ง่าย ๆ ก็ดูที่ "ตอแหล" นั่นละครับ ส่วนพรรคก็เปรียบเทียบดู พรรคใดที่มีคนออกมาตอแหลเยอะ ๆ อย่าเลือกครับ จบ.
1140731.jpg (48.41 KiB) เข้าดูแล้ว 1077 ครั้ง
เราไปเที่ยวลำปางกันต่อครับ หลังจากที่ชมบ้านฝรั่งหลุยส์ ที เลียวโนเวนส์ กันเสร็จเรียบร้อย ก็ปรึกษากันจะไปไหนดี หลานน้อยรีบบอกเราว่า &quot;ขอให้พาไปชมเปรต นรก ที่เคยพาไปอีกครั้ง&quot; นึกกันในรถตั้งนานอยู่ทีไหนหนอ ? ก็ขับรถออกตระเวนหา โชคดีครับเพียงไม่กี่นาทีก็มาเจอเปรตสูงมองจากถนนเห็นได้ หลานดีใจ ไปชมเปรตกันครับ
เราไปเที่ยวลำปางกันต่อครับ หลังจากที่ชมบ้านฝรั่งหลุยส์ ที เลียวโนเวนส์ กันเสร็จเรียบร้อย ก็ปรึกษากันจะไปไหนดี หลานน้อยรีบบอกเราว่า "ขอให้พาไปชมเปรต นรก ที่เคยพาไปอีกครั้ง" นึกกันในรถตั้งนานอยู่ทีไหนหนอ ? ก็ขับรถออกตระเวนหา โชคดีครับเพียงไม่กี่นาทีก็มาเจอเปรตสูงมองจากถนนเห็นได้ หลานดีใจ ไปชมเปรตกันครับ
DSC_6150.JPG (142.9 KiB) เข้าดูแล้ว 1077 ครั้ง
DSC_6151.JPG
DSC_6151.JPG (145.29 KiB) เข้าดูแล้ว 1077 ครั้ง
DSC_6152.JPG
DSC_6153.JPG
DSC_6153.JPG (145.35 KiB) เข้าดูแล้ว 1077 ครั้ง
DSC_6154.JPG
DSC_6155.JPG
DSC_6156.JPG
DSC_6156.JPG (126.21 KiB) เข้าดูแล้ว 1077 ครั้ง
DSC_6157.JPG
DSC_6157.JPG (133.06 KiB) เข้าดูแล้ว 1077 ครั้ง
นรกภูมิ  จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี<br /><br />นรกภูมิ หรือเรียกโดยย่อว่า &quot;นรก&quot; (บาลี: निरय, นิรย; สันสกฤต: नरक, นรก; จีน: 那落迦, นาเหลาเจี๋ย; ญี่ปุ่น: 地獄, จิโกะกุ; พม่า: ငရဲ, งาเย; มลายู: neraka เนอรากา) คือ ดินแดนหนึ่งซึ่งตามศาสนาพุทธเชื่อกันว่าผู้ทำบาปจะต้องไปเกิดทันทีหรือถูกลงโทษตามคำพิพากษาของพระยม<br /><br />ตามไตรภูมิพระร่วง นรกภูมิเป็นดินแดนหนึ่งในกามภพอันเป็นภพหนึ่งในภพทั้งสาม คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ รวมเรียกว่า &quot;ไตรภพ&quot; หรือ &quot;ไตรภูมิ&quot;<br /><br />นรกของทางพุทธศาสนาต่างจากนรกของทางตะวันตกในสองประการ คือ สัตว์โลกมิได้ถูกส่งตัวไปเกิดและลงโทษในนรกภูมิตามคำพิพากษาของเทพ แต่เป็นเพราะบาปกรรมที่ตนได้กระทำเมื่อมีชีวิต และระยะเวลาถูกลงโทษในนรกนั้นเป็นไปตามโทษานุโทษ มิได้ชั่วกัปชั่วกัลป์เหมือนอย่างนรกของฝรั่ง กระนั้นก็นานเอาการอยู่ ซึ่งเมื่อพ้นโทษจากนรกแล้วจะได้กลับไปเกิดในโลกที่สูงขึ้นตามแต่กรรมดีที่ได้กระทำไว้หรือตามแต่ผลกรรมที่เหลืออยู่ แล้วแต่กรณี<br /><br />ในไตรภูมิกถา<br />ตามจักรวาลวิทยาในศาสนาพุทธ นรกเป็นดินแดนหนึ่งซึ่งอยู่ใต้ชมพูทวีปหรือมนุษย์โลกลงไป และมี 9 ชั้นหรือที่เรียกว่า &quot;ขุม&quot; สำหรับลงทัณฑ์ต่างๆ แก่สัตว์บาปที่ไปเกิด ประกอบไปด้วยมหานรก 9 ขุม ยมโลก 360 ขุม อยู่รอบ 4 ทิศๆละ 10 ของมหานรกแต่ละขุม และ อุสสทนรก 128 ขุม อยู่รอบๆ 4 ทิศๆ ละ 4 ของมหานรกแต่ละขุม สัตว์นรกเมื่อถูกลง ทัณฑ์ทรมานแล้วก็จะเกิดขึ้นใหม่ถูกทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะหมดกรรม<br /><br />นรกแต่ละขุม<br />นรกภูมิแบ่งขุมนรกหลัก ๆ ได้เป็น 8 ขุม ดังนี้[1]<br /><br />สัญชีวมหานรก<br />กาฬสุตตมหานรก<br />สังฆาฏมหานรก<br />โรรุวมหานรก<br />มหาโรรุวมหานรก<br />ตาปนมหานรก<br />มหาตาปนมหานรก<br />อเวจีมหานรก<br /><br />สัญชีพนรก นรกไม่มีวันแตกดับ ที่อยู่สำหรับผู้ที่เบียดเบียนผู้อื่น จะต้องถูกทรมานจากคมอาวุธจนตาย จากนั้นจะมี &quot;ลมกรรม&quot; พัดให้คืนชีพมารับโทษเรื่อยๆ วนเวียนอยู่เป็นเวลา 500 ปี นรก ซึ่ง 1 วันนรก เท่ากับ 9 ล้านปีมนุษย์<br /><br />กาฬสุตตนรก นรกเส้นด้ายดำ สำหรับคนที่ทำร้ายผู้มีพระคุณ หรือทำลายชีวิตสัตว์ จะถูกตีด้วยด้ายดำ จนเป็นตามร่างกาย จากนั้นจะถูกเฉือนอาวุธตามรอยแผล เป็นเวลา 1,000 ปีนรก โดย 1 วันนรก เท่ากับ 36 ล้านปีมนุษย์<br /><br />สังฆาฏนรก นรกบดขยี้ ที่อยู่สำหรับผู้ไร้ความเมตตา ชื่นชอบการทารุณกรรม จะถูกตีด้วยค้อนเหล็ก และบดทับด้วยลูกไฟกับภูเขาเหล็ก เป็นเวลา 2,000 ปีนรก โดย 1 วันนรก เท่ากับ 14 โกฏิกับอีก 5 ล้านปีมนุษย์<br /><br />โรรุวนรก นรกเสียงคร่ำครวญ ที่อยู่สำหรับคนโลภ ฉ้อโกง จะถูกลงโทษให้นอนคว่ำหน้า หัว มือ และเท้าจมอยู่ในดอกบัวเหล็ก ที่มีไฟลุกท่วม ร้องครวญครางด้วยความทุกข์ เป็นเวลา 4,000 ปี โดย 1 วันของนรกขุมนี้เท่ากับ 23 โกฏิกับอีก 4 ล้านปีโลกมนุษย์<br /><br />มหาโรรุวนรก นรกเสียงคร่ำครวญอย่างยิ่ง สำหรับคนจิตใจโหดเหี้ยม ทำความชั่วจิตอาฆาตพยาบาท ดอกบัวเหล็กของนรกขุมนี้ จะเพิ่มคมตามกลีบ และจะต้องจมอยู่ในดอกบัวเหล็กทั้งตัว อายุของสัตว์นรกคือ 8,000 ปี โดย 1 วันนรก เท่ากับ 921 โกฏิกับอีก 6 ล้านปีโลกมนุษย์<br /><br />ตาปนรก นรกแห่งความร้อนรุ่ม สำหรับคนบาปที่เต็มไปกิเลส จะถูกหลาวเหล็กไฟเสียบ จากนั้นสุนัขนรกฉุดกระชากลงมากิน เป็นเวลา 16,000 ปี โดย 1 วันนรกเท่ากับ 1,842 โกฏิกับอีก 12 ล้านปีโลกมนุษย์<br /><br />มหาตาปนรก นรกแห่งความร้อนรุ่มอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่เคยฆ่าคน และฆ่าสัตว์เป็นหมู่มาก ไม่คำนึงถึงชีวิตผู้อื่น ต้องอยู่ในกำแพงและภูเขาเหล็ก ที่เต็มไปด้วยหนามแหลม และมีลมกรดพัดพาร่างไปโดนหนามเสียบ อายุของสัตว์นรกขุมนี้คือ ครึ่งกัลป์ <br /><br />อเวจีนรก นรกอันแสนสาหัสไร้ปรานี เป็นนรกที่ทั้งลึกและกว้างใหญ่ที่สุด สำหรับผู้ทำกรรมหนัก ได้แก่ ฆ่าบุพการี ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ห้อเลือด และยุยงให้คณะสงฆ์แตกแยก
นรกภูมิ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

นรกภูมิ หรือเรียกโดยย่อว่า "นรก" (บาลี: निरय, นิรย; สันสกฤต: नरक, นรก; จีน: 那落迦, นาเหลาเจี๋ย; ญี่ปุ่น: 地獄, จิโกะกุ; พม่า: ငရဲ, งาเย; มลายู: neraka เนอรากา) คือ ดินแดนหนึ่งซึ่งตามศาสนาพุทธเชื่อกันว่าผู้ทำบาปจะต้องไปเกิดทันทีหรือถูกลงโทษตามคำพิพากษาของพระยม

ตามไตรภูมิพระร่วง นรกภูมิเป็นดินแดนหนึ่งในกามภพอันเป็นภพหนึ่งในภพทั้งสาม คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ รวมเรียกว่า "ไตรภพ" หรือ "ไตรภูมิ"

นรกของทางพุทธศาสนาต่างจากนรกของทางตะวันตกในสองประการ คือ สัตว์โลกมิได้ถูกส่งตัวไปเกิดและลงโทษในนรกภูมิตามคำพิพากษาของเทพ แต่เป็นเพราะบาปกรรมที่ตนได้กระทำเมื่อมีชีวิต และระยะเวลาถูกลงโทษในนรกนั้นเป็นไปตามโทษานุโทษ มิได้ชั่วกัปชั่วกัลป์เหมือนอย่างนรกของฝรั่ง กระนั้นก็นานเอาการอยู่ ซึ่งเมื่อพ้นโทษจากนรกแล้วจะได้กลับไปเกิดในโลกที่สูงขึ้นตามแต่กรรมดีที่ได้กระทำไว้หรือตามแต่ผลกรรมที่เหลืออยู่ แล้วแต่กรณี

ในไตรภูมิกถา
ตามจักรวาลวิทยาในศาสนาพุทธ นรกเป็นดินแดนหนึ่งซึ่งอยู่ใต้ชมพูทวีปหรือมนุษย์โลกลงไป และมี 9 ชั้นหรือที่เรียกว่า "ขุม" สำหรับลงทัณฑ์ต่างๆ แก่สัตว์บาปที่ไปเกิด ประกอบไปด้วยมหานรก 9 ขุม ยมโลก 360 ขุม อยู่รอบ 4 ทิศๆละ 10 ของมหานรกแต่ละขุม และ อุสสทนรก 128 ขุม อยู่รอบๆ 4 ทิศๆ ละ 4 ของมหานรกแต่ละขุม สัตว์นรกเมื่อถูกลง ทัณฑ์ทรมานแล้วก็จะเกิดขึ้นใหม่ถูกทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะหมดกรรม

นรกแต่ละขุม
นรกภูมิแบ่งขุมนรกหลัก ๆ ได้เป็น 8 ขุม ดังนี้[1]

สัญชีวมหานรก
กาฬสุตตมหานรก
สังฆาฏมหานรก
โรรุวมหานรก
มหาโรรุวมหานรก
ตาปนมหานรก
มหาตาปนมหานรก
อเวจีมหานรก

สัญชีพนรก นรกไม่มีวันแตกดับ ที่อยู่สำหรับผู้ที่เบียดเบียนผู้อื่น จะต้องถูกทรมานจากคมอาวุธจนตาย จากนั้นจะมี "ลมกรรม" พัดให้คืนชีพมารับโทษเรื่อยๆ วนเวียนอยู่เป็นเวลา 500 ปี นรก ซึ่ง 1 วันนรก เท่ากับ 9 ล้านปีมนุษย์

กาฬสุตตนรก นรกเส้นด้ายดำ สำหรับคนที่ทำร้ายผู้มีพระคุณ หรือทำลายชีวิตสัตว์ จะถูกตีด้วยด้ายดำ จนเป็นตามร่างกาย จากนั้นจะถูกเฉือนอาวุธตามรอยแผล เป็นเวลา 1,000 ปีนรก โดย 1 วันนรก เท่ากับ 36 ล้านปีมนุษย์

สังฆาฏนรก นรกบดขยี้ ที่อยู่สำหรับผู้ไร้ความเมตตา ชื่นชอบการทารุณกรรม จะถูกตีด้วยค้อนเหล็ก และบดทับด้วยลูกไฟกับภูเขาเหล็ก เป็นเวลา 2,000 ปีนรก โดย 1 วันนรก เท่ากับ 14 โกฏิกับอีก 5 ล้านปีมนุษย์

โรรุวนรก นรกเสียงคร่ำครวญ ที่อยู่สำหรับคนโลภ ฉ้อโกง จะถูกลงโทษให้นอนคว่ำหน้า หัว มือ และเท้าจมอยู่ในดอกบัวเหล็ก ที่มีไฟลุกท่วม ร้องครวญครางด้วยความทุกข์ เป็นเวลา 4,000 ปี โดย 1 วันของนรกขุมนี้เท่ากับ 23 โกฏิกับอีก 4 ล้านปีโลกมนุษย์

มหาโรรุวนรก นรกเสียงคร่ำครวญอย่างยิ่ง สำหรับคนจิตใจโหดเหี้ยม ทำความชั่วจิตอาฆาตพยาบาท ดอกบัวเหล็กของนรกขุมนี้ จะเพิ่มคมตามกลีบ และจะต้องจมอยู่ในดอกบัวเหล็กทั้งตัว อายุของสัตว์นรกคือ 8,000 ปี โดย 1 วันนรก เท่ากับ 921 โกฏิกับอีก 6 ล้านปีโลกมนุษย์

ตาปนรก นรกแห่งความร้อนรุ่ม สำหรับคนบาปที่เต็มไปกิเลส จะถูกหลาวเหล็กไฟเสียบ จากนั้นสุนัขนรกฉุดกระชากลงมากิน เป็นเวลา 16,000 ปี โดย 1 วันนรกเท่ากับ 1,842 โกฏิกับอีก 12 ล้านปีโลกมนุษย์

มหาตาปนรก นรกแห่งความร้อนรุ่มอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่เคยฆ่าคน และฆ่าสัตว์เป็นหมู่มาก ไม่คำนึงถึงชีวิตผู้อื่น ต้องอยู่ในกำแพงและภูเขาเหล็ก ที่เต็มไปด้วยหนามแหลม และมีลมกรดพัดพาร่างไปโดนหนามเสียบ อายุของสัตว์นรกขุมนี้คือ ครึ่งกัลป์

อเวจีนรก นรกอันแสนสาหัสไร้ปรานี เป็นนรกที่ทั้งลึกและกว้างใหญ่ที่สุด สำหรับผู้ทำกรรมหนัก ได้แก่ ฆ่าบุพการี ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ห้อเลือด และยุยงให้คณะสงฆ์แตกแยก
240806.jpg
ตามคติไตรภูมิ &quot;โลกนรก&quot; หรือ &quot;นิรยภูมิ&quot; เป็นส่วนหนึ่งของอบายภูมิหรือทุคติภูมิ 4 (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกามภูมิ) ประกอบด้วยพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาล มีนรกหลายขุมซ้อนทับกันหลายชั้น แต่ละชั้นก็มีนรกบริวารรวมนับร้อยขุม<br /><br />นิรยภูมิจะแบ่งออกเป็น &quot;มหานรก&quot; ที่มีด้วยกัน 8 ขุมใหญ่ ที่ตั้งซ้อนทับกันเป็นชั้น ๆ และแยกกันอย่างชัดเจนอยู่ลึกลงไปใต้โลกมนุษย์ของเรา มนุษย์ที่ทำกรรมชั่ว เมื่อเสียชีวิตจะลงไปเกิดเป็นสัตว์นรกในชั้นเหล่านี้เพื่อใช้กรรม นรกชั้นล่างสุดคือ &quot;อเวจีนรก&quot; ซึ่งเป็นนรกขุมลึกที่สุด สำหรับลงโทษผู้ที่มีบาปหนักที่สุด<br /><br />อเวจีนรก หรือนรกอันแสนสาหัสไร้ปรานี เป็นมหานรกที่ทั้งลึกและกว้างใหญ่ที่สุด เป็นนรกสำหรับผู้ทำกรรมหนักอันได้แก่ ฆ่าบุพการี (พ่อ-แม่) ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต และยุยงให้คณะสงฆ์แตกแยก<br /><br />ขุมนรกล้อมด้วยกำแพงเหล็กที่เปลวไฟลุกท่วม สัตว์นรกจะถูกเพลิงเผาผลาญด้วยอิริยาบถต่าง ๆ ทั้ง นั่ง ยืน หรือนอน ตามกรรมของตน อยู่ห้องสี่เหลี่ยมและหลาวเหล็กเสียบทะลุร่างตรึงให้แน่นิ่งไม่สามารถขยับร่างกายได้ อายุของสัตว์นรกขุมนี้คือ 1 กัลป์ ซึ่งเนิ่นนานราวการเกิดและแตกดับของโลกในคติฮินดูกับพุทธศาสนา<br /><br />บุคคลสำคัญที่เคยใช้กรรมอยู่ในอเวจีนรก คือ พระเทวทัต ผู้ทำอนันตริยกรรม หรือการพยายามปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า<br /><br />หลังสิ้นชีพ พระเทวทัตได้ลงมาเกิดในมหานรกขุมนี้ทันทีในร่างสัตว์นรกสูง 300 โยชน์ เสวยทุกข์ในห้องสี่เหลี่ยมพร้อมหลาวเหล็กขนาดเท่าต้นตาล แท่งแรกแทงจากข้างหลังทะลุด้านหน้า แท่งที่ 2 แทงทะลุสีข้างซ้าย-ขวา และแท่งสุดท้ายเสียบกลางศรีษะทะลุกลางลำตัวลงมาด้านล่าง โดยปลายหลาวเหล็กทุกด้านถูกยึดติดเพดานของห้องสี่เหลี่ยมนั้น<br /><br />อ่านต่อได้ที่ : ท่องแดนมหานรก “อเวจี” ภพภูมิแห่งการลงทัณฑ์ผู้ทำกรรมหนัก ตามคติไตรภูมิ
ตามคติไตรภูมิ "โลกนรก" หรือ "นิรยภูมิ" เป็นส่วนหนึ่งของอบายภูมิหรือทุคติภูมิ 4 (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกามภูมิ) ประกอบด้วยพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาล มีนรกหลายขุมซ้อนทับกันหลายชั้น แต่ละชั้นก็มีนรกบริวารรวมนับร้อยขุม

นิรยภูมิจะแบ่งออกเป็น "มหานรก" ที่มีด้วยกัน 8 ขุมใหญ่ ที่ตั้งซ้อนทับกันเป็นชั้น ๆ และแยกกันอย่างชัดเจนอยู่ลึกลงไปใต้โลกมนุษย์ของเรา มนุษย์ที่ทำกรรมชั่ว เมื่อเสียชีวิตจะลงไปเกิดเป็นสัตว์นรกในชั้นเหล่านี้เพื่อใช้กรรม นรกชั้นล่างสุดคือ "อเวจีนรก" ซึ่งเป็นนรกขุมลึกที่สุด สำหรับลงโทษผู้ที่มีบาปหนักที่สุด

อเวจีนรก หรือนรกอันแสนสาหัสไร้ปรานี เป็นมหานรกที่ทั้งลึกและกว้างใหญ่ที่สุด เป็นนรกสำหรับผู้ทำกรรมหนักอันได้แก่ ฆ่าบุพการี (พ่อ-แม่) ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต และยุยงให้คณะสงฆ์แตกแยก

ขุมนรกล้อมด้วยกำแพงเหล็กที่เปลวไฟลุกท่วม สัตว์นรกจะถูกเพลิงเผาผลาญด้วยอิริยาบถต่าง ๆ ทั้ง นั่ง ยืน หรือนอน ตามกรรมของตน อยู่ห้องสี่เหลี่ยมและหลาวเหล็กเสียบทะลุร่างตรึงให้แน่นิ่งไม่สามารถขยับร่างกายได้ อายุของสัตว์นรกขุมนี้คือ 1 กัลป์ ซึ่งเนิ่นนานราวการเกิดและแตกดับของโลกในคติฮินดูกับพุทธศาสนา

บุคคลสำคัญที่เคยใช้กรรมอยู่ในอเวจีนรก คือ พระเทวทัต ผู้ทำอนันตริยกรรม หรือการพยายามปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า

หลังสิ้นชีพ พระเทวทัตได้ลงมาเกิดในมหานรกขุมนี้ทันทีในร่างสัตว์นรกสูง 300 โยชน์ เสวยทุกข์ในห้องสี่เหลี่ยมพร้อมหลาวเหล็กขนาดเท่าต้นตาล แท่งแรกแทงจากข้างหลังทะลุด้านหน้า แท่งที่ 2 แทงทะลุสีข้างซ้าย-ขวา และแท่งสุดท้ายเสียบกลางศรีษะทะลุกลางลำตัวลงมาด้านล่าง โดยปลายหลาวเหล็กทุกด้านถูกยึดติดเพดานของห้องสี่เหลี่ยมนั้น

อ่านต่อได้ที่ : ท่องแดนมหานรก “อเวจี” ภพภูมิแห่งการลงทัณฑ์ผู้ทำกรรมหนัก ตามคติไตรภูมิ
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D อรุณสวัสดิ์ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพและญาติธรรมที่รักทุกท่าน เช้านี้ผมจะพาท่านไปชม Highlight of Lampang นะครับ คือว่าท่านใดที่จงใจไปเที่ยวลำปางแต่ละเลยสถานที่แห่งนี้ ถือว่าท่าน "พลาด" จริง ๆ เลยครับ สถานที่ว่านี้ก็คือ สุสานไตรลักษณ์ ไปกราบสักการะสุดยอดพระเกจิอาจารย์แห่งล้านนาในอดีตที่โด่งดังไกลทั้งในและต่างประเทศท่านก็ คือ หลวงพ่อเกษม เขมโก แห่งสุสานไตรลักษณ์ ผู้เปี่ยมล้นไปด้วยศีลและสมาธิรวมไปถึงปัญญา ผมมีเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นกับตัวผมเองในสมัยที่ผมยังเกกมะเหรกเกเร เมื่อผมพบหลวงพ่อท่านดัดนิสัยผมด้วยธรรมะ จนผมมีวันนี้ครับ

ย้อนไปเมื่อครั้งเป็นผู้หมวดใหม่ ๆ ซ่ามาก ดื่มเหล้า เที่ยวสนุกสนาน ขาดศีลขาดธรรมเอาแต่ใจกู วันหนึ่งบังเอิญขับรถผ่านลำปาง มีสิ่งดลใจให้เข้าไปกราบหลวงพ่อ คนเยอะมาก ๆ พอถึงคิวเราผมกำธนบัตรใบห้าร้อย มอบถวายหลวงพ่อ หลวงพ่อรับแล้วท่านคลี่พร้อมยกชูให้ได้เห็นกันทั่ว แล้วท่านพูดดัง ๆ ว่า "เอ้อ..นี่อสรพิษเน้อสูเน้อ" แล้วท่านก็ส่งคืนกลับให้ผม ใจผมคิดว่าท่านให้เป็นขวัญถุง กราบลาท่านกลับบ้าน ถึงบ้านผมคิดเรื่องนี้อยู่ในใจตลอดเวลา (หาคำตอบ)

เมื่อผมมียศเป็น ร.ต.อ.ตำแหน่งรองผู้บังคับกองร้อย อ.เชียงคำ จ.เชียงราย(พะเยา) ได้กลับไปกราบท่านอีกครั้ง คราวนี้มีคนไม่เยอะหรืออาจจะมีผมคนเดียวที่เหลือเป็นคนวัด ผมนั่งรอหน้ากุฏิท่าน สักครู่มีเด็กหนุ่มเดินออกมาบอกว่า "หลวงพ่อบ่าออกมาละครับหื้อปิคเต๊อะครับ" (หลวงพ่อไม่ออกมาแล้วให้กลับเถอะ) ผมหงุดหงิดแล้วทะลึ่งพอสมควร จิตคิดในใจ "เหี้ยเอ้ย...กูขับรถมาแต่ไกล ไม่ออกมาซะแล้ว เอาวะ..ถ้าหลวงพ่อไม่ออกมา กูก็ไม่กลับจะนั่งแช่ตรงนี้ละ" เมื่อเด็กหนุ่มเดินกลับเข้าห้องหลวงพ่อ ผมก็นั่งรอตามตั้งใจ รอสักประมาณอึดใจใหญ่ ๆ เด็กหนุ่มคนเดิมก็เดินออกมาในมือกำอะไรไม่รู้ เดินตรงมาที่ผม

เข้ามาใกล้ ๆ ผม ย่อตัวลงแล้วยื่นสิ่งของในมือที่กำให้ผม แยกยื่นแรกเป็นขนมปังคู่หนึ่ง แล้วพูดว่า "หลวงพ่อหื้อกิ๋นขนมนี้เน้อ" (หลวงพ่อบอกให้กินขนมนี้นะ) อีกครั้งยื่นห่อกระดาษทองกระดาษเงินพันก้านธูปเล็ก ๆ เรียวกลม ๆ ให้ผมแล้วพูดว่า "เอาอันนี้ไป เอาติ๊ดตั๊วไว้เน้อ แล้วก่อปิคเหีย จาใด ๆ หลวงพ่อบอกว่า กูก่อตึงบ่าออกมาละ ปิคเหียเน้อ" (เอาสิ่งนี้ไป เอาติดตัวไว้นะแล้วก็กลับเถอะ อย่างไรกูก็ไม่ออกมาหรอก กลับซะ) อา....โดนใจจริง ๆ เห้ย...หลวงพ่อล่วงรู้วาระจิตเรานี่หว่า ขนลุกซู่....รีบสำนึกก้มกราบงาม ๆ แล้วกลับเลย จากวันนั้นจิตใจผมเริ่มอ่อนลง และเริ่มหันหน้าเข้าศึกษาธรรมะอย่างต่อเนื่องครับ ถ้าไม่มีหลวงพ่อวันนั้นชีวิตผมคงไม่มีวันนี้แน่นอน ยังมีอีกหลายเรื่องเช้านี้แค่นี้ก่อนครับ
:o :o
ไฟล์แนบ
235632.jpg
235632.jpg (105.1 KiB) เข้าดูแล้ว 994 ครั้ง
ภาพนี้คือก้านธูปที่หุ้มด้วยกระดาษทองและกระดาษเงิน ที่เด็กหนุ่มคนนั้นได้รับมอบจากหลวงพ่อให้เอามาให้ผม แล้วบอกวันนี้เวลานี้จะไม่ออกจากห้องแล้ว แถมยังไล่ให้ผมกลับอีกด้วย<br /><br />ผมนำไปเลี่ยมพลาสติกหุ้มแล้วจัดแขวนรวมกับพระกริ่งพิษณุโลกของทัพภาค ๓ รุ่นหนึ่ง พระกริ่งวัดบวรนิเวศ และพระผงเปิดโลกกำแพง รวมเป็นหนึ่งชุด สำหรับชุดนี้ใช้ในยามที่ผมจะออกศึกคือไปลาดตระเวน หรือไปตรวจเยี่ยมตามฐานก็จะใช้พวงนี้ห้อยเสมอ ๆ แคล้วคลาดปลอดภัยเสมอ ๆ ครับ ปัจจุบัน ๓๐ กว่าปีที่ผมไม่ได้สรวมสร้อยใส่แหวนต่าง ๆ (เลิกครับ) เก็บเข้าตู้เซฟไว้หมดแล้ว เอาแต่พุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวและคุ้มครองตัวเองครับ ท่านใดสนใจชุดนี้ทักไปครับผมจะได้นำปัจจัยไปร่วมสร้าง รพ.บ้าง รร.บ้างหรือเป็นทุนเด็กยากจนบ้าง ตามความเหมาะสมต่อไป
ภาพนี้คือก้านธูปที่หุ้มด้วยกระดาษทองและกระดาษเงิน ที่เด็กหนุ่มคนนั้นได้รับมอบจากหลวงพ่อให้เอามาให้ผม แล้วบอกวันนี้เวลานี้จะไม่ออกจากห้องแล้ว แถมยังไล่ให้ผมกลับอีกด้วย

ผมนำไปเลี่ยมพลาสติกหุ้มแล้วจัดแขวนรวมกับพระกริ่งพิษณุโลกของทัพภาค ๓ รุ่นหนึ่ง พระกริ่งวัดบวรนิเวศ และพระผงเปิดโลกกำแพง รวมเป็นหนึ่งชุด สำหรับชุดนี้ใช้ในยามที่ผมจะออกศึกคือไปลาดตระเวน หรือไปตรวจเยี่ยมตามฐานก็จะใช้พวงนี้ห้อยเสมอ ๆ แคล้วคลาดปลอดภัยเสมอ ๆ ครับ ปัจจุบัน ๓๐ กว่าปีที่ผมไม่ได้สรวมสร้อยใส่แหวนต่าง ๆ (เลิกครับ) เก็บเข้าตู้เซฟไว้หมดแล้ว เอาแต่พุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวและคุ้มครองตัวเองครับ ท่านใดสนใจชุดนี้ทักไปครับผมจะได้นำปัจจัยไปร่วมสร้าง รพ.บ้าง รร.บ้างหรือเป็นทุนเด็กยากจนบ้าง ตามความเหมาะสมต่อไป
111316.jpg
111316.jpg (79.6 KiB) เข้าดูแล้ว 994 ครั้ง
111310.jpg
111310.jpg (70.19 KiB) เข้าดูแล้ว 994 ครั้ง
236098.jpg
236098.jpg (84.57 KiB) เข้าดูแล้ว 994 ครั้ง
354341.jpg
354341.jpg (82.69 KiB) เข้าดูแล้ว 994 ครั้ง
มุมขวาจะเห็นรูปหล่อหลวงพ่อเกษม ทั้งองค์ยืน องค์นั่งนะครับนอกจากนี้ยังมีเหรียญหลวงพ่ออีกหลายรุ่นครับ ช่วงที่เริ่มเข้าสู่เส้นทางธรรมก็ผ่านวิกฤต อภินิหารต่าง ๆ บูชาคาถาตลอดจนเล่นพระเล่นเหรียญ หมดไปเป็นแสน เก็บทุกรุ่นสำหรับพระดัง เสาะหาพระดี ๆ ดัง ๆ เก็บไว้ ตอนนี้พระเต็มห้อง คือนำแต่เข้าไม่จำหน่ายออกเลย<br /><br />มีเรื่องอัศจรรย์ใจไม่เล่าไม่ได้ เมื่อคืนที่ 8 พ.ค 66 ช่วงตี 3 ผมตื่นมาทำสมาธิตามปกติ ช่วงเวลาสมาธิผ่านไปได้ 1/2 ชม.จิตกระหวัดไปถึงเรื่องธูปเงินธูปทองที่ได้มาจากหลวงพ่อและผมนำไปหุ้มพลาสติกแล้วนำไปแขวนสร้อยรวมกับพระ นึกขึ้นได้จะเก็บภาพ(ไม่ได้เก็บในตู้เซฟ)ประกอบเรื่องยืนยัน ก็ขึ้นไปที่ห้องพระค้นหาจนเจอ เสียเวลาไปนานพอควร เมื่อได้รู้สึกโล่ง กลับไปห้องนอน หลานน้อยที่นอนด้วยพรวดพราดลุกขึ้น เรียกร้องคุณย่า ๆ นองปุรณ์ฝันร้าย จังหวะนั้นผมถึงเตียงพอดี สดุ้งนิดๆ รีบเอาสร้อยพระที่ค้นหามาได้ และอยู่มือพอดี สวมใส่คอหลานน้อยทันที แกก็ล้มตัวลงนอน เงียบไป หลับไปตื่นเอาสว่างทั้งปู่-ย่าสอบถาม แกก็เล่าฝันเห็นผีนรกจะมาอุ้มแก แกตกใจจึงตะโกนแต่จำไม่ได้ว่าตะโกนว่าอะไร พอล้มตัวลงนอนผีนรกก็ไม่เข้ามาอีกเลย ซึ่งชีวิตหลานตั้งแต่เกิดก็ไม่เคยเป็น เรียกว่าเหตุการณ์ประจวบเหมาะกัน เหลือเชื่อ สาธุ สาธุ หลวงพ่อรักษาครับ (เรื่องภูตผีปีศาจนี่หลวงพ่อเอาอยู่)
มุมขวาจะเห็นรูปหล่อหลวงพ่อเกษม ทั้งองค์ยืน องค์นั่งนะครับนอกจากนี้ยังมีเหรียญหลวงพ่ออีกหลายรุ่นครับ ช่วงที่เริ่มเข้าสู่เส้นทางธรรมก็ผ่านวิกฤต อภินิหารต่าง ๆ บูชาคาถาตลอดจนเล่นพระเล่นเหรียญ หมดไปเป็นแสน เก็บทุกรุ่นสำหรับพระดัง เสาะหาพระดี ๆ ดัง ๆ เก็บไว้ ตอนนี้พระเต็มห้อง คือนำแต่เข้าไม่จำหน่ายออกเลย

มีเรื่องอัศจรรย์ใจไม่เล่าไม่ได้ เมื่อคืนที่ 8 พ.ค 66 ช่วงตี 3 ผมตื่นมาทำสมาธิตามปกติ ช่วงเวลาสมาธิผ่านไปได้ 1/2 ชม.จิตกระหวัดไปถึงเรื่องธูปเงินธูปทองที่ได้มาจากหลวงพ่อและผมนำไปหุ้มพลาสติกแล้วนำไปแขวนสร้อยรวมกับพระ นึกขึ้นได้จะเก็บภาพ(ไม่ได้เก็บในตู้เซฟ)ประกอบเรื่องยืนยัน ก็ขึ้นไปที่ห้องพระค้นหาจนเจอ เสียเวลาไปนานพอควร เมื่อได้รู้สึกโล่ง กลับไปห้องนอน หลานน้อยที่นอนด้วยพรวดพราดลุกขึ้น เรียกร้องคุณย่า ๆ นองปุรณ์ฝันร้าย จังหวะนั้นผมถึงเตียงพอดี สดุ้งนิดๆ รีบเอาสร้อยพระที่ค้นหามาได้ และอยู่มือพอดี สวมใส่คอหลานน้อยทันที แกก็ล้มตัวลงนอน เงียบไป หลับไปตื่นเอาสว่างทั้งปู่-ย่าสอบถาม แกก็เล่าฝันเห็นผีนรกจะมาอุ้มแก แกตกใจจึงตะโกนแต่จำไม่ได้ว่าตะโกนว่าอะไร พอล้มตัวลงนอนผีนรกก็ไม่เข้ามาอีกเลย ซึ่งชีวิตหลานตั้งแต่เกิดก็ไม่เคยเป็น เรียกว่าเหตุการณ์ประจวบเหมาะกัน เหลือเชื่อ สาธุ สาธุ หลวงพ่อรักษาครับ (เรื่องภูตผีปีศาจนี่หลวงพ่อเอาอยู่)
357144.jpg (120.54 KiB) เข้าดูแล้ว 994 ครั้ง
หลวงพ่อเกษม เขมโก  จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี<br /><br />หลวงพ่อเกษม เขมโก เดิมมีนามว่า เจ้าเกษม ณ ลำปาง เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2455 ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวด ร.ศ. 131 เป็นบุตรใน เจ้าน้อยหนู ณ ลำปาง (ภายหลังเปลี่ยนนามสกุลใหม่เป็น มณีอรุณ) รับราชการเป็นปลัดอำเภอ กับ เจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปาง และเป็นราชปนัดดาในเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าหลวงผู้ครองนครลำปางองค์สุดท้าย<br /><br />สมัยตอนเด็กๆมีคนเล่าว่าท่านซนมากมีอยู่ครั้งหนึ่งท่านปีนต้นบ่ามั่น(ต้นฝรั่ง)เกิดพลัดตกจนมีแผลเป็นที่ศีรษะ เมื่อท่านอายุได้ 13 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ซึ่งเป็นการบรรพชาหน้าศพ (บวชหน้าไฟ) ของเจ้าอาวาสวัดป่าดั๊ว 7 วันได้ลาสิกขาและท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรอีกครั้งเมื่ออายุ 15 ปีและจำวัดอยู่ที่วัดบุญยืน จังหวัดลำปาง ท่านได้ศึกษาด้านพระปรัยัติธรรมจนสามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ในปี พ.ศ. 2474 และได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในปีถัดมา โดยมีพระธรรมจินดานายก (ฝ่าย) เจ้าอาวาสวัดบุญวาทย์วิหาร อดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า &quot;เขมโก&quot; แปลว่า ผู้มีธรรมอันเกษม โดยพระภิกษุ เจ้าเกษม เขมโก ได้ศึกษาภาษาบาลีที่สำนักวัดศรีล้อม ต่อมาได้ย้ายมาศึกษาแผนกนักธรรมที่สำนักวัดเชียงราย<br /><br />พ.ศ. 2479 ท่านสามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก ท่านเรียนรู้ภาษาบาลีจนสามารถเขียนและแปลได้ รวมทั้งสามารถแปลเป็นภาษาบาลีได้เป็นอย่างดี แต่ท่านไม่ยอมสอบเอาวุฒิ จนครูบาอาจารย์ทุกรูปต่างเข้าใจว่าพระภิกษุ เจ้าเกษม เขมโก ไม่ต้องการมีสมณะศักดิ์สูง ๆ เรียนเพื่อจะนำเอาวิชาความรู้มาใช้ในการศึกษาค้นคว้าพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาเท่านั้น<br /><br />เมื่อสำเร็จทางด้านปริยัติธรรมแล้ว ท่านแสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ที่มีความรู้และมีความเชี่ยวชาญในด้านวิปัสสนา จนกระทั่ง ท่านทราบข่าวว่ามีพระเกจิรูปหนึ่งมีชื่อเสียงในด้านวิปัสสนา คือ ครูบาแก่น สุมโน ท่านจึงฝากตัวเป็นศิษย์ ท่านได้ตามครูบาแก่น สุมโน ออกท่องธุดงค์ไปแสวงหาความวิเวกและบำเพ็ญเพียรตามป่าลึก จนถึงช่วงเข้าพรรษาซึ่งพระภิกษุจำเป็นต้องยุติการท่องธุดงค์ชั่วคราวท่านจึงต้องแยกทางกับพระอาจารย์ และกลับมาจำพรรษาที่วัดบุญยืนตามเดิม พอครบกำหนดออก ก็ติดตามอาจารย์ออกธุดงค์บำเพ็ญภาวนา<br /><br />ต่อมา เจ้าอธิการคำเหมย เจ้าอาวาสวัดบุญยืน มรณภาพลง ทางคณะสงฆ์ได้ประชุมกันเพื่อหาเจ้าอาวาสรูปใหม่และต่างลงความเห็นพ้องต้องกันเห็นควรว่า พระภิกษุ เจ้าเกษม เขมโก มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าอาวาส เมื่อท่านได้รับเลือกเป็นเจ้าอาวาสวัดบุญยืน ท่านก็ไม่ยินดียินร้าย แต่ท่านก็ห่วงทางวัดเพราะท่านเคยจำวัดนี้ ท่านเห็นว่าถือเป็นภารกิจทางศาสนาเพราะท่านเองต้องการให้พระศาสนานี้ดำรงอยู่ จึงยอมรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบุญยืน หลังจากนั้นท่านก็ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสหลายครั้งเนื่องจากท่านอยากจะออกธุดงค์ แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ดังนั้น ท่านจึงออกจากวัดบุญยืนไปที่ศาลาวังทานพร้อมเขียนข้อความลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาสไว้ด้วย
หลวงพ่อเกษม เขมโก จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

หลวงพ่อเกษม เขมโก เดิมมีนามว่า เจ้าเกษม ณ ลำปาง เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2455 ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวด ร.ศ. 131 เป็นบุตรใน เจ้าน้อยหนู ณ ลำปาง (ภายหลังเปลี่ยนนามสกุลใหม่เป็น มณีอรุณ) รับราชการเป็นปลัดอำเภอ กับ เจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปาง และเป็นราชปนัดดาในเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าหลวงผู้ครองนครลำปางองค์สุดท้าย

สมัยตอนเด็กๆมีคนเล่าว่าท่านซนมากมีอยู่ครั้งหนึ่งท่านปีนต้นบ่ามั่น(ต้นฝรั่ง)เกิดพลัดตกจนมีแผลเป็นที่ศีรษะ เมื่อท่านอายุได้ 13 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ซึ่งเป็นการบรรพชาหน้าศพ (บวชหน้าไฟ) ของเจ้าอาวาสวัดป่าดั๊ว 7 วันได้ลาสิกขาและท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรอีกครั้งเมื่ออายุ 15 ปีและจำวัดอยู่ที่วัดบุญยืน จังหวัดลำปาง ท่านได้ศึกษาด้านพระปรัยัติธรรมจนสามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ในปี พ.ศ. 2474 และได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในปีถัดมา โดยมีพระธรรมจินดานายก (ฝ่าย) เจ้าอาวาสวัดบุญวาทย์วิหาร อดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า "เขมโก" แปลว่า ผู้มีธรรมอันเกษม โดยพระภิกษุ เจ้าเกษม เขมโก ได้ศึกษาภาษาบาลีที่สำนักวัดศรีล้อม ต่อมาได้ย้ายมาศึกษาแผนกนักธรรมที่สำนักวัดเชียงราย

พ.ศ. 2479 ท่านสามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก ท่านเรียนรู้ภาษาบาลีจนสามารถเขียนและแปลได้ รวมทั้งสามารถแปลเป็นภาษาบาลีได้เป็นอย่างดี แต่ท่านไม่ยอมสอบเอาวุฒิ จนครูบาอาจารย์ทุกรูปต่างเข้าใจว่าพระภิกษุ เจ้าเกษม เขมโก ไม่ต้องการมีสมณะศักดิ์สูง ๆ เรียนเพื่อจะนำเอาวิชาความรู้มาใช้ในการศึกษาค้นคว้าพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาเท่านั้น

เมื่อสำเร็จทางด้านปริยัติธรรมแล้ว ท่านแสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ที่มีความรู้และมีความเชี่ยวชาญในด้านวิปัสสนา จนกระทั่ง ท่านทราบข่าวว่ามีพระเกจิรูปหนึ่งมีชื่อเสียงในด้านวิปัสสนา คือ ครูบาแก่น สุมโน ท่านจึงฝากตัวเป็นศิษย์ ท่านได้ตามครูบาแก่น สุมโน ออกท่องธุดงค์ไปแสวงหาความวิเวกและบำเพ็ญเพียรตามป่าลึก จนถึงช่วงเข้าพรรษาซึ่งพระภิกษุจำเป็นต้องยุติการท่องธุดงค์ชั่วคราวท่านจึงต้องแยกทางกับพระอาจารย์ และกลับมาจำพรรษาที่วัดบุญยืนตามเดิม พอครบกำหนดออก ก็ติดตามอาจารย์ออกธุดงค์บำเพ็ญภาวนา

ต่อมา เจ้าอธิการคำเหมย เจ้าอาวาสวัดบุญยืน มรณภาพลง ทางคณะสงฆ์ได้ประชุมกันเพื่อหาเจ้าอาวาสรูปใหม่และต่างลงความเห็นพ้องต้องกันเห็นควรว่า พระภิกษุ เจ้าเกษม เขมโก มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าอาวาส เมื่อท่านได้รับเลือกเป็นเจ้าอาวาสวัดบุญยืน ท่านก็ไม่ยินดียินร้าย แต่ท่านก็ห่วงทางวัดเพราะท่านเคยจำวัดนี้ ท่านเห็นว่าถือเป็นภารกิจทางศาสนาเพราะท่านเองต้องการให้พระศาสนานี้ดำรงอยู่ จึงยอมรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบุญยืน หลังจากนั้นท่านก็ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสหลายครั้งเนื่องจากท่านอยากจะออกธุดงค์ แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ดังนั้น ท่านจึงออกจากวัดบุญยืนไปที่ศาลาวังทานพร้อมเขียนข้อความลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาสไว้ด้วย
DSC_6162.JPG (81.37 KiB) เข้าดูแล้ว 994 ครั้ง
DSC_6165.JPG
DSC_6165.JPG (98.73 KiB) เข้าดูแล้ว 994 ครั้ง
DSC_6166.JPG
DSC_6166.JPG (70.79 KiB) เข้าดูแล้ว 994 ครั้ง
DSC_6167.JPG
DSC_6167.JPG (64.25 KiB) เข้าดูแล้ว 994 ครั้ง
DSC_6169.JPG
DSC_6169.JPG (107.19 KiB) เข้าดูแล้ว 994 ครั้ง
DSC_6170.JPG
DSC_6170.JPG (95.77 KiB) เข้าดูแล้ว 994 ครั้ง
DSC_6171.JPG
DSC_6171.JPG (98.37 KiB) เข้าดูแล้ว 994 ครั้ง
DSC_6172.JPG
DSC_6172.JPG (85.71 KiB) เข้าดูแล้ว 994 ครั้ง
DSC_6173.JPG
DSC_6173.JPG (75.84 KiB) เข้าดูแล้ว 994 ครั้ง
DSC_6174.JPG
DSC_6174.JPG (72.57 KiB) เข้าดูแล้ว 994 ครั้ง
DSC_6175.JPG
DSC_6175.JPG (39.95 KiB) เข้าดูแล้ว 994 ครั้ง
DSC_6176.JPG
DSC_6176.JPG (40.64 KiB) เข้าดูแล้ว 994 ครั้ง
240811.jpg
แก้ไขล่าสุดโดย Deang-sarapee เมื่อ 10 พ.ค. 2023, 15:55, แก้ไขแล้ว 7 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D "หลวงพ่อเกษม เขมโก" เป็นพระสายวิปัสสนาธุระ ไม่ยึดติดแม้แต่สถานที่ ท่านได้ปฏิบัติธรรม ณ สุสานไตรลักษณ์ตลอดชนชีพ ท่านปฏิบัติศีลบริสุทธิ์ตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่ติดยึดในกิเลสทั้งปวง ท่านเป็นพระที่เป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนในจังหวัดลำปางและพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ

หรือแม้กระทั่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ก็ทรงมีความเคารพศรัทธาในความที่ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ได้เคยเสด็จพระราชดำเนินไปทรงนมัสการ"หลวงพ่อเกษม"หลายครั้ง และเสด็จพระราชดำเนินไปทรงนมัสการครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2536 "หลวงพ่อเกษม" มรณภาพ ณ ห้องไอซียู โรงพยาบาลลำปาง จังหวัดลำปาง เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 เวลา 19:40 น. ซึ่งตรงกับวันจันทร์ แรม 11 ค่ำ เดือน 2 ปีกุน
:( :(
ไฟล์แนบ
240809.jpg
240809.jpg (122.13 KiB) เข้าดูแล้ว 993 ครั้ง
240813.jpg
235620_0.jpg
235620_0.jpg (110.14 KiB) เข้าดูแล้ว 993 ครั้ง
นับจากวันนี้ไปจนถึงวันเลือกตั้งผมคงไม่ได้เข้ามาเล่าเรื่องราวต่อเนื่อง เนื่องจากมีภารกิจอีกมากมายที่รอการดำเนินการ ชีวิตฆราวาสมันยุ่งแบบนี้ละครับ โอกาสจะหลุดพ้นมันต้องค่อยคลานกระดึ๊บ ๆ พบกันหลังเลือกตั้งนะครับ<br /><br />แต่มีเรื่องจะฝากไว้สำหรับประชาชนคนรักประชาธิปไตยทุกท่าน ว่า ข่าวตาม social media ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเมืองกำลังเข้มข้นขั้นสูงสุด(ดีที่ยังไม่ยิงกันตาย แต่ก็เกือบ ๆ ละ) ข่าวสำคัญที่สุดหลังการเลือกตั้งล่วงหน้า ก็กระแสการโกงเห็นกันจะ ๆ เต็ม ๆ ดีใจครับที่บรรดาสื่อทั้งหลายทั้งมืออาชีพ มือสมัครเล่น ไม่เกรงใจเสนอข่าวทุกแง่มุม เล่นเอาผู้มีอำนาจ เอ๋อ...ไป แต่อย่าวางใจ การโกงหน้าด้าน มีแน่นอน ประเทศไทย คนไทย ทำอะไรได้หมด กฏหมาย ศีลธรรม ข้อบังคับต่าง ๆ เอาคนชั่วไม่อยู่จริง ๆ <br /><br />รอได้แต่เพียง กรรม ที่จะตามให้ผล ขอให้สบายใจได้ สังเกตุนะครับ ผลของกรรม ปัจจุบันทันสมัยมาก ๆ คือเห็นผลภายในชาตินี้จริง ๆ ไม่ต้องรอชาติหน้า
นับจากวันนี้ไปจนถึงวันเลือกตั้งผมคงไม่ได้เข้ามาเล่าเรื่องราวต่อเนื่อง เนื่องจากมีภารกิจอีกมากมายที่รอการดำเนินการ ชีวิตฆราวาสมันยุ่งแบบนี้ละครับ โอกาสจะหลุดพ้นมันต้องค่อยคลานกระดึ๊บ ๆ พบกันหลังเลือกตั้งนะครับ

แต่มีเรื่องจะฝากไว้สำหรับประชาชนคนรักประชาธิปไตยทุกท่าน ว่า ข่าวตาม social media ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเมืองกำลังเข้มข้นขั้นสูงสุด(ดีที่ยังไม่ยิงกันตาย แต่ก็เกือบ ๆ ละ) ข่าวสำคัญที่สุดหลังการเลือกตั้งล่วงหน้า ก็กระแสการโกงเห็นกันจะ ๆ เต็ม ๆ ดีใจครับที่บรรดาสื่อทั้งหลายทั้งมืออาชีพ มือสมัครเล่น ไม่เกรงใจเสนอข่าวทุกแง่มุม เล่นเอาผู้มีอำนาจ เอ๋อ...ไป แต่อย่าวางใจ การโกงหน้าด้าน มีแน่นอน ประเทศไทย คนไทย ทำอะไรได้หมด กฏหมาย ศีลธรรม ข้อบังคับต่าง ๆ เอาคนชั่วไม่อยู่จริง ๆ

รอได้แต่เพียง กรรม ที่จะตามให้ผล ขอให้สบายใจได้ สังเกตุนะครับ ผลของกรรม ปัจจุบันทันสมัยมาก ๆ คือเห็นผลภายในชาตินี้จริง ๆ ไม่ต้องรอชาติหน้า
24301.jpg (37.95 KiB) เข้าดูแล้ว 993 ครั้ง
133723.jpg
133723.jpg (86.97 KiB) เข้าดูแล้ว 993 ครั้ง
303179.jpg
303179.jpg (56.79 KiB) เข้าดูแล้ว 993 ครั้ง
อีกครั้งนะครับ ขอให้ทุกท่านออกไปเลือก &quot;คนที่รัก(คนดี) พรรค(ดี)ที่ใช่&quot; และขอให้ครั้งนี้เป็นการสั่งสอนนักการเมือง ที่เขาหลอกเรามาเนิ่นนาน เสพสุขบนความทุกข์ของพวกเรา พรรคไหนที่ให้เรามากกว่า มีความเป็นอยู่ที่ดีกว่า ไม่ต้องไปพูดว่า พรรคไหนที่ไม่โกง ไม่กิน มันไม่มีครับ เข้าไปมันโกงมันกินกันสนุกสนาน และมันก็จะเป็นแบบนี้ไปอีกนาน <br /><br />นักเรียนนอกจากหลายประเทศ ที่ผมได้สัมผัสและพูดคุยด้วย เขาพูดเป็นเสียงเดียวกันครับว่า &quot;คุณลุงครับ บ้านเมืองจะทรงไปแบบนี้อีกไม่ต่ำกว่า ๓๐ ปี ถึงจะฟื้นกลับไปเหมือนประเทศที่เจริญ ๆ แล้ว เช่นญี่ปุ่น&quot; ผมถามเพราะอะไร เขาตอบ ก็เพราะ คุณลักษณะเฉพาะของคนไทยจากรุ่นสู่รุ่น นี่แสดงว่า หมดรุ่นไดโนเสาร์(คนรุ่นผมนี่ล่ะ)ถูกต้องไหม ? เขาตอบหน้าตาเรียบเฉย ลุงคิดถูกครับ<br /><br />นับจากวันที่ผมรู้ซึ้งถึงแก่นคนรุ่นใหม่ ผมก็มีหน้าที่ปั่นเที่ยวให้สบายใจ ปฏิบัตฺธรรมให้มีความสุข หมดทุกข์ไม่ต้องวุ่นวายชีวิต เรียกว่าหมดเวลาแล้ว แต่เลือกตั้งต้องไปครับ &quot;มันคือหน้าที่&quot;<br /><br />เลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ใช่ ครับ อย่าลืม...ออกไปใช้สิทธิ์กันนะครับ
อีกครั้งนะครับ ขอให้ทุกท่านออกไปเลือก "คนที่รัก(คนดี) พรรค(ดี)ที่ใช่" และขอให้ครั้งนี้เป็นการสั่งสอนนักการเมือง ที่เขาหลอกเรามาเนิ่นนาน เสพสุขบนความทุกข์ของพวกเรา พรรคไหนที่ให้เรามากกว่า มีความเป็นอยู่ที่ดีกว่า ไม่ต้องไปพูดว่า พรรคไหนที่ไม่โกง ไม่กิน มันไม่มีครับ เข้าไปมันโกงมันกินกันสนุกสนาน และมันก็จะเป็นแบบนี้ไปอีกนาน

นักเรียนนอกจากหลายประเทศ ที่ผมได้สัมผัสและพูดคุยด้วย เขาพูดเป็นเสียงเดียวกันครับว่า "คุณลุงครับ บ้านเมืองจะทรงไปแบบนี้อีกไม่ต่ำกว่า ๓๐ ปี ถึงจะฟื้นกลับไปเหมือนประเทศที่เจริญ ๆ แล้ว เช่นญี่ปุ่น" ผมถามเพราะอะไร เขาตอบ ก็เพราะ คุณลักษณะเฉพาะของคนไทยจากรุ่นสู่รุ่น นี่แสดงว่า หมดรุ่นไดโนเสาร์(คนรุ่นผมนี่ล่ะ)ถูกต้องไหม ? เขาตอบหน้าตาเรียบเฉย ลุงคิดถูกครับ

นับจากวันที่ผมรู้ซึ้งถึงแก่นคนรุ่นใหม่ ผมก็มีหน้าที่ปั่นเที่ยวให้สบายใจ ปฏิบัตฺธรรมให้มีความสุข หมดทุกข์ไม่ต้องวุ่นวายชีวิต เรียกว่าหมดเวลาแล้ว แต่เลือกตั้งต้องไปครับ "มันคือหน้าที่"

เลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ใช่ ครับ อย่าลืม...ออกไปใช้สิทธิ์กันนะครับ
255449.jpg (73.77 KiB) เข้าดูแล้ว 993 ครั้ง
หลักฐานยืนยันผมใฝ่และสนใจเรื่องของนรกสวรรค์มาตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะสมัยเป็นเด็กผมเป็นเด็กวัดมาก่อน หลวงพ่อผมท่านมหาดิเรก มหาเกตุ เจ้าอาวาสวัดปิยาราม(ป่าแงะ) แม่ริม ท่านนำผมไปเลี้ยงและอยู่กับท่านที่วัด ท่านอบรมสั่งสอนเป็นอย่างดี แต่เพราะกรรมวิบากผมต้องหลุดจากสายธรรมเมื่อเริ่มเล่นดนตรี พบเพื่อน ดื่มสุรา กัญชา ยาฝิ่น แต่ก็ไม่ห่างธรรมเพียงแต่เป็นธรรมขั้นพื้นฐานทั่ว ๆ ไป คือ ศีล ๕ ที่ไม่ครบ สมาธิ ภาวนาไม่รู้เรื่องเลย ไม่เป็นด้วย ติดหวย ไหว้เจ้าพ่อ เจ้าแม่ สนุกสนานตามกระแสโลก คิดอย่างเดียวตัวเองถูกเสมอ<br /><br />จนได้มาเจออิทธิฤทธิ์ ของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ เช่นหลวงพ่อเกษม เขมโก, หลวงปู่ครูบาพรหมจักร วัดพระบาทตากผ้า, หลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง, หลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด, วิญญาณหลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล, หลวงพ่อ เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญญวิเวกแม่แตง ฯ และอีกหลาย ๆ องค์ เมตตาฉุดผมขึ้นจากนรกได้ทัน กล้าพูดได้ถ้าผมไม่มีธรรมะในหัวใจ ผมคงลงนรกไปนานแล้วครับ
หลักฐานยืนยันผมใฝ่และสนใจเรื่องของนรกสวรรค์มาตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะสมัยเป็นเด็กผมเป็นเด็กวัดมาก่อน หลวงพ่อผมท่านมหาดิเรก มหาเกตุ เจ้าอาวาสวัดปิยาราม(ป่าแงะ) แม่ริม ท่านนำผมไปเลี้ยงและอยู่กับท่านที่วัด ท่านอบรมสั่งสอนเป็นอย่างดี แต่เพราะกรรมวิบากผมต้องหลุดจากสายธรรมเมื่อเริ่มเล่นดนตรี พบเพื่อน ดื่มสุรา กัญชา ยาฝิ่น แต่ก็ไม่ห่างธรรมเพียงแต่เป็นธรรมขั้นพื้นฐานทั่ว ๆ ไป คือ ศีล ๕ ที่ไม่ครบ สมาธิ ภาวนาไม่รู้เรื่องเลย ไม่เป็นด้วย ติดหวย ไหว้เจ้าพ่อ เจ้าแม่ สนุกสนานตามกระแสโลก คิดอย่างเดียวตัวเองถูกเสมอ

จนได้มาเจออิทธิฤทธิ์ ของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ เช่นหลวงพ่อเกษม เขมโก, หลวงปู่ครูบาพรหมจักร วัดพระบาทตากผ้า, หลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง, หลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด, วิญญาณหลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล, หลวงพ่อ เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญญวิเวกแม่แตง ฯ และอีกหลาย ๆ องค์ เมตตาฉุดผมขึ้นจากนรกได้ทัน กล้าพูดได้ถ้าผมไม่มีธรรมะในหัวใจ ผมคงลงนรกไปนานแล้วครับ
357084.jpg (60.69 KiB) เข้าดูแล้ว 989 ครั้ง
1017.jpg
1017.jpg (131.26 KiB) เข้าดูแล้ว 989 ครั้ง
ท่านภิกษุณี นันทญานี (รุ้งเดือน สุวรรณ) เป็นอีกท่านหนึ่งที่ผมกราบแทบเท้าท่านอย่างสนิทใจ ท่านถามผมว่า &quot;เธอกล้าพอที่จะพูดเรื่องชั่วร้ายของเธอให้โลกได้รู้ ได้ไหมล่ะ&quot; เมื่อธรรมะเข้าสู่กระแสจิตแล้วไม่มีลังเล ผมตอบทันที &quot;ไม่มีปัญหาผมกล้าเสมอ&quot; จากนั้นท่านได้เมตตาให้ผมเดินสายไป (เล่าอดีตที่เลวร้ายแล้วกลับเนื้อกลับตัว เข้าวัดฟังธรรมได้ เป็นการเผยแพร่ธรรมะตอกย้ำยืนยัน &quot;คนเรากลับเนื้อกลับตัวได้&quot;) กับท่านบ่อยครั้งเมื่อเวลาอำนวย และท่านเมตตาให้ผมได้เขียนหนังสือเพื่อเผยแพร่ความรู้สึกนึกคิดของผม ซึ่งผมก็ทำสำเร็จเป็นความภูมิใจจนทุกวันนี้ครับ.<br /><br />เมื่อมีธรรมะในใจ ทุกข์ขนาดไหน ทนได้เสมอครับ แต่กรรมวิบากมันเป็นเรื่องที่ต้องชดใช้ หาคนที่เข้าใจเราไม่มีเลย ถามทุกข์ไหม ทุกข์ข้างนอก ข้างในผมยัง &quot;สำราญ&quot; เหมือนชื่อครับ
ท่านภิกษุณี นันทญานี (รุ้งเดือน สุวรรณ) เป็นอีกท่านหนึ่งที่ผมกราบแทบเท้าท่านอย่างสนิทใจ ท่านถามผมว่า "เธอกล้าพอที่จะพูดเรื่องชั่วร้ายของเธอให้โลกได้รู้ ได้ไหมล่ะ" เมื่อธรรมะเข้าสู่กระแสจิตแล้วไม่มีลังเล ผมตอบทันที "ไม่มีปัญหาผมกล้าเสมอ" จากนั้นท่านได้เมตตาให้ผมเดินสายไป (เล่าอดีตที่เลวร้ายแล้วกลับเนื้อกลับตัว เข้าวัดฟังธรรมได้ เป็นการเผยแพร่ธรรมะตอกย้ำยืนยัน "คนเรากลับเนื้อกลับตัวได้") กับท่านบ่อยครั้งเมื่อเวลาอำนวย และท่านเมตตาให้ผมได้เขียนหนังสือเพื่อเผยแพร่ความรู้สึกนึกคิดของผม ซึ่งผมก็ทำสำเร็จเป็นความภูมิใจจนทุกวันนี้ครับ.

เมื่อมีธรรมะในใจ ทุกข์ขนาดไหน ทนได้เสมอครับ แต่กรรมวิบากมันเป็นเรื่องที่ต้องชดใช้ หาคนที่เข้าใจเราไม่มีเลย ถามทุกข์ไหม ทุกข์ข้างนอก ข้างในผมยัง "สำราญ" เหมือนชื่อครับ
1147_0.jpg (105.75 KiB) เข้าดูแล้ว 989 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
ลุงเนตร
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 19852
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 19:20
Tel: 0898133936
team: อิสระ
Bike: Trek 3900, Dark Rock ทัวร์ริ่ง
ตำแหน่ง: ๔๖๕ ซอยจ่าโสด ถนนทางรถไฟเก่า แขวง,เขตบางนา กทม.๑๐๒๖๐
ติดต่อ:

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย ลุงเนตร »

"..สวัสดีครับ ท่านน้อง Deang sarapee และสมาชิกทุกท่าน วันนี้โอกาสดีได้เข้ามาติดตามความคืบหน้าของกระทู้นี้ พบว่ามีสาระดีๆมากมาย ขอบคุณมากครับ.."
ไฟล์แนบ
IMG20211130094414.jpg
IMG20211130094414.jpg (76.04 KiB) เข้าดูแล้ว 878 ครั้ง
*..ยิ่งปั่น..ยิ่งแข็ง..แรงยิ่งดี..โรคไม่ค่อยมี..ไม่ทุกข์..*
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D ออกตระเวนฟังความคิดเห็นผลการเลือกตั้ง :) :D

ลุงเนตร เขียน: 14 พ.ค. 2023, 19:15"..สวัสดีครับ ท่านน้อง Deang sarapee และสมาชิกทุกท่าน วันนี้โอกาสดีได้เข้ามาติดตามความคืบหน้าของกระทู้นี้ พบว่ามีสาระดีๆมากมาย ขอบคุณมากครับ.."

:) :D สวัสดีครับท่านผู้มีเกียรติและท่านพี่ที่เคารพ ขอบพระคุณท่านพี่ที่เข้ามาเยี่ยมเยียนกระทู้นี้ ความเคลื่อนไหวของท่านพี่ ทราบว่าพึ่งฉลอง ๘๐ ปีไปไม่กี่วัน แต่คุณพี่ใจใหญ่ แข็งแรงอีกต่างหาก มี plan ปั่นไปหาทุนเป็นการกุศลที่สำคัญท่านพี่จะเดินทางไปเที่ยว สิงค์โปร-มาเลย์เซีย ปั่นเดี่ยวอีกต่างหาก อิจฉาครับ ๆ นี่คือผลของการออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ ทำให้คุณพี่แข็งแรงและเป็นแบบอย่างแก่คนรุ่นหลังเป็นอย่างดี

ขออนุญาตุ ณ โอกาสนี้อาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั่วแผ่นดินนี้ ได้โปรดปกป้องคุ้มครอง ให้คุณพี่มีอายุยืนยาว เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเยาวชนคนรุ่นต่อ ๆ ไปอีกนานเท่านนาน นะครับ Happy Birthday to you"


:idea: :idea: ก่อนการเลือกตั้งไม่กี่วัน มีข้อความทางไลน์ส่งมาให้ได้คิด ผมชอบใจมาก save ไว้ว่าจะนำเสนอวันนี้ได้โอกาส ไปติดตามศึกษาหาความจริง คิดพิจารณากันครับ

เรื่องอีสาน2440

คำว่า”โค้งสุดท้าย”มาจากไหน น่าจะมาจากการแข่งขันกรีฑาอย่างน้อยก็วิ่ง400เมตร หนึ่งรอบสนามที่มี4โค้ง โค้งสุดท้ายต้องสปีดเต็มที่เข้าสู่เส้นชัย ตอนนี้การเลือกตั้งเข้าสู่โค้งสุดท้าย พรรคสองขั้วปล่อยคลิปมาประชันกัน เพื่อให้คนที่นิยมมีความเชื่อยิ่งขึ้น และจูงใจคนที่ยังไม่ตัดสินใจให้เกิดความเชื่อ และตัดสินใจเลือกในวันที่14 คลิปของพรรค2ขั้วนั้นก็แตกต่างกันสุดขั้วจริงๆ ฝ่ายหนึ่งใช้”ความหวัง” อีกฝ่ายใช้”ความกลัว” มาดูว่าอะไรจะจูงใจคนได้มากกว่ากัน จากบทความของ กล้า สมุทวณิช ในมติชนออนไลน์ 22 ตุลาคม 2562

ความเชื่อ เป็นคำที่ไม่มีความหมายในทางบวกหรือทางลบ ความเชื่อ เป็นเครื่องกำหนดความจริงสำหรับมนุษย์หรือแม้แต่สัตว์ที่มีระบบความคิด แต่จะเป็นความจริงในทางดีหรือร้าย ก็ขึ้นกับว่าความเชื่อถูกสร้างขึ้นบนต้นเชื้อของอะไร ระหว่างความหวัง หรือ ความกลัว

มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับช้างและเชือกที่มองไม่เห็น ที่ช้างตัวใหญ่กำยำถูกล่ามไว้ไม่ให้ไปไหนได้ด้วยเชือกเส้นเล็กๆ ที่มองจากสายตาของเด็กตัวน้อย ก็ยังรู้ว่าโดยกายภาพแล้ว เชือกนั้นไม่น่าจะเหนี่ยวรั้งช้างใหญ่ไว้ได้ เช่นนี้เด็กน้อยคนนั้นจึงถามผู้ใหญ่ที่อยู่กับเขาว่า ทำไมเชือกเพียงเท่านั้นจึงสยบช้างที่ทรงพลังได้

คำตอบคือ ช้างนั้นถูกเชือกเส้นนี้ล่ามไว้ตั้งแต่ครั้งมันยังเป็นลูกช้างตัวน้อย แรกเลยก็เชื่อว่ามันคงจะพยายามดื้อรั้นดิ้นรนผละหนีแต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ นานวันเข้าเจ้าช้างก็เชื่อว่ามันไม่มีทางหลุดหนีไปจากเจ้าเชือกที่ล่ามขามันเอาไว้ได้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม

หรือในการทดลองของนักสัตววิทยาชาวเยอรมัน Karl Möbius เคยทดลองปล่อยปลาไพก์ ซึ่งเป็นปลากินเหยื่อที่ดุร้ายมากลงไปในตู้ปลาสองชั้น ที่มีกระจกกั้นระหว่างส่วนที่ปล่อยปลานั่นไว้ กับชั้นนอกที่ปล่อยปลาเหยื่อที่เป็นอาหารของมัน ในตอนแรกเจ้าปลาดุพยายามพุ่งเข้าไปกินเหยื่อ แต่ก็ชนกระจกที่กั้น ในที่สุดก็มีวันหนึ่งที่เจ้าปลานั้นนอนนิ่งอยู่ก้นตู้ มองดูปลาเหยื่อว่ายไปมารอบๆ โดยไม่คิดพุ่งโผเข้าใส่อีก แม้แต่เมื่อนักทดลองนำกระจกกั้นออก แต่ปลานักล่าก็หาได้สนใจปลาเล็กปลาน้อยนั้นอีกเลย จนกระทั่งมันก็อดตายไปโดยไม่แม้แต่จะลองพุ่งเข้าหาเหยื่ออีกครั้ง

สิ่งที่ล่ามช้างใหญ่และกักขังปลาร้ายนั้นไม่ใช่เชือก แต่เป็นความเชื่อของพวกมันที่เกี่ยวกับเชือกและกำแพงกระจก

ความเชื่อที่เป็นเหมือนเชือกที่ทรงพลังและกำแพงที่มองไม่เห็นนั้น เกิดจากประสบการณ์และความเจ็บปวด ที่แม้แต่มนุษย์เราความเชื่อที่เป็นข้อจำกัดหรือบั่นทอนเราเองหลายครั้งก็เกิดจากประสบการณ์จริง ที่เราอาจจะเคยดิ้นรนต่อสู้ แต่เมื่อประสบความเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า คาดหวัง ลงมือต่อสู้ และก็ล้มเหลว การล้มลงทุกครั้ง ก็เหมือนการวางอิฐก่อกำแพงแห่งความเชื่อขึ้นมาจองจำตัวเองไว้ โดยที่ไม่กล้าจะเข้าไปทดสอบกับกำแพงที่มองไม่เห็นนั่นอีก เพราะเราก็ไม่อาจรู้ได้ว่า กำแพงมันจะหายไปเมื่อไร

หากสิ่งที่มนุษย์มีอยู่เหนือกว่าสัตว์ คือความสามารถที่จะไม่ต้องผูกความเชื่อไว้กับประสบการณ์เท่านั้น เพราะสิ่งที่พวกเรามีอยู่เป็นพิเศษ คือ “จินตนาการ” ที่สามารถนึกคิดหรือคาดหวังในสิ่งที่ยังไม่ได้เป็นจริงได้ และจินตนาการนั้นเองที่แปรเปลี่ยนไปเป็นความเชื่อได้โดยไม่ต้องอาศัยประสบการณ์จริง ที่แม้แต่ใช้เพื่อลบล้างประสบการณ์ที่เจ็บปวดก็ได้

สิ่งนั้นคือ “ความหวัง” ที่เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ยังคงเหลืออยู่ หลังจากความชั่วร้ายภัยพิบัติทั้งปวงถูกเปิดปล่อยออกไป

ความเชื่อที่ว่าความหวังนั้นสร้างความจริงได้ ปรากฏในแทบทุกศาสนาและตำนานของมนุษย์ จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นธรรมชาติชั้นสูงอย่างหนึ่งของเผ่าพันธุ์เรา ในแทบทุกวัฒนธรรมจะมีการสวดอธิษฐานขอพรด้วยความเชื่อที่ผ่องใสแรงกล้า เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระเจ้า จักรวาล หรือแม้แต่พลังภายในของเรา สร้างสรรค์ความจริงตามคำอธิษฐานนั้นให้เกิดขึ้น

หรือให้เป็นวิทยาศาสตร์กว่านั้น คือการฝึกฝนเชิงจินตนาการที่นักกีฬาอาชีพหลายคนกระทำควบคู่กับการฝึกซ้อมทางกายภาพ หลายคนใช้การไปยังสถานที่ที่จะแข่งขันหรือใกล้เคียงเพื่อทำสมาธิและจินตนาการถึงภาพต่างๆ ที่เขาจะให้เกิดขึ้นในการแข่งขันจริง ภาพที่เขากระโดดยัดห่วงทำแต้ม วิ่งแซงนักกรีฑาคนอื่นเข้าสู่เส้นชัย ท่าทางเมื่อรับถ้วยรางวัล พวกเขาจินตนาการภาพเหล่านั้นให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ อาจจะเหลือเชื่อที่จะกล่าวว่าส่วนใหญ่แล้วมันได้ผล นักกีฬาระดับโลกคนหนึ่งที่อ้างอิงได้ว่าใช้วิธีนี้ คือ ไมเคิล เฟ็ลปส์ ซึ่งเขาไม่ได้เพียงแต่จินตนาการถึงความสำเร็จเท่านั้น แต่เขายังจินตนาการล่วงหน้าถึงปัญหาที่อาจจะเกิด และภาพของเขาที่จะแก้ไขหากปัญหานั้นเกิดขึ้นจริงๆ ด้วย

ความเชื่อที่มาจากความหวังหรือความกลัวที่กลายเป็นความสิ้นหวังนั้นทรงพลังอย่างไร ก็ถึงขนาดที่ยุทธวิธีสำคัญอย่างหนึ่งในทางทหาร คือการใช้ปฏิบัติการทางจิตวิทยา ที่นอกจากการปลุกความหวัง ขวัญและกำลังใจ ให้แก่ฝ่ายเดียวกับตนแล้ว การเหนี่ยวรั้งเราไว้ด้วยเชือกแห่งความกลัว ขังเราด้วยกำแพงแห่งความสิ้นหวัง คือภารกิจอีกด้านหนึ่งของปฏิบัติการข่าวสารและจิตวิทยา เพื่อการต่อสู้หรือต่อต้าน

แล้วความเชื่อที่มาจากความหวังนั้นจะเปลี่ยนความจริงของเราได้อย่างไร สิ่งแรกคือเราจะต้องปรับวิธีคิดและทัศนคติของเราก่อนว่า ความเชื่อนั้นไม่ต้องเกิดจากประสบการณ์เท่านั้น แต่มันมาจากจินตนาการและความหวังก็ได้ กล่าวคือ เราไม่ต้องรอให้สิ่งใดเกิดขึ้น “จริง” ก่อน แล้วเราค่อย “เชื่อ” แต่เราต้อง “เชื่อ” ก่อนมันถึงจะ “จริง”

เมื่อเรา “เชื่อ” แล้ว ก็ให้ความเชื่อของเรานั้นกำหนด “การกระทำ” ของเรา ซึ่งการกระทำนั้นเองที่จะสร้างความจริง แต่การกระทำของเราเพียงคนเดียวอาจจะไม่เพียงพอ เราต้องร่วมมือกับเพื่อนมนุษย์คนอื่นด้วย

แต่ละคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดกำลัง ความพยายามของปัจเจกชนแต่ละคนนั้นไม่สูญเปล่า คำสอนที่ว่าทำที่ตัวเราให้ดีแล้วสังคมจะดีไม่ใช่คำสอนเพื่อให้ละเลยต่อปัญหาสังคมหรือเชิงโครงสร้าง ถ้าการทำในส่วนของเราให้ดีนั้นมาจากการคิดให้ตกผลึกว่า สิ่งที่เราจะทำนั้นอยู่ตรงส่วนไหนของเรื่องราวทั้งหมด บทบาทของเราจะช่วยสร้างอะไรให้แก่ภาพใหญ่ในความหวังของเรา ที่เราอยากจะเห็นได้

ถ้าอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้แล้ว ก็ตัดสินใจเองเถอะว่าจะใช้ "ความหวัง” หรือ "ความกลัว” เมื่อเข้าคูหากาบัตรในวันที่14
:idea: :idea:

:) :D วันนี้เวลานี้แม้จะยังไม่เป็นเอกฉันท์ แต่ก็พอทราบนะครับว่า ประชาชนเขาใช้ความหวังหรือความกลัว ดังนั้นฝั่งที่แพ้การเลือกตั้งได้ข่าวแว่ว ๆ ว่าอาจมีการป่วน รวน กวน ให้ขุ่น ไปจนถึงการลากยาวไปเป็นปี วิงวอนว่า "อย่าทำเลยนะครับ ขอร้อง ขอให้เสียงของประชาชนได้ทำหน้าที่ ไปให้สุดทาง แล้วเราไปเริ่มต้นกันใหม่อีก ๔ ปี ไม่นานนะครับ :o :o
ไฟล์แนบ
สุขสันต์วันเกิด ๘๐ ปี ที่ยิ่งใหญ่ ขอให้ท่านพี่มีความสุข สุขภาพแข็งแรง เป็นแบบอย่างในเรื่องการรักสุขภาพและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนความไม่ประมาทในชีวิต ตระเวนเก็บบุญสั่งสมบุญไว้เป็นเสบียงติดตัว เตรียมเดินทางไกลต่อไป
สุขสันต์วันเกิด ๘๐ ปี ที่ยิ่งใหญ่ ขอให้ท่านพี่มีความสุข สุขภาพแข็งแรง เป็นแบบอย่างในเรื่องการรักสุขภาพและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนความไม่ประมาทในชีวิต ตระเวนเก็บบุญสั่งสมบุญไว้เป็นเสบียงติดตัว เตรียมเดินทางไกลต่อไป
DSC_6124.JPG (77.91 KiB) เข้าดูแล้ว 868 ครั้ง
ขอเตือนบรรดา สส.ทั้งหลาย ประชาชนเขาลงทุน ลงแรงไปเลือกพวกท่าน เพื่อให้เข้ามาบริหารประเทศเพื่อความอยู่ดีมีสุข และความเจริิญรุ่งเรืองของบ้านเมือง ท่านอย่าลืมนะครับ ความหวังของประชาชนฝากไว้ที่ท่านแล้วครับ อย่าลืมคำมั่นสัญญาต่าง ๆ ที่ให้ไว้ เทวดา ฟ้าดินจะช่วยเหลือเกื้อกูลคนที่ &quot;มีสัจจ มีศีลธรรมประจำใจ&quot; ขอให้เชื่อว่า &quot;ปัจจุบันนี้ กรรมมันติดจรวดแล้ว &quot; อย่าประมาทและเล่นเอาเถิดกับกรรม<br /><br />กรรมคือการกระทำ กรรมดีผลดี กรรมชั่วผลชั่ว ท่านสร้างกรรมที่ดี วิบากกรรมที่ส่งถึงท่านคือสิ่งดี ๆ ตรงข้ามกับกับความเลว ความชั่ว วันนี้ เวลานี้ กรรมชั่วไม่ให้ผลไม่ใช่ว่าจะไม่มีผลเมื่อผลมันเกิด &quot;มันเจ็บปวดมาก ๆ นะ&quot; ตัวอย่างเจ็บ ๆเร็ว ๆ นี้ ก็ &quot;สมีคม&quot; นั่นไง
ขอเตือนบรรดา สส.ทั้งหลาย ประชาชนเขาลงทุน ลงแรงไปเลือกพวกท่าน เพื่อให้เข้ามาบริหารประเทศเพื่อความอยู่ดีมีสุข และความเจริิญรุ่งเรืองของบ้านเมือง ท่านอย่าลืมนะครับ ความหวังของประชาชนฝากไว้ที่ท่านแล้วครับ อย่าลืมคำมั่นสัญญาต่าง ๆ ที่ให้ไว้ เทวดา ฟ้าดินจะช่วยเหลือเกื้อกูลคนที่ "มีสัจจ มีศีลธรรมประจำใจ" ขอให้เชื่อว่า "ปัจจุบันนี้ กรรมมันติดจรวดแล้ว " อย่าประมาทและเล่นเอาเถิดกับกรรม

กรรมคือการกระทำ กรรมดีผลดี กรรมชั่วผลชั่ว ท่านสร้างกรรมที่ดี วิบากกรรมที่ส่งถึงท่านคือสิ่งดี ๆ ตรงข้ามกับกับความเลว ความชั่ว วันนี้ เวลานี้ กรรมชั่วไม่ให้ผลไม่ใช่ว่าจะไม่มีผลเมื่อผลมันเกิด "มันเจ็บปวดมาก ๆ นะ" ตัวอย่างเจ็บ ๆเร็ว ๆ นี้ ก็ "สมีคม" นั่นไง
235628.jpg (58.63 KiB) เข้าดูแล้ว 868 ครั้ง
ไปเที่ยวลำปางกันต่อ ครั้งนี้จะพาไปที่วัดเจดีย์ซาวครับ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสุสานไตรลักษณ์ครับ
ไปเที่ยวลำปางกันต่อ ครั้งนี้จะพาไปที่วัดเจดีย์ซาวครับ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสุสานไตรลักษณ์ครับ
DSC_6242.JPG
DSC_6243.JPG
DSC_6244.JPG
DSC_6244.JPG (136.91 KiB) เข้าดูแล้ว 868 ครั้ง
DSC_6245.JPG
DSC_6245.JPG (109.43 KiB) เข้าดูแล้ว 868 ครั้ง
DSC_6246.JPG
DSC_6246.JPG (92.53 KiB) เข้าดูแล้ว 868 ครั้ง
DSC_6247.JPG
DSC_6247.JPG (81.88 KiB) เข้าดูแล้ว 868 ครั้ง
DSC_6248.JPG
DSC_6248.JPG (75.06 KiB) เข้าดูแล้ว 868 ครั้ง
DSC_6249.JPG
DSC_6249.JPG (77.37 KiB) เข้าดูแล้ว 868 ครั้ง
DSC_6250.JPG
DSC_6250.JPG (74.4 KiB) เข้าดูแล้ว 868 ครั้ง
DSC_6251.JPG
DSC_6251.JPG (123.96 KiB) เข้าดูแล้ว 868 ครั้ง
DSC_6252.JPG
DSC_6252.JPG (124.71 KiB) เข้าดูแล้ว 868 ครั้ง
DSC_6253.JPG
DSC_6253.JPG (146.38 KiB) เข้าดูแล้ว 868 ครั้ง
DSC_6254.JPG
DSC_6255.JPG
DSC_6256.JPG
DSC_6256.JPG (139.6 KiB) เข้าดูแล้ว 868 ครั้ง
DSC_6257.JPG
DSC_6257.JPG (84.11 KiB) เข้าดูแล้ว 868 ครั้ง
ออกจากสุสานไตรลักษณ์ เราก็พากันไปวัดเจดีย์ซาวซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนักประมาณ ๓ - ๔ กม.ครับ<br /><br />วัดพระเจดีย์ซาวหลัง จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี<br /><br />วัดพระเจดีย์ซาวหลัง (คำเมือง: LN-Wat Chedi Sao.png) ตั้งอยู่ที่ตำบลต้นธงชัย อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง ห่างจากตัวเมืองไปทางทิศเหนือ 5 กิโลเมตรตามถนนสายลำปาง-แจ้ห่ม เป็นวัดใหญ่อยู่กลางทุ่งนา บริเวณวัดร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ &quot;ซาว&quot; แปลว่า 'ยี่สิบ' และ &quot;หลัง&quot; แปลว่า 'องค์' วัดพระเจดีย์ซาวหลัง แปลว่า &quot;วัดที่มีเจดีย์ 20 องค์&quot;<br /><br />วัดนี้เป็นปูชนียสถานที่สำคัญของจังหวัดลำปางสร้างแต่โบราณ ทรงคุณค่าทั้งทางด้านประวัติศาสตร์และโบราณวัตถุ จากหลักฐานการขุดพบพระเครื่องสมัยหริภุญชัยที่องค์พระเจดีย์ ทำให้สันนิษฐานได้ว่าวัดนี้สร้างมานานกว่าพันปีสิ่งที่น่าชมภายในวัดคือ องค์พระธาตุเจดีย์ซาว ที่มีศิลปะล้านนาผสมศิลปะพม่า ข้างหมู่พระเจดีย์มีวิหารหลังเล็ก ประดิษฐานพระพุทธรูปสำริดปางสมาธิ ศิลปะเชียงแสน ชาวบ้านเรียกว่า &quot;พระเจ้าทันใจ&quot;<br /><br />พระเจ้าแสนแซ่ทองคำ<br /><br />พระอุโบสถหลังใหญ่ซึ่งประดิษฐานพระประธาน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่มีพุทธลักษณะงดงาม บานประตูทั้งสามเป็นของโบราณ เขียนลวดลายรดน้ำละเอียดสวยงาม เสาซุ้มประตูหน้าต่างประดับลวดลายกระจกสีเป็นลักษณะศิลปะสมัยใหม่ และที่ศาลาการเปรียญเรือนไม้ชั้นเดียวด้านหลังพระอุโบสถ ได้จัดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงโบราณวัตถุที่ชาวบ้านนำมาถวาย นอกจากนี้ เมื่อ พ.ศ. 2526 ชาวบ้านได้ขุดพบพระพุทธรูปทองคำบริสุทธิ์หนัก 100 บาทสองสลึง มามอบให้แก่ทางวัดซึ่งพระพุทธรูปองค์นี้ชื่อว่า &quot;พระแสนแซ่ทองคำ&quot; เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสมัยล้านนา ราวพุทธศตวรรษที่ 21 ขนาดหน้าตักกว้าง 9 นิ้วครึ่ง สูง 15 นิ้ว เป็นพระพุทธรูปทองคำองค์แรกที่ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณวัตถุแห่งชาติ<br /><br />มีเรื่องเล่าไว้ว่า  จากประวัติมีว่า เมื่อ ๕๐๐ ปี หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว มีพระอรหันต์จากอินเดียสองรูป ได้จาริกเผยแผ่พระพุทธศาสนามาถึงยังบริเวณนี้ เห็นสถานที่เงียบสงบเหมาะที่จะบำเพ็ญธรรม จึงใช้เป็นที่พำนักอาศัยปฏิบัติวิปัสนา และอบรมสั่งสอนพุทธศาสนิกชนในละแวกนั้น จนมีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น ในครั้งนั้นพญามิลินทรผู้แตกฉานในหลักธรรม ได้มาสนทนาซักถามปัญหาธรรมกับพระอรหันต์เถระทั้งสองรูป และมีความประสงค์จะทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา พระอรหันต์ทั้งสองรูปได้ใช้มือลูบศีรษะ มีเส้นเกศาติดมือมารูปละสิบเส้น แล้วมอบให้พญามิลินทร พญามิลินทรได้สร้างเจดีย์ขึ้นยี่สิบองค์ แล้วนำเอาเส้นเกศาบรรจุในเจดีย์องค์ละเส้น ต่อมาคนทั้งหลายจึงเรียกวัดนี้ว่า วัดเจดีย์ซาวหลัง เจดีย์ทั้งยี่สิบหลังนี้ ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ในสมัยของเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าผู้ครองนครลำปางเสร็จเรียบร้อย เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๖ ลักษณะการก่อสร้างเป็นศิลปะแบบพม่าผสมศิลปะล้านนา องค์ใหญ่สุดอยู่ตรงกลาง แวดล้อมด้วยเจดีย์อีกสิบเก้าองค์ ด้านหน้าของเจดีย์แต่ละองค์ทำเป็นซุ้ม มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ข้างใน
ออกจากสุสานไตรลักษณ์ เราก็พากันไปวัดเจดีย์ซาวซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนักประมาณ ๓ - ๔ กม.ครับ

วัดพระเจดีย์ซาวหลัง จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

วัดพระเจดีย์ซาวหลัง (คำเมือง: LN-Wat Chedi Sao.png) ตั้งอยู่ที่ตำบลต้นธงชัย อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง ห่างจากตัวเมืองไปทางทิศเหนือ 5 กิโลเมตรตามถนนสายลำปาง-แจ้ห่ม เป็นวัดใหญ่อยู่กลางทุ่งนา บริเวณวัดร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ "ซาว" แปลว่า 'ยี่สิบ' และ "หลัง" แปลว่า 'องค์' วัดพระเจดีย์ซาวหลัง แปลว่า "วัดที่มีเจดีย์ 20 องค์"

วัดนี้เป็นปูชนียสถานที่สำคัญของจังหวัดลำปางสร้างแต่โบราณ ทรงคุณค่าทั้งทางด้านประวัติศาสตร์และโบราณวัตถุ จากหลักฐานการขุดพบพระเครื่องสมัยหริภุญชัยที่องค์พระเจดีย์ ทำให้สันนิษฐานได้ว่าวัดนี้สร้างมานานกว่าพันปีสิ่งที่น่าชมภายในวัดคือ องค์พระธาตุเจดีย์ซาว ที่มีศิลปะล้านนาผสมศิลปะพม่า ข้างหมู่พระเจดีย์มีวิหารหลังเล็ก ประดิษฐานพระพุทธรูปสำริดปางสมาธิ ศิลปะเชียงแสน ชาวบ้านเรียกว่า "พระเจ้าทันใจ"

พระเจ้าแสนแซ่ทองคำ

พระอุโบสถหลังใหญ่ซึ่งประดิษฐานพระประธาน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่มีพุทธลักษณะงดงาม บานประตูทั้งสามเป็นของโบราณ เขียนลวดลายรดน้ำละเอียดสวยงาม เสาซุ้มประตูหน้าต่างประดับลวดลายกระจกสีเป็นลักษณะศิลปะสมัยใหม่ และที่ศาลาการเปรียญเรือนไม้ชั้นเดียวด้านหลังพระอุโบสถ ได้จัดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงโบราณวัตถุที่ชาวบ้านนำมาถวาย นอกจากนี้ เมื่อ พ.ศ. 2526 ชาวบ้านได้ขุดพบพระพุทธรูปทองคำบริสุทธิ์หนัก 100 บาทสองสลึง มามอบให้แก่ทางวัดซึ่งพระพุทธรูปองค์นี้ชื่อว่า "พระแสนแซ่ทองคำ" เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสมัยล้านนา ราวพุทธศตวรรษที่ 21 ขนาดหน้าตักกว้าง 9 นิ้วครึ่ง สูง 15 นิ้ว เป็นพระพุทธรูปทองคำองค์แรกที่ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณวัตถุแห่งชาติ

มีเรื่องเล่าไว้ว่า จากประวัติมีว่า เมื่อ ๕๐๐ ปี หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว มีพระอรหันต์จากอินเดียสองรูป ได้จาริกเผยแผ่พระพุทธศาสนามาถึงยังบริเวณนี้ เห็นสถานที่เงียบสงบเหมาะที่จะบำเพ็ญธรรม จึงใช้เป็นที่พำนักอาศัยปฏิบัติวิปัสนา และอบรมสั่งสอนพุทธศาสนิกชนในละแวกนั้น จนมีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น ในครั้งนั้นพญามิลินทรผู้แตกฉานในหลักธรรม ได้มาสนทนาซักถามปัญหาธรรมกับพระอรหันต์เถระทั้งสองรูป และมีความประสงค์จะทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา พระอรหันต์ทั้งสองรูปได้ใช้มือลูบศีรษะ มีเส้นเกศาติดมือมารูปละสิบเส้น แล้วมอบให้พญามิลินทร พญามิลินทรได้สร้างเจดีย์ขึ้นยี่สิบองค์ แล้วนำเอาเส้นเกศาบรรจุในเจดีย์องค์ละเส้น ต่อมาคนทั้งหลายจึงเรียกวัดนี้ว่า วัดเจดีย์ซาวหลัง เจดีย์ทั้งยี่สิบหลังนี้ ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ในสมัยของเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าผู้ครองนครลำปางเสร็จเรียบร้อย เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๖ ลักษณะการก่อสร้างเป็นศิลปะแบบพม่าผสมศิลปะล้านนา องค์ใหญ่สุดอยู่ตรงกลาง แวดล้อมด้วยเจดีย์อีกสิบเก้าองค์ ด้านหน้าของเจดีย์แต่ละองค์ทำเป็นซุ้ม มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ข้างใน
DSC_6258.JPG (95.24 KiB) เข้าดูแล้ว 868 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D สวัสดียามเย็น ครับ พี่น้อง การเลือกตั้งผ่านไปด้วยดี เขตเลือกตั้งบ้านผม ไม่นึกไม่ฝันว่ามวยจะพลิกล็อคนะครับ "รักพี่เสียดายน้อง" เลือกคนไม่เลือกพรรค แต่ถ้าเลือกพรรคไม่เลือกคน (ไม่เคยปรากฏเรียกว่าเป็นครั้งแรกก็ว่าได้) จากนี้ไปอีกไม่นานเราก็จะเห็นการพลิกล็อคอีกหลายๆ รูปแบบ ประเทศไทยของเราก็จะเป็นแบบนี้ครับ ติดตามไปครับอย่าเครียดละกัน ในกลุ่มไลน์หลาย ๆ กลุ่มความคิดความอ่านก็แตกต่างกันไป ไม่มีปัญหา "โลกก็เป็นแบบนี้ละครับ" ความเห็นที่แตกต่างที่เขาเรียกกันว่า ประชาธิปไตย ครับ

อย่างไรเสียเมื่อการเลือกตั้งสิ้นสุด ทุกคนต้องเคารพผลการเลือกตั้ง ผมสดุดใจจากกลุ่มไลน์ที่ส่งเข้ามาให้ผมได้อ่าน มีอยู่รายหนึ่งอ่านแล้ว "ว้าว...โดนใจ" ก็ขอนำมาเล่าให้ทางกระทู้ทางนี้ได้ติดตาม ขออย่า serious กันนะครับ ไปอ่านกัน
:) :D

:o :o :o ได้รับจากห้องอื่น..ไม่ทราบผู้เขียน....

ก้าวไกล vs อนุรักษ์นิยม ใครชนะ

ปกติผมไม่เขียนเรื่องการเมืองเลย เพราะมีพี่น้องและผู้ใหญ่ที่นับถือ อยู่ทุกพรรค แต่วันนี้จะมาพูดภาพรวมให้ฟังก็พอ

ถ้ามองภาพแค่วันนี้ ดูเหมือน ฝั่งอนุรักษ์นิยม จะชนะ เพราะมีทั้ง สว 250 ทั้งองค์กรอิสระ ช่วยทั้งคะแนนเลือกตั้ง ทั้งรอยุบพรรคด้วยข้อหา ประหลาดๆ ซึ่งเอาเข้าจริง ก็ไม่ได้ประหลาดใจเท่าไหร่ เพราะคนระดับนายกสมัคร ยังตกเก้าอี้ด้วยข้อหาทำกับข้าว ออกทีวี เรื่องอื่นก็คงไม่ต้องพูดถึง ข้อหาอะไรก็ยัดๆได้หมดแหละงั้น

ชัยชนะ ของฝั่ง ขวานั้น คือการเป็นรัฐบาลวันนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องทำอะไร น่าเกลียดขนาดไหน นั้นคือชัยชนะของเขา ซึ่งเอาเข้าจริง กองเชียร์ขวาก็รู้ แต่ ก็กูได้เปรียบอยู่ ก็เลยลืมๆไปซะ

แต่ถ้ามามองภาพรวม ส่วนตัวผมว่า พวกซ้ายแบบก้าวไกล นั้นชนะ ทุกกระดานมาเรื่อยๆ โดยทีืฝั่งอนุรักษ์นิยม หลงกลเขาโดยไม่รู้ตัว

ผมไม่คิดว่า ฝั่งพวกซ้าย มีเป้าหมายจะเป็นรัฐบาลในวันนี้ ไม่งั้นจะขาดใจตายเหมือนพวกนักการเมืองรุ่นเก่า

แต่เป้าหมายเขาคือ การชนะใจคนรุ่นใหม่ ให้เกลียดอีกฝั่งแบบชาตินี้ไม่เผาผี กับฝั่งซ้าย อันนี้ เขาทำสำเร็จมาเรื่อยๆแบบที่มี พวกอนุรักษ์นิยม ทำตามบทของเขาแบบไม่รู้ตัว

การที่ใครจะเป็นพระเอกได้ ในบทมันต้องมีผู้ร้าย ผู้ร้ายตามบทหนัง ควรเป็นเผด็จการ บ้าอำนาจ หน้าตาแก่ๆโกงๆ สมุนก็ปากดี แต่ทำงานไม่เป็น มีกลโกงแบบโจ้งแจ้งสารพัด ถือปืน พลิกแพลงกฎเข้าข้างตัว แถกันแบบ คนดูร้องโห่ทั้งโรง อันนี้ พวกขวาทำครบ แถมตีบทแตกแบบ เทคเดียวผ่านมาตลอดหลายปี จนคนดูส่ายหัวทั้งโรง

ส่วนพระเอก ต้องหน้าตาหล่อ มีฝีมือ และก็ต้องโดนรังแก ให้คนเห็นใจ แต่ก็ยังสู้ เพื่อกู้โลก เพื่อประชาชน ต้องโดนเหยียบย่ำในช่วงแรกให้คนดูเอาใจช่วย โดนแล้วก็ต้องลุกขึ้นมาพูดจาคมๆ กระแทกใจคนดูแล้วสู้ยิบตาต่อ
คนดูก็เชียร์ สุดหัวใจ ร้องไห้ตาม

อันนี้ พวกก้าวไกล ทำครบ แถมตีบทแตกแบบเทคเดียวผ่าน แม่ยก เชียร์ช่วยทั้งโรงเหมือนกัน

ธนาธรเองก็เคยบอกไว้ว่าตามแผนเขา ใช้สี่การเลือกตั้ง หรือ 16 ปี ในการจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ถ้าตามแผนเดิมเขา นี่เพิ่งเดินมาแค่ สี่ปี หรือยกแรก แต่ก็ดูเหมือนเขาเดินมาเร็วกว่าแผนของเขาอีก เพราะอนุรักษ์นิยมดันทำทุกอย่างไปเร่งให้เขาชนะ

คนชอบไปคิดว่า การถูกยุบพรรค ทำให้ พวกเด็กๆแพ้ กลับบ้่านไปเล่นเกม เลิกเล่นดีกว่าไม่สนุกแล้ว แต่ผมคิดกลับด้าน

เด็กๆ พวกนี้ ฉลาดเป็นกรด ผมว่า การรอให้โดนยุบพรรคเป็นหนึ่งในแผนของเขา

โถ ประสบการณ์ในอดีต ที่เห็นไทยรักไทย พลังประชาชน นายกสมัคร และอีกมากมาย เด็กพวกนี้ เห็นมาตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่น เที่ยวผับ วันที่เขาวางแผน เขาจะไม่รู้รึ ว่าตัวเองจะโดน ถ้าเป็นผม ใน war room นี่คือ ซีนแรก ที่ต้องวางเลยว่า มันเป็นแบบนี้ 100% เดี๋ยวเราจะโดนยุบพรรค เราจะเก็บซีนอย่างไร ให้ได้ใจคนดู ให้เกลียดอีกฝั่งแบบจับใจ เขาไม่ได้หวังคนแก่ ที่ดัดนิสัยไม่ได้ เขาหวังเด็กๆ รุ่นใหม่ และก็ได้ผลเต็มๆ

วันแรกที่เขาตั้งพรรค อนาคตใหม่ ผมเชื่อว่า ในเวลาหาเสียง 60 วัน ธนาธร ไม่คิดหรอกว่าจะได้ สส ขนาดนี้ คงกะแค่ เจ็ดแปดเสียง เข้าไปเป็นฝ่ายค้านด่าเก็บดอก ก็หรูพอแล้ว

แต่พวกคนแก่ เล่นใหญ่เกินเรื่อง แถมมีเรื่องยุบพรรคอื่น ที่ทำให้คะแนนไหลไปหา ธนาธร เลยเปิดตัวมาซะ 80 เสียง ตัวคนได้ยัง งง เอง แต่ก็ต้องไหลไปตามเกม แถมยังไปตัดสิทธ์ ธนาธร ช่วยให้เขาดังระดับโลกไปอีก ด้วยข้อหาแบบ อัยการไม่ฟ้องภายหลัง

ผมว่าอยู่ในแผนของเขา เขารู้อยู่แล้วล่ะว่าเขาจะโดนไม้นี้และเตรียมไว้แล้ว แต่คงคิดในใจว่าน่าจะโดนข้อหาทำกับแกล้ม ออกยูทูปอะไรมากกว่า ข้อหา ถือหุ้นสื่อที่ปิดไปนานแล้ว

ถ้าธนาธรไม่โดนวันนั้น พิธา ก็ยังไม่ได้เกิด เพราะรัศมี ธนาธร กับ ปิยบุตร ช่อ จะบังไว้ ความดังก็อาจแค่ระดับ หมอวาโย ณ วันนี้

แต่พอพวกคนแก่ ทุบโครม ตามแผนเขา เขาก็ดัน พิธาที่เตรียมไว้ขึ้นทันที และก็ได้ผลสมใจ แถมพิธาตีบทแตกกระจุย
ด้วยความหล่อบวกดีกรีมหาลัยระดับโลก แถมไม่เคยตายไมค์ กลายเป็นซุปตาร์ระดับ ยืนหนึ่งแบบไม่มีใครเทียบทันที
คราวนี้ เด็กๆ ก็ได้ซุปตาร์ มาเพิ่มฟรี คือ ธนาธร อันนั้นดังติดลมบนไปแล้ว พิธามาเป็นหน้าใหม่ แถมยังมี มือรองๆระดับ โรม วิโรจน์ มาแซมเวที อีกเพียบ

ยุบพรรค ตัดสิทธิ์ สส เด็กๆ เขาไม่สนหรอก แผนเขาเกมยาว เป้าหมายเขาคือ ทำให้คนเห็นว่า พวกคนแก่นั้น น่าเกลียดเพียงใด ทำทุกอย่างได้เพื่อให้ตัวเองมีอำนาจวันนี้แบบไม่สนหน้าอินทร์ หน้าพรหม และก็สมใจ บางคนออกมาบอกว่า ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยไปก่อน ด้วยมือ 250 สว และใช้แม่เหล็กดึงเอาทีหลัง แฉแผนโจ๋งครึ่มเหมือนผู้ร้ายในหนังฝรั่งทุนต่ำ ที่ชอบแฉแผนตัวเองก่อนจะฆ่าพระเอกแล้วตายเองตอนจบขนาดนี้ เด็กรุ่นใหม่ 6 ล้านเสียงจะไปไหน นอกจากไปก้าวไกลหมด ไม่เหลือให้พรรคอื่นเลย

แถมตัดสิทธ์ ธนาธร แล้วธนาธรกลับบ้านเลี้ยงลูกซะเมื่อไหร่ ก็ยังเป็นกรรมธิการงบประมาณ เดินอยู่ในสภาแถวนั้นแหละ เพียงแต่ ไม่ได้ติดบัตรเขียนว่า สส เท่านั้น แต่ความดังทะลุฟ้าไปแล้วระดับอินเตอร์ กลายเป็นตำนานเดินได้ ต้องขอบคุณพวกคนแก่ที่ดันเขามาถึงขนาดนี้

รอบนี้ไม่เข็ด จะเอาข้อหา itv ที่เด็กรุ่นใหม่เกิดไม่ทัน มายัดต่อ เด็ก งง ทั้งประเทศ itv มันคืออะไรวะ กระทั่งคุณนิพิษฎ์ ปชปเก่า ตอนนี้อยู่พลังประชารัฐ ฝั่งตรงข้าม ขนาดเป็นคู่แข่งยังทนดูไม่ได้ ต้องรีบมาปรามกรรมการ บอกไม่หวายๆ เดี๋ยวกองเชียร์หายหมด หนักกว่าซีเกมส์เขมรอีก

คู่แข่งยังทนดูไม่ได้ แล้วคนดูจะทนดูได้เรอะ.....แต่พระเอกรับคะแนนแม่ยกไปแล้วเต็มๆ......ตอนนี้เด็กๆ คงหัวเราะก๊าก ทำอะไรตามแผนกูหมดเลย ซึ่งเขาก็รู้ว่า เดี๋ยวพวกคนแก่จะยุบก้าวไกล แหม คนทั้งประเทศรู้ สามล้อ แท๊กซี่รู้ ทำไมเด็กพวกนี้จะไม่รู้ เผลอๆ ตอนนี้ดีไซน์ โลโก้พรรคใหม่เสร็จแล้ว รอว่าเมื่อไหร่จะยุบ กูซะที เร็วๆ หน่อย รอไม่ไหวแล้ว จะได้เก็บคะแนนสงสาร เพิ่มอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ และตำนาน เพิ่มความแค้นให้ผู้คน แบบเดือดเกินร้อย สะสมให้รอวันระเบิด

ธนาธร กับพิธา ก็ดังค้างฟ้าไปเหมือนพี่เบิร์ด และปั้นซุปตาร์ตัวใหม่ น่าจะเป็นไอติม หรือ บ่มดีๆ อีกพักยังมี สี่จตุรเทพ มีนไชยนันท์ ที่หล่อราวกับเทพบุตร รวยหมื่นล้าน ถ้าเดินขึ้นมานำเมื่อไหร่ สาวๆตายหนักกว่าพิธา แต่บทยังไม่มา รอคนแก่ ยัดให้อยู่ แต่เดี๋ยวก็มาแน่นอน ไม่มีผิดหวัง

ตัวดีๆ หล่อๆแบบนี้ พวกเด็กๆมีอีกเพียบ แค่ยืนรอบท จากคนแก่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร ดังแบบข้ามวันได้เลย นักการเมืองพรรคอืืนบ่น กูยืนมาสิบปี เหมือนพี่หนวด พยายามขี่ทั้งม้า แต่งชุดลิเก ยังไม่ดังสมใจ มีแต่คนไปถามว่ารับแก้บนมั้ย
ยังไม่ดังได้เท่าเด็กๆพวกนี้ วันเดียวเลย

เอาจริงเข้าผมว่า พิธายังไม่อยากเป็นนายกหรอก แต่ก็เล่นตามบททไหลตามกระแสที่ส่งมา โย่ว นี่คือเสียงของนายก เด็กกรี้ดสนั่น สาวสลบ แต่เอาเข้าจริง เข้าไปเป็นนายกตอนนี้ รับรอง ทำอะไรไม่ได้ เพราะ ขรก ประจำ ยืนขวางอยู่ ไอ้ที่บอกว่า นักการเมืองโกงกิน ถ้าเอาเรื่องจริง สุดท้ายคือ ขรก ประจำนี่แหละมากที่สุด นักการเมือง ยังสอบได้มั่ง ตกมั่ง เป็นฝ่ายค้านมั่ง แต่ ขรก ประจำนี่แหละ กินนาน กินทน กินยันเกษียณ นักการเมืองทำอะไรไม่ได้เลย ถ้า ขรก ไม่เขียนชง ใส่พานมาประเคนแล้วแบ่งกัน จะให้ รมต เดินไป เอาเงินสดในกระทรวงกลับบ้านยังไง ถ้าระดับตั้งแต่ ผอ ยัน อธิบดี ไม่ชงไปให้เซ็น แต่ด่านักการเมืองมันสนุกไง ภาพชัดดี ด่าแล้วเท่ดี ก็เลยเอากันแค่นี้พอ

เกมนี้ถ้ามองกว้างๆ ผมว่า คนแก่ถูกเด็กหลอก เดินตามแผน เขาไปแล้ว เพราะชัยชนะของพวกเด็กๆ เขาไม่ได้ต้องการเป็นรัฐบาลวันนี้เดี๋ยวนี้ เป้าหมายเขาคือต้องการให้รุ่นใหม่รักเขาและเกลียด พวกคนแก่ แบบสุดหัวใจ ซึ่งเขาทำสำเร็จแล้ว โดยใช้มือของพวกคนแก่ ที่หิวโหยอำนาจ โชว์ความน่าเกลียดเอาเปรียบทุกอย่าง ให้คนรุ่นใหม่เห็น เหมือนซีเกมส์เขมร และเทใจไปให้เขา

ผมว่าก้าวไกล งวดนี้ ยังไม่ยอมร่วมรัฐบาลง่ายๆหรอก ถึงมีคนมาชวนก็จะ ยื่นเงื่อนไขแบบสุดโต่ง จนพรรคอันดับหนึ่งไม่ยอม และทำอะไรบ้าๆ บอๆ จนคะแนนความชอบไหลมาทางพวกเด็กๆ อีก สะสมพลัง บ่มศรัทธา รอเวลา จนถึงวันนึง ที่มวลชน อยู่ในมือเขาเต็มกำลัง แบบมืดฟ้ามัวดิน ขนาดพลิกฝ่ามือ ซ้ายขวาได้เมื่อไหร่ วันนั้นแหละ

ซึ่งอีกไม่นานหรอกเพราะพวกคนแก่ เดินทุกอย่างตามแผนของเขาหมดเลย

ข้งเบ้ง ของพวกเด็กๆคือใคร ขอคารวะจริงๆ
:shock: :shock:
ไฟล์แนบ
ขออนุญาตุโชว์ผลงานที่บันทึกออกมาเป็นเล่มแจกจ่ายญาติธรรม &quot;ตามคำบอกคำสั่งคำท้า&quot; ของท่านพระอาจารย์ ภิกษุณี รุ้งเดือน สุวรรณ หนังสือพวกนี้แจกจ่ายไปหมดแล้ว แต่ก็เหลือบางส่วนเก็บไว้แจกเป็นที่ระลึกงานศพของตัวเองครับ หนังสือเสียงสะท้อนกลับทำให้ผมดีใจ ภูมิใจครับเขาว่าหนังสือที่เขียนแปลกดี ไม่ใช่หนังสือธรรมะ แต่อ่านจบแล้วย้อนคิดเขาบอกเขาได้อ่านธรรมะ ทั้ง ๆ ที่ไม่ชอบอ่านหนังสือแนวนี้เลย พระอาจารย์บอกว่า &quot;เธอได้บุญมากนะ&quot;
ขออนุญาตุโชว์ผลงานที่บันทึกออกมาเป็นเล่มแจกจ่ายญาติธรรม "ตามคำบอกคำสั่งคำท้า" ของท่านพระอาจารย์ ภิกษุณี รุ้งเดือน สุวรรณ หนังสือพวกนี้แจกจ่ายไปหมดแล้ว แต่ก็เหลือบางส่วนเก็บไว้แจกเป็นที่ระลึกงานศพของตัวเองครับ หนังสือเสียงสะท้อนกลับทำให้ผมดีใจ ภูมิใจครับเขาว่าหนังสือที่เขียนแปลกดี ไม่ใช่หนังสือธรรมะ แต่อ่านจบแล้วย้อนคิดเขาบอกเขาได้อ่านธรรมะ ทั้ง ๆ ที่ไม่ชอบอ่านหนังสือแนวนี้เลย พระอาจารย์บอกว่า "เธอได้บุญมากนะ"
240725_0.jpg (88.54 KiB) เข้าดูแล้ว 761 ครั้ง
1140731.jpg
1140731.jpg (48.41 KiB) เข้าดูแล้ว 761 ครั้ง
หลังจากที่เราต้องเจอสภาพอากาศร้อนแทบตับแตก วันนี้มีการประกาศให้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนกันแล้ว ร้อนก็จะหายไปขอให้มีความสุข อย่าให้มีน้ำท่วมอีกละกัน<br /><br />ประกาศ การเริ่มต้นฤดูฝนของประเทศไทย พ.ศ. 2566<br /><br />ประเทศไทยจะสิ้นสุดฤดูร้อนและเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูฝน ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2566 เนื่องจากการคาดการณ์สภาพอากาศ พบว่า จะมีฝนตกชุกหนาแน่นและต่อเนื่องครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ ประกอบกับลมที่พัดปกคลุมประเทศไทยที่ระดับผิวพื้นถึงความสูงประมาณ 3.5 กิโลเมตร ได้เปลี่ยนทิศเป็นลมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งจะพัดนำความชื้นจากทะเลอันดามันเข้ามาปกคลุมบริเวณประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง และลมชั้นบนตั้งแต่ระดับความสูง 5 กิโลเมตรขึ้นไป ได้เปลี่ยนทิศเป็นลมฝ่ายตะวันออก ซึ่งถือว่าเป็นการเข้าสู่ฤดูฝนของ ประเทศไทยในปีนี้
หลังจากที่เราต้องเจอสภาพอากาศร้อนแทบตับแตก วันนี้มีการประกาศให้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนกันแล้ว ร้อนก็จะหายไปขอให้มีความสุข อย่าให้มีน้ำท่วมอีกละกัน

ประกาศ การเริ่มต้นฤดูฝนของประเทศไทย พ.ศ. 2566

ประเทศไทยจะสิ้นสุดฤดูร้อนและเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูฝน ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2566 เนื่องจากการคาดการณ์สภาพอากาศ พบว่า จะมีฝนตกชุกหนาแน่นและต่อเนื่องครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ ประกอบกับลมที่พัดปกคลุมประเทศไทยที่ระดับผิวพื้นถึงความสูงประมาณ 3.5 กิโลเมตร ได้เปลี่ยนทิศเป็นลมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งจะพัดนำความชื้นจากทะเลอันดามันเข้ามาปกคลุมบริเวณประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง และลมชั้นบนตั้งแต่ระดับความสูง 5 กิโลเมตรขึ้นไป ได้เปลี่ยนทิศเป็นลมฝ่ายตะวันออก ซึ่งถือว่าเป็นการเข้าสู่ฤดูฝนของ ประเทศไทยในปีนี้
24301.jpg (109.45 KiB) เข้าดูแล้ว 761 ครั้ง
ออกจากเจดีย์ซาว เวลาเริ่มคล้อยแดดยังคงร้อน น้องม่อยชวนไปแวะที่หนองกระทิง ไปหลบร้อนรับอากาศสดชื่นเป็นความคิดที่ดีครับไม่รอช้า ไปกันครับ
ออกจากเจดีย์ซาว เวลาเริ่มคล้อยแดดยังคงร้อน น้องม่อยชวนไปแวะที่หนองกระทิง ไปหลบร้อนรับอากาศสดชื่นเป็นความคิดที่ดีครับไม่รอช้า ไปกันครับ
325932.jpg (135.37 KiB) เข้าดูแล้ว 761 ครั้ง
DSC_6221.JPG
DSC_6221.JPG (124.34 KiB) เข้าดูแล้ว 761 ครั้ง
พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ พักผ่อนหย่อนใจใกล้ตัวเมือง สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ ทั้งชื่นชมทัศนียภาพที่สวยงาม มาเดินกาดนั่งก้อม มีร้านอาหารและเครื่องดื่มบริการ<br /><br />ตั้งอยู่ที่ตำบลบ่อแฮ้ว จากตัวเมืองข้ามแม่น้ำวังไปตามเส้นทางสายลำปาง-ห้างฉัตร ประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นสวนสาธารณะที่ร่มรื่น มีต้นไม้น้อยใหญ่หลากหลาย มีสวนหย่อม บ่อน้ำ มีภูมิทัศน์ที่สวยงาม ซึ่งดูแลโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาพักผ่อน เดินทอดน่อง ออกกำลังกาย จะวิ่งหรือจะปั่นจักรยานเพื่อสุขภาพกาย เติมความผ่อนคลายให้สุขภาพใจได้ อีกทั้งยังมีเครื่องออกกำลังกาย สำหรับเด็กและผู้ใหญ่ไว้รองรับ โดยทุกวันเสาร์ อาทิตย์ มีตลาดที่เรียกว่า “กาดนั่งก้อม@หนองกระทิง” กาด แปลว่า ตลาด ส่วนก้อม เป็นเก้าอี้เล็ก ๆ จึงหมายความว่า ตลาดนี้เป็นตลาดที่ใช้เก้าอี้เล็ก ๆ นั่งขาย นั่งซื้อ จำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ได้แก่ ผัก ผลไม้ อาหาร รวมทั้งสินค้าพื้นเมืองต่าง ๆ มีเวทีปล่อยของ เพื่อแสดงความสามารถในรูปแบบต่าง ๆ
พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ พักผ่อนหย่อนใจใกล้ตัวเมือง สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ ทั้งชื่นชมทัศนียภาพที่สวยงาม มาเดินกาดนั่งก้อม มีร้านอาหารและเครื่องดื่มบริการ

ตั้งอยู่ที่ตำบลบ่อแฮ้ว จากตัวเมืองข้ามแม่น้ำวังไปตามเส้นทางสายลำปาง-ห้างฉัตร ประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นสวนสาธารณะที่ร่มรื่น มีต้นไม้น้อยใหญ่หลากหลาย มีสวนหย่อม บ่อน้ำ มีภูมิทัศน์ที่สวยงาม ซึ่งดูแลโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาพักผ่อน เดินทอดน่อง ออกกำลังกาย จะวิ่งหรือจะปั่นจักรยานเพื่อสุขภาพกาย เติมความผ่อนคลายให้สุขภาพใจได้ อีกทั้งยังมีเครื่องออกกำลังกาย สำหรับเด็กและผู้ใหญ่ไว้รองรับ โดยทุกวันเสาร์ อาทิตย์ มีตลาดที่เรียกว่า “กาดนั่งก้อม@หนองกระทิง” กาด แปลว่า ตลาด ส่วนก้อม เป็นเก้าอี้เล็ก ๆ จึงหมายความว่า ตลาดนี้เป็นตลาดที่ใช้เก้าอี้เล็ก ๆ นั่งขาย นั่งซื้อ จำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ได้แก่ ผัก ผลไม้ อาหาร รวมทั้งสินค้าพื้นเมืองต่าง ๆ มีเวทีปล่อยของ เพื่อแสดงความสามารถในรูปแบบต่าง ๆ
DSC_6224.JPG (140.15 KiB) เข้าดูแล้ว 761 ครั้ง
DSC_6225.JPG
DSC_6225.JPG (82.08 KiB) เข้าดูแล้ว 761 ครั้ง
DSC_6216.JPG
DSC_6217.JPG
DSC_6218.JPG
DSC_6219.JPG
DSC_6219.JPG (103.9 KiB) เข้าดูแล้ว 761 ครั้ง
DSC_6221.JPG
DSC_6221.JPG (124.34 KiB) เข้าดูแล้ว 761 ครั้ง
DSC_6222.JPG
DSC_6222.JPG (115.53 KiB) เข้าดูแล้ว 761 ครั้ง
DSC_6223.JPG
DSC_6230.JPG
DSC_6231.JPG
DSC_6232.JPG
DSC_6232.JPG (112.55 KiB) เข้าดูแล้ว 761 ครั้ง
DSC_6234.JPG
DSC_6235.JPG
DSC_6236.JPG
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :) :D :D
ไฟล์แนบ
DSC_6237.JPG
ลำปางยังมีที่ท่องเที่ยวอีกมากครับ แต่ด้วยเวลาที่มีจบจากที่หนองกระทิง เราสองคนพร้อมหลานน้อยต้องอำลาลำปางกลับเชียงใหม่ ส่วนสถานที่สำคัญ ๆ ผมก็ขอนำมาลงเพื่อให้ท่านได้เป็นแนวทางหากมีเวลาไปเที่ยวลำปางกันนะครับ
ลำปางยังมีที่ท่องเที่ยวอีกมากครับ แต่ด้วยเวลาที่มีจบจากที่หนองกระทิง เราสองคนพร้อมหลานน้อยต้องอำลาลำปางกลับเชียงใหม่ ส่วนสถานที่สำคัญ ๆ ผมก็ขอนำมาลงเพื่อให้ท่านได้เป็นแนวทางหากมีเวลาไปเที่ยวลำปางกันนะครับ
DSC_6238.JPG (125.97 KiB) เข้าดูแล้ว 760 ครั้ง
342999.jpg
342999.jpg (78.18 KiB) เข้าดูแล้ว 760 ครั้ง
343000.jpg
343000.jpg (83.89 KiB) เข้าดูแล้ว 760 ครั้ง
343001.jpg
343001.jpg (81.26 KiB) เข้าดูแล้ว 760 ครั้ง
343002.jpg
343002.jpg (96.92 KiB) เข้าดูแล้ว 760 ครั้ง
343003.jpg
343003.jpg (45.17 KiB) เข้าดูแล้ว 760 ครั้ง
343004.jpg
343004.jpg (94.76 KiB) เข้าดูแล้ว 760 ครั้ง
343005.jpg
343005.jpg (102.87 KiB) เข้าดูแล้ว 760 ครั้ง
343006.jpg
343006.jpg (120.67 KiB) เข้าดูแล้ว 760 ครั้ง
343007.jpg
343007.jpg (120.12 KiB) เข้าดูแล้ว 760 ครั้ง
343008.jpg
343008.jpg (101.41 KiB) เข้าดูแล้ว 760 ครั้ง
ขออนุญาตุจบนำเที่ยวเมืองลำปางเพียงแค่นี้ โอกาสหน้าไปแห่งหนตำบลใดผมก็จะกลับมาเล่าสู่กันฟังอีกนะครับ<br /><br />ขอได้รับความขอบคุณ ที่ติดตามเป็นกำลังใจ มีเรื่องสำคัญ ๆ ที่จะเล่าฝากไว้เกี่ยวกับการโพสต์เรื่องเล่า บางครั้งที่เราต้องการแก้ไขโพสต์ ด้วยมือถือ แต่ก่อนทำได้สบาย ๆ ออกนอกพื้นที่ก็สามารถทำได้ ปัจจุบันเราเจอ โฆษณาบ้าเลือด กดเข้าไปด่านแรกก็โฆษณา (รู้สึกได้เดือดจัด เพราะไม่สามารถแก้ไขได้) ไว้ค่อยไปเล่าในครั้งต่อ ๆ ไปขอทดสอบให้แน่ใจก่อน &quot;ไม่ใช่อะไรครับ....หมดความอดทน&quot;
ขออนุญาตุจบนำเที่ยวเมืองลำปางเพียงแค่นี้ โอกาสหน้าไปแห่งหนตำบลใดผมก็จะกลับมาเล่าสู่กันฟังอีกนะครับ

ขอได้รับความขอบคุณ ที่ติดตามเป็นกำลังใจ มีเรื่องสำคัญ ๆ ที่จะเล่าฝากไว้เกี่ยวกับการโพสต์เรื่องเล่า บางครั้งที่เราต้องการแก้ไขโพสต์ ด้วยมือถือ แต่ก่อนทำได้สบาย ๆ ออกนอกพื้นที่ก็สามารถทำได้ ปัจจุบันเราเจอ โฆษณาบ้าเลือด กดเข้าไปด่านแรกก็โฆษณา (รู้สึกได้เดือดจัด เพราะไม่สามารถแก้ไขได้) ไว้ค่อยไปเล่าในครั้งต่อ ๆ ไปขอทดสอบให้แน่ใจก่อน "ไม่ใช่อะไรครับ....หมดความอดทน"
343009.jpg (101.64 KiB) เข้าดูแล้ว 760 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D 3 มิถุนายน 2018 – วันจักรยานโลก (โดย ธนากร สุนทร )

เชื่อว่าจักรยานน่าจะเป็นพาหนะคันแรกที่ใครหลายคนฝึกขับขี่ และการฝึกขับขี่จักรยานก็น่าจะเป็นความท้าท้ายหนแรกที่ใครหลายคนได้เผชิญ สำหรับประเทศไทย วันจักรยานโลกหรือ World Bicycle Day อาจไม่ใช่สิ่งที่เราคุ้นเคยนัก หากแต่ในระดับสากลวันนี้นับเป็นอีกหนึ่งอีเวนต์สำคัญที่ผู้คนต่างให้ความสนใจ

วันจักรยานโลก ถูกกำหนดขึ้นในปี 2018 เมื่อ UN หรือองค์การสหประชาชาติได้ผ่านมติการประชุมจากรัฐสมาชิกที่ให้การสนับสนุนทั้ง 193 รัฐ (56 ประเทศ) ก่อนจะประกาศให้วันที่ 3 มิถุนายนของทุกปีเป็นวันจักรยานโลกอย่างเป็นทางการ มีการจัดอีเวนต์มากมาย ทั้งการแข่งขันปั่นจักรยาน กิจกรรมเวิร์กช็อปให้ความรู้ต่างๆ ฯลฯ

ส่วนจุดประสงค์ก็เพื่อรณรงค์ผลักดันให้ประชากรโลกหยุดพักการขับรถยนต์รวมถึงการขี่มอเตอร์ไซค์แล้วหันมาใช้งานจักรยานให้มากขึ้น เพราะจักรยานคือพาหนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและใช้งานง่ายที่สุด ยิ่งกว่านั้นมันยังช่วยให้เรามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงมากขึ้นด้วย
:idea: :idea:

:) :D สมัยเด็ก ๆ พวกผมเดิน และ ใช้จักรยานปั่นไปโรงเรียนทุกวัน มีครั้งหนึ่งฝันจะปั่นเข้า กทม.แต่ก็ไปได้แค่ดอยติ ลำพูนเท่านั้น กลายเป็นเรื่องคาใจ เมื่อผมเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ผ่าตัด คีโม จักรยานเป็นส่วนหนึ่งที่ผมใช้ในการรักษาโรค และทำฝันให้เป็นจริงคือ ปั่นเข้า กทม.สำเร็จเป็นครั้งแรก ดีใจครับที่ "ฝันไว้ไกลแล้วไปถึงครับ" ที่สำคัญที่สุดมะเร็งทำอะไรผมไม่ได้แล้ว หมอฟันธง "ผมหายขาดแน่นอน"

จากปี ๒๕๕๐ เป็นต้นมาจนปัจจุบัน ผมก็ใช้จักรยานเป็นพาหนะในการท่องเที่ยวตลอด ... และจะตลอดไป ยิ่งปัจจุบันนี้คุณนายผมเธอแกร่งมากไปไหนไปกัน แล้วชอบที่จะไปด้วยเรียกว่าเป็นอีกหนึ่งแรงใจที่ดีเยี่ยม เราจะเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิตบั้นปลายให้มีความสุขครับ :lol: :lol:


:) :D พวกเราเป็นอีกหนึ่งพลังที่พยายามใช้จักรยานปั่นไปทุกแห่งหนเพื่อช่วยรณรงค์ให้ประชาชนที่ได้พบได้เห็น เกิดแรงบันดาลใจให้หันกลับมาใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน เหมือนครั้งในอดีต ช่วยธรรมชาติ ลดสภาวะโลกร้อนและช่วยประหยัดพลังงานด้วยครับ :) :D
ไฟล์แนบ
หายหน้าหายตาไปหลายวัน อันเนื่องด้วยสุขภาพช่วงนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ก็พยายามรักษาสุขภาพเพื่อจะได้ปั่นท่องเที่ยวตามฝันก่อนที่จะมีอันเป็นไป ๕๕๕<br /><br />เมื่อวาน ๒ มิ.ย.๖๖ ได้ไปทำ passport เล่มใหม่ซึ่งเล่มเก่าหมดอายุไปแล้ว เตรียมเดินทางไปต่างประเทศบ้างส่วนจะเป็นประเทศใดติดตามก็แล้ว จะนำมาเล่าสู่ฟังเหมือนเดิม
หายหน้าหายตาไปหลายวัน อันเนื่องด้วยสุขภาพช่วงนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ก็พยายามรักษาสุขภาพเพื่อจะได้ปั่นท่องเที่ยวตามฝันก่อนที่จะมีอันเป็นไป ๕๕๕

เมื่อวาน ๒ มิ.ย.๖๖ ได้ไปทำ passport เล่มใหม่ซึ่งเล่มเก่าหมดอายุไปแล้ว เตรียมเดินทางไปต่างประเทศบ้างส่วนจะเป็นประเทศใดติดตามก็แล้ว จะนำมาเล่าสู่ฟังเหมือนเดิม
29349.jpg (126.52 KiB) เข้าดูแล้ว 610 ครั้ง
วันจักรยานโลก ตรงกับวันที่ 3 มิ.ย.ของทุกปี ชวนรู้จัก อัมสเตอร์ดัม เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของจักรยาน เพราะอุบัติเหตุรถยนต์เพิ่มขึ้นและวิกฤตน้ำมันจากสงคราม บางครั้ง เราก็อยากให้มีเลนสำหรับปั่นจักรยานในประเทศไทยเยอะ ๆ เหมือนกัน แต่มันก็ช่างยากเหลือเกิน เนื่องในวันที่ 3 มิถุนายนของทุกปีเป็นวันจักรยานโลก (World Bicycle Day) ดังนั้น Keep The World จึงขอชวนไปดูความสำเร็จของอัมสเตอร์ดัม เมืองหลวงของเนเธอร์แลนด์ที่ก็ได้กลายเป็นเมืองหลวงของจักรยานด้วย พวกเขาทำได้ยังไง?
วันจักรยานโลก ตรงกับวันที่ 3 มิ.ย.ของทุกปี ชวนรู้จัก อัมสเตอร์ดัม เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของจักรยาน เพราะอุบัติเหตุรถยนต์เพิ่มขึ้นและวิกฤตน้ำมันจากสงคราม บางครั้ง เราก็อยากให้มีเลนสำหรับปั่นจักรยานในประเทศไทยเยอะ ๆ เหมือนกัน แต่มันก็ช่างยากเหลือเกิน เนื่องในวันที่ 3 มิถุนายนของทุกปีเป็นวันจักรยานโลก (World Bicycle Day) ดังนั้น Keep The World จึงขอชวนไปดูความสำเร็จของอัมสเตอร์ดัม เมืองหลวงของเนเธอร์แลนด์ที่ก็ได้กลายเป็นเมืองหลวงของจักรยานด้วย พวกเขาทำได้ยังไง?
380654.jpg (80.55 KiB) เข้าดูแล้ว 610 ครั้ง
ย้อนกลับไปยังต้นศตวรรษที่ 20 จักรยานเป็นยานพาหนะหลักที่กำลังแพร่หลายอยู่ในเมืองต่าง ๆ ของเนเธอร์แลนด์ ผู้สูงอายุ ผู้หญิง ผู้ชายวัยทำงาน เด็กเล็ก ก็สามารถใช้จักรยานได้อย่างสะดวกสบาย ทุกอย่างเป็นไปอย่างปกติสุข<br /><br />แต่เมื่อกาลเวลาเดินทางมาถึงปี ค.ศ. 1950 เนเธอร์แลนด์ได้รู้จักกับนวัตกรรมใหม่ที่ชื่อว่า “รถยนต์” เครื่องจักรที่แล่นบนท้องถนนได้โดยไม่ต้องใช้แรงปั่นของมนุษย์ และในช่วงปี 1960 เมืองต่าง ๆ ของเนเธอร์แลนด์ก็เริ่มเต็มไปด้วยผู้ขับขี่รถยนต์มากขึ้น ซึ่งในยุคนั้นผู้คนมองว่า รถยนต์คือยานพาหนะแห่งอนาคตที่พวกเขาจับต้องได้
ย้อนกลับไปยังต้นศตวรรษที่ 20 จักรยานเป็นยานพาหนะหลักที่กำลังแพร่หลายอยู่ในเมืองต่าง ๆ ของเนเธอร์แลนด์ ผู้สูงอายุ ผู้หญิง ผู้ชายวัยทำงาน เด็กเล็ก ก็สามารถใช้จักรยานได้อย่างสะดวกสบาย ทุกอย่างเป็นไปอย่างปกติสุข

แต่เมื่อกาลเวลาเดินทางมาถึงปี ค.ศ. 1950 เนเธอร์แลนด์ได้รู้จักกับนวัตกรรมใหม่ที่ชื่อว่า “รถยนต์” เครื่องจักรที่แล่นบนท้องถนนได้โดยไม่ต้องใช้แรงปั่นของมนุษย์ และในช่วงปี 1960 เมืองต่าง ๆ ของเนเธอร์แลนด์ก็เริ่มเต็มไปด้วยผู้ขับขี่รถยนต์มากขึ้น ซึ่งในยุคนั้นผู้คนมองว่า รถยนต์คือยานพาหนะแห่งอนาคตที่พวกเขาจับต้องได้
เศรษฐกิจของเนเธอร์แลนด์เฟื่องฟู ผู้คนหันไปหารถยนต์มากขึ้น จนทำให้เส้นทางของจักรยานหลายแห่งเริ่มถูกทุบทิ้ง กลายเป็นพื้นที่ของสัญจรของรถยนต์ ทำให้เวลาต่อมา จำนวนการใช้จักรยานลดลงทุกปีประมาณ 6% จนมีแนวคิดที่ว่า จักรยานกำลังจะหายไปจากเมืองในท้ายที่สุด<br /><br />การจราจรของรถยนต์ที่เพิ่มมากขึ้น แน่นอนว่ามันทำให้ผู้คนชื่นชอบสำหรับการเดินทางอันรวดเร็ว แต่ในทางกลับกัน มันกลับสร้างจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนเพิ่มขึ้นด้วย โดยอัตราของผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 3,300 รายในปี 1971 ซึ่งในจำนวนนี้มีเด็กที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุถึง 400 รายในปีนั้น<br /><br />การสูญเสียที่เพิ่มขึ้นทุกปี นำไปสู่การประท้วงครั้งใหญ่ของกลุ่มที่ยังชื่นชอบการขี่จักรยาน ซึ่งกลุ่มที่โด่งดังที่สุดในเรื่องนี้คือกลุ่มที่ชื่อว่า Stop de Kindermoord (หยุดการฆาตกรรมเด็ก) ซึ่งในขณะนั้นมี Maartie van Putten ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอยู่
เศรษฐกิจของเนเธอร์แลนด์เฟื่องฟู ผู้คนหันไปหารถยนต์มากขึ้น จนทำให้เส้นทางของจักรยานหลายแห่งเริ่มถูกทุบทิ้ง กลายเป็นพื้นที่ของสัญจรของรถยนต์ ทำให้เวลาต่อมา จำนวนการใช้จักรยานลดลงทุกปีประมาณ 6% จนมีแนวคิดที่ว่า จักรยานกำลังจะหายไปจากเมืองในท้ายที่สุด

การจราจรของรถยนต์ที่เพิ่มมากขึ้น แน่นอนว่ามันทำให้ผู้คนชื่นชอบสำหรับการเดินทางอันรวดเร็ว แต่ในทางกลับกัน มันกลับสร้างจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนเพิ่มขึ้นด้วย โดยอัตราของผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 3,300 รายในปี 1971 ซึ่งในจำนวนนี้มีเด็กที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุถึง 400 รายในปีนั้น

การสูญเสียที่เพิ่มขึ้นทุกปี นำไปสู่การประท้วงครั้งใหญ่ของกลุ่มที่ยังชื่นชอบการขี่จักรยาน ซึ่งกลุ่มที่โด่งดังที่สุดในเรื่องนี้คือกลุ่มที่ชื่อว่า Stop de Kindermoord (หยุดการฆาตกรรมเด็ก) ซึ่งในขณะนั้นมี Maartie van Putten ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอยู่
380656.jpg (116.25 KiB) เข้าดูแล้ว 610 ครั้ง
ในปี 1970 การเคลื่อนไหวเรื่องขอคืนพื้นที่สำหรับจักรยานทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น กลุ่มผู้ประท้วงก็เริ่มขยายใหญ่มากขึ้น มีการจัดวันพิเศษสำหรับจักรยานด้วย เพื่อให้เด็ก ๆ ออกมาเที่ยวเล่นอย่างสบายใจ<br /><br />แนวโน้มของการรับฟังเรื่องอุบัติเหตุบนท้องถนนดีขึ้น เนื่องจากประธานาธิบดียอมรับคำขอของพวกเขา ในการไปปั่นจักรยานกับกลุ่มนักเคลื่อนไหว ร้องเพลงด้วยกัน ทานอาหารด้วยกัน และรับฟังข้อเสนอของพวกเขา<br /><br />หลังจากนั้น Stop de Kindermoord ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ เพื่อก่อตั้งสำนักงานใหญ่ และเริ่มแผนการวางผังเมืองใหม่ให้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลให้มีถนน Woonert ถนนแบบใหม่ที่เป็นมิตรต่อผู้คน ที่ได้ออกกฎว่ารถทุกคันต้องขับช้ามากกว่าเดิมเป็นพิเศษ และถนนแบบนี้เริ่มขยายกว้างไปยังหลายเมือง<br /><br />2 ปีให้หลัง มีกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น โดยสมาคมนักปั่นที่เรียกร้องให้มีพื้นที่สาธารณะสำหรับจักรยานโดยเฉพาะ เพราะจักรยานที่ขี่บนถนนยังเสี่ยงอันตรายจากรถยนต์อยู่ ซึ่งพวกเขาได้รวบรวมข้อร้องเรียนมาจากกลุ่มนักปั่นของพวกเขาเองที่ได้เผชิญปัญหามา
ในปี 1970 การเคลื่อนไหวเรื่องขอคืนพื้นที่สำหรับจักรยานทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น กลุ่มผู้ประท้วงก็เริ่มขยายใหญ่มากขึ้น มีการจัดวันพิเศษสำหรับจักรยานด้วย เพื่อให้เด็ก ๆ ออกมาเที่ยวเล่นอย่างสบายใจ

แนวโน้มของการรับฟังเรื่องอุบัติเหตุบนท้องถนนดีขึ้น เนื่องจากประธานาธิบดียอมรับคำขอของพวกเขา ในการไปปั่นจักรยานกับกลุ่มนักเคลื่อนไหว ร้องเพลงด้วยกัน ทานอาหารด้วยกัน และรับฟังข้อเสนอของพวกเขา

หลังจากนั้น Stop de Kindermoord ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ เพื่อก่อตั้งสำนักงานใหญ่ และเริ่มแผนการวางผังเมืองใหม่ให้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลให้มีถนน Woonert ถนนแบบใหม่ที่เป็นมิตรต่อผู้คน ที่ได้ออกกฎว่ารถทุกคันต้องขับช้ามากกว่าเดิมเป็นพิเศษ และถนนแบบนี้เริ่มขยายกว้างไปยังหลายเมือง

2 ปีให้หลัง มีกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น โดยสมาคมนักปั่นที่เรียกร้องให้มีพื้นที่สาธารณะสำหรับจักรยานโดยเฉพาะ เพราะจักรยานที่ขี่บนถนนยังเสี่ยงอันตรายจากรถยนต์อยู่ ซึ่งพวกเขาได้รวบรวมข้อร้องเรียนมาจากกลุ่มนักปั่นของพวกเขาเองที่ได้เผชิญปัญหามา
380657.jpg (101.08 KiB) เข้าดูแล้ว 610 ครั้ง
และต่อมาก็มีการประท้วง ปลุกระดมด้วยโทรโข่ง มีกิจกรรมผิดกฎหมายอย่างการเดินทางสีถนนเพื่อทำเป็นเลนจักรยานย่อม ๆ ซึ่งหลายคนมองว่านี่เป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีเอาเสียเลย แถมยังอาจก่อให้เกิดอันตรายด้วย แม้ตอนแรกพวกเขาจะถูกตำรวจจับ แต่ก็ได้รับการยอมรับฟังความคิดเห็นจากประธานาธิบดีเช่นเดียวกัน ทำให้ในที่สุด พวกเขาได้เลนสำหรับจักรยานมา<br /><br />และเมื่อปี 1973 เนอเธอร์แลนด์เผชิญหน้ากับวิกฤตน้ำมัน เนื่องจากถูกซาอุดิอาระเบียและผู้ส่งออกน้ำมันรายอื่น ๆ ของอาหรับคว่ำบาตร เพราะ เนเธอร์แลนด์ เป็นหนึ่งในประเทศที่สนับสนุนอิสราเอลในสงครามยมคิปปูร์ ทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่า<br /><br />การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ทำให้นักการเมืองและชาวเมืองเริ่มเห็นด้วย ว่าชาวเนเธอร์แลนด์ควรเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่และเอาจริงกับการประหยัดพลังงานมากขึ้น อีกทั้งพวกเขาก็เริ่มที่จะตระหนักถึงมลพิษจากการปล่อยมลพิษของยานพาหนะด้วย<br /><br />ต่อมา รัฐบาลจึงประกาศให้วันอาทิตย์เป็นวันปลอดรถยนต์ จึงทำให้วันหยุดสุดสัปดาห์เงียบสงบ เด็ก ๆ ออกมาวิ่งเล่นได้สบายใจบนท้องถนนที่ว่างเปล่า และนั่นทำให้เมืองอัมสเตอร์ดัมดีขึ้นในทุกด้าน ทั้งอุบัติเหตุลดลง มลพิษลดลง พวกเขากลับมามองเห็นข้อดีของการขี่จักรยาน จึงทำให้นโยบายการขับขี่เริ่มเปลี่ยนแปลงเรื่อยมา<br /><br />ปี 1980 เมืองต่าง ๆ ในเนเธอร์แลนด์เริ่มกลับมามีมาตรการด้านการขับขี่อย่างไรให้เป็นมิตรต่อคนและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จนทำให้ทุกวันนี้เส้นทางส่วนใหญ่จึงเป็นมิตรต่อจักรยานและผู้คนมากขึ้นนั่นเอง
และต่อมาก็มีการประท้วง ปลุกระดมด้วยโทรโข่ง มีกิจกรรมผิดกฎหมายอย่างการเดินทางสีถนนเพื่อทำเป็นเลนจักรยานย่อม ๆ ซึ่งหลายคนมองว่านี่เป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีเอาเสียเลย แถมยังอาจก่อให้เกิดอันตรายด้วย แม้ตอนแรกพวกเขาจะถูกตำรวจจับ แต่ก็ได้รับการยอมรับฟังความคิดเห็นจากประธานาธิบดีเช่นเดียวกัน ทำให้ในที่สุด พวกเขาได้เลนสำหรับจักรยานมา

และเมื่อปี 1973 เนอเธอร์แลนด์เผชิญหน้ากับวิกฤตน้ำมัน เนื่องจากถูกซาอุดิอาระเบียและผู้ส่งออกน้ำมันรายอื่น ๆ ของอาหรับคว่ำบาตร เพราะ เนเธอร์แลนด์ เป็นหนึ่งในประเทศที่สนับสนุนอิสราเอลในสงครามยมคิปปูร์ ทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่า

การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ทำให้นักการเมืองและชาวเมืองเริ่มเห็นด้วย ว่าชาวเนเธอร์แลนด์ควรเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่และเอาจริงกับการประหยัดพลังงานมากขึ้น อีกทั้งพวกเขาก็เริ่มที่จะตระหนักถึงมลพิษจากการปล่อยมลพิษของยานพาหนะด้วย

ต่อมา รัฐบาลจึงประกาศให้วันอาทิตย์เป็นวันปลอดรถยนต์ จึงทำให้วันหยุดสุดสัปดาห์เงียบสงบ เด็ก ๆ ออกมาวิ่งเล่นได้สบายใจบนท้องถนนที่ว่างเปล่า และนั่นทำให้เมืองอัมสเตอร์ดัมดีขึ้นในทุกด้าน ทั้งอุบัติเหตุลดลง มลพิษลดลง พวกเขากลับมามองเห็นข้อดีของการขี่จักรยาน จึงทำให้นโยบายการขับขี่เริ่มเปลี่ยนแปลงเรื่อยมา

ปี 1980 เมืองต่าง ๆ ในเนเธอร์แลนด์เริ่มกลับมามีมาตรการด้านการขับขี่อย่างไรให้เป็นมิตรต่อคนและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จนทำให้ทุกวันนี้เส้นทางส่วนใหญ่จึงเป็นมิตรต่อจักรยานและผู้คนมากขึ้นนั่นเอง
380658.jpg (84.58 KiB) เข้าดูแล้ว 610 ครั้ง
ปัจจุบัน เนเธอร์แลนด์มีเส้นทางจักรยานยาวกว่า 22,000 ไมล์ ซึ่งมากกว่าหนึ่งในสี่ของการเดินทางทั้งหมดใช้จักรยานเทียบกับ 2% ในสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ แนวโน้มของความนิยมจักรยานยังคงเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการมีขึ้นของจักรยานไฟฟ้าด้วย<br /><br />สหภาพนักปั่นจักรยานเลิกเป็นกลุ่มนักเคลื่อนไหวแบบสุ่มมานานแล้ว ปัจจุบันเป็นองค์กรที่น่านับถือโดยมีสมาชิกแบบชำระเงิน 34,000 รายซึ่งมีความเชี่ยวชาญเป็นที่ต้องการทั่วโลก<br /><br />เนเธอร์แลนด์กลายเป็นโมเดลเมืองที่น่าอยู่สำหรับนักปั่นและผู้ที่ชื่นชอบความสงบและปลอดภัยจากการจราจร อัมสเตอร์ดัมยังคงเดินหน้าพัฒนาเส้นทางต่อไป เพื่อให้เมืองเป็นมิตรต่อคนและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น<br /><br />ที่มาข้อมูล The Guardian NOS  Bicycle Dutch
ปัจจุบัน เนเธอร์แลนด์มีเส้นทางจักรยานยาวกว่า 22,000 ไมล์ ซึ่งมากกว่าหนึ่งในสี่ของการเดินทางทั้งหมดใช้จักรยานเทียบกับ 2% ในสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ แนวโน้มของความนิยมจักรยานยังคงเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการมีขึ้นของจักรยานไฟฟ้าด้วย

สหภาพนักปั่นจักรยานเลิกเป็นกลุ่มนักเคลื่อนไหวแบบสุ่มมานานแล้ว ปัจจุบันเป็นองค์กรที่น่านับถือโดยมีสมาชิกแบบชำระเงิน 34,000 รายซึ่งมีความเชี่ยวชาญเป็นที่ต้องการทั่วโลก

เนเธอร์แลนด์กลายเป็นโมเดลเมืองที่น่าอยู่สำหรับนักปั่นและผู้ที่ชื่นชอบความสงบและปลอดภัยจากการจราจร อัมสเตอร์ดัมยังคงเดินหน้าพัฒนาเส้นทางต่อไป เพื่อให้เมืองเป็นมิตรต่อคนและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

ที่มาข้อมูล The Guardian NOS Bicycle Dutch
128484.jpg
128484.jpg (82.29 KiB) เข้าดูแล้ว 610 ครั้ง
366193.jpg
366193.jpg (103.9 KiB) เข้าดูแล้ว 610 ครั้ง
366194.jpg
366194.jpg (49.51 KiB) เข้าดูแล้ว 610 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: อาชีพที่เสี่ยงต่อการตกนรกตามกฎของโลกวิญญาณ
๑. ตำรวจ ตำรวจในโลกมนุษย์ เมื่อตายแล้วต้องตกนรก ๗ ชาติ เพราะตำรวจ ถือว่าตัวมีกฎหมายที่สมมติอยู่ในมือ เอะอะก็จะจับ ผิดถูกค่อยว่ากันทีหลัง ให้ไปแก้กันที่ศาล
๒. อัยการ อัยการในโลกมนุษย์ตายแล้ว จะต้องตกนรก ๕ ชาติ เพราะอัยการจะไม่รับรู้เรื่องถูกผิด จะต้องเอาผู้ต้องหาเข้าคุกให้ได้ เพราะอัยการจะถือหลักว่าเอาชนะความได้มากจะเป็นผลงานของอัยการ
๓. ผู้พิพากษา ผู้พิพากษาในโลกมนุษย์ตายแล้ว ต้องตกนรก ๓ ชาติ เพราะว่าฟังตามขบวนการที่วางมาให้ ไม่ได้ไปสืบให้รู้จริงด้วยตนเองอย่างถ่องแท้ เพราะฉะนั้นคนบริสุทธิ์ที่ไมรู้กฎหมาย จึงต้องติดคุกไปมากแล้วในโลกมนุษย์
๔. ทนายความ ทนายความในโลกมนุษย์ตายจากโลกมนุษย์แล้ว ต้องตกนรก ๒ ชาติ เพราะทนายความจะไม่รับรู้อะไร คิดแต่ว่าจะทำอย่างไรที่จะให้ลูกความชนะเท่านั้น โดยกฎอันนี้ทางโลกวิญญาณถือว่ามีกุศลจิต แต่บางครั้งก็ช่วยคนทำผิดจริงให้ไม่ต้องติดคุกเป็นต้น
ฉะนั้น ท่านที่มีอาชีพเหล่านี้ ท่านควรพิจารณา มหาพิจารณา ในการกระทำของท่าน เพื่อไม่ต้องตกนรกขุมลึกๆ ท่านจะเชื่อหรือไม่แล้วแต่ท่าน สิทธิแห่งความเชื่อบังคับกันไม่ได้ เพียงบอกเล่าให้ท่านได้ทราบไว้เท่านั้น

ด้วยความปรารถนาต่อมนุษยชาติ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี
:idea: :idea:

:) :D สวัสดียามบ่ายครับ หลายวันที่ผมไม่ได้เข้ามา update เรื่องราวต่าง ๆ หลากหลายสาเหตุครับ สาเหตุที่สำคัญคือ ขณะนี้ภัยคุกคามจากเวปป์ร้านค้าออนไลน์ ตามที่ผมได้นำเรียนไปว่า "ผมใช้มือถือในการส่งข่าวสารลงในห้องกระทู้" ปัจจุบันส่งไม่ได้เลยเพราะ กดหรือคลิกเข้าในกระทู้คุณ ๆ ต้องผ่าน การเชิญชวนให้ซื้อสินค้า กดหนีก็ไม่ได้ กดแก้ไขก็ไม่ได้ มันกวนมาก ๆ พอทำได้โพสต์ก็ติดที่มันอีก สุดท้ายเรื่องราวที่เตรียมโพสต์ก็หายไป หลายครั้งเข้าต้องหยุดครับ ขอบคุณร้านค้าออนไลน์ทั้ง ลาซาดา ทั้งช๊อปปี้ ที่รบกวนการทำงานได้สำเร็จ(ในมือถือหมดสิทธิ์ทำงานแล้วครับ) ต้องไว้กลับไปทำในคอม ฯ เพียงอย่างเดียว

อีกประเด็นแฟน ๆ ที่ใช้มือถือติดตามเรื่องราว ก็ประสบเหตุการณ์เช่นเดียวกัน โทร ฯ มาเล่าให้ฟัง เข้ายาก เข้าลำบากไม่เหมือนแต่ก่อน สุดท้ายก็เลยไม่ได้ติดตาม "มิน่าสมาชิกหายไปเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ"

ช่วงนี้การเมืองเรียกว่าอย่ากระพริบตาครับ กลุ่มที่ชนะการเลือกตั้งต้องถูกรังควาน ด้วยเรื่องราวร้อยแปด เพื่อสกัดการขึ้นสู่อำนาจ พวกอำนาจเดิมก็พยายามรักษาเก้าอี้อันหอมหวานของตนไว้อย่างเหนียวแน่น สัตว์โลกมันต้องเป็นไปตามกรรม สิ่งนี้แน่นอน เพราะกรรมคือการกระทำ ทำดี ดี วิบากกรรม(ผลของกรรม)ย่อมดีคือได้รับผลดี แต่อาจจะช้า ทำชั่ว ชั่ว วิบากกรรมที่ได้รับคือสิ่งชั่วร้าย(ทุกข์)อาจจะเร็ว(กรรมทุกวันนี้ไฮเทคแล้ว) เรามาติดตามดูกันครับ

เสียดายนะครับสมัยสมเด็จโตมีแค่ ๔ อาชีพ คงยังไม่มีนักการเมืองนะครับ ท่านเลยไม่ได้ระบุนักการเมืองเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ลงนรกด้วย ช่วงนี้ให้จับตา ตำรวจ อัยการ ผู้พิพากษา ทนายความ และ นักการเมืองด้วยนะ ๕๕๕๕
:( :(

:idea: :idea: "วันบริจาคโลหิตโลก" ร่วมบริจาคโลหิตช่วยชีวิตผู้ป่วย | คุยกันวันใหม่ Thai PBS
ไฟล์แนบ
255559.jpg
255559.jpg (66.44 KiB) เข้าดูแล้ว 1304 ครั้ง
ทุกวันที่ 14 มิถุนายนของทุกปี ถือว่าเป็นวันผู้บริจาคโลหิตโลก เริ่มจัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2547 โดยยึดเอาวันเกิดของ ดร.คาร์ล แลนด์สไตเนอร์ (Karl Landsteiner) แพทย์ชาวออสเตรีย-อเมริกัน ซึ่งก็คือวันที่ 14 มิถุนายน 1868 หรือปี พ.ศ.2411 เป็นวันผู้บริจาคโลหิตโลก<br /><br />ดร.คาร์ล แลนด์สไตเนอร์ เป็นผู้ประสบความสำเร็จในการจำแนกหมู่โลหิต A, B และ O นับเป็นการค้นพบที่มีความสำคัญต่องานบริการโลหิตทั่วโลก ทั้งยังค้นพบว่า การถ่ายเลือดให้กับผู้ที่มีหมู่เลือดเดียวกันไม่ทำให้เซลล์เม็ดเลือดถูกทำลาย จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดการต่อยอดในวงการแพทย์มาจนถึงทุกวันนี้ สามารถช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้จำนวนมาก<br /><br />ด้วยเหตุดังนี้ องค์การอนามัยโลก สหพันธ์สภากาชาด และสภาเสี้ยววงเดือนแดง ระหว่างประเทศ จึงขอความร่วมมือให้สภากาชาดทั่วโลก จัดกิจกรรมเพื่อเป็นการขอบคุณผู้บริจาคโลหิตทั่วโลก และส่งเสริมงานบริการโลหิตให้เป็นที่แพร่หลาย<br /><br />สำหรับประเทศไทย ในปีนี้ สภากาชาดไทย ชวนผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง บริจาคโลหิตช่วยชีวิตผู้ป่วย ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 12 และจะสิ้นสุดในวันที่ 16 มิถุนายนนี้ ภายใต้สโลแกน &quot;Give blood, give plasma, share life, share often - ให้โลหิต ให้ชีวิตประจำ&quot; เพื่อสร้างความตระหนักถึงการบริจาคโลหิต ให้มีปริมาณเพียงพอ ปลอดภัยสำหรับรักษาผู้ป่วย และเป็นการบริจาคอย่างยั่งยืน พร้อมรับเสื้อยืดวันผู้บริจาคโลหิตโลก 2566 แทนคำขอบคุณ<br /><br />ท่านที่สนใจร่วมบริจาคโลหิต ไปบริจาคได้ที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ หน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่โรงพยาบาล สาขาบริการโลหิตแห่งชาติ 8 แห่ง ในเขตกรุงเทพมหานคร และภาคบริการโลหิตแห่งชาติ ทั้ง 12 แห่งทั่วประเทศ<br /><br />ปิดท้ายด้วยคำเชิญชวนของสภากาชาดไทย ที่ชวนคนไทยร่วมบริจาคโลหิต ด้วยประโยคที่ว่า &quot;ชวนคุณมาร่วมพิสูจน์หายาวิเศษที่ซ่อนอยู่ในร่างกาย&quot;<br /><br />เครดิต เช้านี้ที่หมอชิต
ทุกวันที่ 14 มิถุนายนของทุกปี ถือว่าเป็นวันผู้บริจาคโลหิตโลก เริ่มจัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2547 โดยยึดเอาวันเกิดของ ดร.คาร์ล แลนด์สไตเนอร์ (Karl Landsteiner) แพทย์ชาวออสเตรีย-อเมริกัน ซึ่งก็คือวันที่ 14 มิถุนายน 1868 หรือปี พ.ศ.2411 เป็นวันผู้บริจาคโลหิตโลก

ดร.คาร์ล แลนด์สไตเนอร์ เป็นผู้ประสบความสำเร็จในการจำแนกหมู่โลหิต A, B และ O นับเป็นการค้นพบที่มีความสำคัญต่องานบริการโลหิตทั่วโลก ทั้งยังค้นพบว่า การถ่ายเลือดให้กับผู้ที่มีหมู่เลือดเดียวกันไม่ทำให้เซลล์เม็ดเลือดถูกทำลาย จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดการต่อยอดในวงการแพทย์มาจนถึงทุกวันนี้ สามารถช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้จำนวนมาก

ด้วยเหตุดังนี้ องค์การอนามัยโลก สหพันธ์สภากาชาด และสภาเสี้ยววงเดือนแดง ระหว่างประเทศ จึงขอความร่วมมือให้สภากาชาดทั่วโลก จัดกิจกรรมเพื่อเป็นการขอบคุณผู้บริจาคโลหิตทั่วโลก และส่งเสริมงานบริการโลหิตให้เป็นที่แพร่หลาย

สำหรับประเทศไทย ในปีนี้ สภากาชาดไทย ชวนผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง บริจาคโลหิตช่วยชีวิตผู้ป่วย ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 12 และจะสิ้นสุดในวันที่ 16 มิถุนายนนี้ ภายใต้สโลแกน "Give blood, give plasma, share life, share often - ให้โลหิต ให้ชีวิตประจำ" เพื่อสร้างความตระหนักถึงการบริจาคโลหิต ให้มีปริมาณเพียงพอ ปลอดภัยสำหรับรักษาผู้ป่วย และเป็นการบริจาคอย่างยั่งยืน พร้อมรับเสื้อยืดวันผู้บริจาคโลหิตโลก 2566 แทนคำขอบคุณ

ท่านที่สนใจร่วมบริจาคโลหิต ไปบริจาคได้ที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ หน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่โรงพยาบาล สาขาบริการโลหิตแห่งชาติ 8 แห่ง ในเขตกรุงเทพมหานคร และภาคบริการโลหิตแห่งชาติ ทั้ง 12 แห่งทั่วประเทศ

ปิดท้ายด้วยคำเชิญชวนของสภากาชาดไทย ที่ชวนคนไทยร่วมบริจาคโลหิต ด้วยประโยคที่ว่า "ชวนคุณมาร่วมพิสูจน์หายาวิเศษที่ซ่อนอยู่ในร่างกาย"

เครดิต เช้านี้ที่หมอชิต
255558.jpg (50.91 KiB) เข้าดูแล้ว 1304 ครั้ง
351595_0.jpg
351595_0.jpg (23.47 KiB) เข้าดูแล้ว 1304 ครั้ง
157128.jpg
157128.jpg (23.6 KiB) เข้าดูแล้ว 1304 ครั้ง
3758.jpg
3758.jpg (21.92 KiB) เข้าดูแล้ว 1304 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
ตอบกลับ

กลับไปยัง “ทัวร์ริ่ง (Touring)”