????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

บอร์ดสำหรับ นักปั่นทัวร์ริ่ง นักปั่นระยะทางไกล พูดคุยเรื่องอุปกรณ์ เทคนิตการปั่น ที่พัก หรือการกินอยู่
กฏการใช้บอร์ด
บอร์ดสำหรับ นักปั่นทัวร์ริ่ง นักปั่นระยะทางไกล พูดคุยเรื่องอุปกรณ์ เทคนิตการปั่น ที่พัก หรือการกินอยู่
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4378
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:D :) สวัสดีครับท่านผู้มีเกียรติและญาติธรรมที่เคารพ สมัยเรียนหนังสือเคยอ่านเรื่องราวของ อิน-จัน แฝดสยามรู้สึกได้ว่า ทึ่ง แบบนี้ก็มีในโลก คิดนะว่าชีวิตนี้เราจะได้เห็นของจริงไหมหนอ? ไม่น่าเชื่อครับในที่สุดยุคนี้ก็ยังมีให้ได้เห็น น้องปิ่น-น้องปาน แฝดสยามอีกคู่หนึ่งของไทยที่มาเฉลยให้หายข้องใจ และได้ศึกษา

จากเรื่องราวของอิน-จัน มาถึงเรื่องราวของ ปิ่น-ปาน (เรียกว่าร้อยปีมีครั้งก็ว่าได้) ผมคิดว่าปิ่น-ปานได้ให้ข้อคิดดี ๆ กับคนไทยทั้งประเทศนะครับ ปิ่น-ปาน มีใจคนละดวง แต่มีร่าง ๆ เดียวกัน แฝดตัวติดกันความคิดความอ่านน่าจะเหมือนกัน แต่ไม่ใช่เพราะมีใจคนละดวง ไปฟังเรื่องราวของน้องปิ่น-น้องปานกันครับ
:) :D

:o :o แฝดสยาม น้องปิ่น น้องปาน :o :o

:( :( ชื่นชมน้องปิ่นและน้องปาน ที่สามารถบริหาร ๒ ใจ ๑ กาย ให้ทุกข์น้อยที่สุด ประทับใจกับคำพูดที่ว่า “เราต้องรัก และ สามัคคีกัน” จึงทำให้ชีวิตรอด มีความสุขได้ ประเทศไทยล้านพ่อล้านแม่ล้านดวงจิตล้านดวงใจ หากไม่รักสามัคคีกันอย่าหวังความสุขจะเกิดมีขึ้นได้ แบ่งกัน ๒ ฝัก ๒ ฝ่าย แล้วมาทะเลาะกันหาจุดยืนไม่ได้ แต่ละฝ่ายความรู้สูง ๆ พอ ๆ กัน ทำไมไม่ใช้พรหมวิหาร ๔ ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์ (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) เรียกเป็นชาวพุทธเสียชาติเกิด :idea: :idea:
ไฟล์แนบ
เผยชีวิต &quot;ปิ่น-ปาน แฝดสยาม&quot; เมืองนครสวรรค์ พัฒนาการดีเยี่ยม ใช้ชีวิตได้ตามปกติ ร่าเริงแจ่มใส ฝันโตขึ้นอยากเป็นครูสอนเด็กๆ<br />28 สิงหาคม 2565<br /><br />เมื่อวันที่ 28 ส.ค. ที่ จ.นครสวรรค์ ผู้สื่อข่าวเดินทางไปเยี่ยม แฝดสยามปิ่น-ปาน หรือ ด.ญ.จรูญพัน ร่มโพธิ์เย็น น้องปิ่น, และ ด.ญ.จรูญโรจน์ ร่มโพธิ์เย็น น้องปาน ปัจจุบันอายุ 13 ปี 7 เดือน ซึ่งทั้ง 2 คนสามารถเดิน ยืน ขี่จักรยานสามล้อ และสามารถใช้ชีวิตทั่วไปได้ตามปกติมา 3 ปีกว่า โดยไม่เป็นภาระใดๆ และกินเก่ง ชอบกินขนม ไอศกรีม ของหวานต่างๆ อีกทั้งยังเป็นคนที่ร่าเริงแจ่มใสอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย<br /><br />นางนกน้อย พงษ์ชำนาญ ย่าของน้องแฝด ปิ่น-ปาน กล่าวว่า แฝดพัฒนาดีขึ้นอย่างมาก หลังจากไปฝึกพัฒนาการการยืน การเดิน กับแพทย์ที่โรงพยาบาล กทม. จนสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องใช้เครื่องช่วยพยุงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการทำกับข้าวกินเอง การเดินไปซื้อของการทำธุระส่วนตัว การใช้ชีวิตในสังคม ก็ทำได้ด้วยตัวเองโดยไม่เป็นภาระใดๆ เลย ในตอนนี้น้องแฝดก็เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 รร.วัดสันติธรรม หมู่ 3 ต.หนองกรด อ.เมือง จ.นครสวรรค์ ซึ่งผลเรียนก็ยังอยู่ในเกณฑ์ดี และยังสามารถเข้ากับเพื่อนๆ ได้ดี ส่วนการเป็นอยู่นั้นทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ใจบุญต่างๆ ก็เข้ามาช่วยเหลืออย่างดีมาโดยตลอด...<br /><br />“วันนี้จะพาน้องปิ่น-ปาน เดินทางไปพบหมอที่กรุงเทพฯ ซึ่งต้องใช้เวลาอยู่กรุงเทพฯ ประมาณ 5 วัน เพื่อตรวจกับหมอ ในการตรวจสอบพัฒนาโครงสร้างทางกระดูก โดยการเดินทางไปในวันนี้เป็นการพบหมอในรอบ 1 ปี” นางนกน้อย ระบุ พร้อมกับบอกว่า ตอนนี้ น้องปิ่น-ปานไม่มีจักรยานให้ขี่แล้ว เพราะเมื่อวานนี้ จักรยาน 3 ล้อคันล่าสุดของน้อง เพิ่งจะพังไป นับเป็นการพังไปแล้วถึง 3 คัน เนื่องจากรูปร่างของปิ่น-ปาน ต้องมีการประคับประคองในการปั่นจักรยานทั้ง 2 ฝั่ง ซึ่งต้องใช้แรงน้ำหนักสูงประกอบกับจักรยานคันเล็กขนาดพอเหมาะกับน้องด้วย จึงทำให้เสียหายได้ง่าย แต่ก็จะหาซื้อให้ใหม่หลังกลับมาจากพบแพทย์... <br /><br />ขณะที่ แฝดสยามปิ่น-ปาน บอกเพียงสั้นๆ ว่า การใช้ชีวิตกับเพื่อนๆ ในโรงเรียน และเพื่อนๆ ละแวกบ้านสนุกมากๆ ส่วนถ้าโตขึ้นก็อยากเป็นครูสอนภาษาไทย กับวิทยาศาสตร์ เพราะจะได้สอนหนังสือให้กับเด็กๆ<br /><br />สำหรับแฝดสยาม ด.ญ.จรูญโรจน์ ร่มโพธิ์เย็น หรือ น้องปาน และ ด.ญ.จรูญพันธ์ ร่มโพธิ์เย็น หรือ น้องปิ่น เป็นเด็กเพศหญิง เกิดเมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2552 มีศีรษะแยกกัน และมี 2 ลำตัว 4 แขน 2 ขา ลำตัวติดกันตั้งแต่ช่วงสะโพกลงมา นอกจากนี้ แฝดสยาม ยังควบคุมบังคับขาคนละข้างด้วยแต่การเดิน หรือการปั่นจักรยานนั้น ทั้ง 2 คนสามารถสื่อสารและเข้าใจกันได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันพักอาศัยอยู่ที่บ้านพักเจ้าหน้าที่ของ รร.นครสวรรค์ปัญญานุกูล อ.เมือง จ.นครสวรรค์.... <br /><br />สามารถติดตามต่อได้ที่ : ttps://www.dailynews.co.th/news/1407745/
เผยชีวิต "ปิ่น-ปาน แฝดสยาม" เมืองนครสวรรค์ พัฒนาการดีเยี่ยม ใช้ชีวิตได้ตามปกติ ร่าเริงแจ่มใส ฝันโตขึ้นอยากเป็นครูสอนเด็กๆ
28 สิงหาคม 2565

เมื่อวันที่ 28 ส.ค. ที่ จ.นครสวรรค์ ผู้สื่อข่าวเดินทางไปเยี่ยม แฝดสยามปิ่น-ปาน หรือ ด.ญ.จรูญพัน ร่มโพธิ์เย็น น้องปิ่น, และ ด.ญ.จรูญโรจน์ ร่มโพธิ์เย็น น้องปาน ปัจจุบันอายุ 13 ปี 7 เดือน ซึ่งทั้ง 2 คนสามารถเดิน ยืน ขี่จักรยานสามล้อ และสามารถใช้ชีวิตทั่วไปได้ตามปกติมา 3 ปีกว่า โดยไม่เป็นภาระใดๆ และกินเก่ง ชอบกินขนม ไอศกรีม ของหวานต่างๆ อีกทั้งยังเป็นคนที่ร่าเริงแจ่มใสอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย

นางนกน้อย พงษ์ชำนาญ ย่าของน้องแฝด ปิ่น-ปาน กล่าวว่า แฝดพัฒนาดีขึ้นอย่างมาก หลังจากไปฝึกพัฒนาการการยืน การเดิน กับแพทย์ที่โรงพยาบาล กทม. จนสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องใช้เครื่องช่วยพยุงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการทำกับข้าวกินเอง การเดินไปซื้อของการทำธุระส่วนตัว การใช้ชีวิตในสังคม ก็ทำได้ด้วยตัวเองโดยไม่เป็นภาระใดๆ เลย ในตอนนี้น้องแฝดก็เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 รร.วัดสันติธรรม หมู่ 3 ต.หนองกรด อ.เมือง จ.นครสวรรค์ ซึ่งผลเรียนก็ยังอยู่ในเกณฑ์ดี และยังสามารถเข้ากับเพื่อนๆ ได้ดี ส่วนการเป็นอยู่นั้นทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ใจบุญต่างๆ ก็เข้ามาช่วยเหลืออย่างดีมาโดยตลอด...

“วันนี้จะพาน้องปิ่น-ปาน เดินทางไปพบหมอที่กรุงเทพฯ ซึ่งต้องใช้เวลาอยู่กรุงเทพฯ ประมาณ 5 วัน เพื่อตรวจกับหมอ ในการตรวจสอบพัฒนาโครงสร้างทางกระดูก โดยการเดินทางไปในวันนี้เป็นการพบหมอในรอบ 1 ปี” นางนกน้อย ระบุ พร้อมกับบอกว่า ตอนนี้ น้องปิ่น-ปานไม่มีจักรยานให้ขี่แล้ว เพราะเมื่อวานนี้ จักรยาน 3 ล้อคันล่าสุดของน้อง เพิ่งจะพังไป นับเป็นการพังไปแล้วถึง 3 คัน เนื่องจากรูปร่างของปิ่น-ปาน ต้องมีการประคับประคองในการปั่นจักรยานทั้ง 2 ฝั่ง ซึ่งต้องใช้แรงน้ำหนักสูงประกอบกับจักรยานคันเล็กขนาดพอเหมาะกับน้องด้วย จึงทำให้เสียหายได้ง่าย แต่ก็จะหาซื้อให้ใหม่หลังกลับมาจากพบแพทย์...

ขณะที่ แฝดสยามปิ่น-ปาน บอกเพียงสั้นๆ ว่า การใช้ชีวิตกับเพื่อนๆ ในโรงเรียน และเพื่อนๆ ละแวกบ้านสนุกมากๆ ส่วนถ้าโตขึ้นก็อยากเป็นครูสอนภาษาไทย กับวิทยาศาสตร์ เพราะจะได้สอนหนังสือให้กับเด็กๆ

สำหรับแฝดสยาม ด.ญ.จรูญโรจน์ ร่มโพธิ์เย็น หรือ น้องปาน และ ด.ญ.จรูญพันธ์ ร่มโพธิ์เย็น หรือ น้องปิ่น เป็นเด็กเพศหญิง เกิดเมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2552 มีศีรษะแยกกัน และมี 2 ลำตัว 4 แขน 2 ขา ลำตัวติดกันตั้งแต่ช่วงสะโพกลงมา นอกจากนี้ แฝดสยาม ยังควบคุมบังคับขาคนละข้างด้วยแต่การเดิน หรือการปั่นจักรยานนั้น ทั้ง 2 คนสามารถสื่อสารและเข้าใจกันได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันพักอาศัยอยู่ที่บ้านพักเจ้าหน้าที่ของ รร.นครสวรรค์ปัญญานุกูล อ.เมือง จ.นครสวรรค์....

สามารถติดตามต่อได้ที่ : ttps://www.dailynews.co.th/news/1407745/
84417.jpg (117.51 KiB) เข้าดูแล้ว 3009 ครั้ง
S__28983392.jpg
S__28983392.jpg (92.05 KiB) เข้าดูแล้ว 3009 ครั้ง
บ้านของเราที่ต้นยางล้มทับเมื่อ ๑/๑๐/๖๔ ที่ผ่านมา บัดนี้การซ่อมแซม-สร้างเพิ่มเติม ใกล้จะแล้วเสร็จละครับ เหลืออีกประมาณ ๒๐ % น่าจะเสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นชีวิตคุณลุง-คุณป้า ก็จะได้ออกท่องเที่ยวทั่วไทยตามใจที่ปรารถนาและตั้งปณิธานไว้ว่า จะปั่นเที่ยวเมืองรองของไทย ให้ครบทั้ง ๕๒ จังหวัด (ก่อนอำลาโลกนี้) ตอนนี้ไปมาแล้ว ๕ จังหวัด เหลืออีกแค่ ๔๗ (๕๕๕)  ติดตามกันไปเรื่อย ๆ มีอะไรจะแนะนำพูดคุย ยินดีมาก ๆ ครับ
บ้านของเราที่ต้นยางล้มทับเมื่อ ๑/๑๐/๖๔ ที่ผ่านมา บัดนี้การซ่อมแซม-สร้างเพิ่มเติม ใกล้จะแล้วเสร็จละครับ เหลืออีกประมาณ ๒๐ % น่าจะเสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นชีวิตคุณลุง-คุณป้า ก็จะได้ออกท่องเที่ยวทั่วไทยตามใจที่ปรารถนาและตั้งปณิธานไว้ว่า จะปั่นเที่ยวเมืองรองของไทย ให้ครบทั้ง ๕๒ จังหวัด (ก่อนอำลาโลกนี้) ตอนนี้ไปมาแล้ว ๕ จังหวัด เหลืออีกแค่ ๔๗ (๕๕๕) ติดตามกันไปเรื่อย ๆ มีอะไรจะแนะนำพูดคุย ยินดีมาก ๆ ครับ
๑ มิ.ย (3).JPG (177.81 KiB) เข้าดูแล้ว 3009 ครั้ง
ต่อจากนี้ไปคุณลุง-คุณป้า จะพาไปเที่ยวชมอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ จ.ลำพูน ซึ่งถือว่าใกล้เกลือกินด่าง เพราะไม่เคยปั่นไปถึงเลย ได้แค่ปั่นขึ้นดอยเวียงก็กลับกันทุกครั้ง นอกจากนี้เส้นทางผ่านยังมีวัด ชื่อ วัดป่าสุขสำราญ ก่อนจะถึงดอยเวียง ปั่นผ่านไปก็ผ่านมาก็ไม่เคยแวะเช่นกัน ครั้งนี้เราไม่พลาดจะพาท่านไปเยี่ยมชม แต่จะไปชมอ่างเก็บน้ำก่อน ขากลับจะแวะที่วัดจะพาชมบรรยากาศ ติดตามนะครับ
ต่อจากนี้ไปคุณลุง-คุณป้า จะพาไปเที่ยวชมอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ จ.ลำพูน ซึ่งถือว่าใกล้เกลือกินด่าง เพราะไม่เคยปั่นไปถึงเลย ได้แค่ปั่นขึ้นดอยเวียงก็กลับกันทุกครั้ง นอกจากนี้เส้นทางผ่านยังมีวัด ชื่อ วัดป่าสุขสำราญ ก่อนจะถึงดอยเวียง ปั่นผ่านไปก็ผ่านมาก็ไม่เคยแวะเช่นกัน ครั้งนี้เราไม่พลาดจะพาท่านไปเยี่ยมชม แต่จะไปชมอ่างเก็บน้ำก่อน ขากลับจะแวะที่วัดจะพาชมบรรยากาศ ติดตามนะครับ
25533.jpg (188.4 KiB) เข้าดูแล้ว 3009 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (3).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (3).JPG (100.76 KiB) เข้าดูแล้ว 3009 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (4).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (4).JPG (74.94 KiB) เข้าดูแล้ว 3009 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (5).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (5).JPG (72.5 KiB) เข้าดูแล้ว 3009 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (6).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (6).JPG (87.66 KiB) เข้าดูแล้ว 3009 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (7).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (7).JPG (86.07 KiB) เข้าดูแล้ว 3009 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (8).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (8).JPG (91.91 KiB) เข้าดูแล้ว 3009 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (9).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (9).JPG (63.08 KiB) เข้าดูแล้ว 3009 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (10).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (10).JPG (97.22 KiB) เข้าดูแล้ว 3009 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (11).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (11).JPG (78.62 KiB) เข้าดูแล้ว 3009 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (13).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (13).JPG (102.25 KiB) เข้าดูแล้ว 3009 ครั้ง
ออกจากบ้านสายนิดแต่เราเตรียมเสบียงไว้พร้อมประมาณว่าจะปั่นยาว เนื่องจากช่างหยุดพักมีเวลาเที่ยวได้ และถือโอกาสซ้อมปั่นไปด้วยไม่ได้ออกทริปยาว ๆ ไกล ๆ นานแล้ว อ่างเก็บน้ำ บ.ธิ จ.ลำพูน ห่างจากที่เราอยู่อาศัยแค่ยี่สิบกว่าโลเอง ไปกลับก็ ๔๐ กว่ากิโล กำลังดีกับการซ้อมประจำวันครับ
ออกจากบ้านสายนิดแต่เราเตรียมเสบียงไว้พร้อมประมาณว่าจะปั่นยาว เนื่องจากช่างหยุดพักมีเวลาเที่ยวได้ และถือโอกาสซ้อมปั่นไปด้วยไม่ได้ออกทริปยาว ๆ ไกล ๆ นานแล้ว อ่างเก็บน้ำ บ.ธิ จ.ลำพูน ห่างจากที่เราอยู่อาศัยแค่ยี่สิบกว่าโลเอง ไปกลับก็ ๔๐ กว่ากิโล กำลังดีกับการซ้อมประจำวันครับ
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (14).JPG (98.66 KiB) เข้าดูแล้ว 3009 ครั้ง
การฝึกจากความทรงจำที่เก็บมาเล่าสู่กันฟัง และเก็บเป็นหลักฐานของท่าน พ.ต.ท.เกียรติยศ สุวรรณขัดศรี ยังคงดำเนินไปใกล้จะจบการฝึกแล้ว และถูกส่งเข้าสนานรบตามวัตถุประสงค์ เราไปติดตามตอนต่อไปกันครับ<br /><br /><br />ตอนที่ ๑๕<br /><br />เสร็จสิ้นภารกิจการฝึกยิงปืน ขว้างลูกระเบิดมือที่สนาม อ.แม่แตง เดินทางกลับเข้าค่ายดารารัศมี รถยนต์บรรทุก เพาเวอร์วากอน (Power Wagon) ล้อเกิดหลุด ภารกิจทุกอย่างแฝงไว้ด้วยคามเสี่ยงเกี่ยวกับอุบัติเหตุ แต่พวกเราก็ผ่านมาได้อย่างเฉียดฉิว ตามที่ข้าพเจ้าได้เล่าให้ฟังในตอนที่ผ่านมา........กลับเข้าถึงกองร้อย วันเวลาผ่านไปหลายวัน  การฝึกก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เป็นไปตาม รปจ.(ระเบียบปฏิบัติประจำ) อยู่เช่นเดิม แต่ใกล้จะฝึกจบหลักสูตรอีกไม่กี่วันแล้ว  กับมีเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นธรรมดาๆ แต่มันเป็นความภาคภูมิใจของพวกเรา ตชด.รุ่น 2/13 กล่าวคือ พวกเราได้จัดสร้างสนามบาสเก็ตบอลไว้เป็นอนุสรณ์ให้กับ กองร้อยฝึก <br /><br />สถานที่ก็สร้างหน้ากองร้อยฝึกนั่นแหละ ซึ่งเราไม่ทราบเรื่องกันมาก่อนเลย ครูฝึกมีความคิดอันดีงามให้เราจัดสร้าง โดยไม่บอกความจริงให้พวกเราทราบ.......โดยวันหนึ่งซึ่งเป็นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หลังจากที่รับประทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย ครูฝึกให้พวกเรา ขึ้นโดยสารบนรถยนต์บรรทุกเพาเวอร์ วากอน ขวัญใจ ตชด.จำนวนหลายคัน มีพวกเราอีกส่วนหนึ่งไม่ได้ไปด้วยโชคดีกันจังเลยเพื่อน  วันหยุดยิ่งใกล้จะจบหลักสูตร อย่าได้หวังว่าครูฝึกจะปล่อยพวกเราออกจากค่าย  เพราะเมื่อฝึกจบหลักสูตรแล้ว ก็ถูกปล่อยยาวไป ๆ ๆ  อยู่แล้ว  แต่เรื่องนี้พวกเราไม่ได้เครียด หรือ มีปัญหาอะไร รถบรรทุกหลายคันวิ่งออกจากค่ายดารารัศมี แล่นผ่านกองรักษาการณ์หลัง มุ่งไปทางน้ำตกแม่สา.........<br /><br />เอ สงสัยว่าฝึกกันมานาน ครูฝึกคงใจดี ให้พวกเราได้ลงเล่นน้ำตกเสียบ้างก็คงสดชื่น และคลายเหงา คลายความเครียดกันบ้าง ทั้งยังมีโอกาศ แลดูสาว ๆ ที่มาเที่ยวน้ำตกด้วย  ดีใจจังเลย 5555 แต่ เอ ให้มาเล่นน้ำตกทำไมเอาพลั่วสนาม ปุ้งกี๋ มาด้วยนะ หรือจะมีอะไรแอบแฝง อะไรจะเกิดขึ้นก็ช่างมันเถอะวะ ได้ออกจากค่ายเสียบ้างก็ยังดี  .......<br /><br />เมื่อไปถึงครูฝึกให้พวกเราถอดเสื้อผ้าออก เหลือไว้แต่กางเกงใน แต่พวกเราดูแล้วเห็นว่า บรรยากาศ มันไม่ค่อยจะอำนวย เพราะเห็นมีนักท่องเที่ยวทั้งหญิง ชาย เด็ก ๆ มาลงเล่นน้ำตกกันมากอยู่  พวกเราจึงขอต่อรองกับครูฝึกว่า ขอใส่กางเกงเถอะครับ ครูฝึกมองดูรอบบริเวณ แล้วยิ้ม ๆ คงเข้าใจว่าพวกเราอาย ครูฝึก โอเค ขณะนั้นเห็นมี จนท.น้ำตกแม่สา มาชี้จุดที่มี หิน ทราย ครูฝึกสั่งให้พวกเราลงไปงมหินเล็ก ๆ ในน้ำตกโดยใช้มือ อีกส่วนหนึ่งให้เอาพลั่วสนาม คุ้ยทรายใส่ปุ้งกี๋ (จะว่ายน้ำเล่นด้วยก็ได้) พวกเราจึงพากันแบ่งเป็น ๓ พวก ส่วนหนึ่งลงไปเก็บหิน มากองรวมไว้ที่ตลิ่ง อีกส่วนหนึ่งขนหินไปใส่รถบรรทุก พวกขนทรายเดินไกลหน่อย เพราะต้องเอาทรายไปเทในรถ <br /><br /> ผ่านไปหลายชั่วโมง ได้หิน ทราย มากโขอยู่ ครูฝึกมาตรวจดูสั่งว่าให้ขนหินก้อนใหญ่ใส่รถให้มาก ๆ ด้วย งานนี้เล่นเอาพวกเราต่างปวดเอวกันมาก  ขณะขนหินนักท่องเที่ยวมองดูพวกเรา พูดกันว่า ทหาร มาขนหิน ตัวดำปี๋  อายเขาจังเลย ฮึ ฮึ.....จวบจนเวลา 13.00 น. ครูฝึกสั่งให้พวกเราขึ้นรถยนต์บรรทุก กลับค่ายดารารัศมี เมื่อถึงค่ายก็ให้เข้าโรงเลี้ยงเพื่อรับประทานอาหารมื้อกลางวัน ให้พวกเราอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ได้ไปขนหิน ทราย ช่วยกันเอาพลั่วโกยหินทรายลงจากรถ มากองไว้ตรงจุดที่จะสร้างสนามบาสเก็ตบอล หึ หึ นึกว่าจะรอด มึงจงร้อน เหนื่อย และปวดเอวกันให้มาก ๆ นะเพื่อน........ <br /><br />หลังจากที่พวกเพื่อนๆโกยหิน ทรายลงรถกันหมดแล้ว ครูฝึกให้พวกเราไปอาบน้ำ และพักผ่อนตามอัธยาศัย เวลา 17.00 น.ให้มารวมแถว เมื่อข้าพเจ้าทำธุระส่วนตัวเสร็จ มันเหน็ดเหนื่อยจากการขนหิน ข้าพเจ้าจึงเผลอหลับไป จนกระทั่งเสมแห้ง ขี้เถิน บัดดี้ มาเรียกข้าพเจ้าว่า &quot; ไอ่ยศ ๆ ตื่น ๆ ใกล้จะห้าโมงเย็นละ&quot;  ข้าพเจ้ากับเสมแห้ง จึงพากันไปอาบน้ำ แล้วกลับขึ้นกองร้อย สวมเครื่องแบบเสร็จ ก็ไม่เห็น เสมแห้ง แล้ว ข้าพเจ้ารู้ดีว่ามันไปไหน จึงไปตามหาที่ลับตาข้าง ๆ กองรักษาการณ์หลัง และขอบุหรี่มัน 1 มวน สูบ เฮ้อ....... ค่อยยังชั่วไม่ได้สูบบุหรี่มาเกือบจะทั้งวัน <br /><br /> หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จ ก็เป็นเวลาส่วนตัว  ต่อมาเวลา 19.00 น.เข้าห้องอบรม ครูฝึกได้ชี้แจงการจัดสร้างสนามบาสเก็ตบอล ไว้หน้ากองร้อยฝึก จะเร่งมือสร้างให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อให้พวกเราทันได้เล่น และให้ มว.คร.ต่าง ๆที่ผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนกันมาสแตนด์บาย กับ ตชด.รุ่นน้อง เราได้เล่นเพื่อเป็นการออกกำลังกายอีกทางหนึ่ง   ตชด.รุ่น 2/13 มีพวกเราหลายคนจากเขตต่าง ๆ เล่นบาสเก็ตบอลได้เก่งมาก  ส่วน กก.ชด.เขต 5 ที่จำได้มี เกษตร เสมอกิจ กับ สมเพ็ชร อินทะนันท์ มว.2 เสื้อดำ เล่นเก่งมากไม่เป็นรองใครเหมือนกัน และมีเพื่อนๆ อีกหลายคน........<br /><br />ช่วงที่อยู่ในห้องอบรม ครูฝึก พูดว่า การฝึกภาควิชาการ การฝึกปรับพื้นฐาน ตชด.พวกเราก็ฝึกจบหมดแล้ว  หรือจะให้ฝึกทบทวนต่อ.......เงียบกริบกันไปทั้งห้อง แต่ก็มีเสียงเล็ดลอดมาว่า &quot;บะฝึกละครับ ปอแล้วครับครู&quot; (ไม่ฝึกละ พอละครับครู)  ครูฝึกพูดว่า พรุ่งนี้เวลา 05.00 น.หลังจากไปวิ่ง กายบริหาร ทำความสะอาดรอบกองร้อย  รับประทานอาหารเช้า เคารพธงชาติเสร็จ ให้พวกเราช่วยกันสร้างสนามบาสเก็ตบอล   พวกที่มีฝีมือในการผสม หิน ทราย เท ลาด ปาด ปูนซีเมนต์ จงแสดงฝีมือให้เต็มที่ พวกที่ทำอะไรไม่เป็น ก็ทำหน้าที่กรรมกร ขนปูน หิน ทราย ให้เพื่อน     ต่อมาเวลา 21.00 น.สัญญาณแตรนอน พวกเราขึ้นกองร้อย นอน พวกมีหน้าที่เวร ยาม ก็ไปปฏิบัติ........ข้าพเจ้าแอบนึกในใจว่า นี่เราเป็น ตชด.เต็มตัวแล้วหรือ  ดีใจจังเลย......5555    <br /><br /> พอถึงเวลา 05.00 น. สัญญาณแตรปลุก พวกเราก็ไปวิ่ง กายบริหาร ทำความสะอาดกองร้อย รับประทานอาหารเช้า เคารพธงชาติ พักผ่อน สักครู่ ครูฝึกจึงสั่งให้พวกเราไปสร้างสนามบาสเก็ตบอล  พวกมีฝีมือในการผสมหิน ทราย เทลาด ปาดปูซีเมนต์ มีจำนวนมาก ส่วนข้าพเจ้าไม่ถนัดงานดังกล่าว เลยเข้าร่วมกับพวกที่เป็นหน่วยกรรมกร ใช้วิธีจรยุทธ ขน หิน ทราย ไปเทให้กับหน่วยช่างก่อสร้างดังกล่าว ส่วน เสมแห้ง  ขี้เถิน บัดดี้ มันก่อสร้าง สร้างอะไรไม่เป็น เลยร่วมปฏิบัติภารกิจกับข้าพเจ้า  มันพูดว่า &quot;ไอ่ยศ มึงกับกูยะหยังบะจ้าง ขนหิน ทราย ช่วยเปิ้น เอาน่อ ฮิ ฮิ &quot; (ไอ้ ยศ มึงกะกูทำไรไม่เป็น ขนหินทรายช่วยเขาก็พอนะ)  ข้าพเจ้าได้แต่หัวเราะ หึ หึ ไปกับมันด้วย.......... <br /><br />พวกเราก่อสร้างสนามบาสเกตบอลไปได้อย่างรวดเร็ว โดยครูฝึกเป็นผู้ควบคุม   แต่บังเอิญ หินก้อนเล็ก ๆ ไม่พอ แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะ พวกเราก็มีหน่วยกำลังเสริมอีกมาก  กก.ชด.เขต 5  อาทิ  สว่าง ไชยวรรณ ยงยุทธ วงค์คำปัน ประยูร อิ่นแก้ว จำไม่ได้อีกหลายคน และยังมีหน่วยกำลังจาก กก.ตชด.เขต 6,7,8,9 อีกด้วย หน่วยกำลังนี้มีคุณสมบัติพิเศษ มีรูปร่างกายสูงใหญ่ แข็งแรง เต็มไปด้วยมัดกล้าม ประดุจดั่ง ธอร์ เทพเจ้าสายฟ้า ผู้ผดุงคุณธรรม  แถมก็ยังใช้อาวุธประจำกายคล้าย ๆ ท่าน โดยพวกเรามี ค้อนปอนด์เหล็กด้ามยาวชนิด จับด้ามไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง  ทุบหินก้อนใหญ่ ๆ ให้แตกกระจาย แปรสภาพเป็นก้อนเล็ก ๆ ด้วยพลังแรงกายอันมหาศาล หนักหน่วงโดย  กลุ่ม เทพเจ้าสายฟ้าของเราเอง ........เยี่ยมมาก ข้าผู้น้อยนับถือ ๆ  ข้าพเจ้าสังเกตุว่า เวลาที่เพื่อนเราใช้ค้อนปอนด์ ทุบหิน มักจะมีเศษหินกระเด็นออกมาด้วยอาจจะถูกตัวเราก็เป็นไปได้ <br /><br /> ข้าพเจ้าหิ้วบุ้งกี๋ขนทรายเดินออกห่างกันเอาไว้ก่อน  มองหาเสมแห้ง ขี้เถิน ไม่พบตัว  ไอ้นี่มันแอบไปที่ไหนอีกวะนี่  คิดยังไม่ทันไร สมแห้ง ขี้เถิน เดินกระเผลก ๆ มาหาข้าพเจ้า พูดว่า “กูหิ้วปุ้งกี๋เอาทรายไปเทลงพื้น บะหินก้อนบะเล่น พุ่งมาถูกหน้าแข้งกู เจ็บฉิบหาย&quot; (กูหิ้วบุ้งกี๋เอาทรายเทพื้น ก้อนหินก้อนใหญ่ พุ่งมาถูกหน้าแข้ง เจ็บฉิบหาย)  พร้อมกับถลกชายกางเกงให้ดูข้าพเจ้าเห็นหน้าแข้งขวามันเป็นรอยช้ำ บวมเปล่ง  ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ค่อยให้มันไปขอยาหม่องที่เรือนพยาบาล มาทาก็แล้วกัน   เป็นที่สังเกตุว่าเกือบทุกภารกิจ เสมแห้ง มักจะได้รับบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่เสมอ ๆ จึงแกล้งพูดแหย่มันไปว่า &quot;เสมเหย บะหล้างดวงคิงจะบะดีเหียก้าบะ  จบออกไปทำงาน จะโดนคอมมิวนิสต์ยิงเอาเน้อ&quot; (เษม..สงสัยมึงดวงคงไม่ดี จบออกไปทำงาน จะโดน ผกค.ยิงเอานะ) เสมแห้ง พูดว่า &quot;ยิงมากะ กู ตึงบะกั๋ว มึงน่ากะจะโดนยิง&quot; (ยิงมา กูก่อไม่กลัว มึงสิ..จะโดน)..........สุดยอดจริง ๆ บัดดี้เรา 5555
การฝึกจากความทรงจำที่เก็บมาเล่าสู่กันฟัง และเก็บเป็นหลักฐานของท่าน พ.ต.ท.เกียรติยศ สุวรรณขัดศรี ยังคงดำเนินไปใกล้จะจบการฝึกแล้ว และถูกส่งเข้าสนานรบตามวัตถุประสงค์ เราไปติดตามตอนต่อไปกันครับ


ตอนที่ ๑๕

เสร็จสิ้นภารกิจการฝึกยิงปืน ขว้างลูกระเบิดมือที่สนาม อ.แม่แตง เดินทางกลับเข้าค่ายดารารัศมี รถยนต์บรรทุก เพาเวอร์วากอน (Power Wagon) ล้อเกิดหลุด ภารกิจทุกอย่างแฝงไว้ด้วยคามเสี่ยงเกี่ยวกับอุบัติเหตุ แต่พวกเราก็ผ่านมาได้อย่างเฉียดฉิว ตามที่ข้าพเจ้าได้เล่าให้ฟังในตอนที่ผ่านมา........กลับเข้าถึงกองร้อย วันเวลาผ่านไปหลายวัน การฝึกก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เป็นไปตาม รปจ.(ระเบียบปฏิบัติประจำ) อยู่เช่นเดิม แต่ใกล้จะฝึกจบหลักสูตรอีกไม่กี่วันแล้ว กับมีเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นธรรมดาๆ แต่มันเป็นความภาคภูมิใจของพวกเรา ตชด.รุ่น 2/13 กล่าวคือ พวกเราได้จัดสร้างสนามบาสเก็ตบอลไว้เป็นอนุสรณ์ให้กับ กองร้อยฝึก

สถานที่ก็สร้างหน้ากองร้อยฝึกนั่นแหละ ซึ่งเราไม่ทราบเรื่องกันมาก่อนเลย ครูฝึกมีความคิดอันดีงามให้เราจัดสร้าง โดยไม่บอกความจริงให้พวกเราทราบ.......โดยวันหนึ่งซึ่งเป็นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หลังจากที่รับประทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย ครูฝึกให้พวกเรา ขึ้นโดยสารบนรถยนต์บรรทุกเพาเวอร์ วากอน ขวัญใจ ตชด.จำนวนหลายคัน มีพวกเราอีกส่วนหนึ่งไม่ได้ไปด้วยโชคดีกันจังเลยเพื่อน วันหยุดยิ่งใกล้จะจบหลักสูตร อย่าได้หวังว่าครูฝึกจะปล่อยพวกเราออกจากค่าย เพราะเมื่อฝึกจบหลักสูตรแล้ว ก็ถูกปล่อยยาวไป ๆ ๆ อยู่แล้ว แต่เรื่องนี้พวกเราไม่ได้เครียด หรือ มีปัญหาอะไร รถบรรทุกหลายคันวิ่งออกจากค่ายดารารัศมี แล่นผ่านกองรักษาการณ์หลัง มุ่งไปทางน้ำตกแม่สา.........

เอ สงสัยว่าฝึกกันมานาน ครูฝึกคงใจดี ให้พวกเราได้ลงเล่นน้ำตกเสียบ้างก็คงสดชื่น และคลายเหงา คลายความเครียดกันบ้าง ทั้งยังมีโอกาศ แลดูสาว ๆ ที่มาเที่ยวน้ำตกด้วย ดีใจจังเลย 5555 แต่ เอ ให้มาเล่นน้ำตกทำไมเอาพลั่วสนาม ปุ้งกี๋ มาด้วยนะ หรือจะมีอะไรแอบแฝง อะไรจะเกิดขึ้นก็ช่างมันเถอะวะ ได้ออกจากค่ายเสียบ้างก็ยังดี .......

เมื่อไปถึงครูฝึกให้พวกเราถอดเสื้อผ้าออก เหลือไว้แต่กางเกงใน แต่พวกเราดูแล้วเห็นว่า บรรยากาศ มันไม่ค่อยจะอำนวย เพราะเห็นมีนักท่องเที่ยวทั้งหญิง ชาย เด็ก ๆ มาลงเล่นน้ำตกกันมากอยู่ พวกเราจึงขอต่อรองกับครูฝึกว่า ขอใส่กางเกงเถอะครับ ครูฝึกมองดูรอบบริเวณ แล้วยิ้ม ๆ คงเข้าใจว่าพวกเราอาย ครูฝึก โอเค ขณะนั้นเห็นมี จนท.น้ำตกแม่สา มาชี้จุดที่มี หิน ทราย ครูฝึกสั่งให้พวกเราลงไปงมหินเล็ก ๆ ในน้ำตกโดยใช้มือ อีกส่วนหนึ่งให้เอาพลั่วสนาม คุ้ยทรายใส่ปุ้งกี๋ (จะว่ายน้ำเล่นด้วยก็ได้) พวกเราจึงพากันแบ่งเป็น ๓ พวก ส่วนหนึ่งลงไปเก็บหิน มากองรวมไว้ที่ตลิ่ง อีกส่วนหนึ่งขนหินไปใส่รถบรรทุก พวกขนทรายเดินไกลหน่อย เพราะต้องเอาทรายไปเทในรถ

ผ่านไปหลายชั่วโมง ได้หิน ทราย มากโขอยู่ ครูฝึกมาตรวจดูสั่งว่าให้ขนหินก้อนใหญ่ใส่รถให้มาก ๆ ด้วย งานนี้เล่นเอาพวกเราต่างปวดเอวกันมาก ขณะขนหินนักท่องเที่ยวมองดูพวกเรา พูดกันว่า ทหาร มาขนหิน ตัวดำปี๋ อายเขาจังเลย ฮึ ฮึ.....จวบจนเวลา 13.00 น. ครูฝึกสั่งให้พวกเราขึ้นรถยนต์บรรทุก กลับค่ายดารารัศมี เมื่อถึงค่ายก็ให้เข้าโรงเลี้ยงเพื่อรับประทานอาหารมื้อกลางวัน ให้พวกเราอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ได้ไปขนหิน ทราย ช่วยกันเอาพลั่วโกยหินทรายลงจากรถ มากองไว้ตรงจุดที่จะสร้างสนามบาสเก็ตบอล หึ หึ นึกว่าจะรอด มึงจงร้อน เหนื่อย และปวดเอวกันให้มาก ๆ นะเพื่อน........

หลังจากที่พวกเพื่อนๆโกยหิน ทรายลงรถกันหมดแล้ว ครูฝึกให้พวกเราไปอาบน้ำ และพักผ่อนตามอัธยาศัย เวลา 17.00 น.ให้มารวมแถว เมื่อข้าพเจ้าทำธุระส่วนตัวเสร็จ มันเหน็ดเหนื่อยจากการขนหิน ข้าพเจ้าจึงเผลอหลับไป จนกระทั่งเสมแห้ง ขี้เถิน บัดดี้ มาเรียกข้าพเจ้าว่า " ไอ่ยศ ๆ ตื่น ๆ ใกล้จะห้าโมงเย็นละ" ข้าพเจ้ากับเสมแห้ง จึงพากันไปอาบน้ำ แล้วกลับขึ้นกองร้อย สวมเครื่องแบบเสร็จ ก็ไม่เห็น เสมแห้ง แล้ว ข้าพเจ้ารู้ดีว่ามันไปไหน จึงไปตามหาที่ลับตาข้าง ๆ กองรักษาการณ์หลัง และขอบุหรี่มัน 1 มวน สูบ เฮ้อ....... ค่อยยังชั่วไม่ได้สูบบุหรี่มาเกือบจะทั้งวัน

หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จ ก็เป็นเวลาส่วนตัว ต่อมาเวลา 19.00 น.เข้าห้องอบรม ครูฝึกได้ชี้แจงการจัดสร้างสนามบาสเก็ตบอล ไว้หน้ากองร้อยฝึก จะเร่งมือสร้างให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อให้พวกเราทันได้เล่น และให้ มว.คร.ต่าง ๆที่ผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนกันมาสแตนด์บาย กับ ตชด.รุ่นน้อง เราได้เล่นเพื่อเป็นการออกกำลังกายอีกทางหนึ่ง ตชด.รุ่น 2/13 มีพวกเราหลายคนจากเขตต่าง ๆ เล่นบาสเก็ตบอลได้เก่งมาก ส่วน กก.ชด.เขต 5 ที่จำได้มี เกษตร เสมอกิจ กับ สมเพ็ชร อินทะนันท์ มว.2 เสื้อดำ เล่นเก่งมากไม่เป็นรองใครเหมือนกัน และมีเพื่อนๆ อีกหลายคน........

ช่วงที่อยู่ในห้องอบรม ครูฝึก พูดว่า การฝึกภาควิชาการ การฝึกปรับพื้นฐาน ตชด.พวกเราก็ฝึกจบหมดแล้ว หรือจะให้ฝึกทบทวนต่อ.......เงียบกริบกันไปทั้งห้อง แต่ก็มีเสียงเล็ดลอดมาว่า "บะฝึกละครับ ปอแล้วครับครู" (ไม่ฝึกละ พอละครับครู) ครูฝึกพูดว่า พรุ่งนี้เวลา 05.00 น.หลังจากไปวิ่ง กายบริหาร ทำความสะอาดรอบกองร้อย รับประทานอาหารเช้า เคารพธงชาติเสร็จ ให้พวกเราช่วยกันสร้างสนามบาสเก็ตบอล พวกที่มีฝีมือในการผสม หิน ทราย เท ลาด ปาด ปูนซีเมนต์ จงแสดงฝีมือให้เต็มที่ พวกที่ทำอะไรไม่เป็น ก็ทำหน้าที่กรรมกร ขนปูน หิน ทราย ให้เพื่อน ต่อมาเวลา 21.00 น.สัญญาณแตรนอน พวกเราขึ้นกองร้อย นอน พวกมีหน้าที่เวร ยาม ก็ไปปฏิบัติ........ข้าพเจ้าแอบนึกในใจว่า นี่เราเป็น ตชด.เต็มตัวแล้วหรือ ดีใจจังเลย......5555

พอถึงเวลา 05.00 น. สัญญาณแตรปลุก พวกเราก็ไปวิ่ง กายบริหาร ทำความสะอาดกองร้อย รับประทานอาหารเช้า เคารพธงชาติ พักผ่อน สักครู่ ครูฝึกจึงสั่งให้พวกเราไปสร้างสนามบาสเก็ตบอล พวกมีฝีมือในการผสมหิน ทราย เทลาด ปาดปูซีเมนต์ มีจำนวนมาก ส่วนข้าพเจ้าไม่ถนัดงานดังกล่าว เลยเข้าร่วมกับพวกที่เป็นหน่วยกรรมกร ใช้วิธีจรยุทธ ขน หิน ทราย ไปเทให้กับหน่วยช่างก่อสร้างดังกล่าว ส่วน เสมแห้ง ขี้เถิน บัดดี้ มันก่อสร้าง สร้างอะไรไม่เป็น เลยร่วมปฏิบัติภารกิจกับข้าพเจ้า มันพูดว่า "ไอ่ยศ มึงกับกูยะหยังบะจ้าง ขนหิน ทราย ช่วยเปิ้น เอาน่อ ฮิ ฮิ " (ไอ้ ยศ มึงกะกูทำไรไม่เป็น ขนหินทรายช่วยเขาก็พอนะ) ข้าพเจ้าได้แต่หัวเราะ หึ หึ ไปกับมันด้วย..........

พวกเราก่อสร้างสนามบาสเกตบอลไปได้อย่างรวดเร็ว โดยครูฝึกเป็นผู้ควบคุม แต่บังเอิญ หินก้อนเล็ก ๆ ไม่พอ แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะ พวกเราก็มีหน่วยกำลังเสริมอีกมาก กก.ชด.เขต 5 อาทิ สว่าง ไชยวรรณ ยงยุทธ วงค์คำปัน ประยูร อิ่นแก้ว จำไม่ได้อีกหลายคน และยังมีหน่วยกำลังจาก กก.ตชด.เขต 6,7,8,9 อีกด้วย หน่วยกำลังนี้มีคุณสมบัติพิเศษ มีรูปร่างกายสูงใหญ่ แข็งแรง เต็มไปด้วยมัดกล้าม ประดุจดั่ง ธอร์ เทพเจ้าสายฟ้า ผู้ผดุงคุณธรรม แถมก็ยังใช้อาวุธประจำกายคล้าย ๆ ท่าน โดยพวกเรามี ค้อนปอนด์เหล็กด้ามยาวชนิด จับด้ามไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ทุบหินก้อนใหญ่ ๆ ให้แตกกระจาย แปรสภาพเป็นก้อนเล็ก ๆ ด้วยพลังแรงกายอันมหาศาล หนักหน่วงโดย กลุ่ม เทพเจ้าสายฟ้าของเราเอง ........เยี่ยมมาก ข้าผู้น้อยนับถือ ๆ ข้าพเจ้าสังเกตุว่า เวลาที่เพื่อนเราใช้ค้อนปอนด์ ทุบหิน มักจะมีเศษหินกระเด็นออกมาด้วยอาจจะถูกตัวเราก็เป็นไปได้

ข้าพเจ้าหิ้วบุ้งกี๋ขนทรายเดินออกห่างกันเอาไว้ก่อน มองหาเสมแห้ง ขี้เถิน ไม่พบตัว ไอ้นี่มันแอบไปที่ไหนอีกวะนี่ คิดยังไม่ทันไร สมแห้ง ขี้เถิน เดินกระเผลก ๆ มาหาข้าพเจ้า พูดว่า “กูหิ้วปุ้งกี๋เอาทรายไปเทลงพื้น บะหินก้อนบะเล่น พุ่งมาถูกหน้าแข้งกู เจ็บฉิบหาย" (กูหิ้วบุ้งกี๋เอาทรายเทพื้น ก้อนหินก้อนใหญ่ พุ่งมาถูกหน้าแข้ง เจ็บฉิบหาย) พร้อมกับถลกชายกางเกงให้ดูข้าพเจ้าเห็นหน้าแข้งขวามันเป็นรอยช้ำ บวมเปล่ง ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ค่อยให้มันไปขอยาหม่องที่เรือนพยาบาล มาทาก็แล้วกัน เป็นที่สังเกตุว่าเกือบทุกภารกิจ เสมแห้ง มักจะได้รับบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่เสมอ ๆ จึงแกล้งพูดแหย่มันไปว่า "เสมเหย บะหล้างดวงคิงจะบะดีเหียก้าบะ จบออกไปทำงาน จะโดนคอมมิวนิสต์ยิงเอาเน้อ" (เษม..สงสัยมึงดวงคงไม่ดี จบออกไปทำงาน จะโดน ผกค.ยิงเอานะ) เสมแห้ง พูดว่า "ยิงมากะ กู ตึงบะกั๋ว มึงน่ากะจะโดนยิง" (ยิงมา กูก่อไม่กลัว มึงสิ..จะโดน)..........สุดยอดจริง ๆ บัดดี้เรา 5555
๑ มิ.ย (4).JPG (143.05 KiB) เข้าดูแล้ว 3009 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4378
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D สวัสดีท่านผู้มีเกียรติที่เคารพและญาติธรรมที่รักทุกท่านครับ เรื่องของฝาแฝดที่ผมนำเสนอคงจะเรียกความสนใจให้กับทุกท่านพอสมควร ตอนนี้ผมไปค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อที่จะให้ได้ศึกษาในรายละเอียด เป็นความรู้อย่าผ่านเลยนะครับคลิปนี้มีสาระมาก ๆ ได้ทั้งความรู้ ประวัติศาสตร์ ความเป็นมา ฯ น่าสนใจอย่างยิ่งประเทศไทยเรามีดีเยอะ โด่งดังมากว่าร้อยปีแล้วสำหรับประเทศไทยครับ :) :D

:o :o เปิดประวัติแฝด อิน-จัน คนดังระดับโลก! :o :o

:idea: :idea: เรื่องนี้ลึกซึ้งนัก...แต่เดิมนานมาแล้วสมัยที่ตัวผมเอง เริ่มปฏิบัติธรรมใหม่ ๆ ได้รู้ได้เห็นได้ประสบกับสิ่งอัศจรรย์ทั้งทางตรงทางอ้อม ตลอดจนหลงผิดหลงตัวเอง และเผลอใจไปแอบนินทาหลวงปู่ หลวงพ่อ ที่ท่านได้รับพัดยศ (นี่เป็นอีกสาเหตุที่ผมคิดว่ากรรมหนักของผม ปฏิบัติธรรมได้เนิ่นช้า) เคยสนทนากับพ่อ-แม่ ครูบาอาจารย์หลายท่านที่นับถือ ท่านมักจะเอ็ดเอาและบอกว่า “สนใจเรื่องของตัวนู่น(เดินจงกรม นั่งภาวนา) ถึงเวลาจะรู้เองแหละ” วันนี้ เวลานี้ เป็นเวลาที่ผมรู้และซาบซึ้งมาก ๆ ควรจะนำมาเผยแพร่เป็นมหากุศลให้กับตัวเองได้แล้ว พร้อมนี้ขอขอบพระคุณท่าน หลวงพี่จี๊ด สุเมโธ ที่เล่าเรื่องนี้ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

เมื่อหลวงปู่เนตร กล่าวถึงสมณศักดิ์พระราชทานที่ได้รับ :

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ พระเนตร จิรปุญฺโญ เป็น พระราชมงคลวชิรเจดีย์ สีลาจารวัตรนิวิฐ ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นราช ฝ่ายวิปัสสนาธุระ สถิต ณ วัดมหาธาตุแหลมสัก จ.กระบี่ มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ 4 รูปคือ พระครูปลัด 1 พระครูสังฆรักษ์ 1 พระครูสมุห์ 1 พระครูใบฎีกา 1 ประกาศ ณ วันที่ 6 พฤษภาคม พุทธศักราช 2565 เป็นปีที่ 7 ในรัชกาลปัจจุบัน

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ.2565พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลเอก กัมปนาท รุดดิษฐ์ องคมนตรี เชิญสัญญาบัตร พัดยศ และผ้าไตรไปถวายแด่พระราชมงคลวชิรเจดีย์ ตามที่มีพระบรมราชโองการโปรดพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์พระราชาคณะ ณ วัดมหาธาตุแหลมสัก ต.แหลมสัก อ.อ่าวลึก จ.กระบี่

เมื่อทางวัดและคณะศิษยานุศิษย์ ได้ทราบเรื่องที่ในหลวงพระราชทานสมณศักดิ์แก่หลวงปู่ หลวงพี่จี๊ด สุเมโธ ได้นำความไปเรียนหลวงปู่ในตอนเช้า หลวงปู่เมื่อฟังแล้วก็พยักหน้ารับว่า "อือ.."

ด้วยที่หลวงปู่เป็นผู้มักน้อยและสันโดษ ทำให้ผมสงสัยกับคำว่า"อือ.."ของหลวงปู่ ว่าท่านมีนัยยะอย่างไร สบโอกาสตอนนำน้ำชา(ผูเอ่อร์)ไปถวายท่านช่วงบ่าย ผมขอโอกาสท่าน เรียนท่านว่า ตอนนี้หลวงปู่เป็นพระของพระเจ้าแผ่นดินแล้ว เพราะท่านพระราชทานสมณศักดิ์ให้ คราวเดียวจากพระภิกษุธรรมดาเป็นพระราชาคณะเลย หลวงปู่ท่านมองหน้าผมแล้วกล่าวว่า ถ้าท่านให้ก็ต้องรับ แต่ให้ขอไม่ขอ ท่านกล่าวต่ออีกว่า ตั้งยศให้ช้างตั้งขุนนางให้พระ ตัวช้างเองจะรู้อะไร? จะมีความหมายอะไร? เช่นเดียวกับตั้งขุนนางให้พระ พระบวชเพื่อเอาออกไม่ใช่เอาเข้า กับพระที่บริสุทธิ์ตำแหน่งขุนนางจะมีความหมายอะไร?

ถ้าอย่างนั้นแล้ว ทำไมในหลวงทุกรัชกาลยังทรงตั้งตำแหน่งสมณศักดิ์ให้พระภิกษุอยู่ละครับ ? ผมถามแย้งเบาๆ ท่านตอบด้วยการอธิบาย ดุจหงายของที่คว่ำอยู่ ทำลายข้อสงสัยของผมอย่างสิ้นซาก ผมขอสรุปคำอธิบายของหลวงปู่ดังนี้

"ก็ศาสนาพุทธเรานั้นอสิงสา คือไม่เบียดเบียน ไม่ต่อสู้เข่นฆ่า ไม่มีสงคราม(ศาสนา)ศักดิ์สิทธิ์ กันถูกรังแก จึงต้องมีผู้มีอำนาจอุปถัมภ์ แม้ยุคพุทธกาล พระผู้มีพระภาคก็มีพระเจ้าพิมพิสาร,พระเจ้าปเสนทโกศล คอยอุปถัมภ์ การเผยแผ่พระศาสนาจึงสะดวกและปลอดภัย ดูอย่างหลังพุทธกาลที่วัดเมืองนาลันทา ถูกข้าศึกต่างศาสนิกโจมตี ภิกษุกลุ่มหนึ่งก็หนี ส่วนที่ไม่หนียอมสละชีพก็ไม่น้อยที่ถูกฆ่าโดยไม่ต่อสู้ มาถึงยุคพระเจ้าอโศกมหาราชผู้กลับใจจากการเป็นกษัตริย์นักฆ่ามาเป็นกษัตริย์ผู้เคารพยำเกรงและเผยแผ่ธรรมของพระศาสดา ด้วยการส่งพระเถราจารย์ไปทั่วสารทิศ โดยอาศัยบารมีที่เคยเป็นกษัตริย์นักรบผู้พิชิต ประกาศให้ทั้งโลกทราบว่าพระภิกษุที่จาริกไปเผยแผ่ธรรมนั้นอยู่ในอุปถัมภ์ของพระองค์

เมื่อพุทธศาสนาขยายตัวถึงสุวรรณภูมิ พระมหากษัตริย์ตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมาก็ศรัทธาในพระพุทธศาสนาประกาศตนเป็นพุทธมามกะ และที่สำคัญทรงอุปถัมภ์พุทธศาสนาตลอดมา การแต่งตั้งสมณศักดิ์ ด้วยการยกย่องพระภิกษุที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ด้วยการมอบสมณศักดิ์ให้เพื่อประกาศให้ประชาชนในแผ่นดินของพระองค์ได้รับรู้ว่า พระองค์ไม่ทอดธุระในพระศาสนา ยังอุปถัมภ์อย่างจริงจังใครอย่าหมายมารุกราน นับเป็นอุบาสกที่สำคัญยิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงฝากพระศาสนาไว้ให้ช่วยค้ำจุนดูแลเพื่อประโยชน์แก่ชนหมู่มาก ส่วนตัวพระภิกษุเมื่อได้สมณศักดิ์ตำแหน่งมาแล้ว จะยึดด้วยอัตตาที่กล้าหรือจะวางด้วยมัฌิมาปฏิปทาไม่ยินดีหรือยินร้าย ก็สุดแท้แต่จิตใจของภิกษุรูปนั้นเอง จะไปโทษหรือตำหนิผู้แต่งตั้งได้ไฉน?

ในหลวงรัชกาลที่10 ก็ดำเนินรอยตามบุรพกษัตริย์ที่เป็นพุทธมามกะทั้งกายใจ และยึดมั่นตั้งพระทัยจะอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาสืบไป ดั่งต้นราชวงศ์จักรี พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ที่ทรงตั้งปณิธานไว้ในคราขึ้นครองแผ่นดินว่า

..ตั้งใจจะอุปถัมภก
ยอยกพระพุทธศาสนา
จะป้องกันขอบขัณฑสีมา
รักษาประชาชนและมนตรี.."


ผมอิ่มกับคำอธิบายของหลวงปู่ ตระหนักรู้ว่าเป็นคนละส่วน พระเจ้าแผ่นดินทรงตั้งพระภิกษุผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ด้วยหมายให้คนทั่วไปรู้ในความเป็น อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชลีกรณีโย ของภิกษุนั้น ด้วยตำแหน่งในสมณศักดิ์ ทั้งประกาศให้โลกรู้ว่าท่านไม่ทอดธุระในความเป็นอุปถัมภกพระพุทธศาสนา พระภิกษุเมื่อได้รับสมณศักดิ์แล้วควรวางเฉยดุจช้างที่ได้รับยศ ก็ช้างเองมิล่วงรู้หรือยินดีในยศเหล่าเลยแม้แต่น้อย...

คำว่า "อือ.."ของหลวงปู่จึงสุขุม ลุ่มลึกอย่างนี้ วันนั้นถ้าผมขลาดมิกล้าถามท่าน ผมไหนเลยจะกระจ่างและเบิกบานต่อเรื่องสมณศักดิ์ได้ปานนี้ขอบคุณท่านที่นำมาเล่า

ขอกราบแทบเท้าหลวงปู่ด้วยเศียรเกล้า
:) :D
ไฟล์แนบ
ข้อวัตรปัจจุบันของหลวงปู่ ท่านมักชอบจะอยู่แบบสันโดษไม่คลุกคลีกับผู้ใดมาก และใช้เวลาเดินจงกรมอยู่เสมอ แม้ว่าสังขารจะไม่เอื้ออำนวยนัก ท่านก็ยังทำความเพียรต่อเนื่องครั้งละครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมง ท่านบอกว่าเดินนาน ๆ ไม่ไหวแล้ว ขามันอ่อน และนั่งภาวนานานก็ไม่สะดวกเช่นแต่ก่อน<br /><br />ท่านเล่าว่า ทุกวันนี้เวลาท่านภาวนาแล้วจิตสงบ แต่พอออกจากสมาธิ ท่านล้มหงายศรีษะฟาดขอบเตียงเลย ท่านบอกว่าพิจรณาแล้วร่างกายคงจะรับไม่ไหว แต่ท่านก็ยังคงภาวนาในอิริยาบถสี่ ยืน เดิน นั่ง นอน สลับกันไปตลอด ๒๔ ชั่วโมง ท่านบอกว่าท่านทำความเพียรครั้งละหลายชั่วโมงเหมือนในอดีตไม่ไหวแล้ว<br /><br />ในฐานะความเป็นครูบาอาจารย์ หลวงปู่ท่านเป็นคนพูดน้อย ปฏิบัติมาก ท่านมักจะปฏิบัติให้ดูมากกว่าจะออกคำสั่งให้ทำ และมีความละเอียดละออในทุกเรื่อง<br /><br />หลวงปู่เป็นครูบาอาจารย์ที่สมควรแก่การเคารพกราบไหว้ ท่านเป็นเนื้อนาบุญที่สมบูรณ์ยิ่ง ท่านปฏิบัติตามมรรคาที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้เป็นแบบอย่าง และดำเนินตามแนวทางที่พ่อแม่ครูอาจารย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เป็นพระสุปฏิปันโนโดยแท้จริง<br /><br />ปฏิปทาของหลวงปู่ที่ทำให้ซาบซึ้งและเคารพในตัวท่านเป็นอย่างยิ่งก็คือ ท่านเป็นผู้รักษาธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้เป็นแนวทางปฏิบัติโดยเคร่งครัด ความสมบูรณ์ในข้อวัตรปฏิบัติของหลวงปู่ยากที่จะบรรยายออกมาเป็นตัวอักษร ต้องมาอยู่ใกล้ชิดกับท่านถึงจะประจักษ์ในสิ่งที่ได้บรรยายอย่างครบถ้วน
ข้อวัตรปัจจุบันของหลวงปู่ ท่านมักชอบจะอยู่แบบสันโดษไม่คลุกคลีกับผู้ใดมาก และใช้เวลาเดินจงกรมอยู่เสมอ แม้ว่าสังขารจะไม่เอื้ออำนวยนัก ท่านก็ยังทำความเพียรต่อเนื่องครั้งละครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมง ท่านบอกว่าเดินนาน ๆ ไม่ไหวแล้ว ขามันอ่อน และนั่งภาวนานานก็ไม่สะดวกเช่นแต่ก่อน

ท่านเล่าว่า ทุกวันนี้เวลาท่านภาวนาแล้วจิตสงบ แต่พอออกจากสมาธิ ท่านล้มหงายศรีษะฟาดขอบเตียงเลย ท่านบอกว่าพิจรณาแล้วร่างกายคงจะรับไม่ไหว แต่ท่านก็ยังคงภาวนาในอิริยาบถสี่ ยืน เดิน นั่ง นอน สลับกันไปตลอด ๒๔ ชั่วโมง ท่านบอกว่าท่านทำความเพียรครั้งละหลายชั่วโมงเหมือนในอดีตไม่ไหวแล้ว

ในฐานะความเป็นครูบาอาจารย์ หลวงปู่ท่านเป็นคนพูดน้อย ปฏิบัติมาก ท่านมักจะปฏิบัติให้ดูมากกว่าจะออกคำสั่งให้ทำ และมีความละเอียดละออในทุกเรื่อง

หลวงปู่เป็นครูบาอาจารย์ที่สมควรแก่การเคารพกราบไหว้ ท่านเป็นเนื้อนาบุญที่สมบูรณ์ยิ่ง ท่านปฏิบัติตามมรรคาที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้เป็นแบบอย่าง และดำเนินตามแนวทางที่พ่อแม่ครูอาจารย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เป็นพระสุปฏิปันโนโดยแท้จริง

ปฏิปทาของหลวงปู่ที่ทำให้ซาบซึ้งและเคารพในตัวท่านเป็นอย่างยิ่งก็คือ ท่านเป็นผู้รักษาธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้เป็นแนวทางปฏิบัติโดยเคร่งครัด ความสมบูรณ์ในข้อวัตรปฏิบัติของหลวงปู่ยากที่จะบรรยายออกมาเป็นตัวอักษร ต้องมาอยู่ใกล้ชิดกับท่านถึงจะประจักษ์ในสิ่งที่ได้บรรยายอย่างครบถ้วน
94747.jpg (67.49 KiB) เข้าดูแล้ว 2888 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (19).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (19).JPG (133.33 KiB) เข้าดูแล้ว 2888 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (20).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (20).JPG (134.79 KiB) เข้าดูแล้ว 2888 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (21).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (22).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (22).JPG (124.75 KiB) เข้าดูแล้ว 2888 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (23).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (25).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (25).JPG (144.54 KiB) เข้าดูแล้ว 2888 ครั้ง
เรามาเดินทางเข้าอ่างเก็บน้ำกันต่อ ปั่นออกจากบ้านปากกองมุ่งทางทิศตะวันออกเข้า บ.ธิ ผ่านดอยเวียง ซึ่งดอยเวียงเป็นหนึ่งดอยที่นักปั่นมือใหม่ต้องไปทดสอบและต้องผ่านให้ได้ เราอาศัยเป็นจุดฝึกซ้อมการปั่นเสมอ ๆ แต่ไม่เคยผ่านเลยไปถึงอ่างเก็บน้ำเลย ถึงบอกว่า &quot;ใกล้เกลือกินด่างครับ&quot;<br /><br />ด้วยที่ไม่เคยมาเลย พอปั่นผ่านบ้านพนักงานเลยมาถึงสามแยกแทนที่จะเลี้ยวซ้าย เราเลือกไปตามเส้นทางหลัก (กันหลง) ความเป็นจริงถ้าเราเลี้ยวซ้ายก็จะไม่ต้องปั่นขึ้นดอย และใกล้กว่าไปตรงเยอะเลย แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าเพราะจะได้ทราบทั้ง ๒ เส้นทางครับ
เรามาเดินทางเข้าอ่างเก็บน้ำกันต่อ ปั่นออกจากบ้านปากกองมุ่งทางทิศตะวันออกเข้า บ.ธิ ผ่านดอยเวียง ซึ่งดอยเวียงเป็นหนึ่งดอยที่นักปั่นมือใหม่ต้องไปทดสอบและต้องผ่านให้ได้ เราอาศัยเป็นจุดฝึกซ้อมการปั่นเสมอ ๆ แต่ไม่เคยผ่านเลยไปถึงอ่างเก็บน้ำเลย ถึงบอกว่า "ใกล้เกลือกินด่างครับ"

ด้วยที่ไม่เคยมาเลย พอปั่นผ่านบ้านพนักงานเลยมาถึงสามแยกแทนที่จะเลี้ยวซ้าย เราเลือกไปตามเส้นทางหลัก (กันหลง) ความเป็นจริงถ้าเราเลี้ยวซ้ายก็จะไม่ต้องปั่นขึ้นดอย และใกล้กว่าไปตรงเยอะเลย แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าเพราะจะได้ทราบทั้ง ๒ เส้นทางครับ
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (29).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (30).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (31).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (31).JPG (146.13 KiB) เข้าดูแล้ว 2888 ครั้ง
๕๕๕ อ่อนซ้อม ประกอบกับร่างกายยังไม่เฟริมพอ ต้องอาศัยการจูงเข้าช่วย และจอดพักหายใจเป็นช่วง ๆ ยอมรับว่าดอยชันไม่มากหากเราปั่นสม่ำเสมอ ก็สามารถที่จะผ่านได้ ไม่เป็นไรเป็นเรื่องปกติ ปั่นขึ้นไม่ได้ก็จูง เข็น มันก็ถึงเหมือนกัน
๕๕๕ อ่อนซ้อม ประกอบกับร่างกายยังไม่เฟริมพอ ต้องอาศัยการจูงเข้าช่วย และจอดพักหายใจเป็นช่วง ๆ ยอมรับว่าดอยชันไม่มากหากเราปั่นสม่ำเสมอ ก็สามารถที่จะผ่านได้ ไม่เป็นไรเป็นเรื่องปกติ ปั่นขึ้นไม่ได้ก็จูง เข็น มันก็ถึงเหมือนกัน
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (34).JPG (144.56 KiB) เข้าดูแล้ว 2888 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (37).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (37).JPG (119.79 KiB) เข้าดูแล้ว 2888 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (39).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (39).JPG (130.97 KiB) เข้าดูแล้ว 2888 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (40).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (40).JPG (82.36 KiB) เข้าดูแล้ว 2888 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (41).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (41).JPG (114.12 KiB) เข้าดูแล้ว 2888 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (42).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (42).JPG (144.78 KiB) เข้าดูแล้ว 2888 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (43).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (43).JPG (111.3 KiB) เข้าดูแล้ว 2888 ครั้ง
84416.jpg
84416.jpg (57.07 KiB) เข้าดูแล้ว 2888 ครั้ง
อนุสรณ์สถานแฝดอิน-จัน ตั้งอยู่ที่ตำบลลาดใหญ่ อำเภอเมืองฯ จังหวัดสมุทรสงคราม โดยมีรูปหล่อแฝดสยามขนาดเท่าครึ่งของตัวและในส่วนบริเวณอนุสรณ์สถาน ทางจังหวัดสมุทรสงครามได้ปรับปรุงทัศนียภาพเพื่อให้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ และสถานที่ออกกำลังกาย สนามเด็กเล่น และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดสมุทรสงคราม<br /><br />ประวัติโดยย่อ<br /><br />เมื่อปี พ.ศ.๒๓๕๔ เกิดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกคือฝาแฝด อิน - จัน เป็นฝาแฝดตัวติดกันเป็นฝาแฝดคู่แรกของโลกมีศัพท์เรียกว่า แฝดไทย ( Siamese Twin ) อิน - จัน ปัจจุบันคือลาดใหญ่อำเภอเมืองฝาแฝดดังกล่าวมีหน้าอกที่มีแผ่นหนังเชื่อมยึดติดกันเป็นแถบกว้าง แรกเกิดหนังหน้าอกดังกล่าวบิดเป็นเกลียว เด็กทั้งสองนอนในท่ากลับหัว กลับเท้า มารดาจึงจับหมุนให้หัวและเท้ามาอยู่ทางเดียวกัน ทั้งสองมีสะดือร่วมกัน <br /><br />ในปี พ.ศ.๒๓๗๒ มีเรือใบสินค้าของชาวอเมริกันชื่อแซคฮอม มาเทียบท่าที่กรุงเทพฯ มีพ่อค้าชาวสก๊อตชื่อมิสเตอร์โรเบอร์ต ฮันเตอร์ ได้รับอนุญาตจากแม่ของอิน - จัน และเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ นำฝาแฝดคู่นี้ไปประเทศ สหรัฐอเมริกา  มีกำหนดสามปีโดยจ่ายเงินให้แก่แม่ของอิน - จัน เป็นเงิน ๑,๖๐๐ บาท ฝาแฝดอิน - จัน ได้ไปแสดงตัวที่เมืองบอสตัน ในสหรัฐอเมริกา เป็นแห่งแรก ผู้คนพากันมาชมกันเป็นจำนวนมาก<br /><br /> เมื่อ อิน - จัน บรรลุนิติภาวะก็ได้แยกตัวออกจากมิสเตอร์ฮันเตอร์ แล้วไปแสดงในที่ต่างๆ มีคนมาชมเป็นจำนวนมากทั้งสองช่วยกันคิดแบบการแสดงต่างๆ ให้เห็นความว่องไวและพละกำลัง มีการหกคะเมนตีลังกา เป็นต้น จนหาเงินได้ร่ำรวย สามารถซื้อที่ดินทำไร่ที่รัฐนอร์ธแคโรไลนาเมืองเวิลด์โปโร เริ่มกิจการทำไรยาสูบที่รัฐเวอร์จิเนีย ประสบผลสำเร็จอย่างดี มีทาสและคนงานในไร่ถึง ๓๓ คน <br /><br />เมื่ออายุได้ ๓๒ ปี ทั้งสองก็ได้แต่งงานกับหญิงชาวอเมริกันสองคน ทั้งคู่มีลูกชายและลูกสาวหลายคน ต่อมาทั้งสองได้เดินทางไปแสดงที่ยุโรปหลายครั้งทั้งสองถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ.๒๔๑๗ เมื่ออายุได้ ๖๓ ปี ทั้งสองสิ้นใจห่างกันสองชั่วโมง
อนุสรณ์สถานแฝดอิน-จัน ตั้งอยู่ที่ตำบลลาดใหญ่ อำเภอเมืองฯ จังหวัดสมุทรสงคราม โดยมีรูปหล่อแฝดสยามขนาดเท่าครึ่งของตัวและในส่วนบริเวณอนุสรณ์สถาน ทางจังหวัดสมุทรสงครามได้ปรับปรุงทัศนียภาพเพื่อให้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ และสถานที่ออกกำลังกาย สนามเด็กเล่น และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดสมุทรสงคราม

ประวัติโดยย่อ

เมื่อปี พ.ศ.๒๓๕๔ เกิดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกคือฝาแฝด อิน - จัน เป็นฝาแฝดตัวติดกันเป็นฝาแฝดคู่แรกของโลกมีศัพท์เรียกว่า แฝดไทย ( Siamese Twin ) อิน - จัน ปัจจุบันคือลาดใหญ่อำเภอเมืองฝาแฝดดังกล่าวมีหน้าอกที่มีแผ่นหนังเชื่อมยึดติดกันเป็นแถบกว้าง แรกเกิดหนังหน้าอกดังกล่าวบิดเป็นเกลียว เด็กทั้งสองนอนในท่ากลับหัว กลับเท้า มารดาจึงจับหมุนให้หัวและเท้ามาอยู่ทางเดียวกัน ทั้งสองมีสะดือร่วมกัน

ในปี พ.ศ.๒๓๗๒ มีเรือใบสินค้าของชาวอเมริกันชื่อแซคฮอม มาเทียบท่าที่กรุงเทพฯ มีพ่อค้าชาวสก๊อตชื่อมิสเตอร์โรเบอร์ต ฮันเตอร์ ได้รับอนุญาตจากแม่ของอิน - จัน และเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ นำฝาแฝดคู่นี้ไปประเทศ สหรัฐอเมริกา มีกำหนดสามปีโดยจ่ายเงินให้แก่แม่ของอิน - จัน เป็นเงิน ๑,๖๐๐ บาท ฝาแฝดอิน - จัน ได้ไปแสดงตัวที่เมืองบอสตัน ในสหรัฐอเมริกา เป็นแห่งแรก ผู้คนพากันมาชมกันเป็นจำนวนมาก

เมื่อ อิน - จัน บรรลุนิติภาวะก็ได้แยกตัวออกจากมิสเตอร์ฮันเตอร์ แล้วไปแสดงในที่ต่างๆ มีคนมาชมเป็นจำนวนมากทั้งสองช่วยกันคิดแบบการแสดงต่างๆ ให้เห็นความว่องไวและพละกำลัง มีการหกคะเมนตีลังกา เป็นต้น จนหาเงินได้ร่ำรวย สามารถซื้อที่ดินทำไร่ที่รัฐนอร์ธแคโรไลนาเมืองเวิลด์โปโร เริ่มกิจการทำไรยาสูบที่รัฐเวอร์จิเนีย ประสบผลสำเร็จอย่างดี มีทาสและคนงานในไร่ถึง ๓๓ คน

เมื่ออายุได้ ๓๒ ปี ทั้งสองก็ได้แต่งงานกับหญิงชาวอเมริกันสองคน ทั้งคู่มีลูกชายและลูกสาวหลายคน ต่อมาทั้งสองได้เดินทางไปแสดงที่ยุโรปหลายครั้งทั้งสองถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ.๒๔๑๗ เมื่ออายุได้ ๖๓ ปี ทั้งสองสิ้นใจห่างกันสองชั่วโมง
๑ มิ.ย (6).JPG (77.19 KiB) เข้าดูแล้ว 2888 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4378
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D คนบนดอย........"ได้ธงไว้คลุมโลงศพลูกผู้ชาย ก็เพียงพอไม่เคยคิดจะขอให้ใครร้องไห้ นอนกลางดินและกินกลางทราย ชีวิตดังเส้นด้าย ความตายเรื่องธรรมดา" :( :(

:) :D การฝึกเพื่อใช้อาวุธพิเศษของสหรัฐอเมริกา ซึ่งกลายมาเป็น ตชด.รุ่น ๒/๑๓ ค่ายดารารัศมีก็เป็นอันเสร็จสิ้น รวมระยะเวลาการฝึกทั้งหมดครึ่งปี (๖ เดือน) เต็ม ๆ หลังจากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่ แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเราได้รับการแต่งตั้งไปประจำหน่วย คร.ต่าง ๆ จำได้คือ คร.๑-๖ (หน่วยเคลื่อนที่เร็ว) ประจำเขต จ.น่าน อีกไม่นานพวกเรานำโดย สากล กิตติ สมชาย บุญธรรมส่ง ก็ถูก ผกค.ซุ่มยิงเสียชีวิตเป็นชุดแรกของรุ่น และทะยอยตามกันไปคนแล้วคนเล่า ไม่รู้พวกที่ยังมีชีวิตอยู่จนปัจจุบัน "โชคดีหรือโชคร้าย" :o :o
ไฟล์แนบ
๑ มิ.ย (11).JPG
๑ มิ.ย (11).JPG (80.83 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
3758.jpg
3758.jpg (21.92 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
3769.jpg
3769.jpg (46.53 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
ตอนที่ ๑๖<br /><br />ตอนสุดท้าย ไป ถปภ.(ถวายความปลอดภัย) กินเลี้ยงอำลาอาลัย แยกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง.........<br /><br />หลังจากเสร็จสิ้นการสร้างสนามบาสเก็ตบอล ชีวิตของพวกเราก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เวลา 05.00 น.สัญญาณแตรปลุก ก็ วิ่ง ๆ ๆ กายบริหาร ทำความสะอาดกองร้อย เวลา 07.00 น.รับประทานอาหารเช้า เวลา 08.00 น.เคารพธงชาติ ช่วงนี้ใกล้จบหลักสูตรเต็มที จึงไม่มีการฝึกแล้ว ค่อยยังช่วยหน่อย 5555 ต่อมาวันหนึ่งพวกเราทั้งกองร้อย 1 และ 2 ได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติภารกิจถวายความปลอดภัย องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลย์เดช  สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตพระบรมราชีนีนาถ และองค์รัชทายาท ซึ่งนับเป็นเกียรติ ประวัติ อันสูงสุดของเหล่า ตชด.รุ่น 2/13 โดย หลาย มว.ไปปฏิบัติภารกิจ ถปภ.ที่ดอยป่าคา/ดอยปูหมื่น ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง  ส่วน มว.2 เสื้อดำ และ มว.อื่น ๆ ก็ไปปฏิบัติภารกิจ ถปภ. ที่ ดอยจอมหด อ.พร้าว จว.เชียงใหม่ เช่นเดียวกัน...........<br /><br />ต่อมาวันหนึ่งหลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้ว พวกเราทั้ง 2 กองร้อย ได้รับคำสั่งจากครูฝึกให้ไปเตรียมเครื่องนอนเท่าที่จำเป็น  เครื่องสนาม เป้สนามบรรจุเครื่องนอน ใครมีเงินก็ให้ซื้ออาหารแห้งติดตัวไปด้วยก็ดี ห้ามลืมหม้อหุงข้าวสนาม กระติกน้ำ แคนทีนในกระติกน้ำ พลั่วสนาม และยังมีการแจกจ่ายข้าวเรชั่น (ข้าวแห้งในกระดาษผ้าสีเหลืองอย่างหนาชนิดพิเศษ) มีอาหารกระป๋องนานาชนิดให้อีกด้วย เมื่อพวกเรานำสิ่งของที่เป็นข้าวเรชั่น อาหารกระป๋องทั้งหมดบรรจุในเป้สนาม ส่วนอุปกรณ์อื่น ๆ มัดติดเป้ และรัดติดเข็มขัดสนาม ทั้งเป้ และอุปกรณ์ที่นำติดตัวไปมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเกือบ 15 กิโลกรัม ก็ว่าได้  มีการสนธิกำลังทั้ง 2 กองร้อย แบ่งจำนวนเกือบเท่ากัน โดยกองร้อย ถปภ.1 เดินทางไปดอยป่าคา /ดอยปู่หมื่น อ.ฝาง   ส่วนการ กองร้อย ถปภ.ที่ 2 เดินทางไป ดอยจอม อ.พร้าว ......<br /><br />มาแล้วรถยนต์บรรทุก เพาเวอร์ วากอน หลายคัน ขวัญใจ ตชด.รุ่น 2/13 จอดเรียงรายกัน หน้ากองร้อยฝึก  ข้าพเจ้า มว.เสื้อดำ กับ มว.อื่น ซึ่งจำไม่ได้แล้ว เพราะวัน เวลา ผ่านไปถึง 52 ปี ก็เหมือนเช่นเคย รถคันที่ มว.เสื้อดำโดยสาร ไม่มีที่นั่งไม้ ตีตั๋วยืนจนชินชาไปแล้ว และเหมือนนางฟ้าจะมาโปรด สาว ๆ เสริฟอาหาร กระเตงถาดบรรจุข้าวห่อ มาแจกจ่ายให้กับพวกเราเที่ยวนี้สังเกตุว่า สีหน้าพวกเธอไม่ค่อยจะสดใส ช่างเศร้าสร้อยนัก  คงอาจจะคิดถึงพวกเราที่ฝึกจะจบ แล้วแยกย้ายกันไปก็เป็นไปได้  รถคันที่ข้าพเจ้าโดยสาร  ข้างพลขับด้านหน้ารถ มี  ผบ.ถปภ.ทราบภายหลังว่าชื่อ ร.ต.ต.เอนก นันทโอสถ นรต.รุ่น 22 กับครูสุพจน์ แควชล  ซึ่งเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ ถปภ. ได้แวะเที่ยวถ้ำเชียงดาว อีกด้วย  ข้าพเจ้าเจอของดีเข้าไป เลยตีตั๋วนอน จึงถึงค่ายดารารัศมี ไม่รู้ว่าเพื่อนคนไหน ใครเป็นใคร คงเหยียบศีรษะข้าพเจ้าบ้าง อภัย ๆ 555 ...........<br /><br />เส้นทางไป อ.พร้าว ในสมัยนั้น ต้องใช้เส้นทางสายโชตนา เชียงใหม่-ฝาง ถนนลาดดินแดง ฝุ่นตลบรถยนต์รวม 4 คัน เคลื่อนตัวออกจากค่ายดารารัศมี มุ่งหน้าไป อ.แม่แตง ผ่าน อ.เชียงดาว เลยบ้านปิงโค้ง แยกเลี้ยวขวาเข้าสู่ อ.พร้าว  ขณะนั้นเส้นปัจจุบันจากเชียงใหม่ -อ.พร้าว ไปถึงแค่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้........จบข่าว ฮึ ฮึ <br /><br />ส่วนพวกกองร้อย ถปภ.ที่ 1 มว.1 เสื้อแดงกับอีกหลาย มว.แล่นตรงไป อ.ฝาง  มว.ถปภ.ที่ 2 มุ่งสู่ อ.พร้าว ซึ่งเส้นทางไป อ.พร้าว ก็ลาดดินแดงผสมหินก้อนเล็ก ๆ บางช่วงก็ทุลักทุเล ตามสมควร นาน ๆ ครั้งจะเห็นมีรถชาวบ้านแล่นสวนทาง หรือขับตามหลัง เมื่อไปถึง อ.พร้าว ก็เข้าช่วงบ่าย จึงหยุดพักรับประทานอาหารมื้อกลางวันที่ทางโรงครัวทำมาให้ดังกล่าวข้างต้น  มีชาวบ้านมาสอบถาม นึกว่าจะได้ก่อไฟหุงข้าว ต้มแกง กินกันเอง........ คงอายชาวบ้านน่าดู 5555 <br /><br />หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ พักผ่อนกันสักครู่หนึ่ง ผบ.ถปภ.สั่งให้พวกเรา เดินเท้าขึ้นสู่ดอยจอมหดทันที ........ แม่เจ้าโว้ย นึกในใจกันว่า ดอยชื่อจอมหดคงจะไม่สูงไปกว่าดอย ป่าคา แถวแม่ริม แม่แตง ที่พวกเราไปเดินป่า ประกอบแผนที่ เข็มทิศ แต่ที่ไหนได้ พอเริ่มเดินก็ขึ้นดอยสูงทันที เกือบจะไม่มีทางเดินราบเอาเสียเลย นี่ชื่อดอยจอมหด คงน่าจะไม่ใช่เสียแล้ว คงต้องเปลี่ยนชื่อเป็นดอยจอมโหดเสียมากกว่า 5555 <br /><br /> การเดินขึ้นดอย ผบ.ถปภ.ไม่ได้เข้มงวดมากนัก ใครมีเรี่ยวแรงดี ก็รีบเดินให้ถึงที่หมายโดยเร็ว แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งเหนื่อย สัมภาระที่นำกันไปชักเริ่มจะแผลงฤทธิเข้าให้ มันเพิ่มความหนักเป็นทวีคูณ ข้าพเจ้ายิ่งเดิน ยิ่งเหนื่อย แสงแดดก็แผดเผาอย่างไม่ปราณี  ร้อนมาก จนแทบจะก้าวไม่ออก จึงเดินอยู่ในกลุ่มรั้งท้าย ส่วนเสมแห้ง ขี้เถิน บัดดี้ ดันเดินอยู่ในกลุ่มกลางขบวน ตัวปลิวเลย เออ มันก็มีดีเหมือนกันนะ  กว่าจะถึงที่หมาย รร.ตชด.บำรุง ก็เกือบพลบค่ำ ส่วนปะรำพิธีรับเสด็จมีเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดจากหน่วยงานอื่นมาจัดเตรียม ไว้แล้ว แต่ทำไมไม่เห็นเจ้าหน้าที่ดังกล่าวเลย สงสัยเขาจะพักนอนในโรงเรียนกัน <br /><br />พวกเราจึงหาที่ก่อไฟ หุงข้าว เอาอาหารกระป๋องมาอุ่น ดีที่ว่ามีท่อไม้ไผ่เป็นรางรินส่งน้ำไหลลงจากดอยสูงมาให้ชาวบ้านใช้อุปโภค บริโภค (ชาวบ้านเป็นชนชาวไทยภูเขาเผ่าลาหู่ ) และต่อรางรินมายัง รร.ตชด.บำรุงอีกด้วย ส่วนน้ำในกระติกที่ติดตัวมาดื่มหมดกันไปตั้งนานแล้ว หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จ ก็มีการจัดหน้าที่เวรยาม เสมแห้ง ถามข้าพเจ้าว่า &quot;ไอ่ยศ มึงยังบะไปหาไม้มาสอดผ้าแฮมมอก ทำที่นอนมีขาก้ำเหมือนอย่างเขา มันจะได้นอนสะบายน่อย&quot; (ไอ้ยศ..มึงทำไมไม่ไปหาไม้มาสอดแฮมมอค ทำที่นอนมีขาค้ำเหมือนเขา มันจะได้นอนสบายหน่อย)  ข้าพเจ้าพูดกับมันว่า &quot;ถ้าคิงใคร่นอนสะบายก่อทำอย่างเขาเอาก่า ฮาจะเอาผ้าแฮมมอคปู๋กับดินแล้วนอนเลย วันพรุ่งนี้เสร็จภารกิจก่อปิคกั๋นละ&quot; (มึงอยากนอนสะบาย ก็ทำอย่างเขาซิ กูจะเอาผ้าแฮมมอคปูนอนกะดินพรุ่งนี้เสร็จกิจก็กลับละ) เสมแห้ง มันก็คงขี้เกียจเหมือนข้าพเจ้าจึงนอนวิธีเดียวกัน<br /><br /> ข้าพเจ้าไปเข้าเวรยามช่วง 18.00-20.00 น.เสร็จแล้วกลับมาเข้านอน เนื่องจากอ่อนเพลีย พอนอนก็หลับทันที มาสะดุ้งตื่นนอนตอน 05.00 น.ด้วยความเคยชิน........พวกเราจึงก่อไฟ ซึ่งพอจะหาฟืนได้ในพื้นที่มาเป็นเชื้อเพลิง หุงข้าว อุ่นอาหารกระป๋อง รับประทานอาหารเช้า หลังจากรับประทานอาหารมื้อเช้าเสร็จ พร้อมไม่ลืมเตรียมไว้เป็นอาหารมื้อกลางวันด้วย  เวลาก็ล่วงเข้าไปถึง 08.00 น. มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายเกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน มาตรวจความเรียบร้อยที่ประทับ เห็นมีครู ตชด.โรงเรียนดังกล่าว อยู่ร่วมด้วย 2 นาย เป็น ตชด.รุ่นพี่ ข้าพเจ้าไม่รู้จัก <br /><br />พวกเราถูกสั่งให้วางกำลังรอบ ๆ บริเวณ รร.ตชด.บำรุง มีหน้าที่ตรวจตรา รักษาความสงบเรียบร้อย ต่าง ๆ จัดจุดให้ประชาชนจากพื้นราบมาร่วมรับเสด็จ  ต่อมามีประชาชนจากพื้นที่ราบ และในหมู่บ้านทยอยเดินทางมาร่วมรับเสด็จ    ทุกคนรอกันนานจนถึงเวลาประมาณ 09.30 น.ก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์เฮลิคอบเตอร์ ดัง กึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณ มีเฮลิคอปเตอร์สีขาวของกรมตำรวจ 1 ลำ สีเขียวของหน่วยทหาร 3 ลำ ลงมาจอด ผู้โดยสารเป็นนายตำรวจ นายทหารชั้นผู้ใหญ่ ลงมา พร้อมทั้งหน่วยแพทย์ พอ.สว. เสร็จเรียบร้อยแล้วเฮลิคอปเตอร์ทั้ง 4  ลำ ทยอยบินขึ้น <br /><br />ต่อมาทราบว่าเฮลิคอปเตอร์ ไปลงจอดที่สนามบินชั่วคราว ที่หน่วยทหารมาสร้างไว้ก่อน ไม่ทราบจุดพิกัดที่แน่ชัด...... แล้ว ก็มีเฮลิคอปเตอร์สีฟ้าสลับขาว บินลงสนามหญ้า รร.ตชด.บำรุง ข้าราชการตำรวจ ทหาร ระดับสูง ไปรอตั้งแถว เครื่องยนต์เฮลิคอปเตอร์ดับ ประตูเฮลิคอปเตอร์เปิดออก เห็นมีนายทหารราชองครักษ์ 2 นาย ลงมา มีชายคนหนึ่งทราบภายหลังว่าชื่อ หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี เดินมา และมีองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช รัชการที่ 9 สมเด็จ พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พร้อม องค์รัชทาญาติ (รัชการที่ 10ในปัจจุบัน) สมเด็จพระเทพรัตนสุดา สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร เสด็จย่างพระบาทลงจากเฮลิคอปเตอร์ มีถวายรายงานจากผู้เกี่ยวข้องทุก ๆ ฝ่าย รวมถึงท่านนายอำเภอพร้าว <br /><br />หลังจากที่ทุกพระองค์เสด็จพระราชดำเนิน ผ่านพสกนิกร ที่มาเฝ้ารับเสด็จ จะมีเสียงตระโกนดังลั่นว่า &quot;ทรงพระเจริญ ๆ ๆ&quot; เป็นระยะ ๆ ไป........ทุกพระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ และโบกมือให้ บางครั้งก็หยุดสอบถาม พวกเราทำความเคารพโดยยืนวันทยาวุธ แล้วคอยกำชับไม่ให้ประชาชนลุกขึ้นยืน หรือวิ่งเข้าไปหาพระองค์ใช้ผ้าเช็ดหน้าวางกับพื้นให้พระองค์เหยียบ เพื่อเป็นศิริมงคลโดยเด็ดขาด....... ทุกพระองค์เสด็จเข้าที่ประทับ สักครู่เสด็จพระราชดำเนินเข้าไปใน อาคาร รร.ตชด.บำรุง  แพทย์ พอ.สว.มาตั้งโต๊ะพับ เก้าอี้พับ ตรวจรักษากลุ่มประชาชนที่ป่วยไข้ ซึ่งทางฝ่ายปกครอง อ.พร้าว ได้จัดเตรียมไว้ เวลาผ่านไปประมาณ 12.00 น. ทุกพระองค์เสด็จพระราชดำเนินกลับพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ มีเฮลิคอปเตอร์ มาลงรับ ข้าราชการตำรวจ ทหาร ชั้นผู้ใหญ่ แพทย์พอ.สว.เดินทางกลับ ประชาชนทยอยเดินทางกลับ.......<br /><br />คงเหลือแต่พวกเรา บรรยากาศ ช่างเงียบเหงา พักหายเหนื่อย หายเครียดกันสักครู่ ก็นำอาหารมื้อกลางวันมารับประทานกัน ว่าไม่ได้ กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้องนี่นา 55555  หลังจากรับประทานอาหารมื้อกลางวันเสร็จ สักครู่หนึ่งพวกเราก็เดินเท้ากลับ...... เอ ชักสงสัย ขาเดินกลับนี่ไม่เหนื่อยเหมือนกับขาเดินขึ้น ทั้ง ๆ ที่แดดก็ร้อน เพราะเดินลงเขาลูกเดียว เพียงแต่น่องตึง ๆ หน่อย สัมภาระไม่หนักเพราะใช้ไปจนหมดสิ้น ต่อมาเวลาประมาณ 13.45 น. เราเดินมาถึง อ.พร้าว ขึ้นรถบรรทุกเพาเวอร์ เวก้อน กลับค่ายดารารัศมี แวะเที่ยวที่ถ้ำเชียงดาว ช่วงนั้นยังเป็นป่าเขามาก ไม่มีร้านขายสินค้า ร้านขายอาหารมากนัก พวกไม่เคยเที่ยวในถ้ำก็ไปเที่ยวกัน ส่วนข้าพเจ้าไม่ไป รออยู่แถวนอกถ้ำ <br /><br />ระหว่างนั้น มีเพื่อน ๆ หลายคนถือแกลลอนพลาสติกขนาดบรรจุ 5 ลิตร เก่า ๆ หลายใบ พร้อมถือห่อใบตองใหญ่มาด้วย มันพากันขึ้นรถ กวักมือเรียกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสงสัยจึงตามไป เห็นกำลังดื่ม ไวน์ วิสกี้ พื้นเมือง แกล้มด้วยเนื้อที่อ้างว่าเป็นเนื้อเก้งแดดเดียวทอดอย่างมีความสุข  พร้อมกับรินวิสกี้ให้ข้าพเจ้าดื่ม ฉีกเนื้อเก้งให้ข้าพเจ้าคำใหญ่ ข้าพเจ้าขอบคุณ......   เสร็จสิ้นภารกิจแล้วนี่ ฉลองซักหน่อยก็คงจะดี ข้าพเจ้าล่อไปหลายแก้วอยู่เหมือนกัน วิสกี้ แกล้มเนื้อเก้งนี่เข้าท่าไม่เบา ช่วงระยะนั้น ข้าพเจ้าไม่จำเป็นจะไม่ดื่มสุรา เพราะคออ่อน ดื่มทีไร เป็นเมาทุกที ครั้งนี้ก็คงเมาหนัก นอนหลับกับพื้นรถไปตอนไหน เมื่อใด อย่างไร จำความไม่ได้เลย......... <br /><br />มาสะดุ้งตื่นก็ตอนที่ เสมแห้ง ขี้เถิน เรียกและเขย่าตัวพูดว่า &quot;ไอ่ยศ ๆ  ลุก ๆ ๆ กิ๋นง่าว กิ๋นเซอะ เมาบะฮู้เรื่อง เพื่อนเขาก็เมาเอาตี๋นไปย่ำใส่หัว ใส่ตั๋วคิง ถึงค่ายละ ไอ้ง่าวเฮ้ย&quot; (ไอ่ยศ ลุก ๆ กินโง่ เมาไม่รู้เรื่อง เพื่อนเขาเมาเอาตีนเหยียบหัวมึง ถึงค่ายแล้ว ไอ้โง่เอ้ย)  ข้าพเจ้ามีอาการสะลึมสะลือ คอแห้งผาก ตอนนั้นอากาศเริ่มมืดแล้ว มีความรู้สึกว่ามือขวากำอะไรไว้ นิ่ม นิ่ม ปั๊ดโถ้ นี้มันเนื้อเก้งแดดเดียวนี่หว่า......... . 5555 <br /><br />ครูฝึกให้พวกเราเข้าโรงเลี้ยงรับประทานอาหารเย็น เสร็จแล้วทำธุระส่วนตัว 21.00 น.สัญญาณแตรนอน ใครมีหน้าที่เวร ยาม ก็ไปปฏิบัติ ข้าพเจ้าโชคดีไม่มีหน้าที่ เวรยาม.......... พอหัวถึงหมอน ด้วยความ อ่อนเพลีย เมายังไม่สร่าง ข้าพเจ้าหลับทันที..........555   ต้นเดือน มีนาคม 2514 เช้าวันหนึ่ง ครูฝึกสั่งให้พวกเราแต่งเครื่องแบบชุดสีกากี เตรียมรับประกาศนียบัตร จบการฝึก ตชด. รุ่น 2/13 อย่างเป็นทางการ ที่ตำหนักเจ้าแม่ดารารัศมี มีผู้บังคับบัญชาชั้นสูง จาก บช.ตชด.มาแจกจ่ายและแสดงความยินดี พิธีก็ง่ายๆตามสไตล์ ตชด. <br /><br />ช่วงบ่ายมีคำแต่งตั้ง โยกย้ายจาก กก.ชด.เขต 5 ออกมา พวกเราแต่ละคนถูกแต่งตั้งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ประจำ ฝ่ายอำนวยการ 1-9 และประจำ มว.ตชด.ทั่วพื้นที่ภาคเหนือ คำสั่งนี้มีทั้งคนดีใจและเสียใจ โชคดีก็อยู่ฝ่ายอำนวยการ แต่พันยักษ์ เมธัง  ณรงค์ ศรีคำหอม (รงค์หม่น) และเพื่อน ๆ อีกหลายคน ก็โชคดีที่ได้อยู่ในค่ายดารารัศมี เช่นเดียวกัน ทั้ง 2 คน ประจำ มว.อว.(มว.อาวุธหนัก) แต่ไม่ได้ไปสนับสนุนการรบที่ไหนหรอก เข้าเวร-ยาม ประจำกองรักษาการณ์หน้า........ยกเสากั้นรถยนต์เข้า-ออก ค่าย เคารพเฉพาะผู้บังคับบัญชา คุณภรรยาไม่เกี่ยว......<br /><br />.ตกตอนเย็นมีการจัดเลี้ยงอำลาอาลัย ใต้ต้นไม้ใหญ่ ข้างสระน้ำ(ในโอกาศต่อมาเป็นที่ตั้ง บก.ตชด.ภาค 3 ) ข้าพเจ้าก็ไปร่วมงาน ดื่มสุราผสมโซดาไป 3-4 แก้ว และรับประทานอาหารเย็น เวลาประมาณ 21.00  น.ก็กลับกองร้อยฝึกที่ 1 ส่วนเพื่อน ๆ ยังสนุกสนานกันต่อ...... ข้าพเจ้าเดินขึ้นกองร้อย ซึ่งไม่มีการจัดเวร ยามแล้ว ไฟฟ้าเปิดไว้เพียงดวงเดียว เห็นไอ้รงค์หม่น  หอบผ้าห่ม หมอน มุ้ง สิ่งของตามเตียง ลงกองร้อย แล้วขึ้นมาขนใหม่........ข้าพเจ้าจึงตะโกนไล่ มันหายตัวไปเลย ไม่รู้ว่าสิ่งของเพื่อน ๆ จะหายไปกี่มากน้อย ขนาดพันยักษ์ เมธัง ยังบ่นว่า &quot;เสื้อผ้าฮาหายหมด&quot; (เสื้อผ้ากูหายหมด)   ไปถามไอ่รงค์หม่น เอานะเพื่อน  ข้าพเจ้ามาสำรวจดู มีมุ้ง  ผ้าห่มนอน เท่านั้นที่หายไป หมอนขี้ไคลมันไม่เอา ไอ้รงค์ หม่น คงนึกสงสารข้าพเจ้าอยู่ จึงไม่เอาชุดฟาติก ลายก้างปลา 2 ชุด หมวกเบเร่ต์ดำ รองเท้าคอมแบท กับจังเกิ้ลไปด้วย...... <br /><br />ช่างมันเถอะวะ ไหน ๆ ก็นอนอีกคืนเดียว  พรุ่งนี้ก็พร้อมกับเพื่อน รวม 11 คน เดินทางไปประจำ มว.คร.ที่ 555 ฐานปฏิบัติการกิ่วจันทร์ ต.และ กิ่ง อ.ทุ่งช้าง จว.น่าน สังกัด กองร้อย 4 ตชด.อ.เชียงกลาง จว.น่าน แล้ว...... รอบดึกข้าพเจ้าทราบว่า มีการประลองวิทยายุทธ ระหว่างเกรียงไกร วุฒิภาพ กก.ชด.เขต 5 กับ สำเริง ราชโรจน์ กก.ตชด.เขต 8 เพื่อกระชับสัมพันธไมตรี แต่ข้าพเจ้า นอนหลับไปก่อน.......เวลา 05.00 น.ไม่มีเสียงสัญญาณแตรปลุก เพื่อนบางคนแยกย้ายกันออกจากค่ายดารารัศมี ทราบว่าไปกราบอำลาครูฝึก ไปอำลาอาลัยสาวเสริฟโรงอาหาร.......<br /><br />.”ไม่มีงานเลี้ยงใด ที่ไม่เลิกรา” ดั่งสุภาษิตสำนักวิทยายุทธแดนมังกร........บางเรื่องราวที่ขาดตกบกพร่องไป ข้าพเจ้าขอน้อมรับผิดแต่ไว้เพียงผู้เดียว ข้อความใดที่พาดพิงไปถึงเพื่อน ๆ ข้าพเจ้าขอโทษด้วย ที่ลืมไม่ได้คือ พลฯ เกษม ยศสกุนา (เสมแห้ง ขี้เถิน) บัดดี้ข้าพเจ้า ไม่ทราบว่าได้รับคำสั่งไปปฏิบัติหน้าที่ยังแห่งหน ตำบลใดต่อมาภายหลังทราบว่า เสียชีวิตในสมรภูมิพื้นที่ จว. เชียงราย หากข้าพเจ้าได้ล่วงเกินด้วย วจีกรรม กับเพื่อนไปมาก รวมทั้งเพื่อนผู้อื่นที่เสียชีวิต โปรดอโหสิกรรมให้ข้าพเจ้า ขอดวงวิญญาณเพื่อน จงไปสู่สุคติภพ ด้วยเทอญ...............<br />จบบริบูรณ์  จาก พลฯเกียรติยศ สุวรรณขัดศรี พลปืนเล็ก มว.คร.ที่ 555 ค่ายดารารัศมี อ.แม่ริม จว.เชียงใหม่  สวัสดีครับ<br /><br /><br />(ต้องขอบคุณเพื่อนยศ ฯ ที่พยายามเก็บความทรงจำถ่ายทอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร ร้อยเรียงเล่าเรื่อง เรียกว่า ๕๒ ปีแห่งควาทรงจำ ถือว่าสุดยอดที่ท่านยังจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ หาได้น้อยนักที่จะมีความสามารถเช่นท่านครับ(ในรุ่น) <br /><br />ลำดับต่อไปไม่รู้จะมีใครอีกที่พอจะจำความหลังนำมาเล่าเป็นวิทยาทานให้คนรุ่นใหม่ได้รับทราบ ชีวิตพวกเรามันไม่ง่าย เพื่อนเราตายไปหลายรายที่เหลืออยู่ไม่อยากจะพูดว่า &quot;โชคดีเลย&quot; เพราะชีวิตมันคือความทุกข์ คนที่ไปก่อนเขาไปเสวยสุข-ทุกข์ ข้างหน้าเราไม่รู้แต่ที่เรารู้แน่ ๆ คือ &quot;เขาพ้นทุกข์ไปจริง ๆ &quot; )
ตอนที่ ๑๖

ตอนสุดท้าย ไป ถปภ.(ถวายความปลอดภัย) กินเลี้ยงอำลาอาลัย แยกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง.........

หลังจากเสร็จสิ้นการสร้างสนามบาสเก็ตบอล ชีวิตของพวกเราก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เวลา 05.00 น.สัญญาณแตรปลุก ก็ วิ่ง ๆ ๆ กายบริหาร ทำความสะอาดกองร้อย เวลา 07.00 น.รับประทานอาหารเช้า เวลา 08.00 น.เคารพธงชาติ ช่วงนี้ใกล้จบหลักสูตรเต็มที จึงไม่มีการฝึกแล้ว ค่อยยังช่วยหน่อย 5555 ต่อมาวันหนึ่งพวกเราทั้งกองร้อย 1 และ 2 ได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติภารกิจถวายความปลอดภัย องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลย์เดช สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตพระบรมราชีนีนาถ และองค์รัชทายาท ซึ่งนับเป็นเกียรติ ประวัติ อันสูงสุดของเหล่า ตชด.รุ่น 2/13 โดย หลาย มว.ไปปฏิบัติภารกิจ ถปภ.ที่ดอยป่าคา/ดอยปูหมื่น ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง ส่วน มว.2 เสื้อดำ และ มว.อื่น ๆ ก็ไปปฏิบัติภารกิจ ถปภ. ที่ ดอยจอมหด อ.พร้าว จว.เชียงใหม่ เช่นเดียวกัน...........

ต่อมาวันหนึ่งหลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้ว พวกเราทั้ง 2 กองร้อย ได้รับคำสั่งจากครูฝึกให้ไปเตรียมเครื่องนอนเท่าที่จำเป็น เครื่องสนาม เป้สนามบรรจุเครื่องนอน ใครมีเงินก็ให้ซื้ออาหารแห้งติดตัวไปด้วยก็ดี ห้ามลืมหม้อหุงข้าวสนาม กระติกน้ำ แคนทีนในกระติกน้ำ พลั่วสนาม และยังมีการแจกจ่ายข้าวเรชั่น (ข้าวแห้งในกระดาษผ้าสีเหลืองอย่างหนาชนิดพิเศษ) มีอาหารกระป๋องนานาชนิดให้อีกด้วย เมื่อพวกเรานำสิ่งของที่เป็นข้าวเรชั่น อาหารกระป๋องทั้งหมดบรรจุในเป้สนาม ส่วนอุปกรณ์อื่น ๆ มัดติดเป้ และรัดติดเข็มขัดสนาม ทั้งเป้ และอุปกรณ์ที่นำติดตัวไปมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเกือบ 15 กิโลกรัม ก็ว่าได้ มีการสนธิกำลังทั้ง 2 กองร้อย แบ่งจำนวนเกือบเท่ากัน โดยกองร้อย ถปภ.1 เดินทางไปดอยป่าคา /ดอยปู่หมื่น อ.ฝาง ส่วนการ กองร้อย ถปภ.ที่ 2 เดินทางไป ดอยจอม อ.พร้าว ......

มาแล้วรถยนต์บรรทุก เพาเวอร์ วากอน หลายคัน ขวัญใจ ตชด.รุ่น 2/13 จอดเรียงรายกัน หน้ากองร้อยฝึก ข้าพเจ้า มว.เสื้อดำ กับ มว.อื่น ซึ่งจำไม่ได้แล้ว เพราะวัน เวลา ผ่านไปถึง 52 ปี ก็เหมือนเช่นเคย รถคันที่ มว.เสื้อดำโดยสาร ไม่มีที่นั่งไม้ ตีตั๋วยืนจนชินชาไปแล้ว และเหมือนนางฟ้าจะมาโปรด สาว ๆ เสริฟอาหาร กระเตงถาดบรรจุข้าวห่อ มาแจกจ่ายให้กับพวกเราเที่ยวนี้สังเกตุว่า สีหน้าพวกเธอไม่ค่อยจะสดใส ช่างเศร้าสร้อยนัก คงอาจจะคิดถึงพวกเราที่ฝึกจะจบ แล้วแยกย้ายกันไปก็เป็นไปได้ รถคันที่ข้าพเจ้าโดยสาร ข้างพลขับด้านหน้ารถ มี ผบ.ถปภ.ทราบภายหลังว่าชื่อ ร.ต.ต.เอนก นันทโอสถ นรต.รุ่น 22 กับครูสุพจน์ แควชล ซึ่งเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ ถปภ. ได้แวะเที่ยวถ้ำเชียงดาว อีกด้วย ข้าพเจ้าเจอของดีเข้าไป เลยตีตั๋วนอน จึงถึงค่ายดารารัศมี ไม่รู้ว่าเพื่อนคนไหน ใครเป็นใคร คงเหยียบศีรษะข้าพเจ้าบ้าง อภัย ๆ 555 ...........

เส้นทางไป อ.พร้าว ในสมัยนั้น ต้องใช้เส้นทางสายโชตนา เชียงใหม่-ฝาง ถนนลาดดินแดง ฝุ่นตลบรถยนต์รวม 4 คัน เคลื่อนตัวออกจากค่ายดารารัศมี มุ่งหน้าไป อ.แม่แตง ผ่าน อ.เชียงดาว เลยบ้านปิงโค้ง แยกเลี้ยวขวาเข้าสู่ อ.พร้าว ขณะนั้นเส้นปัจจุบันจากเชียงใหม่ -อ.พร้าว ไปถึงแค่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้........จบข่าว ฮึ ฮึ

ส่วนพวกกองร้อย ถปภ.ที่ 1 มว.1 เสื้อแดงกับอีกหลาย มว.แล่นตรงไป อ.ฝาง มว.ถปภ.ที่ 2 มุ่งสู่ อ.พร้าว ซึ่งเส้นทางไป อ.พร้าว ก็ลาดดินแดงผสมหินก้อนเล็ก ๆ บางช่วงก็ทุลักทุเล ตามสมควร นาน ๆ ครั้งจะเห็นมีรถชาวบ้านแล่นสวนทาง หรือขับตามหลัง เมื่อไปถึง อ.พร้าว ก็เข้าช่วงบ่าย จึงหยุดพักรับประทานอาหารมื้อกลางวันที่ทางโรงครัวทำมาให้ดังกล่าวข้างต้น มีชาวบ้านมาสอบถาม นึกว่าจะได้ก่อไฟหุงข้าว ต้มแกง กินกันเอง........ คงอายชาวบ้านน่าดู 5555

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ พักผ่อนกันสักครู่หนึ่ง ผบ.ถปภ.สั่งให้พวกเรา เดินเท้าขึ้นสู่ดอยจอมหดทันที ........ แม่เจ้าโว้ย นึกในใจกันว่า ดอยชื่อจอมหดคงจะไม่สูงไปกว่าดอย ป่าคา แถวแม่ริม แม่แตง ที่พวกเราไปเดินป่า ประกอบแผนที่ เข็มทิศ แต่ที่ไหนได้ พอเริ่มเดินก็ขึ้นดอยสูงทันที เกือบจะไม่มีทางเดินราบเอาเสียเลย นี่ชื่อดอยจอมหด คงน่าจะไม่ใช่เสียแล้ว คงต้องเปลี่ยนชื่อเป็นดอยจอมโหดเสียมากกว่า 5555

การเดินขึ้นดอย ผบ.ถปภ.ไม่ได้เข้มงวดมากนัก ใครมีเรี่ยวแรงดี ก็รีบเดินให้ถึงที่หมายโดยเร็ว แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งเหนื่อย สัมภาระที่นำกันไปชักเริ่มจะแผลงฤทธิเข้าให้ มันเพิ่มความหนักเป็นทวีคูณ ข้าพเจ้ายิ่งเดิน ยิ่งเหนื่อย แสงแดดก็แผดเผาอย่างไม่ปราณี ร้อนมาก จนแทบจะก้าวไม่ออก จึงเดินอยู่ในกลุ่มรั้งท้าย ส่วนเสมแห้ง ขี้เถิน บัดดี้ ดันเดินอยู่ในกลุ่มกลางขบวน ตัวปลิวเลย เออ มันก็มีดีเหมือนกันนะ กว่าจะถึงที่หมาย รร.ตชด.บำรุง ก็เกือบพลบค่ำ ส่วนปะรำพิธีรับเสด็จมีเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดจากหน่วยงานอื่นมาจัดเตรียม ไว้แล้ว แต่ทำไมไม่เห็นเจ้าหน้าที่ดังกล่าวเลย สงสัยเขาจะพักนอนในโรงเรียนกัน

พวกเราจึงหาที่ก่อไฟ หุงข้าว เอาอาหารกระป๋องมาอุ่น ดีที่ว่ามีท่อไม้ไผ่เป็นรางรินส่งน้ำไหลลงจากดอยสูงมาให้ชาวบ้านใช้อุปโภค บริโภค (ชาวบ้านเป็นชนชาวไทยภูเขาเผ่าลาหู่ ) และต่อรางรินมายัง รร.ตชด.บำรุงอีกด้วย ส่วนน้ำในกระติกที่ติดตัวมาดื่มหมดกันไปตั้งนานแล้ว หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จ ก็มีการจัดหน้าที่เวรยาม เสมแห้ง ถามข้าพเจ้าว่า "ไอ่ยศ มึงยังบะไปหาไม้มาสอดผ้าแฮมมอก ทำที่นอนมีขาก้ำเหมือนอย่างเขา มันจะได้นอนสะบายน่อย" (ไอ้ยศ..มึงทำไมไม่ไปหาไม้มาสอดแฮมมอค ทำที่นอนมีขาค้ำเหมือนเขา มันจะได้นอนสบายหน่อย) ข้าพเจ้าพูดกับมันว่า "ถ้าคิงใคร่นอนสะบายก่อทำอย่างเขาเอาก่า ฮาจะเอาผ้าแฮมมอคปู๋กับดินแล้วนอนเลย วันพรุ่งนี้เสร็จภารกิจก่อปิคกั๋นละ" (มึงอยากนอนสะบาย ก็ทำอย่างเขาซิ กูจะเอาผ้าแฮมมอคปูนอนกะดินพรุ่งนี้เสร็จกิจก็กลับละ) เสมแห้ง มันก็คงขี้เกียจเหมือนข้าพเจ้าจึงนอนวิธีเดียวกัน

ข้าพเจ้าไปเข้าเวรยามช่วง 18.00-20.00 น.เสร็จแล้วกลับมาเข้านอน เนื่องจากอ่อนเพลีย พอนอนก็หลับทันที มาสะดุ้งตื่นนอนตอน 05.00 น.ด้วยความเคยชิน........พวกเราจึงก่อไฟ ซึ่งพอจะหาฟืนได้ในพื้นที่มาเป็นเชื้อเพลิง หุงข้าว อุ่นอาหารกระป๋อง รับประทานอาหารเช้า หลังจากรับประทานอาหารมื้อเช้าเสร็จ พร้อมไม่ลืมเตรียมไว้เป็นอาหารมื้อกลางวันด้วย เวลาก็ล่วงเข้าไปถึง 08.00 น. มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายเกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน มาตรวจความเรียบร้อยที่ประทับ เห็นมีครู ตชด.โรงเรียนดังกล่าว อยู่ร่วมด้วย 2 นาย เป็น ตชด.รุ่นพี่ ข้าพเจ้าไม่รู้จัก

พวกเราถูกสั่งให้วางกำลังรอบ ๆ บริเวณ รร.ตชด.บำรุง มีหน้าที่ตรวจตรา รักษาความสงบเรียบร้อย ต่าง ๆ จัดจุดให้ประชาชนจากพื้นราบมาร่วมรับเสด็จ ต่อมามีประชาชนจากพื้นที่ราบ และในหมู่บ้านทยอยเดินทางมาร่วมรับเสด็จ ทุกคนรอกันนานจนถึงเวลาประมาณ 09.30 น.ก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์เฮลิคอบเตอร์ ดัง กึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณ มีเฮลิคอปเตอร์สีขาวของกรมตำรวจ 1 ลำ สีเขียวของหน่วยทหาร 3 ลำ ลงมาจอด ผู้โดยสารเป็นนายตำรวจ นายทหารชั้นผู้ใหญ่ ลงมา พร้อมทั้งหน่วยแพทย์ พอ.สว. เสร็จเรียบร้อยแล้วเฮลิคอปเตอร์ทั้ง 4 ลำ ทยอยบินขึ้น

ต่อมาทราบว่าเฮลิคอปเตอร์ ไปลงจอดที่สนามบินชั่วคราว ที่หน่วยทหารมาสร้างไว้ก่อน ไม่ทราบจุดพิกัดที่แน่ชัด...... แล้ว ก็มีเฮลิคอปเตอร์สีฟ้าสลับขาว บินลงสนามหญ้า รร.ตชด.บำรุง ข้าราชการตำรวจ ทหาร ระดับสูง ไปรอตั้งแถว เครื่องยนต์เฮลิคอปเตอร์ดับ ประตูเฮลิคอปเตอร์เปิดออก เห็นมีนายทหารราชองครักษ์ 2 นาย ลงมา มีชายคนหนึ่งทราบภายหลังว่าชื่อ หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี เดินมา และมีองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช รัชการที่ 9 สมเด็จ พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พร้อม องค์รัชทาญาติ (รัชการที่ 10ในปัจจุบัน) สมเด็จพระเทพรัตนสุดา สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร เสด็จย่างพระบาทลงจากเฮลิคอปเตอร์ มีถวายรายงานจากผู้เกี่ยวข้องทุก ๆ ฝ่าย รวมถึงท่านนายอำเภอพร้าว

หลังจากที่ทุกพระองค์เสด็จพระราชดำเนิน ผ่านพสกนิกร ที่มาเฝ้ารับเสด็จ จะมีเสียงตระโกนดังลั่นว่า "ทรงพระเจริญ ๆ ๆ" เป็นระยะ ๆ ไป........ทุกพระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ และโบกมือให้ บางครั้งก็หยุดสอบถาม พวกเราทำความเคารพโดยยืนวันทยาวุธ แล้วคอยกำชับไม่ให้ประชาชนลุกขึ้นยืน หรือวิ่งเข้าไปหาพระองค์ใช้ผ้าเช็ดหน้าวางกับพื้นให้พระองค์เหยียบ เพื่อเป็นศิริมงคลโดยเด็ดขาด....... ทุกพระองค์เสด็จเข้าที่ประทับ สักครู่เสด็จพระราชดำเนินเข้าไปใน อาคาร รร.ตชด.บำรุง แพทย์ พอ.สว.มาตั้งโต๊ะพับ เก้าอี้พับ ตรวจรักษากลุ่มประชาชนที่ป่วยไข้ ซึ่งทางฝ่ายปกครอง อ.พร้าว ได้จัดเตรียมไว้ เวลาผ่านไปประมาณ 12.00 น. ทุกพระองค์เสด็จพระราชดำเนินกลับพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ มีเฮลิคอปเตอร์ มาลงรับ ข้าราชการตำรวจ ทหาร ชั้นผู้ใหญ่ แพทย์พอ.สว.เดินทางกลับ ประชาชนทยอยเดินทางกลับ.......

คงเหลือแต่พวกเรา บรรยากาศ ช่างเงียบเหงา พักหายเหนื่อย หายเครียดกันสักครู่ ก็นำอาหารมื้อกลางวันมารับประทานกัน ว่าไม่ได้ กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้องนี่นา 55555 หลังจากรับประทานอาหารมื้อกลางวันเสร็จ สักครู่หนึ่งพวกเราก็เดินเท้ากลับ...... เอ ชักสงสัย ขาเดินกลับนี่ไม่เหนื่อยเหมือนกับขาเดินขึ้น ทั้ง ๆ ที่แดดก็ร้อน เพราะเดินลงเขาลูกเดียว เพียงแต่น่องตึง ๆ หน่อย สัมภาระไม่หนักเพราะใช้ไปจนหมดสิ้น ต่อมาเวลาประมาณ 13.45 น. เราเดินมาถึง อ.พร้าว ขึ้นรถบรรทุกเพาเวอร์ เวก้อน กลับค่ายดารารัศมี แวะเที่ยวที่ถ้ำเชียงดาว ช่วงนั้นยังเป็นป่าเขามาก ไม่มีร้านขายสินค้า ร้านขายอาหารมากนัก พวกไม่เคยเที่ยวในถ้ำก็ไปเที่ยวกัน ส่วนข้าพเจ้าไม่ไป รออยู่แถวนอกถ้ำ

ระหว่างนั้น มีเพื่อน ๆ หลายคนถือแกลลอนพลาสติกขนาดบรรจุ 5 ลิตร เก่า ๆ หลายใบ พร้อมถือห่อใบตองใหญ่มาด้วย มันพากันขึ้นรถ กวักมือเรียกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสงสัยจึงตามไป เห็นกำลังดื่ม ไวน์ วิสกี้ พื้นเมือง แกล้มด้วยเนื้อที่อ้างว่าเป็นเนื้อเก้งแดดเดียวทอดอย่างมีความสุข พร้อมกับรินวิสกี้ให้ข้าพเจ้าดื่ม ฉีกเนื้อเก้งให้ข้าพเจ้าคำใหญ่ ข้าพเจ้าขอบคุณ...... เสร็จสิ้นภารกิจแล้วนี่ ฉลองซักหน่อยก็คงจะดี ข้าพเจ้าล่อไปหลายแก้วอยู่เหมือนกัน วิสกี้ แกล้มเนื้อเก้งนี่เข้าท่าไม่เบา ช่วงระยะนั้น ข้าพเจ้าไม่จำเป็นจะไม่ดื่มสุรา เพราะคออ่อน ดื่มทีไร เป็นเมาทุกที ครั้งนี้ก็คงเมาหนัก นอนหลับกับพื้นรถไปตอนไหน เมื่อใด อย่างไร จำความไม่ได้เลย.........

มาสะดุ้งตื่นก็ตอนที่ เสมแห้ง ขี้เถิน เรียกและเขย่าตัวพูดว่า "ไอ่ยศ ๆ ลุก ๆ ๆ กิ๋นง่าว กิ๋นเซอะ เมาบะฮู้เรื่อง เพื่อนเขาก็เมาเอาตี๋นไปย่ำใส่หัว ใส่ตั๋วคิง ถึงค่ายละ ไอ้ง่าวเฮ้ย" (ไอ่ยศ ลุก ๆ กินโง่ เมาไม่รู้เรื่อง เพื่อนเขาเมาเอาตีนเหยียบหัวมึง ถึงค่ายแล้ว ไอ้โง่เอ้ย) ข้าพเจ้ามีอาการสะลึมสะลือ คอแห้งผาก ตอนนั้นอากาศเริ่มมืดแล้ว มีความรู้สึกว่ามือขวากำอะไรไว้ นิ่ม นิ่ม ปั๊ดโถ้ นี้มันเนื้อเก้งแดดเดียวนี่หว่า......... . 5555

ครูฝึกให้พวกเราเข้าโรงเลี้ยงรับประทานอาหารเย็น เสร็จแล้วทำธุระส่วนตัว 21.00 น.สัญญาณแตรนอน ใครมีหน้าที่เวร ยาม ก็ไปปฏิบัติ ข้าพเจ้าโชคดีไม่มีหน้าที่ เวรยาม.......... พอหัวถึงหมอน ด้วยความ อ่อนเพลีย เมายังไม่สร่าง ข้าพเจ้าหลับทันที..........555 ต้นเดือน มีนาคม 2514 เช้าวันหนึ่ง ครูฝึกสั่งให้พวกเราแต่งเครื่องแบบชุดสีกากี เตรียมรับประกาศนียบัตร จบการฝึก ตชด. รุ่น 2/13 อย่างเป็นทางการ ที่ตำหนักเจ้าแม่ดารารัศมี มีผู้บังคับบัญชาชั้นสูง จาก บช.ตชด.มาแจกจ่ายและแสดงความยินดี พิธีก็ง่ายๆตามสไตล์ ตชด.

ช่วงบ่ายมีคำแต่งตั้ง โยกย้ายจาก กก.ชด.เขต 5 ออกมา พวกเราแต่ละคนถูกแต่งตั้งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ประจำ ฝ่ายอำนวยการ 1-9 และประจำ มว.ตชด.ทั่วพื้นที่ภาคเหนือ คำสั่งนี้มีทั้งคนดีใจและเสียใจ โชคดีก็อยู่ฝ่ายอำนวยการ แต่พันยักษ์ เมธัง ณรงค์ ศรีคำหอม (รงค์หม่น) และเพื่อน ๆ อีกหลายคน ก็โชคดีที่ได้อยู่ในค่ายดารารัศมี เช่นเดียวกัน ทั้ง 2 คน ประจำ มว.อว.(มว.อาวุธหนัก) แต่ไม่ได้ไปสนับสนุนการรบที่ไหนหรอก เข้าเวร-ยาม ประจำกองรักษาการณ์หน้า........ยกเสากั้นรถยนต์เข้า-ออก ค่าย เคารพเฉพาะผู้บังคับบัญชา คุณภรรยาไม่เกี่ยว......

.ตกตอนเย็นมีการจัดเลี้ยงอำลาอาลัย ใต้ต้นไม้ใหญ่ ข้างสระน้ำ(ในโอกาศต่อมาเป็นที่ตั้ง บก.ตชด.ภาค 3 ) ข้าพเจ้าก็ไปร่วมงาน ดื่มสุราผสมโซดาไป 3-4 แก้ว และรับประทานอาหารเย็น เวลาประมาณ 21.00 น.ก็กลับกองร้อยฝึกที่ 1 ส่วนเพื่อน ๆ ยังสนุกสนานกันต่อ...... ข้าพเจ้าเดินขึ้นกองร้อย ซึ่งไม่มีการจัดเวร ยามแล้ว ไฟฟ้าเปิดไว้เพียงดวงเดียว เห็นไอ้รงค์หม่น หอบผ้าห่ม หมอน มุ้ง สิ่งของตามเตียง ลงกองร้อย แล้วขึ้นมาขนใหม่........ข้าพเจ้าจึงตะโกนไล่ มันหายตัวไปเลย ไม่รู้ว่าสิ่งของเพื่อน ๆ จะหายไปกี่มากน้อย ขนาดพันยักษ์ เมธัง ยังบ่นว่า "เสื้อผ้าฮาหายหมด" (เสื้อผ้ากูหายหมด) ไปถามไอ่รงค์หม่น เอานะเพื่อน ข้าพเจ้ามาสำรวจดู มีมุ้ง ผ้าห่มนอน เท่านั้นที่หายไป หมอนขี้ไคลมันไม่เอา ไอ้รงค์ หม่น คงนึกสงสารข้าพเจ้าอยู่ จึงไม่เอาชุดฟาติก ลายก้างปลา 2 ชุด หมวกเบเร่ต์ดำ รองเท้าคอมแบท กับจังเกิ้ลไปด้วย......

ช่างมันเถอะวะ ไหน ๆ ก็นอนอีกคืนเดียว พรุ่งนี้ก็พร้อมกับเพื่อน รวม 11 คน เดินทางไปประจำ มว.คร.ที่ 555 ฐานปฏิบัติการกิ่วจันทร์ ต.และ กิ่ง อ.ทุ่งช้าง จว.น่าน สังกัด กองร้อย 4 ตชด.อ.เชียงกลาง จว.น่าน แล้ว...... รอบดึกข้าพเจ้าทราบว่า มีการประลองวิทยายุทธ ระหว่างเกรียงไกร วุฒิภาพ กก.ชด.เขต 5 กับ สำเริง ราชโรจน์ กก.ตชด.เขต 8 เพื่อกระชับสัมพันธไมตรี แต่ข้าพเจ้า นอนหลับไปก่อน.......เวลา 05.00 น.ไม่มีเสียงสัญญาณแตรปลุก เพื่อนบางคนแยกย้ายกันออกจากค่ายดารารัศมี ทราบว่าไปกราบอำลาครูฝึก ไปอำลาอาลัยสาวเสริฟโรงอาหาร.......

.”ไม่มีงานเลี้ยงใด ที่ไม่เลิกรา” ดั่งสุภาษิตสำนักวิทยายุทธแดนมังกร........บางเรื่องราวที่ขาดตกบกพร่องไป ข้าพเจ้าขอน้อมรับผิดแต่ไว้เพียงผู้เดียว ข้อความใดที่พาดพิงไปถึงเพื่อน ๆ ข้าพเจ้าขอโทษด้วย ที่ลืมไม่ได้คือ พลฯ เกษม ยศสกุนา (เสมแห้ง ขี้เถิน) บัดดี้ข้าพเจ้า ไม่ทราบว่าได้รับคำสั่งไปปฏิบัติหน้าที่ยังแห่งหน ตำบลใดต่อมาภายหลังทราบว่า เสียชีวิตในสมรภูมิพื้นที่ จว. เชียงราย หากข้าพเจ้าได้ล่วงเกินด้วย วจีกรรม กับเพื่อนไปมาก รวมทั้งเพื่อนผู้อื่นที่เสียชีวิต โปรดอโหสิกรรมให้ข้าพเจ้า ขอดวงวิญญาณเพื่อน จงไปสู่สุคติภพ ด้วยเทอญ...............
จบบริบูรณ์ จาก พลฯเกียรติยศ สุวรรณขัดศรี พลปืนเล็ก มว.คร.ที่ 555 ค่ายดารารัศมี อ.แม่ริม จว.เชียงใหม่ สวัสดีครับ


(ต้องขอบคุณเพื่อนยศ ฯ ที่พยายามเก็บความทรงจำถ่ายทอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร ร้อยเรียงเล่าเรื่อง เรียกว่า ๕๒ ปีแห่งควาทรงจำ ถือว่าสุดยอดที่ท่านยังจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ หาได้น้อยนักที่จะมีความสามารถเช่นท่านครับ(ในรุ่น)

ลำดับต่อไปไม่รู้จะมีใครอีกที่พอจะจำความหลังนำมาเล่าเป็นวิทยาทานให้คนรุ่นใหม่ได้รับทราบ ชีวิตพวกเรามันไม่ง่าย เพื่อนเราตายไปหลายรายที่เหลืออยู่ไม่อยากจะพูดว่า "โชคดีเลย" เพราะชีวิตมันคือความทุกข์ คนที่ไปก่อนเขาไปเสวยสุข-ทุกข์ ข้างหน้าเราไม่รู้แต่ที่เรารู้แน่ ๆ คือ "เขาพ้นทุกข์ไปจริง ๆ " )
3738.jpg (194.36 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (45).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (46).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (46).JPG (115.19 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (48).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (48).JPG (118.79 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (49).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (49).JPG (135.59 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (50).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (50).JPG (131.38 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (51).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (51).JPG (144.84 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (52).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (52).JPG (129.89 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (53).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (53).JPG (125.73 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (54).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (54).JPG (94.61 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (55).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (55).JPG (122.62 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (56).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (56).JPG (114.54 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (57).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (57).JPG (112.01 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (58).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (58).JPG (131.97 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (59).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (59).JPG (126.79 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (60).JPG
อ่างเก็บน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ให้ความสงบ ร่มรื่น สดชื่นมาก ๆ เราสองคนเรียกว่า มีความสุข คิดนะครับ Stupid โครต ๆ  &quot;ใกล้เกลือกินด่าง&quot; จริง ๆ ทั้ง ๆ ที่รู้นะว่ามีอ่างอยู่บริเวณนี้ แต่จนแล้วจนรอด เราไม่เคยปั่นเข้ามาถึงเลย ก็ถือว่ายังโชคดี แต่วันที่เรามาน้ำยังไม่ขึ้นมากนัก เอาไว้เราต้องหาเวลามาทานข้าวมื้อเที่ยงอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้ ๕๕๕<br /><br /><br />อ่างเก็บน้ำแม่ธิ หมู่ที่ ๙ บ้านดอยเวียง ตำบลบ้านธิ ห่างจากตัวอำเภอบ้านธิ ประมาณ ๕ กิโลเมตร สันเขื่อนกว้าง ๔๗๐ เมตร ยาวประมาณ ๖ กิโลเมตร บรรจุน้ำ ๕ ล้านลูกบาศก์เมตร ใช้ในพื้นที่การเกษตร ๕,๐๐๐ ไร่ และยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีทัศนียภาพสวยงาม ทิวทัศน์ภูเขาสวยต้นไม้เขียวขจี น่ารื่นรมย์ เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ<br /><br />ลักษณะเด่น  -อ่างเก็บน้ำขนาดกลาง มีภูมิทัศน์สวยงาม -เป็นที่นิยมของนักตกปลา -เป็นที่พักผ่อนของผู้คนในพื้นที่ --<br /><br />ท่านใดมีเวลาหาโอกาสไปเที่ยวนะครับ การันตีไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
อ่างเก็บน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ให้ความสงบ ร่มรื่น สดชื่นมาก ๆ เราสองคนเรียกว่า มีความสุข คิดนะครับ Stupid โครต ๆ "ใกล้เกลือกินด่าง" จริง ๆ ทั้ง ๆ ที่รู้นะว่ามีอ่างอยู่บริเวณนี้ แต่จนแล้วจนรอด เราไม่เคยปั่นเข้ามาถึงเลย ก็ถือว่ายังโชคดี แต่วันที่เรามาน้ำยังไม่ขึ้นมากนัก เอาไว้เราต้องหาเวลามาทานข้าวมื้อเที่ยงอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้ ๕๕๕


อ่างเก็บน้ำแม่ธิ หมู่ที่ ๙ บ้านดอยเวียง ตำบลบ้านธิ ห่างจากตัวอำเภอบ้านธิ ประมาณ ๕ กิโลเมตร สันเขื่อนกว้าง ๔๗๐ เมตร ยาวประมาณ ๖ กิโลเมตร บรรจุน้ำ ๕ ล้านลูกบาศก์เมตร ใช้ในพื้นที่การเกษตร ๕,๐๐๐ ไร่ และยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีทัศนียภาพสวยงาม ทิวทัศน์ภูเขาสวยต้นไม้เขียวขจี น่ารื่นรมย์ เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ

ลักษณะเด่น -อ่างเก็บน้ำขนาดกลาง มีภูมิทัศน์สวยงาม -เป็นที่นิยมของนักตกปลา -เป็นที่พักผ่อนของผู้คนในพื้นที่ --

ท่านใดมีเวลาหาโอกาสไปเที่ยวนะครับ การันตีไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4378
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D อรุณสวัสดิ์ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพและญาติธรรมที่รักทุกท่าน เรื่องราวของการรับบุคคลภายนอกเข้ามารับการฝึกอาวุธพิเศษและบรรจุเข้าเป็น ตชด.รุ่น ๒/๑๓ ก็จบบริบูรณ์หวังว่าคงได้ข้อคิด และแนวทางการดำเนินชีวิตไปบ้างพอสมควร ในหน่วยงาน ตชด.นั้นมีอยู่หลายแผนกและหลายลักษณะงาน เพื่อให้ท่านได้มองภาพการการทำงานของ ตชด.ขออนุญาตุชมตามคลิปข้างล่างนี้นะครับ :) :D

:idea: :idea: ชายแดน ภารกิจ ตชด. | ข่าวค่ำ มิติใหม่ | 2 ก.ค. 65 :idea: :idea:

:) :D หลังจากที่พวกเราฝึกจบก็ถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ ในหน่วยของตนเขต ๕,๖,๗,๘,๙ ในส่วนเขต ๕ ค่ายดารารัศมี พวกเราส่วนใหญ่แล้วจะออกแนวหน้า ไป จ.เชียงราย จ.น่าน ในหน่วยงานที่สร้างชื่อเสียงให้กับ ตชด.มาจนทุกวันนี้คือครู ตชด. เช้านี้ พ.ต.ท.ปริญญา ทับกล่ำ (จุ๊ก) จะมาทบทวนความหลังเล่าเรื่องราวครูดอย ให้ได้ทราบเชิญติดตามเรื่องราวและข้อคิดดี ๆ จากท่าน จุ๊ก ยูโดสายดำ :) :D
ไฟล์แนบ
ครูตำรวจตระเวนชายแดน ( ครูดอย )<br /><br />      		ผมชื่อ พ.ต.ท. ปริญญา ทับกล่ำ ตำแหน่งปัจจุบันที่กำลังเขียนเรื่องราวของครู ตชด.หรือครูดอย เป็นตำแหน่ง อาจารย์ ( สัญญาบัตร ๓) กลุ่มงานวิชาการ  ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธร   ภาค ๖ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์<br /><br />      		ผมนั่งนึกย้อนถอยหลังไปเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๓ ขณะนั้นผมกำลังอายุ ๒๐ ปี ผมเข้ารับราชการเป็นพลตำรวจสมัครที่ กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน เขต ๕ ค่ายดารารัศมี อำเภอ  แม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ผมเข้ารับการฝึกอบรมเป็นพลตำรวจที่ โรงเรียนฝึกอาวุธค่ายดารารัศมี ( ค่ายเจ้าแม่ดารารัศมี อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ) บริเวณกองกำกับตำรวจตระเวนชายแดน เขต ๕ นั้นเป็น  พระตำหนักของเจ้าแม่ดารารัศมี พระมเหสีของรัฐกาลที่ ๖<br /><br />      		ผมฝึกอบรมยุทธวิธีตำรวจตระเวนชายแดน เรียนรู้วิชาการต่าง ๆ ด้านกฎหมาย ด้านอาวุธทุกชนิดที่มีอยู่ และสารพัดวิธีที่ครูฝึกรุ่นพี่ หรือผู้บังคับบัญชาการที่ได้ประสบมา นำมาถ่ายทอดกลยุทธวิธีต่าง ๆ เพื่อเป็นประโยชน์แก่รุ่นน้อง ๆ หรือรุ่นหลังเพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ ในการเป็นตำรวจตระเวนชายแดน<br /><br />     		ยุทธวิธีต่าง ๆ ที่สอนและถ่ายทอดมา ผมกับพวกรวมทั้งหมด ๑๕๐ คน จะต้องซึมซับรับเอายุทธวิธีต่าง ๆ ไว้โดยทางตรงและทางอ้อม โดยน้อมรับหรือยัดเยียดให้รู้ให้ปฏิบัติทุกวันและทุกเวลาที่มีการสอน โดยจุดประสงค์จะหล่อเป้าผมกับพวกรวม ๑๕๐ คน ให้อยู่ในเป้าเดียวกัน  มีความคิด ความเห็น ความเป็นอยู่ และมีจิตใจอันหนึ่งอันเดียวกัน ตอนแรกมีความรู้สึกต่อต้านอยู่ในใจอยู่ตลอด มารู้ตอนที่ออกไปปฏิบัติหน้าที่ราชการ ถึงรู้จุดต่าง ๆ เหล่านั้น<br /><br />      		จากวันแรกจนถึงวันที่จบหลักสูตร ทุกคนต่างได้รับการบรรจุตามหน่วย ๆ ที่ขึ้นตรงกับกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน เขต ๕ ค่ายดารารัศมี รวมวันเวลาที่รับการฝึกอบรมเรียนยุทธวิธีตำรวจด้าน ๆ จนสำเร็จตามหลักสูตรกำหนด เป็นเวลา ๖ เดือนเต็ม<br /><br />      		ขณะที่ผมกับพวกสำเร็จหลักสูตร เป็นระยะเวลาพอดีที่ฐานปฏิบัติการที่ต่อสู้กับภัยจากผู้ก่อการร้ายคอมมูนิสต์ ( ผกค.) เป็นห้วงระยะการเปลี่ยนกำลังพล พวกผมที่จบหลักสูตรต่างได้บรรจุตามตำแหน่งต่าง ๆ บางคนขึ้นไปปฏิบัติสับเปลี่ยนโดยผลัดเปลี่ยนรุ่นพี่ที่ประจำแต่ละฐานปฏิบัติการ กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนตามพื้นที่รับผิดชอบ สรุปว่าแต่ละฐานปฏิบัติการ พวกผมจะเข้าแทนกำลังที่เปลี่ยนเกือบทั้งหมด โดยจะเหลือกำลังที่เป็นรุ่นพี่คอยเป็นพี่เลี้ยงชี้แนะยุทธวิธีของฝ่ายตรงข้ามผมกับพวกอีกส่วนหนึ่งเข้าประจำแผนกต่าง ๆ ของกองกำกับการตำรวจตระเวนชายเขต ๕ ( ค่ายดารารัศมี ) <br /><br />ผมเข้าประจำการเป็นพลตำรวจสมัครประจำแผนก ๕ ( แผนกพัฒนาการ ) ซึ่งรับผิดชอบด้าน การพัฒนาต่าง ๆ รวมทั้งจัดครูตำรวจตระเวนชายแดน ขึ้นไปสอนตามโรงเรียนของตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งตั้งตามหมู่บ้านต่าง ๆทั้งพื้นราบและบนภูเขาที่มีหมู่บ้านร้องขอมาให้กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนไปตั้งโรงเรียนเพื่อสอนให้แก่บุตรชาวพื้นราบและพื้นที่สูงบนภูเขา ซึ่งโรงเรียนดังกล่าวตั้งกระจัดกระจายไปทั่วพื้นที่ที่รับผิดชอบของกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน เขต ๕ <br /><br />         		เมื่อทางแผนก ๕ ได้คัดเลือกตำรวจที่จะเป็นครูขึ้นไปสอน แผนก ๕ จะรวบรวมครูตำรวจตระเวนชายแดนที่ไปทำการสอนโรงเรียนในความรับผิดชอบ เข้ารับการอบรมวิชาครู      โดยแผนก  ๕ จัดการอบรมมีวิทยากรด้านการศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ มาถ่ายทอดวิธีการสอน วิธีทำอุปกรณ์การสอน ด้านการรักษาพยาบาลมีนายแพทย์สอนการปฐมพยาบาลเบื้องตน ปีที่ผมเข้าอบรมเป็นครูตำรวจตระเวนชายแดนมีนักศึกษาปริญญาโท คณะคุรุศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ มาเป็นวิทยากรผู้บรรยาย<br /><br />         		ในการฝึกอบรมแต่ละครั้งจะมีวิทยากรจากกรมทรัพยากรธรณี จะสอนให้รู้จักแร่ธาตุ   ต่าง ๆ มีนายแพทย์จากโรงพยาบาลต่าง ๆ มาสอนการใช้ยาและการรักษาเบื้องต้นและมีการสอดแทรกองค์กรต่าง ๆ ที่ร่วมเป็นวิทยากรจนพวกผมนั่งเรียนมึนหัวไปเป็นวัน ๆ จนสำเร็จ<br />         		<br />ต่อมาก่อนที่โรงเรียนของตำรวจตระเวนชายแดนจะเปิดสอน จะมีคำสั่งจากกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน เขต ๕ ออกมาว่าใครไปสอนที่ไหนกับใคร ผมไปตรวจดูคำสั่ง ให้เป็นครูสอนที่ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายบำรุงที่ ๙๓ บ้านจะนะ กิ่งอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี ส.ต.อ  สุเวช  คุณเศษณ์ เป็นครูใหญ่<br /><br />         		จากนั้นอีก  ๒ – ๓  วัน ผมก็พบกับ ส.ต.อ สุเวช  ฯ ซึ่ง เป็นตำรวจรุ่นพี่ โดยได้หารือกันว่าจะต้องเบิกอุปกรณ์การเรียนการสอนอะไรบ้าง โดยทราบว่าโรงเรียนตำรวจ ตระเวนชายแดนบำรุงที่ ๙๓ นี้เป็นโรงเรียนที่ทางกองกำกับการตำรวจตระเวนชาย เขต ๕ได้เปิดขึ้นใหม่ มีนักเรียนประมาณ ๕๐ คน ผมกับพี่สุเวชได้ไปเบิกอุปกรณ์ต่าง ๆ ตามที่แผนก ๕ ได้จัดรายการต่าง ๆ ไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ผมกับพี่สุเวชแค่นำใบ เบิกอุปกรณ์ให้เจ้าหน้าที่แล้วอุปกรณ์ต่างบรรจุกล่อง เพื่อจะนำไปขึ้นรถบรรทุกไปที่ กิ่งอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ โดยเจ้าหน้าที่ไปจ้างเหมาจ่ายให้นำขึ้นไปที่โรงเรียนเอง<br /><br />          		แต่ผมต้องทำใบเบิกยารักษาโรคต่าง ๆ ซึ่งเป็นยาประเภทยาสนามจากหน่วยพยาบาลของ กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน เขต ๕ จากนั้นก็นำมาแพคฝากส่งไปพร้อมกับอุปกรณ์การสอน ผมเองยังมืดอยู่ว่า โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน บำรุงที่ ๙๓ บ้านจะนะ กิ่งอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่  ผมก็ยังไม่เคยไปรู้แต่ว่าขึ้นกับ กองร้อยที่ ๑ บ้านแม่อาย กิ่งอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ <br /><br />         		ผมกับพี่สุเวชนัดหมายกันอีก ๓ วันจะเดินทางไป โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน บำรุงที่ ๙๓. พร้อมกันโดยนัดที่แผนก ๕ กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต ๕  ถึงเวลานัดหมายผมกับอุปกรณ์ส่วนตัวต่าง ๆ ใส่เป้หลังและเบิกอาวุธปืนประจำกาย คือ อาวุธปืนยาวคาร์บิน เอ็ม ๑ เอ ๑ กระสุนจำนวน ๑๓๐ นัดระเบิด เอ็ม ๑๖ จำนวน ๑ ลูก เป้สนาม  ๑ ใบ ผ้าปูนอน ๑ ผืน มุ้งสีเขียว ๑ หลัง ผมมานั่งคอยพี่สุเวรที่แผนก  ๕ รออยู่หลายชั่วโมง ขณะที่นั่งรออยู่นั้นมีจ่ากองร้อย เดินมาหาผมและบอกว่าให้เดินทางไปก่อนและให้ไปรายงานตัวที่ กองร้อยที่ ๑ ที่บ้านแม่อาย       กิ่งอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เพราะพี่สุเวชถูกต้องทัณฑ์ ๗ วัน ให้ผมรีบเดินทางไปก่อน ผมเลย ตัดสินใจเดินทางไ ปคนเดียว โดยได้นั่งรถยนต์โดยสารจากเชียงใหม่  อำเภอฝาง  เส้นทางที่รถยนต์ผ่าน อำเภอแม่ริม อำเภอแม่ แตง อำเภอเชียงดาว อำเภอฝาง จากนั้นลงรถยนต์แล้วไปนั่งต่อรถยนต์ ๒ แถว สายอำเภอฝางไปกิ่งอำเภอแม่อายอีกทอดหนึ่ง<br /><br />        		เมื่อเดินทางไปถึงกิ่งอำเภอแม่อาย ผมบอกให้คนขับรถยนต์จอดที่หน้ากองร้อยที่ ๑ บ้านแม่อาย กิ่งอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นได้นำสำภาระต่าง ๆ แบกขึ้นบ่าเดินเข้าไปที่ตั้งของอาคารกองร้อยที่ ๑ อาคารดังกล่าวเป็นอาคารปลูกเป็นโรงยาว เมื่อขึ้นบนอาคารกองร้อย   จะเห็นมีห้องทำงานประมาณ ๑ - ๒ ห้อง อยู่มุมด้านซ้ายมือส่วนอาคารด้านขวาจะเป็นโรงยาวมีเตียงนอนวางไว้ ๒ - ๓ หลัง เห็นมีตู้เหล็กอยู่หัวเตียง ผมมองหาพวกพี่ ๆ ที่ทำงานอยู่บนกองร้อยได้ยินเสียงวิทยุสื่อสารดังเป็นระยะ ๆ ผมจึงเดินเข้าไปสอบถาม พบพนักงานวิทยุซึ่งเป็นตำรวจตะเวนชายแดนรุ่นพี่ จึงบอกว่าผมมารายงานตัว ผบ.ร้อย โดยผมเป็นครูตำรวจตระเวนชายแดน ที่จะขึ้นไปสอนที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน บำรุงที่ ๙๓ บ้านจะนะ <br /><br />พี่พนักงานวิทยุตอบว่าทางกองร้อยที่ ๑  ทราบแล้ว และพี่พนักงานวิทยุพาผมลงจากอาคารกองร้อยไปยังบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ข้างอาคารกองร้อย. ซึ่งเป็นบ้านพักของ ผบ.ร้อย ๑ (  จ.ส.ต สุทัศน์ ) ผมก็ไปรายงานตัวต่อ ผบ.ร้อย ๑ พร้อมยื่นหนังสือรายงานตัว จากนั้น ผบ.ร้อย ๑ สั่งให้พนักงานวิทยุพาผมไปพักที่บนอาคารกองร้อย เพื่อจะได้นัดหมายกับชุดลาดตระเวน เพื่อจะนำทางพาผมไปยัง โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน บำรุงที่ ๙๓ บ้าน จะนะ<br /><br />        		พี่พนักงานวิทยุพาผมขึ้นไปบนอาคารกองร้อยและชี้ไปทางด้านขวามือว่าจะนอนตรงไหนเลือกเอาตามสบายเลย มีที่ว่างตลอดแนวอาคารกองร้อย และชี้ไปทางหลังอาคารกองร้อย  มีห้องสุขา ๑ ห้อง ส่วนห้องน้ำชี้ไปยังลำธารเล็ก ๆ ที่มีน้ำไหลอยู่ตลอดเวลา ห้องน้ำอยู่ริมลำธาร  เล็ก ๆ นั้น เลือกเอาตามสบาย ส่วน อาหารการกินผมได้เอามาด้วย<br /><br />        		ผมรีบทำธุระส่วนตัวให้เสร็จก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน เพราะไม่มีไฟฟ้ามีแต่ตะเกียงหรือเทียนไขที่ให้แสงสว่าง ผมเอาผ้าปูนอนที่แพคมาปูเป็นที่นอน หมอนไม่มีใช้แป้หลังหนุนแทนหมอน รีบกางมุ้งหามุมที่พอเหมาะกับมุ้ง ดึงสาย มุ้งผูกติดกับฝาอาคารกองร้อย ผมเลือกที่นอนอยู่แนวเดียวกับตู้เหล็ก เพื่อตอนเย็นจะมีพี่ตำรวจเจ้าของเตียงนอนนั้นจะกลับมานอนจะได้มีเพื่อนด้วย<br />        		ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดินลับขอบฟ้า ผมทำธุระส่วนตัว เสร็จสิ้น เมื่อหมดแสงอาทิตย์ความมืดก็เข้าครอบคลุมไปทั่วบริเวณ ผมจุดเทียนไขที่เตรียมมาเป็นแสงสว่างรีบเข้าไปนั่งในมุ่งนอน เพราะศัตรูตัวเล็กอันมีพิษร้ายเริ่มออกบินหาอาหารกินคือ ยุงตัวร้าย  ผมนอนห่มผ้านอนคิดไปว่าถ้าเดินทางขึ้นไปโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน บำรุงที่ ๙๓ บ้านจะนะ จะเห็นอาคารเรียน  เห็นโต๊ะเรียน เห็นเก้าอี้และนักเรียนพร้อมทุกอย่างจะเริ่มการสอนเด็กนักเรียนตามกลวิธีที่ได้รับการอบรมมา ผมนอนนึกคิดอยู่คนเดียว มองไปทางซ้ายมองไปทางขวาก็มืดหมด ไม่ได้เสียงคนไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเสียงสุนัขเห่าหอนเป็นระยะ ผมก็นึกให้กำลังใจตนเองว่า อีกไม่นานพี่ตำรวจตระเวนชายแดนที่มีเตียงนอนจะกลับมานอนด้วย<br /><br /> ผมนอนรอฟังเสียงจนแล้วจนเล่าก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร  และก็ไม่มีใครมาสักคน ยิ่งดึกยิ่งความคิดเริ่มฟุ้งซ่าน ผมเอาปืนยาวที่เบิกมาเอามากอดไว้ หูก็คอยฟังเสียงต่าง ๆ จนง่วงหลับไป สะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงคนเดินขึ้นมาบนอาคารกองร้อย ก็ใจชื้นนึกว่าพี่ตำรวจคงกลับมาแล้ว  เสียงคนเดินขึ้นมาบนกองร้อยเหมือนเดินมาจุดที่ผมนอนอยู่ ผมรู้สึกว่าเสียงเดินมาหยุดห่างจากผมนอน ผมรู้สึกว่าเสียงเดินมาหยุดห่างจากผมนอนอยู่ประมาณ ๒ - ๓ เมตร เสียงเดินนั้นก็หายไปผมพยายามหาเสียงเดินดังกล่าวก็ไม่มีใคร ผมชักระแวงต่อเหตุการณ์ <br /><br />มือควาญหาพระที่แขวนไว้อีกมือคว้าปืนยาวพร้อมขึ้นลำปืน ปลอดเซฟปืนพร้อมที่จะยิงทันที เมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น สัญชาตญาณการป้องกันตัวเริ่มสอนให้ทราบว่าเหตุการณ์มันไม่ปกติแล้ว ผมนอนระวังตัวอยู่ตลอดคืนไม่ได้หลับ จนฟ้าสางเห็นแสงดวงอาทิตย์ปรากฏ ขึ้นทางขอบฟ้าทางทิศตะวันออก ผมพยายามคุมสติให้มั่นคงจนกระทั่งถึงเวลาเช้า เมื่อมองไปรอบ ๆ ข้างที่นอนมีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์และสามารถมองเห็นได้ ผมมองไปทางที่มีเตียงนอนและมีตู้เย็น ผมตกใจเห็นมีคนนอนห่มผ้าอยู่ ผมรีบลูกขึ้นจากที่นอนรีบเดินไปที่เตียงนอน เห็นพี่ตำรวจคนหนึ่งนอนหลับอยู่ ผมจึงค่อยลงจากกองร้อยทำธุระส่วนตัวให้ เสร็จเรียบร้อย ผมเดินกลับมาที่นอนเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆเครื่องนอนแพคลงเป้สนาม ขณะที่ผมกำลังเก็บอุปกรณ์นั้น พี่ตำรวจได้ตื่นมาและได้พูดกับผมว่า กลางคืนนอนสบายดีหรือเปล่า ผมก็แข็งใจตอบว่านอนสบายดีครับ แต่ในใจผมเองอยากตอบว่าไม่ นอนไม่สนิท
ครูตำรวจตระเวนชายแดน ( ครูดอย )

ผมชื่อ พ.ต.ท. ปริญญา ทับกล่ำ ตำแหน่งปัจจุบันที่กำลังเขียนเรื่องราวของครู ตชด.หรือครูดอย เป็นตำแหน่ง อาจารย์ ( สัญญาบัตร ๓) กลุ่มงานวิชาการ ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธร ภาค ๖ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์

ผมนั่งนึกย้อนถอยหลังไปเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๓ ขณะนั้นผมกำลังอายุ ๒๐ ปี ผมเข้ารับราชการเป็นพลตำรวจสมัครที่ กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน เขต ๕ ค่ายดารารัศมี อำเภอ แม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ผมเข้ารับการฝึกอบรมเป็นพลตำรวจที่ โรงเรียนฝึกอาวุธค่ายดารารัศมี ( ค่ายเจ้าแม่ดารารัศมี อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ) บริเวณกองกำกับตำรวจตระเวนชายแดน เขต ๕ นั้นเป็น พระตำหนักของเจ้าแม่ดารารัศมี พระมเหสีของรัฐกาลที่ ๖

ผมฝึกอบรมยุทธวิธีตำรวจตระเวนชายแดน เรียนรู้วิชาการต่าง ๆ ด้านกฎหมาย ด้านอาวุธทุกชนิดที่มีอยู่ และสารพัดวิธีที่ครูฝึกรุ่นพี่ หรือผู้บังคับบัญชาการที่ได้ประสบมา นำมาถ่ายทอดกลยุทธวิธีต่าง ๆ เพื่อเป็นประโยชน์แก่รุ่นน้อง ๆ หรือรุ่นหลังเพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ ในการเป็นตำรวจตระเวนชายแดน

ยุทธวิธีต่าง ๆ ที่สอนและถ่ายทอดมา ผมกับพวกรวมทั้งหมด ๑๕๐ คน จะต้องซึมซับรับเอายุทธวิธีต่าง ๆ ไว้โดยทางตรงและทางอ้อม โดยน้อมรับหรือยัดเยียดให้รู้ให้ปฏิบัติทุกวันและทุกเวลาที่มีการสอน โดยจุดประสงค์จะหล่อเป้าผมกับพวกรวม ๑๕๐ คน ให้อยู่ในเป้าเดียวกัน มีความคิด ความเห็น ความเป็นอยู่ และมีจิตใจอันหนึ่งอันเดียวกัน ตอนแรกมีความรู้สึกต่อต้านอยู่ในใจอยู่ตลอด มารู้ตอนที่ออกไปปฏิบัติหน้าที่ราชการ ถึงรู้จุดต่าง ๆ เหล่านั้น

จากวันแรกจนถึงวันที่จบหลักสูตร ทุกคนต่างได้รับการบรรจุตามหน่วย ๆ ที่ขึ้นตรงกับกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน เขต ๕ ค่ายดารารัศมี รวมวันเวลาที่รับการฝึกอบรมเรียนยุทธวิธีตำรวจด้าน ๆ จนสำเร็จตามหลักสูตรกำหนด เป็นเวลา ๖ เดือนเต็ม

ขณะที่ผมกับพวกสำเร็จหลักสูตร เป็นระยะเวลาพอดีที่ฐานปฏิบัติการที่ต่อสู้กับภัยจากผู้ก่อการร้ายคอมมูนิสต์ ( ผกค.) เป็นห้วงระยะการเปลี่ยนกำลังพล พวกผมที่จบหลักสูตรต่างได้บรรจุตามตำแหน่งต่าง ๆ บางคนขึ้นไปปฏิบัติสับเปลี่ยนโดยผลัดเปลี่ยนรุ่นพี่ที่ประจำแต่ละฐานปฏิบัติการ กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนตามพื้นที่รับผิดชอบ สรุปว่าแต่ละฐานปฏิบัติการ พวกผมจะเข้าแทนกำลังที่เปลี่ยนเกือบทั้งหมด โดยจะเหลือกำลังที่เป็นรุ่นพี่คอยเป็นพี่เลี้ยงชี้แนะยุทธวิธีของฝ่ายตรงข้ามผมกับพวกอีกส่วนหนึ่งเข้าประจำแผนกต่าง ๆ ของกองกำกับการตำรวจตระเวนชายเขต ๕ ( ค่ายดารารัศมี )

ผมเข้าประจำการเป็นพลตำรวจสมัครประจำแผนก ๕ ( แผนกพัฒนาการ ) ซึ่งรับผิดชอบด้าน การพัฒนาต่าง ๆ รวมทั้งจัดครูตำรวจตระเวนชายแดน ขึ้นไปสอนตามโรงเรียนของตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งตั้งตามหมู่บ้านต่าง ๆทั้งพื้นราบและบนภูเขาที่มีหมู่บ้านร้องขอมาให้กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนไปตั้งโรงเรียนเพื่อสอนให้แก่บุตรชาวพื้นราบและพื้นที่สูงบนภูเขา ซึ่งโรงเรียนดังกล่าวตั้งกระจัดกระจายไปทั่วพื้นที่ที่รับผิดชอบของกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน เขต ๕

เมื่อทางแผนก ๕ ได้คัดเลือกตำรวจที่จะเป็นครูขึ้นไปสอน แผนก ๕ จะรวบรวมครูตำรวจตระเวนชายแดนที่ไปทำการสอนโรงเรียนในความรับผิดชอบ เข้ารับการอบรมวิชาครู โดยแผนก ๕ จัดการอบรมมีวิทยากรด้านการศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ มาถ่ายทอดวิธีการสอน วิธีทำอุปกรณ์การสอน ด้านการรักษาพยาบาลมีนายแพทย์สอนการปฐมพยาบาลเบื้องตน ปีที่ผมเข้าอบรมเป็นครูตำรวจตระเวนชายแดนมีนักศึกษาปริญญาโท คณะคุรุศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ มาเป็นวิทยากรผู้บรรยาย

ในการฝึกอบรมแต่ละครั้งจะมีวิทยากรจากกรมทรัพยากรธรณี จะสอนให้รู้จักแร่ธาตุ ต่าง ๆ มีนายแพทย์จากโรงพยาบาลต่าง ๆ มาสอนการใช้ยาและการรักษาเบื้องต้นและมีการสอดแทรกองค์กรต่าง ๆ ที่ร่วมเป็นวิทยากรจนพวกผมนั่งเรียนมึนหัวไปเป็นวัน ๆ จนสำเร็จ

ต่อมาก่อนที่โรงเรียนของตำรวจตระเวนชายแดนจะเปิดสอน จะมีคำสั่งจากกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน เขต ๕ ออกมาว่าใครไปสอนที่ไหนกับใคร ผมไปตรวจดูคำสั่ง ให้เป็นครูสอนที่ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายบำรุงที่ ๙๓ บ้านจะนะ กิ่งอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี ส.ต.อ สุเวช คุณเศษณ์ เป็นครูใหญ่

จากนั้นอีก ๒ – ๓ วัน ผมก็พบกับ ส.ต.อ สุเวช ฯ ซึ่ง เป็นตำรวจรุ่นพี่ โดยได้หารือกันว่าจะต้องเบิกอุปกรณ์การเรียนการสอนอะไรบ้าง โดยทราบว่าโรงเรียนตำรวจ ตระเวนชายแดนบำรุงที่ ๙๓ นี้เป็นโรงเรียนที่ทางกองกำกับการตำรวจตระเวนชาย เขต ๕ได้เปิดขึ้นใหม่ มีนักเรียนประมาณ ๕๐ คน ผมกับพี่สุเวชได้ไปเบิกอุปกรณ์ต่าง ๆ ตามที่แผนก ๕ ได้จัดรายการต่าง ๆ ไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ผมกับพี่สุเวชแค่นำใบ เบิกอุปกรณ์ให้เจ้าหน้าที่แล้วอุปกรณ์ต่างบรรจุกล่อง เพื่อจะนำไปขึ้นรถบรรทุกไปที่ กิ่งอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ โดยเจ้าหน้าที่ไปจ้างเหมาจ่ายให้นำขึ้นไปที่โรงเรียนเอง

แต่ผมต้องทำใบเบิกยารักษาโรคต่าง ๆ ซึ่งเป็นยาประเภทยาสนามจากหน่วยพยาบาลของ กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน เขต ๕ จากนั้นก็นำมาแพคฝากส่งไปพร้อมกับอุปกรณ์การสอน ผมเองยังมืดอยู่ว่า โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน บำรุงที่ ๙๓ บ้านจะนะ กิ่งอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ผมก็ยังไม่เคยไปรู้แต่ว่าขึ้นกับ กองร้อยที่ ๑ บ้านแม่อาย กิ่งอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่

ผมกับพี่สุเวชนัดหมายกันอีก ๓ วันจะเดินทางไป โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน บำรุงที่ ๙๓. พร้อมกันโดยนัดที่แผนก ๕ กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต ๕ ถึงเวลานัดหมายผมกับอุปกรณ์ส่วนตัวต่าง ๆ ใส่เป้หลังและเบิกอาวุธปืนประจำกาย คือ อาวุธปืนยาวคาร์บิน เอ็ม ๑ เอ ๑ กระสุนจำนวน ๑๓๐ นัดระเบิด เอ็ม ๑๖ จำนวน ๑ ลูก เป้สนาม ๑ ใบ ผ้าปูนอน ๑ ผืน มุ้งสีเขียว ๑ หลัง ผมมานั่งคอยพี่สุเวรที่แผนก ๕ รออยู่หลายชั่วโมง ขณะที่นั่งรออยู่นั้นมีจ่ากองร้อย เดินมาหาผมและบอกว่าให้เดินทางไปก่อนและให้ไปรายงานตัวที่ กองร้อยที่ ๑ ที่บ้านแม่อาย กิ่งอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เพราะพี่สุเวชถูกต้องทัณฑ์ ๗ วัน ให้ผมรีบเดินทางไปก่อน ผมเลย ตัดสินใจเดินทางไ ปคนเดียว โดยได้นั่งรถยนต์โดยสารจากเชียงใหม่ อำเภอฝาง เส้นทางที่รถยนต์ผ่าน อำเภอแม่ริม อำเภอแม่ แตง อำเภอเชียงดาว อำเภอฝาง จากนั้นลงรถยนต์แล้วไปนั่งต่อรถยนต์ ๒ แถว สายอำเภอฝางไปกิ่งอำเภอแม่อายอีกทอดหนึ่ง

เมื่อเดินทางไปถึงกิ่งอำเภอแม่อาย ผมบอกให้คนขับรถยนต์จอดที่หน้ากองร้อยที่ ๑ บ้านแม่อาย กิ่งอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นได้นำสำภาระต่าง ๆ แบกขึ้นบ่าเดินเข้าไปที่ตั้งของอาคารกองร้อยที่ ๑ อาคารดังกล่าวเป็นอาคารปลูกเป็นโรงยาว เมื่อขึ้นบนอาคารกองร้อย จะเห็นมีห้องทำงานประมาณ ๑ - ๒ ห้อง อยู่มุมด้านซ้ายมือส่วนอาคารด้านขวาจะเป็นโรงยาวมีเตียงนอนวางไว้ ๒ - ๓ หลัง เห็นมีตู้เหล็กอยู่หัวเตียง ผมมองหาพวกพี่ ๆ ที่ทำงานอยู่บนกองร้อยได้ยินเสียงวิทยุสื่อสารดังเป็นระยะ ๆ ผมจึงเดินเข้าไปสอบถาม พบพนักงานวิทยุซึ่งเป็นตำรวจตะเวนชายแดนรุ่นพี่ จึงบอกว่าผมมารายงานตัว ผบ.ร้อย โดยผมเป็นครูตำรวจตระเวนชายแดน ที่จะขึ้นไปสอนที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน บำรุงที่ ๙๓ บ้านจะนะ

พี่พนักงานวิทยุตอบว่าทางกองร้อยที่ ๑ ทราบแล้ว และพี่พนักงานวิทยุพาผมลงจากอาคารกองร้อยไปยังบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ข้างอาคารกองร้อย. ซึ่งเป็นบ้านพักของ ผบ.ร้อย ๑ ( จ.ส.ต สุทัศน์ ) ผมก็ไปรายงานตัวต่อ ผบ.ร้อย ๑ พร้อมยื่นหนังสือรายงานตัว จากนั้น ผบ.ร้อย ๑ สั่งให้พนักงานวิทยุพาผมไปพักที่บนอาคารกองร้อย เพื่อจะได้นัดหมายกับชุดลาดตระเวน เพื่อจะนำทางพาผมไปยัง โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน บำรุงที่ ๙๓ บ้าน จะนะ

พี่พนักงานวิทยุพาผมขึ้นไปบนอาคารกองร้อยและชี้ไปทางด้านขวามือว่าจะนอนตรงไหนเลือกเอาตามสบายเลย มีที่ว่างตลอดแนวอาคารกองร้อย และชี้ไปทางหลังอาคารกองร้อย มีห้องสุขา ๑ ห้อง ส่วนห้องน้ำชี้ไปยังลำธารเล็ก ๆ ที่มีน้ำไหลอยู่ตลอดเวลา ห้องน้ำอยู่ริมลำธาร เล็ก ๆ นั้น เลือกเอาตามสบาย ส่วน อาหารการกินผมได้เอามาด้วย

ผมรีบทำธุระส่วนตัวให้เสร็จก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน เพราะไม่มีไฟฟ้ามีแต่ตะเกียงหรือเทียนไขที่ให้แสงสว่าง ผมเอาผ้าปูนอนที่แพคมาปูเป็นที่นอน หมอนไม่มีใช้แป้หลังหนุนแทนหมอน รีบกางมุ้งหามุมที่พอเหมาะกับมุ้ง ดึงสาย มุ้งผูกติดกับฝาอาคารกองร้อย ผมเลือกที่นอนอยู่แนวเดียวกับตู้เหล็ก เพื่อตอนเย็นจะมีพี่ตำรวจเจ้าของเตียงนอนนั้นจะกลับมานอนจะได้มีเพื่อนด้วย
ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดินลับขอบฟ้า ผมทำธุระส่วนตัว เสร็จสิ้น เมื่อหมดแสงอาทิตย์ความมืดก็เข้าครอบคลุมไปทั่วบริเวณ ผมจุดเทียนไขที่เตรียมมาเป็นแสงสว่างรีบเข้าไปนั่งในมุ่งนอน เพราะศัตรูตัวเล็กอันมีพิษร้ายเริ่มออกบินหาอาหารกินคือ ยุงตัวร้าย ผมนอนห่มผ้านอนคิดไปว่าถ้าเดินทางขึ้นไปโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน บำรุงที่ ๙๓ บ้านจะนะ จะเห็นอาคารเรียน เห็นโต๊ะเรียน เห็นเก้าอี้และนักเรียนพร้อมทุกอย่างจะเริ่มการสอนเด็กนักเรียนตามกลวิธีที่ได้รับการอบรมมา ผมนอนนึกคิดอยู่คนเดียว มองไปทางซ้ายมองไปทางขวาก็มืดหมด ไม่ได้เสียงคนไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเสียงสุนัขเห่าหอนเป็นระยะ ผมก็นึกให้กำลังใจตนเองว่า อีกไม่นานพี่ตำรวจตระเวนชายแดนที่มีเตียงนอนจะกลับมานอนด้วย

ผมนอนรอฟังเสียงจนแล้วจนเล่าก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร และก็ไม่มีใครมาสักคน ยิ่งดึกยิ่งความคิดเริ่มฟุ้งซ่าน ผมเอาปืนยาวที่เบิกมาเอามากอดไว้ หูก็คอยฟังเสียงต่าง ๆ จนง่วงหลับไป สะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงคนเดินขึ้นมาบนอาคารกองร้อย ก็ใจชื้นนึกว่าพี่ตำรวจคงกลับมาแล้ว เสียงคนเดินขึ้นมาบนกองร้อยเหมือนเดินมาจุดที่ผมนอนอยู่ ผมรู้สึกว่าเสียงเดินมาหยุดห่างจากผมนอน ผมรู้สึกว่าเสียงเดินมาหยุดห่างจากผมนอนอยู่ประมาณ ๒ - ๓ เมตร เสียงเดินนั้นก็หายไปผมพยายามหาเสียงเดินดังกล่าวก็ไม่มีใคร ผมชักระแวงต่อเหตุการณ์

มือควาญหาพระที่แขวนไว้อีกมือคว้าปืนยาวพร้อมขึ้นลำปืน ปลอดเซฟปืนพร้อมที่จะยิงทันที เมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น สัญชาตญาณการป้องกันตัวเริ่มสอนให้ทราบว่าเหตุการณ์มันไม่ปกติแล้ว ผมนอนระวังตัวอยู่ตลอดคืนไม่ได้หลับ จนฟ้าสางเห็นแสงดวงอาทิตย์ปรากฏ ขึ้นทางขอบฟ้าทางทิศตะวันออก ผมพยายามคุมสติให้มั่นคงจนกระทั่งถึงเวลาเช้า เมื่อมองไปรอบ ๆ ข้างที่นอนมีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์และสามารถมองเห็นได้ ผมมองไปทางที่มีเตียงนอนและมีตู้เย็น ผมตกใจเห็นมีคนนอนห่มผ้าอยู่ ผมรีบลูกขึ้นจากที่นอนรีบเดินไปที่เตียงนอน เห็นพี่ตำรวจคนหนึ่งนอนหลับอยู่ ผมจึงค่อยลงจากกองร้อยทำธุระส่วนตัวให้ เสร็จเรียบร้อย ผมเดินกลับมาที่นอนเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆเครื่องนอนแพคลงเป้สนาม ขณะที่ผมกำลังเก็บอุปกรณ์นั้น พี่ตำรวจได้ตื่นมาและได้พูดกับผมว่า กลางคืนนอนสบายดีหรือเปล่า ผมก็แข็งใจตอบว่านอนสบายดีครับ แต่ในใจผมเองอยากตอบว่าไม่ นอนไม่สนิท
102413.jpg (98.9 KiB) เข้าดูแล้ว 2675 ครั้ง
เราไปเที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ กันต่อครับ ช่วงที่ไปนั้นน้ำกำลังจะขึ้น เมื่อครั้งหน้าแล้งน้ำแห้งขอดก้นอ่าง ชาวบ้านเดือดร้อนกันมาก ช่วงนี้ฝนเริ่มตกน้ำก็เริ่มเข้าอ่าง คาดว่าหลังจากออกพรรษาน้ำคงเต็มอ่าง
เราไปเที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ กันต่อครับ ช่วงที่ไปนั้นน้ำกำลังจะขึ้น เมื่อครั้งหน้าแล้งน้ำแห้งขอดก้นอ่าง ชาวบ้านเดือดร้อนกันมาก ช่วงนี้ฝนเริ่มตกน้ำก็เริ่มเข้าอ่าง คาดว่าหลังจากออกพรรษาน้ำคงเต็มอ่าง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (62).JPG (72.84 KiB) เข้าดูแล้ว 2675 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (63).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (63).JPG (81.34 KiB) เข้าดูแล้ว 2675 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (64).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (65).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (66).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (66).JPG (110.42 KiB) เข้าดูแล้ว 2675 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (144).jpg
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (144).jpg (75.61 KiB) เข้าดูแล้ว 2675 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (145).jpg
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (145).jpg (121.68 KiB) เข้าดูแล้ว 2675 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (146).jpg
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (147).jpg
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (147).jpg (131.01 KiB) เข้าดูแล้ว 2675 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (149).jpg
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (149).jpg (98.9 KiB) เข้าดูแล้ว 2675 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (150).jpg
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (150).jpg (119.75 KiB) เข้าดูแล้ว 2675 ครั้ง
ครบรอบ 16 ปี ของการรัฐประหาร(19 กันยายน 2549) มีคนเล่าเรื่อง&quot;เสียดาย 10 ประการ&quot; ดังนี้<br /><br />1. เสียดายความเป็นประชาธิปไตยของประเทศภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนแต่วันนี้เรากลับต้องมาอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจเผด็จการ<br /><br />2. เสียดายความสง่างามและความไว้เนื้อเชื่อใจของประเทศไทยบนเวทีโลก<br /><br />3. เสียดายโอกาสประเทศในการพัฒนาไม่ว่าจะเป็น การศึกษา เทคโนโลยี การเกษตร และอุตสาหกรรม<br /><br />4. เสียดายโอกาสในการแก้ปัญหาความยากจนซึ่งคนไทยควรจะหายจนไปแล้ว<br /><br />5. เสียดายโอกาสของคนไทยที่ทุกวันนี้มองไม่เห็นอนาคตตนเอง เพียงแค่หางานทำให้ได้เพื่ออยู่ไปวันๆ ทั้งๆที่รายได้ต่ำกว่าประเทศอื่นในระดับการพัฒนาเดียวกัน<br /><br />6. เสียดายความเป็นศูนย์กลางการบินของสุวรรณภูมิ ทั้งๆที่ ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์เราควรจะเป็นศูนย์กลางของอาเซียน<br /><br />7. เสียดายที่ลูกหลานต้องติดยาเสพติด ซึ่งตอนนี้ซื้อง่ายยิ่งกว่าหมากฝรั่ง<br /><br />8. เสียดายที่น้ำท่วมซ้ำซากเพราะไม่ได้บริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ<br /><br />9. เสียดายระบบราชการที่กำลังทันสมัยต้องกลับมาเป็นรัฐราชการที่ประชาชนต้องวิ่งวอนขอรับการบริการ<br /><br />10.เสียดายที่ประเทศต้องเป็นหนี้เพิ่มจากการบริหารงานที่ผิดพลาดจนต้องขยายเพดานการกู้และหนี้สินภาคครัวเรือนของประชาชนสูงจนจะใช้คืนได้ยาก<br /><br />#เขาว่าคนที่มาบริหารประเทศต้องหาตังค์เป็น ถ้าเป็นแต่ใช้ตังค์ ประเทศพังพินาศ<br /><br />#เขาขอให้พี่น้องคนไทยช่วยกันสนับสนุนประชาธิปไตยอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง ต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบเพื่อประเทศไทยของเราและลูกหลานจะได้มองเห็นอนาคตและเลือกทางเดินชีวิตของตนเองได้<br /><br />#จากใครไม่รู้ ที่ห่วงอนาคตประเทศ มอบความเสียดายโอกาส ให้ได้คิด ขอบคุณคนๆ นั้น ขอให้เขามีความสุข ได้บุญได้กุศลนะครับ<br /><br />                               19 กันยายน 2565
ครบรอบ 16 ปี ของการรัฐประหาร(19 กันยายน 2549) มีคนเล่าเรื่อง"เสียดาย 10 ประการ" ดังนี้

1. เสียดายความเป็นประชาธิปไตยของประเทศภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนแต่วันนี้เรากลับต้องมาอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจเผด็จการ

2. เสียดายความสง่างามและความไว้เนื้อเชื่อใจของประเทศไทยบนเวทีโลก

3. เสียดายโอกาสประเทศในการพัฒนาไม่ว่าจะเป็น การศึกษา เทคโนโลยี การเกษตร และอุตสาหกรรม

4. เสียดายโอกาสในการแก้ปัญหาความยากจนซึ่งคนไทยควรจะหายจนไปแล้ว

5. เสียดายโอกาสของคนไทยที่ทุกวันนี้มองไม่เห็นอนาคตตนเอง เพียงแค่หางานทำให้ได้เพื่ออยู่ไปวันๆ ทั้งๆที่รายได้ต่ำกว่าประเทศอื่นในระดับการพัฒนาเดียวกัน

6. เสียดายความเป็นศูนย์กลางการบินของสุวรรณภูมิ ทั้งๆที่ ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์เราควรจะเป็นศูนย์กลางของอาเซียน

7. เสียดายที่ลูกหลานต้องติดยาเสพติด ซึ่งตอนนี้ซื้อง่ายยิ่งกว่าหมากฝรั่ง

8. เสียดายที่น้ำท่วมซ้ำซากเพราะไม่ได้บริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ

9. เสียดายระบบราชการที่กำลังทันสมัยต้องกลับมาเป็นรัฐราชการที่ประชาชนต้องวิ่งวอนขอรับการบริการ

10.เสียดายที่ประเทศต้องเป็นหนี้เพิ่มจากการบริหารงานที่ผิดพลาดจนต้องขยายเพดานการกู้และหนี้สินภาคครัวเรือนของประชาชนสูงจนจะใช้คืนได้ยาก

#เขาว่าคนที่มาบริหารประเทศต้องหาตังค์เป็น ถ้าเป็นแต่ใช้ตังค์ ประเทศพังพินาศ

#เขาขอให้พี่น้องคนไทยช่วยกันสนับสนุนประชาธิปไตยอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง ต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบเพื่อประเทศไทยของเราและลูกหลานจะได้มองเห็นอนาคตและเลือกทางเดินชีวิตของตนเองได้

#จากใครไม่รู้ ที่ห่วงอนาคตประเทศ มอบความเสียดายโอกาส ให้ได้คิด ขอบคุณคนๆ นั้น ขอให้เขามีความสุข ได้บุญได้กุศลนะครับ

19 กันยายน 2565
398214.jpg (58.03 KiB) เข้าดูแล้ว 2675 ครั้ง
แก้ไขล่าสุดโดย Deang-sarapee เมื่อ 24 มี.ค. 2023, 13:42, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4378
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D อรุณสวัสดิ์ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพและญาติธรรมที่รักทุกท่าน ช่วงนี้แต่ละท่านแต่ละคนคงจะมีข่าวใหญ่ที่รอการพิสูจน์แตกต่างกันไป สำหรับผม ผมมีข่าวใหญ่ที่จะนำเสนอในเช้าวันนี้คือ ข่าวที่ท่านอาจารย์เฉลิมชัย ฯ ประกาศแขวนนวมในการวาดภาพ

"อ.เฉลิมชัย ประกาศเลิกวาดภาพ หันไปขี่มอเตอร์ไซค์ท่องเที่ยวกับลูกศิษย์"

สำหรับผมแล้วผมคิดไว้นานมากแล้วว่าวันหนึ่งท่านอาจารย์น่าจะหยุด หยุดจริง ๆ เหตุที่ผมคิดเช่นนั้นเพราะผมทราบดีว่า ท่านอาจารย์เป็นนักปฏิบัติธรรมครับ ท่านรู้จักชีวิตและท่านรู้จักพอครับ :) :D

:o :o "อ.เฉลิมชัย" ประกาศหยุดวาดภาพ ขอขี่รถเที่ยวก่อนตาย :shock: :shock:

:) :D อาจารย์เฉลิมชัย บอกว่า ตอนนี้มีหน้าที่เหลืออย่างเดียวคือ ท่องเที่ยวเพื่อหาความสุข และได้บอกลูกบอกเมียว่า พอแล้ว ลูกก็ให้หากินเองละกัน พ่อไม่เติมเงินให้แล้ว ทุกคนต้องหาเงินเอง ชีวิตของแต่ละคนต้องแสวงหาความสุขของตัวเอง เป็นความปรารถนาตั้งแต่ยังเด็กว่า หากตนเองมีอายุถึง 65 ปี และยังมีชีวิตอยู่ก็จะท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ อย่างเดียว เพื่อพักผ่อนตามที่ตัวเองชอบ ซึ่งก็คือการขี่มอเตอร์ไซค์ท่องเที่ยวพร้อมกับลูกศิษย์ที่ชื่นชอบการขับขี่ด้วยกัน แล้วจากนั้นก็ป่วยตายไป เพราะไม่มีอะไรอีกแล้ว ชีวิตออกกำลังกายให้แข็งแรงเพื่อจะได้ขับขี่ และนั่งสมาธิภาวนาเพื่อให้จิตใจยอมรับกับทุกเรื่อง และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าก็คือ ความตาย ส่วนวาดรูปก็วาดเล่นๆ เพลินๆ เท่านั้น :) :D
ไฟล์แนบ
744101.jpg
744101.jpg (127.86 KiB) เข้าดูแล้ว 2568 ครั้ง
##มารไม่มีบารมีไม่เกิด<br /><br />มาร 8 ตัว ที่เราต้องเจอเพื่อทดสอบบารมี  <br />    <br />ในชีวิตคนเรานั้นมารมาในรูปแบบต่างๆ เพื่อทดสอบว่า เราเป็นผู้มีบุญบารมีระดับใด พึงสังเกตุระวังมาร 8 ตัวนี้ให้ดี<br />     <br />1. มาร มาช่วยเสริมสร้างบุญบารมีหากเราคิดเป็น มีธรรมในใจจริง<br />     <br />2. มาร เข้ามาในชีวิต เพื่อให้เรารู้ว่า กฏแห่งกรรมมีจริง ผลแห่งกรรมมีจริง<br />     <br />3. มาร มาในรูปแบบคู่ชีวิต เจ้ากรรมนายเวรมีแต่เรื่องปวดหัว เรื่องร้อนในใจ เข้ามาเพื่อให้เรารู้สึกตัว รู้จักที่จะฝึกจิตให้อดทน รู้จักยับยั้งชั่งใจไม่กระทำบาปกรรมตอบสนอง รู้ดีรู้ชั่ว ไม่สร้างเวรกรรมใหม่ผูกพันกันหนักขึ้นไปอีก<br />     <br />4. มาร มาในรูปแบบเพื่อนรอบตัวไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ที่ทำงาน เพื่อนบ้าน เพื่อนเก่า เพื่อนใหม่ เข้ามาทดสอบจริยธรรม คุณธรรมของเราว่าเราอยู่ในระดับไหน เข้ามาเพื่อให้เราได้เห็นทางสว่างขึ้น พัฒนาตนเองให้ดีขึ้น เข้าใจโลกและธรรมมากขึ้น<br />     <br />5. มาร มาในรูปแบบเงินทั้งการอัตคัดขัดสน เพื่อให้เราจักความจริงแท้ของธรรมชาติ ได้รู้จักตน รู้จักพอประมาณ รู้จักใช้ชีวิตที่พอเพียง ไม่ประมาท เกิดปัญญาในการมีชีวิตโดยไม่เอาเงินเป็นที่ตั้งก็มีความสุขได้<br />     <br />6. มาร มาในรูปแบบเงินมากมายที่ยั่วยวนให้เราหลงใหล มาทดสอบกิเลสว่า ทดสอบคุณธรรมว่าเราดีจริงหรือไม่<br />     <br />7. มาร มาในรูปแบบปัญหาในเนื้องานที่เราทำ ทำให้เราตื่น ที่ต้องแสวงหาปัญญาในทางแก้ไข ทำให้เรารู้ว่าปัญญาของเราอยู่ในระดับไหน ต้องเสริมเพิ่มเติมอย่างไร<br />     <br />8. มาร มาในรูปแบบการขัดขวางการสร้างบุญ ทำให้เรารู้คุณค่าของบุญ ที่แท้จริง มาเสริมให้เรามีจิตใจ มีศรัทธา ไม่ย่อท้อในการสร้างบุญบารมีมากขึ้น<br />     <br />ขอให้พิจารณามารในความเป็นจริงในแง่มุมที่เกิดผล ขอบุญบารมีจงบังเกิดแก่ท่านทุกคน<br /><br />#ครูบาเจ้าศรีวิชัย
##มารไม่มีบารมีไม่เกิด

มาร 8 ตัว ที่เราต้องเจอเพื่อทดสอบบารมี

ในชีวิตคนเรานั้นมารมาในรูปแบบต่างๆ เพื่อทดสอบว่า เราเป็นผู้มีบุญบารมีระดับใด พึงสังเกตุระวังมาร 8 ตัวนี้ให้ดี

1. มาร มาช่วยเสริมสร้างบุญบารมีหากเราคิดเป็น มีธรรมในใจจริง

2. มาร เข้ามาในชีวิต เพื่อให้เรารู้ว่า กฏแห่งกรรมมีจริง ผลแห่งกรรมมีจริง

3. มาร มาในรูปแบบคู่ชีวิต เจ้ากรรมนายเวรมีแต่เรื่องปวดหัว เรื่องร้อนในใจ เข้ามาเพื่อให้เรารู้สึกตัว รู้จักที่จะฝึกจิตให้อดทน รู้จักยับยั้งชั่งใจไม่กระทำบาปกรรมตอบสนอง รู้ดีรู้ชั่ว ไม่สร้างเวรกรรมใหม่ผูกพันกันหนักขึ้นไปอีก

4. มาร มาในรูปแบบเพื่อนรอบตัวไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ที่ทำงาน เพื่อนบ้าน เพื่อนเก่า เพื่อนใหม่ เข้ามาทดสอบจริยธรรม คุณธรรมของเราว่าเราอยู่ในระดับไหน เข้ามาเพื่อให้เราได้เห็นทางสว่างขึ้น พัฒนาตนเองให้ดีขึ้น เข้าใจโลกและธรรมมากขึ้น

5. มาร มาในรูปแบบเงินทั้งการอัตคัดขัดสน เพื่อให้เราจักความจริงแท้ของธรรมชาติ ได้รู้จักตน รู้จักพอประมาณ รู้จักใช้ชีวิตที่พอเพียง ไม่ประมาท เกิดปัญญาในการมีชีวิตโดยไม่เอาเงินเป็นที่ตั้งก็มีความสุขได้

6. มาร มาในรูปแบบเงินมากมายที่ยั่วยวนให้เราหลงใหล มาทดสอบกิเลสว่า ทดสอบคุณธรรมว่าเราดีจริงหรือไม่

7. มาร มาในรูปแบบปัญหาในเนื้องานที่เราทำ ทำให้เราตื่น ที่ต้องแสวงหาปัญญาในทางแก้ไข ทำให้เรารู้ว่าปัญญาของเราอยู่ในระดับไหน ต้องเสริมเพิ่มเติมอย่างไร

8. มาร มาในรูปแบบการขัดขวางการสร้างบุญ ทำให้เรารู้คุณค่าของบุญ ที่แท้จริง มาเสริมให้เรามีจิตใจ มีศรัทธา ไม่ย่อท้อในการสร้างบุญบารมีมากขึ้น

ขอให้พิจารณามารในความเป็นจริงในแง่มุมที่เกิดผล ขอบุญบารมีจงบังเกิดแก่ท่านทุกคน

#ครูบาเจ้าศรีวิชัย
1584.jpg (25.15 KiB) เข้าดูแล้ว 2568 ครั้ง
แสงสีเสียงแสดงเจดีย์เต็มองค์ของวัดเจดีย์หลวงเชียงใหม่ ใครไปใครมาเชียงใหม่ไม่ลืมที่จะไปกราบนมัสการองค์พระเจดีย์ยอดด้วน ที่วัดเจดีย์หลวง วัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่อีกวัดหนึ่ง <br /><br />เดี๋ยวนี้เทคโนโยีทันสมัย เราสามารถที่จะจินตนาการให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ ในภาพเป็นภาพการต่อยอดเจดีย์ให้เต็มองค์ เป็นบุญตานะครับ
แสงสีเสียงแสดงเจดีย์เต็มองค์ของวัดเจดีย์หลวงเชียงใหม่ ใครไปใครมาเชียงใหม่ไม่ลืมที่จะไปกราบนมัสการองค์พระเจดีย์ยอดด้วน ที่วัดเจดีย์หลวง วัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่อีกวัดหนึ่ง

เดี๋ยวนี้เทคโนโยีทันสมัย เราสามารถที่จะจินตนาการให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ ในภาพเป็นภาพการต่อยอดเจดีย์ให้เต็มองค์ เป็นบุญตานะครับ
117147.jpg (100.58 KiB) เข้าดูแล้ว 2568 ครั้ง
ไปเที่ยวชมอ่างเก็บน้ำกันต่อครับ เราพากันมายืนอยู่บนสันเขื่อนซึ่งมองไปรอบ ๆ อ่างจะเห็นวิวทิวทัศน์สวยงามมาก ๆ ทางสันเขื่อนนี้เป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่ชาวบ้านใช้เป็นทางลัดตัดไปสู่ถนนใหญ่ ที่รถ ๔ ล้อใช้สัญจรไปมา เข้า - ออก เขื่อน ช่วงขามาเราเลือกไปตามทางรถ ผล เหนื่อยสุด ๆ สูง-ชัน เอาเรื่อง ส่วนเส้นทางสันเขื่อนสู่ถนนใหญ่ ลัดสั้น แป๊บเดียว ๕๕๕ กำไร มาเที่ยวเดียวเก็บรายละเอียดได้หมด
ไปเที่ยวชมอ่างเก็บน้ำกันต่อครับ เราพากันมายืนอยู่บนสันเขื่อนซึ่งมองไปรอบ ๆ อ่างจะเห็นวิวทิวทัศน์สวยงามมาก ๆ ทางสันเขื่อนนี้เป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่ชาวบ้านใช้เป็นทางลัดตัดไปสู่ถนนใหญ่ ที่รถ ๔ ล้อใช้สัญจรไปมา เข้า - ออก เขื่อน ช่วงขามาเราเลือกไปตามทางรถ ผล เหนื่อยสุด ๆ สูง-ชัน เอาเรื่อง ส่วนเส้นทางสันเขื่อนสู่ถนนใหญ่ ลัดสั้น แป๊บเดียว ๕๕๕ กำไร มาเที่ยวเดียวเก็บรายละเอียดได้หมด
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (66).JPG (110.54 KiB) เข้าดูแล้ว 2568 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (67).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (67).JPG (102.59 KiB) เข้าดูแล้ว 2568 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (68).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (68).JPG (73.73 KiB) เข้าดูแล้ว 2568 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (70).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (70).JPG (90.94 KiB) เข้าดูแล้ว 2568 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (71).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (71).JPG (102.38 KiB) เข้าดูแล้ว 2568 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (72).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (72).JPG (102.9 KiB) เข้าดูแล้ว 2568 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (73).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (73).JPG (54.84 KiB) เข้าดูแล้ว 2568 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (74).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (74).JPG (62.38 KiB) เข้าดูแล้ว 2568 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (76).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (76).JPG (118.91 KiB) เข้าดูแล้ว 2568 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (77).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (77).JPG (110.17 KiB) เข้าดูแล้ว 2568 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (78).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (78).JPG (123.55 KiB) เข้าดูแล้ว 2568 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (81).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (81).JPG (142.08 KiB) เข้าดูแล้ว 2568 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (83).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (83).JPG (143.16 KiB) เข้าดูแล้ว 2568 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (84).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (84).JPG (128.44 KiB) เข้าดูแล้ว 2568 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (85).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (85).JPG (84.95 KiB) เข้าดูแล้ว 2568 ครั้ง
เราสองคนออกจากอ่างเก็บน้ำกลับทางเดิมที่มา ช่วงมาผมสังเกตุมีวัดป่าอยู่ข้างทางอยู่วัดหนึ่ง พูดถึงวัดป่าไม่ต้องสงสัย วัดจะร่มรื่นน่าอยู่ น่าไปปฏิบัติธรรมมาก ๆ ผมคิดในใจไว้แล้วขากลับจะแวะทีวัดนี้และอาจจะได้มานั่งเปิบข้าวด้วยก็เป็นได้ <br /><br />เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ช่วงที่อยู่บนเนินอ่างคุณนายชวนทานข้าว ผมก็บอกความจริงที่ตั้งใจไว้ คุณนายก็ตอบตกลง เป็นอันว่าเราจะไปกินข้าวกันที่วัดครับ
เราสองคนออกจากอ่างเก็บน้ำกลับทางเดิมที่มา ช่วงมาผมสังเกตุมีวัดป่าอยู่ข้างทางอยู่วัดหนึ่ง พูดถึงวัดป่าไม่ต้องสงสัย วัดจะร่มรื่นน่าอยู่ น่าไปปฏิบัติธรรมมาก ๆ ผมคิดในใจไว้แล้วขากลับจะแวะทีวัดนี้และอาจจะได้มานั่งเปิบข้าวด้วยก็เป็นได้

เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ช่วงที่อยู่บนเนินอ่างคุณนายชวนทานข้าว ผมก็บอกความจริงที่ตั้งใจไว้ คุณนายก็ตอบตกลง เป็นอันว่าเราจะไปกินข้าวกันที่วัดครับ
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (88).JPG (117.63 KiB) เข้าดูแล้ว 2568 ครั้ง
มาติดตามครู ตชด.รุ่น ๒/๑๓ ที่หลังจากฝึกจบถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่กันต่อครับ<br /><br /><br />ตอนที่ ๒<br /><br />ผมถามพี่ ตำรวจว่าพี่กลับมานอนตอนไหน พี่ตำรวจตอบว่ากลับนอนตอนดึกเห็นผมนอนอยู่<br /><br />          		รุ่งเช้าประมาณ ๐๙. ๑๐ นาฬิกา ผู้บังคับกองร้อยเรียกผมไปพบ สอบถามว่ากลางคืนนอนหลับสบายดีหรือ มีผ้าห่มและเครื่องนอนไหม ผมตอบว่าเครื่องนอนผมเตรียมมาด้วยนอนหลับสบายดี ผู้บังคับกองร้อยบอก ว่าวันนี้ให้นอนที่กองร้อยอีกหนึ่งคืน เช้าพรุ่งนี้จะให้ชุดลาดตระเวนนำไปส่งที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชาย บำรุงที่ ๙๓ บ้านจะนะ  และผู้บังคับกองร้อยได้เรียกหัวหน้าชุดลาดตระเวนว่าพรุ่งนี้ให้พาครูไปที่บ้านจะนะ เพื่อจะไปสอนที่โรงเรียน จากนั้นผมกับหัวหน้าชุดลาดตระเวนชายแดนได้นัดหมาย ว่าพรุ่งนี้เช้าหัวหน้าชุดลาดตระเวนกับพวกจะมาหาผมที่อาคารกองร้อย จากนั้นได้แยกย้ายไป ผมก็ออกจากกองร้อยเดินไปตลาดตอนเช้า ซึ่งอยู่ไม่ไกลกองร้อยได้หาซื้ออาหารกินและหาอาหารแห้งบางอย่างเก็บไว้เอาไว้กินตอนเย็น เพราะตอนเย็นจะหากินอาหารยาก ผมเดินหาพี่ตำรวจที่นอนในอาคารเดียวกับผมก็ไม่พบ  ผมสอบถามพี่ที่ทำงานอยู่ในกองร้อย ก็บอกว่าพี่ที่นอนด้วยนั้นเป็นชุดลาดตระเวน ออกหาข่าวบางครั้งก็กลับมานอนที่อาคารกองร้อย บางครั้งก็หายไปหลายวันจึงจะกลับมานอนที่อาคารกองร้อย<br /><br />        		ผมใช้เวลาที่เหลือสำรวจรอบอาคารกองร้อย  เห็นมีบ้านพักตำรวจเป็นหลัง ปลูกเป็นแถวอยู่หลังกองร้อย ด้านหน้าบ้านพักมีลำธารเล็ก ๆ ไหลผ่าน น้ำไหลมาจากบนดอย น้ำใส ๆ  ผมใช้ลำธารนี้เป็นที่อาบน้ำ และทำภารกิจส่วนตัว ผมพยายามรีบทำภารกิจส่วนตัวให้เสร็จสิ้นก่อนที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า<br /><br />          		เมื่อพระอาทิตย์ลับจากขอบฟ้าความมืดเข้าแทนที่ ผมรีบกางมุ้งทำที่นอน โดยผมนอนอยู่ที่เดิม ผมระวังตัวมากกว่าวันแรก อุปกรณ์ทุกอย่างพร้อม ไฟฉาย เทียนไข ไม้ขีดและอาวุธปืน ผมนอนอยู่ในมุ้งนอน เสียงยุงตัวร้ายบินเวียนวนอยู่รอบมุ้ง ผมจุดเทียนไขที่เตรียมมาด้วย โดยตั้งใจว่าถ้าเทียนไขที่จุดไว้หมดเชื้อ ผมจึงจะหลับ ผมนอนเล่นอยู่ในมุ้ง นอนรอเวลาที่เทียนไขจะหมดเชื้อ จนกระทั่งเทียนไขใกล้จะหมด ผมมองดูแสงเทียนไข ถ้าเทียนไขหมดเชื้อแสงไฟจากเทียนดับ ผมจะนอนหลับเอาแรงไว้เดินทางไปโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน บำรุงที่ ๙๓ บ้านจะนะ ในวันพรุ่งนี้<br /><br />ขณะที่เทียนไขใกล้จะดับ ผมได้ยินเสียงคนเดิน โดยเสียง เดินนั้นมุ่งตรงมายังที่ผมนอนอยู่ ผมพยายามตั้งสติหยิบปืนที่วางไว้ข้างตัวมาถือไว้  โดยพร้อมจะยิงทันที เมื่อเกิดเหตุขึ้น เสียงเดินเข้ามาใกล้ที่ผมนอน ผมมองไปทางเสียงเดินนั้น เห็นเป็นเงาเคลื่อนไหวมายังที่ผมนอนอยู่ แสงเทียนไขเหลือเพียงแสงริบหรี่ มองเงาที่เดินมาหาผมก็ไม่ชัดเจนเท่าใด ก่อนที่ผมจะลงมือทำอะไรลงไป ก็มีเสียงดังมาจากเงาดำดังกว่า &quot; นอนหรือยัง &quot; ผมได้ยินเสียงดังกล่าว ผมได้ลดแนวปืนลง เพราะเสียงนั้นผมจำได้ว่าเป็นพี่ตำรวจที่นอนข้างผม <br /><br />ความรู้สึกผมตอนนั้นรู้สึกดีใจอย่างสุดซึ้ง ผมก็ตอบไปว่า &quot; เกือบจะนอนอยู่แล้วครับพี่ &quot; จากนั้นผมเห็นพี่ตำรวจจุดเทียน เมื่อมีแสงสว่างเกิดขึ้นก็เห็นพี่ตำรวจ ชัดเจน พี่ตำรวจถามว่ากินข้าวเย็นหรือยัง ผมตอบว่ากินแล้วพี่ พี่ตำรวจพูดว่า &quot; นอนเสียน้อง &quot; พรุ่งเช้าจะเดินทางไกลไปโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน บำรุงที่ ๙๓ บ้านจะนะ  ผมรีบถามสอดว่า พี่จะไปส่งผมหรือเปล่า พี่ตำรวจตอบว่าหัวหน้าชุดลาดตระเวนมีคำสั่งให้พี่และชุดลาดตระเวนไปส่งน้องไปโรงเรียน ตำรวจตระเวนชายแดน บำรุงที่ ๙๓ บ้านจะนะ <br /><br />จากนั้นพี่ตำรวจบอกว่าไปอาบน้ำก่อนและรีบเข้านอน ให้ผมนอนก่อนให้พักผ่อนมาก ๆ เพราะระยะทางมันไกล ผมรู้สึกมีขวัญกำลังใจขึ้นอีกมาก ความหวาดระแวงก็หายไปหมด ผมพยายาม    ตั้งสติและข่มใจให้นอนหลับ เมื่อพี่ตำรวจทำภารกิจเสร็จพี่ได้เข้านอนและดับเทียนไข จากนั้นความมืดก็กลับมายังบริเวณดังกล่าวอีกครั้ง ผมพยายามหลับประกอบกับความเงียบจึงทำให้ผมหลับโดยไม่รู้สึกความกลัวอีก<br /><br />ผมมาสะดุ้งตัวตื่นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียง  พี่ตำรวจเรียกว่าน้องตื่นรีบไปทำภารกิจเสีย ขณะนั้นท้องฟ้าเริ่มมีแสงสว่างของดวงอาทิตย์ ผมรีบทำภารกิจ เก็บอุปกรณ์ทุกอย่างลงเป้สนาม เตรียมเดินทางขึ้นไปโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน บำรุงที่ ๙๓ บ้านจะนะ ผมดูนาฬิกาข้อมือบอกเวลา ๖ โมง เวลาประมาณ ๐๖.๓๐ น.  มีรถยนต์จิ๊ฟขับมายังกองร้อย บนรถยนต์คันดังกล่าวมีพี่ตำรวจ ๒ คน จากนั้นผมกับพี่ตำรวจได้ขึ้นรถยนต์คันดังกล่าวได้แล่นไปยัง ตำบลแม่สาว กิ่งอำเภอแม่อาย เมื่อจุดหมายรถยนต์หยุดให้ผมพร้อมกับพี่ตำรวจ จำนวน ๒ คน ลงจากรถยนต์ เลี้ยวกลับกองร้อย พี่ตำรวจทั้ง ๒ คนพาผมเดินไปยังบ้านหลังหนึ่งอยู่ริมแม่น้ำแม่สาว พบผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน    ซึ่งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านพร้อมกับลูกบ้านประมาณ ๓  คนรอรับอยู่หน้าบ้าน จากนั้นพี่ตำรวจได้แนะนำตัวผมว่าเป็นครูสอนโรงเรียนคนใหม่ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก็ได้แนะนำตัวพร้อมกับผู้ช่วยคนอื่นอีก ๓ คน <br /><br />ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้ชี้ไปที่มุมบ้านคืออุปกรณ์สอนที่จะนำขึ้นไปที่โรงเรียน ฯ โดยผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านจะดำเนินการขนส่งขึ้นไปที่โรงเรียน จากนั้นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้พาผมกับพี่ตำรวจไปกินข้าวพร้อมกัน เมื่อเสร็จกินข้าวแล้วทุกคนพร้อมจะเดินทาง เมื่อพร้อมแล้วปรากฏว่าผู้เดินมี ๓ คน คือ ผม พี่ตำรวจ ๒ คน รวมแล้วก็มี ๓ คน ก่อนจะเริ่มเดินทางผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้ห่อข้าวเหนียวพร้อมกับเนื้อหมูย่าง ๒ ชิ้นให้ผมบอกว่าเอากินตอนเที่ยงวัน ผมขอบคุณผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านที่มีจิตใจเอื้ออารี จากนั้นพี่ชุดลาดตระเวนบอกได้เวลาแล้วรีบออกเดินทาง จากนั้นพี่ตำรวจได้เดินนำหน้า ๑ คน ผมเดินคนที่ ๒ คนที่ ๓ พี่ตำรวจเดินปิดท้าย ผมดูนาฬิกาข้อมือเป็นเวลา ๐๗. ๓๐ น.ได้เดินไปยังหมายทางที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชาย บำรุงที่ ๙๓ บ้านจะนะ กิ่งอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่<br />                  	<br />ครูคนแรกโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน บำรุงที่ ๙๓ บ้านจะนะ เริ่มออกเดินทางผ่านหมู่บ้าน เสียงสุนัขเห่าต้อนรับตลอดทางเดิน เดินผ่านหมู่บ้านที่ ๑ ที่ ๒ แล้วเริ่มเดินห่างจากหมู่ออกไป ตอนแรก ๆ จะพบชาวบ้านเดินสวนทางตลอดเดินทางระยะแรก ชาวบ้านได้ทักทายไปตลอดที่เดินผ่านหมู่ เมื่อเดินห่างหมู่บ้านผ่านทุ่งนา ผ่านไร่ข้าวโพด มุ่งหน้าเดินไปทางภูเขาซึ่งปรากฎอยู่ข้างหน้า พี่ตำรวจที่เดินไปข้างหน้าชี้ให้ผมดูว่าภูเขาข้างหน้าจะเห็นหมู่บ้าน ซึ่งเห็นหมู่บ้านเล็ก ๆ อยู่บนภูเขา ผมนึกในใจว่ามันไม่ไกลนัก ยังมองเห็นหมู่บ้าน ประมาณในใจว่าคงเดินแค่ ๓ ชั่วโมง คงจะถึง ผมนึกให้กำลังใจตัวเองว่าคงเดินทางสบาย ๆ ดี <br /><br />         		ระยะทางเริ่มห่างจากหมู่บ้าน ไม่ค่อยจะพบชาวบ้าน นาน ๆ ทีจะพบชาวบ้านเพียง ๑ คน หรือ ๒ คน เส้นทางเดินเริ่มเดินลัดเลาะเดินตามแม่น้ำ ทางเดินเริ่มคับแคบลง ต้องข้ามท่าของแม่น้ำพี่ตำรวจที่เดินนำทางบอกกับผมว่าเราต้องเดินข้ามแม่น้ำนี้ประมาณ ๓๐ ท่า ตอนเริ่มเดินออกผมจะเดินตามรอยเท้าพี่ตำรวจคนนำทางตลอด พี่หัวเราะและพูดว่าแหมเดินตามยุทธวิธีเลยนะน้อง ผมนึกหัวเราะอยู่ในใจ และพูดกับตัวเองว่าถูกต้องตามที่เรียนมา ผมกับพี่ตำรวจเดินมาประมาณ ๑ ชั่วโมง พี่ตำรวจที่นำทางบอกหยุดพัก ๕ นาที ขณะที่หยุดพักผมมองหาจุดสังเกตเพื่อทำเครื่องหมายไว้เพื่อวันหลังต้องเดินกลับกองร้อย <br />          		<br />เมื่อทุกคนหายเหนื่อยพี่ตำรวจที่ปิดท้ายกลับมาเดินนำทาง พี่ตำรวจที่เดินนำทางตอนแรกกลับมาเดินปิดท้าย ผมเดินคนที่ ๒ เหมือนเดิม เมื่อออกเดินไปตามทางเล็ก ระยะต่อจากนี้เริ่มเดินขึ้นภูเขา เดินขึ้นภูเขาไปเรื่อย ๆ ลัดผ่านไม้ไผ่ซึ่งจะมีช่องเล็ก ๆ พอเดินผ่านได้ การเดินขึ้นภูเขาจะเดินขึ้นตลอดมองไปด้านหลังเห็นช่องเหวที่ดินผ่านมา ผมพยายามเดินตามพี่ตำรวจที่นำทางไปติด ๆ โดยทิ้งระยะพอประมาณ ผมนึกอยู่ในใจว่าระยะทางเดินภูเขามานี้มันใช่เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมงกว่า เห็นจะได้ เมื่อเดินถึงยอดภูเขาเริ่มเดินลงตามทางแคบ ๆ เล็ก ๆ การเดินลงต้องระวังตัวกว่าตอนเดินขึ้นถ้าหกล้มมีหวังลงไปก้นเหว พี่ตำรวจนำทางได้ตัดไม้ไผ่ขนาดย่อม ๆให้ผมและบอกว่าเอาใช้ยันตัวเองเพื่อไม่ให้ตัวล้ม <br /><br />       		เมื่อเดินลงภูเขาได้ก็พบกับลำธารเล็ก ๆ ที่ไหลลงมาบนภูเขา และท่อน้ำทำด้วยลำไม้ไผ่เพื่อให้ผู้ที่เดินได้หยุดพักจะได้ล้างล้างตา ซึ่งจุดนี้ชาวบ้านใช้เป็นที่พัก พี่ตำรวจบอกว่าเราจะพักจุดนี้ประมาณ ๕ นาที ทุกคนต่างใช้น้ำที่ไหลมาตามท่อไม้ไผ่ล้างหน้าล้างตา ทำให้สดชื่น ขณะที่พักผมถามพี่ตำรวจนำทางว่าพี่ระยะทางเดินไปอีกกี่ชั่วโมพี่ตำรวจตอบว่าเราเดินมาถึงจุดที่นั่งพักนี้ได้ประมาณ ๑ ส่วน เหลืออีกประมาณ ๓ ส่วนจะถึงหมู่บ้าน ผมแอบถอดหายใจ ผมดูนาฬิกาข้อมือ ๑๐.๓๐ นาที เป้หลังผมเริ่มมีน้ำหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ รองเท้ายังจะหนักมากกว่าเดิม ผมสังเกตพี่ตำรวจทั้ง ๒ คน พี่แกไม่มีเป้ สวมชุดสีเขียวชุดของตำรวจตระเวนชาย มีกระติกน้ำ  ๑ ใบที่เอวมีผ้าขาวม้าห่อข้าว สวมรองเท้าผ้าใบ และมีอาวุธปืนพร้อมกระสุนจำนวน ๑ แม็กกาซิน พอได้เวลาพี่ตำรวจคนเดิมเดินนำทางไป <br /><br />ตอนเริ่มก็เดินขึ้นภูขาอีกลูกหนึ่งผมเดินตาม มองดูภูเขาลูกที่จะเดินขึ้นนี้มันสูงกว่าภูเขาลูกเดิม การเดินของผมชักช้าลงพี่ตำรวจที่นำทางเดินห่างจากผมห่างไปห่างไป บางครั้งพี่ตำรวจที่นำทางจะหยุดรอผม เมื่อผมเดินใกล้จะถึงพี่ตำรวจ พี่แกก็เดินต่อไปอีก ผมนึกในใจว่าตอนแรกเริ่มเดินเห็นหมู่บ้านอยู่ ตอนนี้มองไม่เห็นหมู่บ้านเลยเห็นแต่ยอดภูเขาเห็นแต่ป่าไม้ ผมเดินไปหยุดไปเอาน้ำในกระดิกดื่มกิน จำเป็นต้องเดินต่อไป นึกอยู่ในใจว่าครั้งแรกมองเห็นแต่เดี่ยวนี้ไม่เห็น นึกถึงที่เพื่อนเคยพูดว่า   &quot;ใกล้ตาไกลตีน &quot; ผมแข็งใจเดินตามพี่ตำรวจที่นำทางขึ้นภูเขาขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงยอดภูเขา พี่ตำรวจแกให้พักพอหายเหนื่อย จากนั้นเดินลงภูเขาลัดลงตามช่องทางเล็ก ๆคับ ๆ เดินจนถึงที่ราบระหว่างภูเขา มีลมเย็น ๆ พัดทำให้รู้สึกสดชื่นพี่ตำรวจที่นำทางบอกว่าเราจะหยุดพักสัก ๕ นาที ผมอยากที่ยินคำนี้เพราะอยากพักผมจะบอกให้พี่ตำรวจก็กลัวเสียเหลี่ยม กลัวเขาว่ายังหนุ่มอยู่ต้องแข็งแรง<br /><br />          เมื่อได้เวลาพี่ตำรวจคนเดิมก็เป็นเดินนำทางอีก เดินทางราบได้สักพักก็เป็นเดินขึ้นภูเขาอีกแล้ว พี่ตำรวจที่นำทางบอกผมว่าถ้าเราเดินพ้นภูเขาลูกนี้ เราจะพักกินข้าวที่ริมลำธาร  ผมเดินตามพี่ตำรวจนำทางไปห่าง ๆ เข้าใกล้บาง บางครั้งก็ทิ้งห่างระยะพี่แกก็เดินช้า ๆ พอผมเดินตามทัน บางครั้งผมเดินตามทันพี่แกก็เดินทิ้งห่างออกไปอีก ผมเดินตามพี่ตำรวจผมไม่ได้มองทิวทัศน์ที่เดินผ่านเพราะไม่แก่จิตใจมองธรรมชาติเพราะร่างเมื่อยหล้าเหนื่อยอ่อน ไม่เหมือนตอนแรกที่เดินทางมองดูทิวทัศน์อะไรก็สวยงามหมด แม้แต่เสียงน้ำไหลที่ลำธารยังดูเพลิดเพลิน แต่เดี๋ยวนี้กับตรงข้ามกัน มีความรู้สึกว่าถึงหมู่บ้านหรือยัง และพี่ตำรวจเขาจะบอกหยุดพักเมื่อไร
มาติดตามครู ตชด.รุ่น ๒/๑๓ ที่หลังจากฝึกจบถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่กันต่อครับ


ตอนที่ ๒

ผมถามพี่ ตำรวจว่าพี่กลับมานอนตอนไหน พี่ตำรวจตอบว่ากลับนอนตอนดึกเห็นผมนอนอยู่

รุ่งเช้าประมาณ ๐๙. ๑๐ นาฬิกา ผู้บังคับกองร้อยเรียกผมไปพบ สอบถามว่ากลางคืนนอนหลับสบายดีหรือ มีผ้าห่มและเครื่องนอนไหม ผมตอบว่าเครื่องนอนผมเตรียมมาด้วยนอนหลับสบายดี ผู้บังคับกองร้อยบอก ว่าวันนี้ให้นอนที่กองร้อยอีกหนึ่งคืน เช้าพรุ่งนี้จะให้ชุดลาดตระเวนนำไปส่งที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชาย บำรุงที่ ๙๓ บ้านจะนะ และผู้บังคับกองร้อยได้เรียกหัวหน้าชุดลาดตระเวนว่าพรุ่งนี้ให้พาครูไปที่บ้านจะนะ เพื่อจะไปสอนที่โรงเรียน จากนั้นผมกับหัวหน้าชุดลาดตระเวนชายแดนได้นัดหมาย ว่าพรุ่งนี้เช้าหัวหน้าชุดลาดตระเวนกับพวกจะมาหาผมที่อาคารกองร้อย จากนั้นได้แยกย้ายไป ผมก็ออกจากกองร้อยเดินไปตลาดตอนเช้า ซึ่งอยู่ไม่ไกลกองร้อยได้หาซื้ออาหารกินและหาอาหารแห้งบางอย่างเก็บไว้เอาไว้กินตอนเย็น เพราะตอนเย็นจะหากินอาหารยาก ผมเดินหาพี่ตำรวจที่นอนในอาคารเดียวกับผมก็ไม่พบ ผมสอบถามพี่ที่ทำงานอยู่ในกองร้อย ก็บอกว่าพี่ที่นอนด้วยนั้นเป็นชุดลาดตระเวน ออกหาข่าวบางครั้งก็กลับมานอนที่อาคารกองร้อย บางครั้งก็หายไปหลายวันจึงจะกลับมานอนที่อาคารกองร้อย

ผมใช้เวลาที่เหลือสำรวจรอบอาคารกองร้อย เห็นมีบ้านพักตำรวจเป็นหลัง ปลูกเป็นแถวอยู่หลังกองร้อย ด้านหน้าบ้านพักมีลำธารเล็ก ๆ ไหลผ่าน น้ำไหลมาจากบนดอย น้ำใส ๆ ผมใช้ลำธารนี้เป็นที่อาบน้ำ และทำภารกิจส่วนตัว ผมพยายามรีบทำภารกิจส่วนตัวให้เสร็จสิ้นก่อนที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า

เมื่อพระอาทิตย์ลับจากขอบฟ้าความมืดเข้าแทนที่ ผมรีบกางมุ้งทำที่นอน โดยผมนอนอยู่ที่เดิม ผมระวังตัวมากกว่าวันแรก อุปกรณ์ทุกอย่างพร้อม ไฟฉาย เทียนไข ไม้ขีดและอาวุธปืน ผมนอนอยู่ในมุ้งนอน เสียงยุงตัวร้ายบินเวียนวนอยู่รอบมุ้ง ผมจุดเทียนไขที่เตรียมมาด้วย โดยตั้งใจว่าถ้าเทียนไขที่จุดไว้หมดเชื้อ ผมจึงจะหลับ ผมนอนเล่นอยู่ในมุ้ง นอนรอเวลาที่เทียนไขจะหมดเชื้อ จนกระทั่งเทียนไขใกล้จะหมด ผมมองดูแสงเทียนไข ถ้าเทียนไขหมดเชื้อแสงไฟจากเทียนดับ ผมจะนอนหลับเอาแรงไว้เดินทางไปโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน บำรุงที่ ๙๓ บ้านจะนะ ในวันพรุ่งนี้

ขณะที่เทียนไขใกล้จะดับ ผมได้ยินเสียงคนเดิน โดยเสียง เดินนั้นมุ่งตรงมายังที่ผมนอนอยู่ ผมพยายามตั้งสติหยิบปืนที่วางไว้ข้างตัวมาถือไว้ โดยพร้อมจะยิงทันที เมื่อเกิดเหตุขึ้น เสียงเดินเข้ามาใกล้ที่ผมนอน ผมมองไปทางเสียงเดินนั้น เห็นเป็นเงาเคลื่อนไหวมายังที่ผมนอนอยู่ แสงเทียนไขเหลือเพียงแสงริบหรี่ มองเงาที่เดินมาหาผมก็ไม่ชัดเจนเท่าใด ก่อนที่ผมจะลงมือทำอะไรลงไป ก็มีเสียงดังมาจากเงาดำดังกว่า " นอนหรือยัง " ผมได้ยินเสียงดังกล่าว ผมได้ลดแนวปืนลง เพราะเสียงนั้นผมจำได้ว่าเป็นพี่ตำรวจที่นอนข้างผม

ความรู้สึกผมตอนนั้นรู้สึกดีใจอย่างสุดซึ้ง ผมก็ตอบไปว่า " เกือบจะนอนอยู่แล้วครับพี่ " จากนั้นผมเห็นพี่ตำรวจจุดเทียน เมื่อมีแสงสว่างเกิดขึ้นก็เห็นพี่ตำรวจ ชัดเจน พี่ตำรวจถามว่ากินข้าวเย็นหรือยัง ผมตอบว่ากินแล้วพี่ พี่ตำรวจพูดว่า " นอนเสียน้อง " พรุ่งเช้าจะเดินทางไกลไปโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน บำรุงที่ ๙๓ บ้านจะนะ ผมรีบถามสอดว่า พี่จะไปส่งผมหรือเปล่า พี่ตำรวจตอบว่าหัวหน้าชุดลาดตระเวนมีคำสั่งให้พี่และชุดลาดตระเวนไปส่งน้องไปโรงเรียน ตำรวจตระเวนชายแดน บำรุงที่ ๙๓ บ้านจะนะ

จากนั้นพี่ตำรวจบอกว่าไปอาบน้ำก่อนและรีบเข้านอน ให้ผมนอนก่อนให้พักผ่อนมาก ๆ เพราะระยะทางมันไกล ผมรู้สึกมีขวัญกำลังใจขึ้นอีกมาก ความหวาดระแวงก็หายไปหมด ผมพยายาม ตั้งสติและข่มใจให้นอนหลับ เมื่อพี่ตำรวจทำภารกิจเสร็จพี่ได้เข้านอนและดับเทียนไข จากนั้นความมืดก็กลับมายังบริเวณดังกล่าวอีกครั้ง ผมพยายามหลับประกอบกับความเงียบจึงทำให้ผมหลับโดยไม่รู้สึกความกลัวอีก

ผมมาสะดุ้งตัวตื่นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียง พี่ตำรวจเรียกว่าน้องตื่นรีบไปทำภารกิจเสีย ขณะนั้นท้องฟ้าเริ่มมีแสงสว่างของดวงอาทิตย์ ผมรีบทำภารกิจ เก็บอุปกรณ์ทุกอย่างลงเป้สนาม เตรียมเดินทางขึ้นไปโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน บำรุงที่ ๙๓ บ้านจะนะ ผมดูนาฬิกาข้อมือบอกเวลา ๖ โมง เวลาประมาณ ๐๖.๓๐ น. มีรถยนต์จิ๊ฟขับมายังกองร้อย บนรถยนต์คันดังกล่าวมีพี่ตำรวจ ๒ คน จากนั้นผมกับพี่ตำรวจได้ขึ้นรถยนต์คันดังกล่าวได้แล่นไปยัง ตำบลแม่สาว กิ่งอำเภอแม่อาย เมื่อจุดหมายรถยนต์หยุดให้ผมพร้อมกับพี่ตำรวจ จำนวน ๒ คน ลงจากรถยนต์ เลี้ยวกลับกองร้อย พี่ตำรวจทั้ง ๒ คนพาผมเดินไปยังบ้านหลังหนึ่งอยู่ริมแม่น้ำแม่สาว พบผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านพร้อมกับลูกบ้านประมาณ ๓ คนรอรับอยู่หน้าบ้าน จากนั้นพี่ตำรวจได้แนะนำตัวผมว่าเป็นครูสอนโรงเรียนคนใหม่ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก็ได้แนะนำตัวพร้อมกับผู้ช่วยคนอื่นอีก ๓ คน

ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้ชี้ไปที่มุมบ้านคืออุปกรณ์สอนที่จะนำขึ้นไปที่โรงเรียน ฯ โดยผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านจะดำเนินการขนส่งขึ้นไปที่โรงเรียน จากนั้นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้พาผมกับพี่ตำรวจไปกินข้าวพร้อมกัน เมื่อเสร็จกินข้าวแล้วทุกคนพร้อมจะเดินทาง เมื่อพร้อมแล้วปรากฏว่าผู้เดินมี ๓ คน คือ ผม พี่ตำรวจ ๒ คน รวมแล้วก็มี ๓ คน ก่อนจะเริ่มเดินทางผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้ห่อข้าวเหนียวพร้อมกับเนื้อหมูย่าง ๒ ชิ้นให้ผมบอกว่าเอากินตอนเที่ยงวัน ผมขอบคุณผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านที่มีจิตใจเอื้ออารี จากนั้นพี่ชุดลาดตระเวนบอกได้เวลาแล้วรีบออกเดินทาง จากนั้นพี่ตำรวจได้เดินนำหน้า ๑ คน ผมเดินคนที่ ๒ คนที่ ๓ พี่ตำรวจเดินปิดท้าย ผมดูนาฬิกาข้อมือเป็นเวลา ๐๗. ๓๐ น.ได้เดินไปยังหมายทางที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชาย บำรุงที่ ๙๓ บ้านจะนะ กิ่งอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่

ครูคนแรกโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน บำรุงที่ ๙๓ บ้านจะนะ เริ่มออกเดินทางผ่านหมู่บ้าน เสียงสุนัขเห่าต้อนรับตลอดทางเดิน เดินผ่านหมู่บ้านที่ ๑ ที่ ๒ แล้วเริ่มเดินห่างจากหมู่ออกไป ตอนแรก ๆ จะพบชาวบ้านเดินสวนทางตลอดเดินทางระยะแรก ชาวบ้านได้ทักทายไปตลอดที่เดินผ่านหมู่ เมื่อเดินห่างหมู่บ้านผ่านทุ่งนา ผ่านไร่ข้าวโพด มุ่งหน้าเดินไปทางภูเขาซึ่งปรากฎอยู่ข้างหน้า พี่ตำรวจที่เดินไปข้างหน้าชี้ให้ผมดูว่าภูเขาข้างหน้าจะเห็นหมู่บ้าน ซึ่งเห็นหมู่บ้านเล็ก ๆ อยู่บนภูเขา ผมนึกในใจว่ามันไม่ไกลนัก ยังมองเห็นหมู่บ้าน ประมาณในใจว่าคงเดินแค่ ๓ ชั่วโมง คงจะถึง ผมนึกให้กำลังใจตัวเองว่าคงเดินทางสบาย ๆ ดี

ระยะทางเริ่มห่างจากหมู่บ้าน ไม่ค่อยจะพบชาวบ้าน นาน ๆ ทีจะพบชาวบ้านเพียง ๑ คน หรือ ๒ คน เส้นทางเดินเริ่มเดินลัดเลาะเดินตามแม่น้ำ ทางเดินเริ่มคับแคบลง ต้องข้ามท่าของแม่น้ำพี่ตำรวจที่เดินนำทางบอกกับผมว่าเราต้องเดินข้ามแม่น้ำนี้ประมาณ ๓๐ ท่า ตอนเริ่มเดินออกผมจะเดินตามรอยเท้าพี่ตำรวจคนนำทางตลอด พี่หัวเราะและพูดว่าแหมเดินตามยุทธวิธีเลยนะน้อง ผมนึกหัวเราะอยู่ในใจ และพูดกับตัวเองว่าถูกต้องตามที่เรียนมา ผมกับพี่ตำรวจเดินมาประมาณ ๑ ชั่วโมง พี่ตำรวจที่นำทางบอกหยุดพัก ๕ นาที ขณะที่หยุดพักผมมองหาจุดสังเกตเพื่อทำเครื่องหมายไว้เพื่อวันหลังต้องเดินกลับกองร้อย

เมื่อทุกคนหายเหนื่อยพี่ตำรวจที่ปิดท้ายกลับมาเดินนำทาง พี่ตำรวจที่เดินนำทางตอนแรกกลับมาเดินปิดท้าย ผมเดินคนที่ ๒ เหมือนเดิม เมื่อออกเดินไปตามทางเล็ก ระยะต่อจากนี้เริ่มเดินขึ้นภูเขา เดินขึ้นภูเขาไปเรื่อย ๆ ลัดผ่านไม้ไผ่ซึ่งจะมีช่องเล็ก ๆ พอเดินผ่านได้ การเดินขึ้นภูเขาจะเดินขึ้นตลอดมองไปด้านหลังเห็นช่องเหวที่ดินผ่านมา ผมพยายามเดินตามพี่ตำรวจที่นำทางไปติด ๆ โดยทิ้งระยะพอประมาณ ผมนึกอยู่ในใจว่าระยะทางเดินภูเขามานี้มันใช่เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมงกว่า เห็นจะได้ เมื่อเดินถึงยอดภูเขาเริ่มเดินลงตามทางแคบ ๆ เล็ก ๆ การเดินลงต้องระวังตัวกว่าตอนเดินขึ้นถ้าหกล้มมีหวังลงไปก้นเหว พี่ตำรวจนำทางได้ตัดไม้ไผ่ขนาดย่อม ๆให้ผมและบอกว่าเอาใช้ยันตัวเองเพื่อไม่ให้ตัวล้ม

เมื่อเดินลงภูเขาได้ก็พบกับลำธารเล็ก ๆ ที่ไหลลงมาบนภูเขา และท่อน้ำทำด้วยลำไม้ไผ่เพื่อให้ผู้ที่เดินได้หยุดพักจะได้ล้างล้างตา ซึ่งจุดนี้ชาวบ้านใช้เป็นที่พัก พี่ตำรวจบอกว่าเราจะพักจุดนี้ประมาณ ๕ นาที ทุกคนต่างใช้น้ำที่ไหลมาตามท่อไม้ไผ่ล้างหน้าล้างตา ทำให้สดชื่น ขณะที่พักผมถามพี่ตำรวจนำทางว่าพี่ระยะทางเดินไปอีกกี่ชั่วโมพี่ตำรวจตอบว่าเราเดินมาถึงจุดที่นั่งพักนี้ได้ประมาณ ๑ ส่วน เหลืออีกประมาณ ๓ ส่วนจะถึงหมู่บ้าน ผมแอบถอดหายใจ ผมดูนาฬิกาข้อมือ ๑๐.๓๐ นาที เป้หลังผมเริ่มมีน้ำหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ รองเท้ายังจะหนักมากกว่าเดิม ผมสังเกตพี่ตำรวจทั้ง ๒ คน พี่แกไม่มีเป้ สวมชุดสีเขียวชุดของตำรวจตระเวนชาย มีกระติกน้ำ ๑ ใบที่เอวมีผ้าขาวม้าห่อข้าว สวมรองเท้าผ้าใบ และมีอาวุธปืนพร้อมกระสุนจำนวน ๑ แม็กกาซิน พอได้เวลาพี่ตำรวจคนเดิมเดินนำทางไป

ตอนเริ่มก็เดินขึ้นภูขาอีกลูกหนึ่งผมเดินตาม มองดูภูเขาลูกที่จะเดินขึ้นนี้มันสูงกว่าภูเขาลูกเดิม การเดินของผมชักช้าลงพี่ตำรวจที่นำทางเดินห่างจากผมห่างไปห่างไป บางครั้งพี่ตำรวจที่นำทางจะหยุดรอผม เมื่อผมเดินใกล้จะถึงพี่ตำรวจ พี่แกก็เดินต่อไปอีก ผมนึกในใจว่าตอนแรกเริ่มเดินเห็นหมู่บ้านอยู่ ตอนนี้มองไม่เห็นหมู่บ้านเลยเห็นแต่ยอดภูเขาเห็นแต่ป่าไม้ ผมเดินไปหยุดไปเอาน้ำในกระดิกดื่มกิน จำเป็นต้องเดินต่อไป นึกอยู่ในใจว่าครั้งแรกมองเห็นแต่เดี่ยวนี้ไม่เห็น นึกถึงที่เพื่อนเคยพูดว่า "ใกล้ตาไกลตีน " ผมแข็งใจเดินตามพี่ตำรวจที่นำทางขึ้นภูเขาขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงยอดภูเขา พี่ตำรวจแกให้พักพอหายเหนื่อย จากนั้นเดินลงภูเขาลัดลงตามช่องทางเล็ก ๆคับ ๆ เดินจนถึงที่ราบระหว่างภูเขา มีลมเย็น ๆ พัดทำให้รู้สึกสดชื่นพี่ตำรวจที่นำทางบอกว่าเราจะหยุดพักสัก ๕ นาที ผมอยากที่ยินคำนี้เพราะอยากพักผมจะบอกให้พี่ตำรวจก็กลัวเสียเหลี่ยม กลัวเขาว่ายังหนุ่มอยู่ต้องแข็งแรง

เมื่อได้เวลาพี่ตำรวจคนเดิมก็เป็นเดินนำทางอีก เดินทางราบได้สักพักก็เป็นเดินขึ้นภูเขาอีกแล้ว พี่ตำรวจที่นำทางบอกผมว่าถ้าเราเดินพ้นภูเขาลูกนี้ เราจะพักกินข้าวที่ริมลำธาร ผมเดินตามพี่ตำรวจนำทางไปห่าง ๆ เข้าใกล้บาง บางครั้งก็ทิ้งห่างระยะพี่แกก็เดินช้า ๆ พอผมเดินตามทัน บางครั้งผมเดินตามทันพี่แกก็เดินทิ้งห่างออกไปอีก ผมเดินตามพี่ตำรวจผมไม่ได้มองทิวทัศน์ที่เดินผ่านเพราะไม่แก่จิตใจมองธรรมชาติเพราะร่างเมื่อยหล้าเหนื่อยอ่อน ไม่เหมือนตอนแรกที่เดินทางมองดูทิวทัศน์อะไรก็สวยงามหมด แม้แต่เสียงน้ำไหลที่ลำธารยังดูเพลิดเพลิน แต่เดี๋ยวนี้กับตรงข้ามกัน มีความรู้สึกว่าถึงหมู่บ้านหรือยัง และพี่ตำรวจเขาจะบอกหยุดพักเมื่อไร
102414.jpg (102.36 KiB) เข้าดูแล้ว 2568 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4378
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D -เชือกจูงควาย
-น้ำลายจูงคน
-เวทย์มนต์จูงพวกโง่งมงาย
วลีเด็ดสำหรับคนไทยยุค ๒๕๖๕ (ไม่รู้ใครคิด..ชอบจัง..ขอบคุณมากครับ)
:lol: :lol: :lol:

:) :D อรุณสวัสดิ์ญาติธรรมและท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ เทศกาลกินเจก็ผ่านพ้นไป แต่รู้สึกได้ปีนี้ไม่ค่อยคึกคักสักเท่าไหร่? แต่คนไทยยังนิยมและเหนียวแน่นยิ่งขึ้น ก็ยังคงดำรงเทศกาลดี ๆ แบบนี้ไว้ ก็ขออนุโมทนาสาธุกับทุก ๆ ท่านที่ร่วมประพฤติปฏิบัติ สำหรับผมและคุณนายนั้นเราเป็นกลุ่มมังสวิรัติมาได้ ๓๓ ปีแล้วครับ ผมเริ่มอธิษฐานจิตงดเว้นเนื้อสัตว์ทุกชนิดแต่ ๑ มกราคม ๒๕๓๒ และจะดำรงต่อไปตลอดชีวิตครับ

สาเหตุเนื่องจากการที่ผมสำมะเลเทเมาแต่อดีต และเผลอตัวเผลอใจเข้าไปอยู่ในกระบวนการฆ่าหลาย ๆ ครั้ง ครั้งที่สลดใจที่สุดก็เมื่อ ผมตกอยู่ในวงล้อมของ ผกค.ที่บ้านขุนห้วยจะยิน อ.เทิง จ.เชียงราย (เนิน ๘๒๔) รอดชีวิตมาได้ด้วยปืน M 72 ของหน่วยกระทิงแดงที่ไปด้วย ช่วงโดนซุ่มยิงคนแบกเอ็ม ๗๒ ทิ้งปืนเป้วิ่ง ส่วนผมยึดได้มูลดินเป็นที่กำบัง เสียงปืนและกระสุนพุ่งตรงมาที่มูลดินที่ผมอาศัยหลบอยู่ ปืน M72 ที่หลุดตกไม่ไกลจากผมมากนัก ผมใช้เท้าเกี่ยวลากเข้ามาได้

เมื่อสิ้นเสียงปืนฝ่ายตรงข้าม ผมตัดสินใจลุกพรวดพร้อมแบก M72 กด "ตูม" กระสุนจรวดพุ่งตรงเข้าบริเวณกลุ่มกอไผ่ที่ ผกค.ใช้เป็นที่กำบังและระดมยิงมาที่ผม ระยะแค่เพียง ๒๐ ม.ผลเมื่อฝุ่นจางหาย เลือดไหลย้อยเป็นทางจากปลายไผ่ลงมาโคนต้น ประมาณน่าจะ ๒-๓ ศพแน่นอน ทันทีที่เห็นภาพ "จิต..คิด..เฮ้ยมาเข่นฆ่ากันทำไม?" :( :(

ภาพนั้นติดตรึงตาจวบจนผมได้เข้าปฏิบัติธรรม และเริ่มปฏิบัติอย่างอุกฤตยิ่ง ๆ ขึ้น ก็คิดได้ว่า ชีวิตทุกชีวิตย่อมมีค่าและน่าหวงแหน ชีวิตของสรรพสัตว์ในโลกล้วนมี จิต-วิญญาณ เหมือนกันดังนั้น เราอย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จากนั้นก็เริ่มฝึกไม่ทานเนื้อสัตว์ ชีวิตก็อยู่ได้ไม่ลำบาก เมื่อได้เวลาสุกงอมเต็มที่ ผมก็อธิษฐานจิต "เลิกแตะต้อง(กิน)เนื้อสัตว์ทุกชนิดตลอดชีวิต" การปฏิบัติธรรมของผมก็รุดหน้าเจริญยิ่งขึ้น ๆ ครับ

เรื่องการ กิน-ไม่กิน เนื้อสัตว์เราไปศึกษากันครับ พุทธศาสนาสอนว่าอย่างไร ? :) :D

:) :D การกินเจและมังสวิรัต พระศาสดาทรงบัญญัติไว้อย่างไร
:) :D
ไฟล์แนบ
S__28983393.jpg
S__28983393.jpg (93.74 KiB) เข้าดูแล้ว 2467 ครั้ง
ปืนที่เรียกว่า M 72 รูปร่างหน้าตาแบบนี้ครับ ผมเก็บไว้เป็นที่ระลึก เก็บไว้ที่บ้านนานมาก จนเมื่อผมอธิษฐานจิตเลิกกินเนื้อสัตว์ จำได้ให้ลูกน้องไปเรียบร้อย เก็บไว้ให้ &quot;เศร้าใจ&quot; ทำไม? (กว่าจะรู้สึกตัว เอาแต่ภูมิใจ นี่แหละครับ &quot;อวิชชา&quot; )
ปืนที่เรียกว่า M 72 รูปร่างหน้าตาแบบนี้ครับ ผมเก็บไว้เป็นที่ระลึก เก็บไว้ที่บ้านนานมาก จนเมื่อผมอธิษฐานจิตเลิกกินเนื้อสัตว์ จำได้ให้ลูกน้องไปเรียบร้อย เก็บไว้ให้ "เศร้าใจ" ทำไม? (กว่าจะรู้สึกตัว เอาแต่ภูมิใจ นี่แหละครับ "อวิชชา" )
125109.jpg (30.72 KiB) เข้าดูแล้ว 2467 ครั้ง
ตชด.ทุกคนภาคภูมิใจ ดีใจ ที่พ่อหลวง ร.๙ ทรงเรียกพวกเราว่า &quot;ตำรวจป่า&quot; ทราบว่าพระองค์ทรงตรัสกับคนใหญ่คนโตของบ้านเมือง ประมาณว่า &quot;อย่าไปยุ่งกับตำรวจป่าเลย ปล่อยเขาให้ทำงานในป่านั่นละ ดีแล้ว&quot; <br /><br />ตชด.ทุกคนรักในหลวง ร.๙ ประหนึ่งชีวิตของตนเอง
ตชด.ทุกคนภาคภูมิใจ ดีใจ ที่พ่อหลวง ร.๙ ทรงเรียกพวกเราว่า "ตำรวจป่า" ทราบว่าพระองค์ทรงตรัสกับคนใหญ่คนโตของบ้านเมือง ประมาณว่า "อย่าไปยุ่งกับตำรวจป่าเลย ปล่อยเขาให้ทำงานในป่านั่นละ ดีแล้ว"

ตชด.ทุกคนรักในหลวง ร.๙ ประหนึ่งชีวิตของตนเอง
125110.jpg (121.27 KiB) เข้าดูแล้ว 2467 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (85).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (85).JPG (84.97 KiB) เข้าดูแล้ว 2467 ครั้ง
ชาวบ้านเก็บผลผลิต ลำใย ปีนี้ถูกมาก ๆ ชาวสวนเอาไปเททิ้งเป็นลำรถ เพื่อน ๆ ผมหลายคนขุดรากถอนโคนโค่นต้นลำใยทิ้งกันไปหลายราย ทราบข่าวว่าพากันปลูกทุเรียน ก็ขอให้สมปรารถนา ร่ำรวย ๆ นะครับ ทุเรียนออกผลถ้าไม่ตายเสียก่อน ขออนุญาตุไปกินด้วยนะครับ อิอิ
ชาวบ้านเก็บผลผลิต ลำใย ปีนี้ถูกมาก ๆ ชาวสวนเอาไปเททิ้งเป็นลำรถ เพื่อน ๆ ผมหลายคนขุดรากถอนโคนโค่นต้นลำใยทิ้งกันไปหลายราย ทราบข่าวว่าพากันปลูกทุเรียน ก็ขอให้สมปรารถนา ร่ำรวย ๆ นะครับ ทุเรียนออกผลถ้าไม่ตายเสียก่อน ขออนุญาตุไปกินด้วยนะครับ อิอิ
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (87).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (87).JPG (145.44 KiB) เข้าดูแล้ว 2467 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (88).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (88).JPG (117.62 KiB) เข้าดูแล้ว 2467 ครั้ง
ปั่นกันกลับบ้านและตั้งใจจะแวะทานข้าวที่วัดป่าแห่งนี้ ผมคอยสังเกตุและปั่นตามหลังคุณนายติด ๆ พอเจอรีบตะโกนเรียกคุณนาย ให้วกกลับมาครับ
ปั่นกันกลับบ้านและตั้งใจจะแวะทานข้าวที่วัดป่าแห่งนี้ ผมคอยสังเกตุและปั่นตามหลังคุณนายติด ๆ พอเจอรีบตะโกนเรียกคุณนาย ให้วกกลับมาครับ
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (89).JPG (112.85 KiB) เข้าดูแล้ว 2467 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (90).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (90).JPG (70.5 KiB) เข้าดูแล้ว 2467 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (91).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (91).JPG (110.54 KiB) เข้าดูแล้ว 2467 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (92).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (92).JPG (111.41 KiB) เข้าดูแล้ว 2467 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (93).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (93).JPG (138.17 KiB) เข้าดูแล้ว 2467 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (94).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (95).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (96).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (97).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (98).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (98).JPG (140.48 KiB) เข้าดูแล้ว 2467 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (99).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (99).JPG (139.72 KiB) เข้าดูแล้ว 2467 ครั้ง
เมื่อเราเข้าถึงวัด ปรากฏไม่พบใครเลยเงียบ มาก ๆ เงียบจนเรียกว่า &quot;วังเวง&quot; เห็นมีอาคารน่าจะเป็นห้องครัว ผมเดินรอบ ๆ บริเวณ ไม่กล้าเดินไปไกล เก็บภาพบางส่วน และรีบกลับมาสมทบกับคุณนายที่เตรียมอหารไว้คอยท่า<br /><br />สถานที่เงียบ สงบ ได้ยินแต่เสียงนกร้อง ลมพัด อากาศกำลังคลึ้ม ๆ ดู &quot;ขลังมาก&quot; รู้สึกได้ เรากินไปคุยกันเบา ๆ &quot;จะได้เจอ พระ สักองค์ไหม ?&quot;
เมื่อเราเข้าถึงวัด ปรากฏไม่พบใครเลยเงียบ มาก ๆ เงียบจนเรียกว่า "วังเวง" เห็นมีอาคารน่าจะเป็นห้องครัว ผมเดินรอบ ๆ บริเวณ ไม่กล้าเดินไปไกล เก็บภาพบางส่วน และรีบกลับมาสมทบกับคุณนายที่เตรียมอหารไว้คอยท่า

สถานที่เงียบ สงบ ได้ยินแต่เสียงนกร้อง ลมพัด อากาศกำลังคลึ้ม ๆ ดู "ขลังมาก" รู้สึกได้ เรากินไปคุยกันเบา ๆ "จะได้เจอ พระ สักองค์ไหม ?"
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (101).JPG (116.94 KiB) เข้าดูแล้ว 2467 ครั้ง
ผมกับท่าน ปริญญา ฯ ได้รับคำสั่งให้เข้าประจำแผนก ๕ กก.ตชด.เขต ๕ พร้อมกัน และเราก็ได้รับการคัดเลือกให้ไปเป็นครูทำการสอนเหมือนกัน ผมไปสอนที่ รร.เมืองงาม ห่างจากท่าน ปริญญา ฯ ประมาณ ๓๐ กม.แต่ รร.ผมเป็นทางราบไม่เหมือนท่าน ปริญญา ฯ ทีต้องเดินขึ้นดอย แต่ทางราบก็ต้องเดินจาก ท่าตอน เข้าไปเมืองงาม ใช้เวลาเดิน ๑ วันเต็ม ๆ ถ้าโชคดีก็จะมีเรือให้นั่งไปลงที่ บ.ท่ามะแกง หรือ บ.สันต้นดู่ เดินเข้าเมืองงามก็อีก  ๓ - ๔ ชม. เรามาติดตามเรื่องของครูดอยกันต่อนะครับ.<br /><br />ตอนที่ ๓<br /><br /> ผมเดินตามพี่ตำรวจไปติด ๆ พักหนึ่งก็เดินลงภูเขาเห็นมีที่พักอยู่ริมทางเดินและลำไม้ไผ่ทำเป็นท่อรับน้ำจากลำธารเล็ก ๆ ทำไว้ให้ผู้เดินผ่านใช้ล้างหน้าล้างตัวให้สดชื่น พี่ตำรวจบอกผมว่าเราจะหยุดพักตรงนี้นาน และจะได้กินข้าว ผมดูนาฬิกาข้อมือเวลา ๑๒.๓๐ นาที ผมนำห่อข้าวที่ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านให้มาออกมากิน ผมกินข้าวเหนียวกับหมูทอด นั่งกินแหม  ! มันอร่อยจริง ๆ เมื่อกินเสร็จและทำธุระของตนเองเสร็จ นอนเหยียดยาวตามสันเขานอนพักตามสบาย ขณะที่กำลังพักผ่อนอยู่นั้นผมได้ยินม้าเดินมาทางที่เราพักอยู่ สักพักเห็นม้าต่างประมาณ ๖ ตัว ที่หลังม้าบรรทุกสิ่งของ มีชาวเขาเดินตามม้า ๔ คน เมื่อชาวเขาเดินมาถึงจุดที่ผมกับพี่ตำรวจพัก ชาวเขาได้ทักพูดคุยพี่ตำรวจประมาณ ๕ นาที เริ่มออกเดินทาง ชาวเขาบอกกับพี่ตำรวจจะฝากอะไรให้พวกเขาช่วยแบ่งน้ำหนัก พี่ตำรวจชี้มาทางผมให้ช่วยแบกเป้หลัง และบอกชาวเขาว่าผมเป็นครูที่จะสอนโรงเรียนในหมู่บ้าน ผมถอดเป้หลังให้ชาวเขา ก่อนที่จะให้เป้หลังได้เอากระสุนปืนออกเก็บไว้เอาลูกระเบิดให้ชาวเขาไป ผมรู้สึกสบายหน่อย เดินไปไม่ต้องมีอะไรมาถ่วง จากนั้นเริ่มออกเดินทาง ผมเดินตามพี่ตำรวจที่นำทางไปติด<br /><br />          ผมเดินตามพี่ตำรวจขึ้นภูเขาเดินไปเรื่อย ๆ เดินลงภูเขาเดินขึ้นภูเขาบางครั้งพี่ตำรวจก็บอกให้หยุดพักเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งเดินมาถึงที่ราบมีแนวรั้วทำด้วยไม้ไผ่เป็นแนวยาว และมีช่องทางเดินข้ามรั้ว ผมถามพี่ตำรวจว่าชาวเขาทำรั้วไว้กันอะไร พี่ตำรวจบอกว่าชาวเขาทำรั้วไว้กันฝูงวัวของชาวบ้านไม่ให้ออกไปหากินหญ้าห่างจากหมู่บ้าน. <br />           <br />         ผมเดินตามพี่ตำรวจไปติด ๆ นึกในใจว่าคงไกล กว่าจะถึงหมู่บ้าน ผมมองไปข้างหน้าไม่พบหมู่บ้านสักหลัง มีแต่ต้นไม้ใหญ่เล็กขึ้นสลับกันไป ผมจึงถามพี่ตำรวจว่า “พี่ใกล้จะถึงหรือยัง”  พี่ตำรวจแกหัวเราะบอกว่า “เราต้องเดินผ่านภูเขาลูกหน้าก็จะถึงทางขึ้นหมู่บ้าน” ผมก็ถามพี่ตำรวจว่า “โรงเรียนที่จะไปนี้ หมู่บ้านชาวเขาเผ่าไหนครับ” พี่บอกว่าเป็น “ชาวเขาเผ่ามูเซอดำ” พี่ตำรวจแกก็เร่งฝีเท้าเดินเร็วขึ้น ผมก็เดินตามติด ๆ เมื่อเดินผ่านภูเขาพ้นกลุ่มต้นไม่ใหญ่ก็แลเห็นหมู่บ้านอยู่บนภูเขาลูกข้างหน้า ผมมีความรู้สึกดีใจเมื่อเห็นหมู่บ้าน มองดูนาฬิกาบอกเวลา ๑๔.๓๐ นาฬิกา. <br /><br />ทุกคนก็เร่งฝีเท้าเร็วขึ้นกว่าเดิม เมื่อเดินทางถึงหมู่บ้านพี่ตำรวจก็นำผมเดินไปบ้านหลังหนึ่ง มีบริเวณหน้าบ้าน พี่ตำรวจบอกผมว่าเป็นของผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ขณะที่เราเดินเข้าบ้านหลังดังกล่าวมีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านพร้อมกับชาวบ้าน ๔ คน ออกมาต้อนรับ จากนั้นชาวบ้านได้นำน้ำมาให้ดื่ม และได้นั่งคุยกัน พี่ตำรวจได้แนะนำตัวผมว่าเป็นครูที่จะมาสอนลูกหลาน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้ ชี้ไปข้างหน้าซึ่งเป็นยอดภูเขา ที่เป็นที่ตั้งอาคารโรงเรียน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก็ว่าวันนี้พักผ่อนเสียก่อนพรุ่งนี้ค่อยไปดู เมื่อพี่ตำรวจได้แนะนำตัวผมเสร็จแล้วพี่ตำรวจบอกว่าพี่เสร็จภารกิจเรียบร้อยแล้วพี่จะเดินทางกลับกองร้อย ผมถามว่าพี่จะกลับมันมืดนะ ระยะทางหรือก็ไกล พี่บอกว่าเดินแบบนี้จนชินแล้ว จากนั้นพี่ตำรวจทั้ง ๒ คนก็ได้ทุกคนแล้วก็รีบเดินลงภูเขาไป<br /><br />           เมื่อพี่ตำรวจทั้ง ๒ คนเดินลับหายจากสายตา ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก็พาผมไปที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่บริเวณใกล้ ๆ บ้านของผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ชี้ว่าบ้านหลังนี้ชุดพัฒนาการกองร้อยตำตระเวนชายแดนสร้างไว้เป็นบ้านพักของครู ผมได้ขึ้นบนบ้านเป็นบ้านที่ใช้ไม้ไผ่ทำเป็นฝากบ้านและทำเป็นพื้นปูพื้นบ้าน หลังคามุงสังกะสี ลักษณะบ้านเป็นบ้านชั้นเดียวใต้ถุงสูง มีห้อง ๑ ห้อง มีทำครัว ๑ ห้อง มีลานบ้าน<br /><br />           ผมนำอุปกรณ์ที่นำมา โดยเป้หลังของผมที่ชาวเขาได้แบกมาให้ เขานำไปฝากไว้ที่บ้านผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน  ผมนำอุปกรณ์ต่าง ๆโดยทำที่นอนก่อน จากนั้นถอดเสื้อตำรวจชุดสีเขียวที่ใส่มาออกผึ่งแดดตากลม ผมถามผู้ช่วยผู้ใหญ่ว่าส้วมและน้ำอาบผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านชี้ห้องส้วมที่อยู่ข้างบ้านพักซึ่งเป็นส้วมหลุม ส่วนที่อาบน้ำชี้ลงไปลำธารเล็ก ๆ ต้องเดินลงไปอาบน้ำ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบอกว่าวันนี้ชาวบ้านเขาเตรียมน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่เอาไว้ให้แล้ว จากนั้นผมสำรวจรอบบ้านพัก มองไปทางทิศตะวันออกมีบ้านปลูกเป็นแถวตามสันเขา มองไปทางทิศตะวันตกมีบ้านปลูกเป็นแนวตามสัน เขามองด้านทิศเหนือและด้านทิศใต้ จะเป็นหุบเขาไปตามแนวภูเขา จากนั้นผมมานั่งพักมองดูรอบ ๆ บริเวณ จนกระทั่งแสงดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า ผมรีบไปอาบน้ำโดยนำกระบอกไม้ไผ่ที่ใส่น้ำมีประมาณ ๕ กระบอก ผมใช้อาบประมาณ ๓ กระบอกเอาเหลือไว้ ๒. กระบอก เอาไว้ต้มน้ำเก็บไว้ดื่ม <br /><br />ใกล้แสงดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้าผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้นำข้าวและหมูทอดมาให้ผมกินเป็นอาหารมื้อเย็น และบอกว่าถ้าครูต้องการอะไรให้บอกผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหรือลูกบ้านคนอื่น ๆ ก็ได้ จากนั้นผมรีบทำธุระให้เสร็จสิ้นก่อนความมืดเข้าครอบคลุม ผมรีบกางมุ้งหาเทียนไม้ขีดเตรียมพร้อม จากนั้นความมืดก็เข้าครอบคลุม ผมจุดเทียนเอาหนังสือการ์ตูนที่นำมาด้วยเอาออกมานอนอ่านเล่นเพื่อผ่อนคลาย พอแสงเทียนหมดเล่มความมืดก็แทนที่ ผมได้นอนและฟังเสียงต่าง ๆ เสียงสุนัขเห่าหอนในบางครั้ง บางครั้งมีเสียงคนพูดเสียงหัวเราะ ผมนอนฟังเสียงต่าง ๆ จนหลับไปด้วยเหนื่อยอ่อนจากการเดินทาง<br /><br />สะดุ้งตื่นได้ยินเสียงไก่ขัน เสียงคนเดินผ่านบ้านพัก มองดูนาฬิกาเป็นเวลา ๖ โมงเช้า จึงได้ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาจากน้ำที่เหลือ ออกมายืนหน้าบ้านพัก เห็นแสงดวงอาทิตย์แต่ด้านล่างภูเขายังมีกลุ่มเมฆลอยอยู่ต่ำ มีสายลมหนาวพัดผ่านเป็นระยะ ๆ ขณะที่ผมกำลังยืนที่หน้าบ้านพัก ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้เดินออกมาจากบ้านเดินเข้าคุยกับผม สอบถามนอนสบายดีไหม ผมบอกว่านอนสบายดีแต่ตอนดึกอากาศหนาวพอทนได้ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบอกว่าตอนนี้เป็นเดือนพฤษภาคมอากาศยังไม่หนาว ยังมีแสงแดดส่องพออบอุ่น ถ้าราวเดือนตุลาคมอากาศบนภูเขาและหมู่บ้านอากาศจะหนาว บางวันจะมีหมอกปกคุมทั้งวัน <br /><br />ผมได้ยืนพูดกับผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านนานพอสมควร จากนั้นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้ชวนให้ผมไปกินข้าวเช้า ผมได้ร่วมกินข้าวกับผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมีชาวบ้านร่วมกินข้าวด้วย ๒ คน ขณะที่กินข้าวผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบอกว่าสิ่งของอุปกรณ์การเรียนการสอน ได้ให้ชาวบ้านเอาม้าไปบรรทุกเอาอุปกรณ์แล้วราว ๆ บ่าย ๆ อุปกรณ์คงขึ้นมาถึงหมู่บ้าน และตอนสาย ๆ จะพาผมไปดูอาคารเรียนของโรงเรียน เมื่อกินข้าวเสร็จก็ได้แยกย้ายกับบ้านพัก<br /><br />          ผมกลับไปนอนเล่นที่บ้านพักจนกระทั่งเวลา ๑๐ นาฬิกา ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านพร้อมกับชาวบ้าน ๕ คน ได้เดินมาหาผมที่บ้านพักได้ชวนไปดูอาคารโรงเรียน ผมพร้อมคณะได้เดินตามทางเล็ก ๆ ผ่านบ้านหลังเล็กหลังใหญ่เดินขึ้นไปทิศเหนือของหมู่บ้าน เมื่อเดินพ้นหมู่บ้าน พบที่ราบบนภูเขามีอาคารโรงเรียน ซึ่งสร้างด้วยไม้ไผ่หลังคามุงด้วยใบคา ฝาโรงเรียนทำด้วยไม้ไผ่ ที่นั่งเรียนก็ทำด้วยไม้ไผ่ผ่าเป็นซีก ๆ ปูเป็นแผ่นทำเป็นโต๊ะทำเป็นเก้าอี้ มีอยู่ ๖ เก้าอี้และโต๊ะ ไม่มีกระดาน มีเสาธงทำด้วยไม่ไผ่ ผมมองดูอาคารโรงเรียนประมาณสร้างมาแล้ว ๖ เดือน เพราะสภาพอาคารไม่เคยมีใครมาทำความสะอาดเลย บริเวณโรงเรียนจะเป็นที่ราบลาดไปตามแนวภูเขา. มีลานกว้างผมนึกในใจว่าลานดังกล่าวคงเป็นสนามไว้ให้นักเรียนไว้เล่นหรือกำลังกาย ผมจึงถามผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านว่าสนามนี้ใช้ทำอะไร ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบอกว่าตำรวจตระเวนชายแดนให้ชาวบ้านช่วยทำเพื่อเป็นสนามให้เครื่องบน ฮ. ลงเพื่อจะได้มีแพทย์ พอสว.ลงมารักษาชาวบ้าน ตั้งแต่ทำสนามเสร็จก็ไม่มีเครื่องบิน  ฮ. ลงเลย <br /><br />จากนั้นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านพากันกลับลงมาที่หมู่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้เดินเข้าไปในบ้านและนำแผ่นไม้อัดแผ่นใหญ่ ๑ แผ่น พร้อมกับสีน้ำมันสีเขียว ๑ กระป๋องใหญ่ มาให้ผม.และบอกว่าเก็บไว้ให้          ครูที่มาสอนโรงเรียน ผมถามหาแปรงทาสีผู้ช่วยผู้ใหญ่บอกว่าไม่มี ผมจะทาสีได้อย่างไร ผมนั่งนึกจะหาวิธีทาสีกระดานได้อย่างไร นึกหาเศษผ้าใช้แทนแปรงทาสี จากนั้นผมกับชาวบ้านช่วยกันใช้เศษผ้าชุบสีช่วยกันทาไม้อัดเพื่อใช้เป็นกระดานเขียนเป็นอุปกรณ์การเรียนการสอน เมื่อทาสีจนสีหมดก็ได้กระดาน ๑ แผ่น จากนั้นนำไปแตกแดดให้แห้ง <br /><br />ขณะที่ผมกับชาวบ้านช่วยกันทาสีกระดานอยู่นั้น มีเด็กที่จะมาเป็นนักเรียนจำนวน ๑๐ คน ได้มาช่วยผมจัดการเอากระดานไปติดตั้งที่อาคารโรงเรียนเมื่อติดตั้งกระดานแล้วก็ให้นักเรียนทั้งหมดช่วยกันทำความสะอาดบริเวณรอบ ๆ โรงเรียนจากนั้นผมได้พานักเรียนทั้งหมดกลับมาที่บ้านพักเพื่อจะได้แจกหนังสือเรียนและเครื่องแบบนักเรียน ผมได้จดชื่อนักเรียนทั้งหมดไว้ มีนักเรียนชาย ๖ คน นักเรียนหญิง ๔ คน ผมได้หนังสือเรียนและเครื่องเรียน ชุดนักเรียนทั้งชายและหญิงสวมใส่แล้วจะตัวใหญ่กว่าผู้สวมใส่ ผมตรวจยอดจำนวนนักเรียนที่ทางกองกำกับการตำรวจตระเวนชายมอบ ยอดนักเรียนมีจำนวน ๕๐ คน แต่ยอดปัจจุบันมีเพียง ๑๐ คน <br /><br />ยอดที่ผมเบิกอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็จำนวน ๕๐ ชุด ผมถามผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านว่า แจ้งยอดนักเรียนก่อนจะร้องขอตั้งโรงเรียนนั้น จำนวนยอดนักเรียนเท่าใด ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านแจ้งยอดก่อนขอตั้งโรงเรียนมีนักเรียนทั้งหมด ๕๐ คน นักเรียนชาย ๓๐ คน นักเรียนหญิง ๒๐ คน ปัจจุบันนี้นักเรียนที่ยังขาดอยู่นั้น ได้ไปช่วยผู้ปกครองทำไร่อยู่ตามไหล่ภูเขา คงจะกลับมาเรียนเมื่อโรงเรียนมีครูมาสอนและเปิดเรียน ผมจึงได้จัดภารกิจต่าง ๆ เกี่ยวกับนักเรียนและอุปกรณ์การเรียนการสอนเสร็จเรียบร้อย ผมได้นัดนักเรียนทั้งหมดว่าวันพรุ่งนี้เวลา ๘.๐๐ น.ให้นักเรียนทั้งหมดไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน พร้อมให้สวมใส่ชุดนักเรียนและนำอุปกรณ์การเรียนมาด้วย จากนั้นนักเรียนทั้งหมดได้แยกย้ายเดินกลับบ้าน<br /><br /> ผมจึงจัดการภารกิจของผม ก่อนที่แสงดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้า  มีนักเรียน ๒ คน อาสาจะมาอยู่กับผม โดยผู้ปกครองของนักเรียนทั้ง ๒ คน ยินยอมให้มาอยู่กับครูเพื่อคอยช่วยครูตักน้ำและหุงข้าว นักเรียนทั้ง ๒ คนหายไปพักหนึ่งกลับมาอีกทีเอาผ้าห่มมุ้งมาด้วยพร้อมกระบอกไม้ไผ่คนละ  ๓ กระบอกมีน้ำเต็มกระบอก นักเรียนทั้ง ๒ คนจัดการธุระของตนเอง ผมถามชื่อนักเรียนทั้ง ๒ คน นักเรียนตัวเล็กบอกว่า จะเสือ อีกคนชื่อ จะก้า ผมสังเกตนักเรียนที่ชื่อจะก้า จะพูดไม่ชัดออกเสียงพูด อา อา ๆ มีรูปร่างโตกว่าจะเสือ  ผมจุดไฟเพื่อจะหุงข้าว จะเสือและจะก้าบอกว่าไม่ต้องหุงข้าวเพราะได้นำมาจากบ้านโดยผู้ปกครองได้ห่อข้าวกับเนื้อหมูปิ้งมาให้ครูกิน ผมและนักเรียนจึงได้นำข้าวและกับข้าวมาร่วมกินด้วยกัน เมื่อเสร็จจากกินข้าวแล้ว แสงดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า แสงจันทร์เริ่มส่องสว่างขึ้น ผมจุดเทียนไขเพื่อให้เกิดแสงสว่าง จากนั้นเตรียมอุปกรณ์การนอน กางมุ้ง นักเรียนทั้ง ๒คน ก็กางมุ้งนอนข้าง ๆ ผม <br /><br />ได้เวลาเข้านอนผมอยู่ในมุ้งนอนดูนักเรียนใหม่ของผม  ๒ คนได้นอนคุยกันผมนอนฟัง ผมฟังไม่รู้เรื่อง ๒ คนเขาพูดภาษาเผ่ามูเซอดำ ผมนอนหัวเราะอยู่ในใจ จะต้องหัดพูดภาษามูเซอดำให้ได้ และมีความรู้สึกว่าอบอุ่นไม่ต้องระแวงภัยที่จะมาถึงตัวเอง นึกว่าถ้ามายิงผมมันก็ต้องถูกนักเรียนด้วยผู้ปกครองนักเรียนคงจะไม่ยอม ผมนอนนึกไปว่าพรุ่งนี้นักเรียนจะมากี่คนเวลาดึก ๆ เสียงวัวที่ชาวบ้านเลี้ยงร้องเป็นระยะเสียงร้องไกล ๆ ใกล้ ๆ เสียงหมูชาวบ้านร้องบาง ยิ่งดึกยิ่งมีเสียงร้องแปลก ๆ สอดแทรกมาเป็นบางจังหวะ ผมนอนฟังเสียงเหล่านี้จนหลับไป<br /><br />          ผมสะดุ้งตื่นได้ยินเสียงคนเดินรอบบ้านพัก มีเสียงสุนัขเห่ารอบ ๆ บ้านพัก ผมดูนาฬิกาข้อมือบอกเวลา ๖ โมงเช้า มองออกไปด้านบ้านพักยังมืดอยู่ยังไม่มีแสงดวงอาทิตย์ เห็นมีแต่กลุ่มหมอกเมฆลอยผ่านบ้านพักไปอย่างช้า ๆ กลุ่มเมฆได้ไหลผ่านไปเป็นระยะ ๆ อากาศข้างนอกอากาศยังหนาวเย็น ผมมองหาเสียงคนที่เดินรอบบ้านพักพยายามมองไปรอบ ๆ บ้านพัก ก็ไม่พบผู้คนเลย เห็นวัวเดินผ่านถนนกลางหมู่บ้านไปรวมกลุ่มกัน ผมนั่งดูรอบ ๆ บ้านพัก จนกระทั่งเห็นแสงดวงอาทิตย์ขึ้นขอบฟ้าทางทิศตะวันออก แสงดวงอาทิตย์เริ่มส่องสว่าง ความมืดก็จางหายไป ทุกสิ่งก็เห็นเด่นชัดเจน ผมมองไปทางขอบฟ้าทิศตะวันออก เห็นกลุ่มเมฆลอยต่ำมองเห็นเหมือนเป็นทะเลสีขาวกลุ่มเมฆได้ลอยผ่านตัวผม เมื่อกลุ่มเมฆผ่านตัวผมรู้สึกหนาวเย็น มองดวงอาทิตย์แสงจะส่องบนกลุ่มเมฆมองดูเหมือนว่าดวงอาทิตย์ขึ้นอยู่เหนือกลุ่มเมฆ <br /><br />         ผมและนักเรียนทั้ง ๒ คน ได้ลุกขึ้นทำธุระของตนจนเสร็จเรียบร้อย ผมได้หุงข้าวโดยใช้ก้นลองกระดิกน้ำเป็นหม้อหุงข้าว เอาปลากระป๋องและอาหารสำเร็จรูปที่ผมเบิกจากกองกำกับตำรวจตระเวนชายแดน เอามากินพร้อมนักเรียนทั้ง ๒ คน เมื่อกินอาหารเสร็จได้เตรียมตัวจะพากันเดินไปที่โรงเรียนตามที่นัดหมายไว้ นักเรียนทั้ง ๒ คน ได้เสื้อผ้าชุดนักเรียนที่แจกให้เอามาสวมใส่ ชุดนักเรียนจะโตกว่าผู้สวมใส่ ผมมองดูก็อดหัวเราะไม่ได้ ผมแก้ปัญหาโดยใช้เชือกผูกเป็นเข็มขัดลัดให้แน่น ก็แก้ปัญหาได้ เมื่อทุกคนพร้อมได้ลงบันไดเพื่อจะเดินไปโรงเรียน พบนักเรียนทั้ง ๘ คนได้ยืนรอผมอยู่  จากนั้นก็ได้เดินไปพร้อมกัน โดยมี เด็กชายจะเสือเป็นผู้เดินนำทางไปโรงเรียน <br /><br />ขณะที่ผมเดินแถวตามนักเรียนไปตามถนนในหมู่บ้าน ผมเห็นว่านักเรียนแต่ละคนจะใช้มือจับที่กางเกงเพื่อไม่ให้กางเกงหลุด แต่นักเรียนผู้หญิงเห็นใช้เชือกมัดผูกไว้ ผมเบิกเสื้อผ้านักเรียนมานั้น ปรากฎว่าชุดนักเรียนเหลือขนาดเดียว ส่วนขนาดเล็กกว่านี้ ครูตำรวจตระเวนชายแดนโรงเรียนอื่นเขามาเบิกไปก่อนจึงเหลือแต่ขนาดใหญ่ไว้  ผมและนักเรียนใหม่เดินมาถึงโรงเรียน ผมให้นักเรียนเลือกที่นั่งได้ตามสบาย นักเรียนหญิงก็จะไปนั่งคู่กัน นักเรียนชายก็มานั่งคู่กัน นักเรียนทั้งหมดมี ๑๐ คน นั่งคู่กันพอดี โต๊ะนั่งของนักเรียนและโต๊ะครูมีสภาพเดียวกันคือแทบจะนั่งไม่ได้ เพราะชาวบ้านสร้างไว้หลายเดือนแล้ว เสาธงผมต้องให้นักเรียนช่วยกันเอาเชือกผูกร้อยห่วงเอาเชือกลวดห่วงดึงเชือกให้ยาว จากนั้นให้เด็กชายจะก้า เอาธงชาติมาผูกโดยผมมอบหมายให้เด็กชายจะก้า เป็นผู้รับผิดชอบนำธงชาติขึ้นและลงทุกวัน ผมให้เด็กชายจะก้าพร้อมเด็กนักเรียนผู้หญิงออกมายืนหน้าแถว เพื่อจะเป็นผู้ชักธงขึ้น กว่าจะได้เด็กนักเรียนหญิงมาคู่กับเด็กชายจะก้าได้ต้องเสียนานพอสมควร เพราะเด็กนักเรียนหญิงจะไม่กล้าแสดงออก เมื่อทุกคนเข้าที่แล้วผมก็ร้องเพลงชาตินำให้นักเรียนร้องเพลงชาติตามกว่าจะจบเพลงชาติได้เล่นเอาคอแห้งไม่เบา<br /><br /> เสร็จแล้วได้บอกนักเรียนใหม่ทั้ง  ๑๐ คนเข้าชั้นเรียน จากนั้นได้เรียกนักเรียนมาหาที่ละคน  ถามชื่อนักเรียน ชื่อบิดามารดา อาชีพถามทีละคนรู้สึกมึนหัวหมด ชื่อนักเรียนแต่ละคนเขียนยาก ชื่อบิดามารดาก็เขียนยากส่วนอาชีพเขียนง่ายหน่อยส่วนมากจะประกอบอาชีพทำสวนทำไร่ ผมใช้เวลาการเขียนชื่อแต่ละคนจนครบทั้งหมด  ๑๐  คน จนถึงเวลาเทียงต้องหยุดกินข้าว ผมนำข้าวและกับข้าวที่เหลือตอนเช้าเอามากินกับนักเรียนด้วย กินข้าวร่วมกับเด็กนักเรียนรู้สึกว่ากินข้าวมันก็อร่อยดี เมื่อกินเสร็จเป็นเวลาพักเรียน เด็กนักเรียนก็มารวมกลุ่มเล่นตามประเพณีมีการร้องเพลงประกอบการเล่น ผมดูก็เพลินดี เด็กนักเรียนบางคนเล่นไปกางเกงก็จะหลุดทำให้เกิดการหัวเราะ ผมได้หาเชือกโดยเอาใยไม้ไผ่มามัดแทนเชือกมันก็แก้ปัญหาได้เป็นบางราย
ผมกับท่าน ปริญญา ฯ ได้รับคำสั่งให้เข้าประจำแผนก ๕ กก.ตชด.เขต ๕ พร้อมกัน และเราก็ได้รับการคัดเลือกให้ไปเป็นครูทำการสอนเหมือนกัน ผมไปสอนที่ รร.เมืองงาม ห่างจากท่าน ปริญญา ฯ ประมาณ ๓๐ กม.แต่ รร.ผมเป็นทางราบไม่เหมือนท่าน ปริญญา ฯ ทีต้องเดินขึ้นดอย แต่ทางราบก็ต้องเดินจาก ท่าตอน เข้าไปเมืองงาม ใช้เวลาเดิน ๑ วันเต็ม ๆ ถ้าโชคดีก็จะมีเรือให้นั่งไปลงที่ บ.ท่ามะแกง หรือ บ.สันต้นดู่ เดินเข้าเมืองงามก็อีก ๓ - ๔ ชม. เรามาติดตามเรื่องของครูดอยกันต่อนะครับ.

ตอนที่ ๓

ผมเดินตามพี่ตำรวจไปติด ๆ พักหนึ่งก็เดินลงภูเขาเห็นมีที่พักอยู่ริมทางเดินและลำไม้ไผ่ทำเป็นท่อรับน้ำจากลำธารเล็ก ๆ ทำไว้ให้ผู้เดินผ่านใช้ล้างหน้าล้างตัวให้สดชื่น พี่ตำรวจบอกผมว่าเราจะหยุดพักตรงนี้นาน และจะได้กินข้าว ผมดูนาฬิกาข้อมือเวลา ๑๒.๓๐ นาที ผมนำห่อข้าวที่ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านให้มาออกมากิน ผมกินข้าวเหนียวกับหมูทอด นั่งกินแหม ! มันอร่อยจริง ๆ เมื่อกินเสร็จและทำธุระของตนเองเสร็จ นอนเหยียดยาวตามสันเขานอนพักตามสบาย ขณะที่กำลังพักผ่อนอยู่นั้นผมได้ยินม้าเดินมาทางที่เราพักอยู่ สักพักเห็นม้าต่างประมาณ ๖ ตัว ที่หลังม้าบรรทุกสิ่งของ มีชาวเขาเดินตามม้า ๔ คน เมื่อชาวเขาเดินมาถึงจุดที่ผมกับพี่ตำรวจพัก ชาวเขาได้ทักพูดคุยพี่ตำรวจประมาณ ๕ นาที เริ่มออกเดินทาง ชาวเขาบอกกับพี่ตำรวจจะฝากอะไรให้พวกเขาช่วยแบ่งน้ำหนัก พี่ตำรวจชี้มาทางผมให้ช่วยแบกเป้หลัง และบอกชาวเขาว่าผมเป็นครูที่จะสอนโรงเรียนในหมู่บ้าน ผมถอดเป้หลังให้ชาวเขา ก่อนที่จะให้เป้หลังได้เอากระสุนปืนออกเก็บไว้เอาลูกระเบิดให้ชาวเขาไป ผมรู้สึกสบายหน่อย เดินไปไม่ต้องมีอะไรมาถ่วง จากนั้นเริ่มออกเดินทาง ผมเดินตามพี่ตำรวจที่นำทางไปติด

ผมเดินตามพี่ตำรวจขึ้นภูเขาเดินไปเรื่อย ๆ เดินลงภูเขาเดินขึ้นภูเขาบางครั้งพี่ตำรวจก็บอกให้หยุดพักเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งเดินมาถึงที่ราบมีแนวรั้วทำด้วยไม้ไผ่เป็นแนวยาว และมีช่องทางเดินข้ามรั้ว ผมถามพี่ตำรวจว่าชาวเขาทำรั้วไว้กันอะไร พี่ตำรวจบอกว่าชาวเขาทำรั้วไว้กันฝูงวัวของชาวบ้านไม่ให้ออกไปหากินหญ้าห่างจากหมู่บ้าน.

ผมเดินตามพี่ตำรวจไปติด ๆ นึกในใจว่าคงไกล กว่าจะถึงหมู่บ้าน ผมมองไปข้างหน้าไม่พบหมู่บ้านสักหลัง มีแต่ต้นไม้ใหญ่เล็กขึ้นสลับกันไป ผมจึงถามพี่ตำรวจว่า “พี่ใกล้จะถึงหรือยัง” พี่ตำรวจแกหัวเราะบอกว่า “เราต้องเดินผ่านภูเขาลูกหน้าก็จะถึงทางขึ้นหมู่บ้าน” ผมก็ถามพี่ตำรวจว่า “โรงเรียนที่จะไปนี้ หมู่บ้านชาวเขาเผ่าไหนครับ” พี่บอกว่าเป็น “ชาวเขาเผ่ามูเซอดำ” พี่ตำรวจแกก็เร่งฝีเท้าเดินเร็วขึ้น ผมก็เดินตามติด ๆ เมื่อเดินผ่านภูเขาพ้นกลุ่มต้นไม่ใหญ่ก็แลเห็นหมู่บ้านอยู่บนภูเขาลูกข้างหน้า ผมมีความรู้สึกดีใจเมื่อเห็นหมู่บ้าน มองดูนาฬิกาบอกเวลา ๑๔.๓๐ นาฬิกา.

ทุกคนก็เร่งฝีเท้าเร็วขึ้นกว่าเดิม เมื่อเดินทางถึงหมู่บ้านพี่ตำรวจก็นำผมเดินไปบ้านหลังหนึ่ง มีบริเวณหน้าบ้าน พี่ตำรวจบอกผมว่าเป็นของผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ขณะที่เราเดินเข้าบ้านหลังดังกล่าวมีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านพร้อมกับชาวบ้าน ๔ คน ออกมาต้อนรับ จากนั้นชาวบ้านได้นำน้ำมาให้ดื่ม และได้นั่งคุยกัน พี่ตำรวจได้แนะนำตัวผมว่าเป็นครูที่จะมาสอนลูกหลาน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้ ชี้ไปข้างหน้าซึ่งเป็นยอดภูเขา ที่เป็นที่ตั้งอาคารโรงเรียน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก็ว่าวันนี้พักผ่อนเสียก่อนพรุ่งนี้ค่อยไปดู เมื่อพี่ตำรวจได้แนะนำตัวผมเสร็จแล้วพี่ตำรวจบอกว่าพี่เสร็จภารกิจเรียบร้อยแล้วพี่จะเดินทางกลับกองร้อย ผมถามว่าพี่จะกลับมันมืดนะ ระยะทางหรือก็ไกล พี่บอกว่าเดินแบบนี้จนชินแล้ว จากนั้นพี่ตำรวจทั้ง ๒ คนก็ได้ทุกคนแล้วก็รีบเดินลงภูเขาไป

เมื่อพี่ตำรวจทั้ง ๒ คนเดินลับหายจากสายตา ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก็พาผมไปที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่บริเวณใกล้ ๆ บ้านของผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ชี้ว่าบ้านหลังนี้ชุดพัฒนาการกองร้อยตำตระเวนชายแดนสร้างไว้เป็นบ้านพักของครู ผมได้ขึ้นบนบ้านเป็นบ้านที่ใช้ไม้ไผ่ทำเป็นฝากบ้านและทำเป็นพื้นปูพื้นบ้าน หลังคามุงสังกะสี ลักษณะบ้านเป็นบ้านชั้นเดียวใต้ถุงสูง มีห้อง ๑ ห้อง มีทำครัว ๑ ห้อง มีลานบ้าน

ผมนำอุปกรณ์ที่นำมา โดยเป้หลังของผมที่ชาวเขาได้แบกมาให้ เขานำไปฝากไว้ที่บ้านผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ผมนำอุปกรณ์ต่าง ๆโดยทำที่นอนก่อน จากนั้นถอดเสื้อตำรวจชุดสีเขียวที่ใส่มาออกผึ่งแดดตากลม ผมถามผู้ช่วยผู้ใหญ่ว่าส้วมและน้ำอาบผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านชี้ห้องส้วมที่อยู่ข้างบ้านพักซึ่งเป็นส้วมหลุม ส่วนที่อาบน้ำชี้ลงไปลำธารเล็ก ๆ ต้องเดินลงไปอาบน้ำ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบอกว่าวันนี้ชาวบ้านเขาเตรียมน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่เอาไว้ให้แล้ว จากนั้นผมสำรวจรอบบ้านพัก มองไปทางทิศตะวันออกมีบ้านปลูกเป็นแถวตามสันเขา มองไปทางทิศตะวันตกมีบ้านปลูกเป็นแนวตามสัน เขามองด้านทิศเหนือและด้านทิศใต้ จะเป็นหุบเขาไปตามแนวภูเขา จากนั้นผมมานั่งพักมองดูรอบ ๆ บริเวณ จนกระทั่งแสงดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า ผมรีบไปอาบน้ำโดยนำกระบอกไม้ไผ่ที่ใส่น้ำมีประมาณ ๕ กระบอก ผมใช้อาบประมาณ ๓ กระบอกเอาเหลือไว้ ๒. กระบอก เอาไว้ต้มน้ำเก็บไว้ดื่ม

ใกล้แสงดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้าผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้นำข้าวและหมูทอดมาให้ผมกินเป็นอาหารมื้อเย็น และบอกว่าถ้าครูต้องการอะไรให้บอกผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหรือลูกบ้านคนอื่น ๆ ก็ได้ จากนั้นผมรีบทำธุระให้เสร็จสิ้นก่อนความมืดเข้าครอบคลุม ผมรีบกางมุ้งหาเทียนไม้ขีดเตรียมพร้อม จากนั้นความมืดก็เข้าครอบคลุม ผมจุดเทียนเอาหนังสือการ์ตูนที่นำมาด้วยเอาออกมานอนอ่านเล่นเพื่อผ่อนคลาย พอแสงเทียนหมดเล่มความมืดก็แทนที่ ผมได้นอนและฟังเสียงต่าง ๆ เสียงสุนัขเห่าหอนในบางครั้ง บางครั้งมีเสียงคนพูดเสียงหัวเราะ ผมนอนฟังเสียงต่าง ๆ จนหลับไปด้วยเหนื่อยอ่อนจากการเดินทาง

สะดุ้งตื่นได้ยินเสียงไก่ขัน เสียงคนเดินผ่านบ้านพัก มองดูนาฬิกาเป็นเวลา ๖ โมงเช้า จึงได้ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาจากน้ำที่เหลือ ออกมายืนหน้าบ้านพัก เห็นแสงดวงอาทิตย์แต่ด้านล่างภูเขายังมีกลุ่มเมฆลอยอยู่ต่ำ มีสายลมหนาวพัดผ่านเป็นระยะ ๆ ขณะที่ผมกำลังยืนที่หน้าบ้านพัก ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้เดินออกมาจากบ้านเดินเข้าคุยกับผม สอบถามนอนสบายดีไหม ผมบอกว่านอนสบายดีแต่ตอนดึกอากาศหนาวพอทนได้ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบอกว่าตอนนี้เป็นเดือนพฤษภาคมอากาศยังไม่หนาว ยังมีแสงแดดส่องพออบอุ่น ถ้าราวเดือนตุลาคมอากาศบนภูเขาและหมู่บ้านอากาศจะหนาว บางวันจะมีหมอกปกคุมทั้งวัน

ผมได้ยืนพูดกับผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านนานพอสมควร จากนั้นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้ชวนให้ผมไปกินข้าวเช้า ผมได้ร่วมกินข้าวกับผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมีชาวบ้านร่วมกินข้าวด้วย ๒ คน ขณะที่กินข้าวผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบอกว่าสิ่งของอุปกรณ์การเรียนการสอน ได้ให้ชาวบ้านเอาม้าไปบรรทุกเอาอุปกรณ์แล้วราว ๆ บ่าย ๆ อุปกรณ์คงขึ้นมาถึงหมู่บ้าน และตอนสาย ๆ จะพาผมไปดูอาคารเรียนของโรงเรียน เมื่อกินข้าวเสร็จก็ได้แยกย้ายกับบ้านพัก

ผมกลับไปนอนเล่นที่บ้านพักจนกระทั่งเวลา ๑๐ นาฬิกา ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านพร้อมกับชาวบ้าน ๕ คน ได้เดินมาหาผมที่บ้านพักได้ชวนไปดูอาคารโรงเรียน ผมพร้อมคณะได้เดินตามทางเล็ก ๆ ผ่านบ้านหลังเล็กหลังใหญ่เดินขึ้นไปทิศเหนือของหมู่บ้าน เมื่อเดินพ้นหมู่บ้าน พบที่ราบบนภูเขามีอาคารโรงเรียน ซึ่งสร้างด้วยไม้ไผ่หลังคามุงด้วยใบคา ฝาโรงเรียนทำด้วยไม้ไผ่ ที่นั่งเรียนก็ทำด้วยไม้ไผ่ผ่าเป็นซีก ๆ ปูเป็นแผ่นทำเป็นโต๊ะทำเป็นเก้าอี้ มีอยู่ ๖ เก้าอี้และโต๊ะ ไม่มีกระดาน มีเสาธงทำด้วยไม่ไผ่ ผมมองดูอาคารโรงเรียนประมาณสร้างมาแล้ว ๖ เดือน เพราะสภาพอาคารไม่เคยมีใครมาทำความสะอาดเลย บริเวณโรงเรียนจะเป็นที่ราบลาดไปตามแนวภูเขา. มีลานกว้างผมนึกในใจว่าลานดังกล่าวคงเป็นสนามไว้ให้นักเรียนไว้เล่นหรือกำลังกาย ผมจึงถามผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านว่าสนามนี้ใช้ทำอะไร ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบอกว่าตำรวจตระเวนชายแดนให้ชาวบ้านช่วยทำเพื่อเป็นสนามให้เครื่องบน ฮ. ลงเพื่อจะได้มีแพทย์ พอสว.ลงมารักษาชาวบ้าน ตั้งแต่ทำสนามเสร็จก็ไม่มีเครื่องบิน ฮ. ลงเลย

จากนั้นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านพากันกลับลงมาที่หมู่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้เดินเข้าไปในบ้านและนำแผ่นไม้อัดแผ่นใหญ่ ๑ แผ่น พร้อมกับสีน้ำมันสีเขียว ๑ กระป๋องใหญ่ มาให้ผม.และบอกว่าเก็บไว้ให้ ครูที่มาสอนโรงเรียน ผมถามหาแปรงทาสีผู้ช่วยผู้ใหญ่บอกว่าไม่มี ผมจะทาสีได้อย่างไร ผมนั่งนึกจะหาวิธีทาสีกระดานได้อย่างไร นึกหาเศษผ้าใช้แทนแปรงทาสี จากนั้นผมกับชาวบ้านช่วยกันใช้เศษผ้าชุบสีช่วยกันทาไม้อัดเพื่อใช้เป็นกระดานเขียนเป็นอุปกรณ์การเรียนการสอน เมื่อทาสีจนสีหมดก็ได้กระดาน ๑ แผ่น จากนั้นนำไปแตกแดดให้แห้ง

ขณะที่ผมกับชาวบ้านช่วยกันทาสีกระดานอยู่นั้น มีเด็กที่จะมาเป็นนักเรียนจำนวน ๑๐ คน ได้มาช่วยผมจัดการเอากระดานไปติดตั้งที่อาคารโรงเรียนเมื่อติดตั้งกระดานแล้วก็ให้นักเรียนทั้งหมดช่วยกันทำความสะอาดบริเวณรอบ ๆ โรงเรียนจากนั้นผมได้พานักเรียนทั้งหมดกลับมาที่บ้านพักเพื่อจะได้แจกหนังสือเรียนและเครื่องแบบนักเรียน ผมได้จดชื่อนักเรียนทั้งหมดไว้ มีนักเรียนชาย ๖ คน นักเรียนหญิง ๔ คน ผมได้หนังสือเรียนและเครื่องเรียน ชุดนักเรียนทั้งชายและหญิงสวมใส่แล้วจะตัวใหญ่กว่าผู้สวมใส่ ผมตรวจยอดจำนวนนักเรียนที่ทางกองกำกับการตำรวจตระเวนชายมอบ ยอดนักเรียนมีจำนวน ๕๐ คน แต่ยอดปัจจุบันมีเพียง ๑๐ คน

ยอดที่ผมเบิกอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็จำนวน ๕๐ ชุด ผมถามผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านว่า แจ้งยอดนักเรียนก่อนจะร้องขอตั้งโรงเรียนนั้น จำนวนยอดนักเรียนเท่าใด ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านแจ้งยอดก่อนขอตั้งโรงเรียนมีนักเรียนทั้งหมด ๕๐ คน นักเรียนชาย ๓๐ คน นักเรียนหญิง ๒๐ คน ปัจจุบันนี้นักเรียนที่ยังขาดอยู่นั้น ได้ไปช่วยผู้ปกครองทำไร่อยู่ตามไหล่ภูเขา คงจะกลับมาเรียนเมื่อโรงเรียนมีครูมาสอนและเปิดเรียน ผมจึงได้จัดภารกิจต่าง ๆ เกี่ยวกับนักเรียนและอุปกรณ์การเรียนการสอนเสร็จเรียบร้อย ผมได้นัดนักเรียนทั้งหมดว่าวันพรุ่งนี้เวลา ๘.๐๐ น.ให้นักเรียนทั้งหมดไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน พร้อมให้สวมใส่ชุดนักเรียนและนำอุปกรณ์การเรียนมาด้วย จากนั้นนักเรียนทั้งหมดได้แยกย้ายเดินกลับบ้าน

ผมจึงจัดการภารกิจของผม ก่อนที่แสงดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้า มีนักเรียน ๒ คน อาสาจะมาอยู่กับผม โดยผู้ปกครองของนักเรียนทั้ง ๒ คน ยินยอมให้มาอยู่กับครูเพื่อคอยช่วยครูตักน้ำและหุงข้าว นักเรียนทั้ง ๒ คนหายไปพักหนึ่งกลับมาอีกทีเอาผ้าห่มมุ้งมาด้วยพร้อมกระบอกไม้ไผ่คนละ ๓ กระบอกมีน้ำเต็มกระบอก นักเรียนทั้ง ๒ คนจัดการธุระของตนเอง ผมถามชื่อนักเรียนทั้ง ๒ คน นักเรียนตัวเล็กบอกว่า จะเสือ อีกคนชื่อ จะก้า ผมสังเกตนักเรียนที่ชื่อจะก้า จะพูดไม่ชัดออกเสียงพูด อา อา ๆ มีรูปร่างโตกว่าจะเสือ ผมจุดไฟเพื่อจะหุงข้าว จะเสือและจะก้าบอกว่าไม่ต้องหุงข้าวเพราะได้นำมาจากบ้านโดยผู้ปกครองได้ห่อข้าวกับเนื้อหมูปิ้งมาให้ครูกิน ผมและนักเรียนจึงได้นำข้าวและกับข้าวมาร่วมกินด้วยกัน เมื่อเสร็จจากกินข้าวแล้ว แสงดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า แสงจันทร์เริ่มส่องสว่างขึ้น ผมจุดเทียนไขเพื่อให้เกิดแสงสว่าง จากนั้นเตรียมอุปกรณ์การนอน กางมุ้ง นักเรียนทั้ง ๒คน ก็กางมุ้งนอนข้าง ๆ ผม

ได้เวลาเข้านอนผมอยู่ในมุ้งนอนดูนักเรียนใหม่ของผม ๒ คนได้นอนคุยกันผมนอนฟัง ผมฟังไม่รู้เรื่อง ๒ คนเขาพูดภาษาเผ่ามูเซอดำ ผมนอนหัวเราะอยู่ในใจ จะต้องหัดพูดภาษามูเซอดำให้ได้ และมีความรู้สึกว่าอบอุ่นไม่ต้องระแวงภัยที่จะมาถึงตัวเอง นึกว่าถ้ามายิงผมมันก็ต้องถูกนักเรียนด้วยผู้ปกครองนักเรียนคงจะไม่ยอม ผมนอนนึกไปว่าพรุ่งนี้นักเรียนจะมากี่คนเวลาดึก ๆ เสียงวัวที่ชาวบ้านเลี้ยงร้องเป็นระยะเสียงร้องไกล ๆ ใกล้ ๆ เสียงหมูชาวบ้านร้องบาง ยิ่งดึกยิ่งมีเสียงร้องแปลก ๆ สอดแทรกมาเป็นบางจังหวะ ผมนอนฟังเสียงเหล่านี้จนหลับไป

ผมสะดุ้งตื่นได้ยินเสียงคนเดินรอบบ้านพัก มีเสียงสุนัขเห่ารอบ ๆ บ้านพัก ผมดูนาฬิกาข้อมือบอกเวลา ๖ โมงเช้า มองออกไปด้านบ้านพักยังมืดอยู่ยังไม่มีแสงดวงอาทิตย์ เห็นมีแต่กลุ่มหมอกเมฆลอยผ่านบ้านพักไปอย่างช้า ๆ กลุ่มเมฆได้ไหลผ่านไปเป็นระยะ ๆ อากาศข้างนอกอากาศยังหนาวเย็น ผมมองหาเสียงคนที่เดินรอบบ้านพักพยายามมองไปรอบ ๆ บ้านพัก ก็ไม่พบผู้คนเลย เห็นวัวเดินผ่านถนนกลางหมู่บ้านไปรวมกลุ่มกัน ผมนั่งดูรอบ ๆ บ้านพัก จนกระทั่งเห็นแสงดวงอาทิตย์ขึ้นขอบฟ้าทางทิศตะวันออก แสงดวงอาทิตย์เริ่มส่องสว่าง ความมืดก็จางหายไป ทุกสิ่งก็เห็นเด่นชัดเจน ผมมองไปทางขอบฟ้าทิศตะวันออก เห็นกลุ่มเมฆลอยต่ำมองเห็นเหมือนเป็นทะเลสีขาวกลุ่มเมฆได้ลอยผ่านตัวผม เมื่อกลุ่มเมฆผ่านตัวผมรู้สึกหนาวเย็น มองดวงอาทิตย์แสงจะส่องบนกลุ่มเมฆมองดูเหมือนว่าดวงอาทิตย์ขึ้นอยู่เหนือกลุ่มเมฆ

ผมและนักเรียนทั้ง ๒ คน ได้ลุกขึ้นทำธุระของตนจนเสร็จเรียบร้อย ผมได้หุงข้าวโดยใช้ก้นลองกระดิกน้ำเป็นหม้อหุงข้าว เอาปลากระป๋องและอาหารสำเร็จรูปที่ผมเบิกจากกองกำกับตำรวจตระเวนชายแดน เอามากินพร้อมนักเรียนทั้ง ๒ คน เมื่อกินอาหารเสร็จได้เตรียมตัวจะพากันเดินไปที่โรงเรียนตามที่นัดหมายไว้ นักเรียนทั้ง ๒ คน ได้เสื้อผ้าชุดนักเรียนที่แจกให้เอามาสวมใส่ ชุดนักเรียนจะโตกว่าผู้สวมใส่ ผมมองดูก็อดหัวเราะไม่ได้ ผมแก้ปัญหาโดยใช้เชือกผูกเป็นเข็มขัดลัดให้แน่น ก็แก้ปัญหาได้ เมื่อทุกคนพร้อมได้ลงบันไดเพื่อจะเดินไปโรงเรียน พบนักเรียนทั้ง ๘ คนได้ยืนรอผมอยู่ จากนั้นก็ได้เดินไปพร้อมกัน โดยมี เด็กชายจะเสือเป็นผู้เดินนำทางไปโรงเรียน

ขณะที่ผมเดินแถวตามนักเรียนไปตามถนนในหมู่บ้าน ผมเห็นว่านักเรียนแต่ละคนจะใช้มือจับที่กางเกงเพื่อไม่ให้กางเกงหลุด แต่นักเรียนผู้หญิงเห็นใช้เชือกมัดผูกไว้ ผมเบิกเสื้อผ้านักเรียนมานั้น ปรากฎว่าชุดนักเรียนเหลือขนาดเดียว ส่วนขนาดเล็กกว่านี้ ครูตำรวจตระเวนชายแดนโรงเรียนอื่นเขามาเบิกไปก่อนจึงเหลือแต่ขนาดใหญ่ไว้ ผมและนักเรียนใหม่เดินมาถึงโรงเรียน ผมให้นักเรียนเลือกที่นั่งได้ตามสบาย นักเรียนหญิงก็จะไปนั่งคู่กัน นักเรียนชายก็มานั่งคู่กัน นักเรียนทั้งหมดมี ๑๐ คน นั่งคู่กันพอดี โต๊ะนั่งของนักเรียนและโต๊ะครูมีสภาพเดียวกันคือแทบจะนั่งไม่ได้ เพราะชาวบ้านสร้างไว้หลายเดือนแล้ว เสาธงผมต้องให้นักเรียนช่วยกันเอาเชือกผูกร้อยห่วงเอาเชือกลวดห่วงดึงเชือกให้ยาว จากนั้นให้เด็กชายจะก้า เอาธงชาติมาผูกโดยผมมอบหมายให้เด็กชายจะก้า เป็นผู้รับผิดชอบนำธงชาติขึ้นและลงทุกวัน ผมให้เด็กชายจะก้าพร้อมเด็กนักเรียนผู้หญิงออกมายืนหน้าแถว เพื่อจะเป็นผู้ชักธงขึ้น กว่าจะได้เด็กนักเรียนหญิงมาคู่กับเด็กชายจะก้าได้ต้องเสียนานพอสมควร เพราะเด็กนักเรียนหญิงจะไม่กล้าแสดงออก เมื่อทุกคนเข้าที่แล้วผมก็ร้องเพลงชาตินำให้นักเรียนร้องเพลงชาติตามกว่าจะจบเพลงชาติได้เล่นเอาคอแห้งไม่เบา

เสร็จแล้วได้บอกนักเรียนใหม่ทั้ง ๑๐ คนเข้าชั้นเรียน จากนั้นได้เรียกนักเรียนมาหาที่ละคน ถามชื่อนักเรียน ชื่อบิดามารดา อาชีพถามทีละคนรู้สึกมึนหัวหมด ชื่อนักเรียนแต่ละคนเขียนยาก ชื่อบิดามารดาก็เขียนยากส่วนอาชีพเขียนง่ายหน่อยส่วนมากจะประกอบอาชีพทำสวนทำไร่ ผมใช้เวลาการเขียนชื่อแต่ละคนจนครบทั้งหมด ๑๐ คน จนถึงเวลาเทียงต้องหยุดกินข้าว ผมนำข้าวและกับข้าวที่เหลือตอนเช้าเอามากินกับนักเรียนด้วย กินข้าวร่วมกับเด็กนักเรียนรู้สึกว่ากินข้าวมันก็อร่อยดี เมื่อกินเสร็จเป็นเวลาพักเรียน เด็กนักเรียนก็มารวมกลุ่มเล่นตามประเพณีมีการร้องเพลงประกอบการเล่น ผมดูก็เพลินดี เด็กนักเรียนบางคนเล่นไปกางเกงก็จะหลุดทำให้เกิดการหัวเราะ ผมได้หาเชือกโดยเอาใยไม้ไผ่มามัดแทนเชือกมันก็แก้ปัญหาได้เป็นบางราย
117925.jpg (90.9 KiB) เข้าดูแล้ว 2467 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4378
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D สายัณห์สวัสด์ครับ ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพและญาติธรรมที่รักทุก ๆ ท่าน เมื่อครั้งผมทำงานประจำอยู่ กก.ตชด.๓๔ มี รร.ตชด.อยู่หลายโรง แต่เสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยียน ทั้ง ๆ ที่ชีวิตผมเริ่มมาจาก ครู ตชด.เช่นกัน ทั้งนี้เนื่องจากภาระหน้าที่และความรับผิดชอบ ด้านอื่นที่มากมายรออยู่ในแต่ละวัน ในใจผมนั้นยังมีครู ตชด.อยู่ในใจเสมอ มีโอกาสให้ความดีความชอบเมื่อใด จะทันทีครับ เช้านี้มาติดตามภารกิจ ตชด.ก่อนที่จะไปติดตามชีวิตครู ตชด.ตอนที่ ๔ กับ พ.ต.ท.ปริญญา ฯ ครับ :) :D

:) :D รายงานพิเศษ ครู ตชด.ที่ 347 อ.อุ้มผาง จ.ตาก วิถีชีวิตผู้เสียสละ :) :D

:) :D เป็นครูบนดอย ไม่ใช่เรื่องง่าย :) :D

:shock: :shock: ราตรีนี้บนสวรรค์พลันคึกคัก
เหล่าเด็กน้อยน่ารักไร้เดียงสา
กำลังอ้อนเจ้าเล่ห์เจรจา
มีคุณครูนางฟ้ามาดูแล

ณ ที่นี่แปลกใหม่กว่าในห้อง
จึงไม่ร้องวายวุ่นหาคุณแม่
ตุ๊กตามากมีหลากสีแปร
ไม่ต้องแย่งตามแต่แค่คว้ามา

มีน้ำนมสีทองน่าลองลิ้ม
เพียงคำหนึ่งก็อิ่มยิ้มหรรษา
สนุกเล่นเรียนรู้สู่มรรคา
เพื่อเติบใหญ่เป็นนางฟ้า...หนองบัวลำภู .... # โดย กวีเหลวไหล ๖ ตุลาคม ๖๕

ปะเเป้ง เเต่งตัว เเล้วนอนพัก
หวังสักพัก ตายาย คงมาถึง
คงจูงเเขน เดินกลับบ้าน เหมือนคำนึง
รอตายาย มาถึง คงตื่นนอน

เลยหลับไหล ท่องไป ในนิมิตร
หลับสนิท สุขใส ในความฝัน
เสียงกระสุน ยิงสาด พรากชีวัน
นึกว่าฝัน ที่ไหนได้ ความเป็นจริง

คิดในใจ ทำไม เราไม่ตื่น
คนอื่นๆ ตื่นเหมือนเรา หรือป่าวหนอ
จนป่านนี้ ตากับยาย คงเฝ้ารอ
ที่ไหนหนอ เราโดนยิง ทิ้งชีวัน

ถามในใจ ทำไม ถึงยิงหนู
รู้ไหมปู่ ตายาย เฝ้าหวงหา
ผิดอะไร ถึงพรากหนู จากคุณตา
ป่านนี้คง เฝ้าห่วงหา ร้องคร่ำครวญ ...#ขอให้วิญญาณหนูๆสู่สุคติ #ซองดูฮี-ผู้ประพันธ์

สองบทประพันธ์จากกวีทำเอาน้ำตาไหล คิดนะครับ ถ้าเป็นลูกเราสำหรับผม “คงตาย” ผมต้องทำใจอยู่หลายเพลาครับ กว่าจะกลับมาฟื้นจิตฟื้นใจได้ ไม่นึกนะครับเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดในบ้านเราเมืองเราที่เป็นเมือง พุทธ แต่ถ้าศึกษาและปฏิบัติธรรมมานานจะรู้ครับว่า ไม่ใช่จะพึ่งมามี มันมีมานานตั้งสมัยพุทธกาลแล้ว ไปศึกษากันครับ
:( :(

:idea: :idea: ในสมัยพุทธกาล ก็มีเหตุการณ์สังหารหมู่เกิดขึ้นอย่างน้อย ๒ ครั้งคือ

๑. เหตุการณ์แรกมีโจรชื่อองคุลีมาล ฆ่าชาวบ้านเพื่อตัดเอานิ้ว ๙๙๙ คน และกำลังจะฆ่าแม่ของตัวเองเป็นคนที่ ๑,๐๐๐

๒. พระเจ้าวิฑูฑภะ กษัตริย์ปกครองแคว้นโกศลฆ่าล้างโคตรเหล่าพระญาติของพระพุทธเจ้าคือ พวกศากยวงศ์ จนตายเกือบหมด

หากมองในมุมของคนที่ไม่รู้เรื่องกฏแห่งกรรม ก็จะมองว่า องคุลีมาลกับวิฑูฑภะช่างเป็นคนจิตใจเหี้ยมโหดมาก ฆ่าได้แม้แต่คนที่ไม่ได้รู้จักกัน ไม่ได้มีเหตุแค้นเคืองกัน ฆ่าได้ไม่เลือกแม้แต่เด็กหรือคนชรา

การจะฆ่ามนุษย์ได้ แน่นอนจิตใจจะต้องเหี้ยมโหดหรือวิปริตแน่นอน ถึงจะบังคับให้ร่างกายไปสังหารคนได้ แต่เบื้องหลังที่โหดกว่านั้นคือ กฏแห่งกรรมต่างหาก ที่เป็นผู้จัดฉากอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านั้น จากเหตุการณ์สังหารหมู่ในสมัยพุทธกาล ก็ย่อมจะเป็นข่าวดังในสมัยนั้น มีหรือที่ผู้คนจะไม่โจษจันกัน และเอาไปถามความเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าผู้รู้แจ้งโลกทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต ก็ไม่ได้กล่าวประณามองคุลีมาลและวิฑูฑภะเหมือนคนทั่วไปที่ล้วนประณามผู้ก่อเหตุแต่อย่างใด แต่กลับเล่าถึงบุพกรรมของเหยื่อเหล่านั้นว่าเคยประกอบเหตุอะไรมาบ้าง เช่น กรณีขององคุลีมาล เหล่าเหยื่อที่ถูกฆ่า ในอดีตก็เคยฆ่าองคุลีมาลมาก่อน ในชาติที่เกิดเป็นเต่าได้ช่วยชีวิตคนทั้ง ๑,๐๐๐ นั้นไว้ แต่ตอนหลังคนเหล่านั้นกลับฆ่าเต่าผู้มีพระคุณนั้นมากินเป็นอาหาร เต่าจึงได้จองเวร และเกิดเป็นโศกนาฏกรรมขึ้นดังที่เห็นในชาติปัจจุบัน

ส่วนกรณีพวกเหล่าเจ้าศากยวงศ์ที่ถูกสังหารหมู่ ก็เพราะในอดีตเคยร่วมกันโปรยยาพิษลงในแม่น้ำ ทำให้สัตว์น้อยใหญ่รวมทั้งมนุษย์ล้มตายเป็นจำนวนมาก เมื่อวิบากกรรมได้โอกาสส่งผล กฏแห่งกรรมก็เป็นทั้งผู้กำกับและผู้จัดฉากให้เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ขึ้นดังตัวอย่าง โดยเอาความแค้นของวิฑูฑภะเป็นชนวน

เมื่อจบการระลึกชาติอดีตแต่หนหลังของเหล่าผู้เคราะห์ร้าย พระพุทธเจ้าก็มักจะสรุปว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้ไม่สมกับเหตุที่กระทำในปัจจุบัน แต่ก็จะสมกับอกุศลกรรมที่ทำไว้ในอดีตเสมอ ดังนั้น เวลาเกิดเหตุการณ์อันน่าสะเทือนใจใด ๆ ขึ้น ชาวพุทธก็ควรระลึกถึงคำสอนของพระบรมศาสดาเสมอว่า ...

อกตํ ทุกฺกฎํ เสยฺโย ... ความชั่ว ไม่ทำเสียเลยดีกว่า
ปจฺฉา ตปฺปติ ทุกฺกฏํ ... ความชั่ว ทำให้เดือดร้อนภายหลัง
กมฺมุนา วตฺตตี โลโก ... สัตวโลกย่อมเป็นไปตามกรรม

ซึ่งโหดร้ายที่สุด ก็คือ กฏแห่งกรรม เพราะเวลาถูกลงโทษมันไม่บอกด้วยว่า ผิดเพราะคดีอะไร ทำไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แอบทำไม่มีใครเห็นหรือลืมไปแล้วมันก็ยังตามมาปรับคดีได้ จนเรายังงงว่า ทำดีขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ยุติธรรมเลย
:idea: :idea:
ไฟล์แนบ
102085.jpg
102085.jpg (23.39 KiB) เข้าดูแล้ว 2361 ครั้ง
3750.jpg
3750.jpg (47.78 KiB) เข้าดูแล้ว 2361 ครั้ง
ในกลุ่มคนเลวคือ คนไม่ดี (คนไม่มีคุณธรรม ไม่มีศีลธรรม) จะมีแต่ความวุ่นวาย เข่นฆ่า ทำลายล้างกันและกัน หาความสุขสงบไม่ได้ แต่ก็เป็นวิถีทางของคนเลว เขาก็มีความสุขในแบบของเขา<br /><br />ในกลุ่มคนดี (คนมีคุณธรรม ศีลธรรม) จะช่วยเหลือเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน เห็นใจกัน มีแต่จะมีความสงบสุข ร่มเย็น<br /><br />มนุษย์ป็นสัตว์สังคม สังคมมนุษย์จึงต้องมีผู้นำ เมื่อใดผู้นำเป็นคนมีศีล มีธรรมประจำใจ สังคมก็จะสงบร่มเย็นเป็นสุข มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง แต่ถ้าผู้นำขาดศีลขาดธรรม รังแต่บ้านเมืองจะพบพานกับความวิบัติ เร่าร้อนลุกเป็นไฟ เช่นกัน
ในกลุ่มคนเลวคือ คนไม่ดี (คนไม่มีคุณธรรม ไม่มีศีลธรรม) จะมีแต่ความวุ่นวาย เข่นฆ่า ทำลายล้างกันและกัน หาความสุขสงบไม่ได้ แต่ก็เป็นวิถีทางของคนเลว เขาก็มีความสุขในแบบของเขา

ในกลุ่มคนดี (คนมีคุณธรรม ศีลธรรม) จะช่วยเหลือเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน เห็นใจกัน มีแต่จะมีความสงบสุข ร่มเย็น

มนุษย์ป็นสัตว์สังคม สังคมมนุษย์จึงต้องมีผู้นำ เมื่อใดผู้นำเป็นคนมีศีล มีธรรมประจำใจ สังคมก็จะสงบร่มเย็นเป็นสุข มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง แต่ถ้าผู้นำขาดศีลขาดธรรม รังแต่บ้านเมืองจะพบพานกับความวิบัติ เร่าร้อนลุกเป็นไฟ เช่นกัน
127890.jpg (37.59 KiB) เข้าดูแล้ว 2361 ครั้ง
127891.jpg
127891.jpg (37.96 KiB) เข้าดูแล้ว 2361 ครั้ง
229518.jpg
หลังจากที่ทานมื้อเที่ยงกันเสร็จ โชคดีพระท่านคงออกจากสมาธิ เดินมายังอาคารศาลาธรรม เรา ๒ คนจึงรีบไปรายงานตัว เราอยู่สนทนากับท่านเป็นเวลานาน พอสมควร ก่อนที่จะลากลับ ลืมที่จะบันทึกภาพต่าง ๆ ไว้ ตั้งใจไว้ว่าจะกลับมาอีกครั้งครับ
หลังจากที่ทานมื้อเที่ยงกันเสร็จ โชคดีพระท่านคงออกจากสมาธิ เดินมายังอาคารศาลาธรรม เรา ๒ คนจึงรีบไปรายงานตัว เราอยู่สนทนากับท่านเป็นเวลานาน พอสมควร ก่อนที่จะลากลับ ลืมที่จะบันทึกภาพต่าง ๆ ไว้ ตั้งใจไว้ว่าจะกลับมาอีกครั้งครับ
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (103).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (103).JPG (137.38 KiB) เข้าดูแล้ว 2361 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (104).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (104).JPG (144.2 KiB) เข้าดูแล้ว 2361 ครั้ง
วัดปากกอง บ.ธิ นะครับ ไม่ใช่ปากกองสารภี ผมผ่านไปผ่านมา ไม่เคยแวะเลย คุยกันว่า ครั้งหน้าเราจะเข้ามาเก็บภาพและเยี่ยมเยียน สักครั้งให้ได้
วัดปากกอง บ.ธิ นะครับ ไม่ใช่ปากกองสารภี ผมผ่านไปผ่านมา ไม่เคยแวะเลย คุยกันว่า ครั้งหน้าเราจะเข้ามาเก็บภาพและเยี่ยมเยียน สักครั้งให้ได้
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (106).JPG (133.97 KiB) เข้าดูแล้ว 2361 ครั้ง
ชีวิตคนเรามันเลือกเกิดไม่ได้ เห็นคนงานอัดแน่นในรถปิคอัพ ก็คิดสงสารเมื่อย้อนมาดูตัวเราเองถือได้ว่า ยังมีบำนาญเลี้ยงชีพ เนื่องจากโชคดีทีพบพระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตัดสินใจ ลด ละ เลิก อบายมุขทั้งหมดทั้งสิ้น พร้อมอโหสิกรรมให้แก่เจ้ากรรมนายเวร ตั้งหน้าปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งยวด เพราะเข้าใจว่า &quot;การปฏิบัติธรรมเท่านั้นคือหนทางที่จะพ้นจากบ่วงกรรมได้&quot; ไม่มีแนวทางอื่นเลย กรรมเป็นของเราแม้พระพุทธเจ้าก็ไม่สามารถ ทำให้เราหมดกรรมไปได้ สาธุ สาธุ พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งครับ
ชีวิตคนเรามันเลือกเกิดไม่ได้ เห็นคนงานอัดแน่นในรถปิคอัพ ก็คิดสงสารเมื่อย้อนมาดูตัวเราเองถือได้ว่า ยังมีบำนาญเลี้ยงชีพ เนื่องจากโชคดีทีพบพระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตัดสินใจ ลด ละ เลิก อบายมุขทั้งหมดทั้งสิ้น พร้อมอโหสิกรรมให้แก่เจ้ากรรมนายเวร ตั้งหน้าปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งยวด เพราะเข้าใจว่า "การปฏิบัติธรรมเท่านั้นคือหนทางที่จะพ้นจากบ่วงกรรมได้" ไม่มีแนวทางอื่นเลย กรรมเป็นของเราแม้พระพุทธเจ้าก็ไม่สามารถ ทำให้เราหมดกรรมไปได้ สาธุ สาธุ พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งครับ
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (107).JPG (90.15 KiB) เข้าดูแล้ว 2361 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (118).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (118).JPG (91.25 KiB) เข้าดูแล้ว 2361 ครั้ง
แวะปั๊มเพื่อลดน้ำหนัก
แวะปั๊มเพื่อลดน้ำหนัก
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (121).JPG (82.23 KiB) เข้าดูแล้ว 2361 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (123).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (123).JPG (98.71 KiB) เข้าดูแล้ว 2361 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (125).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (125).JPG (121.06 KiB) เข้าดูแล้ว 2361 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (128).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (128).JPG (93.09 KiB) เข้าดูแล้ว 2361 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (131).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (131).JPG (87.15 KiB) เข้าดูแล้ว 2361 ครั้ง
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ  (132).JPG
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (132).JPG (101.14 KiB) เข้าดูแล้ว 2361 ครั้ง
ถึงบ้านบ่ายกว่า ๆ รวมระยะทางไปกลับ ๔๐ กว่ากม. เราจะต้องกลับไปอีกเพื่อไปดูว่า ฝนนี้น้ำจะขึ้นขนาดไหน เต็มอ่างหรือไม่ เพราะปีที่แล้วน้ำขาดแคลน เมื่อเราไปเห็นน้ำในอ่างก็ตกใจหากฝนไม่ลงมาเชื่อได้ว่า วิกฤตแน่ชาวสวนลำใย <br /><br />อ่างน้ำและบรรยากาศรอบบริเวณ เรียกได้ว่า เหมาะที่จะไปคลายเครียดพักผ่อนกันครับ อย่าลืมหาโอกาสไปเที่ยวกันนะครับ
ถึงบ้านบ่ายกว่า ๆ รวมระยะทางไปกลับ ๔๐ กว่ากม. เราจะต้องกลับไปอีกเพื่อไปดูว่า ฝนนี้น้ำจะขึ้นขนาดไหน เต็มอ่างหรือไม่ เพราะปีที่แล้วน้ำขาดแคลน เมื่อเราไปเห็นน้ำในอ่างก็ตกใจหากฝนไม่ลงมาเชื่อได้ว่า วิกฤตแน่ชาวสวนลำใย

อ่างน้ำและบรรยากาศรอบบริเวณ เรียกได้ว่า เหมาะที่จะไปคลายเครียดพักผ่อนกันครับ อย่าลืมหาโอกาสไปเที่ยวกันนะครับ
เที่ยวอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ (137).JPG (130.07 KiB) เข้าดูแล้ว 2361 ครั้ง
ตอนที่ ๔<br /><br />๑ ชั่วโมงผ่านไป นักเรียนต้องเข้าเรียนบ่ายโมง ผมบอกชั่วโมงต่อไปเป็นการร้องเพลง เพลงที่จะให้ร้องนั้นคือเพลงชาติไทย ให้ทุกคนร้องตามครูนักเรียนก็ร้องเพลงชาติตามผม ผมสอนให้ร้องเพลงชาติจนบางคนร้องเพลงชาติได้ บางคนก็ร้องเพลงชาติตามเพื่อนได้บ้างไม่ได้บ้าง บางครั้งให้นักเรียนร้องเพลงชาติ บางครั้งร้องเพลงชาติได้หัวลืมท้าย บางครั้งร้องตอนท้ายลืมตอนหัว ผมก็ไม่ว่าอะไรก็ต้องค่อย ๆ สอนไป สลับกับร้องเพลงของเผ่ามูเซอดำบ้าง <br /><br />ขณะที่นักเรียนร้องเพลงของเผ่าจะมีความรู้สึกว่าร้องเพลงเต็มเสียง สนุกสนานในการร้องเพลง ผมจะให้สลับร้องเพลงชาติกับเพลงของเผ่า ผมสอนร้องเพลงชาติจนเวลา ๑๕.๐๐. นาฬิกา ได้เวลาโรงเรียนเลิกแล้ว เด็กชายจะก้ารู้หน้าที่ของเขาเอง คราวนี้มีนักเรียนหญิงออกมาด้วยเพื่อดึงธงชาติลงจากยอดเสา เมื่อทุกคนได้เข้าแถวเอาธงลงจากนั้นก็เดินแถวกลับบ้านโดยมีเด็กชายจะเสือเป็นผู้นำแถว <br /><br />เมื่อเดินผ่านบ้านใครก็เข้าบ้าน  สุดท้ายเหลือผม เด็กชายจะเสือ เด็กชายจะก้า เมื่อถึงบ้านพักเด็กทั้ง ๒ คน ได้ขออนุญาตกลับไปบ้านของตนเอง ผมได้เข้าบ้านพัก นอนเล่นพักผ่อนมีลมเย็น ๆ พัดผ่านตัวผม บางครั้งลมพัดผ่านเย็นสบาย บางครั้งลมพัดผ่านรู้สึกหนาวจับใจจริง ๆ ผมนึกในใจว่าวันนี้ตอนเย็นจะกินอะไรดี อาหารกระป๋องยังมีอยู่ ผมจึงก่อฟืนจุดไฟเอาที่รองกระดิกน้ำเป็นอุปกรณ์หุงข้าว เมื่อข้าวสุกแล้วเด็กชายจะเสือและเด็กชายจะก้า กลับมาบ้านพัก พร้อมด้วยจานใส่ข้าวและถ้วยใส่แกงพร้อมข้าวเหนียว เมื่อทุกคนพร้อมก็ลงมือกินข้าว ผมกินเสร็จก่อนลงบ้านพักเอากระบอกน้ำเทน้ำล้างมือ จากนั้นเด็กนักเรียนทั้ง ๒ คน ก็กินข้าวเสร็จได้เก็บจานถ้วยลงไปล้าง จากนั้นเด็กนักเรียนทั้ง ๒ คน ได้เดินหายไปไหนผมไม่ทันเห็น<br /><br /> ผมนึกในใจว่าทั้ง ๒ คน คงจะกลับไปบ้านของเขาเอง จากนั้นผมได้เดินขึ้นบ้านพักเพราะความมืดเริ่มปกคุมทั่วบริเวณบ้านพักและรอบ ๆ หมู่บ้าน ผมจุดเทียนไขให้เกิดแสงสว่าง เตรียมอุปกรณ์นอนพักเด็กนักเรียนทั้ง ๒ คนได้กลับมาบ้านพัก จากนั้นเด็กนักเรียนได้จัดเตรียมอุปกรณ์การนอนเรียบร้อย จะได้หัดร้องเพลงชาติ ตอนไหนร้องไม่ได้ผมก็สอนวิธีร้องเพลงชาติให้ หัดร้องอยู่หลายครั้ง บางครั้งร้องตอนต้นเพลงได้ตอนกลางตอนท้ายเพลงร้องไม่ได้  <br /><br />ขณะที่สอนร้องเพลงชาติอยู่มีเสียงหัวเราะอยู่รอบ ๆ บ้านพัก ผมตกใจจึงบอกให้เด็กนักเรียนออกไปดูว่ามีใครอยู่รอบบ้านพัก พักหนึ่งมีเสียงหัวเราะเป็นเสียงผู้หญิงมาพร้อมกับเด็กนักเรียนมาเป็นกลุ่มประมาณ ๖ ถึง  ๗ คน เด็กชายจะเสือพูดบอกผมว่า พวกผู้หญิงกลุ่มนี้ขอมาเป็นนักเรียนด้วย ผมบอกว่าพรุ่งนี้ก็ไปสมัครที่โรงเรียน จะได้จดชื่อและแจกหนังเรียนและชุดนักเรียน ผมสังเกตผู้หญิงกลุ่มนี้ไม่ได้เป็นเด็กแต่ตัวโตคงเป็นกลุ่มสาว ๆ ในหมู่บ้าน<br /><br /> ตอนกลางวันจะไม่เห็นในหมู่บ้านเขาจะออกไปทำไร่แต่เช้าจะกลับบ้านตอนเย็น พอเวลากลางคืนจะรวมกลุ่มกัน ร้องเพลงของเผ่า เกาะกันเป็นคู่เอาขาเกี่ยวกันหมุนตามเข็มนาฬิกา เต้นไปตามจังหวะเพลงเป็นเสียงร้องสลับด้วยเสียงแค่ทำด้วยไม้ไผ่ ผมลงจากบ้านพักนั่งดูการเต้น ร้องเพลงและฟังเสียงเป่าแค่  มีเด็กชายจะเสือและจะก้านั่งซ้ายขวา กลุ่มผู้หญิงบางคนมานั่งข้างเด็กชายจะเสือ พยายามจะพูดกับผมด้วยภาษามูเซอ ผมฟังไม่รู้เรื่องเด็กชายจะเสือจะแปรคำพูดให้ทุกคำ จนผมเข้าใจตามที่กลุ่มผู้หญิงต้องการจะพูดกับผม<br /><br /> กลุ่มผู้หญิงกลุ่มนี้จะอธิบายถึงวัฒนธรรมการร้องเพลง การเล่น ให้ผมเข้าใจว่าชาวบ้านจะใช้เวลาตอนกลางคืนมารวมกลุ่มกัน ใครถนัดร้องเพลงก็ร้องเพลงและจะสอนให้มีการสืบทอดกันไป ใครถนัดการเต้น ใครถนัดเป่าแค่ สิ่งเหล่านี้จะถ่ายทอดเด็กรุ่นหลัง กลุ่มผู้หญิงบางคนที่กล้าหน่อยเข้ามาพูดคุยด้วย คนมีความกล้าครึ่ง ๆ กลาง ๆ จะพูดด้วยสองสามคำก็รีบไปยืนแอบหลังเพื่อน ตลอดการสนทนาเด็กชายจะเสือจะเป็นผู้แปรคำพูดทุกคำที่ได้สนทนากัน เวลาผ่านไปดึกกลุ่มผู้หญิงดังกล่าวเริ่มกลับไปบ้านของตนจนเหลือ ๒. คนสุดท้ายกลุ่ม ยังไม่ยอมกลับจนผมมีอาการหาวทั้ง ๒ คนจึงลากลับบ้าน ก่อนจะเดินกลับบ้าน ๑ ใน ๒ คน ได้พูดบอกผมว่า “พรุ่งนี้ตอนกลางคืนจะมาเที่ยวบ้านครูใหม่” พูดเสร็จทั้ง ๒ คน รีบเดินไป ผมเอะใจว่าคำพูดเมื่อกี้มันเป็นคำพูดภาษาไทยชัดเจน โดยเด็กชายจะเสือไม่ต้องแปรเลย ผมเลยตบท้ายไปว่า “พูดภาษาก็เป็นนี่” <br /><br /> เมื่อทุกคนกลับไปหมดแล้ว ผมจึงชวนเด็กนักเรียนขึ้นบ้านพักจากนั้นก็ได้เข้าไปดับแสงเทียนไข ความมืดก็ปกคุ้มบ้านพัก ผมนอนนึกอยู่ว่าวันพรุ่งนี้ก็ต้องสอนร้องเพลงชาติให้ได้ สักพักอากาศเริ่มเย็นยิ่งดึกอากาศหนาวเย็น ผมนอนห่มผ้าห่มพยายามไม่ให้ตัวกระดิกเพราะจะเกิดช่องลมจะทำให้ลมเย็นสอดแทรกไปตามช่องว่าง ผมนอนต่อสู้กับลมเย็นจนหลับไป<br /><br />            ผมสะดุ้งตื่นอีกครั้งได้ยินเสียงไก่ป่าขันรับกันเป็นทอดๆ มองดูนาฬิกาเป็นตีห้ากว่า จะนอนต่ออีกแต่มันไม่หลับแล้ว เพราะผมขยับตัวทำให้เกิดช่องลม อากาศเย็นมันแทรกเข้าช่องว่าง ความหนาวมันก็วนรอบตัว ซึ่งไม่สามารสจะนอนได้ จึงต้องลุกขึ้นมาก่อไฟ เด็กชายจะก้าและจะเสือลุกขึ้นตามผมช่วยก่อไฟ เมื่อไฟลุกติดฟืนแล้ว ความร้อนจากฟืนช่วยลดความหนาวลงไปบ้าง ผมและเด็กชายช่วยเอาข้าวมาหุงเสร็จแล้วเตรียมอาหาร โดยผมให้เด็กชายเอาอาหารกระป๋องที่ผมเตรียมด้วยเปิดใส่จาน แล้วตักข้าวกินด้วยกัน<br /><br /> แสงอาทิตย์เริ่มสว่างพ้นยอดภูเขา แสงแดดส่องผ่านเมฆหมอกที่เกาะติดกันเหมือนคลื่นทะเล เมฆหมอกไหลเป็นแนวยาวไหลตามกันเป็นคลื่น ๆ ผมเดินออกจากห้องครัวเดินไปยืนที่เสบียงบ้าน ออกไปยืนไม่ถึงนาทีรีบเดินกลับมาที่เดิม เพราะรอบๆ บ้านมีหมอกสีขาวลอยรอบบ้านเป็นแนว ไหลไปมาทำให้อากาศหนาวเย็น รีบกลับมาที่เดิมมานั่งใกล้กองไฟที่หุงข้าว พยายมนั่งให้ใกล้กองไฟเท่าที่จะทำได้ นั่งอยู่ใกล้กองไฟจนได้รับความร้อนทำให้อบอุ่นร่างกาย
ตอนที่ ๔

๑ ชั่วโมงผ่านไป นักเรียนต้องเข้าเรียนบ่ายโมง ผมบอกชั่วโมงต่อไปเป็นการร้องเพลง เพลงที่จะให้ร้องนั้นคือเพลงชาติไทย ให้ทุกคนร้องตามครูนักเรียนก็ร้องเพลงชาติตามผม ผมสอนให้ร้องเพลงชาติจนบางคนร้องเพลงชาติได้ บางคนก็ร้องเพลงชาติตามเพื่อนได้บ้างไม่ได้บ้าง บางครั้งให้นักเรียนร้องเพลงชาติ บางครั้งร้องเพลงชาติได้หัวลืมท้าย บางครั้งร้องตอนท้ายลืมตอนหัว ผมก็ไม่ว่าอะไรก็ต้องค่อย ๆ สอนไป สลับกับร้องเพลงของเผ่ามูเซอดำบ้าง

ขณะที่นักเรียนร้องเพลงของเผ่าจะมีความรู้สึกว่าร้องเพลงเต็มเสียง สนุกสนานในการร้องเพลง ผมจะให้สลับร้องเพลงชาติกับเพลงของเผ่า ผมสอนร้องเพลงชาติจนเวลา ๑๕.๐๐. นาฬิกา ได้เวลาโรงเรียนเลิกแล้ว เด็กชายจะก้ารู้หน้าที่ของเขาเอง คราวนี้มีนักเรียนหญิงออกมาด้วยเพื่อดึงธงชาติลงจากยอดเสา เมื่อทุกคนได้เข้าแถวเอาธงลงจากนั้นก็เดินแถวกลับบ้านโดยมีเด็กชายจะเสือเป็นผู้นำแถว

เมื่อเดินผ่านบ้านใครก็เข้าบ้าน สุดท้ายเหลือผม เด็กชายจะเสือ เด็กชายจะก้า เมื่อถึงบ้านพักเด็กทั้ง ๒ คน ได้ขออนุญาตกลับไปบ้านของตนเอง ผมได้เข้าบ้านพัก นอนเล่นพักผ่อนมีลมเย็น ๆ พัดผ่านตัวผม บางครั้งลมพัดผ่านเย็นสบาย บางครั้งลมพัดผ่านรู้สึกหนาวจับใจจริง ๆ ผมนึกในใจว่าวันนี้ตอนเย็นจะกินอะไรดี อาหารกระป๋องยังมีอยู่ ผมจึงก่อฟืนจุดไฟเอาที่รองกระดิกน้ำเป็นอุปกรณ์หุงข้าว เมื่อข้าวสุกแล้วเด็กชายจะเสือและเด็กชายจะก้า กลับมาบ้านพัก พร้อมด้วยจานใส่ข้าวและถ้วยใส่แกงพร้อมข้าวเหนียว เมื่อทุกคนพร้อมก็ลงมือกินข้าว ผมกินเสร็จก่อนลงบ้านพักเอากระบอกน้ำเทน้ำล้างมือ จากนั้นเด็กนักเรียนทั้ง ๒ คน ก็กินข้าวเสร็จได้เก็บจานถ้วยลงไปล้าง จากนั้นเด็กนักเรียนทั้ง ๒ คน ได้เดินหายไปไหนผมไม่ทันเห็น

ผมนึกในใจว่าทั้ง ๒ คน คงจะกลับไปบ้านของเขาเอง จากนั้นผมได้เดินขึ้นบ้านพักเพราะความมืดเริ่มปกคุมทั่วบริเวณบ้านพักและรอบ ๆ หมู่บ้าน ผมจุดเทียนไขให้เกิดแสงสว่าง เตรียมอุปกรณ์นอนพักเด็กนักเรียนทั้ง ๒ คนได้กลับมาบ้านพัก จากนั้นเด็กนักเรียนได้จัดเตรียมอุปกรณ์การนอนเรียบร้อย จะได้หัดร้องเพลงชาติ ตอนไหนร้องไม่ได้ผมก็สอนวิธีร้องเพลงชาติให้ หัดร้องอยู่หลายครั้ง บางครั้งร้องตอนต้นเพลงได้ตอนกลางตอนท้ายเพลงร้องไม่ได้

ขณะที่สอนร้องเพลงชาติอยู่มีเสียงหัวเราะอยู่รอบ ๆ บ้านพัก ผมตกใจจึงบอกให้เด็กนักเรียนออกไปดูว่ามีใครอยู่รอบบ้านพัก พักหนึ่งมีเสียงหัวเราะเป็นเสียงผู้หญิงมาพร้อมกับเด็กนักเรียนมาเป็นกลุ่มประมาณ ๖ ถึง ๗ คน เด็กชายจะเสือพูดบอกผมว่า พวกผู้หญิงกลุ่มนี้ขอมาเป็นนักเรียนด้วย ผมบอกว่าพรุ่งนี้ก็ไปสมัครที่โรงเรียน จะได้จดชื่อและแจกหนังเรียนและชุดนักเรียน ผมสังเกตผู้หญิงกลุ่มนี้ไม่ได้เป็นเด็กแต่ตัวโตคงเป็นกลุ่มสาว ๆ ในหมู่บ้าน

ตอนกลางวันจะไม่เห็นในหมู่บ้านเขาจะออกไปทำไร่แต่เช้าจะกลับบ้านตอนเย็น พอเวลากลางคืนจะรวมกลุ่มกัน ร้องเพลงของเผ่า เกาะกันเป็นคู่เอาขาเกี่ยวกันหมุนตามเข็มนาฬิกา เต้นไปตามจังหวะเพลงเป็นเสียงร้องสลับด้วยเสียงแค่ทำด้วยไม้ไผ่ ผมลงจากบ้านพักนั่งดูการเต้น ร้องเพลงและฟังเสียงเป่าแค่ มีเด็กชายจะเสือและจะก้านั่งซ้ายขวา กลุ่มผู้หญิงบางคนมานั่งข้างเด็กชายจะเสือ พยายามจะพูดกับผมด้วยภาษามูเซอ ผมฟังไม่รู้เรื่องเด็กชายจะเสือจะแปรคำพูดให้ทุกคำ จนผมเข้าใจตามที่กลุ่มผู้หญิงต้องการจะพูดกับผม

กลุ่มผู้หญิงกลุ่มนี้จะอธิบายถึงวัฒนธรรมการร้องเพลง การเล่น ให้ผมเข้าใจว่าชาวบ้านจะใช้เวลาตอนกลางคืนมารวมกลุ่มกัน ใครถนัดร้องเพลงก็ร้องเพลงและจะสอนให้มีการสืบทอดกันไป ใครถนัดการเต้น ใครถนัดเป่าแค่ สิ่งเหล่านี้จะถ่ายทอดเด็กรุ่นหลัง กลุ่มผู้หญิงบางคนที่กล้าหน่อยเข้ามาพูดคุยด้วย คนมีความกล้าครึ่ง ๆ กลาง ๆ จะพูดด้วยสองสามคำก็รีบไปยืนแอบหลังเพื่อน ตลอดการสนทนาเด็กชายจะเสือจะเป็นผู้แปรคำพูดทุกคำที่ได้สนทนากัน เวลาผ่านไปดึกกลุ่มผู้หญิงดังกล่าวเริ่มกลับไปบ้านของตนจนเหลือ ๒. คนสุดท้ายกลุ่ม ยังไม่ยอมกลับจนผมมีอาการหาวทั้ง ๒ คนจึงลากลับบ้าน ก่อนจะเดินกลับบ้าน ๑ ใน ๒ คน ได้พูดบอกผมว่า “พรุ่งนี้ตอนกลางคืนจะมาเที่ยวบ้านครูใหม่” พูดเสร็จทั้ง ๒ คน รีบเดินไป ผมเอะใจว่าคำพูดเมื่อกี้มันเป็นคำพูดภาษาไทยชัดเจน โดยเด็กชายจะเสือไม่ต้องแปรเลย ผมเลยตบท้ายไปว่า “พูดภาษาก็เป็นนี่”

เมื่อทุกคนกลับไปหมดแล้ว ผมจึงชวนเด็กนักเรียนขึ้นบ้านพักจากนั้นก็ได้เข้าไปดับแสงเทียนไข ความมืดก็ปกคุ้มบ้านพัก ผมนอนนึกอยู่ว่าวันพรุ่งนี้ก็ต้องสอนร้องเพลงชาติให้ได้ สักพักอากาศเริ่มเย็นยิ่งดึกอากาศหนาวเย็น ผมนอนห่มผ้าห่มพยายามไม่ให้ตัวกระดิกเพราะจะเกิดช่องลมจะทำให้ลมเย็นสอดแทรกไปตามช่องว่าง ผมนอนต่อสู้กับลมเย็นจนหลับไป

ผมสะดุ้งตื่นอีกครั้งได้ยินเสียงไก่ป่าขันรับกันเป็นทอดๆ มองดูนาฬิกาเป็นตีห้ากว่า จะนอนต่ออีกแต่มันไม่หลับแล้ว เพราะผมขยับตัวทำให้เกิดช่องลม อากาศเย็นมันแทรกเข้าช่องว่าง ความหนาวมันก็วนรอบตัว ซึ่งไม่สามารสจะนอนได้ จึงต้องลุกขึ้นมาก่อไฟ เด็กชายจะก้าและจะเสือลุกขึ้นตามผมช่วยก่อไฟ เมื่อไฟลุกติดฟืนแล้ว ความร้อนจากฟืนช่วยลดความหนาวลงไปบ้าง ผมและเด็กชายช่วยเอาข้าวมาหุงเสร็จแล้วเตรียมอาหาร โดยผมให้เด็กชายเอาอาหารกระป๋องที่ผมเตรียมด้วยเปิดใส่จาน แล้วตักข้าวกินด้วยกัน

แสงอาทิตย์เริ่มสว่างพ้นยอดภูเขา แสงแดดส่องผ่านเมฆหมอกที่เกาะติดกันเหมือนคลื่นทะเล เมฆหมอกไหลเป็นแนวยาวไหลตามกันเป็นคลื่น ๆ ผมเดินออกจากห้องครัวเดินไปยืนที่เสบียงบ้าน ออกไปยืนไม่ถึงนาทีรีบเดินกลับมาที่เดิม เพราะรอบๆ บ้านมีหมอกสีขาวลอยรอบบ้านเป็นแนว ไหลไปมาทำให้อากาศหนาวเย็น รีบกลับมาที่เดิมมานั่งใกล้กองไฟที่หุงข้าว พยายมนั่งให้ใกล้กองไฟเท่าที่จะทำได้ นั่งอยู่ใกล้กองไฟจนได้รับความร้อนทำให้อบอุ่นร่างกาย
130676.jpg (141.14 KiB) เข้าดูแล้ว 2361 ครั้ง
กก.ตชด.๒๔ ร่วมกันบริจาคโลหิต<br /><br />เ​มื่อ​ ๐๗๐๙๑๕ ต.ค.๒๕๖๕​ พ.ต.อ.กวี​พงษ์​ ชล​การ​ ผกก.ตชด.๒๔, พ.ต.ท.บุญ​เลิศ​ วิเศษ​ชาติ​ รอง​ ผ​กก.ฯ, พ.ต.ท.ธีรศักดิ์​ โพธิ์ศรีมา​ รอง​ ผกก.ฯ,พ.ต.ท.จารุ​บุตร​ เรือง​ศรี​ รอง​ ผกก.ฯ, พ.ต.ต.หญิงอุมาพร​ ธรรมสมบัติ​  สว.จอส.,กร.กก.ตชด.๒๔​ นำข้าราชการตำรวจ กก.ตชด.๒๔ ร่วมกับ ข้าราชการตำรวจ และนักเรียนนายสิบตำรวจ สังกัด กก.๔ บก.กฝ.บช.ตชด. ร่วมบริจาคโลหิต(ครั้งที่ ๒) เพื่อช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากเหตุ​กราดยิงในพื้นที่​ จว.หนองบัวลำภู​ ณ​  รพ.อุดรธานี อ.เมือง จว.อุดรธานี​ ผลการปฎิบัติเป็น​ไปด้วยความเรียบร้อย​  <br /><br />หน้าสิ่วหน้าขวาน ตชด.ไม่เคยนิ่งดูดาย ช่วยอะไรได้ก่อนช่วยทันที เมื่อทาง รพ.ประกาศขอรับบริจาคเลือด พวกเราทั้งหมดร่วมมือกันทันเหตุการณ์ <br /><br />ขอชื่นชม น้อง ๆ ตชด.ทุก ๆ คนครับ
กก.ตชด.๒๔ ร่วมกันบริจาคโลหิต

เ​มื่อ​ ๐๗๐๙๑๕ ต.ค.๒๕๖๕​ พ.ต.อ.กวี​พงษ์​ ชล​การ​ ผกก.ตชด.๒๔, พ.ต.ท.บุญ​เลิศ​ วิเศษ​ชาติ​ รอง​ ผ​กก.ฯ, พ.ต.ท.ธีรศักดิ์​ โพธิ์ศรีมา​ รอง​ ผกก.ฯ,พ.ต.ท.จารุ​บุตร​ เรือง​ศรี​ รอง​ ผกก.ฯ, พ.ต.ต.หญิงอุมาพร​ ธรรมสมบัติ​ สว.จอส.,กร.กก.ตชด.๒๔​ นำข้าราชการตำรวจ กก.ตชด.๒๔ ร่วมกับ ข้าราชการตำรวจ และนักเรียนนายสิบตำรวจ สังกัด กก.๔ บก.กฝ.บช.ตชด. ร่วมบริจาคโลหิต(ครั้งที่ ๒) เพื่อช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากเหตุ​กราดยิงในพื้นที่​ จว.หนองบัวลำภู​ ณ​ รพ.อุดรธานี อ.เมือง จว.อุดรธานี​ ผลการปฎิบัติเป็น​ไปด้วยความเรียบร้อย​

หน้าสิ่วหน้าขวาน ตชด.ไม่เคยนิ่งดูดาย ช่วยอะไรได้ก่อนช่วยทันที เมื่อทาง รพ.ประกาศขอรับบริจาคเลือด พวกเราทั้งหมดร่วมมือกันทันเหตุการณ์

ขอชื่นชม น้อง ๆ ตชด.ทุก ๆ คนครับ
S__14516242.jpg (94.19 KiB) เข้าดูแล้ว 2359 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4378
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:lol: :lol: เหนือชั้นกว่านักการเมือง คือ เปาบุ้นจิ้น ...

เล่ากันว่า สมัยที่เปาบุ้นจิ้น สั่งประหารชีวิตใคร ก่อนตายจะอนุญาตให้ขออะไรได้เป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งจะสั่งให้ เจ้าหน้าที่ศาล ไปจัดการให้ตามที่ปรารถนา จนสมหวังทุกครั้ง

เปาบุ้นจิ้น :: “เอาล่ะ เจ้าคอรัปชั่นมามาก สมควรตาย แต่ก่อนตาย ข้าจะให้เจ้าขออะไรได้อย่างหนึ่งเป็น ครั้งสุดท้าย”

นักการเมือง :: “จริงรึ ท่านพูดแล้ว อย่าคืนคำนะ”

เปาบุ้นจิ้น :: “ข้ารักษาสัจจะ”
นักการเมือง :: “(ยิ้มอย่างมีเลศนัย) ถ้าอย่างนั้น สิ่งสุดท้ายที่ข้าจะขอคือ “ขอให้ปล่อยตัวข้า เดี๋ยวนี้ ท่านห้ามคืนคำนะ”

ปรากฏว่า ทุกคนในศาลเงียบกริบ คิดไม่ถึงว่าจะเจอทีเด็ดนักการเมือง กล้าเล่นมุกศรีธนญชัยกับท่านเปา สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่ท่านเปา ว่าจะแก้สถานการณ์นี้อย่างไร

ท่านเปาบุ้นจิ้น เอามือลูบหนวด ครุ่นคิดสักครู่ แล้วยกค้อนขึ้น ทุบโต๊ะดังสนั่น พร้อมประกาศด้วยเสียงดังฟังชัดว่า

“เจ้าหน้าที่ศาล ปล่อยตัวเขาไปเดี๋ยวนี้........แต่เก็บหัวไว้” !!!
:lol: :lol:

:D :) สวัสดียามเย็น ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพและญาติธรรมที่คิดถึง เป็นอย่างไรบ้างครับผมเชื่อคงมีหลาย ๆ คนอยากจะให้ท่านเปามีชีวิตอยู่และประจำอยู่ที่ศาลไทย ใช่ไหมครับ? ๕๕๕ แต่ผมว่านะ....ยุคนี้คงเป็นความฝันนะครับ

วันนี้ผมมีเรื่องน่าสนใจ ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งทำอะไรที่เกินตัว(ความสามารถสูง) นับถือหัวใจหล่อนมาก ๆ เห็นความทุกข์ผู้อื่นไม่ยอมนิ่งดูดาย ขวนขวาย หาทางช่วยเหลือ ใหม่ ๆ ผมยังไม่ศรัทธาแต่นานไป ๆ เฮ้ย....ไม่ธรรมดา ขอคารวะด้วยหัวใจครับติดตามคลิปสำคัญที่นำมาฝาก “ไม่มีใครพ้นบ่วงกรรมได้ ไม่ช้าก็เร็ว ชาตินี้ไม่เจอ ชาติต่อ ๆ ไป ไม่พลาด”
:idea: :idea:

:o :o เรื่องเล่าจากแดนหญิง :o :o
ไฟล์แนบ
เสร็จสิ้นลงแล้วพิธีพระราชทานเพลิงศพ ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์กราดยิงที่หนองบัวลำภู จุดไฟฌาปนกิจ 19 ศพ ที่วัดราษฎร์สามัคคี เริ่มจากครูและบุตรในครรภ์ ตามด้วยเด็กๆ ที่เสียชีวิตในศูนย์เด็กเล็กฯ<br /><br />วันที่ 11 ต.ค. 65 ที่วัดราษฎร์สามัคคี ตำบลอุทัยสวรรค์ อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู หลังจาก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพ วางดอกไม้จันทน์พระราชทานของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วพันโทสมชาย กาญจนมณี รองเลขาธิการสำนักพระราชวัง วางดอกไม้จันทน์ของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จพระบรมราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ มีพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม จากนั้น พระสงฆ์ ข้าราชการ แขกผู้มีเกียรติ ขึ้นวางดอกไม้จันทน์ตามลำดับ <br /><br />ขอวิญญาณทุก ๆ ดวงสู่สรวงสวรรค์ เกิดชาติหน้าขอให้ได้กลับมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา จะได้บำเพ็ญบุญให้พ้นทุกข์ (ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก)
เสร็จสิ้นลงแล้วพิธีพระราชทานเพลิงศพ ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์กราดยิงที่หนองบัวลำภู จุดไฟฌาปนกิจ 19 ศพ ที่วัดราษฎร์สามัคคี เริ่มจากครูและบุตรในครรภ์ ตามด้วยเด็กๆ ที่เสียชีวิตในศูนย์เด็กเล็กฯ

วันที่ 11 ต.ค. 65 ที่วัดราษฎร์สามัคคี ตำบลอุทัยสวรรค์ อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู หลังจาก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพ วางดอกไม้จันทน์พระราชทานของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วพันโทสมชาย กาญจนมณี รองเลขาธิการสำนักพระราชวัง วางดอกไม้จันทน์ของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จพระบรมราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ มีพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม จากนั้น พระสงฆ์ ข้าราชการ แขกผู้มีเกียรติ ขึ้นวางดอกไม้จันทน์ตามลำดับ

ขอวิญญาณทุก ๆ ดวงสู่สรวงสวรรค์ เกิดชาติหน้าขอให้ได้กลับมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา จะได้บำเพ็ญบุญให้พ้นทุกข์ (ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก)
135844.jpg (91.58 KiB) เข้าดูแล้ว 2248 ครั้ง
ขอเรียนเพิ่มเติมเรื่องการไม่กินเนื้อสัตว์ มีกี่แบบ กี่ประเภท แต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไรบ้าง เป็นความรู้(ไม่ว่ากันนะครับ)<br /><br />เปรียบเทียบ กินเจ มังสวิรัติ และวีแกน เหมือนหรือต่างกันอย่างไร โดย นสพ.ไทยรัฐ<br /><br />เป็นที่รู้กันดีว่า “กินเจ” หมายถึงการงดบริโภคเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลกินเจ เพื่อเป็นการทำบุญ แต่วันนี้มีทางเลือกของการงดบริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น เช่น มังสวิรัติ และวีแกน ซึ่งแต่ละรูปแบบมีกฎในการกินที่แตกต่างกันออกไป <br /><br />กินเจ  การกินเจ ไม่เพียงงดเว้นเนื้อสัตว์ แต่ยังงดทุกผลิตภัณฑ์ที่มาจากสัตว์ เช่น ไข่ น้ำมันหมู เนย นมจากสัตว์ (นมวัว นมแพะ ฯลฯ) ขณะเดียวกัน กฎของการกินเจยังห้ามกินผักที่มีกลิ่นฉุน เช่น กระเทียม (หัวกระเทียม ต้นกระเทียม) หัวหอม ต้นหอม ใบหอม หอมแดง หอมขาว หอมหัวใหญ่ กุยช่าย ใบยาสูบ บุหรี่ ยาเส้น เครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ รวมถึงห้ามกินอาหารรสจัด ไม่ว่าจะเป็น เผ็ด เค็ม หรือหวานจัด นอกจากนี้ผู้ที่กินเจยังมีข้อห้ามปฏิบัติทางกายอีกด้วย ได้แก่ ห้ามพูดคำหยาบ คิดร้าย จิตใจขุ่นมัว และถือศีล 8<br /><br />ส่วนการกินมังสวิรัตินั้น นอกจากงดเว้นเนื้อสัตว์แล้ว ยังสามารถแบ่งประเภทการกินมังสวิรัติออกไปได้อีกหลายระดับ เช่น<br /><br />กลุ่มที่ 1 มังสวิรัตินมและไข่ (Lacto-ovo vegetarian) เป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด คือ สามารถทานทั้งนมและไข่ได้ แต่งดเนื้อสัตว์ทุกประเภท<br /><br />กลุ่มที่ 2 มังสวิรัตินม (Lacto vegetarian) กลุ่มนี้สามารถทานผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมได้ เช่น นม ชีส โยเกิร์ต เนย แต่งดเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากไข่ทุกประเภท<br /><br />กลุ่มที่ 3 มังสวิรัติไข่ (Ovo vegetarian) กลุ่มนี้สามารถทานไข่ได้ แต่งดเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากนมทุกประเภท<br /><br />กลุ่มที่ 4 มังสวิรัติปลา (Pescatarian) กลุ่มนี้สามารถทานปลาและหอยได้ ในบางรายอาจทานนมหรือไข่เสริมด้วยก็ได้ แต่ไม่ทานเนื้อสัตว์อื่นๆ เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว<br /><br />กลุ่มที่ 5 กึ่งมังสวิรัติ (Pollotarian) กลุ่มนี้สามารถทานปลา ไก่ ไข่ และผลิตภัณฑ์จากนมทุกประเภท แต่งดเนื้อสัตว์ใหญ่หรือเนื้อแดง เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว<br /><br />กลุ่มที่ 6 มังสวิรัติแบบยืดหยุ่น (Flexitarian) กลุ่มนี้เป็นคนที่ทานมังสวิรัติอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง เหมาะสำหรับผู้ที่อยากเริ่มทาน แต่ไม่สามารถเลิกทานอาหารแบบปกติได้ และไม่อยากเครียดในการกินมังสวิรัติ หากจะพูดให้เห็นภาพชัดเจน คือ กลุ่มนี้ยังทานเนื้อสัตว์เล็กอยู่ เพียงแค่ทานในปริมาณที่น้อยลง ร่วมกับการลดปริมาณน้ำตาลในมื้ออาหาร และจำกัดของหวาน เน้นทานอาหารจากพืชเช่นเดียวกับมังสวิรัติกลุ่มอื่นๆ หากร่างกายเริ่มชินและต้องการขยับเลเวลไปทานมังสวิรัติที่เคร่งขึ้นแบบกลุ่มอื่นก็สามารถทำได้<br /><br />วีแกน  เป็นอีกหนึ่งระดับของการกินมังสวิรัติ แต่กลุ่มนี้จะมีความเคร่งครัดกว่า นั่นคือไม่บริโภคอาหารที่มาจากผลิตภัณฑ์ของสัตว์เลยแม้กระทั่งน้ำผึ้ง กินแต่พวกธัญพืช ถั่ว เมล็ดพืชต่างๆ ผลไม้ ผัก และพืชตระกูลถั่วเท่านั้น ซึ่งนอกจากงดการกินอาหารที่มาจากสัตว์ทั้งหมดนี้แล้ว ชาววีแกน ยังงดการเบียดเบียนสัตว์ทุกชนิดทั้งทางตรงและทางอ้อมด้วย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกายที่ทำมาจากหนังสัตว์ ขนสัตว์ หรือแม้กระทั่งผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่ทดลองกับสัตว์ก็ตาม<br /><br />เปรียบเทียบ กินเจ มังสวิรัติ และวีแกน เหมือนหรือต่างกันอย่างไร <br /><br />ผู้ที่กินวีแกน จะงดการกินเนื้อสัตว์รวมถึงผลิตภัณฑ์จากสัตว์อย่างเคร่งครัด ไปจนถึงงดการใช้ของใช้ต่างๆ และเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมจากผลิตภัณฑ์ที่เบียดเบียนสัตว์อีกด้วย<br /><br />สำหรับผมและคุณนายอยู่ประเภทที่ ๓ ครับ
ขอเรียนเพิ่มเติมเรื่องการไม่กินเนื้อสัตว์ มีกี่แบบ กี่ประเภท แต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไรบ้าง เป็นความรู้(ไม่ว่ากันนะครับ)

เปรียบเทียบ กินเจ มังสวิรัติ และวีแกน เหมือนหรือต่างกันอย่างไร โดย นสพ.ไทยรัฐ

เป็นที่รู้กันดีว่า “กินเจ” หมายถึงการงดบริโภคเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลกินเจ เพื่อเป็นการทำบุญ แต่วันนี้มีทางเลือกของการงดบริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น เช่น มังสวิรัติ และวีแกน ซึ่งแต่ละรูปแบบมีกฎในการกินที่แตกต่างกันออกไป

กินเจ การกินเจ ไม่เพียงงดเว้นเนื้อสัตว์ แต่ยังงดทุกผลิตภัณฑ์ที่มาจากสัตว์ เช่น ไข่ น้ำมันหมู เนย นมจากสัตว์ (นมวัว นมแพะ ฯลฯ) ขณะเดียวกัน กฎของการกินเจยังห้ามกินผักที่มีกลิ่นฉุน เช่น กระเทียม (หัวกระเทียม ต้นกระเทียม) หัวหอม ต้นหอม ใบหอม หอมแดง หอมขาว หอมหัวใหญ่ กุยช่าย ใบยาสูบ บุหรี่ ยาเส้น เครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ รวมถึงห้ามกินอาหารรสจัด ไม่ว่าจะเป็น เผ็ด เค็ม หรือหวานจัด นอกจากนี้ผู้ที่กินเจยังมีข้อห้ามปฏิบัติทางกายอีกด้วย ได้แก่ ห้ามพูดคำหยาบ คิดร้าย จิตใจขุ่นมัว และถือศีล 8

ส่วนการกินมังสวิรัตินั้น นอกจากงดเว้นเนื้อสัตว์แล้ว ยังสามารถแบ่งประเภทการกินมังสวิรัติออกไปได้อีกหลายระดับ เช่น

กลุ่มที่ 1 มังสวิรัตินมและไข่ (Lacto-ovo vegetarian) เป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด คือ สามารถทานทั้งนมและไข่ได้ แต่งดเนื้อสัตว์ทุกประเภท

กลุ่มที่ 2 มังสวิรัตินม (Lacto vegetarian) กลุ่มนี้สามารถทานผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมได้ เช่น นม ชีส โยเกิร์ต เนย แต่งดเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากไข่ทุกประเภท

กลุ่มที่ 3 มังสวิรัติไข่ (Ovo vegetarian) กลุ่มนี้สามารถทานไข่ได้ แต่งดเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากนมทุกประเภท

กลุ่มที่ 4 มังสวิรัติปลา (Pescatarian) กลุ่มนี้สามารถทานปลาและหอยได้ ในบางรายอาจทานนมหรือไข่เสริมด้วยก็ได้ แต่ไม่ทานเนื้อสัตว์อื่นๆ เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว

กลุ่มที่ 5 กึ่งมังสวิรัติ (Pollotarian) กลุ่มนี้สามารถทานปลา ไก่ ไข่ และผลิตภัณฑ์จากนมทุกประเภท แต่งดเนื้อสัตว์ใหญ่หรือเนื้อแดง เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว

กลุ่มที่ 6 มังสวิรัติแบบยืดหยุ่น (Flexitarian) กลุ่มนี้เป็นคนที่ทานมังสวิรัติอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง เหมาะสำหรับผู้ที่อยากเริ่มทาน แต่ไม่สามารถเลิกทานอาหารแบบปกติได้ และไม่อยากเครียดในการกินมังสวิรัติ หากจะพูดให้เห็นภาพชัดเจน คือ กลุ่มนี้ยังทานเนื้อสัตว์เล็กอยู่ เพียงแค่ทานในปริมาณที่น้อยลง ร่วมกับการลดปริมาณน้ำตาลในมื้ออาหาร และจำกัดของหวาน เน้นทานอาหารจากพืชเช่นเดียวกับมังสวิรัติกลุ่มอื่นๆ หากร่างกายเริ่มชินและต้องการขยับเลเวลไปทานมังสวิรัติที่เคร่งขึ้นแบบกลุ่มอื่นก็สามารถทำได้

วีแกน เป็นอีกหนึ่งระดับของการกินมังสวิรัติ แต่กลุ่มนี้จะมีความเคร่งครัดกว่า นั่นคือไม่บริโภคอาหารที่มาจากผลิตภัณฑ์ของสัตว์เลยแม้กระทั่งน้ำผึ้ง กินแต่พวกธัญพืช ถั่ว เมล็ดพืชต่างๆ ผลไม้ ผัก และพืชตระกูลถั่วเท่านั้น ซึ่งนอกจากงดการกินอาหารที่มาจากสัตว์ทั้งหมดนี้แล้ว ชาววีแกน ยังงดการเบียดเบียนสัตว์ทุกชนิดทั้งทางตรงและทางอ้อมด้วย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกายที่ทำมาจากหนังสัตว์ ขนสัตว์ หรือแม้กระทั่งผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่ทดลองกับสัตว์ก็ตาม

เปรียบเทียบ กินเจ มังสวิรัติ และวีแกน เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

ผู้ที่กินวีแกน จะงดการกินเนื้อสัตว์รวมถึงผลิตภัณฑ์จากสัตว์อย่างเคร่งครัด ไปจนถึงงดการใช้ของใช้ต่างๆ และเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมจากผลิตภัณฑ์ที่เบียดเบียนสัตว์อีกด้วย

สำหรับผมและคุณนายอยู่ประเภทที่ ๓ ครับ
122985.jpg (98.88 KiB) เข้าดูแล้ว 2248 ครั้ง
ตามที่ผมได้นำเรียนไปเมื่อหลายเดือนก่อนว่า เราได้สั่งจองรถพับ Dahon Boardwalk D7 และตอนนี้ได้มาเรียบร้อย จากการที่เรานำไปปั่นซ้อมมาโดยตลอดระยะเวลาหลายเดือน ผลคือไม่สามารถที่จะนำออก Touring ในแบบของเราได้ จึงได้พาไป Upgrage โดยให้ช่างภาส ช่างมือหนึ่งจริง ๆ จัดการ ช่างแจ้งว่าถ้าจะให้เต็มที่ราคาจะสูงมาก ช่างจึงเอาพอสบาย ๆ กระเป๋า หมดไปคันละ ๕๓๐๐ บ. คือเปลี่ยนเฉพาะจานหน้าเป็น Deore ๒ จาน<br /><br />เมื่อ ๗ ต.ค.๖๕ เราได้ทำตามสัญญาคือกลับไปอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ อีกครั้งเพื่อไปดูว่า น้ำขึ้นแล้วเต็มอ่าง ?  พร้อมกับทำการทดสอบ Dahon ที่นำไป up มา ผลสุดยอด สามารถปั่นขึ้นดอยได้อย่างสบาย และนี่คือ สิ่งที่เราต้องการ อีกไม่นาน เราคงได้ ออก Tour กันครับ จากนี้ไปขออนุญาตุนำท่านไปชมน้ำในอ่างและภาพสวยงาม ตามสัญญานะครับ
ตามที่ผมได้นำเรียนไปเมื่อหลายเดือนก่อนว่า เราได้สั่งจองรถพับ Dahon Boardwalk D7 และตอนนี้ได้มาเรียบร้อย จากการที่เรานำไปปั่นซ้อมมาโดยตลอดระยะเวลาหลายเดือน ผลคือไม่สามารถที่จะนำออก Touring ในแบบของเราได้ จึงได้พาไป Upgrage โดยให้ช่างภาส ช่างมือหนึ่งจริง ๆ จัดการ ช่างแจ้งว่าถ้าจะให้เต็มที่ราคาจะสูงมาก ช่างจึงเอาพอสบาย ๆ กระเป๋า หมดไปคันละ ๕๓๐๐ บ. คือเปลี่ยนเฉพาะจานหน้าเป็น Deore ๒ จาน

เมื่อ ๗ ต.ค.๖๕ เราได้ทำตามสัญญาคือกลับไปอ่างเก็บน้ำ บ.ธิ อีกครั้งเพื่อไปดูว่า น้ำขึ้นแล้วเต็มอ่าง ? พร้อมกับทำการทดสอบ Dahon ที่นำไป up มา ผลสุดยอด สามารถปั่นขึ้นดอยได้อย่างสบาย และนี่คือ สิ่งที่เราต้องการ อีกไม่นาน เราคงได้ ออก Tour กันครับ จากนี้ไปขออนุญาตุนำท่านไปชมน้ำในอ่างและภาพสวยงาม ตามสัญญานะครับ
135763.jpg (210.82 KiB) เข้าดูแล้ว 2248 ครั้ง
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (1).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (1).JPG (139.94 KiB) เข้าดูแล้ว 2248 ครั้ง
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (2).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (2).JPG (112.91 KiB) เข้าดูแล้ว 2248 ครั้ง
ออกจากหลังบ้านเลาะเรียบทางรถไฟ ไปออกถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ ลป.-ชม. ข้ามไฮเวย์ (ลำบากครับรถเยอะต้องระวัง) ปันตรงเข้า อ.บ้านธิ ระหว่างทางคุณนายเห็นตลาดเคลื่อนที่ มีเห็ดขาย (เห็ดป่าพวกเห็ดหล่ม เห็ดแดง ฯ) จอดแวะซื้อเพื่อนำกลับไปทำอาหาร
ออกจากหลังบ้านเลาะเรียบทางรถไฟ ไปออกถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ ลป.-ชม. ข้ามไฮเวย์ (ลำบากครับรถเยอะต้องระวัง) ปันตรงเข้า อ.บ้านธิ ระหว่างทางคุณนายเห็นตลาดเคลื่อนที่ มีเห็ดขาย (เห็ดป่าพวกเห็ดหล่ม เห็ดแดง ฯ) จอดแวะซื้อเพื่อนำกลับไปทำอาหาร
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (3).JPG (134.96 KiB) เข้าดูแล้ว 2248 ครั้ง
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (5).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (5).JPG (140.08 KiB) เข้าดูแล้ว 2248 ครั้ง
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (6).JPG
ไม่ลืมที่จะแวะตลาด บ.ธิ เพื่อจัดซื้ออาหารสำหรับช่วงเที่ยงเพราะคาดว่าคงจะอยู่บริเวณอ่างเก็บน้ำนานหน่อย
ไม่ลืมที่จะแวะตลาด บ.ธิ เพื่อจัดซื้ออาหารสำหรับช่วงเที่ยงเพราะคาดว่าคงจะอยู่บริเวณอ่างเก็บน้ำนานหน่อย
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (8).JPG (121.55 KiB) เข้าดูแล้ว 2248 ครั้ง
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (9).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (9).JPG (128 KiB) เข้าดูแล้ว 2248 ครั้ง
คุณนายพบวัดป่าที่มาครั้งที่แล้ว ไม่ลืมที่จะบอกผมว่าเราจะกลับมาทานข้าวกลางวันกันที่นี่เพื่อสนทนากับพระท่านอีก ผมตกลง &quot;ตามใจ&quot; ครับ เป็นอันว่าจะนั่งทานข้าวชมบรรยากาศเหนืออ่างเก็บน้ำต้อง Move On อย่าลืมครับปั่นกับสุภาพสตรี ต้อง &quot;ใส่ใจ ให้ใจและตามใจ&quot; ภารกิจจึงจะไปด้วยความราบรื่นครับ
คุณนายพบวัดป่าที่มาครั้งที่แล้ว ไม่ลืมที่จะบอกผมว่าเราจะกลับมาทานข้าวกลางวันกันที่นี่เพื่อสนทนากับพระท่านอีก ผมตกลง "ตามใจ" ครับ เป็นอันว่าจะนั่งทานข้าวชมบรรยากาศเหนืออ่างเก็บน้ำต้อง Move On อย่าลืมครับปั่นกับสุภาพสตรี ต้อง "ใส่ใจ ให้ใจและตามใจ" ภารกิจจึงจะไปด้วยความราบรื่นครับ
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (13).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (13).JPG (132.94 KiB) เข้าดูแล้ว 2248 ครั้ง
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (15).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (16).JPG
ก่อนถึงวัดดอยเวียง เราเจอนักล่า &quot;จิ๊กกุ่ง&quot; (จิ้งโกร่ง)สองคนผัวเมีย วิธีการหาเราก็พึ่งรู้ เขามีวิธีที่สุดยอดวัน ๆ หนึ่งสามารถหาได้เป็นร้อย นำไปขายตัวละ ๒.๕๐ บ. อึ้ง...ทึ่ง...สงสาร (จิ๊กกุ่ง)
ก่อนถึงวัดดอยเวียง เราเจอนักล่า "จิ๊กกุ่ง" (จิ้งโกร่ง)สองคนผัวเมีย วิธีการหาเราก็พึ่งรู้ เขามีวิธีที่สุดยอดวัน ๆ หนึ่งสามารถหาได้เป็นร้อย นำไปขายตัวละ ๒.๕๐ บ. อึ้ง...ทึ่ง...สงสาร (จิ๊กกุ่ง)
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (23).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (23).JPG (131.57 KiB) เข้าดูแล้ว 2248 ครั้ง
ตอนที่ ๕<br /><br />             อากาศเริ่มอบอุ่นเพราะแสงอาทิตย์เริ่มส่องแสงพ้นยอดภูเขา แสงแดดเริ่มส่องไปทั่ว ผมและเด็กชายทั้งสองได้เตรียมอุปกรณ์การสอน รอเวลาประมาณ 9.00 น เมื่อถึงเวลาผมและเด็กชายทั้งสองเดินลงจากบ้านพัก ไปตามถนนในหมู่บ้าน การเดินต้องเดินเลียบชิดขอบถนนในหมู่บ้าน จะเดินไปกลางถนนไม่ได้เพราะมีเจ้าถนนนอนขวางทาง บางตัวก็ยืนติดชิดกัน เจ้าถนนผู้นั้นคือฝูงวัวจะใช้ถนนในหมู่บ้านเป็นที่ยืนหรือนอนขวางทาง ฝูงวัวนั้นจะเป็นวัวของชาวบ้านมีประมาณ 100 ตัว ผมสังเกตดูฝูงเหล่านี้จะมีวัวพันธุ์หนึ่งตัวนอกนั้นจะเป็นวัวพันธุ์ธรรมดาพื้นบ้าน มาทราบภายหลังทราบว่าเป็นวัวพันธุ์พระราชทานให้ชาวเขาใช้เป็นพ่อพันธุ์<br />             <br />ผมพร้อมเด็กชายทั้งสองเดินไปตามแนวริมขอบถนน พอเดินผ่านบ้านที่มีนักเรียนเขาจะยืนรอครูเดินมา จากนั้นก็เดินตามผมไปจนเดินมาถึงโรงเรียน เด็กนักเรียนเดินไปที่นั่ง ผมได้จัดที่นั่งให้นักเรียนโดยผู้หญิงนั่งกับผู้หญิง ผู้ชายนั่งกับผู้ชาย ตอนแรกผมจะจัดให้ผู้ชายคู่กับผู้หญิง แต่นักเรียนเขายอมนั่ง( ผู้หญิงชาวเขา เขาก็สงวนตัวเหมือนกันนะจ๊ะ) เมื่อเสร็จแล้วให้ยืนเคารพชาติ ให้เด็กนักเรียนหนึ่งคนเด็กหญิงหนึ่งคนมาร่วมชักธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา ผมร้องเพลงชาติโดยให้นักเรียนทั้งหมดร่วมกันร้องตามผม กว่าจะร้องเพลงชาติจบเล่นเอามึนหัวไปหมด<br /><br />               เมื่อนักเรียนทั้งหมดเข้านั่งในห้องเรียนเรียบร้อยแล้ว ผมให้เอาหนังสือกอไก่เอาเขียนตามลายปะ เมื่อนักเรียนเริ่มเขียนกอไก่ตามลายปะผมก็เดินดูแต่ละคน บางคนก็เขียนตามลายปะ บางคนเขียนแหกโค้งนอกลายปะ บางคนเขียนกดดินสอแรงทำให้ดินสอหัก ใช้ปากแทะดินสอ บางคนเขียนผิดใช้นิ้วชุบน้ำลายเช็ด ผมมีหน้าที่คอยเอาดินสอมาเหลาให้ บางครั้งต้องคอยจับมือที่ถือดินสอให้เขียนกอไก่ตามลายปะ บางคนก็ใช้ดินสอได้ดี รู้จักใช้ยางลบ ก่อนจะใช้ดินสอผมก็สอนวิธีใช้ดินสอ บางคนก็เข้าใจ บางคนก็ไม่เข้าใจ วันแรกที่นักเรียนมาเรียนหนังสือ ผมได้ตกลงกับนักเรียนทุกคน เมื่อเวลาเรียนหนังสือต้องพูดภาษาไทยห้ามพูดภาษามูเซอ ผมตั้งกติกาอย่างนี้เพราะเวลานักเรียนจะพูดภาษามูเซอผมฟังไม่รู้ว่าพูดอะไร ถ้าพูดภาษาไทยผมจะได้รู้ได้ทราบและเข้าเข้าปัญหาการสอนหรือปัญหาอื่น ๆ<br /><br />              ขณะนักเรียนต่างคนต่างเขียนตัวอักษรตามลายปะ ผมสังเกตนักเรียนชายมีผมยาว นักเรียนหญิงผมยาวยังวิธีรวบผมใช้เชื่อกมัด ดูก็เรียบร้อย ผมจดข้อความไว้ในสมุดพกว่าจะต้องมีอุปกรณ์ตัดผม และเบิกใบมีดเล็กสำหรับเหลาดินสอในกลุ่มนักเรียนมีนักเรียนหญิงคนหนึ่ง หูเป็นน้ำหนวกมีน้ำหนวกไหลเป็นระยะ ผมพยามขอดู แล้วจะต้องใช้สำลีพันกับไม้เช็ดให้ จึงจดบันทึกไว้ในสมุดพกจะต้องทำเบิกพร้อมกับอุปกรณ์ตัดผม จนเวลาเทียงวันจึงหยุดเรียน นักเรียนทุกคนจะห่อข้าวมากินด้วย ผมก็มีข้าวและเครื่องอาหารกระป๋อง ผมเปิดกินร่วมกับนักเรียน <br /><br />เมื่อทุกคนกินข้าวเสร็จ นักเรียนก็เกาะกลุ่มเล่นเกมตามประเพณีของเผ่า เช่นนักเรียนชายเล่นลูกข่าง ส่วนนักเรียนหญิงเล่นโดยใช้ขาเกี่ยวกัน ร้องเพลงไปเต้นไปตามจังหวะเพลง ดูแล้วก็เพลิดเพลิน<br />              <br /> เมื่อเวลา 13.00 น ก็เริ่มเข้าเรียน ผมให้นักเรียนเอาหนังเขียน กอไก่ต่อ ถ้าคนไหนเสร็จก็เอามาส่งวางบนโต๊ะครู คนใดไม่เสร็จก็ให้เขียนจนเสร็จ เมื่อทุกคนเขียน กอไก่ เสร็จ ผมก็เปลี่ยนเป็นการร้องเพลง โดยผมเป็นผู้ร้องนำให้นักเรียนทั้งหมดร้องตาม วันละเพลง โดยร้องกลับไปกลับมา จนรู้สึกว่านักเรียนทุกคนร้องตามได้ ร้องถูก การร้องเพลงเป็นการเปลี่ยนความรู้สึกของนักเรียน บางครั้งผมก็ให้นักเรียนร้องภาษามูเซอ สลับเปลี่ยนกันไป ตบท้ายให้นักเรียนทุกคนหัดร้องเพลงชาติ โดยร้องตามผม ร้องจนเห็นว่านักเรียนเสียงชักหายลงไป พอเวลา 15.00 น ผมก็ไปสั่นระฆังเป็นสัญญาณว่าวันนี้โรงเรียนเลิกแล้ว <br /><br />นักเรียนทุกคนพร้อมจะเดินกลับ โดยผมให้เข้าแถวให้นักเรียนผู้หญิงเดินไปก่อน นักเรียนชายเดินตาม ผมเดินเป็นคนสุดท้าย นักเรียนทั้งหมดลงไปเป็นแถว คนไหนถึงบ้านก็แยกเข้าบ้านตัวเอง แถวนักเรียนเดินไปจนถึงกลุ่มท้ายคือผม เด็กชายจะก้าและเด็กชายจะเสือเดินมาถึงบ้านพัก เด็กเรียนทั้งสองนำอุปกรณ์สอนขึ้นไปเก็บไว้บนบ้านพัก จากนั้นเด็กชายก็กลับบ้านของตนเอง <br /><br />วันนี้ผมจะเดินลงไปอาบน้ำโดยที่อาบน้ำจะต้องเดินลงไปอาบลำธารเล็ก ๆ ที่ไหลผ่านแทรกภูเขา ชาวบ้านใช้ไม้ซางเป็นท่อต่อน้ำไหล ที่บริเวณทำเป็นที่อาบหรือล้างพืช ที่อาบน้ำชาวบ้านทำเป็นลานแล้วต่อท่อไม้ซางไว้ ผมต้องเดินลงจากภูเขาหลังบ้านพัก เมื่อเดินถึงบริเวณจะอาบน้ำเหลียวกลับดูทางที่เดินลงมามันสูงเหมือนกัน <br /><br />ผมรีบอาบน้ำทำภารกิจให้เสร็จก่อนจะหมดแสงอาทิตย์ ขณะที่ผมกำลังอาบเด็กชายจะก้าและจะเสือก็ลงมาหาผมที่อาบน้ำพร้อมกระบอกไม้ซางคน 3 กระบอกรวม 6 กระบอก เด็กชายทั้ง 2 คนก็รีบอาบ เมื่อเสร็จภารกิจแล้ว เด็กชายทั้ง 2 คน เอากระบอกน้ำเติมน้ำให้เต็ม จากนั้นเอาสายที่รัดกระบอกน้ำพาดที่หน้าผาก จึงเดินกลับบ้านพัก ผมเห็นแล้วได้เอาหนึ่งกระบอกเอาสายพาดหน้าผากทำเหมือนเด็กชายทั้งสองทำ ขณะที่จะเดินกลับบ้านพัก ผมแถบจะหงายหลังตกเขา เพราะกระบอกน้ำมันหนักแถบคอหัก เด็กชายจะก้ารีบเอากระบอกมาถือ จากนั้นก็รีบเดินกลับบ้านพัก โดยผมก็เดินตามติดเด็กชายทั้งสองจนมาถึงบ้านพัก <br /><br />เด็กชายจะก้ารีบจุดฟืนและหุงขาว เด็กชายจะเสือบอกผมว่าวันนี้แม่พ่อไปไร่ได้เอาผักกาดและเนื้อหมูบ้านมาให้ครูทำอาหาร ผมไม่รู้จะทำอะไรดี เด็กชายจะก้าบอกว่าวันนี้จะทำอาหารให้ครูกิน จากนั้นเด็กชายทั้งสองช่วยกันทำอาหาร เมื่อทำอาหารเสร็จ ผมและเด็กชายทั้งสองกินร่วมกัน รสชาติอาหารมันก็พอกินได้ <br /><br />เมื่อเสร็จภารกิจทุกอย่างเสร็จแสงอาทิตย์ก็ลับยอดภูเขา ความมืดเข้าครอบคลุมทีละน้อยจนความมืดหมด เริ่มจุดเทียนไข ผมกางมุ้งเพื่อเตรียมนอนแล้ว เด็กชายทั้งสองก็เตรียมที่นอนโดยกางมุ้งไว้ เวลาผ่านประมาณ ทุ่มกว่าได้ยินคนเดินมาหยุดที่หน้าบ้านพัก เสียงเดินนั้นรู้สึกมีหลายคน พักหนึ่งได้ยินเสียงเด็กชายทั้งสองลงบ้านพัก<br /><br /> เด็กชายทั้งสองได้เดินลงจากบ้านพัก ได้ยินคุยกัน เสียงหัวเราะเป็นเสียงหญิง อีกพักหนึ่งเด็กชายจะก้าขึ้นมาบนบ้านพักบอกผมว่าพวกหนุ่มสาวขอคุยกับครู ผมจึงบอกเดี๋ยวนะเขียนจดบันทึกก่อนกลัวลืมสิ่งที่จะไปทำเบิก เมื่อผมเขียนบันทึกเสร็จจึงเดินจากบ้านพักไปที่ลานหน้าบ้าน พบกลุ่มชาวบ้านกลุ่มหนึ่งนั่งล้อมวงกัน ผมจึงเดินเข้าไปร่วมกับกลุ่ม มีชาวบ้านคนหนึ่งไปหาฟืนมาจุดไฟ พอไฟติดสว่างทำให้เกิดความอบอุ่น ผมพยามมองกลุ่มชาวบ้านมีทั้งผู้หญิงผู้ชาย ผู้ชายบางคนถือแคนสั้นและเป่าเป็นเพลง ผมฟังไม่รู้เรื่อง กลุ่มผู้หญิงแยกแกะกลุ่มกัน เต้นหมุนไปทางขวาทางซ้ายตามจังหวะเสียงแคนที่กลุ่มผู้ชายเป่าแคน
ตอนที่ ๕

อากาศเริ่มอบอุ่นเพราะแสงอาทิตย์เริ่มส่องแสงพ้นยอดภูเขา แสงแดดเริ่มส่องไปทั่ว ผมและเด็กชายทั้งสองได้เตรียมอุปกรณ์การสอน รอเวลาประมาณ 9.00 น เมื่อถึงเวลาผมและเด็กชายทั้งสองเดินลงจากบ้านพัก ไปตามถนนในหมู่บ้าน การเดินต้องเดินเลียบชิดขอบถนนในหมู่บ้าน จะเดินไปกลางถนนไม่ได้เพราะมีเจ้าถนนนอนขวางทาง บางตัวก็ยืนติดชิดกัน เจ้าถนนผู้นั้นคือฝูงวัวจะใช้ถนนในหมู่บ้านเป็นที่ยืนหรือนอนขวางทาง ฝูงวัวนั้นจะเป็นวัวของชาวบ้านมีประมาณ 100 ตัว ผมสังเกตดูฝูงเหล่านี้จะมีวัวพันธุ์หนึ่งตัวนอกนั้นจะเป็นวัวพันธุ์ธรรมดาพื้นบ้าน มาทราบภายหลังทราบว่าเป็นวัวพันธุ์พระราชทานให้ชาวเขาใช้เป็นพ่อพันธุ์

ผมพร้อมเด็กชายทั้งสองเดินไปตามแนวริมขอบถนน พอเดินผ่านบ้านที่มีนักเรียนเขาจะยืนรอครูเดินมา จากนั้นก็เดินตามผมไปจนเดินมาถึงโรงเรียน เด็กนักเรียนเดินไปที่นั่ง ผมได้จัดที่นั่งให้นักเรียนโดยผู้หญิงนั่งกับผู้หญิง ผู้ชายนั่งกับผู้ชาย ตอนแรกผมจะจัดให้ผู้ชายคู่กับผู้หญิง แต่นักเรียนเขายอมนั่ง( ผู้หญิงชาวเขา เขาก็สงวนตัวเหมือนกันนะจ๊ะ) เมื่อเสร็จแล้วให้ยืนเคารพชาติ ให้เด็กนักเรียนหนึ่งคนเด็กหญิงหนึ่งคนมาร่วมชักธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา ผมร้องเพลงชาติโดยให้นักเรียนทั้งหมดร่วมกันร้องตามผม กว่าจะร้องเพลงชาติจบเล่นเอามึนหัวไปหมด

เมื่อนักเรียนทั้งหมดเข้านั่งในห้องเรียนเรียบร้อยแล้ว ผมให้เอาหนังสือกอไก่เอาเขียนตามลายปะ เมื่อนักเรียนเริ่มเขียนกอไก่ตามลายปะผมก็เดินดูแต่ละคน บางคนก็เขียนตามลายปะ บางคนเขียนแหกโค้งนอกลายปะ บางคนเขียนกดดินสอแรงทำให้ดินสอหัก ใช้ปากแทะดินสอ บางคนเขียนผิดใช้นิ้วชุบน้ำลายเช็ด ผมมีหน้าที่คอยเอาดินสอมาเหลาให้ บางครั้งต้องคอยจับมือที่ถือดินสอให้เขียนกอไก่ตามลายปะ บางคนก็ใช้ดินสอได้ดี รู้จักใช้ยางลบ ก่อนจะใช้ดินสอผมก็สอนวิธีใช้ดินสอ บางคนก็เข้าใจ บางคนก็ไม่เข้าใจ วันแรกที่นักเรียนมาเรียนหนังสือ ผมได้ตกลงกับนักเรียนทุกคน เมื่อเวลาเรียนหนังสือต้องพูดภาษาไทยห้ามพูดภาษามูเซอ ผมตั้งกติกาอย่างนี้เพราะเวลานักเรียนจะพูดภาษามูเซอผมฟังไม่รู้ว่าพูดอะไร ถ้าพูดภาษาไทยผมจะได้รู้ได้ทราบและเข้าเข้าปัญหาการสอนหรือปัญหาอื่น ๆ

ขณะนักเรียนต่างคนต่างเขียนตัวอักษรตามลายปะ ผมสังเกตนักเรียนชายมีผมยาว นักเรียนหญิงผมยาวยังวิธีรวบผมใช้เชื่อกมัด ดูก็เรียบร้อย ผมจดข้อความไว้ในสมุดพกว่าจะต้องมีอุปกรณ์ตัดผม และเบิกใบมีดเล็กสำหรับเหลาดินสอในกลุ่มนักเรียนมีนักเรียนหญิงคนหนึ่ง หูเป็นน้ำหนวกมีน้ำหนวกไหลเป็นระยะ ผมพยามขอดู แล้วจะต้องใช้สำลีพันกับไม้เช็ดให้ จึงจดบันทึกไว้ในสมุดพกจะต้องทำเบิกพร้อมกับอุปกรณ์ตัดผม จนเวลาเทียงวันจึงหยุดเรียน นักเรียนทุกคนจะห่อข้าวมากินด้วย ผมก็มีข้าวและเครื่องอาหารกระป๋อง ผมเปิดกินร่วมกับนักเรียน

เมื่อทุกคนกินข้าวเสร็จ นักเรียนก็เกาะกลุ่มเล่นเกมตามประเพณีของเผ่า เช่นนักเรียนชายเล่นลูกข่าง ส่วนนักเรียนหญิงเล่นโดยใช้ขาเกี่ยวกัน ร้องเพลงไปเต้นไปตามจังหวะเพลง ดูแล้วก็เพลิดเพลิน

เมื่อเวลา 13.00 น ก็เริ่มเข้าเรียน ผมให้นักเรียนเอาหนังเขียน กอไก่ต่อ ถ้าคนไหนเสร็จก็เอามาส่งวางบนโต๊ะครู คนใดไม่เสร็จก็ให้เขียนจนเสร็จ เมื่อทุกคนเขียน กอไก่ เสร็จ ผมก็เปลี่ยนเป็นการร้องเพลง โดยผมเป็นผู้ร้องนำให้นักเรียนทั้งหมดร้องตาม วันละเพลง โดยร้องกลับไปกลับมา จนรู้สึกว่านักเรียนทุกคนร้องตามได้ ร้องถูก การร้องเพลงเป็นการเปลี่ยนความรู้สึกของนักเรียน บางครั้งผมก็ให้นักเรียนร้องภาษามูเซอ สลับเปลี่ยนกันไป ตบท้ายให้นักเรียนทุกคนหัดร้องเพลงชาติ โดยร้องตามผม ร้องจนเห็นว่านักเรียนเสียงชักหายลงไป พอเวลา 15.00 น ผมก็ไปสั่นระฆังเป็นสัญญาณว่าวันนี้โรงเรียนเลิกแล้ว

นักเรียนทุกคนพร้อมจะเดินกลับ โดยผมให้เข้าแถวให้นักเรียนผู้หญิงเดินไปก่อน นักเรียนชายเดินตาม ผมเดินเป็นคนสุดท้าย นักเรียนทั้งหมดลงไปเป็นแถว คนไหนถึงบ้านก็แยกเข้าบ้านตัวเอง แถวนักเรียนเดินไปจนถึงกลุ่มท้ายคือผม เด็กชายจะก้าและเด็กชายจะเสือเดินมาถึงบ้านพัก เด็กเรียนทั้งสองนำอุปกรณ์สอนขึ้นไปเก็บไว้บนบ้านพัก จากนั้นเด็กชายก็กลับบ้านของตนเอง

วันนี้ผมจะเดินลงไปอาบน้ำโดยที่อาบน้ำจะต้องเดินลงไปอาบลำธารเล็ก ๆ ที่ไหลผ่านแทรกภูเขา ชาวบ้านใช้ไม้ซางเป็นท่อต่อน้ำไหล ที่บริเวณทำเป็นที่อาบหรือล้างพืช ที่อาบน้ำชาวบ้านทำเป็นลานแล้วต่อท่อไม้ซางไว้ ผมต้องเดินลงจากภูเขาหลังบ้านพัก เมื่อเดินถึงบริเวณจะอาบน้ำเหลียวกลับดูทางที่เดินลงมามันสูงเหมือนกัน

ผมรีบอาบน้ำทำภารกิจให้เสร็จก่อนจะหมดแสงอาทิตย์ ขณะที่ผมกำลังอาบเด็กชายจะก้าและจะเสือก็ลงมาหาผมที่อาบน้ำพร้อมกระบอกไม้ซางคน 3 กระบอกรวม 6 กระบอก เด็กชายทั้ง 2 คนก็รีบอาบ เมื่อเสร็จภารกิจแล้ว เด็กชายทั้ง 2 คน เอากระบอกน้ำเติมน้ำให้เต็ม จากนั้นเอาสายที่รัดกระบอกน้ำพาดที่หน้าผาก จึงเดินกลับบ้านพัก ผมเห็นแล้วได้เอาหนึ่งกระบอกเอาสายพาดหน้าผากทำเหมือนเด็กชายทั้งสองทำ ขณะที่จะเดินกลับบ้านพัก ผมแถบจะหงายหลังตกเขา เพราะกระบอกน้ำมันหนักแถบคอหัก เด็กชายจะก้ารีบเอากระบอกมาถือ จากนั้นก็รีบเดินกลับบ้านพัก โดยผมก็เดินตามติดเด็กชายทั้งสองจนมาถึงบ้านพัก

เด็กชายจะก้ารีบจุดฟืนและหุงขาว เด็กชายจะเสือบอกผมว่าวันนี้แม่พ่อไปไร่ได้เอาผักกาดและเนื้อหมูบ้านมาให้ครูทำอาหาร ผมไม่รู้จะทำอะไรดี เด็กชายจะก้าบอกว่าวันนี้จะทำอาหารให้ครูกิน จากนั้นเด็กชายทั้งสองช่วยกันทำอาหาร เมื่อทำอาหารเสร็จ ผมและเด็กชายทั้งสองกินร่วมกัน รสชาติอาหารมันก็พอกินได้

เมื่อเสร็จภารกิจทุกอย่างเสร็จแสงอาทิตย์ก็ลับยอดภูเขา ความมืดเข้าครอบคลุมทีละน้อยจนความมืดหมด เริ่มจุดเทียนไข ผมกางมุ้งเพื่อเตรียมนอนแล้ว เด็กชายทั้งสองก็เตรียมที่นอนโดยกางมุ้งไว้ เวลาผ่านประมาณ ทุ่มกว่าได้ยินคนเดินมาหยุดที่หน้าบ้านพัก เสียงเดินนั้นรู้สึกมีหลายคน พักหนึ่งได้ยินเสียงเด็กชายทั้งสองลงบ้านพัก

เด็กชายทั้งสองได้เดินลงจากบ้านพัก ได้ยินคุยกัน เสียงหัวเราะเป็นเสียงหญิง อีกพักหนึ่งเด็กชายจะก้าขึ้นมาบนบ้านพักบอกผมว่าพวกหนุ่มสาวขอคุยกับครู ผมจึงบอกเดี๋ยวนะเขียนจดบันทึกก่อนกลัวลืมสิ่งที่จะไปทำเบิก เมื่อผมเขียนบันทึกเสร็จจึงเดินจากบ้านพักไปที่ลานหน้าบ้าน พบกลุ่มชาวบ้านกลุ่มหนึ่งนั่งล้อมวงกัน ผมจึงเดินเข้าไปร่วมกับกลุ่ม มีชาวบ้านคนหนึ่งไปหาฟืนมาจุดไฟ พอไฟติดสว่างทำให้เกิดความอบอุ่น ผมพยามมองกลุ่มชาวบ้านมีทั้งผู้หญิงผู้ชาย ผู้ชายบางคนถือแคนสั้นและเป่าเป็นเพลง ผมฟังไม่รู้เรื่อง กลุ่มผู้หญิงแยกแกะกลุ่มกัน เต้นหมุนไปทางขวาทางซ้ายตามจังหวะเสียงแคนที่กลุ่มผู้ชายเป่าแคน
117924_0.jpg (79.7 KiB) เข้าดูแล้ว 2248 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4378
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D อรุณสวัสดิ์ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพและญาติธรรมที่รัก เมื่อวานที่ผ่านมามีเพื่อนคนไหนถูกรางวัลบ้าง แต่เพื่อนข้างบ้านผมเขาหวิดถูกรางวัลที่ ๑ เพียงแต่เลขสลับท้ายแค่ตัวเดียว แต่ก็ตื่นเต้นกันทั้งครอบครัว นี่ขนาดไม่ถูกรางวัลใด ๆ เลยนะครับ ผมว่าถ้าเขาถูกรางวัลที ๑ จริง ๆ สงสัยคงมีหัวใจวายตายก่อนใช้เงิน โลกหนอโลกความหวังที่ลม ๆ แล้ง ๆ ไกลเกินฝันแนะนำให้ถอยเถอะครับ

และเนื่องจากเมื่อวานนี้เช่นกัน เป็นวันเกิดของเหล่า ตชด.รุ่น ๒ ค่ายดารารัศมีครบรอบ ๕๒ ปี ถึงวันนี้เวลานี้เราเหลือกันไม่กี่คนแล้วนะครับ ผมจึงขอถือโอกาสนี้อวยพรให้เพื่อน ๆ ทุกคนมีสุขภาพที่แข็งแรง มีความสุขไปตามอัตภาพของตน รักษาลมหายใจเข้า-ออก ไว้ให้นานที่สุด พร้อมนี้ขอฝากคลิปที่คิดว่าน่าจะประทับใจมาให้เป็นของขวัญวันเกิดพวกเรารุ่น ๒ ทุก ๆ คนที่ยังมีชีวิตอยู่ครับ
:) :D

:) :D น้องหมิว นศ.เกียรตินิยม ขอบคุณเพื่อนรัก คอยอุ้มขึ้นบันได ตลอด 10 ปี :o :o

:idea: :idea: มีเพื่อนดี เพียงหนึ่ง…ที่พึ่งได้
ดีกว่าเพื่อน มากมาย…ที่อิจฉา
มีมิตรดี เพียงหนึ่ง…ที่เมตตา
ดีกว่ามิตร ร่วมเฮฮา ที่ไร้ใจ
:idea: :idea:
ไฟล์แนบ
น้องหมิว บัณฑิตจิ๋ว สาวน้อยวัย 26 ปี ชาวอำเภอสตึก จ.บุรีรัมย์ เรียนจบระดับปริญญาตรี พร้อมคว้าเกียรตินิยมอันดับสอง ม.ราชภัฏบุรีรัมย์ นักเรียนในพระบรมราชานุเคราะห์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ยังปลื้มตัวเองไม่หายหลังเดินทางไปรับปริญญาบัตรมา เผยมีพ่อแม่ และเพื่อนรักที่ดูแลมา 10 ปี จึงประสบความสำเร็จได้
น้องหมิว บัณฑิตจิ๋ว สาวน้อยวัย 26 ปี ชาวอำเภอสตึก จ.บุรีรัมย์ เรียนจบระดับปริญญาตรี พร้อมคว้าเกียรตินิยมอันดับสอง ม.ราชภัฏบุรีรัมย์ นักเรียนในพระบรมราชานุเคราะห์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ยังปลื้มตัวเองไม่หายหลังเดินทางไปรับปริญญาบัตรมา เผยมีพ่อแม่ และเพื่อนรักที่ดูแลมา 10 ปี จึงประสบความสำเร็จได้
3792.jpg (74.11 KiB) เข้าดูแล้ว 2162 ครั้ง
11742.jpg
11742.jpg (63.01 KiB) เข้าดูแล้ว 2162 ครั้ง
139990.jpg
139990.jpg (71.6 KiB) เข้าดูแล้ว 2162 ครั้ง
เราปั่นเข้าอ่างเก็บน้ำบ้านธิในเส้นทางเดิม แต่พอถึงทางแยกซึ่งเรามาครั้งแรกไม่รู้ เราตรงไป โอ้....ปั่นขึ้นเขาเรียกว่าได้หอบ มาครั้งนี้คุณนายไม่ยอมครับ เรียกว่า &quot;รู้แล้ว&quot; คุณนายแกเลือกเลี้ยวซ้ายไปทางลัดครับ เพราะจากทางแยกปั่นไปอีกแค่ประมาณกิโลเมตรกว่า ๆ ก็ถึงสันเขื่อนแล้ว<br /><br />อีกประเด็นคุณนายยังไม่ไว้ใจเจ้าตัวเล็กที่ไป Upgrade มา เกรงว่าจะพาไปเข็น ๕๕๕ อย่าลืมคาถา &quot;ให้ใจ เอาใจ และตามใจ&quot; นะครับ แล้วเราจะไปด้วยกันได้ทุกที่
เราปั่นเข้าอ่างเก็บน้ำบ้านธิในเส้นทางเดิม แต่พอถึงทางแยกซึ่งเรามาครั้งแรกไม่รู้ เราตรงไป โอ้....ปั่นขึ้นเขาเรียกว่าได้หอบ มาครั้งนี้คุณนายไม่ยอมครับ เรียกว่า "รู้แล้ว" คุณนายแกเลือกเลี้ยวซ้ายไปทางลัดครับ เพราะจากทางแยกปั่นไปอีกแค่ประมาณกิโลเมตรกว่า ๆ ก็ถึงสันเขื่อนแล้ว

อีกประเด็นคุณนายยังไม่ไว้ใจเจ้าตัวเล็กที่ไป Upgrade มา เกรงว่าจะพาไปเข็น ๕๕๕ อย่าลืมคาถา "ให้ใจ เอาใจ และตามใจ" นะครับ แล้วเราจะไปด้วยกันได้ทุกที่
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (26).JPG (125.17 KiB) เข้าดูแล้ว 2162 ครั้ง
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (27).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (28).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (29).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (31).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (32).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (32).JPG (90.53 KiB) เข้าดูแล้ว 2162 ครั้ง
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (33).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (33).JPG (83.47 KiB) เข้าดูแล้ว 2162 ครั้ง
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (34).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (34).JPG (108.95 KiB) เข้าดูแล้ว 2162 ครั้ง
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (36).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (36).JPG (129.73 KiB) เข้าดูแล้ว 2162 ครั้ง
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (37).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (37).JPG (142.01 KiB) เข้าดูแล้ว 2162 ครั้ง
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (39).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (39).JPG (143.9 KiB) เข้าดูแล้ว 2162 ครั้ง
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (42).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (42).JPG (82.72 KiB) เข้าดูแล้ว 2162 ครั้ง
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (44).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (44).JPG (125.93 KiB) เข้าดูแล้ว 2162 ครั้ง
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (47).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (48).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (48).JPG (133.22 KiB) เข้าดูแล้ว 2162 ครั้ง
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (49).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (49).JPG (106.18 KiB) เข้าดูแล้ว 2162 ครั้ง
ดีใจมาก ๆ ครับมาหนนี้น้ำเต็มอ่างแล้ว และต้องเฝ้าระวังระบายน้ำออกไม่เช่นนั้นจะล้นอ่าง นี่ละหนา &quot;อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา&quot; ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันไม่เที่ยง มีเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป<br /><br />ชีวิตของคนเราก็เช่นกันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป วันที่เรายังมีลมหายใจอย่าลืมสร้างบุญกุศลไว้เป็นเสบียง ยามที่เราล่วงลับดับไป เอาอะไรไปไม่ได้แม้เงินปากผีจะมีก็เพียงแต่ บุญ - บาป เท่านั้นที่ติดตามตัวเราไป สร้างบุญมาก สุขคติภพคือที่หมาย สร้างบาปไว้มาก ทุคติภพ คือที่หมาย อย่าประมาทกับชีวิตนะครับ<br /><br />เราพากันไปนั่งยังศาลาที่เดิม ผมชวนคุณนายปั่นลงไปเยี่ยมชาวบ้าน และไปชมแพที่ครั้งที่แล้วอยู่ก้นอ่าง วันนี้ลอยขึ้นมาเป็นแพบ้านสวยงาม แต่คุณนายขอมีความสุขกับการนั่งรับลม ชมวิวสวย ๆ ณ บริเวณศาลาดีกว่า ไม่ว่ากันผมไปคนเดียว เพื่อทดสอบเจ้าตัวเล็กว่า ปั่นขึ้นดอยจริง ๆ จะโอเค ? ติดตามตอนต่อไปครับ
ดีใจมาก ๆ ครับมาหนนี้น้ำเต็มอ่างแล้ว และต้องเฝ้าระวังระบายน้ำออกไม่เช่นนั้นจะล้นอ่าง นี่ละหนา "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันไม่เที่ยง มีเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป

ชีวิตของคนเราก็เช่นกันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป วันที่เรายังมีลมหายใจอย่าลืมสร้างบุญกุศลไว้เป็นเสบียง ยามที่เราล่วงลับดับไป เอาอะไรไปไม่ได้แม้เงินปากผีจะมีก็เพียงแต่ บุญ - บาป เท่านั้นที่ติดตามตัวเราไป สร้างบุญมาก สุขคติภพคือที่หมาย สร้างบาปไว้มาก ทุคติภพ คือที่หมาย อย่าประมาทกับชีวิตนะครับ

เราพากันไปนั่งยังศาลาที่เดิม ผมชวนคุณนายปั่นลงไปเยี่ยมชาวบ้าน และไปชมแพที่ครั้งที่แล้วอยู่ก้นอ่าง วันนี้ลอยขึ้นมาเป็นแพบ้านสวยงาม แต่คุณนายขอมีความสุขกับการนั่งรับลม ชมวิวสวย ๆ ณ บริเวณศาลาดีกว่า ไม่ว่ากันผมไปคนเดียว เพื่อทดสอบเจ้าตัวเล็กว่า ปั่นขึ้นดอยจริง ๆ จะโอเค ? ติดตามตอนต่อไปครับ
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (50).JPG (118.36 KiB) เข้าดูแล้ว 2162 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4378
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D อรุณสวัสดิ์ครับ เหตุไม่คาดคิดไม่คาดฝันในบ้านเมืองเรา ช่วงนี้มักจะเกิดบ่อยขึ้นถี่ขึ้น เป็นสงครามย่อย ๆ ไม่แพ้บ้านเมืองที่เขาเจริญรุ่งเรืองกันเลยทีเดียว เมื่อวิเคราะห์เจาะลึกแล้วมันเริ่มมาที่ "ปาก" ก่อน เรียกว่าปากเป็นเหตุครับ ผมประทับใจในการตอบโต้กันทาง social หลายๆ ราย มีอยู่รายหนึ่งเขาพูดดีจังเลยขอคัดลอกมา เขาว่าดังนี้

"ด้วยอาวุธที่ร้ายแรงที่สุดคือปาก ปากทำให้คนทะเลาะกันตีกันฆ่ากันก็เพราะปากล้วน ถ้าปากไม่เอ่ยวาจาทำร้ายจิตใจผู้อื่นก่อน จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย สงบสุขไม่ตีรันฟันแทง ไม่ทำสงคราม ไม่ยิงนิวเคลียร์ใส่กันจนทำลายโลกทั้งใบ ไครที่เห็นดีกับการใช้ปากทำร้ายกัน ก็สันดานไม่ต่างกันหรอก พวกชอบการเข่นฆ่าการทำลายโลก ควรพิจารณาตัวเอง แล้วปรับทัศนคติด่วน อนาคตจะได้มีโลกอยู่ ไม่ฆ่ากันตายทั้งโลก คนจะฆ่ากันตายก็เริ่มจากใช้อาวุธคือปากนี่แหละ ทิ่มแทงเขาก่อน เขาก็สวนคืน อยู่ดีๆไม่มีใครลุกขึ้นทำร้ายใครเฉยๆ โดยไม่มีสิ่งกระตุ้นหรอก ไม่ใช่คนบ้า อยู่ดีๆ จะได้ลุกขึ้นมาฆ่าฟันกัน ให้เปลืองพลังงานปล่าวๆ"

ผมอ่านไปยิ้มไป คิดไป คิดไปถึงสมัยเป็นเด็กครูสังคมเล่าเรื่องความรักชาติของคนเชียงใหม่ ฟังแล้วฝังใจจำจนถึงวันนี้ ครับ
:) :D

:o :o ตำนานเจดีย์ขาว กลางเมืองเชียงใหม่ | ร้อยเรื่องเมืองล้านนา :( :(

:idea: :idea: ตำนานเจดีย์ขาวแสดงถึงความรักชาติยิ่งชีพ ปัจจุบันนี้เราคนไทยมีใจรักชาติกันทุกคน แต่การรักชาติของคนปัจจุบันกล้าพิสูจน์ได้ครับ "รักชาติจนน้ำลายไหล" เหตุการณ์เกิดขึ้น เมื่อสด ๆ ร้อน ๆ นี้ กรณีชกปากกัน(นัยว่าสั่งสอน) เพราะความเห็นไม่ลงรอยกัน ทำให้คิดได้ว่าเรากำลังแบ่งฝักแบ่งฝ่ายคนในบ้านเมืองอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งทั้งสองฝ่ายก็แสดงความรักชาติไม่แพ้กัน ฝากว่า หมดเวลาทะเลาะกันแล้วนะครับ จงเคารพในความเห็นต่างแล้วอยู่กันอย่างสันติสุข "อย่าใช้ปากเป็นอาวุธเข้าทำร้ายทำลายกันอีกเลย" :idea: :idea:
ไฟล์แนบ
3792.jpg
3792.jpg (114.35 KiB) เข้าดูแล้ว 2102 ครั้ง
ประเทศที่โชคดีที่สุดในโลก #คือประเทศไทย <br />(สื่อจีนลงข่าว )<br /><br />โดยบอกถึง 9 เหตุผลที่ประเทศไทยขึ้นชื่อว่า เป็นประเทศที่โชคดีที่สุดในโลก..! เป็นเรื่องที่ดีอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อสื่อข่าวของประเทศจีนนั้น ได้ลงข่าวพูดถึงประเทศไทย ในทางที่ดี โดยให้คนของประเทศจีนได้รับรู้กันว่า ประเทศไทยนั้นมีดีอย่างไร โดยทางสื่อจีน ถึงได้ยกให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่โชคดีที่สุดในโลกเลยล่ะ...<br /><br />&quot;ประเทศไทยเป็นประเทศที่โชคดีที่สุดในโลก!!!&quot;<br />เหตุผลมีดังต่อไปนี้...<br /><br />1) ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางครัวโลกไม่ต้องกลัวอดตาย มีอาหารกินตลอดเวลา และ ส่งออกไปทั่วโลก <br /><br />2) ประเทศไทยมีทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์มาก มีป่าไม้ ภูเขา ทะเล ทองคำ จนได้ชื่อว่า ดินแดนสุวรรณภูมิ<br /><br />3) ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในเขตแผ่นดินไหวโดยตรง แนวแผ่นดินไหวอ้อมประเทศไทยทั้งประเทศ ในขณะที่เกือบทั้งโลกอยู่ในเขตแผ่นดินไหวรุนแรง<br /><br />4) ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในเขตพายุรุนแรง นาน ๆ จะเจอสักครั้ง เพราะพายุไต้ฝุ่นส่วนใหญ่ เกิดในทะเลจีนใต้ บริเวณประเทศฟิลิปปินส์ มาถล่มหนักเวียดนาม ลาว เขมร และ อ่อนตัวลง กลายเป็นพายุธรรมดาเมื่อเข้าประเทศไทย<br /><br />5) ประเทศไทยไม่เคยตกเป็นอาณานิคม ของชาติตะวันตก ในขณะที่ทุกประเทศในอาเซียนตกเป็นอาณานิคม<br /><br />6) ประเทศไทยไม่ได้เป็นผู้พ่ายแพ้ในเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2<br /><br />7) คนทุกชนชาติ และ ทุกศาสนาในประเทศไทยมีสิทธิ เสรีภาพ มากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก<br /><br /> 8) ประเทศไทย มีพระมหากษัตริย์ เป็นพุทธมามกะ ทรงก่อตั้งมูลนิธิต่าง ๆ มากมาย เช่น มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ มูลนิธิพระดาบส มูลนิธิชัยพัฒนา ทรงอุปถัมถ์พระศาสนา ภาษาไทย วัฒนธรรม ประเพณี พระราชพิธี งานช่างหลวง การศึกษา การแพทย์ การคมนาคม การอนุรักษ์ดิน และ น้ำ ทรัพยากรป่าไม้ ป่าชายเลน เกษตรทฤษฎีใหม่ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ฯลฯ <br /><br />9) พระพุทธศาสนาเจริญที่สุดในโลกในประเทศไทย เพราะประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น เอกอัครศาสนูปถัมภก และ ทรงเป็นพุทธมามกะ” <br /><br />ทั้งหมดนี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องราวดี ๆ ที่คิดว่าอ่านแล้วก็จริงอย่างที่เขาว่า เห็นว่าประเทศไทยนั้นเป็นประเทศที่โชคดีที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง ฉะนั้น ก็อยากให้คนไทยทุกคนรักใคร่กลมเกลียวกันไว้ สมัครสมานสามัคคีกันไว้ เพื่อความสงบสุข,ความมั่นคงและความเจริญก้าวหน้าของบ้านเมืองประเทศชาติของเราครับ.
ประเทศที่โชคดีที่สุดในโลก #คือประเทศไทย
(สื่อจีนลงข่าว )

โดยบอกถึง 9 เหตุผลที่ประเทศไทยขึ้นชื่อว่า เป็นประเทศที่โชคดีที่สุดในโลก..! เป็นเรื่องที่ดีอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อสื่อข่าวของประเทศจีนนั้น ได้ลงข่าวพูดถึงประเทศไทย ในทางที่ดี โดยให้คนของประเทศจีนได้รับรู้กันว่า ประเทศไทยนั้นมีดีอย่างไร โดยทางสื่อจีน ถึงได้ยกให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่โชคดีที่สุดในโลกเลยล่ะ...

"ประเทศไทยเป็นประเทศที่โชคดีที่สุดในโลก!!!"
เหตุผลมีดังต่อไปนี้...

1) ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางครัวโลกไม่ต้องกลัวอดตาย มีอาหารกินตลอดเวลา และ ส่งออกไปทั่วโลก

2) ประเทศไทยมีทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์มาก มีป่าไม้ ภูเขา ทะเล ทองคำ จนได้ชื่อว่า ดินแดนสุวรรณภูมิ

3) ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในเขตแผ่นดินไหวโดยตรง แนวแผ่นดินไหวอ้อมประเทศไทยทั้งประเทศ ในขณะที่เกือบทั้งโลกอยู่ในเขตแผ่นดินไหวรุนแรง

4) ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในเขตพายุรุนแรง นาน ๆ จะเจอสักครั้ง เพราะพายุไต้ฝุ่นส่วนใหญ่ เกิดในทะเลจีนใต้ บริเวณประเทศฟิลิปปินส์ มาถล่มหนักเวียดนาม ลาว เขมร และ อ่อนตัวลง กลายเป็นพายุธรรมดาเมื่อเข้าประเทศไทย

5) ประเทศไทยไม่เคยตกเป็นอาณานิคม ของชาติตะวันตก ในขณะที่ทุกประเทศในอาเซียนตกเป็นอาณานิคม

6) ประเทศไทยไม่ได้เป็นผู้พ่ายแพ้ในเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2

7) คนทุกชนชาติ และ ทุกศาสนาในประเทศไทยมีสิทธิ เสรีภาพ มากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก

8) ประเทศไทย มีพระมหากษัตริย์ เป็นพุทธมามกะ ทรงก่อตั้งมูลนิธิต่าง ๆ มากมาย เช่น มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ มูลนิธิพระดาบส มูลนิธิชัยพัฒนา ทรงอุปถัมถ์พระศาสนา ภาษาไทย วัฒนธรรม ประเพณี พระราชพิธี งานช่างหลวง การศึกษา การแพทย์ การคมนาคม การอนุรักษ์ดิน และ น้ำ ทรัพยากรป่าไม้ ป่าชายเลน เกษตรทฤษฎีใหม่ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ฯลฯ

9) พระพุทธศาสนาเจริญที่สุดในโลกในประเทศไทย เพราะประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น เอกอัครศาสนูปถัมภก และ ทรงเป็นพุทธมามกะ”

ทั้งหมดนี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องราวดี ๆ ที่คิดว่าอ่านแล้วก็จริงอย่างที่เขาว่า เห็นว่าประเทศไทยนั้นเป็นประเทศที่โชคดีที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง ฉะนั้น ก็อยากให้คนไทยทุกคนรักใคร่กลมเกลียวกันไว้ สมัครสมานสามัคคีกันไว้ เพื่อความสงบสุข,ความมั่นคงและความเจริญก้าวหน้าของบ้านเมืองประเทศชาติของเราครับ.
37114.jpg (76.38 KiB) เข้าดูแล้ว 2102 ครั้ง
ได้ยินแล้วน้ำตาไหล เบื้องหลังประติมากรรม อ.สันติ เผย หลัง ร.10 ทอดพระเนตรพระบรมรูป ร.9 ทรงตรัส &quot; ปั้นพ่อยิ้มได้ด้วย พ่อไม่ค่อยยิ้ม เก่งมาก &quot;<br /><br />อ.สันติ เผย หลัง ร.10 ทอดพระเนตร พระบรมรูป ร.9 ตรัส ปั้นพ่อยิ้มได้ด้วย เก่งมาก อีกหนึ่งเรื่องราวที่ชาวเน็ตจำนวนมากต่างกดไลค์และคอมเม้นต์กันอย่างต่อเนื่อง เมื่อเฟซบุ๊ก กว่าจะเป็น&quot;ไทย&quot;ในวันนี้ ได้มีการเผยภาพและเรื่องราว เบื้องหลังประติมากรรม พระบรมรูป ในหลวง รัชกาลที่ 9 ความว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้าง พระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร<br /><br />เพื่อถวายเป็น พระบรมราชานุสรณ์ ประดิษฐานบนปราสาทพระเทพบิดร ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง เคียงข้าง พระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ รัชกาลที่ 1 - รัชกาลที่ 8<br /><br />โดยเมื่อวันจักรี พุทธศักราช 2563 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบพิธีประดิษฐานและ สมโภชพระบรมรูปในหลวงรัชกาลที่ 9 ไว้ที่ปราสาทพระเทพบิดรแห่งนี้ ซึ่งเป็นประจำทุกปีในวันที่ 6 เมษายน ตรงกับวันจักรี และวันที่ 5 พฤษภาคม วันฉัตรมงคล หรือวันสำคัญต่าง ๆ ปราสาทพระเทพบิดร จะเปิดให้พสกนิกรเข้าถวายบังคมพระบรมรูปล้นเกล้าฯ ทุกรัชกาล เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณตราบชั่วนิรันดร์<br /><br />กระทั่งเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2560 อ.สันติ ได้รับการติดต่อให้เข้าเฝ้าในหลวงรัชกาลที่ 10 เพื่อปั้นพระบรมรูปในหลวงรัชกาลที่ 9 ประดิษฐานไว้ในปราสาทพระเทพบิดร ซึ่งเขารู้สึกปลื้มปีติมาก ตอนที่ผมเข้าเฝ้าฯ ในหลวงรัชกาลที่ 10 พระองค์รับสั่งว่า &quot;ปั้นพ่อยิ้มได้ด้วย พ่อไม่ค่อยยิ้ม เก่งมาก ปั้นได้อย่างไร เราไปเก็บของพ่อที่พระราชวังไกลกังวล พ่อเคยบอกว่า ถ้าอยากได้อะไร ไม่ต้องไปขอใครหรอกลูก ให้มาขอพ่อ แล้วจะให้ไปขอพ่อที่ไหน พ่อจากไปแล้ว&quot;<br /><br />ในช่วงตอนหนึ่งที่ อ.สันติ ได้เล่าต่อว่า ในหลวง รัชกาลที่ 10 ตรัสว่า อาจารย์ไม่เคยเข้าเฝ้าในหลวง รัชกาลที่ 9 ทำไมปั้นได้ถึงขนาดนี้ ดูมีจิตวิญญาณ มีชีวิต เก่งมากๆ เลย<br /> ผมเคยเรียนในโรงเรียนรัฐบาล คุณพ่อเป็นครู คุณแม่เป็นช่างเย็บผ้า เวลาอยู่หน้าเสาธง ผมจะพูดตลอดว่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ผมฝึกวาดรูปรัชกาลที่ 9 มาตั้งแต่ ป.1 วาดโดยไม่ต้องดูเลย พอมา ป.5 ก็ปั้นเหรียญบาทส่งครูในวิชาศิลปะ<br /><br />&quot;ผมเคยฝันถึงพระองค์ท่านสองครั้ง ในความฝันก็เป็นที่เดิมทั้งสองครั้ง ผมฝันว่า สักวันหนึ่ง ถ้าเราเก่งเราจะได้ปั้นพระบรมรูปในหลวง รัชกาลที่ 9 ตอนพระองค์สวรรคต ภรรยาชาวอเมริกันก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมจะต้องมาเมืองไทย ผมมองไปบนท้องฟ้า แล้วพูดว่า ขอพระองค์ใช้งานผมให้มาปั้นพระบรมรูปพระองค์ท่าน&quot; อ.สันติ ระบุ <br /><br />ก่อนที่จะเล่าทิ้งท้ายว่า &quot;ผมเริ่มปั้นขึ้นรูปด้วยดินวันที่ 5 ธันวาคม 2560 จนพระบรมรูปในหลวง รัชกาลที่ 9 เสร็จกลางเดือนพฤษภาคม 2562 เป็นเวลา 2 ปี ที่ผมหยุดงานทุกอย่างเพื่อทำรูปปั้นพ่อ ใช้วิชาความรู้บวกกับประสบการณ์ทำงานทำให้ดีที่สุด โดยมีเพื่อน รุ่นน้อง และลูกศิษย์ร่วมด้วยช่วยกัน ทุกคนมาด้วยใจ ในหลวง ร.9 ทรงเป็นพ่อของทุกคน และพ่อสอนว่า สามัคคีคือพลัง ผมนำทุกคำสอนพ่อมาปั้นพระองค์ท่าน ตลอดจนใช้ในการดำเนินชีวิต สำหรับเสียงชื่นชม เมื่อผลงานปรากฏออกมาไม่ได้หลงตัวเอง รู้สึกขอบคุณและมีความสุขเมื่อคนเห็นรูปปั้นแล้วนึกถึงพระองค์ท่าน ถือเป็นเกียรติประวัติของครอบครัว ครูบาอาจารย์ และสถานศึกษา&quot;<br /><br />ข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก กว่าจะเป็น&quot;ไทย&quot;ในวันนี้
ได้ยินแล้วน้ำตาไหล เบื้องหลังประติมากรรม อ.สันติ เผย หลัง ร.10 ทอดพระเนตรพระบรมรูป ร.9 ทรงตรัส " ปั้นพ่อยิ้มได้ด้วย พ่อไม่ค่อยยิ้ม เก่งมาก "

อ.สันติ เผย หลัง ร.10 ทอดพระเนตร พระบรมรูป ร.9 ตรัส ปั้นพ่อยิ้มได้ด้วย เก่งมาก อีกหนึ่งเรื่องราวที่ชาวเน็ตจำนวนมากต่างกดไลค์และคอมเม้นต์กันอย่างต่อเนื่อง เมื่อเฟซบุ๊ก กว่าจะเป็น"ไทย"ในวันนี้ ได้มีการเผยภาพและเรื่องราว เบื้องหลังประติมากรรม พระบรมรูป ในหลวง รัชกาลที่ 9 ความว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้าง พระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

เพื่อถวายเป็น พระบรมราชานุสรณ์ ประดิษฐานบนปราสาทพระเทพบิดร ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง เคียงข้าง พระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ รัชกาลที่ 1 - รัชกาลที่ 8

โดยเมื่อวันจักรี พุทธศักราช 2563 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบพิธีประดิษฐานและ สมโภชพระบรมรูปในหลวงรัชกาลที่ 9 ไว้ที่ปราสาทพระเทพบิดรแห่งนี้ ซึ่งเป็นประจำทุกปีในวันที่ 6 เมษายน ตรงกับวันจักรี และวันที่ 5 พฤษภาคม วันฉัตรมงคล หรือวันสำคัญต่าง ๆ ปราสาทพระเทพบิดร จะเปิดให้พสกนิกรเข้าถวายบังคมพระบรมรูปล้นเกล้าฯ ทุกรัชกาล เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณตราบชั่วนิรันดร์

กระทั่งเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2560 อ.สันติ ได้รับการติดต่อให้เข้าเฝ้าในหลวงรัชกาลที่ 10 เพื่อปั้นพระบรมรูปในหลวงรัชกาลที่ 9 ประดิษฐานไว้ในปราสาทพระเทพบิดร ซึ่งเขารู้สึกปลื้มปีติมาก ตอนที่ผมเข้าเฝ้าฯ ในหลวงรัชกาลที่ 10 พระองค์รับสั่งว่า "ปั้นพ่อยิ้มได้ด้วย พ่อไม่ค่อยยิ้ม เก่งมาก ปั้นได้อย่างไร เราไปเก็บของพ่อที่พระราชวังไกลกังวล พ่อเคยบอกว่า ถ้าอยากได้อะไร ไม่ต้องไปขอใครหรอกลูก ให้มาขอพ่อ แล้วจะให้ไปขอพ่อที่ไหน พ่อจากไปแล้ว"

ในช่วงตอนหนึ่งที่ อ.สันติ ได้เล่าต่อว่า ในหลวง รัชกาลที่ 10 ตรัสว่า อาจารย์ไม่เคยเข้าเฝ้าในหลวง รัชกาลที่ 9 ทำไมปั้นได้ถึงขนาดนี้ ดูมีจิตวิญญาณ มีชีวิต เก่งมากๆ เลย
ผมเคยเรียนในโรงเรียนรัฐบาล คุณพ่อเป็นครู คุณแม่เป็นช่างเย็บผ้า เวลาอยู่หน้าเสาธง ผมจะพูดตลอดว่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ผมฝึกวาดรูปรัชกาลที่ 9 มาตั้งแต่ ป.1 วาดโดยไม่ต้องดูเลย พอมา ป.5 ก็ปั้นเหรียญบาทส่งครูในวิชาศิลปะ

"ผมเคยฝันถึงพระองค์ท่านสองครั้ง ในความฝันก็เป็นที่เดิมทั้งสองครั้ง ผมฝันว่า สักวันหนึ่ง ถ้าเราเก่งเราจะได้ปั้นพระบรมรูปในหลวง รัชกาลที่ 9 ตอนพระองค์สวรรคต ภรรยาชาวอเมริกันก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมจะต้องมาเมืองไทย ผมมองไปบนท้องฟ้า แล้วพูดว่า ขอพระองค์ใช้งานผมให้มาปั้นพระบรมรูปพระองค์ท่าน" อ.สันติ ระบุ 

ก่อนที่จะเล่าทิ้งท้ายว่า "ผมเริ่มปั้นขึ้นรูปด้วยดินวันที่ 5 ธันวาคม 2560 จนพระบรมรูปในหลวง รัชกาลที่ 9 เสร็จกลางเดือนพฤษภาคม 2562 เป็นเวลา 2 ปี ที่ผมหยุดงานทุกอย่างเพื่อทำรูปปั้นพ่อ ใช้วิชาความรู้บวกกับประสบการณ์ทำงานทำให้ดีที่สุด โดยมีเพื่อน รุ่นน้อง และลูกศิษย์ร่วมด้วยช่วยกัน ทุกคนมาด้วยใจ ในหลวง ร.9 ทรงเป็นพ่อของทุกคน และพ่อสอนว่า สามัคคีคือพลัง ผมนำทุกคำสอนพ่อมาปั้นพระองค์ท่าน ตลอดจนใช้ในการดำเนินชีวิต สำหรับเสียงชื่นชม เมื่อผลงานปรากฏออกมาไม่ได้หลงตัวเอง รู้สึกขอบคุณและมีความสุขเมื่อคนเห็นรูปปั้นแล้วนึกถึงพระองค์ท่าน ถือเป็นเกียรติประวัติของครอบครัว ครูบาอาจารย์ และสถานศึกษา"

ข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก กว่าจะเป็น"ไทย"ในวันนี้
16718.jpg (138.68 KiB) เข้าดูแล้ว 2102 ครั้ง
น้ำเต็มอ่างแล้วครับ ตอนนี้เจ้าหน้าที่เตรียมตัวระบายน้ำออกจากอ่างไม่ให้ล้นอ่าง ครับ
น้ำเต็มอ่างแล้วครับ ตอนนี้เจ้าหน้าที่เตรียมตัวระบายน้ำออกจากอ่างไม่ให้ล้นอ่าง ครับ
บ้านธิ ๗ ต.ค (20).jpg (64.51 KiB) เข้าดูแล้ว 2102 ครั้ง
เราขึ้นมาสันเขื่อนมานั่งพักที่ศาลา ผมชวนคุณนายลงไปชมบ้านแพลอยน้ำที่เมื่อช่วงหน้าแล้งลงไปอยู่ก้นอ่าง ตอนนี้ลอยขึ้นมาตามน้ำที่ขึ้นจะล้นอ่างสวยงาม แต่คุณนายไม่ลงไปขอนั่งพักชมวิวเพลิน ๆ ที่ศาลา ก็ไม่ว่ากัน เราชมกันครับ
เราขึ้นมาสันเขื่อนมานั่งพักที่ศาลา ผมชวนคุณนายลงไปชมบ้านแพลอยน้ำที่เมื่อช่วงหน้าแล้งลงไปอยู่ก้นอ่าง ตอนนี้ลอยขึ้นมาตามน้ำที่ขึ้นจะล้นอ่างสวยงาม แต่คุณนายไม่ลงไปขอนั่งพักชมวิวเพลิน ๆ ที่ศาลา ก็ไม่ว่ากัน เราชมกันครับ
บ้านธิ ๗ ต.ค (11).jpg
บ้านธิ ๗ ต.ค (11).jpg (104.94 KiB) เข้าดูแล้ว 2102 ครั้ง
บ้านธิ ๗ ต.ค (12).jpg
บ้านธิ ๗ ต.ค (12).jpg (145.08 KiB) เข้าดูแล้ว 2102 ครั้ง
บ้านธิ ๗ ต.ค (13).jpg
บ้านธิ ๗ ต.ค (14).jpg
บ้านธิ ๗ ต.ค (14).jpg (134.21 KiB) เข้าดูแล้ว 2102 ครั้ง
บ้านธิ ๗ ต.ค (15).jpg
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (51).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (52).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (53).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (54).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (54).JPG (128.72 KiB) เข้าดูแล้ว 2102 ครั้ง
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (55).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (55).JPG (133.81 KiB) เข้าดูแล้ว 2102 ครั้ง
ขาลงต้องระวังมาก ๆ ผมให้สติน้อง ๆ และมือใหม่เสมอ ๆ ว่า &quot;ขึ้นเหนื่อย ลงตาย&quot; มีนักจักรยานเสียชีวิตขาลงทั้งนั้นครับ ขึ้นไม่มีใครตายนอกจากรถจะชนแค่นั้น<br /><br />Dahon Boardwalk D7 เมื่อเราทำการ upgrade แล้วปั่นขึ้นดอยชิว ๆ เหมือนจักรยานทัวร์ริ่งทั่ว ๆ ไปเลยครับ ช่างภาส ฯ ช่างมือหนึ่ง ชม.บอกว่าหากจะให้เยี่ยมกว่านี้ปรับหมดเลยแต่งบจะสูงมาก เอาแค่นี้ไปก่อน ต้องเชื่อช่างครับ ไว้ให้อีกซักระยะค่อยว่ากันอีกที
ขาลงต้องระวังมาก ๆ ผมให้สติน้อง ๆ และมือใหม่เสมอ ๆ ว่า "ขึ้นเหนื่อย ลงตาย" มีนักจักรยานเสียชีวิตขาลงทั้งนั้นครับ ขึ้นไม่มีใครตายนอกจากรถจะชนแค่นั้น

Dahon Boardwalk D7 เมื่อเราทำการ upgrade แล้วปั่นขึ้นดอยชิว ๆ เหมือนจักรยานทัวร์ริ่งทั่ว ๆ ไปเลยครับ ช่างภาส ฯ ช่างมือหนึ่ง ชม.บอกว่าหากจะให้เยี่ยมกว่านี้ปรับหมดเลยแต่งบจะสูงมาก เอาแค่นี้ไปก่อน ต้องเชื่อช่างครับ ไว้ให้อีกซักระยะค่อยว่ากันอีกที
บ้านธิ ๗ ต.ค (5).jpg (207.4 KiB) เข้าดูแล้ว 2102 ครั้ง
ไปต่อกับครู ตชด.โดยท่าน พ.ต.ท. ปริญญา ทับกล่ำ หรือ &quot;ไอ่จุ๊ก&quot; ของเพื่อน ๆ ตชด.รุ่น ๒ ครับ<br /><br />ตอนที่ ๖<br /><br /> ที่ลานหน้าบ้านพักของผมเลยเป็นที่นัดพบหนุ่มสาว เพราะกลุ่มสาว ๆ ในหมู่บ้านจะมารวมกันที่ลานหน้าบ้านพักผม กลุ่มสาว ๆ จะล้อมวงเต้นเป็นวงกลม มีเสียงร้องเพลง เสียงตบมือเป็นจังหวะเมื่อกลุ่มหนุ่มมารวมกันที่ลานบ้านพักผม กลุ่มหนุ่มก็จะเป่าแคนสั้นเป็นเพลงพร้อมกับเสียงร้องเพลง เสียงตบมือเป็นจังหวะ ผมนั่งดูกลุ่มหนุ่มสาวเขาร้องเพลง เต้นเป็นวงกลมดูแล้วก็สนุกสนาน เพลิดเพลินตาม กลุ่มหนุ่มยังไม่กล้าเข้าพูดกับผมแต่กลุ่มสาวจะเข้าพูดด้วย โดยข้างซ้ายข้างขวามือผมเด็กชายจะก้าและจะเสือจะนั่งกะแนบข้างผมตลอด(เป็นล่าม)<br /><br />               เวลาผ่านไปจนดึก กลุ่มชายหญิงก็ทยอยกลับบ้านไปที่ละคนสองคน เมื่อกลุ่มหนุ่มสาวเริ่มกลับบ้านผมบอกให้เด็กชายจะกล้า บอกกลุ่มที่ยังไม่กลับว่าครูจะขึ้นบ้านพักไปพักผ่อน เมื่อผมกับเด็กชายทั้งสองขึ้นบ้าน กลุ่มหนุ่มสาวก็เริ่มกลับบ้าน และมีเสียงผู้หญิงตะโกนบอกว่าวันพรุ่งนี้จะมาใหม่  ผมเข้านอนพร้อมเด็กชายโดยแต่ละคนจะนอนชิดกันไม่ให้มีช่องลมผ่านได้ ทุกคนจะรู้หน้าที่ตนเองคือ ห้ามขยับตัวเด็ดขาด ถ้าใครขยับตัวเปิดช่องว่างให้อากาศหนาวผ่าน ก็ต้องปรับสภาพตนเอาเอง ชุดนอนของผมคือ เครื่องแบบชุดเขียว(ชุดเครื่องแบบ ตชด.) จะสวมรองเท้าสองชั้นใส่รองเท้าคอมแบท ยัดถุงเท้าไว้ในรองเท้า ส่วนเสื้อสวมชุดเสื้อแขนสีเขียวส่วนเสื้อในสวมสามตัว เสื้อนอกสุดจะเป็นเสื้อแจ๊กเก็ทสีเขียว ติดซิบลากยาวถึงคอ หมวกที่ติดกับเสื้อเเจ๊กเก็ทคลุมหัว เมื่อนอนผ้าห่มสองผืนนอนรวบชิดตัว เวลานอนแล้วห้ามกะดุกกะดิก ถ้าเปิดช่องลมหนาวผ่านได้เป็นว่าคืนนั้นนอนต่อสู้กับอากาศไปตลอดทั้งคืน ผมมองดูเด็กทั้งสองนอนเงียบกริบไม่กะดุกกะดิกได้ยินแต่เสียงลมหายใจ ผมนอนนึกในใจว่า นี่มันพึ่งเดือนพฤศจิกายน มันยังหนาวเพียงแค่นี้ ถ้าเดือนธันวาคม มกราคม กุมภาพันธุ์ มันจะไม่หนาวกว่านี้หรือ ผมนอนนึกไปมาแล้วพล๊อยหลับไป<br /><br />                 ผมสะดุ้งตื่น ได้ยินเสียงไก่ป่าขัน รับทอดกันเป็นระยะ ๆ เสียงไก่ป่าบ่งบอกว่าเป็นวันใหม่ ในช่องตอนเช้ามืดอย่าเผลอขยับตัว ถ้าขยับตัวเกิดช่องว่าลมหนาวผ่าน เป็นต้องขึ้นมาจุดไฟฟืน เพราะจะนอนต่อไปไม่ได้ อากาศหนาวตอนมันหนาวเย็นจับขั้วหัวใจ ผมนอนทนกับอากาศหนาวตอนเย็นไปได้ไม่นาน นึกในใจว่าจะลุกไปจุดไฟจุดฟืน แต่ก็ช้าไปเสียแล้วเพราะเด็กชายทั้งได้ลุกไปจุดไฟจุดฟืนเสียก่อน เมื่อจุดไฟจุดฟืนได้แล้ว ความร้อนจากฟืนมันก็ไล่อากาศหนาวได้บ้าง ผมจำเป็นต้องลุกตาม เด็กชายทั้งสองเมื่อฟืนติดไฟแล้วก็จัดการเอาข้าวมาหุง แล้วก็นำผักที่ชาวบ้านเอามาให้ นำมาล้างน้ำ เมื่อต้มน้ำเดือดก็เอาเอาหมูหั่นเป็นชิ้นเล็กใส่หม้อต้ม จากนั้นเอาผักใส่ลงต้มกับเนื้อหมู เมื่อทุกอย่างเสร็จทุกคนพร้อมกินข้าวเช้าส่วนอาหารที่เหลือได้เอาใส่ปิ่นโตเอาไปกินมื้อเที่ยงที่ รร.<br /> <br />                 แสงดวงอาทิตย์ส่องแสงแดดผ่านยอดภูเขา ชาวบ้านก็เริ่มภารกิจของเอง เมื่อเวลาผมกับเด็กชายทั้งสองก็เดินไปตามถนนในหมู่บ้าน เด็กนักเรียนที่ยืนรอครูเดินผ่านก็เดินตามกันแถวไป รร. ชาวบ้านที่เคยจะเดินไปทำไร่ออกมายืนหน้าบ้าน เมื่อผมกับกลุ่มนักเรียนเดินผ่าน จะยิ้มให้จะทักทายผมเป็นภาษามูเซอ ผมก็ฟังไม่รู้เรื่อง ผมถามเด็กชายทั้งสองคนว่าชาวบ้านเขาพูดกับครูเขาพูดว่าอย่างไร เด็กนักเรียนก็แย่งกันตอบว่า ตอนเย็นถ้ากลับจากไร่จะเอาผักมาให้ครูกิน กว่าจะตอบชาวบ้าน ชาวบ้านเดินไปไกลแล้ว<br /><br /> ผมและกลุ่มนักเรียนเดินผ่านนักเลงเจ้าถนนเดินเลียบขอบถนน ส่วนกลางถนนไม่มีสิทธิ์ที่จะเดินได้เพราะเจ้าถนนยืนเกาะกันเป็นกลุ่ม บางตัวนอนกว้าง บางตัวถ่ายมูลไว้เป็นกอง ๆ เจ้าถนนผู้นั้นคือฝูงวัวมีจำนวนมากเกินห้าสิบตัว และมีจ่าฝูงหนึ่งตัว วัวจ่าฝูงเป็นวัวพันธุ์บาร์มัน ซึ่งเป็นวัวพระราชทานให้ชาวเขาใช้เป็นพ่อพันธุ์  เมื่อผมและนักเรียนถึงโรงเรียนเมื่อได้เวลาเข้าเรียน ทั้งครูและนักเรียนเข้าแถวยืนเคารพธงชาติ นักเรียนชายหญิงที่จัดไว้ออกมายืนคู่กันเพรียมชักธงชาติขึ้นยอดเสา <br /><br />ผมก็ต้องร้องเพลงนำนักเรียนและนักเรียนก็ร้องเพลงชาติตามจากนั้นเข้าห้องเรียน ผมก็ดำเนินการสอน โดยนักเรียนเอาสมุดออกมาเขียนอักษรภาษาไทยตามรอยปะ ผมจำเป็นต้องให้นักเรียนได้เขียนและอ่านตัวอักษร จากนั้นเด็กนักเรียนตั้งหน้าตั้งตาเขียนอักษร บางคนก็เขียนได้รวดเร็ว บางคนก็เขียนได้ช้าเพราะนักเรียนบางคนไม่คุ้นเคยการจับดินสอเขียน ผมจำเป็นต้องพยามให้เด็กนักเรียนเขียนและอ่านออกว่าอ่านว่าอย่างไร<br /><br />                    เวลาผ่านไปจากช่องเวลาไปถึงเวลาบ่าย ช่วงเทียงวันหยุดพักกินข้าวที่เตรียมมาด้วยกัน เวลาบ่ายเข้าห้องเรียนผมสอนการนับเลข โดยผมนำเอาก้อนหินเล็ก ๆ มารวมกันเป็นอุปกรณ์ในการนับ เมื่อเสร็จการเรียนก็ร้องเพลงและปิดท้ายด้วยการร้องเพลงชาติ จากนั้นโรงเรียนก็เลิกกลับบ้าน ผมก็กลับบ้านนักเรียนเข้าแถวเดินลงนำหน้าผม ผมเด็กชายจะกล้าและจะเสือเดินปิดท้ายขบวนนักเรียน เขาเดินถึงบ้านก่อนก็เข้าบ้านจนเหลือสุดท้ายคือผมกับเด็กเรียนทั้งสอง เมื่อถึงบ้านพักเด็กนักเรียนรู้หน้าที่ของเขาเอง รีบเก็บอุปกรณ์การสอนไว้บนบ้านพัก จากนั้นรีบหุงข้าวไว้ให้ผม จากนั้นเด็กนักเรียนทั้งสองก็รีบกลับบ้านตนเอง <br /><br />เมื่อเด็กนักเรียนทั้งสองกลับบ้าน ผมก็รีบทำธุระประจำ โดยอาบน้ำชนิดประหยัดคือ เอากระบอกน้ำที่เด็กนักเรียนเตรียมไว้ให้ เทน้ำลงขันรีบแปรงฟันก่อน จากนั้นล้างหน้า เอาน้ำลูบตามแขนหน้าอก ลูบตามลำตัว จากนั้นก็เสร็จการอาบชนิดประหยัด น้ำกระบอกหนึ่งไม่หมด เมื่อเสร็จรีบใส่เสื้อชุดเดิมเพราะยังไม่มีกลิ่น อากาศไม่ร้อนแต่อากาศหนาว ต้องเตรียมพร้อมรับกับอากาศหนาว ขณะที่ผมนั่งอยู่บนบ้านพักแสงอาทิตย์เริ่มจะลับยอดภูเขา <br /><br />ลมหนาวพัดมาเป็นระลอก ได้ยินเสียงเรียกว่า ครู ครู ครู ผมออกมาจากบ้านพักพบชาวบ้านสามสี่คนในมือถือผักกาดและกะล่ำหัว  พูดว่า “ผมเอามาฝากครู”  ผมก็ขอบคุณชาวบ้านดังกล่าว ผมนั่งนึกว่าจะเอาผักนี้ทำอาหารอะไรดี ขณะนั่งนึกอยู่เด็กนักเรียนก็กลับมา ในมือถือเนื้อหมูและบอกพ่อและแม่บอกว่าเอามาให้ครู ผมเลยบอกเด็กเรียนทั้งสองล้างผักกาด ต้มน้ำเอาหมูหั่นเป็นชิ้น ๆ ลงต้มพอหมูสุกหั่นผักกาดลงต้มกับเนื้อหมู เติมเกลือ <br /><br />เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยผมและเด็กเรียนทั้งสองก็กินข้าวพร้อมกัน ข้าวที่หุงกินบางครั้งข้าวไม่ค่อยสุกบางครั้งข้าวแฉะ ผมและนักเรียนทั้งสองก็กิน ผมถือสุภาษิตว่า “ข้าวไม่สุกก็กินข้าวมัน ข้าวแฉะก็กินข้าวอ่อน” แม้แต่เครื่องปรุงมีเพียงเกลืออย่างเดียวมันยังอร่อย <br /><br />เมื่อกินเสร็จเด็กนักเรียนทั้งสองจัดการเรียบร้อย ข้าวและผักกาดต้มที่เหลือก็เก็บใส่ปิ่นโตเอาไปกินตอนเช้าและโรงเรียนด้วย จากนั้นทุกคนจัดการภารกิจตนเองเสร็จ เมื่อแสงอาทิตย์ลับยอดภูเขา ความมืดก็เข้าครอบคลุม ทุกคนเริ่มจุดไฟให้แสงสว่าง ผมมองออกไปนอกบ้านพัก มองไปยังบ้านของชาวเขา มองเห็นบางบ้านจุดไฟ มองไปรอบ ๆในหมู่บ้านเห็นแสงสว่างเป็นดวง ๆ แสงสว่างของไฟจะเห็นเป็นกลุ่มก้อนไฟ บางแห่งก็เห็นแสงไฟเคลื่อนไหวไปมา บางดวงเคลื่อนไหวเป็นดวงเดี่ยวเคลื่อนไหวไปมา บางจุดก็เห็นดวงไฟเป็นสองสามดวงเคลื่อนไหวไปมาตามกัน ดวงไฟเหล่านั้นคือชาวบ้านเขาถือคบไฟจุดแทนเทียนไข เพราะต้องใช้เชื้อมากเพื่อให้เกิดแสงสว่างมากในการทำภารกิจของตนเอง <br /><br />ผมนั่งมองดูดวงไฟดังกล่าวก็นึกอยากกลับบ้าน มองออกไปให้ไกลจากหมู่บ้าน มองผ่านให้ไกลที่สุดเท่าที่จะมองได้ แต่การมองมันก็จุดที่สิ้นสุดเท่าที่จะมองไปได้ แต่ความคิดมันไวยิ่งกว่าการมอง ความคิดแป๊บเดียวก็เดินทางบ้านเกิดที่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ มันรวดเร็วจัง ผมนั่งนึกอยู่นานมารู้สึกตัวเมื่อเด็กนักเรียนเรียกผม บอกว่าผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมาเที่ยวเยี่ยมเยือนหา ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านขึ้นมานั่งคุยบนบ้านพัก ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้พูดว่าวันที่ครูมาในหมู่บ้านนั้น ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้ลงไปทำธุระที่ตัวอำเภอฝาง ไม่ได้ต้อนรับครู และสอบถามผมว่าการเป็นอยู่ครูสบายไหม ถ้าขาดตกอะไรให้บอกผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เพราะชาวบ้านถือว่าครูมาช่วยให้ลูกหลานชาวบ้านมีความรู้ ผมบอกว่าสบายดี ถ้าขาดอะไรจะบอกให้ทราบ <br /><br />ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้เอาห่อถุงกระดาษให้ผมถุงหนึ่ง บอกว่าครูเอาไว้กิน ผมก็ไม่ทราบว่าในถุงนั้นเป็นอะไร ก็ไม่กล้าต่อหน้าผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก็ไม่บอกว่าอะไร คุยกันนานพอสมควร จากนั้นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก็ลากลับและได้เดินทางจากบ้านพัก และได้พูดบอกผมว่า เดี๋ยวก็จะมีกลุ่มหนุ่มสาวในหมู่บ้านมาเที่ยวพูดคุยกับครู ครูจะได้ไม่เหงา อีกพักเดียวก็มีกลุ่มหนุ่มสาวเดินมาทีละคนสองคน บางคนมานั่งและได้เป่าแคนสั้น เสียงแคนดังพักเดียวเหมือนเรียกแขก สักพักเดียวหน้าลานบ้านพักผมก็กลายเป็นลานชุมชนหนุ่นสาว สาวๆ เกาะกลุ่มเกาะเป็นวงเอาขาเกี่ยวกันเต้นหมุนตามเข็มนาฬิกาตามจังหวะเสียงแคนและเสียงจังหวะตบมือ ผมเป็นเจ้าของสถานที่ ต้องตบมือตามจังหวะ โดยมีองศ์รักษ์นั่งกะแหนบซ้ายขวาก็คือเด็กชายจะกล้าและจะเสือ จะนั่งคอยดูว่าผมจะเอาอะไรจะหยิบอะไร <br /><br />เมื่อทุกอย่างผ่านไปตามเวลา เมื่อเวลาเริ่มจะถึงเทียงคืน กลุ่มหนุ่มสาวบางคนก็เริ่มกลับบ้านของตนเอง บางกลุ่มชายหญิงก็เดินกลับบ้านคู่ ก่อนที่จะเดินพ้นบริเวณบ้านพักผมได้พูดว่าพรุ่งนี้จะมาใหม่ โดยจะพูดเป็นภาษาไทยบางคนก็พูดเป็นภาษามูเซอ เมื่อทุกคนกลับหมดผมเด็กนักเรียนทั้งสองก็รีบเข้านอน ก่อนที่จะดับแสงเทียนไข ทุกคนต้องพร้อมนอนตามความถนัดของตนเอง โดยข้อปฏิบัติของผมเข้าห้ามเปิดช่องว่างให้ลมหนาวผ่านได้ ถ้าช่องลมหนาวผ่านได้เป็นต้องนอนทนหนาวทั้งคืน <br /><br />วันนี้อุปกรณ์ การนอนดูแล้วจะเรียบร้อยกว่าทุกครั้ง เพราะต้องปฏิบัติทุกครั้งก่อนจะเข้านอน จึงเกิดความชำนาญ ทุกอย่างราบรื่น นอนหลับสนิทจนถึงเวลาเช้า เสียงไก่ป่าจะทำหน้าที่ต้องปฏิบัติเป็นกิจวัตรที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษของไก่ ที่จะต้องร้องขันต้อนรับวันใหม่ ไก่มันจะทำหน้าที่ของมันอย่างบกพร่องในหน้าที่ แต่มนุษย์เราเมื่อมีหน้าที่ต้องปฏิบัติแต่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง ผมมานอนนึกถึงหน้าที่ต้องตนต้องปฏิบัติคือการสอนให้ความรู้แก่เด็ก ๆ ชาวเขาเผ่ามูเซอดำที่หมู่บ้านจะนะ กิ่งอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ผมนอนนึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านไป จึงลุกขึ้นไปจุดไฟเพื่อหุงข้าว เด็กชายทั้งสองก็ตื่นตามผมและรีบทำหน้าที่ของตนเอง ลมหนาวตอนเช้านี้มันเย็นช่างจับใจจริง ๆ<br /><br /> เมื่อภารกิจทุกคนเรียบร้อย ก็เตรียมเดินไป รร.เมื่อได้เวลาผมและเด็กชายทั้งสองก็เดินตามถนนหมู่บ้าน เหมือนเดิมทุกวัน ต้องเดินผ่านนักเลงประจำถนน(วัว)นอนขวางทางเดินบ้าง เด็กนักเรียนยืนอยู่บ้านพอผมมาถึงที่ยืนรอบางคนก็เดินตามด้านหลัง บางคนก็เดินนำหน้าไป นักเรียนที่เดินนำหน้าจะเคียร์พื้นที่ทางเดิน จะไล่นักเลงที่นอนขวางทางเดินเปิดช่องทางเดินได้สะดวก
ไปต่อกับครู ตชด.โดยท่าน พ.ต.ท. ปริญญา ทับกล่ำ หรือ "ไอ่จุ๊ก" ของเพื่อน ๆ ตชด.รุ่น ๒ ครับ

ตอนที่ ๖

ที่ลานหน้าบ้านพักของผมเลยเป็นที่นัดพบหนุ่มสาว เพราะกลุ่มสาว ๆ ในหมู่บ้านจะมารวมกันที่ลานหน้าบ้านพักผม กลุ่มสาว ๆ จะล้อมวงเต้นเป็นวงกลม มีเสียงร้องเพลง เสียงตบมือเป็นจังหวะเมื่อกลุ่มหนุ่มมารวมกันที่ลานบ้านพักผม กลุ่มหนุ่มก็จะเป่าแคนสั้นเป็นเพลงพร้อมกับเสียงร้องเพลง เสียงตบมือเป็นจังหวะ ผมนั่งดูกลุ่มหนุ่มสาวเขาร้องเพลง เต้นเป็นวงกลมดูแล้วก็สนุกสนาน เพลิดเพลินตาม กลุ่มหนุ่มยังไม่กล้าเข้าพูดกับผมแต่กลุ่มสาวจะเข้าพูดด้วย โดยข้างซ้ายข้างขวามือผมเด็กชายจะก้าและจะเสือจะนั่งกะแนบข้างผมตลอด(เป็นล่าม)

เวลาผ่านไปจนดึก กลุ่มชายหญิงก็ทยอยกลับบ้านไปที่ละคนสองคน เมื่อกลุ่มหนุ่มสาวเริ่มกลับบ้านผมบอกให้เด็กชายจะกล้า บอกกลุ่มที่ยังไม่กลับว่าครูจะขึ้นบ้านพักไปพักผ่อน เมื่อผมกับเด็กชายทั้งสองขึ้นบ้าน กลุ่มหนุ่มสาวก็เริ่มกลับบ้าน และมีเสียงผู้หญิงตะโกนบอกว่าวันพรุ่งนี้จะมาใหม่ ผมเข้านอนพร้อมเด็กชายโดยแต่ละคนจะนอนชิดกันไม่ให้มีช่องลมผ่านได้ ทุกคนจะรู้หน้าที่ตนเองคือ ห้ามขยับตัวเด็ดขาด ถ้าใครขยับตัวเปิดช่องว่างให้อากาศหนาวผ่าน ก็ต้องปรับสภาพตนเอาเอง ชุดนอนของผมคือ เครื่องแบบชุดเขียว(ชุดเครื่องแบบ ตชด.) จะสวมรองเท้าสองชั้นใส่รองเท้าคอมแบท ยัดถุงเท้าไว้ในรองเท้า ส่วนเสื้อสวมชุดเสื้อแขนสีเขียวส่วนเสื้อในสวมสามตัว เสื้อนอกสุดจะเป็นเสื้อแจ๊กเก็ทสีเขียว ติดซิบลากยาวถึงคอ หมวกที่ติดกับเสื้อเเจ๊กเก็ทคลุมหัว เมื่อนอนผ้าห่มสองผืนนอนรวบชิดตัว เวลานอนแล้วห้ามกะดุกกะดิก ถ้าเปิดช่องลมหนาวผ่านได้เป็นว่าคืนนั้นนอนต่อสู้กับอากาศไปตลอดทั้งคืน ผมมองดูเด็กทั้งสองนอนเงียบกริบไม่กะดุกกะดิกได้ยินแต่เสียงลมหายใจ ผมนอนนึกในใจว่า นี่มันพึ่งเดือนพฤศจิกายน มันยังหนาวเพียงแค่นี้ ถ้าเดือนธันวาคม มกราคม กุมภาพันธุ์ มันจะไม่หนาวกว่านี้หรือ ผมนอนนึกไปมาแล้วพล๊อยหลับไป

ผมสะดุ้งตื่น ได้ยินเสียงไก่ป่าขัน รับทอดกันเป็นระยะ ๆ เสียงไก่ป่าบ่งบอกว่าเป็นวันใหม่ ในช่องตอนเช้ามืดอย่าเผลอขยับตัว ถ้าขยับตัวเกิดช่องว่าลมหนาวผ่าน เป็นต้องขึ้นมาจุดไฟฟืน เพราะจะนอนต่อไปไม่ได้ อากาศหนาวตอนมันหนาวเย็นจับขั้วหัวใจ ผมนอนทนกับอากาศหนาวตอนเย็นไปได้ไม่นาน นึกในใจว่าจะลุกไปจุดไฟจุดฟืน แต่ก็ช้าไปเสียแล้วเพราะเด็กชายทั้งได้ลุกไปจุดไฟจุดฟืนเสียก่อน เมื่อจุดไฟจุดฟืนได้แล้ว ความร้อนจากฟืนมันก็ไล่อากาศหนาวได้บ้าง ผมจำเป็นต้องลุกตาม เด็กชายทั้งสองเมื่อฟืนติดไฟแล้วก็จัดการเอาข้าวมาหุง แล้วก็นำผักที่ชาวบ้านเอามาให้ นำมาล้างน้ำ เมื่อต้มน้ำเดือดก็เอาเอาหมูหั่นเป็นชิ้นเล็กใส่หม้อต้ม จากนั้นเอาผักใส่ลงต้มกับเนื้อหมู เมื่อทุกอย่างเสร็จทุกคนพร้อมกินข้าวเช้าส่วนอาหารที่เหลือได้เอาใส่ปิ่นโตเอาไปกินมื้อเที่ยงที่ รร.

แสงดวงอาทิตย์ส่องแสงแดดผ่านยอดภูเขา ชาวบ้านก็เริ่มภารกิจของเอง เมื่อเวลาผมกับเด็กชายทั้งสองก็เดินไปตามถนนในหมู่บ้าน เด็กนักเรียนที่ยืนรอครูเดินผ่านก็เดินตามกันแถวไป รร. ชาวบ้านที่เคยจะเดินไปทำไร่ออกมายืนหน้าบ้าน เมื่อผมกับกลุ่มนักเรียนเดินผ่าน จะยิ้มให้จะทักทายผมเป็นภาษามูเซอ ผมก็ฟังไม่รู้เรื่อง ผมถามเด็กชายทั้งสองคนว่าชาวบ้านเขาพูดกับครูเขาพูดว่าอย่างไร เด็กนักเรียนก็แย่งกันตอบว่า ตอนเย็นถ้ากลับจากไร่จะเอาผักมาให้ครูกิน กว่าจะตอบชาวบ้าน ชาวบ้านเดินไปไกลแล้ว

ผมและกลุ่มนักเรียนเดินผ่านนักเลงเจ้าถนนเดินเลียบขอบถนน ส่วนกลางถนนไม่มีสิทธิ์ที่จะเดินได้เพราะเจ้าถนนยืนเกาะกันเป็นกลุ่ม บางตัวนอนกว้าง บางตัวถ่ายมูลไว้เป็นกอง ๆ เจ้าถนนผู้นั้นคือฝูงวัวมีจำนวนมากเกินห้าสิบตัว และมีจ่าฝูงหนึ่งตัว วัวจ่าฝูงเป็นวัวพันธุ์บาร์มัน ซึ่งเป็นวัวพระราชทานให้ชาวเขาใช้เป็นพ่อพันธุ์ เมื่อผมและนักเรียนถึงโรงเรียนเมื่อได้เวลาเข้าเรียน ทั้งครูและนักเรียนเข้าแถวยืนเคารพธงชาติ นักเรียนชายหญิงที่จัดไว้ออกมายืนคู่กันเพรียมชักธงชาติขึ้นยอดเสา

ผมก็ต้องร้องเพลงนำนักเรียนและนักเรียนก็ร้องเพลงชาติตามจากนั้นเข้าห้องเรียน ผมก็ดำเนินการสอน โดยนักเรียนเอาสมุดออกมาเขียนอักษรภาษาไทยตามรอยปะ ผมจำเป็นต้องให้นักเรียนได้เขียนและอ่านตัวอักษร จากนั้นเด็กนักเรียนตั้งหน้าตั้งตาเขียนอักษร บางคนก็เขียนได้รวดเร็ว บางคนก็เขียนได้ช้าเพราะนักเรียนบางคนไม่คุ้นเคยการจับดินสอเขียน ผมจำเป็นต้องพยามให้เด็กนักเรียนเขียนและอ่านออกว่าอ่านว่าอย่างไร

เวลาผ่านไปจากช่องเวลาไปถึงเวลาบ่าย ช่วงเทียงวันหยุดพักกินข้าวที่เตรียมมาด้วยกัน เวลาบ่ายเข้าห้องเรียนผมสอนการนับเลข โดยผมนำเอาก้อนหินเล็ก ๆ มารวมกันเป็นอุปกรณ์ในการนับ เมื่อเสร็จการเรียนก็ร้องเพลงและปิดท้ายด้วยการร้องเพลงชาติ จากนั้นโรงเรียนก็เลิกกลับบ้าน ผมก็กลับบ้านนักเรียนเข้าแถวเดินลงนำหน้าผม ผมเด็กชายจะกล้าและจะเสือเดินปิดท้ายขบวนนักเรียน เขาเดินถึงบ้านก่อนก็เข้าบ้านจนเหลือสุดท้ายคือผมกับเด็กเรียนทั้งสอง เมื่อถึงบ้านพักเด็กนักเรียนรู้หน้าที่ของเขาเอง รีบเก็บอุปกรณ์การสอนไว้บนบ้านพัก จากนั้นรีบหุงข้าวไว้ให้ผม จากนั้นเด็กนักเรียนทั้งสองก็รีบกลับบ้านตนเอง

เมื่อเด็กนักเรียนทั้งสองกลับบ้าน ผมก็รีบทำธุระประจำ โดยอาบน้ำชนิดประหยัดคือ เอากระบอกน้ำที่เด็กนักเรียนเตรียมไว้ให้ เทน้ำลงขันรีบแปรงฟันก่อน จากนั้นล้างหน้า เอาน้ำลูบตามแขนหน้าอก ลูบตามลำตัว จากนั้นก็เสร็จการอาบชนิดประหยัด น้ำกระบอกหนึ่งไม่หมด เมื่อเสร็จรีบใส่เสื้อชุดเดิมเพราะยังไม่มีกลิ่น อากาศไม่ร้อนแต่อากาศหนาว ต้องเตรียมพร้อมรับกับอากาศหนาว ขณะที่ผมนั่งอยู่บนบ้านพักแสงอาทิตย์เริ่มจะลับยอดภูเขา

ลมหนาวพัดมาเป็นระลอก ได้ยินเสียงเรียกว่า ครู ครู ครู ผมออกมาจากบ้านพักพบชาวบ้านสามสี่คนในมือถือผักกาดและกะล่ำหัว พูดว่า “ผมเอามาฝากครู” ผมก็ขอบคุณชาวบ้านดังกล่าว ผมนั่งนึกว่าจะเอาผักนี้ทำอาหารอะไรดี ขณะนั่งนึกอยู่เด็กนักเรียนก็กลับมา ในมือถือเนื้อหมูและบอกพ่อและแม่บอกว่าเอามาให้ครู ผมเลยบอกเด็กเรียนทั้งสองล้างผักกาด ต้มน้ำเอาหมูหั่นเป็นชิ้น ๆ ลงต้มพอหมูสุกหั่นผักกาดลงต้มกับเนื้อหมู เติมเกลือ

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยผมและเด็กเรียนทั้งสองก็กินข้าวพร้อมกัน ข้าวที่หุงกินบางครั้งข้าวไม่ค่อยสุกบางครั้งข้าวแฉะ ผมและนักเรียนทั้งสองก็กิน ผมถือสุภาษิตว่า “ข้าวไม่สุกก็กินข้าวมัน ข้าวแฉะก็กินข้าวอ่อน” แม้แต่เครื่องปรุงมีเพียงเกลืออย่างเดียวมันยังอร่อย

เมื่อกินเสร็จเด็กนักเรียนทั้งสองจัดการเรียบร้อย ข้าวและผักกาดต้มที่เหลือก็เก็บใส่ปิ่นโตเอาไปกินตอนเช้าและโรงเรียนด้วย จากนั้นทุกคนจัดการภารกิจตนเองเสร็จ เมื่อแสงอาทิตย์ลับยอดภูเขา ความมืดก็เข้าครอบคลุม ทุกคนเริ่มจุดไฟให้แสงสว่าง ผมมองออกไปนอกบ้านพัก มองไปยังบ้านของชาวเขา มองเห็นบางบ้านจุดไฟ มองไปรอบ ๆในหมู่บ้านเห็นแสงสว่างเป็นดวง ๆ แสงสว่างของไฟจะเห็นเป็นกลุ่มก้อนไฟ บางแห่งก็เห็นแสงไฟเคลื่อนไหวไปมา บางดวงเคลื่อนไหวเป็นดวงเดี่ยวเคลื่อนไหวไปมา บางจุดก็เห็นดวงไฟเป็นสองสามดวงเคลื่อนไหวไปมาตามกัน ดวงไฟเหล่านั้นคือชาวบ้านเขาถือคบไฟจุดแทนเทียนไข เพราะต้องใช้เชื้อมากเพื่อให้เกิดแสงสว่างมากในการทำภารกิจของตนเอง

ผมนั่งมองดูดวงไฟดังกล่าวก็นึกอยากกลับบ้าน มองออกไปให้ไกลจากหมู่บ้าน มองผ่านให้ไกลที่สุดเท่าที่จะมองได้ แต่การมองมันก็จุดที่สิ้นสุดเท่าที่จะมองไปได้ แต่ความคิดมันไวยิ่งกว่าการมอง ความคิดแป๊บเดียวก็เดินทางบ้านเกิดที่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ มันรวดเร็วจัง ผมนั่งนึกอยู่นานมารู้สึกตัวเมื่อเด็กนักเรียนเรียกผม บอกว่าผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมาเที่ยวเยี่ยมเยือนหา ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านขึ้นมานั่งคุยบนบ้านพัก ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้พูดว่าวันที่ครูมาในหมู่บ้านนั้น ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้ลงไปทำธุระที่ตัวอำเภอฝาง ไม่ได้ต้อนรับครู และสอบถามผมว่าการเป็นอยู่ครูสบายไหม ถ้าขาดตกอะไรให้บอกผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เพราะชาวบ้านถือว่าครูมาช่วยให้ลูกหลานชาวบ้านมีความรู้ ผมบอกว่าสบายดี ถ้าขาดอะไรจะบอกให้ทราบ

ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้เอาห่อถุงกระดาษให้ผมถุงหนึ่ง บอกว่าครูเอาไว้กิน ผมก็ไม่ทราบว่าในถุงนั้นเป็นอะไร ก็ไม่กล้าต่อหน้าผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก็ไม่บอกว่าอะไร คุยกันนานพอสมควร จากนั้นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก็ลากลับและได้เดินทางจากบ้านพัก และได้พูดบอกผมว่า เดี๋ยวก็จะมีกลุ่มหนุ่มสาวในหมู่บ้านมาเที่ยวพูดคุยกับครู ครูจะได้ไม่เหงา อีกพักเดียวก็มีกลุ่มหนุ่มสาวเดินมาทีละคนสองคน บางคนมานั่งและได้เป่าแคนสั้น เสียงแคนดังพักเดียวเหมือนเรียกแขก สักพักเดียวหน้าลานบ้านพักผมก็กลายเป็นลานชุมชนหนุ่นสาว สาวๆ เกาะกลุ่มเกาะเป็นวงเอาขาเกี่ยวกันเต้นหมุนตามเข็มนาฬิกาตามจังหวะเสียงแคนและเสียงจังหวะตบมือ ผมเป็นเจ้าของสถานที่ ต้องตบมือตามจังหวะ โดยมีองศ์รักษ์นั่งกะแหนบซ้ายขวาก็คือเด็กชายจะกล้าและจะเสือ จะนั่งคอยดูว่าผมจะเอาอะไรจะหยิบอะไร

เมื่อทุกอย่างผ่านไปตามเวลา เมื่อเวลาเริ่มจะถึงเทียงคืน กลุ่มหนุ่มสาวบางคนก็เริ่มกลับบ้านของตนเอง บางกลุ่มชายหญิงก็เดินกลับบ้านคู่ ก่อนที่จะเดินพ้นบริเวณบ้านพักผมได้พูดว่าพรุ่งนี้จะมาใหม่ โดยจะพูดเป็นภาษาไทยบางคนก็พูดเป็นภาษามูเซอ เมื่อทุกคนกลับหมดผมเด็กนักเรียนทั้งสองก็รีบเข้านอน ก่อนที่จะดับแสงเทียนไข ทุกคนต้องพร้อมนอนตามความถนัดของตนเอง โดยข้อปฏิบัติของผมเข้าห้ามเปิดช่องว่างให้ลมหนาวผ่านได้ ถ้าช่องลมหนาวผ่านได้เป็นต้องนอนทนหนาวทั้งคืน

วันนี้อุปกรณ์ การนอนดูแล้วจะเรียบร้อยกว่าทุกครั้ง เพราะต้องปฏิบัติทุกครั้งก่อนจะเข้านอน จึงเกิดความชำนาญ ทุกอย่างราบรื่น นอนหลับสนิทจนถึงเวลาเช้า เสียงไก่ป่าจะทำหน้าที่ต้องปฏิบัติเป็นกิจวัตรที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษของไก่ ที่จะต้องร้องขันต้อนรับวันใหม่ ไก่มันจะทำหน้าที่ของมันอย่างบกพร่องในหน้าที่ แต่มนุษย์เราเมื่อมีหน้าที่ต้องปฏิบัติแต่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง ผมมานอนนึกถึงหน้าที่ต้องตนต้องปฏิบัติคือการสอนให้ความรู้แก่เด็ก ๆ ชาวเขาเผ่ามูเซอดำที่หมู่บ้านจะนะ กิ่งอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ผมนอนนึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านไป จึงลุกขึ้นไปจุดไฟเพื่อหุงข้าว เด็กชายทั้งสองก็ตื่นตามผมและรีบทำหน้าที่ของตนเอง ลมหนาวตอนเช้านี้มันเย็นช่างจับใจจริง ๆ

เมื่อภารกิจทุกคนเรียบร้อย ก็เตรียมเดินไป รร.เมื่อได้เวลาผมและเด็กชายทั้งสองก็เดินตามถนนหมู่บ้าน เหมือนเดิมทุกวัน ต้องเดินผ่านนักเลงประจำถนน(วัว)นอนขวางทางเดินบ้าง เด็กนักเรียนยืนอยู่บ้านพอผมมาถึงที่ยืนรอบางคนก็เดินตามด้านหลัง บางคนก็เดินนำหน้าไป นักเรียนที่เดินนำหน้าจะเคียร์พื้นที่ทางเดิน จะไล่นักเลงที่นอนขวางทางเดินเปิดช่องทางเดินได้สะดวก
130675.jpg (98.22 KiB) เข้าดูแล้ว 2102 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4378
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: 'ค่าของฅน' ในความหมายของ สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ :idea: :idea:

:( :( ประเทศไทย กับคำว่า วินัย หน้าที่ สามัคคี​ เสียสละ ซื่อสัตย์​ กตัญญู​...คงไม่มีแล้ว ประชาธิปไตย ? ​ อิสระเสรี ? ความเท่าเทียม ? ในความหมายที่ผิดเพี้ยน กำลังมีคนพยายามกล่อม​เกลา เป่าหู ยัดเยียด ซึมซับให้กับคนในประเทศ ให้เห็นผิดเป็นชอบ ด้วยตัวอย่างที่ผิด ๆ เพื่อหวังสร้างความแตกแยก​ นั่นคือ ทำลายคุณค่าของ ความเป็นคน เพื่อผลประโยชน์​และอำนาจของตัวเอง น่าเศร้ายิ่งนัก :( :(
ไฟล์แนบ
3757.jpg
3757.jpg (49.89 KiB) เข้าดูแล้ว 1941 ครั้ง
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (58).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (58).JPG (116.85 KiB) เข้าดูแล้ว 1941 ครั้ง
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (59).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (59).JPG (120.79 KiB) เข้าดูแล้ว 1941 ครั้ง
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (60).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (60).JPG (112.35 KiB) เข้าดูแล้ว 1941 ครั้ง
เราสองคนอยุูซึมซับกับธรรมชาติ บนสันอ่างเก็บน้ำสดชื่นรื่นรมณ์กับบรรยากาศ เก็บภาพตามแบบที่ตนเองชอบจนได้เวลา เราจึงพากันอำลาอ่างเก็บน้ำ ไม่ลืมที่จะกระซิบบอกเทพาอารักษ์ว่า &quot;จะยังกลับมาเยี่ยมเยียนอีกไม่ลืมครับ&quot;<br /><br />สำคัญมาก ๆ พิเศษครั้งนี้คือ คุณนายแวะวัดดอยเวียง นัยว่า เพื่อไปกราบนมัสการพระคุณเจ้าที่เคยไปกราบคารวะเพื่อสนทนาธรรม และอยากจะไปทบทวนความจำตลอดจนไปดูว่ามีสิ่งก่อสร้างใหม่ ๆ อะไรอะไรเพิ่มเติมอีกหรือเปล่า เรียกว่าสร้างความ &quot; งง งง &quot; ให้กับผมมาก ๆ ปกติขากลับคุณนายไม่ค่อยจะแวะที่ไหนเลย วันนี้มาแปลกดี ปรากฏไม่เจอพระท่านสักองค์ครับ ๕๕๕๕
เราสองคนอยุูซึมซับกับธรรมชาติ บนสันอ่างเก็บน้ำสดชื่นรื่นรมณ์กับบรรยากาศ เก็บภาพตามแบบที่ตนเองชอบจนได้เวลา เราจึงพากันอำลาอ่างเก็บน้ำ ไม่ลืมที่จะกระซิบบอกเทพาอารักษ์ว่า "จะยังกลับมาเยี่ยมเยียนอีกไม่ลืมครับ"

สำคัญมาก ๆ พิเศษครั้งนี้คือ คุณนายแวะวัดดอยเวียง นัยว่า เพื่อไปกราบนมัสการพระคุณเจ้าที่เคยไปกราบคารวะเพื่อสนทนาธรรม และอยากจะไปทบทวนความจำตลอดจนไปดูว่ามีสิ่งก่อสร้างใหม่ ๆ อะไรอะไรเพิ่มเติมอีกหรือเปล่า เรียกว่าสร้างความ " งง งง " ให้กับผมมาก ๆ ปกติขากลับคุณนายไม่ค่อยจะแวะที่ไหนเลย วันนี้มาแปลกดี ปรากฏไม่เจอพระท่านสักองค์ครับ ๕๕๕๕
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (62).JPG (141.54 KiB) เข้าดูแล้ว 1941 ครั้ง
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (64).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (64).JPG (135.48 KiB) เข้าดูแล้ว 1941 ครั้ง
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (65).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (65).JPG (137.92 KiB) เข้าดูแล้ว 1941 ครั้ง
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (66).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (67).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (67).JPG (119.57 KiB) เข้าดูแล้ว 1941 ครั้ง
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (70).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (72).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (72).JPG (140.41 KiB) เข้าดูแล้ว 1941 ครั้ง
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (74).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (74).JPG (126.46 KiB) เข้าดูแล้ว 1941 ครั้ง
สำคัญวัดนี้ไม่แวะไมได้เพราะตั้งใจจริง ๆ ออกพรรษาพระท่านจะเดินทางกลับชลบุรี เราจะได้ถือโอกาสอำลาท่าน พร้อมทั้งไปเก็บภาพเพิ่มเติม ครั้งที่แล้วได้แต่เพลินกับการสนทนาธรรมกับพระอาจารย์ จนลืมเก็บภาพ อย่าลืมติดตามนะครับ
สำคัญวัดนี้ไม่แวะไมได้เพราะตั้งใจจริง ๆ ออกพรรษาพระท่านจะเดินทางกลับชลบุรี เราจะได้ถือโอกาสอำลาท่าน พร้อมทั้งไปเก็บภาพเพิ่มเติม ครั้งที่แล้วได้แต่เพลินกับการสนทนาธรรมกับพระอาจารย์ จนลืมเก็บภาพ อย่าลืมติดตามนะครับ
ตอนที่ ๗<br /><br /><br />เมื่อผมและนักเรียนมาถึง รร. เด็กนักเรียนจะรู้หน้าที่ของตนเอง ได้เวลาก็ชักธงชาติสู่ยอดเสา  เด็กนักเรียนก็ร้องเพลงชาติตามผม บางคนก็เริ่มจะร้องเพลงชาติได้ บางคนร้องได้บ้างไม่ได้บ้าง ผมพยามให้เด็กนักเรียนได้เขียนตัวอักษรบ่อย ๆ เพราะให้เกิดความเคยชินกับการเขียนตัวหนังสือและคุ้นเคยกับการเขียนดินสอ เวลาผ่านได้อย่างรวดเร็ว ชั่วโมงตอนบ่ายผมก็เปลี่ยนเป็นนับตัวเลข เพื่อให้เด็กนักเรียนเข้าใจในการนับเลข เพื่อจะได้นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน โดยผมใช้ก้อนหินเล็ก ๆ มาเป็นอุปกรณ์การสอนการนับ <br /><br />ผมเคยสั่งให้นักเรียนหาก้อนหินเล็ก ๆไว้เพื่อจะมาเรียนที่ รร. ทุกคนได้นำก้อนหินเล็ก ๆ มาวางบนโต๊ะมีนักเรียนคนหนึ่งได้นำเอาก้อนหินก้อนเท่ากำปั้นประมาณสิบก้อนมาวางไว้โต๊ะ ผมไปตรวจพบก็นึกหัวเราะอยู่ในใจ แต่ไม่ได้ตำหนิว่าอย่างไร เมื่อผมเริ่มสอนนับโดยเอาก้อนหินเป็นอุปกรณ์ เมื่อนับเกินสิบ สิบเอ็ด สิบสอง นักเรียนดังกล่าวหันซ้ายหันขวา แล้วลุกวิ่งไปหลังห้องเรียน คว้าก้อนหินมาหนึ่งกำมือ แล้วก็รีบนับตามเพื่อน ๆ ผมมองเห็นนึกว่านักเรียนคนนี้ก็แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี <br /><br />เมื่อได้เวลา รร. เลิกทุกคนเดินเข้าแถว  เดินตามไปบ้านใครบ้านมัน ตอนกลับบ้านพักของผม ชาวบ้านเริ่มทักทายพูดคุยด้วย บางคนมาดักรอริมถนนในหมู่บ้าน  เดินผ่านก็เอาพวกผักกาด ผักสวนครัวที่ชาวบ้านปลูกไว้ เด็กชายจะกล้าและจะเสือจะรับไว้ ผมสังเกตชาวบ้านเริ่มจะพูดคุยกับผม ปกติชาวบ้านจะไม่กล้ามาพูดด้วย ถ้าเห็นผมจะเดินหลีกเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง เพราะว่าในหมู่บ้านจะนะ  ไม่เคยมีตำรวจเข้ามาในหมู่บ้านเลย ผมเป็นคนแรกที่เข้ามาในหมู่บ้านและมาอยู่ในหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านกลัวว่าผมจะมาจับหรือจับของผิดกฎหมาย ( ฝิ่น ) ทุกคนจะปกปิดไว้เป็นความลับแม้แต่นักเรียนไม่มีใครพูดให้ได้ยินเลย แม้แต่เด็กชายจะกล้าและจะเสือ นอนกับผมทุกคืนยังไม่ปริปากพูดเลย <br /><br />ผมเข้าใจชาวบ้าน เพราะมีนโยบายรัฐบาลจะเปลี่ยนให้เลิกปลูกฝิ่น มาปลูกพืชสวนหนาว เช่น ปลูกพืชเมืองหนาว ชาวบ้านยังไม่แน่ใจว่าผลผลิตจะดีกว่าปลูกฝิ่นไหม ผมและเด็กเรียนเดินกลับถึงบ้านพัก ก็พบกับผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้ทักทายผมว่า รร. เลิกแล้วหรือครับ ผมบอกว่าเลิกแล้ว ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านถามว่า  ครูนักเรียนมีกี่คน ผมตอบว่าผู้ชายห้าคนผู้หญิงห้าคน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบอกว่าเขาจะไปประชุมชาวบ้านให้เอาลูกหลานมาเรียนอีก ผมบอกว่าเอามาอีกกี่คนก็รับได้ เพราะชุดนักเรียนยังมีเหลืออีกหลายชุด <br /><br />จากนั้นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก็ขอตัวแยกเดินขึ้นไปในหมู่บ้าน ผมและเด็กนักเรียนก็รีบทำภารกิจของตนก่อนที่จะหมดแสงดวงอาทิตย์ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยภารกิจก็เรียบร้อย เมื่อแสงดวงอาทิตย์ลับขอบภูเขา แสงของพระจันทร์ก็มาแทนที่ จากนั้นก็เป็นเวลาแห่งการบันเทิงของกลุ่มหนุ่มสาว พระจันทร์ลอยสูงพ้นเทือกของภูเขา  แสงพระจันทร์ก็ส่องแสงไปทั่วบริเวณหมู่บ้าน ไม่นานนักเสียงของกลุ่มหนุ่มร้องเพลงมารวมกันเป็นกลุ่ม ผมนึกว่าวันนี้มีแต่กลุ่มหนุ่มไม่ได้ยินเสียงของกลุ่มสาว ๆ <br /><br />ไม่นานนักกลุ่มหญิงเริ่มเดินมาที่ละคนสองคน จนรวมกันเป็นกลุ่ม จากนั้นเสียงแคนเสียงร้องเพลงของกลุ่มผู้หญิงดังเป็นระยะตามจังหวะเพลงเสียงแคน ขณะที่ผมนั่งมองเสียงแคนเสียงร้องเพลงอยู่ มีเสียงผู้หญิงดังมาด้านหลังของผมพูดว่า “ครูขอสมัครเป็นนักเรียนได้ไหม” ผมหันไปตามเสียงนั้นและใช้ไฟฉายส่องไปตามเสียงดังกล่าว ผู้หญิงสาวประมาณสองสามคนยืนอยู่ด้านหลังผม ผมตอบไปว่า “ได้ พรุ่งก็ไปที่ รร. จะได้แจกชุดนักเรียนให้”   หญิงสาวในกลุ่มพูดต่อว่าเมื่อกี๊ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเรียกประชุมบอกว่า  ให้ชาวบ้านนำลูกหลานไปสมัครเป็นนักเรียน ลูกหลานจะได้อ่านหนังสือออก คิดเลขได้ <br /><br />จากนั้นผู้หญิงกลุ่มดังกล่าวก็เดินไปรวมกลุ่มกันที่ลานหน้าบ้านพักผม ผมมานั่งคิดว่าเรามานั่งกลางลานหน้าบ้านพัก รอบ ๆ ตัวผมมีกลุ่มหนุ่มสาวเต้น ร้องเพลง รอบ ๆ ตัว แต่ไม่อาจทราบว่ากลุ่มคนอีกกี่คนที่กำลังมองดูอยู่ จะนั่งตรงไหนในเงามืดมุมใด แต่ผมนึกในใจว่าเรามาที่นี่ ไม่ใช่มาเป็นศัตรูชาวบ้าน ไม่ได้มาทำลายอาชีพของเขา มาเพื่อทำหน้าที่ให้ความรู้แก่เด็ก จะได้เรียนรู้หนังสือและยังอุ่นใจที่มีเด็กนักเรียนนายจะกล้าและจะเสือ  ผมเดินไปไหนเด็กทั้งสองจะเดินตามผมเหมือนเงาตามตัว เวลาผมนั่งตรงไหนเด็กทั้งสองจะนั่งชิดทั้งด้านซ้ายด้านขวา <br /><br />เด็กทั้งสองจะคอยรับของที่ชาวบ้านนำมาให้  ค่ำคืนนี้ก็ผ่านไปตามเวลาที่ผ่าน  เมื่อได้เวลากลับกลุ่มหนุ่มสาวก็ทยอยกลับบ้านใคบ้านมัน กลับเป็นกลุ่ม บางคนกลับสองคน บางคนเดินกลับคนเดียว ก่อนที่พ้นลานหน้าบ้านพัก ทุกคนก็พูดว่าพรุ่งนี้จะมาใหม่เน้อครู จากนั้นลานหน้าบ้านพักความเงียบก็เข้าครอบคลุม อากาศหนาวเย็นก็พัดผ่าน ผมและเด็กนักเรียนทั้งสองก็ขึ้นบ้านพักต่างรีบทำภารกิจของตนให้เรียบร้อย  เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย แสงดับลงทุกคนก็เงียบกริบ ต่างคนต่างเข้านอน ผมเมื่อล้มตัวนอนก็เรียบร้อยหลับสนิท<br />              <br />รุ่งเช้าวันใหม่ก็มาเยือนอีกวาระหนึ่ง ทุกคนตื่นลุกจากที่นอนก็เริ่มหน้าที่ของตนเองโดยไม่ต้องบอก เมื่อสำเร็จภารกิจทุกคนก็เตรียมเดินไป รร.ตามปกติทุกวัน วันนี้ผมรู้สึกผิดสังเกตเพราะแถวนักเรียนที่เดินตามกันไป รร.วันนี้จำนวนนักเรียนทำไมมีมากกว่าทุกวัน และสังเกตเห็นมีชาวบ้านเดินปนกับนักเรียนเดินไป รร.ด้วย  เมื่อเดินไปถึง รร.นักเรียนทุกคนเข้าแถวชักธงชาติขึ้นเสาธง ร้องเพลงชาติตามผม ชาวบ้านกับเด็กที่เดินตามแถวมา ได้ยืนรออยู่ข้างอาคาร รร.เมื่อเด็กนักเรียนเข้าห้องชั้นกันหมด ชาวบ้านได้นำบุตรและหลานมาสมัครเป็นนักเรียน <br /><br />จากการสอบถามชาวบ้านและเด็กที่จะสมัครเข้าเป็นนักเรียน สอบถามความต้องการของเด็กก็ยืนยันขอเข้าเรียนเป็นนักเรียน และผู้ปกครองเด็กก็ยินยอมให้ลูกหลานเข้าเป็นนักเรียน. สรุปแล้วได้เด็กเรียนชายมาอีกสามคนนักเรียนหญิงอีกสามคน กำลังพูดกับชาวบ้านเหลือบเห็นชาวบ้านผู้หญิงคงจะเป็นกลุ่มสาว ๆ ที่เวลากลางคืนที่ไปเต้นล้อมวงกัน แอบยืนอยู่หลังผู้ปกครองคนหนึ่ง ผมมองดูอีกครั้งก็จำได้ที่เธอพูดว่าจะขอเป็นนักเรียนได้ไหม ผมจึงตรงไปพูดคุยด้วยแล้วถามว่าจะมาขอสมัครนักเรียนใช่ไหม หญิงสาวคนดังกล่าวตอบว่า เอาน้องสาวมาสมัครเป็นนักเรียน ผมถามคนไหนหญิงสาวก็ชี้ไปที่นักเรียนผู้หญิงรับใหม่ว่า  คนนี้เป็นน้องสาวของเขา ผมเลยแกล้งถามนึกว่าเธอจะมาสมัครเป็นนักเรียน หญิงสาวตอบว่าโตแล้วสมัครไม่ได้ ถ้ายังเป็นเด็กก็จะมาสมัครเป็นนักเรียน<br /><br />             จากจำนวนนักเรียนครั้งแรก มีนักเรียนชายห้านักเรียนหญิงห้าขณะนี้ทั้งหมดมีนักเรียนชายแปดคนนักเรียนหญิงแปดคน ผมบอกว่านักเรียนที่เข้ามาใหม่ทั้งหมดเมื่อ รร.เลิกแล้วให้ตามครูไปที่บ้านพักจะเอาชุดนักเรียนให้พร้อมกับอุปกรณ์การเรียน ผมพยามจดชื่อนักเรียนทั้งหมดไว้ในสมุดจด ชื่อแต่ละคนจำยาก บางคนจะนำด้วย จะ จดจำยาก อันคำว่าจะเป็นชื่อหมู่บ้าน หมู่บ้านก็เอาชื่อมาจากผู้ใหญ่บ้านที่ชื่อ นายจะนะ หมู่บ้านนี้เลยชื่อหมู่บ้านดอยจะนะ <br /><br />ผมเรียกนักเรียนใหม่มาจดชื่อแปลกใจเด็กผู้ชายสองคน คนหนึ่งชื่อเด็กชายสุภาพ ไม่มีนามสกุล อีกคนหนึ่งชื่อเด็กชายอนันต์ ไม่มีนามสกุล ผมได้สอบถามเด็กชายสุภาพก่อน เด็กชายสุภาพเล่าว่ามีแม่เป็นคนไทยพื้นราบพ่อเป็นจีนฮ่อ ( จีนคณะชาติหรือคนจีนไต้หวัน ที่เป็นทหารเรียกว่ากองพล ๙๓ ได้อพยพหลบเข้าประเทศไทย หลบอาศัยอยู่กับชาวเขาแต่ละเผ่า พวกนี้ชาวบ้านพื้นราบเรียกว่าเจ๊กดอย พวกนี้นิสัยชอบค้าขายทั้งของถุกกฎหมายและผิดกฎหมาย เช่น ชอบฝิ่น ) <br /><br />เด็กชายสุภาพจะพูดได้ภาษาไทยตามแม่และภาษามูเซอได้ ส่วนเด็กชายอนันต์พ่อแม่เป็นมูเซอ ตอนเป็นเด็กเล็กลงไปอยู่พื้นราบกับลุงที่ลงจากดอยลงไปค้าขายกับชาวบ้านพื้นราบ จึงสามารถพูดภาษาไทยพื้นราบได้ ส่วนที่เหลือพูดได้ร้อยเปอร์เซนคือภาษามูเซอ เมื่อได้เวลาเลิก รร.ทุกคนก็เป็นแถวตามกันไปเหมือนทุกครั้ง นักเรียนใหม่ก็เดินตามผมพร้อมเด็กชายจะเสือและจะกล้าไปที่บ้านพักเพื่อไปเอาชุดนักเรียนและอุปกรณ์การเรียนหนังสือ ถึงบ้านพักผมให้เด็กชายจะกล้าเอาชุดนักเรียนชายหญิงพร้อมอุปกรณ์การเรียนมาให้แต่ละคน ชุดนักเรียนทั้งชุดชายและหญิงไม่ต้องทดลองใส่ เพราะเป็นชุดใหญ่นักเรียนจะมีเชือกเอาไว้ผูกกับหูกางเกงและกระโปง เสื้อนักเรียนตัวใหญ่ใส่หลวม <br /><br />ผมนึกไปนึกมาก็อดคิดถึงตอนเป็นเด็กเรียนใหม่ แม่คงซื้อกางเกงเสื้อตัวใหญ่ไว้ก่อนเพื่อตัวจะโตขึ้น ใช้เข็มขัดรัดเอวไว้จนแน่น ถ้าไม่แน่นเวลาวิ่งเล่นกางเกงจะหลุดอยู่ร่ำไป เมื่อนักเรียนได้ชุดนักเรียนพร้อมอุปกรณ์การเรียนเรียบร้อยแล้วได้แยกกันกลับบ้าน ผมและนักเรียนทั้งหมดต่างก็ทำหน้าที่ของตนที่เคยปฎิบัติมาเหมือนทุกวัน ผมขึ้นบนบ้านเห็นกระบอกน้ำวางไว้ข้างฝาบ้านสามกระบอก ผมถามเด็กชายจะกล้าว่ากระบอกน้ำใคร เด็กชายจะกล้าบอกว่า มีแม่ของนักเรียนเอามาให้ครูเอาใช้อาบหรือล้างหน้า  ผมก็ขอบคุณอยู่ในใจไม่รู้ว่าแม่ของเด็กเรียนคนไหน นึกว่าก็ดีเหมือนกัน จะได้เอาอาบครึ่งตัว เอาล้างหน้าตอนเช้า เพราะการลงจากบ้านพักเดินลงไปอาบน้ำที่ลำธารอาบเสร็จเดินกลับก็เหมือนไม่ได้อาบ <br /><br />เมื่อหน้าที่เสร็จสิ้นก็มีหน้าที่ภาคบันเทิงตามมาอีก มันก็เหมือนทุกคืน เมื่อแสงอาทิตย์ลับ แสงจันทร์ก็เข้ามาแทนที่ ไม่นานเสียงแคนเสียงเพลงของกลุ่มหนุ่มสาวร้องเต้นกันไป ผมและเด็กชายทั้งสองก็มีหน้าที่เป็นประธานเด็กชายสองคนขนาบซ้ายขวาเป็นรองประธาน วันนี้ได้รองประธานอีกคนมานั่งร่วมคือเด็กชายสุภาพและเด็กชายอนันต์ คืนวันนี้ผมได้ความรู้อย่าง  จากปากของเด็กชายสุภาพและชายอนันต์ จะพูดว่าคนนี้บ้านไปทางนั้น คนนั้นบ้านอยู่ใกล้กับ รร. และมีเด็กนักเรียนหญิงมาร่วมเต้นด้วยโดยจะแอบอยู่หลังกลุ่มผู้หญิง ถ้าเด็กชายทั้งสองไม่บอกผมก็ไม่รู้ว่ากลุ่มที่มาเต้นมาร้องกับกลุ่มหนุ่มกลุ่มสาว  มีเด็กนักเรียนร่วมอยู่ด้วย ผมนึกนึกมาก็คิดว่ามันเป็นประเพณีของแต่ละเผ่า เราจะมาห้ามเขาไม่ได้<br /><br /> เวลาร่วงเลยพอดึกทุกคนก็ทยอยกลับบ้านตนเองก่อนจะเดินลับไป  ได้ฝากว่าวันพรุ่งนี้จะมาใหม่ เมื่อทุกคนกลับบ้านประธานและรองประธานก็ต้องกลับขึ้นบ้านทำภารกิจที่ต้องปฎิบัติ เมื่อแสงเทียนดับลงทุกคนก็เงียบ คืนนี้ผมนอนไม่คอยจะหลับนอนฟังเสียงร้องสัตว์ป่าที่ออกหากินในเวลากลางคืน เสียงร้องเป็นระยะเสียงใกล้บางไกลบ้าง นอนฟังเสียงของสัตว์ป่าอยู่นานจนหลับไป<br /><br />               พอรุ่งเช้าตามเสียงนาฬิกาธรรมชาติปลุก  คือเสียงขันของไก่ป่า ไก่ป่ามันทำหน้าที่ได้ตรงเวลาไม่มีขาดตกบกพร่อง ผมนึกในใจว่ามันทำหน้าที่ดี เสียงไก่ป่าเริ่มเสียงขันและเริ่มเบาลง นาน ๆ ทีจะมีเสียงขันมาครั้งหนึ่ง ต่อจากนั้นไม่นานแสงดวงอาทิตย์ก็ส่องพ้นยอดภูเขา และไม่นาน แสงสว่างดวงอาทิตย์ก็ส่องทั่วถึงทั้งบริเวณ  ทุกคนตื่นทำภารกิจของตนเองและส่วนร่วมเมื่อภารกิจเรียบร้อย ก็เริ่มลงจากบ้านพักเดินไปตามถนนในหมู่บ้าน วันนี้รู้สึกเพิ่มมากกว่าเดิมเพราะมีนักเรียนใหม่มาเพิ่มจำนวน  ทำให้ดูแล้วว่าแถวนักเรียนที่เดินตามกันเป็นแถวยาว เมื่อทุกคนถึง รร. นักเรียนเก่าทำหน้าที่ ที่ปฏิบัติมาทุกวัน  นักเรียนใหม่ต้องทำตามนักเรียนเก่าอย่าง เช่น เข้าแถวยืนตรงเคารพธงชาติ ร้องเพลงชาติตามครู นักเรียนเข้าห้องเรียนผมต้องจัดที่นั่งของนักเรียนใหม่ โดยเอาเด็กชายไปนั่งคู่กับเด็กชาย เด็กหญิงก็นั่งกับเด็กหญิง จากนั้นก็สั่งสมุดคัดอักษรออกมาเขียนตามรอยปะ เพื่อให้เกิดความเคยชิน<br /><br /> ผมดำเนินการสอนไปจนถึงเวลาเลิก รร.เดินกลับบ้าน ก่อนจะเลิก รร. ผมบอกนักเรียนทั้งหมดว่าวันพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์อีกวันก็เป็นวันอาทิตย์ รร.จะหยุดเรียนวันเสาร์และวันอาทิตย์ การหยุดเรียนในวันเสาร์และวันอาทิตย์ ก็เพื่อให้เด็กนักเรียนมีเวลาว่างจะได้ไปช่วยพ่อแม่ไปไร่ไปสวน และผมก็จะได้หยุดพักผ่อนด้วย เมื่อนักเรียนทั้งหมดทราบและเข้าใจก็เดินแถวกลับบ้าน ผมเด็กชายจะกล้าเด็กชายจะเสือถึงบ้านพัก เด็กชายทั้งสองก็ทำภารกิจเหมือนทุกวันเสร็จแล้ว ก็บอกกับผมว่าวันนี้ขออนุญาตกลับบ้าน จากนั้นก็เดินลงบ้านพักไป<br /><br /> ผมก็รีบทำภารกิจของตนเองให้เสร็จสิ้นก่อนที่แสงดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้าของดอยหายไป เมื่อทำภารกิจเรียบร้อยแล้วได้ออกมานั่งที่ชานบ้าน นั่งมองไปทางอำเภอฝาง มองเห็นเป็นโรงเล็ก ๆ เห็นควันไฟลอยขึ้นฟ้า นึกไม่ออกว่าเป็นที่ไหน นึกในใจว่าถ้าเด็กชายทั้งสองกลับมาจะถามที่เห็นควันขาว ๆ ลอยขึ้นมาเป็นที่ไหน ผมนั่งดูแสงดวงอาทิตย์ที่ค่อย ๆ ลอยลับจากขอบฟ้าลอยลับยอดภูเขานั่งนึกอยู่ในใจว่าถ้าถึงวันที่ 25 ของทุกเดือนจะต้องปิด รร. เพราะจะต้องเดินทางไปรับเงินเดือนที่กองร้อย และถือโอกาสไปทำเบิกสิ่งของหลายอย่างที่ต้องนำมาใช้ใน รร.<br /><br /> ผมได้จดบันทึกสิ่งของที่จะต้องไปทำเบิกที่ กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต 5 อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นไม่นานแสงดวงอาทิตย์ลับมืดสนิทไปทั่ว  แสงของดวงจันทร์เริ่มส่องสว่างเข้าแทนที่ ผมนึกในใจว่าไม่นานลานหน้าบ้านพักก็เป็นการแสดงดนตรีพื้นบ้านของชาวเขาเผ่ามูเซอ ขณะนั่งเพลิน ๆ อยู่ก็เสียงหัวเราะของเหล่ากลุ่มสาว ๆ ที่ยืนอยู่มุมมืด พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงแคนเป่าพร้อมเสียงร้องเพลง จากนั้นกลุ่มสาวออกมาเต้นเป็นกลุ่ม ๆ มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในเงามืดพูดว่า “ครูนักเรียนครูสองคนไปไหน”  ผมยังไม่ทันจะบอกหันไปด้านซ้ายด้านขวาก็เห็นเด็กชายทั้งสองนั่งอยู่ด้านซ้ายและด้านขวาอยู่ในเงามืด แล้วก็ขยับตัวมานั่งข้างผมเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา เมื่อเห็นเด็กชายมานั่งข้างก็เกิดความรู้สึกอุ่นใจขึ้น  นึกว่าคืนนี้ตนเองต้องอยู่และนอนคนเดียวเสียแล้ว
ตอนที่ ๗


เมื่อผมและนักเรียนมาถึง รร. เด็กนักเรียนจะรู้หน้าที่ของตนเอง ได้เวลาก็ชักธงชาติสู่ยอดเสา เด็กนักเรียนก็ร้องเพลงชาติตามผม บางคนก็เริ่มจะร้องเพลงชาติได้ บางคนร้องได้บ้างไม่ได้บ้าง ผมพยามให้เด็กนักเรียนได้เขียนตัวอักษรบ่อย ๆ เพราะให้เกิดความเคยชินกับการเขียนตัวหนังสือและคุ้นเคยกับการเขียนดินสอ เวลาผ่านได้อย่างรวดเร็ว ชั่วโมงตอนบ่ายผมก็เปลี่ยนเป็นนับตัวเลข เพื่อให้เด็กนักเรียนเข้าใจในการนับเลข เพื่อจะได้นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน โดยผมใช้ก้อนหินเล็ก ๆ มาเป็นอุปกรณ์การสอนการนับ

ผมเคยสั่งให้นักเรียนหาก้อนหินเล็ก ๆไว้เพื่อจะมาเรียนที่ รร. ทุกคนได้นำก้อนหินเล็ก ๆ มาวางบนโต๊ะมีนักเรียนคนหนึ่งได้นำเอาก้อนหินก้อนเท่ากำปั้นประมาณสิบก้อนมาวางไว้โต๊ะ ผมไปตรวจพบก็นึกหัวเราะอยู่ในใจ แต่ไม่ได้ตำหนิว่าอย่างไร เมื่อผมเริ่มสอนนับโดยเอาก้อนหินเป็นอุปกรณ์ เมื่อนับเกินสิบ สิบเอ็ด สิบสอง นักเรียนดังกล่าวหันซ้ายหันขวา แล้วลุกวิ่งไปหลังห้องเรียน คว้าก้อนหินมาหนึ่งกำมือ แล้วก็รีบนับตามเพื่อน ๆ ผมมองเห็นนึกว่านักเรียนคนนี้ก็แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี

เมื่อได้เวลา รร. เลิกทุกคนเดินเข้าแถว เดินตามไปบ้านใครบ้านมัน ตอนกลับบ้านพักของผม ชาวบ้านเริ่มทักทายพูดคุยด้วย บางคนมาดักรอริมถนนในหมู่บ้าน เดินผ่านก็เอาพวกผักกาด ผักสวนครัวที่ชาวบ้านปลูกไว้ เด็กชายจะกล้าและจะเสือจะรับไว้ ผมสังเกตชาวบ้านเริ่มจะพูดคุยกับผม ปกติชาวบ้านจะไม่กล้ามาพูดด้วย ถ้าเห็นผมจะเดินหลีกเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง เพราะว่าในหมู่บ้านจะนะ ไม่เคยมีตำรวจเข้ามาในหมู่บ้านเลย ผมเป็นคนแรกที่เข้ามาในหมู่บ้านและมาอยู่ในหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านกลัวว่าผมจะมาจับหรือจับของผิดกฎหมาย ( ฝิ่น ) ทุกคนจะปกปิดไว้เป็นความลับแม้แต่นักเรียนไม่มีใครพูดให้ได้ยินเลย แม้แต่เด็กชายจะกล้าและจะเสือ นอนกับผมทุกคืนยังไม่ปริปากพูดเลย

ผมเข้าใจชาวบ้าน เพราะมีนโยบายรัฐบาลจะเปลี่ยนให้เลิกปลูกฝิ่น มาปลูกพืชสวนหนาว เช่น ปลูกพืชเมืองหนาว ชาวบ้านยังไม่แน่ใจว่าผลผลิตจะดีกว่าปลูกฝิ่นไหม ผมและเด็กเรียนเดินกลับถึงบ้านพัก ก็พบกับผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้ทักทายผมว่า รร. เลิกแล้วหรือครับ ผมบอกว่าเลิกแล้ว ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านถามว่า ครูนักเรียนมีกี่คน ผมตอบว่าผู้ชายห้าคนผู้หญิงห้าคน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบอกว่าเขาจะไปประชุมชาวบ้านให้เอาลูกหลานมาเรียนอีก ผมบอกว่าเอามาอีกกี่คนก็รับได้ เพราะชุดนักเรียนยังมีเหลืออีกหลายชุด

จากนั้นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก็ขอตัวแยกเดินขึ้นไปในหมู่บ้าน ผมและเด็กนักเรียนก็รีบทำภารกิจของตนก่อนที่จะหมดแสงดวงอาทิตย์ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยภารกิจก็เรียบร้อย เมื่อแสงดวงอาทิตย์ลับขอบภูเขา แสงของพระจันทร์ก็มาแทนที่ จากนั้นก็เป็นเวลาแห่งการบันเทิงของกลุ่มหนุ่มสาว พระจันทร์ลอยสูงพ้นเทือกของภูเขา แสงพระจันทร์ก็ส่องแสงไปทั่วบริเวณหมู่บ้าน ไม่นานนักเสียงของกลุ่มหนุ่มร้องเพลงมารวมกันเป็นกลุ่ม ผมนึกว่าวันนี้มีแต่กลุ่มหนุ่มไม่ได้ยินเสียงของกลุ่มสาว ๆ

ไม่นานนักกลุ่มหญิงเริ่มเดินมาที่ละคนสองคน จนรวมกันเป็นกลุ่ม จากนั้นเสียงแคนเสียงร้องเพลงของกลุ่มผู้หญิงดังเป็นระยะตามจังหวะเพลงเสียงแคน ขณะที่ผมนั่งมองเสียงแคนเสียงร้องเพลงอยู่ มีเสียงผู้หญิงดังมาด้านหลังของผมพูดว่า “ครูขอสมัครเป็นนักเรียนได้ไหม” ผมหันไปตามเสียงนั้นและใช้ไฟฉายส่องไปตามเสียงดังกล่าว ผู้หญิงสาวประมาณสองสามคนยืนอยู่ด้านหลังผม ผมตอบไปว่า “ได้ พรุ่งก็ไปที่ รร. จะได้แจกชุดนักเรียนให้” หญิงสาวในกลุ่มพูดต่อว่าเมื่อกี๊ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเรียกประชุมบอกว่า ให้ชาวบ้านนำลูกหลานไปสมัครเป็นนักเรียน ลูกหลานจะได้อ่านหนังสือออก คิดเลขได้

จากนั้นผู้หญิงกลุ่มดังกล่าวก็เดินไปรวมกลุ่มกันที่ลานหน้าบ้านพักผม ผมมานั่งคิดว่าเรามานั่งกลางลานหน้าบ้านพัก รอบ ๆ ตัวผมมีกลุ่มหนุ่มสาวเต้น ร้องเพลง รอบ ๆ ตัว แต่ไม่อาจทราบว่ากลุ่มคนอีกกี่คนที่กำลังมองดูอยู่ จะนั่งตรงไหนในเงามืดมุมใด แต่ผมนึกในใจว่าเรามาที่นี่ ไม่ใช่มาเป็นศัตรูชาวบ้าน ไม่ได้มาทำลายอาชีพของเขา มาเพื่อทำหน้าที่ให้ความรู้แก่เด็ก จะได้เรียนรู้หนังสือและยังอุ่นใจที่มีเด็กนักเรียนนายจะกล้าและจะเสือ ผมเดินไปไหนเด็กทั้งสองจะเดินตามผมเหมือนเงาตามตัว เวลาผมนั่งตรงไหนเด็กทั้งสองจะนั่งชิดทั้งด้านซ้ายด้านขวา

เด็กทั้งสองจะคอยรับของที่ชาวบ้านนำมาให้ ค่ำคืนนี้ก็ผ่านไปตามเวลาที่ผ่าน เมื่อได้เวลากลับกลุ่มหนุ่มสาวก็ทยอยกลับบ้านใคบ้านมัน กลับเป็นกลุ่ม บางคนกลับสองคน บางคนเดินกลับคนเดียว ก่อนที่พ้นลานหน้าบ้านพัก ทุกคนก็พูดว่าพรุ่งนี้จะมาใหม่เน้อครู จากนั้นลานหน้าบ้านพักความเงียบก็เข้าครอบคลุม อากาศหนาวเย็นก็พัดผ่าน ผมและเด็กนักเรียนทั้งสองก็ขึ้นบ้านพักต่างรีบทำภารกิจของตนให้เรียบร้อย เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย แสงดับลงทุกคนก็เงียบกริบ ต่างคนต่างเข้านอน ผมเมื่อล้มตัวนอนก็เรียบร้อยหลับสนิท

รุ่งเช้าวันใหม่ก็มาเยือนอีกวาระหนึ่ง ทุกคนตื่นลุกจากที่นอนก็เริ่มหน้าที่ของตนเองโดยไม่ต้องบอก เมื่อสำเร็จภารกิจทุกคนก็เตรียมเดินไป รร.ตามปกติทุกวัน วันนี้ผมรู้สึกผิดสังเกตเพราะแถวนักเรียนที่เดินตามกันไป รร.วันนี้จำนวนนักเรียนทำไมมีมากกว่าทุกวัน และสังเกตเห็นมีชาวบ้านเดินปนกับนักเรียนเดินไป รร.ด้วย เมื่อเดินไปถึง รร.นักเรียนทุกคนเข้าแถวชักธงชาติขึ้นเสาธง ร้องเพลงชาติตามผม ชาวบ้านกับเด็กที่เดินตามแถวมา ได้ยืนรออยู่ข้างอาคาร รร.เมื่อเด็กนักเรียนเข้าห้องชั้นกันหมด ชาวบ้านได้นำบุตรและหลานมาสมัครเป็นนักเรียน

จากการสอบถามชาวบ้านและเด็กที่จะสมัครเข้าเป็นนักเรียน สอบถามความต้องการของเด็กก็ยืนยันขอเข้าเรียนเป็นนักเรียน และผู้ปกครองเด็กก็ยินยอมให้ลูกหลานเข้าเป็นนักเรียน. สรุปแล้วได้เด็กเรียนชายมาอีกสามคนนักเรียนหญิงอีกสามคน กำลังพูดกับชาวบ้านเหลือบเห็นชาวบ้านผู้หญิงคงจะเป็นกลุ่มสาว ๆ ที่เวลากลางคืนที่ไปเต้นล้อมวงกัน แอบยืนอยู่หลังผู้ปกครองคนหนึ่ง ผมมองดูอีกครั้งก็จำได้ที่เธอพูดว่าจะขอเป็นนักเรียนได้ไหม ผมจึงตรงไปพูดคุยด้วยแล้วถามว่าจะมาขอสมัครนักเรียนใช่ไหม หญิงสาวคนดังกล่าวตอบว่า เอาน้องสาวมาสมัครเป็นนักเรียน ผมถามคนไหนหญิงสาวก็ชี้ไปที่นักเรียนผู้หญิงรับใหม่ว่า คนนี้เป็นน้องสาวของเขา ผมเลยแกล้งถามนึกว่าเธอจะมาสมัครเป็นนักเรียน หญิงสาวตอบว่าโตแล้วสมัครไม่ได้ ถ้ายังเป็นเด็กก็จะมาสมัครเป็นนักเรียน

จากจำนวนนักเรียนครั้งแรก มีนักเรียนชายห้านักเรียนหญิงห้าขณะนี้ทั้งหมดมีนักเรียนชายแปดคนนักเรียนหญิงแปดคน ผมบอกว่านักเรียนที่เข้ามาใหม่ทั้งหมดเมื่อ รร.เลิกแล้วให้ตามครูไปที่บ้านพักจะเอาชุดนักเรียนให้พร้อมกับอุปกรณ์การเรียน ผมพยามจดชื่อนักเรียนทั้งหมดไว้ในสมุดจด ชื่อแต่ละคนจำยาก บางคนจะนำด้วย จะ จดจำยาก อันคำว่าจะเป็นชื่อหมู่บ้าน หมู่บ้านก็เอาชื่อมาจากผู้ใหญ่บ้านที่ชื่อ นายจะนะ หมู่บ้านนี้เลยชื่อหมู่บ้านดอยจะนะ

ผมเรียกนักเรียนใหม่มาจดชื่อแปลกใจเด็กผู้ชายสองคน คนหนึ่งชื่อเด็กชายสุภาพ ไม่มีนามสกุล อีกคนหนึ่งชื่อเด็กชายอนันต์ ไม่มีนามสกุล ผมได้สอบถามเด็กชายสุภาพก่อน เด็กชายสุภาพเล่าว่ามีแม่เป็นคนไทยพื้นราบพ่อเป็นจีนฮ่อ ( จีนคณะชาติหรือคนจีนไต้หวัน ที่เป็นทหารเรียกว่ากองพล ๙๓ ได้อพยพหลบเข้าประเทศไทย หลบอาศัยอยู่กับชาวเขาแต่ละเผ่า พวกนี้ชาวบ้านพื้นราบเรียกว่าเจ๊กดอย พวกนี้นิสัยชอบค้าขายทั้งของถุกกฎหมายและผิดกฎหมาย เช่น ชอบฝิ่น )

เด็กชายสุภาพจะพูดได้ภาษาไทยตามแม่และภาษามูเซอได้ ส่วนเด็กชายอนันต์พ่อแม่เป็นมูเซอ ตอนเป็นเด็กเล็กลงไปอยู่พื้นราบกับลุงที่ลงจากดอยลงไปค้าขายกับชาวบ้านพื้นราบ จึงสามารถพูดภาษาไทยพื้นราบได้ ส่วนที่เหลือพูดได้ร้อยเปอร์เซนคือภาษามูเซอ เมื่อได้เวลาเลิก รร.ทุกคนก็เป็นแถวตามกันไปเหมือนทุกครั้ง นักเรียนใหม่ก็เดินตามผมพร้อมเด็กชายจะเสือและจะกล้าไปที่บ้านพักเพื่อไปเอาชุดนักเรียนและอุปกรณ์การเรียนหนังสือ ถึงบ้านพักผมให้เด็กชายจะกล้าเอาชุดนักเรียนชายหญิงพร้อมอุปกรณ์การเรียนมาให้แต่ละคน ชุดนักเรียนทั้งชุดชายและหญิงไม่ต้องทดลองใส่ เพราะเป็นชุดใหญ่นักเรียนจะมีเชือกเอาไว้ผูกกับหูกางเกงและกระโปง เสื้อนักเรียนตัวใหญ่ใส่หลวม

ผมนึกไปนึกมาก็อดคิดถึงตอนเป็นเด็กเรียนใหม่ แม่คงซื้อกางเกงเสื้อตัวใหญ่ไว้ก่อนเพื่อตัวจะโตขึ้น ใช้เข็มขัดรัดเอวไว้จนแน่น ถ้าไม่แน่นเวลาวิ่งเล่นกางเกงจะหลุดอยู่ร่ำไป เมื่อนักเรียนได้ชุดนักเรียนพร้อมอุปกรณ์การเรียนเรียบร้อยแล้วได้แยกกันกลับบ้าน ผมและนักเรียนทั้งหมดต่างก็ทำหน้าที่ของตนที่เคยปฎิบัติมาเหมือนทุกวัน ผมขึ้นบนบ้านเห็นกระบอกน้ำวางไว้ข้างฝาบ้านสามกระบอก ผมถามเด็กชายจะกล้าว่ากระบอกน้ำใคร เด็กชายจะกล้าบอกว่า มีแม่ของนักเรียนเอามาให้ครูเอาใช้อาบหรือล้างหน้า ผมก็ขอบคุณอยู่ในใจไม่รู้ว่าแม่ของเด็กเรียนคนไหน นึกว่าก็ดีเหมือนกัน จะได้เอาอาบครึ่งตัว เอาล้างหน้าตอนเช้า เพราะการลงจากบ้านพักเดินลงไปอาบน้ำที่ลำธารอาบเสร็จเดินกลับก็เหมือนไม่ได้อาบ

เมื่อหน้าที่เสร็จสิ้นก็มีหน้าที่ภาคบันเทิงตามมาอีก มันก็เหมือนทุกคืน เมื่อแสงอาทิตย์ลับ แสงจันทร์ก็เข้ามาแทนที่ ไม่นานเสียงแคนเสียงเพลงของกลุ่มหนุ่มสาวร้องเต้นกันไป ผมและเด็กชายทั้งสองก็มีหน้าที่เป็นประธานเด็กชายสองคนขนาบซ้ายขวาเป็นรองประธาน วันนี้ได้รองประธานอีกคนมานั่งร่วมคือเด็กชายสุภาพและเด็กชายอนันต์ คืนวันนี้ผมได้ความรู้อย่าง จากปากของเด็กชายสุภาพและชายอนันต์ จะพูดว่าคนนี้บ้านไปทางนั้น คนนั้นบ้านอยู่ใกล้กับ รร. และมีเด็กนักเรียนหญิงมาร่วมเต้นด้วยโดยจะแอบอยู่หลังกลุ่มผู้หญิง ถ้าเด็กชายทั้งสองไม่บอกผมก็ไม่รู้ว่ากลุ่มที่มาเต้นมาร้องกับกลุ่มหนุ่มกลุ่มสาว มีเด็กนักเรียนร่วมอยู่ด้วย ผมนึกนึกมาก็คิดว่ามันเป็นประเพณีของแต่ละเผ่า เราจะมาห้ามเขาไม่ได้

เวลาร่วงเลยพอดึกทุกคนก็ทยอยกลับบ้านตนเองก่อนจะเดินลับไป ได้ฝากว่าวันพรุ่งนี้จะมาใหม่ เมื่อทุกคนกลับบ้านประธานและรองประธานก็ต้องกลับขึ้นบ้านทำภารกิจที่ต้องปฎิบัติ เมื่อแสงเทียนดับลงทุกคนก็เงียบ คืนนี้ผมนอนไม่คอยจะหลับนอนฟังเสียงร้องสัตว์ป่าที่ออกหากินในเวลากลางคืน เสียงร้องเป็นระยะเสียงใกล้บางไกลบ้าง นอนฟังเสียงของสัตว์ป่าอยู่นานจนหลับไป

พอรุ่งเช้าตามเสียงนาฬิกาธรรมชาติปลุก คือเสียงขันของไก่ป่า ไก่ป่ามันทำหน้าที่ได้ตรงเวลาไม่มีขาดตกบกพร่อง ผมนึกในใจว่ามันทำหน้าที่ดี เสียงไก่ป่าเริ่มเสียงขันและเริ่มเบาลง นาน ๆ ทีจะมีเสียงขันมาครั้งหนึ่ง ต่อจากนั้นไม่นานแสงดวงอาทิตย์ก็ส่องพ้นยอดภูเขา และไม่นาน แสงสว่างดวงอาทิตย์ก็ส่องทั่วถึงทั้งบริเวณ ทุกคนตื่นทำภารกิจของตนเองและส่วนร่วมเมื่อภารกิจเรียบร้อย ก็เริ่มลงจากบ้านพักเดินไปตามถนนในหมู่บ้าน วันนี้รู้สึกเพิ่มมากกว่าเดิมเพราะมีนักเรียนใหม่มาเพิ่มจำนวน ทำให้ดูแล้วว่าแถวนักเรียนที่เดินตามกันเป็นแถวยาว เมื่อทุกคนถึง รร. นักเรียนเก่าทำหน้าที่ ที่ปฏิบัติมาทุกวัน นักเรียนใหม่ต้องทำตามนักเรียนเก่าอย่าง เช่น เข้าแถวยืนตรงเคารพธงชาติ ร้องเพลงชาติตามครู นักเรียนเข้าห้องเรียนผมต้องจัดที่นั่งของนักเรียนใหม่ โดยเอาเด็กชายไปนั่งคู่กับเด็กชาย เด็กหญิงก็นั่งกับเด็กหญิง จากนั้นก็สั่งสมุดคัดอักษรออกมาเขียนตามรอยปะ เพื่อให้เกิดความเคยชิน

ผมดำเนินการสอนไปจนถึงเวลาเลิก รร.เดินกลับบ้าน ก่อนจะเลิก รร. ผมบอกนักเรียนทั้งหมดว่าวันพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์อีกวันก็เป็นวันอาทิตย์ รร.จะหยุดเรียนวันเสาร์และวันอาทิตย์ การหยุดเรียนในวันเสาร์และวันอาทิตย์ ก็เพื่อให้เด็กนักเรียนมีเวลาว่างจะได้ไปช่วยพ่อแม่ไปไร่ไปสวน และผมก็จะได้หยุดพักผ่อนด้วย เมื่อนักเรียนทั้งหมดทราบและเข้าใจก็เดินแถวกลับบ้าน ผมเด็กชายจะกล้าเด็กชายจะเสือถึงบ้านพัก เด็กชายทั้งสองก็ทำภารกิจเหมือนทุกวันเสร็จแล้ว ก็บอกกับผมว่าวันนี้ขออนุญาตกลับบ้าน จากนั้นก็เดินลงบ้านพักไป

ผมก็รีบทำภารกิจของตนเองให้เสร็จสิ้นก่อนที่แสงดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้าของดอยหายไป เมื่อทำภารกิจเรียบร้อยแล้วได้ออกมานั่งที่ชานบ้าน นั่งมองไปทางอำเภอฝาง มองเห็นเป็นโรงเล็ก ๆ เห็นควันไฟลอยขึ้นฟ้า นึกไม่ออกว่าเป็นที่ไหน นึกในใจว่าถ้าเด็กชายทั้งสองกลับมาจะถามที่เห็นควันขาว ๆ ลอยขึ้นมาเป็นที่ไหน ผมนั่งดูแสงดวงอาทิตย์ที่ค่อย ๆ ลอยลับจากขอบฟ้าลอยลับยอดภูเขานั่งนึกอยู่ในใจว่าถ้าถึงวันที่ 25 ของทุกเดือนจะต้องปิด รร. เพราะจะต้องเดินทางไปรับเงินเดือนที่กองร้อย และถือโอกาสไปทำเบิกสิ่งของหลายอย่างที่ต้องนำมาใช้ใน รร.

ผมได้จดบันทึกสิ่งของที่จะต้องไปทำเบิกที่ กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต 5 อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นไม่นานแสงดวงอาทิตย์ลับมืดสนิทไปทั่ว แสงของดวงจันทร์เริ่มส่องสว่างเข้าแทนที่ ผมนึกในใจว่าไม่นานลานหน้าบ้านพักก็เป็นการแสดงดนตรีพื้นบ้านของชาวเขาเผ่ามูเซอ ขณะนั่งเพลิน ๆ อยู่ก็เสียงหัวเราะของเหล่ากลุ่มสาว ๆ ที่ยืนอยู่มุมมืด พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงแคนเป่าพร้อมเสียงร้องเพลง จากนั้นกลุ่มสาวออกมาเต้นเป็นกลุ่ม ๆ มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในเงามืดพูดว่า “ครูนักเรียนครูสองคนไปไหน” ผมยังไม่ทันจะบอกหันไปด้านซ้ายด้านขวาก็เห็นเด็กชายทั้งสองนั่งอยู่ด้านซ้ายและด้านขวาอยู่ในเงามืด แล้วก็ขยับตัวมานั่งข้างผมเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา เมื่อเห็นเด็กชายมานั่งข้างก็เกิดความรู้สึกอุ่นใจขึ้น นึกว่าคืนนี้ตนเองต้องอยู่และนอนคนเดียวเสียแล้ว
102416.jpg (137.44 KiB) เข้าดูแล้ว 1941 ครั้ง
เพื่อกรุณาทราบครับ...ผมตั้งใจจะนำเรียนท่านผู้มีเกียรติทุกท่านให้ได้ร่วมบุญใหญ่เพื่อบ้านเมือง เจริญรอยตามปณิธานองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ก่อนที่ผมจะออกทริป (The first trip of 2565) เมื่อ ๑๙ - ๒๔ ตุลาคมที่ผ่านมา ตอนนี้ผมกลับมาถึงบ้านแล้ว มานึกได้อีกครั้ง จึงได้โพสต์เพื่อท่านที่ยังไม่ทราบคิดว่า ยังพอมีเวลาที่จะร่วมบุญกับหลวงตาในครั้งนี้อยู่ ต้องขออภัยที่บอกช้าไปครับ.<br /><br />สำหรับ The first trip of 2565 กำลังรวบรวมเรียบเรียงจะไปที่ไหนติดตามได้ในตอนต่อไป ต่อจากทริปนี้ครับ อย่าลืมเป็นกำลังใจกันนะครับ ขอบพระคุณครับ.
เพื่อกรุณาทราบครับ...ผมตั้งใจจะนำเรียนท่านผู้มีเกียรติทุกท่านให้ได้ร่วมบุญใหญ่เพื่อบ้านเมือง เจริญรอยตามปณิธานองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ก่อนที่ผมจะออกทริป (The first trip of 2565) เมื่อ ๑๙ - ๒๔ ตุลาคมที่ผ่านมา ตอนนี้ผมกลับมาถึงบ้านแล้ว มานึกได้อีกครั้ง จึงได้โพสต์เพื่อท่านที่ยังไม่ทราบคิดว่า ยังพอมีเวลาที่จะร่วมบุญกับหลวงตาในครั้งนี้อยู่ ต้องขออภัยที่บอกช้าไปครับ.

สำหรับ The first trip of 2565 กำลังรวบรวมเรียบเรียงจะไปที่ไหนติดตามได้ในตอนต่อไป ต่อจากทริปนี้ครับ อย่าลืมเป็นกำลังใจกันนะครับ ขอบพระคุณครับ.
223121.jpg (143.42 KiB) เข้าดูแล้ว 1940 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4378
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:shock: :shock: สวัสดีครับญาติธรรมและท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ

"มีคนถือปืนวิ่งมาเต็มเลย เหมือนในหนัง แต่ว่านี่คือความจริง ในใจตอนนั้นผมก็คิดว่าฝัน แต่เขาให้เรานั่งคุกเข่ากับพื้น เอามือประสานไว้ที่ท้ายทอย เอาผ้าผูกตาผม ผูกช้อมือผม ขับรถเข้าไปในป่า ถูกนำตัวเข้าป่าลึกมาก ต่อด้วยจักรยานยนต์ คิดว่าประมาณ 8 ชั่วโมง ผ่านป่า ผ่านทุ่ง ผ่านไร่ข้าวโพด ผ่านหมู่บ้านเล็กๆ จนจำทางไม่ได้ และถูกกักตัวโดยที่ไม่รู่ว่าด้วยสาเหตุอะไร"

นี่คือข่าวที่หมอสองให้สัมภาษณ์หลังจากปลอดภัยกลับถึงไทยแล้ว (เล่นเอาเรา ๒ คนคิดหนักหากจะท่องเที่ยวไปต่างประเทศ โชคดีช่วงนี้เราไม่มีแผนครับ แต่จะเที่ยวแถว ๆ เมืองรองที่เรายังไม่เคยปั่นเอาให้หมดซะก่อนค่อยว่ากัน) :lol: :lol:

เรามาติดตามกันครับว่าประเทศใดที่อันตรายที่สุดในโลก
:o :o

:? :? 10 ประเทศอันตรายที่สุดในโลก (2022) :( :(
ไฟล์แนบ
&quot;หมอสอง&quot; เดินทางถึงไทยอย่างปลอดภัย หนวดเคราเต็มใบหน้า แต่ยังยิ้มได้ เจ้าหน้าที่ทำตัวไปพักที่โรงแรม เพื่อตรวจร่างกายต่อ<br /><br />ความคืบหน้ากรณี &quot;หมอสอง&quot; หรือ นพ.นพรัตน์ รัตนวราห แพทย์ศัลยกรรมชื่อดัง และอดีตสามีของหญิงแย้ นนทพร ธีระวัฒนสุข ซึ่งเป็นเจ้าของเพจชื่อ &quot;หมอสองท่องโลก&quot; หายตัวไปนาน 25 วัน หลังเดินทางท่องเที่ยวถึงชายแดนประเทศมาลี เมื่อวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา<br /><br />โดยก่อนหน้านี้ ครอบครัวหมอสอง ให้ข้อมูลกับทีมข่าว PPTV ว่า เมื่อวันที่ 18 ต.ค. ได้รับโทรศัพท์จากหมอสองโทรมา บอกว่า “ถูกกลุ่มก่อการร้ายจับตัวไป ให้เตรียมเงิน 5 ล้านบาทไทยไว้”<br /><br />ล่าสุดเช้าวันที่ 25 ต.ค.2565 เวลา 08.30 น. หมอสอง ได้เดินทางถึงประเทศไทยอย่างปลอดภัย ผ่านการโดยสารเครื่องบินสายการบิน ETIHAD Airway เที่ยวบิน EY402 จากกรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มายังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และเมื่อเดินทางมาถึง ได้มีทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมาให้การคุ้มกัน ก่อนจะไปให้ข้อมูลกับทางตำรวจ<br /><br />โดย หมอสอง สวมเสื้อยืดสีฟ้า สกรีนข้อความว่า “หมอสองท่องโลก” กางเกงขายาว สะพายเป้สีดำ มีหนวดเคราเต็มใบหน้า สีหน้าอมยิ้มเล็กน้อย เดินทางออกมาจากอาคารผู้โดยสารขาเข้า ประตู 9 มีเพียงตำรวจมารอรับและขึ้นรถยนต์ส่วนตัวออกไป โดยมีรถตำรวจท่องเที่ยวนำขบวน ตามรายงานระบุว่า หมอสอง จะถูกนำตัวไปพักที่โรงแรม และเข้าสู่กระบวนการตรวจร่างกายต่อไป<br /><br />ต่อมา มีรายงานว่า หมอสอง ถูกนำตัวไปที่ โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ ซึ่งที่นั่นมีคนในครอบครัว พร้อมกับกลุ่มเพื่อนมารอรับ ทันทีที่ทุกคนพบกับ หมอสอง ก็ได้เข้าไปสวมกอด พร้อมร้องไห้ออกมาด้วยความห่วงใย<br /><br />สำหรับขั้นตอนจากนี้ ตำรวจจะพา หมอสอง ไปให้ข้อมูลกรณีที่เกิดขึ้นในประเทศมาลีก่อน จากนั้นหมอสองจะเดินทางไปรับการตรวจสุขภาพจิต เพราะที่ผ่านมาเคยให้สัมภาษณ์ได้รับการทำร้ายจิตใจอย่างหนัก และตรวจสุขภาพร่างกายด้วย<br /><br />ข่าวจาก @PPTVOnline ขอบคุณมากครับ<br /><br />ทำความรู้จัก “หมอสอง”<br /><br />หมอสอง หรือ นพรัตน์ รัตนวราห เกิดและเติบโตที่ จ.แพร่ มีความฝันที่อยากจะเป็นแพทย์มาตั้งแต่สมัยประถมศึกษา โดยตลอดช่วงที่ศึกษา หมอสองได้รับโอกาสดี ๆ มาตลอด อาทิ การเป็นนักกีฬาว่ายน้ำของโรงเรียนสมัยมัธยมศึกษา<br /><br />กระทั่งสำเร็จการศึกษาในระดับอุดมศึกษา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และศึกษาต่อในด้านศัลยกรรมทั่วไป 4 ปี ด้านศัลยกรรมตกแต่งอีก 2 ปี และศึกษาด้านศัลยกรรมเพิ่มเติมที่ประเทศออสเตรเลีย<br /><br />หลังจากศึกษาจนเชี่ยวชาญแล้ว หมอสองได้กลับมาเปิดโรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งที่ประเทศไทย โดยใช้เงินลงทุนกว่า 120 ล้านบาท และเป็นที่ไว้วางใจในการดูแลด้านการศัลยกรรมตกแต่งของเหล่าคนในวงการบันเทิง และเซเลบริตี้ จนได้รับฉายาว่า “หมอศัลย์ร้อยล้าน”<br /><br />นอกจากบทบาทของการเป็นศัลยแพทย์ชื่อดังในหมู่ของคนวงการบันเทิงแล้ว ปัจจุบันหมอสองยังมีเฟซบุ๊กแฟนเพจ หมอสองท่องโลก ที่นำเสนอเรื่องราวการออกไปท่องโลกต่างประเทศ ทั้งมุมของการท่องโลกแบบสบาย ๆ ไปจนถึงการผจญภัยในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย<br /><br />ขอบคุณข่าวจาก ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ครับ
"หมอสอง" เดินทางถึงไทยอย่างปลอดภัย หนวดเคราเต็มใบหน้า แต่ยังยิ้มได้ เจ้าหน้าที่ทำตัวไปพักที่โรงแรม เพื่อตรวจร่างกายต่อ

ความคืบหน้ากรณี "หมอสอง" หรือ นพ.นพรัตน์ รัตนวราห แพทย์ศัลยกรรมชื่อดัง และอดีตสามีของหญิงแย้ นนทพร ธีระวัฒนสุข ซึ่งเป็นเจ้าของเพจชื่อ "หมอสองท่องโลก" หายตัวไปนาน 25 วัน หลังเดินทางท่องเที่ยวถึงชายแดนประเทศมาลี เมื่อวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา

โดยก่อนหน้านี้ ครอบครัวหมอสอง ให้ข้อมูลกับทีมข่าว PPTV ว่า เมื่อวันที่ 18 ต.ค. ได้รับโทรศัพท์จากหมอสองโทรมา บอกว่า “ถูกกลุ่มก่อการร้ายจับตัวไป ให้เตรียมเงิน 5 ล้านบาทไทยไว้”

ล่าสุดเช้าวันที่ 25 ต.ค.2565 เวลา 08.30 น. หมอสอง ได้เดินทางถึงประเทศไทยอย่างปลอดภัย ผ่านการโดยสารเครื่องบินสายการบิน ETIHAD Airway เที่ยวบิน EY402 จากกรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มายังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และเมื่อเดินทางมาถึง ได้มีทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมาให้การคุ้มกัน ก่อนจะไปให้ข้อมูลกับทางตำรวจ

โดย หมอสอง สวมเสื้อยืดสีฟ้า สกรีนข้อความว่า “หมอสองท่องโลก” กางเกงขายาว สะพายเป้สีดำ มีหนวดเคราเต็มใบหน้า สีหน้าอมยิ้มเล็กน้อย เดินทางออกมาจากอาคารผู้โดยสารขาเข้า ประตู 9 มีเพียงตำรวจมารอรับและขึ้นรถยนต์ส่วนตัวออกไป โดยมีรถตำรวจท่องเที่ยวนำขบวน ตามรายงานระบุว่า หมอสอง จะถูกนำตัวไปพักที่โรงแรม และเข้าสู่กระบวนการตรวจร่างกายต่อไป

ต่อมา มีรายงานว่า หมอสอง ถูกนำตัวไปที่ โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ ซึ่งที่นั่นมีคนในครอบครัว พร้อมกับกลุ่มเพื่อนมารอรับ ทันทีที่ทุกคนพบกับ หมอสอง ก็ได้เข้าไปสวมกอด พร้อมร้องไห้ออกมาด้วยความห่วงใย

สำหรับขั้นตอนจากนี้ ตำรวจจะพา หมอสอง ไปให้ข้อมูลกรณีที่เกิดขึ้นในประเทศมาลีก่อน จากนั้นหมอสองจะเดินทางไปรับการตรวจสุขภาพจิต เพราะที่ผ่านมาเคยให้สัมภาษณ์ได้รับการทำร้ายจิตใจอย่างหนัก และตรวจสุขภาพร่างกายด้วย

ข่าวจาก @PPTVOnline ขอบคุณมากครับ

ทำความรู้จัก “หมอสอง”

หมอสอง หรือ นพรัตน์ รัตนวราห เกิดและเติบโตที่ จ.แพร่ มีความฝันที่อยากจะเป็นแพทย์มาตั้งแต่สมัยประถมศึกษา โดยตลอดช่วงที่ศึกษา หมอสองได้รับโอกาสดี ๆ มาตลอด อาทิ การเป็นนักกีฬาว่ายน้ำของโรงเรียนสมัยมัธยมศึกษา

กระทั่งสำเร็จการศึกษาในระดับอุดมศึกษา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และศึกษาต่อในด้านศัลยกรรมทั่วไป 4 ปี ด้านศัลยกรรมตกแต่งอีก 2 ปี และศึกษาด้านศัลยกรรมเพิ่มเติมที่ประเทศออสเตรเลีย

หลังจากศึกษาจนเชี่ยวชาญแล้ว หมอสองได้กลับมาเปิดโรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งที่ประเทศไทย โดยใช้เงินลงทุนกว่า 120 ล้านบาท และเป็นที่ไว้วางใจในการดูแลด้านการศัลยกรรมตกแต่งของเหล่าคนในวงการบันเทิง และเซเลบริตี้ จนได้รับฉายาว่า “หมอศัลย์ร้อยล้าน”

นอกจากบทบาทของการเป็นศัลยแพทย์ชื่อดังในหมู่ของคนวงการบันเทิงแล้ว ปัจจุบันหมอสองยังมีเฟซบุ๊กแฟนเพจ หมอสองท่องโลก ที่นำเสนอเรื่องราวการออกไปท่องโลกต่างประเทศ ทั้งมุมของการท่องโลกแบบสบาย ๆ ไปจนถึงการผจญภัยในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย

ขอบคุณข่าวจาก ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ครับ
19-24 Oct 2022 (16).jpg (139.79 KiB) เข้าดูแล้ว 1864 ครั้ง
วัดป่าแสนสำราญเป็นวัดที่ตั้งใหม่ เจ้าของทราบว่าเป็นคนใจบุญได้ยกที่ให้กับพระสายวัดป่า และได้สร้างอาคารต่าง ๆ เพื่อให้พระได้มาปฏิบัติธรรมและปลีกวิเวก ในพรรษานี้มีพระองค์เดียวมาจากชลบุรีมาอยู่จำพรรษา ออกพรรษาก็จะกลับ <br /><br />บริเวณวัดต้นไม้เยอะมาก ร่มรื่นแต่ก่อนเป็นสวนลำใยส่วนหนึ่ง ตอนนี้เป็นป่าแล้ว เจ้าของทราบว่าท่านก็ออกบวชเช่นกัน เราทานมื้อเที่ยงที่ศาลา ปรากฏฝนตกไม่เจอใครเลย<br /><br />แต่พอฝนซามีโยมซึ่งเป็นผู้ดูแลได้เข้ามา และมาคุยด้วยทราบว่าเราจะมาพบพระอาจารย์ จึงอาสาไปนำเรียนท่าน เราพยายามห้ามเกรงจะรบกวนท่าน แต่ก็ยังขันอาสาซึ่งไม่ผิดหวัง พระท่านก็ออกมาสนทนาด้วย เราสนทนากันเป็นชั่วโมง จนฝนหยุด จึงรีบอำลาท่านเดินทางกลับบ้าน
วัดป่าแสนสำราญเป็นวัดที่ตั้งใหม่ เจ้าของทราบว่าเป็นคนใจบุญได้ยกที่ให้กับพระสายวัดป่า และได้สร้างอาคารต่าง ๆ เพื่อให้พระได้มาปฏิบัติธรรมและปลีกวิเวก ในพรรษานี้มีพระองค์เดียวมาจากชลบุรีมาอยู่จำพรรษา ออกพรรษาก็จะกลับ

บริเวณวัดต้นไม้เยอะมาก ร่มรื่นแต่ก่อนเป็นสวนลำใยส่วนหนึ่ง ตอนนี้เป็นป่าแล้ว เจ้าของทราบว่าท่านก็ออกบวชเช่นกัน เราทานมื้อเที่ยงที่ศาลา ปรากฏฝนตกไม่เจอใครเลย

แต่พอฝนซามีโยมซึ่งเป็นผู้ดูแลได้เข้ามา และมาคุยด้วยทราบว่าเราจะมาพบพระอาจารย์ จึงอาสาไปนำเรียนท่าน เราพยายามห้ามเกรงจะรบกวนท่าน แต่ก็ยังขันอาสาซึ่งไม่ผิดหวัง พระท่านก็ออกมาสนทนาด้วย เราสนทนากันเป็นชั่วโมง จนฝนหยุด จึงรีบอำลาท่านเดินทางกลับบ้าน
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (103).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (104).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (105).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (106).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (108).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (109).JPG
สนทนาธรรมกับท่านพระอาจารย์จนอิ่มใจ ก่อนที่จะลากลับเมื่อฝนซา ท่านเมตตาให้ธรรมะดี ๆ หลาย ๆ ประการ นอกจากนี้ท่านยังร่วมอนุโมทนาบุญกับเรา ๒ คนที่เดินทางสายนี้ ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์การปฏิบัติธรรมเป็นที่สนุกสนาน
สนทนาธรรมกับท่านพระอาจารย์จนอิ่มใจ ก่อนที่จะลากลับเมื่อฝนซา ท่านเมตตาให้ธรรมะดี ๆ หลาย ๆ ประการ นอกจากนี้ท่านยังร่วมอนุโมทนาบุญกับเรา ๒ คนที่เดินทางสายนี้ ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์การปฏิบัติธรรมเป็นที่สนุกสนาน
1000001125.jpg (116.89 KiB) เข้าดูแล้ว 1864 ครั้ง
1000001127.jpg
1000001127.jpg (78.39 KiB) เข้าดูแล้ว 1864 ครั้ง
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (115).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (115).JPG (139.96 KiB) เข้าดูแล้ว 1864 ครั้ง
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (116).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (116).JPG (119.8 KiB) เข้าดูแล้ว 1864 ครั้ง
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (118).JPG
อ่างเก็น้ำ บ.ธิ ๗ ต.ค (118).JPG (127.92 KiB) เข้าดูแล้ว 1864 ครั้ง
วัดปากกอง บ.ธิ เราผ่านไปมาหลายรอบไม่แวะวันนี้ขอแวะชมสักนิด (ปลดทุกข์ ๕๕) สวยงามไม่เบาครับ วัดปากกอง ไม่ใช่มีแต่เฉพาะ บ.ปากกอง สารภี เราเคยผ่านตามาหลายพื้นที่ มีชื่อวัดปากกอง ใหม่ ๆ งง หรือว่าคนแถวปากกองสารภี มาอยู่แล้วสร้างวัด เสร็จก็ตั้งชื่อให้เป็นที่ระลึกเตือนใจให้นึกถึงบ้านตัวเอง (ต้องหาคำตอบต่อไป)<br /><br />ออกจากวัดปากกองเราก็ดิ่งกลับบ้านทันที ก่อนที่จะเจอกับฝน ครับกลับถึงบ้านบ่ายคล้อย ได้ความอิ่มใจสุขใจ และเป็นอันว่าผมได้ทำตามสัญญาว่า &quot;จะกลับมาเยือนอ่างเมื่อน้ำมา เพื่อมาดูว่าน้ำจะเต็มอ่างหรือไม่&quot; ผมทำตามสัญญาแล้วนะครับ จบทริปเล็ก ๆ เยือนอ่างน้ำบ้านธิ ขอบคุณที่ติดตามผิดพลาดเมตตาอโหสิกรรมกันครับ สวัสดีครับ.
วัดปากกอง บ.ธิ เราผ่านไปมาหลายรอบไม่แวะวันนี้ขอแวะชมสักนิด (ปลดทุกข์ ๕๕) สวยงามไม่เบาครับ วัดปากกอง ไม่ใช่มีแต่เฉพาะ บ.ปากกอง สารภี เราเคยผ่านตามาหลายพื้นที่ มีชื่อวัดปากกอง ใหม่ ๆ งง หรือว่าคนแถวปากกองสารภี มาอยู่แล้วสร้างวัด เสร็จก็ตั้งชื่อให้เป็นที่ระลึกเตือนใจให้นึกถึงบ้านตัวเอง (ต้องหาคำตอบต่อไป)

ออกจากวัดปากกองเราก็ดิ่งกลับบ้านทันที ก่อนที่จะเจอกับฝน ครับกลับถึงบ้านบ่ายคล้อย ได้ความอิ่มใจสุขใจ และเป็นอันว่าผมได้ทำตามสัญญาว่า "จะกลับมาเยือนอ่างเมื่อน้ำมา เพื่อมาดูว่าน้ำจะเต็มอ่างหรือไม่" ผมทำตามสัญญาแล้วนะครับ จบทริปเล็ก ๆ เยือนอ่างน้ำบ้านธิ ขอบคุณที่ติดตามผิดพลาดเมตตาอโหสิกรรมกันครับ สวัสดีครับ.
มาติดตามชีวิต ครูดอยของหน่วย ตชด.กันต่อ หน่วยนี้แม้จะไม่ได้รบด้วยอาวุธ แต่ก็เสี่ยงพอ ๆ กับหน่วยรบ ถือเป็นด่านหน้า ที่ทะลวงเป้าหมายทำลายข้าศึกเรียกว่า สงครามจิตวิทยาก็ได้ ครู ตชด.มีจิตวิญญาณของความเป็นครู ในขณะเดียวกันก็ต้องมีวิญญาณ สัญชาติญาณนักรบด้วยเพื่อความอยู่รอดของชีวิต ไม่ง่ายนะครับ<br /><br /><br />ตอนที่ ๘<br /><br />กิจกรรมของกลุ่มสาวก็ผ่านไปตามเวลา เมื่อได้เวลาก็ทยอยเดินกลับบ้านเหมือนทุกคืนที่ผ่านวันนี้เวลาเช้าผมและเด็กทั้งสองไม่รีบเหมือนทุกวันเพราะเป็นวันเสาร์ รร.หยุดเรียน จึงต้องตื่นสาย ผมและเด็กเรียนทั้งสองนอนเล่นไปมา จนรู้สึกว่าเบื่อการนอน จึงลุกขึ้นมาหุงอาหารกินกัน เด็กชายทั้งสองก็ลุกขึ้นทำหน้าที่ของเขาเหมือนทุกวัน เด็กชายจะกล้าถามผมว่าวันนี้เราต้มกะหล่ำหัวใส่หมู โดยบอกว่าได้เอามาจากบ้าน แม่ให้เอามาให้ครูกิน ผมก็ปล่อยให้เด็กชายจะกล้าเป็นพ่อครัวเอง เด็กชายจะเสือเป็นลูกมือช่วย<br /><br /> เมื่อกินข้าวและภารกิจเสร็จสิ้นทุกคนนั่งเล่นพักผ่อนตามความชอบของตนเอง เวลาผ่านไปประมาณ 10 โมงเช้า ชวนเด็กชายทั้งสองออกเที่ยวไปตามบ้านในหมู่บ้าน ผมเดินตามถนนไปแล้วแยกไปบ้านหลังหนึ่ง  ซึ่งทำเป็นร้านค้าในหมู่บ้าน ผมและเด็กชายทั้งสองได้เดินเข้าไปร้านค้า มีสินค้าจำพวกอาหารแห้ง เช่น เส้นหมี่แห้ง ปลาแห้ง ปลากระป๋อง มองเห็นมีไข่ไก่ขายด้วย ผมจึงเดินเข้าไปหาแม่ค้า ถามเรื่องอาหารแห้ง เมื่อแม่ค้าหันมาพบผมได้ยกมือไหว้แล้วพูดกับผมเป็นภาษาไทยพื้นราบ ว่า “อยากได้อะไร”  ขณะที่กำลังคุยกับแม่ค้า เห็นเด็กชายสุภาพวิ่งออกจากห้องมาสวัสดี ถามไปถามมาสรุปเด็กชายสุภาพเป็นลูกของแม่ค้า <br /><br />ผมจึงขอซื้อไข่ไก่ 10 ฟอง แล้วบอกถ้ากินหมดจะมาสั่งซื้อใหม่ ผมจึงเอาให้เด็กชายจะกล้าเอาไปเก็บที่บ้านพัก เด็กชายจะกล้าหายไปพักหนึ่งก็กลับที่ร้านค้าโดยผมรออยู่ จากนั้นผมและเด็กชายทั้งสองเดินออกจากร้านค้าออกมา ได้ยินเสียงวิ่งตามและพูดว่าผมไปด้วยคนครับ ผมหันไปตามเสียงวิ่งและเสียงพูด  เป็นเด็กชายสุภาพขอเดินไปเที่ยวด้วยผมไม่ขัดศรัทธา จากนั้นก็เดินไปตามถนนในหมู่บ้าน พบชาวบ้านบางบ้านปิดประตูแสดงว่าเจ้าของบ้านไปทำไร่ทำสวนทั้งแต่เช้า จะกลับมาก็ตอนเย็น ผมและเด็กชายทั้งหมดเดินจนทั่วไป ก็ดินกลับบ้านพักจากนั้นเด็กชายสุภาพก็แยกกลับบ้านของตนเอง<br /><br />               เมื่อกลับถึงบ้านก็กินข้าวต้มกะหล่ำหัวใส่หมู่ที่เหลือไว้ตอนเช้า ผมบอกเด็กชายจะกล้าให้ต้มไข่ไก่สามฟอง ต้มไข่ไก่เสร็จก็แบ่งคนละฟอง วันนี้มีอาหารพิเศษก็คือไข่ไก่ต้ม เมื่อทุกคนเสร็จภารกิจทุกอย่าง ขั้นต่อไปก็เตรียมรับภาคบันเทิงในเวลากลางคืน เมื่อถึงเวลาทุกอย่างก็มาเหมือนเดิมทุกคืน เมื่อภาคบันเทิงจบลงต่อไปก็เข้าภาคนิทรา เมื่อทุกอย่างจบลงความเงียบเข้าครอบคลุม วันเวลามันก็หมุนไปตามกฎแห่งธรรมชาติ มีดวงอาทิตย์ก็ต้องมีดวงจันทร์ มีเวลากลางวันก็มีเวลากลางคืน มีอากาศร้อนก็ต้องมีอากาศหนาว <br /><br />สิ่งเหล่านี้มันจะหมุนไปตามกฎธรรมชาติ ผมจะใช้ชีวิตอย่างนี้ไปตลอดหนึ่งสัปดาห์เต็ม ในระหว่างหนึ่งสัปดาห์จะหยุดการสอนวันเสาร์และวันอาทิตย์  ผมจะใช้ช่วงวันหยุดเดินไปเที่ยวตามบ้านพ่อแม่นักเรียนจะพบจะเห็นจะรู้บางสิ่งบางอย่างที่ชาวบ้านไม่อยากให้รู้ให้เห็น เช่น ชาวบ้านจะค้าขายของผิดกฎหมาย (ฝิ่นดิบ) สิ่งของที่ไปค้าขายกับชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ที่อยู่เขตติดต่อระหว่างไทยกับพม่า เพราะหมู่บ้านดอยจะนะจะมีเส้นทางเดินทางเท้าติดกับประเทศพม่า และทางราชการไทยก็มีการจับกุมพ่อค้ายาเสพติดอยู่ตลอด ชาวบ้านจึงกังวลใจว่าผมอาจจะเป็นสายลับของทางราชการไทย  ที่ขึ้นมาจับผู้ค้ายาเสพติด ส่วนในหมู่บ้านมักจะมีคนแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้านบ่อยครั้ง และในหมู่บ้านจะมีการต้มเหล้าเถื่อนขายในหมู่บ้านด้วย ส่วนเหล้าเถื่อนที่ขายในหมู่บ้านก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คนที่ต้มเหล้าเถื่อนก็คือพ่อของเด็กชายสุภาพเด็กนักเรียนของผมเอง ผมรู้จากเด็กชายสุภาพเป็นบอกให้ทราบ<br />                <br /> เมื่อผมทราบข้อมูลทั้งหมดแล้ว ก็มานึกว่าตัวเราขึ้นมาเป็นครูสอนหนังสือให้เด็กเรียนได้อ่านหนังสือและเขียนหนังสือได้ สิ่งเหล่านี้เป็นภารกิจและหน้าที่ต้องปฏิบัติตามเป้าหมายที่ผู้บังคับชากำหนดหน้าที่ไว้ ส่วนด้านอื่นนั้นมันไม่ใช่หน้าที่ของผม มันเป็นหน้าที่ของส่วนอื่นที่เขามีหน้าที่ต้องปฎิบัติ ผมรู้ผมเห็นผมก็เก็บเอามันไว้ เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ของผม ผมมานั่งคิดถึงเหตุทั้งหมดว่าจะแก้อย่างไรดีถึงชาวบ้านจึงจะไว้วางใจ ผมนึกได้ตอนนั้นว่ามีหน้าที่สอนหนังสือให้เด็กนักเรียนได้อ่านหนังสือได้ เขียนหนังสือได้ ผมต้องปฎิบัติตามหน้าที่นี้อย่างเคร่งครัด และผมก็ได้ปฎิบัติเหมือนเช่นทุกวัน เปิดสอนทุกวันปิดวันเสาร์ อาทิตย์ เวลากลางคืนเปิดบันเทิง หมุนเวียนอย่างนี้ไป<br /><br />                  ผมใช้เวลาวันเสาร์ อาทิตย์ เดินไปเยียมพ่อแม่เด็กนักเรียนใช้เวลาสองสามอาทิตย์ก็เยี่ยมได้ทุกบ้านพ่อแม่ของเด็กนักเรียน การเรียนของเด็กนักเรียนก็รุดหน้าไปเรื่อย ๆ เด็กนักเรียนบางคนเขียนหนังสือได้ ร้องเพลงชาติได้ บางครั้งผมก็ไม่ต้องร้องเพลงชาตินำ วันเวลาผ่านไปจนถึงวันที่ 25 ของเดือน ผมต้องปิด รร.เพื่อเดินกลับทางไปที่กองกำการตำรวจตระเวน เขต 5 ค่ายดารัศมี ที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองกำการ ฯ และอำเภอแม่ริมก็เป็นบ้านเกิดของผม ภารกิจของผมจะต้องไปเบิกอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ต้องนำไปใช้ในการเรียนการสอนด้วย ผมได้จดบันทึกไว้แล้วว่าจะเบิกอะไรบ้าง  ผมเดินลงจากภูเขาบ้านจะนะลงมาพื้นราบเดินลงพร้อมชาวบ้านมูเซอที่เขาลงมาซื้อข้าวสารอาหารแห้งเอาไปเก็บไว้ มีม้าประมาณ 10 ตัวเอาไว้บรรทุกข้าวและอาหาร ผมเดินตามร่องทางเดินโดยเดินตามคนนำทาง  ปิดท้ายด้วยชาวเขามูเซอประมาณห้าหกคน ชาวเขาจะเดินคุยกันผมพอรู้บางคำพูด ส่วนใหญ่จะฟังไม่รู้เลย ชาวเขาบางคนร้องเพลงพร้อมกับเดินตามร่องทางเดิน เดินขึ้นภูเขาบ้างเดินลงภูเขาบ้าง แต่ส่วนมากจะเดินลงภูเขาเป็นส่วนมาก<br /><br /> เดินทางออกจากหมู่บ้านแต่เช้า ช่วงที่เดินลงภูเขาผมว่ามันเดินมาถึงเร็ว เพราะจะผ่านจุดที่ผมทำเครื่องหมายไว้ตอนที่เดินขึ้นไปตอนแรก ผมจะเห็นรอยที่ผมใช้มีดสับต้นไม้เป็นเครื่องหมายไว้ ผมเดินผ่านได้อย่างรวดเร็ว ได้เวลาพักคนที่เดินนำหน้าจะหยุดพัก จุดที่พักจะมีท่อน้ำ(ท่อไม้ไผ่ซาง) รองรับน้ำเป็นทอด ๆ มาจากลำห้วย เสียงน้ำในลำห้วยจะมีเสียงดังน้ำไหลตลอด เส้นทางที่เดินผ่านมาจะเดินข้ามลำห้วยหลายครั้ง ผมนึกในใจว่าที่เดินข้ามลำห้วยมานั้นคงเป็นลำห้วยนี้ลำห้วยเดียว หยุดประมาณสองถึงสามครั้งโดยคนที่นำทางเขาจะมองดูอาการการเดินของผม ถ้าเห็นว่าผมเหนื่อยเขาจะหยุดพักทันที ใช้เวลาเดินประมาณสามถึงสี่ชั่วโมง ได้เดินผ่านสิ่งต่างๆ  มาตลอดทาง  จนเดินมาถึงที่โล่ง เห็นนาข้าวชาวบ้านพื้นราบ มองเห็นหมู่บ้านปลูกเป็นแนวตามลำแม่น้ำ ผมถามว่าแม่น้ำนี้ชื่ออะไร ไหลมาจากไหน มูเซอคนที่พูดภาษาได้พูดว่า “แม่น้ำนี้แม่น้ำแม่สาว ไหลมาจากบนภูเขาที่เราเดินลงมาเราเดินข้ามลำห้วยหลายห้วยนั้นล่ะ”  ผมถึงบางอ้อว่า ก็เมื่อกี้ยังเดินข้ามอยู่ <br /><br />เมื่อทั้งหมดเดินมายังจุดบ้านของผู้ใหญ่บ้าน ตอนที่ขึ้นไปภูเขาบ้านจะนะ ผมและพี่ตำรวจก็แวะพักที่นี่ เมื่อผู้ใหญ่บ้านเห็นผมถามว่า  “ครูสบายดีไหน สอนนักเรียนสนุกไหน”  จากนั้นได้พูดคุยกันพักใหญ่ ๆ บางคนได้แยกไปหาซื้อข้าวสารอาหารตามที่ตนเองต้องการ ก่อนจะจากกันชาวบ้านมูเซอพูดบอกผมว่า “ถ้าครูมาถึงวันไหนชาวบ้านจะลงมารับ”  จากนั้นก็เดินไปหาซื้อสิ่งของ ต่อมาประมาณสิบนาทีรถยนต์ประจำหมู่บ้านก็วิ่งมาถึง  ผมรีบบอกขอบใจผู้ใหญ่บ้านแล้วขึ้นไปนั่งรถยนต์ รถยนต์วิ่งมาตามถนนสายกิ่งอำเภอแม่อาย ฝาง เมื่อรถยนต์วิ่งมาถึงท่ารถยนต์ที่อำเภอฝาง ผมขึ้นรถยนต์วิ่งจากอำเภอฝางไปตัวเมืองเชียงใหม่ รถยนต์ใช้เวลาประมาณ สามถึงสี่ชั่วโมง เพราะถนนบางช่วงกำลังซ่อมแซม รถยนต์วิ่งมาถึงอำเภอแม่ริมเวลาห้าโมงเย็น ผมลงรถยนต์ที่หน้าอำเภอแม่ริมและได้เข้าบ้าน พูดกับตัวเองว่า ถึงบ้านแล้วโว้ย ได้เวลาพักผ่อนแล้วโว้ย<br />        <br />             วันพรุ่งขึ้นได้เวลารีบแต่งเครื่องแบบชุดตำรวจตระเวนชายแดน เดินเข้ากองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน เขต 5 ค่ายดารารัศมี  เดินไปแผนก 5 กองร้อยพัฒนาและครูชาวเขา ผมได้ทำเบิกอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่บันทึกเอาไว้ เมื่อเบิกอุปกรณ์ทุกอย่างเรียบร้อย ก็บรรจุลงกล่องกระดาษผูกมัดแน่น แล้วนำส่งเจ้าที่พัสดุเขานำส่งโดยว่าจ้างรถยนต์นำส่ง โดยรวบรวมกล่องจากหลาย รร.ที่อยู่ทิศทางเดียวกัน จะส่งตามจุดที่ครูชาวเขากำหนดจุดไว้ จากนั้นจะมีชาวบ้านหรือชาวเขาของแต่ละ รร.มาลงมารับเอาขึ้นไปไว้ที่ รร.เมื่อผมเสร็จภารกิจเบิกอุปกรณ์เรียบร้อยแล้ว ผมเดินไปที่โรงพยาบาลประจำกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน เขต 5 ได้เข้าไปปรึกษาหมอว่า เด็กนักเรียนหูเป็นน้ำหนวกไหลออกจากหูทุกวัน หมอสอบถามอาการต่าง ๆ ผมก็ตอบคำถามหมอเท่าที่ผมทราบและเห็น เมื่อหมอรู้อาการได้จัดยาแก้อักเสบ  เอาแอลกอฮอล์ผสมอย่างอ่อน พร้อมสำลีหนึ่งม้วนและไม้สำหรับเอาผันสำลีชุบแอลกอฮอล์ เอาปั่นหูน้ำหนวกนักเรียนและกินยาแก้อับเสบติดตามไปด้วย  <br /><br />ผมเข้าใจทุกอย่างได้เอาสิ่งเหล่านั้นใส่กล่องกระดาษขนาดเล็กมัดผูกให้แน่น เอากลับบ้านเพื่อจะนำไปลงถุงทะเลที่เอาใส่สิ่งของส่วนตัวของผม จากนั้นผมเดินย้อนกลับไปที่แผนกการเงิน ขอเบิกเงินเดือนของผมก่อนที่เงินเดือนของตำรวจประจำกองร้อยที่ 1 อำเภอแม่อายจะมารับเอาไปจ่ายให้ ผมรับเงินเดือนจำนวน 540 บาทและรับเบี้ยเลี้ยง 600 บาท เมื่อรับเสร็จก็รีบเดินกลับบ้าน<br /><br />              รุ่งเช้ารีบเดินทางเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ เพื่อหาซื้อขนมอมบ้าง ขนมขบเคี้ยวบ้างเพื่อจะเอาไปให้เด็กนักเรียนบนดอยกิน หาซื้อสิ่งของต่าง ๆ ตามที่ต้องการกลับมาบ้านแพ็คสิ่งของต่าง ๆ ลงบรรจุกล่องกระดาษเพื่อนำขึ้นไป รร. ผมพักผ่อนอยู่บ้านไปเที่ยวหาเพื่อนฝูงบ้าง บางคนก็ไม่พบเพราะไปทำงานในที่ต่าง ๆ ผมพร้อมจะออกเดินทางขึ้นไปสอนที่ รร. กะว่าจะเดินทางราววันที่ 2 หรือวันที่ 3 ของเดือนใหม่ เมื่อถึงกำหนดได้ออกเดินทางขึ้นรถยนต์ประจำทางไปอำเภอฝาง แล้วต่อรถยนต์สองแถวต่อไปบ้านแม่สาว เพื่อจะไปรอขึ้นไป รร. โดยชาวเขามูเซอจะมาพบกันที่บ้านผู้ใหญ่บ้านที่บ้านแม่สาว <br /><br />เมื่อไปถึงบ้านผู้ใหญ่บ้านได้พบกับพี่ ส.ต.ท สุเวช ที่เป็นครูสอน รร.ด้วยกัน ได้นั่งคุยกันประมาณหนึ่งชั่วโมง พี่สุเวช บอกว่าพี่จะตามขึ้นไปทีหลัง เพราะจะไปที่กองร้อย 1 ก่อน ต่อมาประมาณเกือบบ่ายสองโมง คณะมูเซอพร้อมเริ่มเดินทางขึ้น รร. ก่อนออกเดินทาง ชายหนุ่มมูเซอรูปร่างตัวใหญ่บอกผมว่าให้ครูส่งเป้หลังที่บรรจุสิ่งของส่วนตัว โดยรับอาสาจะแบกขึ้นไป รร. ผมจึงมอบให้ โดยเอาปืนและกระสุนปืนเอามาถือเอง รู้สึกว่าเบาไปมากเลย ส่วนสิ่งของที่ผมเบิกมาผู้ใหญ่จะจัดการส่งขึ้น รร. เองไม่ต้องหวง<br /><br />                 เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็เริ่มเดินทาง ผมและคณะเดินลัดตามแนวเส้นม้าต่าง ขึ้นเขาลงเขาไปตามแนวสันเขา ผ่านห้วยน้ำ บางครั้งคณะเห็นผมเหนี่ยก็หยุดพัก เมื่อหายเหนี่ยก็เดินทางต่อ ขณะที่เดินไปนั้นผมนึกอยู่ในใจว่าถ้ามีเป้อยู่หลังคงจะเดินช้าเสียเวลาคนอื่นแน่  แต่โชคดีที่ชาวเขาแบ่งเบาภาระไปได้มาก ผมและคณะเดินสลับหยุดพัก จนกระทั่งมาถึงหมู่บ้าน ผมมองดูนาฬิกามันเป็นเวลาห้าโมงเย็นนึกอยู่ในใจว่าครั้งนี้เดินทางเวลาน้อยกว่าครั้งก่อนมาก ยังนึกภูมิใจว่าร่างกายยังแข็งแรงอยู่ เมื่อเดินมาถึงบ้านพักเด็กชายทั้งสองคนก็ยืนรออยู่แล้ว เข้ารับเป้หลังขึ้นบ้านพัก ผมนั่งหายเหนื่อยพักหนึ่ง ได้เรียกเด็กชายทั้งสองมารับเอาอาหารกระป๋องที่จัดซื้อมาไปเก็บไว้เพื่อจะใช้เสบียงต่อ และได้เอาขนมลูกอมให้  เด็กชายยิ้มรับไว้ด้วยความดีใจ จากนั้นผมรีบจะไปอาบน้ำจะเดินลงภูเขา <br /><br />เด็กชายทั้งสองบอกว่าได้ตักน้ำใส่กระบอกให้แล้ว ไม่ต้องลงไปอาบน้ำ ผมจึงเดินไปเอากระบอกไม้ไผ่ที่บรรจุน้ำ สังเกตว่าวันนี้ทำไมมีกระบอกน้ำเพิ่มขึ้นมาอีกหลายกระบอก ขณะที่ผมกำลังอาบน้ำ เด็กชายทั้งสองก็รีบไปหุงข้าว เห็นเอาผักกาดเขียวต้มใส่หมู เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วมานั่งกินข้าวกับเด็กนักเรียนทั้งสอง เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจต่าง ๆ เรียบร้อยนั่งพักผ่อน ขณะนั่งมองดูและคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่ คณะม้าต่างที่บรรทุกสิ่งของที่ผมเบิกมา มาถึงบ้านพัก ผมนึกขอบใจผู้ใหญ่บ้านแม่สาย ที่นำสิ่งเหล่านี้มาถึงเร็ว จากนั้นผมและเด็กนักเรียนทั้งสองช่วยกันแกะเชือกออก และจัดสิ่งของต่าง ๆ ให้เข้าที่ ส่วนยาที่ผมเบิกมาจากโรงหมอที่กองกำกับ ฯ ได้วางไว้อีกมุมหนึ่งโดยเด็กนักเรียนจะรู้ทุกอย่างที่ผมเอาเก็บไว้ <br /><br />เมื่อเสร็จแล้วมานั่งพักแสงอาทิตย์ลับขอบภูเขาความมืดเข้ามาแทนที่ ไม่นานนักแสงดวงจันทร์ก็มาแทนที่ต่อไปก็จะเข้าภาคบันเทิงร้องรำทำเพลงของหนุ่มสาวอีกรอบ ผมถามเด็กนักเรียนทั้งสองว่าตอนครูลงภูเขา รร. ปิด กลางคืนมีกลุ่มหนุ่มสาวมาร้องรำทำเพลงหรือไม่ ทั้งสองบอกว่าไม่มีใครมาสักคนเลย แต่คืนนี้กลุ่มสาวคงทราบว่าครูมาแล้ว อีกสักครู่คงมาร้องรำทำเพลงเต็มลานหน้าบ้านพัก เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง ผมยังไม่เห็นใครมาสักคนนึกอยู่ในใจว่าถ้าไม่มีใครมาจะเข้านอนเช้าหน่าย พักหนึ่งก็มีเสียงเป่าแคนสั้นดังขึ้น ผมหันไปเสียงแคน เห็นเงาคนยืนเป็นกลุ่ม ๆ เดินข้างใกล้ลานหน้าบ้านพักได้จุดไฟที่กองไฟ โดยได้นำเอาฟืนมากองไว้แล้วจุดไฟ เมื่อเกิดแสงสว่างก็ภาพอะไรก็ชัดเจนขึ้น <br /><br />ในความรู้สึกของผมว่าคืนนี้รู้สึกว่ามีกลุ่มหนุ่มสาวมากกว่าทุกคืน จึงถามเด็กชายจะกล้าว่า คืนนี้ครูรู้สึกว่ามีคนมากหลายกว่าทุกคืนนะ เด็กชายจะกล้าที่นั่งขนาบด้านขวามือผม บอกว่าคืนนี้เป็นวันพระ ชาวบ้านเขาไม่ได้ทำไร่ทำสวนจึงมีคนมาก ผมสังเกตว่ากลุ่มผู้หญิงมีมากและแปลกหน้าบางคนไม่เคยเห็น กลุ่มผู้หญิงบางชักกล้าจะมานั่งใกล้ผม กลุ่มผู้ชายก็เริ่มเข้ามานั่งใกล้ผม ไม่เหมือนคืนก่อน ๆ จะนั่งห่างผมพอสมควร ผมนั่งนึกเหตุการณ์ต่าง ๆ รู้ว่าชาวบ้านเริ่มไว้วางใจผม  จึงเกิดความใกล้ชิด มีกลุ่มผู้หญิงประมาณสามถึงห้าคนได้พยามมานั่งคุยกับผม  คือพยามจะมานั่งใกล้เด็กชาย  ซึ่งนั่งขนาบด้านซ้ายขวาผม จะพูดภาษาไทยพื้นราบว่าครูไปบ้านกลับมาซื้ออะไรมาฝากบ้าง ผมนึกได้บอกให้เด็กชายจะกล้าไปเอาขนมลูกอมมาแจกกลุ่มหนุ่มสาว <br /><br />เมื่อกลุ่มดังกล่าวทั้งหมดได้ขนมลูกอม ต่างดีใจอมลูกอมแก้มตุ่ย บางคนอมลูกอมอยู่ในปากร้องเพลงรำเพลงลูกอมหลุดจากปากรีบเก็บไปล้างน้ำเอามาอมใหม่ คืนนี้ภาคบันเทิงอยู่ดึก คงว่าในช่วงที่ผมลงไปกองกำกับ ฯ ไม่ได้มาบันเทิง วันนี้จึงใช้เวลาเสียยาว ผมอยากนอนจึงขอตัวไปนอนก่อน เมื่อขึ้นบนบ้านเข้านอนพักหนึ่ง  ภาคบันเทิงก็หยุดกลับบ้านใครบ้านมัน เวลาผ่านไปความเงียบก็เข้าครอบคลุมไปทั่ว ผมเข้านอนไม่กี่นาทีก็หลับสนิท เพราะอ่อนเพลียในการเดินทาง
มาติดตามชีวิต ครูดอยของหน่วย ตชด.กันต่อ หน่วยนี้แม้จะไม่ได้รบด้วยอาวุธ แต่ก็เสี่ยงพอ ๆ กับหน่วยรบ ถือเป็นด่านหน้า ที่ทะลวงเป้าหมายทำลายข้าศึกเรียกว่า สงครามจิตวิทยาก็ได้ ครู ตชด.มีจิตวิญญาณของความเป็นครู ในขณะเดียวกันก็ต้องมีวิญญาณ สัญชาติญาณนักรบด้วยเพื่อความอยู่รอดของชีวิต ไม่ง่ายนะครับ


ตอนที่ ๘

กิจกรรมของกลุ่มสาวก็ผ่านไปตามเวลา เมื่อได้เวลาก็ทยอยเดินกลับบ้านเหมือนทุกคืนที่ผ่านวันนี้เวลาเช้าผมและเด็กทั้งสองไม่รีบเหมือนทุกวันเพราะเป็นวันเสาร์ รร.หยุดเรียน จึงต้องตื่นสาย ผมและเด็กเรียนทั้งสองนอนเล่นไปมา จนรู้สึกว่าเบื่อการนอน จึงลุกขึ้นมาหุงอาหารกินกัน เด็กชายทั้งสองก็ลุกขึ้นทำหน้าที่ของเขาเหมือนทุกวัน เด็กชายจะกล้าถามผมว่าวันนี้เราต้มกะหล่ำหัวใส่หมู โดยบอกว่าได้เอามาจากบ้าน แม่ให้เอามาให้ครูกิน ผมก็ปล่อยให้เด็กชายจะกล้าเป็นพ่อครัวเอง เด็กชายจะเสือเป็นลูกมือช่วย

เมื่อกินข้าวและภารกิจเสร็จสิ้นทุกคนนั่งเล่นพักผ่อนตามความชอบของตนเอง เวลาผ่านไปประมาณ 10 โมงเช้า ชวนเด็กชายทั้งสองออกเที่ยวไปตามบ้านในหมู่บ้าน ผมเดินตามถนนไปแล้วแยกไปบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งทำเป็นร้านค้าในหมู่บ้าน ผมและเด็กชายทั้งสองได้เดินเข้าไปร้านค้า มีสินค้าจำพวกอาหารแห้ง เช่น เส้นหมี่แห้ง ปลาแห้ง ปลากระป๋อง มองเห็นมีไข่ไก่ขายด้วย ผมจึงเดินเข้าไปหาแม่ค้า ถามเรื่องอาหารแห้ง เมื่อแม่ค้าหันมาพบผมได้ยกมือไหว้แล้วพูดกับผมเป็นภาษาไทยพื้นราบ ว่า “อยากได้อะไร” ขณะที่กำลังคุยกับแม่ค้า เห็นเด็กชายสุภาพวิ่งออกจากห้องมาสวัสดี ถามไปถามมาสรุปเด็กชายสุภาพเป็นลูกของแม่ค้า

ผมจึงขอซื้อไข่ไก่ 10 ฟอง แล้วบอกถ้ากินหมดจะมาสั่งซื้อใหม่ ผมจึงเอาให้เด็กชายจะกล้าเอาไปเก็บที่บ้านพัก เด็กชายจะกล้าหายไปพักหนึ่งก็กลับที่ร้านค้าโดยผมรออยู่ จากนั้นผมและเด็กชายทั้งสองเดินออกจากร้านค้าออกมา ได้ยินเสียงวิ่งตามและพูดว่าผมไปด้วยคนครับ ผมหันไปตามเสียงวิ่งและเสียงพูด เป็นเด็กชายสุภาพขอเดินไปเที่ยวด้วยผมไม่ขัดศรัทธา จากนั้นก็เดินไปตามถนนในหมู่บ้าน พบชาวบ้านบางบ้านปิดประตูแสดงว่าเจ้าของบ้านไปทำไร่ทำสวนทั้งแต่เช้า จะกลับมาก็ตอนเย็น ผมและเด็กชายทั้งหมดเดินจนทั่วไป ก็ดินกลับบ้านพักจากนั้นเด็กชายสุภาพก็แยกกลับบ้านของตนเอง

เมื่อกลับถึงบ้านก็กินข้าวต้มกะหล่ำหัวใส่หมู่ที่เหลือไว้ตอนเช้า ผมบอกเด็กชายจะกล้าให้ต้มไข่ไก่สามฟอง ต้มไข่ไก่เสร็จก็แบ่งคนละฟอง วันนี้มีอาหารพิเศษก็คือไข่ไก่ต้ม เมื่อทุกคนเสร็จภารกิจทุกอย่าง ขั้นต่อไปก็เตรียมรับภาคบันเทิงในเวลากลางคืน เมื่อถึงเวลาทุกอย่างก็มาเหมือนเดิมทุกคืน เมื่อภาคบันเทิงจบลงต่อไปก็เข้าภาคนิทรา เมื่อทุกอย่างจบลงความเงียบเข้าครอบคลุม วันเวลามันก็หมุนไปตามกฎแห่งธรรมชาติ มีดวงอาทิตย์ก็ต้องมีดวงจันทร์ มีเวลากลางวันก็มีเวลากลางคืน มีอากาศร้อนก็ต้องมีอากาศหนาว

สิ่งเหล่านี้มันจะหมุนไปตามกฎธรรมชาติ ผมจะใช้ชีวิตอย่างนี้ไปตลอดหนึ่งสัปดาห์เต็ม ในระหว่างหนึ่งสัปดาห์จะหยุดการสอนวันเสาร์และวันอาทิตย์ ผมจะใช้ช่วงวันหยุดเดินไปเที่ยวตามบ้านพ่อแม่นักเรียนจะพบจะเห็นจะรู้บางสิ่งบางอย่างที่ชาวบ้านไม่อยากให้รู้ให้เห็น เช่น ชาวบ้านจะค้าขายของผิดกฎหมาย (ฝิ่นดิบ) สิ่งของที่ไปค้าขายกับชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ที่อยู่เขตติดต่อระหว่างไทยกับพม่า เพราะหมู่บ้านดอยจะนะจะมีเส้นทางเดินทางเท้าติดกับประเทศพม่า และทางราชการไทยก็มีการจับกุมพ่อค้ายาเสพติดอยู่ตลอด ชาวบ้านจึงกังวลใจว่าผมอาจจะเป็นสายลับของทางราชการไทย ที่ขึ้นมาจับผู้ค้ายาเสพติด ส่วนในหมู่บ้านมักจะมีคนแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้านบ่อยครั้ง และในหมู่บ้านจะมีการต้มเหล้าเถื่อนขายในหมู่บ้านด้วย ส่วนเหล้าเถื่อนที่ขายในหมู่บ้านก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คนที่ต้มเหล้าเถื่อนก็คือพ่อของเด็กชายสุภาพเด็กนักเรียนของผมเอง ผมรู้จากเด็กชายสุภาพเป็นบอกให้ทราบ

เมื่อผมทราบข้อมูลทั้งหมดแล้ว ก็มานึกว่าตัวเราขึ้นมาเป็นครูสอนหนังสือให้เด็กเรียนได้อ่านหนังสือและเขียนหนังสือได้ สิ่งเหล่านี้เป็นภารกิจและหน้าที่ต้องปฏิบัติตามเป้าหมายที่ผู้บังคับชากำหนดหน้าที่ไว้ ส่วนด้านอื่นนั้นมันไม่ใช่หน้าที่ของผม มันเป็นหน้าที่ของส่วนอื่นที่เขามีหน้าที่ต้องปฎิบัติ ผมรู้ผมเห็นผมก็เก็บเอามันไว้ เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ของผม ผมมานั่งคิดถึงเหตุทั้งหมดว่าจะแก้อย่างไรดีถึงชาวบ้านจึงจะไว้วางใจ ผมนึกได้ตอนนั้นว่ามีหน้าที่สอนหนังสือให้เด็กนักเรียนได้อ่านหนังสือได้ เขียนหนังสือได้ ผมต้องปฎิบัติตามหน้าที่นี้อย่างเคร่งครัด และผมก็ได้ปฎิบัติเหมือนเช่นทุกวัน เปิดสอนทุกวันปิดวันเสาร์ อาทิตย์ เวลากลางคืนเปิดบันเทิง หมุนเวียนอย่างนี้ไป

ผมใช้เวลาวันเสาร์ อาทิตย์ เดินไปเยียมพ่อแม่เด็กนักเรียนใช้เวลาสองสามอาทิตย์ก็เยี่ยมได้ทุกบ้านพ่อแม่ของเด็กนักเรียน การเรียนของเด็กนักเรียนก็รุดหน้าไปเรื่อย ๆ เด็กนักเรียนบางคนเขียนหนังสือได้ ร้องเพลงชาติได้ บางครั้งผมก็ไม่ต้องร้องเพลงชาตินำ วันเวลาผ่านไปจนถึงวันที่ 25 ของเดือน ผมต้องปิด รร.เพื่อเดินกลับทางไปที่กองกำการตำรวจตระเวน เขต 5 ค่ายดารัศมี ที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองกำการ ฯ และอำเภอแม่ริมก็เป็นบ้านเกิดของผม ภารกิจของผมจะต้องไปเบิกอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ต้องนำไปใช้ในการเรียนการสอนด้วย ผมได้จดบันทึกไว้แล้วว่าจะเบิกอะไรบ้าง ผมเดินลงจากภูเขาบ้านจะนะลงมาพื้นราบเดินลงพร้อมชาวบ้านมูเซอที่เขาลงมาซื้อข้าวสารอาหารแห้งเอาไปเก็บไว้ มีม้าประมาณ 10 ตัวเอาไว้บรรทุกข้าวและอาหาร ผมเดินตามร่องทางเดินโดยเดินตามคนนำทาง ปิดท้ายด้วยชาวเขามูเซอประมาณห้าหกคน ชาวเขาจะเดินคุยกันผมพอรู้บางคำพูด ส่วนใหญ่จะฟังไม่รู้เลย ชาวเขาบางคนร้องเพลงพร้อมกับเดินตามร่องทางเดิน เดินขึ้นภูเขาบ้างเดินลงภูเขาบ้าง แต่ส่วนมากจะเดินลงภูเขาเป็นส่วนมาก

เดินทางออกจากหมู่บ้านแต่เช้า ช่วงที่เดินลงภูเขาผมว่ามันเดินมาถึงเร็ว เพราะจะผ่านจุดที่ผมทำเครื่องหมายไว้ตอนที่เดินขึ้นไปตอนแรก ผมจะเห็นรอยที่ผมใช้มีดสับต้นไม้เป็นเครื่องหมายไว้ ผมเดินผ่านได้อย่างรวดเร็ว ได้เวลาพักคนที่เดินนำหน้าจะหยุดพัก จุดที่พักจะมีท่อน้ำ(ท่อไม้ไผ่ซาง) รองรับน้ำเป็นทอด ๆ มาจากลำห้วย เสียงน้ำในลำห้วยจะมีเสียงดังน้ำไหลตลอด เส้นทางที่เดินผ่านมาจะเดินข้ามลำห้วยหลายครั้ง ผมนึกในใจว่าที่เดินข้ามลำห้วยมานั้นคงเป็นลำห้วยนี้ลำห้วยเดียว หยุดประมาณสองถึงสามครั้งโดยคนที่นำทางเขาจะมองดูอาการการเดินของผม ถ้าเห็นว่าผมเหนื่อยเขาจะหยุดพักทันที ใช้เวลาเดินประมาณสามถึงสี่ชั่วโมง ได้เดินผ่านสิ่งต่างๆ มาตลอดทาง จนเดินมาถึงที่โล่ง เห็นนาข้าวชาวบ้านพื้นราบ มองเห็นหมู่บ้านปลูกเป็นแนวตามลำแม่น้ำ ผมถามว่าแม่น้ำนี้ชื่ออะไร ไหลมาจากไหน มูเซอคนที่พูดภาษาได้พูดว่า “แม่น้ำนี้แม่น้ำแม่สาว ไหลมาจากบนภูเขาที่เราเดินลงมาเราเดินข้ามลำห้วยหลายห้วยนั้นล่ะ” ผมถึงบางอ้อว่า ก็เมื่อกี้ยังเดินข้ามอยู่

เมื่อทั้งหมดเดินมายังจุดบ้านของผู้ใหญ่บ้าน ตอนที่ขึ้นไปภูเขาบ้านจะนะ ผมและพี่ตำรวจก็แวะพักที่นี่ เมื่อผู้ใหญ่บ้านเห็นผมถามว่า “ครูสบายดีไหน สอนนักเรียนสนุกไหน” จากนั้นได้พูดคุยกันพักใหญ่ ๆ บางคนได้แยกไปหาซื้อข้าวสารอาหารตามที่ตนเองต้องการ ก่อนจะจากกันชาวบ้านมูเซอพูดบอกผมว่า “ถ้าครูมาถึงวันไหนชาวบ้านจะลงมารับ” จากนั้นก็เดินไปหาซื้อสิ่งของ ต่อมาประมาณสิบนาทีรถยนต์ประจำหมู่บ้านก็วิ่งมาถึง ผมรีบบอกขอบใจผู้ใหญ่บ้านแล้วขึ้นไปนั่งรถยนต์ รถยนต์วิ่งมาตามถนนสายกิ่งอำเภอแม่อาย ฝาง เมื่อรถยนต์วิ่งมาถึงท่ารถยนต์ที่อำเภอฝาง ผมขึ้นรถยนต์วิ่งจากอำเภอฝางไปตัวเมืองเชียงใหม่ รถยนต์ใช้เวลาประมาณ สามถึงสี่ชั่วโมง เพราะถนนบางช่วงกำลังซ่อมแซม รถยนต์วิ่งมาถึงอำเภอแม่ริมเวลาห้าโมงเย็น ผมลงรถยนต์ที่หน้าอำเภอแม่ริมและได้เข้าบ้าน พูดกับตัวเองว่า ถึงบ้านแล้วโว้ย ได้เวลาพักผ่อนแล้วโว้ย

วันพรุ่งขึ้นได้เวลารีบแต่งเครื่องแบบชุดตำรวจตระเวนชายแดน เดินเข้ากองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน เขต 5 ค่ายดารารัศมี เดินไปแผนก 5 กองร้อยพัฒนาและครูชาวเขา ผมได้ทำเบิกอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่บันทึกเอาไว้ เมื่อเบิกอุปกรณ์ทุกอย่างเรียบร้อย ก็บรรจุลงกล่องกระดาษผูกมัดแน่น แล้วนำส่งเจ้าที่พัสดุเขานำส่งโดยว่าจ้างรถยนต์นำส่ง โดยรวบรวมกล่องจากหลาย รร.ที่อยู่ทิศทางเดียวกัน จะส่งตามจุดที่ครูชาวเขากำหนดจุดไว้ จากนั้นจะมีชาวบ้านหรือชาวเขาของแต่ละ รร.มาลงมารับเอาขึ้นไปไว้ที่ รร.เมื่อผมเสร็จภารกิจเบิกอุปกรณ์เรียบร้อยแล้ว ผมเดินไปที่โรงพยาบาลประจำกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน เขต 5 ได้เข้าไปปรึกษาหมอว่า เด็กนักเรียนหูเป็นน้ำหนวกไหลออกจากหูทุกวัน หมอสอบถามอาการต่าง ๆ ผมก็ตอบคำถามหมอเท่าที่ผมทราบและเห็น เมื่อหมอรู้อาการได้จัดยาแก้อักเสบ เอาแอลกอฮอล์ผสมอย่างอ่อน พร้อมสำลีหนึ่งม้วนและไม้สำหรับเอาผันสำลีชุบแอลกอฮอล์ เอาปั่นหูน้ำหนวกนักเรียนและกินยาแก้อับเสบติดตามไปด้วย

ผมเข้าใจทุกอย่างได้เอาสิ่งเหล่านั้นใส่กล่องกระดาษขนาดเล็กมัดผูกให้แน่น เอากลับบ้านเพื่อจะนำไปลงถุงทะเลที่เอาใส่สิ่งของส่วนตัวของผม จากนั้นผมเดินย้อนกลับไปที่แผนกการเงิน ขอเบิกเงินเดือนของผมก่อนที่เงินเดือนของตำรวจประจำกองร้อยที่ 1 อำเภอแม่อายจะมารับเอาไปจ่ายให้ ผมรับเงินเดือนจำนวน 540 บาทและรับเบี้ยเลี้ยง 600 บาท เมื่อรับเสร็จก็รีบเดินกลับบ้าน

รุ่งเช้ารีบเดินทางเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ เพื่อหาซื้อขนมอมบ้าง ขนมขบเคี้ยวบ้างเพื่อจะเอาไปให้เด็กนักเรียนบนดอยกิน หาซื้อสิ่งของต่าง ๆ ตามที่ต้องการกลับมาบ้านแพ็คสิ่งของต่าง ๆ ลงบรรจุกล่องกระดาษเพื่อนำขึ้นไป รร. ผมพักผ่อนอยู่บ้านไปเที่ยวหาเพื่อนฝูงบ้าง บางคนก็ไม่พบเพราะไปทำงานในที่ต่าง ๆ ผมพร้อมจะออกเดินทางขึ้นไปสอนที่ รร. กะว่าจะเดินทางราววันที่ 2 หรือวันที่ 3 ของเดือนใหม่ เมื่อถึงกำหนดได้ออกเดินทางขึ้นรถยนต์ประจำทางไปอำเภอฝาง แล้วต่อรถยนต์สองแถวต่อไปบ้านแม่สาว เพื่อจะไปรอขึ้นไป รร. โดยชาวเขามูเซอจะมาพบกันที่บ้านผู้ใหญ่บ้านที่บ้านแม่สาว

เมื่อไปถึงบ้านผู้ใหญ่บ้านได้พบกับพี่ ส.ต.ท สุเวช ที่เป็นครูสอน รร.ด้วยกัน ได้นั่งคุยกันประมาณหนึ่งชั่วโมง พี่สุเวช บอกว่าพี่จะตามขึ้นไปทีหลัง เพราะจะไปที่กองร้อย 1 ก่อน ต่อมาประมาณเกือบบ่ายสองโมง คณะมูเซอพร้อมเริ่มเดินทางขึ้น รร. ก่อนออกเดินทาง ชายหนุ่มมูเซอรูปร่างตัวใหญ่บอกผมว่าให้ครูส่งเป้หลังที่บรรจุสิ่งของส่วนตัว โดยรับอาสาจะแบกขึ้นไป รร. ผมจึงมอบให้ โดยเอาปืนและกระสุนปืนเอามาถือเอง รู้สึกว่าเบาไปมากเลย ส่วนสิ่งของที่ผมเบิกมาผู้ใหญ่จะจัดการส่งขึ้น รร. เองไม่ต้องหวง

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็เริ่มเดินทาง ผมและคณะเดินลัดตามแนวเส้นม้าต่าง ขึ้นเขาลงเขาไปตามแนวสันเขา ผ่านห้วยน้ำ บางครั้งคณะเห็นผมเหนี่ยก็หยุดพัก เมื่อหายเหนี่ยก็เดินทางต่อ ขณะที่เดินไปนั้นผมนึกอยู่ในใจว่าถ้ามีเป้อยู่หลังคงจะเดินช้าเสียเวลาคนอื่นแน่ แต่โชคดีที่ชาวเขาแบ่งเบาภาระไปได้มาก ผมและคณะเดินสลับหยุดพัก จนกระทั่งมาถึงหมู่บ้าน ผมมองดูนาฬิกามันเป็นเวลาห้าโมงเย็นนึกอยู่ในใจว่าครั้งนี้เดินทางเวลาน้อยกว่าครั้งก่อนมาก ยังนึกภูมิใจว่าร่างกายยังแข็งแรงอยู่ เมื่อเดินมาถึงบ้านพักเด็กชายทั้งสองคนก็ยืนรออยู่แล้ว เข้ารับเป้หลังขึ้นบ้านพัก ผมนั่งหายเหนื่อยพักหนึ่ง ได้เรียกเด็กชายทั้งสองมารับเอาอาหารกระป๋องที่จัดซื้อมาไปเก็บไว้เพื่อจะใช้เสบียงต่อ และได้เอาขนมลูกอมให้ เด็กชายยิ้มรับไว้ด้วยความดีใจ จากนั้นผมรีบจะไปอาบน้ำจะเดินลงภูเขา

เด็กชายทั้งสองบอกว่าได้ตักน้ำใส่กระบอกให้แล้ว ไม่ต้องลงไปอาบน้ำ ผมจึงเดินไปเอากระบอกไม้ไผ่ที่บรรจุน้ำ สังเกตว่าวันนี้ทำไมมีกระบอกน้ำเพิ่มขึ้นมาอีกหลายกระบอก ขณะที่ผมกำลังอาบน้ำ เด็กชายทั้งสองก็รีบไปหุงข้าว เห็นเอาผักกาดเขียวต้มใส่หมู เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วมานั่งกินข้าวกับเด็กนักเรียนทั้งสอง เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจต่าง ๆ เรียบร้อยนั่งพักผ่อน ขณะนั่งมองดูและคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่ คณะม้าต่างที่บรรทุกสิ่งของที่ผมเบิกมา มาถึงบ้านพัก ผมนึกขอบใจผู้ใหญ่บ้านแม่สาย ที่นำสิ่งเหล่านี้มาถึงเร็ว จากนั้นผมและเด็กนักเรียนทั้งสองช่วยกันแกะเชือกออก และจัดสิ่งของต่าง ๆ ให้เข้าที่ ส่วนยาที่ผมเบิกมาจากโรงหมอที่กองกำกับ ฯ ได้วางไว้อีกมุมหนึ่งโดยเด็กนักเรียนจะรู้ทุกอย่างที่ผมเอาเก็บไว้

เมื่อเสร็จแล้วมานั่งพักแสงอาทิตย์ลับขอบภูเขาความมืดเข้ามาแทนที่ ไม่นานนักแสงดวงจันทร์ก็มาแทนที่ต่อไปก็จะเข้าภาคบันเทิงร้องรำทำเพลงของหนุ่มสาวอีกรอบ ผมถามเด็กนักเรียนทั้งสองว่าตอนครูลงภูเขา รร. ปิด กลางคืนมีกลุ่มหนุ่มสาวมาร้องรำทำเพลงหรือไม่ ทั้งสองบอกว่าไม่มีใครมาสักคนเลย แต่คืนนี้กลุ่มสาวคงทราบว่าครูมาแล้ว อีกสักครู่คงมาร้องรำทำเพลงเต็มลานหน้าบ้านพัก เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง ผมยังไม่เห็นใครมาสักคนนึกอยู่ในใจว่าถ้าไม่มีใครมาจะเข้านอนเช้าหน่าย พักหนึ่งก็มีเสียงเป่าแคนสั้นดังขึ้น ผมหันไปเสียงแคน เห็นเงาคนยืนเป็นกลุ่ม ๆ เดินข้างใกล้ลานหน้าบ้านพักได้จุดไฟที่กองไฟ โดยได้นำเอาฟืนมากองไว้แล้วจุดไฟ เมื่อเกิดแสงสว่างก็ภาพอะไรก็ชัดเจนขึ้น

ในความรู้สึกของผมว่าคืนนี้รู้สึกว่ามีกลุ่มหนุ่มสาวมากกว่าทุกคืน จึงถามเด็กชายจะกล้าว่า คืนนี้ครูรู้สึกว่ามีคนมากหลายกว่าทุกคืนนะ เด็กชายจะกล้าที่นั่งขนาบด้านขวามือผม บอกว่าคืนนี้เป็นวันพระ ชาวบ้านเขาไม่ได้ทำไร่ทำสวนจึงมีคนมาก ผมสังเกตว่ากลุ่มผู้หญิงมีมากและแปลกหน้าบางคนไม่เคยเห็น กลุ่มผู้หญิงบางชักกล้าจะมานั่งใกล้ผม กลุ่มผู้ชายก็เริ่มเข้ามานั่งใกล้ผม ไม่เหมือนคืนก่อน ๆ จะนั่งห่างผมพอสมควร ผมนั่งนึกเหตุการณ์ต่าง ๆ รู้ว่าชาวบ้านเริ่มไว้วางใจผม จึงเกิดความใกล้ชิด มีกลุ่มผู้หญิงประมาณสามถึงห้าคนได้พยามมานั่งคุยกับผม คือพยามจะมานั่งใกล้เด็กชาย ซึ่งนั่งขนาบด้านซ้ายขวาผม จะพูดภาษาไทยพื้นราบว่าครูไปบ้านกลับมาซื้ออะไรมาฝากบ้าง ผมนึกได้บอกให้เด็กชายจะกล้าไปเอาขนมลูกอมมาแจกกลุ่มหนุ่มสาว

เมื่อกลุ่มดังกล่าวทั้งหมดได้ขนมลูกอม ต่างดีใจอมลูกอมแก้มตุ่ย บางคนอมลูกอมอยู่ในปากร้องเพลงรำเพลงลูกอมหลุดจากปากรีบเก็บไปล้างน้ำเอามาอมใหม่ คืนนี้ภาคบันเทิงอยู่ดึก คงว่าในช่วงที่ผมลงไปกองกำกับ ฯ ไม่ได้มาบันเทิง วันนี้จึงใช้เวลาเสียยาว ผมอยากนอนจึงขอตัวไปนอนก่อน เมื่อขึ้นบนบ้านเข้านอนพักหนึ่ง ภาคบันเทิงก็หยุดกลับบ้านใครบ้านมัน เวลาผ่านไปความเงียบก็เข้าครอบคลุมไปทั่ว ผมเข้านอนไม่กี่นาทีก็หลับสนิท เพราะอ่อนเพลียในการเดินทาง
152116.jpg (84.51 KiB) เข้าดูแล้ว 1864 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4378
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D สวัสดีครับท่านผู้มีเกียรติและญาติธรรมที่เคารพทุกท่าน ตลอดห้วงระยะเวลาที่เจ้า covid 19 อาละวาดเราสองคนต้องเก็บตัว (ตามนโยบาย รบ.) ไม่ไปออนทัวร์ที่ไหน ได้แต่ปั่นออกกำลังกายรอบ ๆ เขตเมืองสารภีนี่ละครับ ล่าสุดก็พากันไปอ่างเก็บน้ำบ้านธิ ซึ่งหลงหูหลงตาไม่เคยไปเลยยยย เมื่อเราไปก็ได้พบทั้ง ๒ สถาณการณ์คือทั้งแล้ง(น้ำแห้ง)และฝน(น้ำล้น) ซึ่งก็ได้นำเสนอจบลงไปแล้ว ทุกวันถ้ามีเวลาเราสองคนก็จะคุยปรึกษากันถึง ความฝันที่จะออนทัวร์เมืองรองให้ครบทั้ง ๕๕ จว.เมื่อเรามานั่งทบทวนก็มีหลายจังหวัดที่เราได้ไปปั่นมาแล้ว

โดยส่วนตัวผมแล้วการอยู่กับที่(บ้าน)ไม่เคลื่อนไหว(ไปท่องเที่ยว) ไม่ใช่นิสัยมันอึดอัดครับ ก็คุยกับคุณนายว่า "เราออนทัวร์กันเถอะ" ถ้ายังกลัวเจ้าบ้าโควิด ผมขออนุญาตุ "แอ่น-แอ๊น คนเดียวนะ" ได้ผลครับ คุณนายไม่ยอมเมื่อไม่ยอม ผมก็ขอให้จัดทริปเล็ก ๆ สรุปว่าคุณนายขอไปใกล้ ๆ ก่อนละกัน "เอาสุโขทัยนะ" เข้าทางผมครับเพราะสุโขทัยมีเรื่องคาใจผมหลายประการ ติดตามกันนะครับ ค่อย ๆ เล่าไป คุยไป ชมภาพไปท่านใดมีเรื่องจะพูดคุยด้วย ก็เรียนเชิญนะครับ

แต่ก่อนจะเริ่มเมืองสุโขทัย ผมขอนำเสนอเรื่องราวของสังคมที่นับวันมันยิ่งเสื่อมทรามลงไปทุกที ๆ ก่อนนะครับ ห้ามพลาดเป็นอันขาด
:( :(

:idea: :idea: การ์ตูนสะท้อนสังคมปัจจุบัน :idea: :idea:
ไฟล์แนบ
ตามขีดสีแดงหมายถึงเมืองที่เราไปปั่นกันมาแล้ว สรุปภาคเหนือเราเหลือแค่ ตาก นครสวรรค์ พิจิตร และพิษณุโลก พูดถึงพิษณุโลกส่วนตัวผมปั่นหลายรอบแต่ไม่ได้จริงจังแค่ปั่นไปนอนและผ่านแค่นั้น ส่วนคุณนายยังไม่เคยครับ<br /><br />ภาคใต้และภาคกลางเราไม่เคยปั่นกันเลย ส่วนภาคตะวันออกปั่นกันครบแต่เป็นแค่ปั่นผ่าน ไม่ได้ตั้งใจจะท่องเที่ยวแต่อย่างใด ตั้งใจจะเอาให้ครบก็ติดตามกันไปเรื่อย ๆ ครับ
ตามขีดสีแดงหมายถึงเมืองที่เราไปปั่นกันมาแล้ว สรุปภาคเหนือเราเหลือแค่ ตาก นครสวรรค์ พิจิตร และพิษณุโลก พูดถึงพิษณุโลกส่วนตัวผมปั่นหลายรอบแต่ไม่ได้จริงจังแค่ปั่นไปนอนและผ่านแค่นั้น ส่วนคุณนายยังไม่เคยครับ

ภาคใต้และภาคกลางเราไม่เคยปั่นกันเลย ส่วนภาคตะวันออกปั่นกันครบแต่เป็นแค่ปั่นผ่าน ไม่ได้ตั้งใจจะท่องเที่ยวแต่อย่างใด ตั้งใจจะเอาให้ครบก็ติดตามกันไปเรื่อย ๆ ครับ
19-24 Oct 2022 (13).jpg (96.55 KiB) เข้าดูแล้ว 1758 ครั้ง
ข้อมูลสุโขทัยที่อยู่ในมือผม และในความคิดคำนึงเมื่อครั้งที่ผม รับราชการอยู่ที่ กก.ตชด.๓๔ และคุณนายสอนที่ รร.บ้านลานสาง จ.ตาก  เราสองคนมักจะหาเวลาว่างช่วงเย็นพากันไปเที่ยวอยู่เป็นประจำ สำคัญที่เราสองคนต่างเรียนมาทางสายสังคมด้วยกัน มีความรู้พอสมควร เรามักจะคุยกันถึงเรื่องราวประวัติศาสตร์คนไทย เราไม่ค่อยเชื่อเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ เช่นคนไทยมาจากเทือกเขาอัลไตเป็นต้น<br /><br />เมื่อไม่เชื่อยามมีเวลาเราก็ค้นหาศึกษาไปเรื่อย ๆ จนที่สุดตกผลึกว่าเรื่องราชธานีแรกตั้งของคนไทยไม่น่าจะกำเนิดเกิดที่กรุงสุโขทัย มันน่าจะก่อกำเนิดเกิดขึ้นแถว ๆ บ.วังหาด อ. บ้านด่านลานหอย มากกว่า ในการออนทัวร์ครั้งนี้เราจึงขอเริ่มต้นที่ บ.ด่านลานหอย เพื่อเข้าไปหาความจริงใน บ.วังหาดกัน
ข้อมูลสุโขทัยที่อยู่ในมือผม และในความคิดคำนึงเมื่อครั้งที่ผม รับราชการอยู่ที่ กก.ตชด.๓๔ และคุณนายสอนที่ รร.บ้านลานสาง จ.ตาก เราสองคนมักจะหาเวลาว่างช่วงเย็นพากันไปเที่ยวอยู่เป็นประจำ สำคัญที่เราสองคนต่างเรียนมาทางสายสังคมด้วยกัน มีความรู้พอสมควร เรามักจะคุยกันถึงเรื่องราวประวัติศาสตร์คนไทย เราไม่ค่อยเชื่อเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ เช่นคนไทยมาจากเทือกเขาอัลไตเป็นต้น

เมื่อไม่เชื่อยามมีเวลาเราก็ค้นหาศึกษาไปเรื่อย ๆ จนที่สุดตกผลึกว่าเรื่องราชธานีแรกตั้งของคนไทยไม่น่าจะกำเนิดเกิดที่กรุงสุโขทัย มันน่าจะก่อกำเนิดเกิดขึ้นแถว ๆ บ.วังหาด อ. บ้านด่านลานหอย มากกว่า ในการออนทัวร์ครั้งนี้เราจึงขอเริ่มต้นที่ บ.ด่านลานหอย เพื่อเข้าไปหาความจริงใน บ.วังหาดกัน
19-24 Oct 2022 (14).jpg (106.94 KiB) เข้าดูแล้ว 1758 ครั้ง
วันที่ ๑๙ ต.ค.๖๕ เป็นวันว่างที่เราพอจะปลีกเวลาออนทัวร์ตามฝันได้ ให้ลูกชายไปส่งที่สถานีขนส่งเชียงใหม่ โดยตั๋วล่วงหน้ากับบริษัทวินทัวร์ ออกจากสถานีเชียงใหม่ - บ.ด่านลานหอย รถออกเวลา ๑๒.๔๕ น. ไปถึง บ.ด่านลานหอยเวลา ๑๘.๐๐ น.
วันที่ ๑๙ ต.ค.๖๕ เป็นวันว่างที่เราพอจะปลีกเวลาออนทัวร์ตามฝันได้ ให้ลูกชายไปส่งที่สถานีขนส่งเชียงใหม่ โดยตั๋วล่วงหน้ากับบริษัทวินทัวร์ ออกจากสถานีเชียงใหม่ - บ.ด่านลานหอย รถออกเวลา ๑๒.๔๕ น. ไปถึง บ.ด่านลานหอยเวลา ๑๘.๐๐ น.
The first trip of 2565 (1).JPG (65.79 KiB) เข้าดูแล้ว 1758 ครั้ง
The first trip of 2565 (2).JPG
The first trip of 2565 (2).JPG (97.68 KiB) เข้าดูแล้ว 1758 ครั้ง
The first trip of 2565 (3).JPG
The first trip of 2565 (3).JPG (100.93 KiB) เข้าดูแล้ว 1758 ครั้ง
The first trip of 2565 (4).JPG
The first trip of 2565 (4).JPG (105.63 KiB) เข้าดูแล้ว 1758 ครั้ง
The first trip of 2565 (5).JPG
The first trip of 2565 (5).JPG (78.41 KiB) เข้าดูแล้ว 1758 ครั้ง
The first trip of 2565 (6).JPG
The first trip of 2565 (6).JPG (84.03 KiB) เข้าดูแล้ว 1758 ครั้ง
19-24 Oct 2022 (2).JPG
19-24 Oct 2022 (2).JPG (18.83 KiB) เข้าดูแล้ว 1758 ครั้ง
19-24 Oct 2022 (3).JPG
19-24 Oct 2022 (3).JPG (51.41 KiB) เข้าดูแล้ว 1758 ครั้ง
19-24 Oct 2022 (4).JPG
19-24 Oct 2022 (4).JPG (37.93 KiB) เข้าดูแล้ว 1758 ครั้ง
19-24 Oct 2022 (6).JPG
19-24 Oct 2022 (6).JPG (33.05 KiB) เข้าดูแล้ว 1758 ครั้ง
19-24 Oct 2022 (8).JPG
19-24 Oct 2022 (8).JPG (28.57 KiB) เข้าดูแล้ว 1758 ครั้ง
วันที่เราเดินทางปรากฏว่าผู้โดยสารเต็มคันรถ เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากครับ ผ่าน ลพ.ลป.เถิน.ตาก.เข้า บ.ด่านลานหอย ใช้เวลาเดินทางเกือบ ๖ ชม.
วันที่เราเดินทางปรากฏว่าผู้โดยสารเต็มคันรถ เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากครับ ผ่าน ลพ.ลป.เถิน.ตาก.เข้า บ.ด่านลานหอย ใช้เวลาเดินทางเกือบ ๖ ชม.
19-24 Oct 2022 (10).JPG (79.74 KiB) เข้าดูแล้ว 1758 ครั้ง
133326.jpg
133326.jpg (66.8 KiB) เข้าดูแล้ว 1758 ครั้ง
133327.jpg
133327.jpg (76.43 KiB) เข้าดูแล้ว 1758 ครั้ง
133331.jpg
133331.jpg (94.55 KiB) เข้าดูแล้ว 1758 ครั้ง
133332.jpg
133332.jpg (70.97 KiB) เข้าดูแล้ว 1758 ครั้ง
ถึงบ้านด่านลานหอยเย็นพระอาทิตย์เริ่มอัสดง คุณนายจองบ้านพักเป็นแบบรีสอร์ทไว้เรียบร้อย แต่ไม่ทราบจะไปทิศทางใด ขอประกอบรถให้เข้าที่ก่อนมาถึงแล้วไม่กังวลเพราะคงไม่ไกลจากตัวอำเภอแน่นอน
ถึงบ้านด่านลานหอยเย็นพระอาทิตย์เริ่มอัสดง คุณนายจองบ้านพักเป็นแบบรีสอร์ทไว้เรียบร้อย แต่ไม่ทราบจะไปทิศทางใด ขอประกอบรถให้เข้าที่ก่อนมาถึงแล้วไม่กังวลเพราะคงไม่ไกลจากตัวอำเภอแน่นอน
133333.jpg (64.7 KiB) เข้าดูแล้ว 1758 ครั้ง
จิตวิญญาณของความเป็นครู แตกต่างจากจิตวิญญาณของความเป็นนักรบที่ &quot;ครูคือผู้ให้และเสียสละ นักรบคือผู้ฆ่า ผู้ทำลาย&quot; พวกเราครูดอยห่างไกลความเจริญหากไร้จิตวิญญาณความเป็นผู้ให้ จะอยู่ยากครับ ตชด.ที่ถูกส่งไปเป็นครูคือแนวหน้าหัวหมู่ทะลวงฟัน เข้าไปอยู่ท่ามกลางแวดล้อมของข้าศึก ต้องระมัดระวังตัวมาก ๆ ยิ่งอยู่ตัวคนเดียวยิ่งต้องระมัดระวังเป็นสิบเท่าทวีคูณ ติดตามครู ไอ้จุ๊ก อยู่คนเดียวบนดอยครับ<br /><br /><br />ตอนที่ ๙     <br /><br />  วันรุ่งเช้าสัญญาณเสียงไก่ป่าขันดังขึ้นก็เป็นสัญญาวันใหม่ ไก่มันทำหน้าที่ได้ตรงเวลา ผมนึกว่าไก่มันรู้หน้าที่ปฎิบัติตามหน้าที่ของมัน ที่มันต้องรับผิดชอบ สิ่งเหล่านี้มันเป็นกฎของธรรมชาติ ที่ได้กำหนดไว้ ตามความเหมาะสมของแต่ละเผ่าพันธุ์ ผมลุกขึ้นเพื่อปฎิบัติหน้าที่ของตนเอง เด็กนักเรียนทั้งสองก็ตื่นลุกขึ้นจากที่นอนแล้วก็ปฎิบัติในส่วนของตนเอง เมื่อเสร็จภารกิจประจำวัน ทุกคนก็พร้อมลงจากบ้านพักมุ่งหน้าสู่ รร เพื่อทำหน้าที่ของตนเอง ผมและเด็กชายทั้งสองปฎิบัติตามภารกิจตามปกติที่ปฎิบัติมา<br /><br /> เมื่อนักเรียนทั้งหมดพร้อมครูพร้อม ทุกอย่างก็ดำเนินตามภารกิจ ที่ต้องปฎิบัติวันนี้ผมเตรียมอุปกรณ์แพทย์เพื่อจะล้างหูให้เด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่ง  ที่หูเป็นน้ำหนวกมีน้ำหนองไหลออกจากหู ผมเรียกเด็กหญิงคนดังกล่าวมานั่งหลังห้องเรียน หลังจากที่เขียนตัวอักษรและเขียนตัวเลขเสร็จแล้ว ผมให้นั่งบนเก้าอี้ ให้ถือขวดแอลกอฮอร์และสำสีไว้ ผมเอาไม้สำหรับใส่สำสีพันรอบ เอาจุ่มลงในขวด    แอลกอฮอล์พอหมาด ๆ แล้วสอดเข้าในรูหู หมุนรอบเอาออกมา แล้วเอาสำลีออกทิ้งไว้ จากนั้นก็เอาสำลีชุดใหม่ หมุนรอบไม้อีกจุ่มลงในขวดแอลกอฮอร์ แล้วเอาใส่รูหูพันเอาน้ำหนองออก ทำอย่างนี้ไปตลอด จนรู้ว่าน้ำหนวกหมดจากหู <br /><br />ผมหยิบยาแก้อับเสบให้กินหนึ่งเม็ด ต้องกินต่อหน้าผม เพราะเคยทราบว่าถ้าเอายาให้ไปกินที่บ้าน พวกชาวเขาจะไม่กินเพราะยามีรสขม มักจะคายทิ้ง สิ่งนี้เลยเป็นสาเหตุที่ผมต้องการให้กินยาต่อหน้าผม เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ดูเด็กนักเรียนหญิงคนดังกล่าวรู้มีความสุข เมื่อน้ำหนองออกจากหู หลังจากภารกิจการเรียนหมดเวลา  ทุกคนก็พร้อมเดินทางกลับ จากนั้นเมื่อ รร. เลิกทุกคนก็เดินกลับเป็นแถวตามปกติทุกวันที่ปฎิบัติมา ผมและเด็กชายทั้งสองถึงบ้านทุกคนก็ทำหน้าที่เหมือนปกติเหมือนทุกครั้ง<br /><br />            เมื่อแสงดวงอาทิตย์อัสดงแสงดวงจันทร์เข้ามาแทนที่ กิจกรรมต่าง ๆ ที่ปฏิบัติเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา เสร็จจากภาคบันเทิงก็เข้าภาคนิทรา จากนั้นก็หวนกลับภาคเช้า วันนี้ก่อนจะเดินทางไป รร. ผมเตรียมกระดาษและปากกาไปด้วย โดยได้รับคำสั่งจากแผนก ๕ กองกำกับการฯ ว่าเดือนหน้าที่จะถึงให้ครูทุก รร. ส่งรายชื่อนักเรียนทั้งหมด เมื่อเดินถึง รร. นักเรียนทุกคนปฏิบัติหน้าที่ของตนเองได้ครบถูกต้อง เมื่อเข้าห้องเรียนได้สอนการเขียนหนังสือ จากนั้นสอนการนับเลข สอนการบวกเลขลบเลขจากตัวเลขจากหลักหน่วยหลับสิบ <br /><br />วันนี้การสอนบวกเลขลบเลขเด็กบางคนก็เข้าใจได้เร็ว  บางคนต้องสอนหลายครั้งก็ยังไม่เข้าใจ ผมต้องพยามสอนไปทีละเล็กละน้อย  จากนั้นก็ให้หัดบวกเลขโดยให้เด็กนักเรียนนั่งเขียนหัดบวกเลข เมื่อเด็กทั้งทำการเขียนเลขและบวกเลข ผมก็มานั่งที่โต๊ะครู เริ่มเรียกเด็กเรียนมาทีละคน สอบถามชื่อ ชื่อสกุล ชื่อบิดา ชื่อ มารดา หรือญาติพี่น้อง. และถามรายละเอียดการประกอบอาชีพของแต่ละครอบครัว<br /><br /> วันนั้นผมได้ชื่อ บิดา มารดา ญาติพี่น้อง ของนักเรียน ได้ทุกคนรวมเป็นเด็กชายมีแปดคนเด็กผู้หญิงมีแปดคนรวมทั้งหมด สิบหกคน เมื่อเวลา รร. เลิกเด็กทุกคนเดินแถวกลับไปตามปกติ ผมและเด็กชายเดินถึงบ้านพักก็ดำเนินหน้าที่ของตนเอง เมื่อทุกอย่างเสร็จต่อไปภาคบันเทิง จากภาคบันเทิงก็เข้านิทรามันจะหมุนเวียนอย่างนี้ไปตลอดจากหนึ่งวันเป็นสองวันจากสองวันเป็นหนึ่งเดือนจากหนึ่งเดือนเป็นสองเดือน ผมนั่งนึกว่าขึ้นมาสอนเป็นเวลาสองเดือนแล้ว ทำไมพี่สุเวรซึงทำหน้าที่เป็นผู้ใหญ่ไม่ขึ้นมาสอนด้วยกัน ขณะนี้มันย่างเข้าเดือนที่สองแล้วจะเข้าเดือนที่สามแล้ว<br />              <br />วันหนึ่งขณะ รร. เลิกเรียนแล้ว ผมกับเด็กชายทั้งสองกำลังจะเดินเข้าบ้านพัก พบพี่สุเวช ฯ ยืนคุยกับผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านที่ลานหน้าบ้านพัก เมื่อผมเดินมาถึงได้พูดทักทายว่า “ขึ้นมาเมื่อไร” พี่สุเวช ฯ บอกว่า “พึ่งเดินขึ้นมาถึงประมาณหนึ่งชั่วโมง”  จากนั้นผมกับพี่สุเวช ฯ ยืนคุยกับผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านประมาณพักหนึ่ง ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก็ขอตัวไปทำธุระส่วนตัว ผมและพี่สุเวช ฯ และเด็กชายทั้งสองก็ขึ้นบนบ้านพัก จากนั้นเด็กนักเรียนทั้งสองก็รีบทำภารกิจของตนเอง เมื่อเสร็จภารกิจเด็กชายทั้งขออนุญาตกลับบ้าน ก่อนจะเดินลงบ้านพักได้ถามผมว่า คืนนี้ผมทั้งสองไม่ต้องมานอนเป็นเพื่อนไหม ผมตอบว่ามานอนเป็นครูเหมือนเดิม จากนั้นเด็กชายทั้งสองเดินลงจากบ้านพักไป<br />               <br />ผมกับพี่สุเวช ฯ นั่งกินข้าวเย็นด้วยเพราะเด็กชายทั้งสองได้หุงข้าวและทำอาหารไว้ให้  เมื่อกินข้าวเสร็จแล้วทำภารกิจของตนเองเสร็จ แสงดวงอาทิตย์ลับมืดแสงดวงจันทร์เข้ามาแทนที่ จากนั้นไม่นานก็เข้าภาคบันเทิงของกลุ่มหนุ่มสาวของหมู่บ้าน เมื่อภาคบันเทิงเริ่มพี่สุเวช ฯ บอกผมว่าจะไปคุยกับผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านแล้วเดินหายไปทางบ้านของผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรผมนั่งดูภาคบันเทิงเหมือนปกติ เมื่อเสร็จภาคบันเทิงก็เข้าภาคนิทราของผมและเด็กนักเรียนทั้งสอง ผมและเด็กนักเรียนทั้งสองเข้านอนกันแล้ว  แต่พี่สุเวช ฯ ก็ยังไม่กลับมา ผมกับเด็กนักเรียนได้หลับตามปกติ จนกระทั่งถึงเวลาเช้าไก่ป่ามันก็ขันตามหน้าที่ของมัน ผมตื่นนอนก็ไม่เห็นพี่สุเวช ฯ มานอนบนบ้านพัก<br /><br /> ผมกับเด็กชายทั้งสองก็ปฏิบัติหน้าที่ของตนเหมือนเดิม เสร็จแล้วเดินขึ้นไป รร ทำหน้าที่สอนเด็กนักเรียนเหมือนทุกวัน เวลาประมาณเกือบเทียงก่อนที่ รร. จะเลิกกินข้าว พี่สุเวช ฯ ได้เดินมาที่ รร. ผมได้แนะนำตัวพี่สุเวช ฯ ให้นักเรียนทั้งหมดทราบว่าเป็นครูใหญ่ ทุกคนรับทราบจากนั้นก็เลิกกินข้าวเวลาเที่ยงวัน พี่สุเวช ฯ ได้พูดคุยกับผมว่า เมื่อคืนนอนที่บ้านผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและได้กินข้าวเช้าด้วย นั่งคุยประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง พี่สุเวช ฯ บอกผมว่าจะเดินลงจากดอยนี้ตอนบ่ายเพราะจะไปจัดการเรื่องย้ายครอบครัวมาอยู่ที่กองร้อยหนึ่งที่กิ่งอำเภอแม่อาย บอกผมว่าให้สอนคนเดียวไปก่อน ถ้าทำธุระเสร็จสิ้นจะรีบเดินขึ้นมาสอนด้วย <br /><br />ผมก็ไม่ได้พูดอะไร ผมนึกในใจว่าผมสอนอยู่คนเดียวได้อยู่แล้ว ขึ้นสอนเกือบจะสามเดือนแล้วยังอยู่ได้ จากนั้นพี่สุเวช ฯ ได้เดินจาก รร. ลงไปในหมู่บ้าน คงต้องรีบเดินลงก่อน ทีจะหมดแสงอาทิตย์ เมื่อพี่สุเวช ฯ จากไป ก็ถึงเวลาเข้าเรียนหนังสือภาคบ่าย นักเรียนทั้งหมดก็เข้าห้องเข้าเรียนตามปกติ ผมทำหน้าเป็นบุรุษพยาบาลทำการล้างหูน้ำหนองอีก วันนี้ดูที่หูเด็กเรียนหญิงคนดังกล่าว น้ำหนองที่ไหลออกจากรูหูแห้งไปบ้างแต่ก็ยังมีไหลออกมาบ้างเล็กน้อย ผมนึกในใจว่าคงไม่เกินหนึ่งอาทิตย์น้ำหนองในหูจะหายผมต้องพยามทำความสะอาดให้มาก ถ้าน้ำหนองในหูหายเด็กจะได้สบาย ทนทุกข์ทรมานมาเป็นเวลาแรมเดือนแรมปี  <br />ต่อมาอีกสองถึงสามอาทิตย์ผมล้างหูเด็กนักเรียนหญิงทุกวันที่มา รร.เกือบเข้าอาทิตย์ที่สี่ไม่มีน้ำหนวกไหลออกมาจากรูหูเด็กนักเรียนหญิง ผมตรวจสอบดูในรูหูก็ไม่พบมีน้ำหนวกในรูหูเลยแสดงว่าเด็กนักเรียนหญิงได้หายจากเป็นหูน้ำหนวกแล้ว ผมเตือนเสมอว่าอย่าให้น้ำเข้ารูหูเด็ดขาด เมื่อนักนักเรียนหญิงหายจากเป็นน้ำหนวกพฤติกรรมก็เปลี่ยนไป มีความรื่นเริงวิ่งเล่นกับกลุ่มนักเรียนได้ ได้ยินเสียงเล่นเสียงหัวเราะ ปกติจะเงียบไม่ค่อยจะเล่นกับเพื่อน จะยืนดูไม่ค่อยจะพูดไม่ค่อยจะเล่น<br />          <br /> การเรียนของเด็กเรียนทั้งหมดก็ก้าวหน้าไปมาก บางคนอ่านตัวหนังสือ บางคนนับเลขได้ บวกเลขลบเลขได้ การร้องเพลงชาติก็ช่วยกันร้องได้ โดยผมไม่ต้องร้องเพลงชาตินำ ผมจะให้เด็กนักเรียนชายหญิงหมุนสับเปลี่ยนกันเป็นคนนำร้องเพลงชาติ ทุกอย่างก็หมุนผ่านไปจากวันเป็นเดือนแล้ว เหลือไม่กี่วันก็จะหมดเดือนอีกแล้ว ใกล้ถึงวันที่ รร จะปิดเรียน  เพราะผมต้องเดินทางไปรับเงินเดือนที่กองกำกับตำรวจตระเวนชายแดน เขต 5 และจะต้องนำรายชื่อนักเรียนทั้งหมดส่งแผนก 5 ผมได้รวบรวมเขียนชื่อนักเรียนทั้งหมดลงในบัญชี ขณะที่ผมเขียนชื่อนักเรียนทั้งหมดนั้น ได้นึกถึงรุ่นพี่ที่เคยสอนชาวเขาบอกว่า บางเผ่าชื่อเขียนสะกดยากอ่านยาก จึงเปลี่ยนเป็นชื่อให้อ่านง่ายเขียนง่าย มักจะเอาชื่อของพระเอกนักแสดงภาพยนต์ใส่แทน เช่น สมบัติ, ลือชัย,อมรา,มิตร ชัยบัญชา , สรพงษ์ ถ้าเอาชื่อนักแสดงชายก็ต้องใส่ให้เด็กนักเรียนชาย ถ้าดารานักแสดงผู้หญิงก็ใส่ให้เด็กนักเรียนหญิง <br /><br />การเขียนชื่อนักเรียนทั้งหมดผมนำไปเขียนที่ รร. โดยจะเลือกเด็กนักเรียนชายมาก่อน สอบถามถึงความพอใจของเด็กนักเรียนก่อน เมื่อเด็กนักเรียนยินยอมก็หาชื่อดารานักแสดงใส่ให้ เด็กนักเรียนทั้งหญิงชายยินยอมให้เปลียนชื่อให้ โดยผมให้เหตุผลต่อเด็กนักเรียนทั้งหมดว่า เวลาลงไปพื้นราบจะสะดวกในการติดต่อกับชาวบ้านพื้นราบ แม้แต่ทางราชการ เช่น กำนันผู้ใหญ่บ้านในพื้นราบ ในการที่จะไปเรียนต่อ รร.ในพื้นราบ ทางพ่อแม่ของเด็กนักเรียนก็เข้าใจ <br /><br />สรุปว่า นักเรียนบางคนที่มีชื่อไทยไม่ต้องเปลี่ยน จะเปลี่ยนเฉพาะนักเรียนที่มีชื่อเป็นมูเซอเท่านั้น การเปลี่ยนชื่อนักเรียนระยะแรกก็มีปัญหากับนักเรียนและผมด้วย บางทีเรียกชื่อขึ้นมาไม่รู้ว่าเป็นชื่อใคร บางทีผมก็ลืมว่าชื่อนี้เป็นชื่อนักเรียนคนไหน ผมจำเป็นต้องพกพาสมุดเรียกชื่อติดตัวไปทุกครั้งที่ไปสอนนักเรียน บางคราวนึกแล้วหัวเราะเพราะเรียกนักเรียนหญิงที่ชื่อ อมรา ออกมาเขียนเลข 1- 10 เด็กนักเรียนหญิงก็ออกมาเขียนเลข 1-10 แล้ว เพื่อนนักเรียนบอกว่าไม่ใช่ชื่อ อมรา เขาชื่อ มนฤดี ทั้งผมและนักเรียนทั้งชั้นหัวเราะลั่นห้องเรียน ผมก็ลืมว่าใครชื่อ อมรา ใครชื่อ มนฤดี การเรียกชื่อนักเรียนทั้งหมดต้องใช้เวลาถึงสองสามอาทิตย์ ที่นักเรียนจะจำชื่อตัวเองได้และผมจำได้ต้องพกสมุดเรียกชื่อทุกครั้งที่จะเรียกชื่อเด็กนักเรียน
จิตวิญญาณของความเป็นครู แตกต่างจากจิตวิญญาณของความเป็นนักรบที่ "ครูคือผู้ให้และเสียสละ นักรบคือผู้ฆ่า ผู้ทำลาย" พวกเราครูดอยห่างไกลความเจริญหากไร้จิตวิญญาณความเป็นผู้ให้ จะอยู่ยากครับ ตชด.ที่ถูกส่งไปเป็นครูคือแนวหน้าหัวหมู่ทะลวงฟัน เข้าไปอยู่ท่ามกลางแวดล้อมของข้าศึก ต้องระมัดระวังตัวมาก ๆ ยิ่งอยู่ตัวคนเดียวยิ่งต้องระมัดระวังเป็นสิบเท่าทวีคูณ ติดตามครู ไอ้จุ๊ก อยู่คนเดียวบนดอยครับ


ตอนที่ ๙

วันรุ่งเช้าสัญญาณเสียงไก่ป่าขันดังขึ้นก็เป็นสัญญาวันใหม่ ไก่มันทำหน้าที่ได้ตรงเวลา ผมนึกว่าไก่มันรู้หน้าที่ปฎิบัติตามหน้าที่ของมัน ที่มันต้องรับผิดชอบ สิ่งเหล่านี้มันเป็นกฎของธรรมชาติ ที่ได้กำหนดไว้ ตามความเหมาะสมของแต่ละเผ่าพันธุ์ ผมลุกขึ้นเพื่อปฎิบัติหน้าที่ของตนเอง เด็กนักเรียนทั้งสองก็ตื่นลุกขึ้นจากที่นอนแล้วก็ปฎิบัติในส่วนของตนเอง เมื่อเสร็จภารกิจประจำวัน ทุกคนก็พร้อมลงจากบ้านพักมุ่งหน้าสู่ รร เพื่อทำหน้าที่ของตนเอง ผมและเด็กชายทั้งสองปฎิบัติตามภารกิจตามปกติที่ปฎิบัติมา

เมื่อนักเรียนทั้งหมดพร้อมครูพร้อม ทุกอย่างก็ดำเนินตามภารกิจ ที่ต้องปฎิบัติวันนี้ผมเตรียมอุปกรณ์แพทย์เพื่อจะล้างหูให้เด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่ง ที่หูเป็นน้ำหนวกมีน้ำหนองไหลออกจากหู ผมเรียกเด็กหญิงคนดังกล่าวมานั่งหลังห้องเรียน หลังจากที่เขียนตัวอักษรและเขียนตัวเลขเสร็จแล้ว ผมให้นั่งบนเก้าอี้ ให้ถือขวดแอลกอฮอร์และสำสีไว้ ผมเอาไม้สำหรับใส่สำสีพันรอบ เอาจุ่มลงในขวด แอลกอฮอล์พอหมาด ๆ แล้วสอดเข้าในรูหู หมุนรอบเอาออกมา แล้วเอาสำลีออกทิ้งไว้ จากนั้นก็เอาสำลีชุดใหม่ หมุนรอบไม้อีกจุ่มลงในขวดแอลกอฮอร์ แล้วเอาใส่รูหูพันเอาน้ำหนองออก ทำอย่างนี้ไปตลอด จนรู้ว่าน้ำหนวกหมดจากหู

ผมหยิบยาแก้อับเสบให้กินหนึ่งเม็ด ต้องกินต่อหน้าผม เพราะเคยทราบว่าถ้าเอายาให้ไปกินที่บ้าน พวกชาวเขาจะไม่กินเพราะยามีรสขม มักจะคายทิ้ง สิ่งนี้เลยเป็นสาเหตุที่ผมต้องการให้กินยาต่อหน้าผม เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ดูเด็กนักเรียนหญิงคนดังกล่าวรู้มีความสุข เมื่อน้ำหนองออกจากหู หลังจากภารกิจการเรียนหมดเวลา ทุกคนก็พร้อมเดินทางกลับ จากนั้นเมื่อ รร. เลิกทุกคนก็เดินกลับเป็นแถวตามปกติทุกวันที่ปฎิบัติมา ผมและเด็กชายทั้งสองถึงบ้านทุกคนก็ทำหน้าที่เหมือนปกติเหมือนทุกครั้ง

เมื่อแสงดวงอาทิตย์อัสดงแสงดวงจันทร์เข้ามาแทนที่ กิจกรรมต่าง ๆ ที่ปฏิบัติเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา เสร็จจากภาคบันเทิงก็เข้าภาคนิทรา จากนั้นก็หวนกลับภาคเช้า วันนี้ก่อนจะเดินทางไป รร. ผมเตรียมกระดาษและปากกาไปด้วย โดยได้รับคำสั่งจากแผนก ๕ กองกำกับการฯ ว่าเดือนหน้าที่จะถึงให้ครูทุก รร. ส่งรายชื่อนักเรียนทั้งหมด เมื่อเดินถึง รร. นักเรียนทุกคนปฏิบัติหน้าที่ของตนเองได้ครบถูกต้อง เมื่อเข้าห้องเรียนได้สอนการเขียนหนังสือ จากนั้นสอนการนับเลข สอนการบวกเลขลบเลขจากตัวเลขจากหลักหน่วยหลับสิบ

วันนี้การสอนบวกเลขลบเลขเด็กบางคนก็เข้าใจได้เร็ว บางคนต้องสอนหลายครั้งก็ยังไม่เข้าใจ ผมต้องพยามสอนไปทีละเล็กละน้อย จากนั้นก็ให้หัดบวกเลขโดยให้เด็กนักเรียนนั่งเขียนหัดบวกเลข เมื่อเด็กทั้งทำการเขียนเลขและบวกเลข ผมก็มานั่งที่โต๊ะครู เริ่มเรียกเด็กเรียนมาทีละคน สอบถามชื่อ ชื่อสกุล ชื่อบิดา ชื่อ มารดา หรือญาติพี่น้อง. และถามรายละเอียดการประกอบอาชีพของแต่ละครอบครัว

วันนั้นผมได้ชื่อ บิดา มารดา ญาติพี่น้อง ของนักเรียน ได้ทุกคนรวมเป็นเด็กชายมีแปดคนเด็กผู้หญิงมีแปดคนรวมทั้งหมด สิบหกคน เมื่อเวลา รร. เลิกเด็กทุกคนเดินแถวกลับไปตามปกติ ผมและเด็กชายเดินถึงบ้านพักก็ดำเนินหน้าที่ของตนเอง เมื่อทุกอย่างเสร็จต่อไปภาคบันเทิง จากภาคบันเทิงก็เข้านิทรามันจะหมุนเวียนอย่างนี้ไปตลอดจากหนึ่งวันเป็นสองวันจากสองวันเป็นหนึ่งเดือนจากหนึ่งเดือนเป็นสองเดือน ผมนั่งนึกว่าขึ้นมาสอนเป็นเวลาสองเดือนแล้ว ทำไมพี่สุเวรซึงทำหน้าที่เป็นผู้ใหญ่ไม่ขึ้นมาสอนด้วยกัน ขณะนี้มันย่างเข้าเดือนที่สองแล้วจะเข้าเดือนที่สามแล้ว

วันหนึ่งขณะ รร. เลิกเรียนแล้ว ผมกับเด็กชายทั้งสองกำลังจะเดินเข้าบ้านพัก พบพี่สุเวช ฯ ยืนคุยกับผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านที่ลานหน้าบ้านพัก เมื่อผมเดินมาถึงได้พูดทักทายว่า “ขึ้นมาเมื่อไร” พี่สุเวช ฯ บอกว่า “พึ่งเดินขึ้นมาถึงประมาณหนึ่งชั่วโมง” จากนั้นผมกับพี่สุเวช ฯ ยืนคุยกับผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านประมาณพักหนึ่ง ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก็ขอตัวไปทำธุระส่วนตัว ผมและพี่สุเวช ฯ และเด็กชายทั้งสองก็ขึ้นบนบ้านพัก จากนั้นเด็กนักเรียนทั้งสองก็รีบทำภารกิจของตนเอง เมื่อเสร็จภารกิจเด็กชายทั้งขออนุญาตกลับบ้าน ก่อนจะเดินลงบ้านพักได้ถามผมว่า คืนนี้ผมทั้งสองไม่ต้องมานอนเป็นเพื่อนไหม ผมตอบว่ามานอนเป็นครูเหมือนเดิม จากนั้นเด็กชายทั้งสองเดินลงจากบ้านพักไป

ผมกับพี่สุเวช ฯ นั่งกินข้าวเย็นด้วยเพราะเด็กชายทั้งสองได้หุงข้าวและทำอาหารไว้ให้ เมื่อกินข้าวเสร็จแล้วทำภารกิจของตนเองเสร็จ แสงดวงอาทิตย์ลับมืดแสงดวงจันทร์เข้ามาแทนที่ จากนั้นไม่นานก็เข้าภาคบันเทิงของกลุ่มหนุ่มสาวของหมู่บ้าน เมื่อภาคบันเทิงเริ่มพี่สุเวช ฯ บอกผมว่าจะไปคุยกับผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านแล้วเดินหายไปทางบ้านของผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรผมนั่งดูภาคบันเทิงเหมือนปกติ เมื่อเสร็จภาคบันเทิงก็เข้าภาคนิทราของผมและเด็กนักเรียนทั้งสอง ผมและเด็กนักเรียนทั้งสองเข้านอนกันแล้ว แต่พี่สุเวช ฯ ก็ยังไม่กลับมา ผมกับเด็กนักเรียนได้หลับตามปกติ จนกระทั่งถึงเวลาเช้าไก่ป่ามันก็ขันตามหน้าที่ของมัน ผมตื่นนอนก็ไม่เห็นพี่สุเวช ฯ มานอนบนบ้านพัก

ผมกับเด็กชายทั้งสองก็ปฏิบัติหน้าที่ของตนเหมือนเดิม เสร็จแล้วเดินขึ้นไป รร ทำหน้าที่สอนเด็กนักเรียนเหมือนทุกวัน เวลาประมาณเกือบเทียงก่อนที่ รร. จะเลิกกินข้าว พี่สุเวช ฯ ได้เดินมาที่ รร. ผมได้แนะนำตัวพี่สุเวช ฯ ให้นักเรียนทั้งหมดทราบว่าเป็นครูใหญ่ ทุกคนรับทราบจากนั้นก็เลิกกินข้าวเวลาเที่ยงวัน พี่สุเวช ฯ ได้พูดคุยกับผมว่า เมื่อคืนนอนที่บ้านผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและได้กินข้าวเช้าด้วย นั่งคุยประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง พี่สุเวช ฯ บอกผมว่าจะเดินลงจากดอยนี้ตอนบ่ายเพราะจะไปจัดการเรื่องย้ายครอบครัวมาอยู่ที่กองร้อยหนึ่งที่กิ่งอำเภอแม่อาย บอกผมว่าให้สอนคนเดียวไปก่อน ถ้าทำธุระเสร็จสิ้นจะรีบเดินขึ้นมาสอนด้วย

ผมก็ไม่ได้พูดอะไร ผมนึกในใจว่าผมสอนอยู่คนเดียวได้อยู่แล้ว ขึ้นสอนเกือบจะสามเดือนแล้วยังอยู่ได้ จากนั้นพี่สุเวช ฯ ได้เดินจาก รร. ลงไปในหมู่บ้าน คงต้องรีบเดินลงก่อน ทีจะหมดแสงอาทิตย์ เมื่อพี่สุเวช ฯ จากไป ก็ถึงเวลาเข้าเรียนหนังสือภาคบ่าย นักเรียนทั้งหมดก็เข้าห้องเข้าเรียนตามปกติ ผมทำหน้าเป็นบุรุษพยาบาลทำการล้างหูน้ำหนองอีก วันนี้ดูที่หูเด็กเรียนหญิงคนดังกล่าว น้ำหนองที่ไหลออกจากรูหูแห้งไปบ้างแต่ก็ยังมีไหลออกมาบ้างเล็กน้อย ผมนึกในใจว่าคงไม่เกินหนึ่งอาทิตย์น้ำหนองในหูจะหายผมต้องพยามทำความสะอาดให้มาก ถ้าน้ำหนองในหูหายเด็กจะได้สบาย ทนทุกข์ทรมานมาเป็นเวลาแรมเดือนแรมปี
ต่อมาอีกสองถึงสามอาทิตย์ผมล้างหูเด็กนักเรียนหญิงทุกวันที่มา รร.เกือบเข้าอาทิตย์ที่สี่ไม่มีน้ำหนวกไหลออกมาจากรูหูเด็กนักเรียนหญิง ผมตรวจสอบดูในรูหูก็ไม่พบมีน้ำหนวกในรูหูเลยแสดงว่าเด็กนักเรียนหญิงได้หายจากเป็นหูน้ำหนวกแล้ว ผมเตือนเสมอว่าอย่าให้น้ำเข้ารูหูเด็ดขาด เมื่อนักนักเรียนหญิงหายจากเป็นน้ำหนวกพฤติกรรมก็เปลี่ยนไป มีความรื่นเริงวิ่งเล่นกับกลุ่มนักเรียนได้ ได้ยินเสียงเล่นเสียงหัวเราะ ปกติจะเงียบไม่ค่อยจะเล่นกับเพื่อน จะยืนดูไม่ค่อยจะพูดไม่ค่อยจะเล่น

การเรียนของเด็กเรียนทั้งหมดก็ก้าวหน้าไปมาก บางคนอ่านตัวหนังสือ บางคนนับเลขได้ บวกเลขลบเลขได้ การร้องเพลงชาติก็ช่วยกันร้องได้ โดยผมไม่ต้องร้องเพลงชาตินำ ผมจะให้เด็กนักเรียนชายหญิงหมุนสับเปลี่ยนกันเป็นคนนำร้องเพลงชาติ ทุกอย่างก็หมุนผ่านไปจากวันเป็นเดือนแล้ว เหลือไม่กี่วันก็จะหมดเดือนอีกแล้ว ใกล้ถึงวันที่ รร จะปิดเรียน เพราะผมต้องเดินทางไปรับเงินเดือนที่กองกำกับตำรวจตระเวนชายแดน เขต 5 และจะต้องนำรายชื่อนักเรียนทั้งหมดส่งแผนก 5 ผมได้รวบรวมเขียนชื่อนักเรียนทั้งหมดลงในบัญชี ขณะที่ผมเขียนชื่อนักเรียนทั้งหมดนั้น ได้นึกถึงรุ่นพี่ที่เคยสอนชาวเขาบอกว่า บางเผ่าชื่อเขียนสะกดยากอ่านยาก จึงเปลี่ยนเป็นชื่อให้อ่านง่ายเขียนง่าย มักจะเอาชื่อของพระเอกนักแสดงภาพยนต์ใส่แทน เช่น สมบัติ, ลือชัย,อมรา,มิตร ชัยบัญชา , สรพงษ์ ถ้าเอาชื่อนักแสดงชายก็ต้องใส่ให้เด็กนักเรียนชาย ถ้าดารานักแสดงผู้หญิงก็ใส่ให้เด็กนักเรียนหญิง

การเขียนชื่อนักเรียนทั้งหมดผมนำไปเขียนที่ รร. โดยจะเลือกเด็กนักเรียนชายมาก่อน สอบถามถึงความพอใจของเด็กนักเรียนก่อน เมื่อเด็กนักเรียนยินยอมก็หาชื่อดารานักแสดงใส่ให้ เด็กนักเรียนทั้งหญิงชายยินยอมให้เปลียนชื่อให้ โดยผมให้เหตุผลต่อเด็กนักเรียนทั้งหมดว่า เวลาลงไปพื้นราบจะสะดวกในการติดต่อกับชาวบ้านพื้นราบ แม้แต่ทางราชการ เช่น กำนันผู้ใหญ่บ้านในพื้นราบ ในการที่จะไปเรียนต่อ รร.ในพื้นราบ ทางพ่อแม่ของเด็กนักเรียนก็เข้าใจ

สรุปว่า นักเรียนบางคนที่มีชื่อไทยไม่ต้องเปลี่ยน จะเปลี่ยนเฉพาะนักเรียนที่มีชื่อเป็นมูเซอเท่านั้น การเปลี่ยนชื่อนักเรียนระยะแรกก็มีปัญหากับนักเรียนและผมด้วย บางทีเรียกชื่อขึ้นมาไม่รู้ว่าเป็นชื่อใคร บางทีผมก็ลืมว่าชื่อนี้เป็นชื่อนักเรียนคนไหน ผมจำเป็นต้องพกพาสมุดเรียกชื่อติดตัวไปทุกครั้งที่ไปสอนนักเรียน บางคราวนึกแล้วหัวเราะเพราะเรียกนักเรียนหญิงที่ชื่อ อมรา ออกมาเขียนเลข 1- 10 เด็กนักเรียนหญิงก็ออกมาเขียนเลข 1-10 แล้ว เพื่อนนักเรียนบอกว่าไม่ใช่ชื่อ อมรา เขาชื่อ มนฤดี ทั้งผมและนักเรียนทั้งชั้นหัวเราะลั่นห้องเรียน ผมก็ลืมว่าใครชื่อ อมรา ใครชื่อ มนฤดี การเรียกชื่อนักเรียนทั้งหมดต้องใช้เวลาถึงสองสามอาทิตย์ ที่นักเรียนจะจำชื่อตัวเองได้และผมจำได้ต้องพกสมุดเรียกชื่อทุกครั้งที่จะเรียกชื่อเด็กนักเรียน
152121.jpg (96.33 KiB) เข้าดูแล้ว 1758 ครั้ง
แก้ไขล่าสุดโดย Deang-sarapee เมื่อ 04 ม.ค. 2023, 14:33, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4378
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D สวัสดียามเย็น ๆ ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ ย้อนอดีตสมัยที่ผมรับราชการ มันมีทั้งสุข - ทุกข์ คละเคล้ากันไป (ส่วนใหญ่จะทุกข์มากกว่า) ความที่เรามุ่งแต่งานลืมสัจธรรมความจริงทางโลก ไม่คล้อยตามวิถีทางโลก เชื่อในกรรมดีที่เราตั้งใจทำ (ลืมกรรมวิบากแต่ปางหลัง "กฏแห่งกรรม" ) เมื่อสิ้นบุญของกรรมดีกรรมไม่ดีเริ่มให้ผล ผมถูกอัปเปหิจากภาคเหนือลงไปอยู่ภาคใต้ คนที่เกลียดเรา เขาก็สะใจตบมือ เยาะเย้ย ถากถาง ส่วนคนที่รักเรา ก็เศร้า สงสาร เห็นใจ นี่คือ โลกธรรม ๘

การที่ถูกอัปเปหิลงใต้กลับกลายเป็นผลดีของผมและครอบครัวครับ ผมได้ไปพบกับปราชญ์ชั้นเยี่ยมของไทย คือ ท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านเมตตาครอบครัวผมมาก ๆ ยามเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านที่เชียงใหม่ ผมจะแวะกราบหลวงปู่ทั้งขาไป - ขากลับ ท่านต้อนรับและให้ความเป็นกันเอง เมตตาสอนธรรม อบรมธรรมและตอบปัญหาที่ผมข้องใจ

คนเราเรียกว่าชั่ว ๗ ที ดี ๗ หน เมื่อสิ้นกรรมผมก็ได้รับความเมตตาจากนาย ให้กลับขึ้นเหนือ ก่อนกลับผมไปกราบลาหลวงปู่พุทธทาส ท่านยิ้มแสดงความยินดี และฝากงานที่ยิ่งใหญ่สำคัญยิ่ง ๆ....ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ นั่นคือท่านสั่งให้ผมและคุณนาย "ไปนำศีลธรรมกลับมา ก่อนที่โลกาจะวินาศ" เป็นปัญหาใหญ่สำหรับผมจริง ๆ

ใน Fb.มีผู้แสดงความคิดเห็นประทับใจ อธิบายได้ดีเรียกว่า ได้ใจ ไปดูครับเขาว่า ?
:) :D


:o :o "ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ"

กรณีกราดยิงและการสูญเสีย แบบนี้ จะมากขึ้นเรื่อยๆ เกิดเหตุแต่ละครั้งก็พากันตีหน้าเศร้า แล้วโทษใครก็ได้ที่ไม่ใช่ตัวเอง ไม่ถึง 3 วันก็จางไปจากใจเรื่องใหม่มาให้เฮ...ตามกันใหม่ แล้วก็รอคอยว่า การแก้ปัญหาต้องมาจากรัฐบาล...เท่านั้น!!

พัฒนาไปเถอะ ให้มนุษย์มีวิทยาการ ที่ล้ำจักรวาลแค่ไหน มีเศรษฐกิจที่มั่งคั่งแค่ไหน หากสภาวะจิตใจคนตกต่ำ ! ก็บรรลัยโลก !!! มองความบรรลัย!! ระดับโลก มหาอำนาจ งัดความทันสมัย(ทางอาวุธฯ) มาเบ่งใส่กัน ยิงใส่กัน ยิงขู่กัน ไม่สนผลกระทบ ความเสียหาย ต่อมวลมนุษยชาติ ก็ดูสงครามตัวแทนตอนนี้เถอะ !! โน่นก็ใหญ่นี่ก็เจ๋งนั่นก็ไม่กลัวใคร ก็บรรลัย!! ซิครับ

ก็ลุ้นกันเอาว่าสงครามนิวเคลียจะปะทุเมื่อไหร่? จะได้รับผลกระทบมากน้อยอย่างไร? แต่ไม่ต้องห่วง กระทบทั้งโลกแน่ๆ...ไม่ต้องสงสัย ตั้งสติและยอมรับกันเสียเถอะว่า โลกมันพัฒนาเร็วเกินกว่าการ"พัฒนาจิตใจ"ของคนในสังคม

โลกของความไม่จริงมันปกคลุมใจคนจนแยกแยะไม่ออกอะไรจริงอะไรหลอก อุปทานซ้อนอุปทานหลายชั้นจนหาจริงแทบไม่เจอ ใช่หรือไม่ว่า การพัฒนา (กิเลส) มันหมุนเร็วรอบจัดกว่าคุณธรรมในใจคน ใช่หรือไม่ ว่าจิตใจของคนในสังคมตกต่ำย่ำแย่

ใช่หรือไม่ ว่าจิตใจของคนขาดความยับยั้งชั่งใจ ใช่หรือไม่ ที่จิตใจของคน วิ่งหาที่พึ่งทางใจแบบสะเปะสะปะไร้ทิศทาง ใช่หรือไม่ ที่วัยรุ่น และลูกหลานรุ่นหลัง ตกไปอยู่ในโลก เสมือน(เกมส์)จน ใช้ชีวิต ในโลกความจริง อย่างไร้ศีลธรรมนำทาง

ลองจินตนาการอีก 5 ปี 10 ปีข้างหน้าเถอะ ว่าเด็กรุ่นใหม่ ที่ เติบโตขึ้นมา ด้วยเกมส์การเข่นฆ่า เอาเปรียบเพื่อชัยชนะในเกมส์มีชื่อเสียง ด้วย การทำอะไรแผลงๆ ผ่าน Social ให้ความเคารพนับถือคนที่มีเงินมากๆ โดยไม่สนที่มา และกราบไหว้บูชาอะไรก็ได้ที่กระแสจะพาไป...ประเทศไทยกำลังหลับตาและวิ่งเร็ว

ผลคือ ชน ชน และ ชน มีแต่ ชิ...หาย...ซิครับท่านผู้ชม สภาพฯ !!! ไม่อยาก จินตนาการต่อ เล้ยยย...เมื่อไหร่? จะมีการพัฒนาแบบเอา "ศีลธรรมนำชาติ" เสียที .....

โดย สมศักดิ์ จังอินทร์ 7/10/65/ 23.30 :( :(

ขอบพระคุณมาก ๆ ครับ ทีนี้เรามาฟังหลวงปู่พุทธทาสพูดไว้ นานมาแล้วครับ
:) :D


:idea: :idea: ศีลธรรมกลับมาเถิด - พุทธทาสภิกขุ :idea: :idea:
ไฟล์แนบ
160512.jpg
160512.jpg (145.17 KiB) เข้าดูแล้ว 1652 ครั้ง
ท่านผู้มีเกียรติครับ บัดนี้ประเทศไทยเราประกาศให้เข้าสู่ &quot;ฤดูหนาว&quot; อย่างเป็นทางการแล้วประกอบกับเจ้า covid 19 ก็ได้ลดระดับให้กลายเป็นโรคประจำถิ่นไปแล้วเช่นกัน เป็นโอกาสทองของพวกเรานักท่องเที่ยว จะได้ออกไปหาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจคลายความเครียดกันได้แล้ว โดยเฉพาะท่านผู้เฒ่าที่ตกงานทั้งหลาย....ตอนนี้มีท่านผู้รู้ได้ให้แนวคิดไว้ เราไปชมแนวคิดผู้รู้ได้ร้อยเรียงอักษรให้พวกเราได้คิดกันนะครับว่า :<br /><br /> 10 คุกชีวิต ติด..โดยไม่ได้ตั้งใจ<br /><br />เป็นคุกชีวิต! ที่ทำให้บางคน ไม่สามารถออกไปเที่ยวนอกบ้านได้ด้วยเกราะกรงขัง..ที่เราสร้างมันขึ้นมาเอง จึงทำให้เราติดคุกชีวิต เหมือน..รู้เท่าไม่ถึงการณ์<br /><br />1.ติดบ้าน......จะไปไหน ก็อดห่วงบ้านไม่ได้<br />ทั้งที่บ้าน ก็ไม่ได้มีสมบัติพัสถานอะไร มีแต่สิ่งของที่มีคุณค่าทางจิตใจเสียส่วนใหญ่ แต่ก็อดห่วงไม่ได้ กลัวไม่มีใครดูแล เลยได้แต่อยู่บ้าน นั่งเฝ้ามันไปวัน ๆ  ไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนกับเขาเลย…!!<br /><br />2.ติดเลี้ยงหลาน...อันนี้ติดหนักเลย บางคนติดอยู่หลายปีจนหลัง ๆ นี่ชักไม่แน่ใจว่า  “หลานติดเรา หรือเราติดหลาน”  จะออกไปเที่ยวหรือไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนแต่ละที มันเป็นอะไรที่ยุ่งยากลำบากใจเอามาก ๆ  เพื่อนชวนแล้วชวนอีก จนเพื่อนระอา หลัง ๆ เพื่อนเริ่มไม่ชวนแล้ว<br /><br />3.ติดหมา ติดแมว หรือติดสัตว์เลี้ยง...คือไม่กล้าทิ้งเขาเอาไว้กับคนอื่น เป็นห่วงเขา กลัวเขากินไม่ได้  นอนไม่หลับ ถ่ายไม่สะดวกฯ  อารมณ์เหมือนเป็นทาสเขา ว่างั้นเถอะ!  จึงได้อยู่แต่บ้าน คอยรับใช้พวกเขาตลอดเวลา<br /><br />4.ติดต้นไม้ใบหญ้าที่ปลูกเอาไว้....เกรงจะไม่มีใครรดน้ำ พรวนดิน  ให้ปุ๋ย ฉีดยา ดายหญ้าฯ<br />ไม่กล้าไปไหนไกล โดยเฉพาะไปเที่ยวต่างประเทศหลาย ๆ วันนี่ ไม่ต้องพูดถึงกันเลยละ!<br />เลยได้วนเวียนอยู่แต่ในสวน รอเวลาไปนอนคุยกับรากมันนี่ละ!<br /><br />5.ติดงานที่ยังต้องทำ....ไม่กล้าทิ้งงานไปไหน<br />อาจเพราะไม่เคยเชื่อมือใคร หรือเกรงจะไม่ได้รับความสำคัญ ฯ  จึงต้องคอยอยู่ดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา จนชีวิตแทบไม่ได้ไปเที่ยวพักผ่อนที่ไหนกับเขาเลย  รอว่าพร้อมเมื่อไร จะไปเที่ยว<br />ซึ่งก็ไม่รู้ว่า..เมื่อไร!<br /><br />6.ติดกับ..สุขภาพ.....  บางคนมีโรคประจำตัว<br />ที่ต้องทำให้ต้องติดคุกชีวิตอยู่กับสุขภาพ ไปไหนไกลไม่ได้ เพราะมีภาระกิจ ที่ต้องทำสม่ำเสมอ<br />เช่น ต้องฟอกไตทุกสามวัน จึงทำให้ไปไหนได้ไม่เกินสามวัน เป็นต้น รู้อย่างนี้..ใครที่สุขภาพยังดีอยู่<br />รีบไปเที่ยวเสียนะครับ!<br /><br />7.ติดดูแลคนที่บ้าน....อันนี้ก็คล้ายกับข้อหก แต่เป็นการดูแลคนที่เรารักและห่วงใย เพราะมีบางคนที่เรารักป่วย เริ่มช่วยตัวเองไม่ได้ จนไปไหนไม่ได้เลย เพราะไม่มันใจว่า คนอื่น..จะดูแลดีได้เท่ากับเราไหม?<br /><br />8.ติดห่วงใย......เพราะถูกเลี้ยงมาแบบคุณหนู<br />จนอายุห้าสิบ หกสิบแล้ว คนรอบตัวก็ยังคิดว่าเป็นคุณหนูอยู่ร่ำไป อาจเป็นเพราะบางคนก็ยังชอบทำตัว ให้เป็นแบบคุณหนูอยู่ด้วยนั่นเอง เลยทำให้ไปเที่ยวไหนลำบากเพราะคนรอบๆตัวยังคิดว่า<br />เป็นคุณหนูที่น่าห่วงใยอยู่เสมอ<br /><br />9.ติดหนึบ!..บวกติดเหนียว....คือกลัวว่า เงินที่มีอยู่จะไม่พอใช้ไปจนแก่เฒ่า เลยใช้จ่ายอย่างประหยัดสุดชีวิต บางทีจำกัดจำเขียเสียจนพอตายไปแล้ว เงินยังเหลืออีกเพียบเลยก็มี นี่ยังไม่รวมทรัพย์สมบัติที่ยังไม่ได้ขายอีกบานตะไทเลยนะเนี่ย<br />ชีวิตเลยติดกับ เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ไปจนตาย<br /><br />10.ติดเตียง......อันนี้น่าสงสารมาก ตอนแข็งแรงดี ก็ติดภาระกิจสารพัด พอตอนนี้ป่วยติดเตียง<br />ขยับตัวไปไหนมาไหนไม่ได้แล้ว อยากไปเที่ยวกับเพื่อนใจจะขาด แต่ร่างกายแทบเคลื่อนไหวไม่ได้แล้ว อันนี้ได้แต่ส่งกำลังใจไปช่วยจริงๆ<br /><br />      ลองดูนะครับว่าอันไหน พอจะหาวิธีปลดพันธนาการ หรือขออภัยโทษให้กับตัวเองได้บ้าง<br />มิเช่นนั้น ชาตินี้อาจไม่มีโอกาส ได้ไปไหนมาไหนกับเพื่อนอีก ก็เป็นได้<br /><br />               ดร.พนม ปีย์เจริญ   1-11-2022
ท่านผู้มีเกียรติครับ บัดนี้ประเทศไทยเราประกาศให้เข้าสู่ "ฤดูหนาว" อย่างเป็นทางการแล้วประกอบกับเจ้า covid 19 ก็ได้ลดระดับให้กลายเป็นโรคประจำถิ่นไปแล้วเช่นกัน เป็นโอกาสทองของพวกเรานักท่องเที่ยว จะได้ออกไปหาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจคลายความเครียดกันได้แล้ว โดยเฉพาะท่านผู้เฒ่าที่ตกงานทั้งหลาย....ตอนนี้มีท่านผู้รู้ได้ให้แนวคิดไว้ เราไปชมแนวคิดผู้รู้ได้ร้อยเรียงอักษรให้พวกเราได้คิดกันนะครับว่า :

10 คุกชีวิต ติด..โดยไม่ได้ตั้งใจ

เป็นคุกชีวิต! ที่ทำให้บางคน ไม่สามารถออกไปเที่ยวนอกบ้านได้ด้วยเกราะกรงขัง..ที่เราสร้างมันขึ้นมาเอง จึงทำให้เราติดคุกชีวิต เหมือน..รู้เท่าไม่ถึงการณ์

1.ติดบ้าน......จะไปไหน ก็อดห่วงบ้านไม่ได้
ทั้งที่บ้าน ก็ไม่ได้มีสมบัติพัสถานอะไร มีแต่สิ่งของที่มีคุณค่าทางจิตใจเสียส่วนใหญ่ แต่ก็อดห่วงไม่ได้ กลัวไม่มีใครดูแล เลยได้แต่อยู่บ้าน นั่งเฝ้ามันไปวัน ๆ ไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนกับเขาเลย…!!

2.ติดเลี้ยงหลาน...อันนี้ติดหนักเลย บางคนติดอยู่หลายปีจนหลัง ๆ นี่ชักไม่แน่ใจว่า “หลานติดเรา หรือเราติดหลาน” จะออกไปเที่ยวหรือไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนแต่ละที มันเป็นอะไรที่ยุ่งยากลำบากใจเอามาก ๆ เพื่อนชวนแล้วชวนอีก จนเพื่อนระอา หลัง ๆ เพื่อนเริ่มไม่ชวนแล้ว

3.ติดหมา ติดแมว หรือติดสัตว์เลี้ยง...คือไม่กล้าทิ้งเขาเอาไว้กับคนอื่น เป็นห่วงเขา กลัวเขากินไม่ได้ นอนไม่หลับ ถ่ายไม่สะดวกฯ อารมณ์เหมือนเป็นทาสเขา ว่างั้นเถอะ! จึงได้อยู่แต่บ้าน คอยรับใช้พวกเขาตลอดเวลา

4.ติดต้นไม้ใบหญ้าที่ปลูกเอาไว้....เกรงจะไม่มีใครรดน้ำ พรวนดิน ให้ปุ๋ย ฉีดยา ดายหญ้าฯ
ไม่กล้าไปไหนไกล โดยเฉพาะไปเที่ยวต่างประเทศหลาย ๆ วันนี่ ไม่ต้องพูดถึงกันเลยละ!
เลยได้วนเวียนอยู่แต่ในสวน รอเวลาไปนอนคุยกับรากมันนี่ละ!

5.ติดงานที่ยังต้องทำ....ไม่กล้าทิ้งงานไปไหน
อาจเพราะไม่เคยเชื่อมือใคร หรือเกรงจะไม่ได้รับความสำคัญ ฯ จึงต้องคอยอยู่ดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา จนชีวิตแทบไม่ได้ไปเที่ยวพักผ่อนที่ไหนกับเขาเลย รอว่าพร้อมเมื่อไร จะไปเที่ยว
ซึ่งก็ไม่รู้ว่า..เมื่อไร!

6.ติดกับ..สุขภาพ..... บางคนมีโรคประจำตัว
ที่ต้องทำให้ต้องติดคุกชีวิตอยู่กับสุขภาพ ไปไหนไกลไม่ได้ เพราะมีภาระกิจ ที่ต้องทำสม่ำเสมอ
เช่น ต้องฟอกไตทุกสามวัน จึงทำให้ไปไหนได้ไม่เกินสามวัน เป็นต้น รู้อย่างนี้..ใครที่สุขภาพยังดีอยู่
รีบไปเที่ยวเสียนะครับ!

7.ติดดูแลคนที่บ้าน....อันนี้ก็คล้ายกับข้อหก แต่เป็นการดูแลคนที่เรารักและห่วงใย เพราะมีบางคนที่เรารักป่วย เริ่มช่วยตัวเองไม่ได้ จนไปไหนไม่ได้เลย เพราะไม่มันใจว่า คนอื่น..จะดูแลดีได้เท่ากับเราไหม?

8.ติดห่วงใย......เพราะถูกเลี้ยงมาแบบคุณหนู
จนอายุห้าสิบ หกสิบแล้ว คนรอบตัวก็ยังคิดว่าเป็นคุณหนูอยู่ร่ำไป อาจเป็นเพราะบางคนก็ยังชอบทำตัว ให้เป็นแบบคุณหนูอยู่ด้วยนั่นเอง เลยทำให้ไปเที่ยวไหนลำบากเพราะคนรอบๆตัวยังคิดว่า
เป็นคุณหนูที่น่าห่วงใยอยู่เสมอ

9.ติดหนึบ!..บวกติดเหนียว....คือกลัวว่า เงินที่มีอยู่จะไม่พอใช้ไปจนแก่เฒ่า เลยใช้จ่ายอย่างประหยัดสุดชีวิต บางทีจำกัดจำเขียเสียจนพอตายไปแล้ว เงินยังเหลืออีกเพียบเลยก็มี นี่ยังไม่รวมทรัพย์สมบัติที่ยังไม่ได้ขายอีกบานตะไทเลยนะเนี่ย
ชีวิตเลยติดกับ เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ไปจนตาย

10.ติดเตียง......อันนี้น่าสงสารมาก ตอนแข็งแรงดี ก็ติดภาระกิจสารพัด พอตอนนี้ป่วยติดเตียง
ขยับตัวไปไหนมาไหนไม่ได้แล้ว อยากไปเที่ยวกับเพื่อนใจจะขาด แต่ร่างกายแทบเคลื่อนไหวไม่ได้แล้ว อันนี้ได้แต่ส่งกำลังใจไปช่วยจริงๆ

ลองดูนะครับว่าอันไหน พอจะหาวิธีปลดพันธนาการ หรือขออภัยโทษให้กับตัวเองได้บ้าง
มิเช่นนั้น ชาตินี้อาจไม่มีโอกาส ได้ไปไหนมาไหนกับเพื่อนอีก ก็เป็นได้

ดร.พนม ปีย์เจริญ 1-11-2022
153871.jpg (46.73 KiB) เข้าดูแล้ว 1652 ครั้ง
ในขณะที่ผมกำลังจัดการกับเจ้าตัวเล็กและสัมภาระที่บรรทุก คุณนายก็ดำเนินการค้นหาที่พักที่จองไว้ ประมาณว่าไกลจากที่จุดเราลงรถประมาณ ๓ กม.กว่า ๆ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เราก็เริ่มออกเดินทางไปที่พักก่อนเลย สำหรับความหิวไม่ต้องพูดถึงจัดการที่พักก่อนครับ ๕๕.<br /><br />โชคดีที่พ่อค้าหนุ่มเห็นพวกเราจัดรถจักรยานและเตรียมเดินทาง ก็เข้ามาสอบถามเมื่อรู้เราจะไปที่พักก็บอกเส้นทางให้เรา (ใจดีจัง)
ในขณะที่ผมกำลังจัดการกับเจ้าตัวเล็กและสัมภาระที่บรรทุก คุณนายก็ดำเนินการค้นหาที่พักที่จองไว้ ประมาณว่าไกลจากที่จุดเราลงรถประมาณ ๓ กม.กว่า ๆ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เราก็เริ่มออกเดินทางไปที่พักก่อนเลย สำหรับความหิวไม่ต้องพูดถึงจัดการที่พักก่อนครับ ๕๕.

โชคดีที่พ่อค้าหนุ่มเห็นพวกเราจัดรถจักรยานและเตรียมเดินทาง ก็เข้ามาสอบถามเมื่อรู้เราจะไปที่พักก็บอกเส้นทางให้เรา (ใจดีจัง)
The first trip of 2565 (14).JPG (75.18 KiB) เข้าดูแล้ว 1652 ครั้ง
The first trip of 2565 (16).JPG
The first trip of 2565 (16).JPG (62.09 KiB) เข้าดูแล้ว 1652 ครั้ง
The first trip of 2565 (17).JPG
The first trip of 2565 (17).JPG (41.96 KiB) เข้าดูแล้ว 1652 ครั้ง
เป็นรีสอร์ทที่ดูแล้วน่าจะ โอเค นะ บริการต้อนรับดีเยี่ยมไม่ผิดหวังครับ เราเก็บของเข้าไว้ในห้อง แล้วขอตัวออกปั่นไปชมราตรีเมืองด่านลานหอย และไปหาอะไรใส่กระเพาะอาหาร
เป็นรีสอร์ทที่ดูแล้วน่าจะ โอเค นะ บริการต้อนรับดีเยี่ยมไม่ผิดหวังครับ เราเก็บของเข้าไว้ในห้อง แล้วขอตัวออกปั่นไปชมราตรีเมืองด่านลานหอย และไปหาอะไรใส่กระเพาะอาหาร
The first trip of 2565 (19).JPG (56.87 KiB) เข้าดูแล้ว 1652 ครั้ง
เจ้าหนุ่มคนเดิมพาแฟนมาตลาดขี่จักรยานยนต์เห็นเราสองคนปั่นออกมาจากรีสอร์ท ขี่มอไซด์ตามสอบถามเราจะไปไหน คุณนายเลยถาม &quot;ร้านกวยเตี๋ยวผัดไทยอร่อย ๆ อยู่ที่ไหน&quot; ก็ได้รับคำตอบและคำแนะนำเส้นทางพร้อมพิกัดให้ ใจแกดีจริง ๆ กลัวเราจะไปไม่ถูก ขี่คุยนำเราไปด้วย
เจ้าหนุ่มคนเดิมพาแฟนมาตลาดขี่จักรยานยนต์เห็นเราสองคนปั่นออกมาจากรีสอร์ท ขี่มอไซด์ตามสอบถามเราจะไปไหน คุณนายเลยถาม "ร้านกวยเตี๋ยวผัดไทยอร่อย ๆ อยู่ที่ไหน" ก็ได้รับคำตอบและคำแนะนำเส้นทางพร้อมพิกัดให้ ใจแกดีจริง ๆ กลัวเราจะไปไม่ถูก ขี่คุยนำเราไปด้วย
The first trip of 2565 (21).JPG (42.77 KiB) เข้าดูแล้ว 1652 ครั้ง
ทำมังสวิรัติได้ด้วย อร่อยสมคำแนะนำ สั่งมาคนละจาน กินเสร็จผมสงสัย เข้าไปในครัวยกนิ้วให้แม่ครัวแล้วขอพิสูจน์อีกจานครับ รวมเป็น ๓ จาน อิ่มแอ้....
ทำมังสวิรัติได้ด้วย อร่อยสมคำแนะนำ สั่งมาคนละจาน กินเสร็จผมสงสัย เข้าไปในครัวยกนิ้วให้แม่ครัวแล้วขอพิสูจน์อีกจานครับ รวมเป็น ๓ จาน อิ่มแอ้....
143788.jpg (108.11 KiB) เข้าดูแล้ว 1652 ครั้ง
รุ่งเช้าวันที่ ๒๐/๑๐/๖๕ เป้าหมายของเราคือไป บ.วังหาดเพื่อพิสูจน์ความรู้ที่เราได้ค้นคว้ามา จะเป็นเช่นไรเพราะเหตุใดสถานที่แห่งนี้จึงไม่ได้รับการยอมรับ ทั้ง ๆ ที่ผู้รู้หลาย ๆ ได้ออกมาฟันธง
รุ่งเช้าวันที่ ๒๐/๑๐/๖๕ เป้าหมายของเราคือไป บ.วังหาดเพื่อพิสูจน์ความรู้ที่เราได้ค้นคว้ามา จะเป็นเช่นไรเพราะเหตุใดสถานที่แห่งนี้จึงไม่ได้รับการยอมรับ ทั้ง ๆ ที่ผู้รู้หลาย ๆ ได้ออกมาฟันธง
The first trip of 2565 (23).JPG (71.01 KiB) เข้าดูแล้ว 1652 ครั้ง
The first trip of 2565 (24).JPG
The first trip of 2565 (24).JPG (126.24 KiB) เข้าดูแล้ว 1652 ครั้ง
The first trip of 2565 (25).JPG
The first trip of 2565 (25).JPG (111.96 KiB) เข้าดูแล้ว 1652 ครั้ง
The first trip of 2565 (27).JPG
The first trip of 2565 (27).JPG (131.63 KiB) เข้าดูแล้ว 1652 ครั้ง
The first trip of 2565 (28).JPG
The first trip of 2565 (28).JPG (139.82 KiB) เข้าดูแล้ว 1652 ครั้ง
The first trip of 2565 (29).JPG
The first trip of 2565 (31).JPG
The first trip of 2565 (32).JPG
The first trip of 2565 (32).JPG (116.42 KiB) เข้าดูแล้ว 1652 ครั้ง
The first trip of 2565 (33).JPG
The first trip of 2565 (34).JPG
The first trip of 2565 (34).JPG (128.72 KiB) เข้าดูแล้ว 1652 ครั้ง
ดีใจครับ....เห็นป้ายบ้านวังหาดแล้ว ตอนที่เห็นป้ายนี้เวลา ๘.๐๐ น.ของวันที่ ๒๐/๑๐/๖๕ ช่วงเช้าเราออกจากรีสอร์ทที่พัก อาหารเช้าเรายังไม่ได้ทานประมาณว่าอีกสักชั่วโมงกว่า ๆ หาที่เหมาะ ๆ นั่งทานมื้อเช้ากัน ช่วงเช้าที่เข้าไปในตลาดไปหาร้านเจไม่มีเลย เขาบอกหมดเทศกาลแล้ว โชตดีเรายังพอซื้อหาได้จาก ๗-๑๑ ยังคงมีอาหารเจขายอยู่พูด ๆ ไปแล้ว ๗-๑๑ ก็เป็นอะไรที่สะดวกดีนะ
ดีใจครับ....เห็นป้ายบ้านวังหาดแล้ว ตอนที่เห็นป้ายนี้เวลา ๘.๐๐ น.ของวันที่ ๒๐/๑๐/๖๕ ช่วงเช้าเราออกจากรีสอร์ทที่พัก อาหารเช้าเรายังไม่ได้ทานประมาณว่าอีกสักชั่วโมงกว่า ๆ หาที่เหมาะ ๆ นั่งทานมื้อเช้ากัน ช่วงเช้าที่เข้าไปในตลาดไปหาร้านเจไม่มีเลย เขาบอกหมดเทศกาลแล้ว โชตดีเรายังพอซื้อหาได้จาก ๗-๑๑ ยังคงมีอาหารเจขายอยู่พูด ๆ ไปแล้ว ๗-๑๑ ก็เป็นอะไรที่สะดวกดีนะ
The first trip of 2565 (35).JPG (136.57 KiB) เข้าดูแล้ว 1652 ครั้ง
ครูตชด.เป็นผู้ให้และปกป้อง<br />ผองพี่น้องถิ่นกันดารนานนักหนา<br />เพราะสายเลือดผูกรักชาติแลประชา<br />สองแขนอ้าโอบประคองป้องผองภัย<br />                    <br />โดย Taweeb Kuljan<br /><br />ขอขอบพระคุณ คุณพี่ ทวีป ฯ ที่มอบกลอนเป็นกำลังใจให้ครู ตชด.ครับ<br /><br />และเรามาติดตามความเสียสละความสุขส่วนตัวในวัยหนุ่ม คิดว่าน้อยคนจะทำได้ แต่ ตชด.ต้องทำให้ได้เพราะนี่คือหน้าที่และความรับผิดชอบ รุ่น ๒ ตชด.เรามีเต็มเปี่ยมไม่ว่าจะหน่วยรบ หน่วยจิตวิทยาหรือหน่วยสนับสนุน ฯ  <br /><br />ตอนที่ ๑๐<br /><br />วันเวลาหมุนผ่านไป ถึงเวลาที่ผมต้องปิด รร. ต้องลงไปรับเงินเดือนและทำเบิกอุปกรณ์บางอย่างที่ยังขาดอยู่ ก่อนที่ผมจะปิด รร. ผมบันทึกไว้ว่าขาดอะไรบ้างที่ต้องทำเบิกเพิ่มเติ่ม ก่อนวันที่ผมจะปิด รร ประมาณห้าวัน   เด็กนักเรียนคนหนึ่งเดินพลัดตกจากที่สูง แขนขวาหัก พ่อของเด็กนักเรียนเอาไปหาหมอผีประจำหมู่บ้าน ใช้ไม้ไผ่ตัดเป็นเฝือกครอบแขนขวาไว้ ใช้น้ำมันงาทาให้ เด็กชายจะเสือและเด็กชายจะกล้ามาบอกผม ผมพร้อมเด็กชายทั้งสองรีบไปที่บ้านของเด็กนักเรียนที่แขนหัก ได้สอบถามเรื่องราวต่าง ๆ โดยเด็กชายจะเสือแปลให้ฟังพอเข้าใจ ผมได้เอายาแก้ปวดไว้ให้กิน จากนั้นเดินกลับบ้านพัก <br /><br />ผมและเด็กนักเรียนทั้งสองก็ปฎิบัติภารกิจของตนเองที่ต้องปฎิบัติทุกวัน แสงอาทิตย์ดับแสงพระจันทร์ขึ้นมาส่องแสงแทน ไม่กี่ชั่งโมงก็เริ่มภาคบันเทิงของหนุ่มสาวเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา ผมต้องไปนั่งเป็นองค์ประธานพร้อมด้วยสมุนซ้ายขวาเหมือนเดิม เสร็จภาคบันเทิงก็เข้าภาคนอน มันเป็นวัตรจักรอย่างนี้หมุนไปจากวันเป็นเดือน สามเดือน หกเดือน ความสัมพันธุ์ของผมกับชาวบ้านเกิดความสนิทสนม   ชาวบ้านมีเรื่องทุกข์อะไรก็มาพูดคุย กับมีหลายเรื่องที่ผมพอช่วยได้ บางเรื่องก็ช่วยไม่ได้ ส่วนมากจะเป็นเรื่องเจ็บไข้ป่วย ผมก็จัดยาเม็ดแก้ไข้เจ็บท้อง หรือปวดเมื่อย ผมจะมียาให้ ยาเหล่านี้ผมเบิกมาจากโรงหมอที่กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน เขต 5 บางครั้งชาวบ้านอยากได้เม็ดพันธุ์พืชมาปลูกผมก็จะไปขอจากเกษตรที่สำนักเกษตรที่เขามีพันธุ์แจกจ่าย <br /><br />ก่อนหนึ่งวันที่จะปิด รร. ผมเดินไปที่บ้านของเด็กนักเรียนที่แขนหัก ดูอาการลักษณะแขนรู้สึกว่าไม่ดีขึ้น ผมจึงชวนให้เดินทางไปโรงหมอที่กองกำกับการตำรวจตระเวนชาย เขต 5 ค่ายดารารัศมี อำเภอแม่ริม พร้อมกับผมโดยบอกให้พ่อแม่เด็กนักเรียนทราบถึงความประสงค์ของผม พ่อแม่เด็กนักเรียนก็เห็นชอบด้วย ผมจึงนัดหมายเด็กนักเรียนให้เดินทางไปพร้อมกับผมในวันที่ รร. ปิด เมื่อวันที่นัดหมายกันผมเด็กนักเรียนพร้อมชาวบ้านประมาณ ห้าหกคนพร้อมด้วยพ่อของเด็กนักเรียน เริ่มเดินลงจากภูเขาหมู่บ้าน มุ่งหน้าไปพื้นราบตามจุดหมายปลายทางคือหมู่บ้านแม่สาว<br />             <br />เมื่อเดินถึงจุดหมายปลายทาง ผมนัดให้พ่อของเด็กนักเรียนมาพบในวันที่ 5 ของเดือนหน้า ได้พูดคุยกันจนเข้าใจทั้งสองฝ่าย ทั้งหมดนั่งพักล้างหน้าล้างตาผมสังเกตตลอดการเดินลงจากหมู่บ้านลงมา เด็กนักเรียนมีความรู้ตื่นเต้นดูแข็งแรงดี นั่งพักประมาณสัก 10 นาที ก็มีรถโดยสารประจำทางมาถึง ผมและเด็กนักเรียนได้นั่งรถโดยสารประจำทาง ได้ขับเคลื่อนออกไปผมนั่งอยู่ติดกับเด็กนักเรียนเพื่อป้องไม่ให้เด็กนักเรียนได้รับอันตรายจากการจะไปกระแทกกับของแข็ง เด็กนักเรียนรู้สึกตื่นเต้นกับสภาพการณ์ที่ผ่านเห็น<br /><br /> เมื่อรถโดยสารประจำทางถึงเป้าหมายปลายทางคนโดยสารต่างลงรถได้เดินแยกไปตามเป้าของตนเอง ผมพาเด็กนักเรียนมาขึ้นรถโดยสารที่มุ่งหน้าไปตัวจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อได้เวลารถโดยสารได้ขับเคลื่อนไปตามถนนสายฝางเชียงใหม่ ผมสังเกตเด็กนักเรียนจะมองไปด้านหน้าต่างรถโดยสารตลอดเส้นทางที่รถยนต์โดยสารแล่นผ่าน รถยนต์โดยสารใช้เวลาประมาณ สามถึงสี่ชั่งโมง ก็แล่นมาถึงอำเภอแม่ริม ผมบอกให้รถยนต์โดยสารหยุดป้ายที่หน้าอำเภอแม่ริม จากนั้นผมพาเด็กนักเรียนลงจากรถยนต์โดยสาร ได้เดินไปยังบ้านของผมเดินประมาณ 500 เมตร <br /><br />เมื่อถึงบ้านผมได้ให้เด็กนักเรียนเข้าพักบนบ้านของผม แม่ผมถามว่าเด็กนักเรียนเป็นอะไร ที่แขนใช้ผ้าพันไว้ ผมบอกว่าตกที่สูงแขนหัก พรุ่งนี้จะเอาไปรักษาในค่ายดารา ฯ จากนั้นให้เด็กนักเรียนไปอาบน้ำเสร็จแล้วจะได้มากินข้าว จะได้พักผ่อนเพราะเดินทางมาไกล จะได้พักผ่อนให้เต็มที่<br />         รุ่งเช้าเวลาประมาณ 09.00 น ผมได้พาเด็กนักเรียนเดินเข้าไปที่ค่ายดารา ฯ ไปที่โรงหมอไปพบแพทย์สนาม แพทย์ได้ตรวจดูบาดแผลตรวจสอบกระดูกที่แขนขวา จากนั้นแพทย์บอกผมว่าต้องดึงกระดูกแขนขวาจะเจ็บหน่อย แล้วจะเข้าเผือกไว้ผมจึงบอกเด็กนักเรียนให้ทราบ จากนั้นแพทย์เขาดำเนินการ ดึงแขนขวาของเด็กนักเรียน ไม่มีเสียงร้องจากเด็กนักเรียนแม้แต่น้อย ผมดูที่ใบหน้าเด็กนักเรียนที่หยดน้ำตาไหลออกมา เสียงกัดฟันแน่นจนเห็นที่แก้มสันเป็นนูน เมื่อแพทย์บอกว่ากระดูกเข้าที่แล้วแพทย์จึงนำเข้าห้องทำเผือก<br /><br /> ผมนั่งอยู่ที่หน้าห้องแพทย์รอ นั่งอยู่ไม่นานนักก็เห็นแพทย์พาเด็กนักเรียนเดินออกห้องมาพร้อมกัน แพทย์บอกว่าได้เข้าเผือกให้แล้ว และได้ให้ยาแก้ปวดเอาไว้ให้ ก่อนที่แพทย์จะเดินจากไปได้คุยกับเด็กนักเรียนว่า เก่งมากไม่มีเสียงร้องสักคำเก่งมาก จากนั้นผมก็พาเด็กนักเรียนกลับบ้านของผม<br />           <br />วันต่อมาผมฝากเด็กนักเรียนไว้กับแม่ของผม บอกว่าช่วยดูแลให้หน่อยเพราะจะไปเบิกสิ่งของที่จะต้องนำไปใช้ที่ รร. และจะซื้อสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น จากนั้นผมก็ไปทำธุระของตนเองที่กำหนดไว้ จนได้ครบทุกอย่าง วันต่อมาผมพาเด็กนักเรียนเข้าไปที่แผนก 5 เด็กนักเรียนบอกผมว่าอยากเห็นเครื่องบิน ความหมายของเด็กนักเรียนอยากเห็น ฮ เครื่องบิน ที่เด็กนักเรียนเคยเห็นบางครั้งมี ฮ. บินผ่านหมู่บ้าน ผมจึงพาไปดูโดยขออนุญาตหัวหน้าฝูงบินก่อน หัวหน้าได้อนุญาตให้ดูได้ ผมพาไปดูใกล้ ๆ ให้เอามือจับส่วนต่าง ๆ ภายนอกเครื่อง ฮ. เด็กนักเรียนได้จับได้ลูบได้ถืออุปกรณ์เครื่อง ฮ. เด็กนักเรียนรู้สึกตื่นเต้นต่อการได้เห็น ได้จับได้ลูบ <br /><br />ผมเห็นเด็กนักเรียนดูจนจะเบื่อ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที จากนั้นผมก็พากลับบ้าน ความรู้สึกเด็กนักเรียนมีความสุขใจมาก พูดถึงแต่ ฮ. อยู่ตลอด ผมนึกอยู่ในใจว่ากลับขึ้นไป รร. ก็จะไปเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังทั้งวัน และคงจะไปเล่าให้พ่อแม่พี่น้องฟังด้วย<br /><br />           เมื่อครบกำหนดนัดหมายกับชาวบ้านไว้ ผมพร้อมเด็กนักเรียนก็เดินทางกลับ รร. โดยใช้รถยนต์ประจำทางสายเชียงใหม่ฝาง เมื่อได้เวลาที่รถยนต์โดยสารมาถึงจุดป้ายหน้าอำเภอแม่ริม ผมและเด็กนักเรียนขึ้นบนรถยนต์เรียบร้อย  รถยนต์ก็แล่นไปตามถนนสายเชียงใหม่ฝาง ใช้เวลาประมาณสี่ชั่วโมงเพราะตอนกลับจะเป็นทางขึ้นเขาลงเขาตลอดระยะทาง เมื่อรถยนต์ถึงปลายทางที่ฝาง ผมและเด็กนักเรียนลงรถยนต์ก็พาไปกินข้าวเพราะเกือบจะเทียงวันแล้ว<br /><br /> เมื่อเสร็จจากการกินข้าวแล้วได้ขึ้นรถยนต์โดยสารสายฝาง-แม่อาย เมื่อรถยนต์โดยสารมาถึงบ้านแม่สาวที่จุดนัดพบ ลงรถยนต์เดินไปที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านแม่สาวจุดนัดพบ ได้พบกลุ่มชาวบ้านประมาณ 5-6 คนนั่งอยู่ในบ้านผู้ใหญ่นั่งรออยู่ ผมและเด็กนักเรียนมาถึง ชาวบ้านได้เข้ามาคุยกับผม  ส่วนพ่อของเด็กนักเรียนได้สอบถามลูกชายว่าเป็นอย่างไร เด็กนักเรียนตอบคำถามพ่ออย่างมีความสุข ทั้งพ่อและลูกชายต่างยิ้มแย้มแจ่มใส ชาวบ้านบางคนจับแขนที่ใส่เผือกเอามือเคาะดู เมื่อได้เวลาก็เริ่มออกเดินกลับสู่ยอดเขาต่อไป <br /><br />ตลอดระยะทางเสียงพูดของเด็กนักเรียน จะพูดคุยเสียงดังสลับกับแสดงท่าทางบินของ ฮ. ที่ได้เห็นมา สลับคำถามของกลุ่มชาวบ้านที่เดินมาด้วย เด็กนักเรียนจะพูดคุยเป็นภาษามูเซอผมเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ส่วนมากจะไม่ค่อยรู้เรื่องเลย รู้เป็นบางคำเท่านั้น    ใช้เวลาการเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง ก็มาถึงหมู่บ้าน ผมแยกเข้าบ้านพัก  ก็พบเด็กชายจะกล้าและเด็กชายจะเสือ นั่งรออยู่บนบ้านพัก พร้อมด้วยกระบอกน้ำ 5- 6 กระบอก <br /><br />เมื่อทำธุระของตนเองเสร็จเด็กชายจะกล้าเอากระบอกน้ำมาให้ใช้ล้างหน้าล้างตัว ก็เหมือนอาบน้ำครึ่งตัวนะครับ เสร็จแล้วก็รู้สึกเย็นสบายขึ้นมากทีเดียว จากนั้นผมไปหยิบขนมอมให้เด็กนักเรียนทั้งสอง เมื่อได้ขนมอมจัดการเอาเข้าปากอมจนเห็นแก้มตุ้ย ผมสอบถามว่าตอนที่ครูไม่อยู่มีกลุ่มหนุ่มสาวมาเล่นเต้นรำหรือไม่ เด็กนักเรียนทั้งสองบอกว่ามีมาเต้นรำ แต่ไม่มากเท่าที่ครูอยู่ คืนนี้เขารู้ว่าครูมาคงจะมามากเหมือนเดิม <br /><br />พอแสงพระอาทิตย์ลับฟ้าแสงพระจันทร์ก็เข้ามาแทนที่ เวลาผ่านไปไม่นานนัก ภาคบันเทิงก็เริ่มขึ้นมีเสียงแคนสั้น เสียงร้องเพลง เสียงเต้นกันเป็นกลุ่ม ๆ ตามประเพณีของชนเผ่า เสียงหัวเราะของชายหญิงและเสียงแทรกของเด็กชายหญิงดังแทรกมา เสียงแทรกที่เป็นเสียงเด็กชายเด็กหญิงก็ไม่ใช่ใคร ก็เสียงของนักเรียนของผมเอง เสียงบางเสียงผมจำได้ เมื่อหมดเวลาภาคบันเทิงเสียงทุกอย่างก็เงียบลงเพราะต่างคนแยกกลับบ้านตนเอง ผมก็เข้านอนตามปกติเหมือนทุกครั้ง ภาคนอนของผมและเด็กชายทั้งสองต้องระมัดระวังศัตรูตัวร้ายที่พยามจะสอดแซงช่องทางรูที่สามารถสอดแทรกได้ เมื่อทุกอย่างปิดช่องทางแล้วก็ไม่สามารถเข้าช่องได้ศัตรูตัวร้ายคือ ลมหนาว เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็นอนหลับได้สบายห้ามขยับเปิดช่องทางเข้าก็แล้วกัน<br />              <br /> เสียงไก่ป่าขันดังมาเป็นนาฬิกาปลุกธรรมชาติ บอกเวลาว่าเป็นวันรุ่งใหม่แล้ว เตรียมดำเนินชีวิตในวันต่อไป จากนั้นผมและเด็กนักเรียนทั้งสองก็ตื่นลุกมาทำภารกิจของตน ได้เวลาก็เดินไปที่ รร. ทำภารกิจของตนเองเหมือนทุกครั้ง วันนี้ผมสังเกตเด็กนักเรียนที่เอาไปเข้าเผือก มีเด็กนักเรียนทั้งชายและหญิงต่างลุมล้อมสอบถามที่ได้ไปบ้านครู ไปเห็น ฮ. ในค่ายดารารัศมี ฯ และได้เห็นสิ่งต่าง ๆ ที่แปลกตา บางคนเอาดินสอที่ใช้เขียนเคาะแขนที่เข้าเผือก ทั้งวันผมจะปล่อยให้เขาได้พูดคุยกับเพื่อนนักเรียน เมื่อเสร็จภาระการสอนเสร็จ รร. เลิก นักเรียนเข้าแถวเดินกลับบ้าน <br />            <br /><br /> วันเวลาผ่านไปชาวบ้านเริ่มเข้ามาพูดคุยกับผมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนผมเดินไปทางไหนชาวบ้านจะเข้ามาคุยด้วย พร้อมกับเอาพืชผลทางการเกษตรมาให้ ตลอดทางที่ได้พบปะกับชาวบ้าน บางคนก็เอาเนื้อหมูตากแห้ง เนื้อสัตว์ป่าที่ชาวบ้านล่ามาได้และได้นำตากแห้งบ้าง ผมจำเป็นยอมรับของฝากเหล่านี้ ถ้าเรา ปฎิเสธการให้สิ่งของชาวบ้านเขาถือว่าเรารังเกียจเขา อาหารบางอย่างผมกินไม่ทัน เช่น พวกผักต่าง ๆ มากเกินไป ตอนกลางคืนต้องแอบโยนให้หมูของชาวบ้านที่ปล่อยไปตามหมู่บ้าน มีหมูหนึ่งตัวซึ่งเป็นเพศผู้ ตัวโตมักจะนอนอยู่ใต้ถุงบ้านพัก ผมจะแอบโยนผักให้ตลอด มันก็กินเสียด้วย ตอนหาหลักฐานจึงไม่ค่อยเจอ<br />              <br />วันนี้เป็นวันหยุด รร. เป็นวันเสาร์ ตอนช่วงเช้าประมาณ 10 โมงเช้า ขณะที่ผมกับเด็กนักเรียนทั้งสองนั่งเล่นอยู่บนบ้านพัก ได้มีชาวบ้านสองคนได้เดินมาหาผมขึ้นมาบนบ้านพัก ได้นั่งคุยกับผมประมาณสิบนาที หนึ่งในสองชาวบ้านดังกล่าวได้พูดขอร้องให้ผมทราบว่า เขาได้ทำไร่ข้าวโพดอยู่ห่างจากหมู่บ้านเดินขึ้นไปทางเหนือของหมู่บ้าน ได้ถูกหมีสองตัวมากินข้าวโพดเสียหายไปจำนวนมาก และได้ชี้ไปที่หูของเขาว่าถูกหมีสองตัวนี้ทำร้ายเอาเมื่อปีที่ผ่านมา ผมดูที่หูชาวบ้านเห็นใบหูหายไปมีรอยแผลเป็นทางยาว ผมได้สอบถามข้อมูลทุกอย่างให้ละเอียด จึงทราบว่าหมีคู่นี้เป็นหมีเพศเมียและเพศผู้ มีลักษะดุร้าย ชาวบ้านหลายคนเมื่อพบหมีคู่นี้จะต้องหนีสุดชีวิต ผมจึงตกลงเพื่อไปยิงหมีคู่นี้ นึกในใจว่าถ้าไม่รับปากชาวบ้าน คงหมดความนับถือของชาวบ้านและเสียเกียรติตำรวจตระเวนชายแดนหมด จึงต้องแข็งใจรับปาก และได้นัดหมายกันกับชาวบ้านทั้งสองคนว่าพรุ่งนี้ตอนบ่าย ๆ มาพร้อมกันที่บ้านพัก<br /><br />               วันรุ่งขึ้นตอนบ่ายชาวบ้านทั้งสองก็มาตามนัด  พร้อมอาวุธปืนแก๊ปคนละกระบอก ผมพร้อมอาวุธปืนประจำกายคือปืนคาร์บิน พร้อมด้วยกระสุนเต็มแม็กกาซีน  สองแม็กกาซีนๆ ละสามสิบนัด ผมเตรียมพร้อมนึกในใจว่าเอากระสุนไปมากได้เท่าที่จะมากได้ ผมสั่งให้เด็กนักเรียนทั้งสองว่าถึงเวลากินข้าวกินให้หมดไม่ต้องเหลือไว้ให้ครู เพราะผมก่อนเดินทางก็กินข้าวจนอิ่มแล้ว ชาวบ้านสองคนบอกว่าเขาห่อข้าวมาเผื่อครูด้วย<br />               <br /> ออกเดินเวลา 14.00 น ผมทั้งชาวบ้านออกเดินทางขึ้นไปทางทิศเหนือของหมู่บ้าน ชาวบ้านเป็นผู้นำทาง เราทั้งสามเดินลัดสันเขาไปตามทางเล็ก ๆ เดินขึ้นเขาไปเป็นระยะ จนมาถึงไร่ข้าวโพดของชาวบ้าน ชาวบ้านได้นำผมสำรวจความเสียหายที่ถูกหมีสองตัวแกะกินเป็นแนว หมีมันจะเริ่มกินข้าวโพดจากท้ายไร่และจะกินมาถึงหัวไร่ จากนั้นชาวบ้านพาผมไปที่ห้างคือกระท่อมเล็ก ๆ ที่ทำไว้พักผ่อนหรือเก็บอุปกรณ์การเกษตรบางอย่าง ผมเห็นฟางข้าวโพดกองอยู่จำนวนมาก ผมสำรวจภูมิสภาพแวดล้อม จากหัวไร่จะราดเอียงไปถึงปลายไร่ ผมจึงตั้งป้อมที่ห้างโดยเอาฟางข้าวโพดเอามากองเป็นแนว  ใช้สำหรับจะป้องกันเวลาหมีวิ่งเข้ามาหา เราช่วยกันทำแนวป้องกันจนแน่ใจว่าคงปลอดภัย แต่มันไม่เต็มร้อยเปอร์เซนต์ แต่ยังดีกว่าไม่ทำแนวป้องกันไว้<br />              <br /> เมื่อใกล้แสงดวงอาทิตย์จะลับหายจากขอบฟ้า ผมได้ทำความเข้าใจกับชาวบ้านทั้งสองว่า ต้องกินข้าวก่อนแสงดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้า เมื่อเข้าเวลากลางคืนห้ามก่อกองไฟ ห้ามสูบบุหรี่ ต้องนั่งสังเกตทุกอย่างที่เคลื่อนไหว ถ้าไม่ใช่หมีสองตัวนั้นห้ามลุกขึ้นจากที่ซ่อนตัว เมื่อทุกคนรับฟังและเข้าใจทุกอย่าง ทุกคนเข้าประจำตำแหน่งของตนเอง ผมนั่งมองไปรอบ ๆ ไร่ข้าวโพด เมื่อแสงดวงอาทิตย์หมด  แสงดวงจันทร์ส่องแสงสว่างไปทั่ว วันนี้เคราะห์ดีเป็นวันข้างแรม ดวงจันทร์เริ่มลอยเต็มดวง ส่องแสงไปทั่วสว่างทำให้เห็นอะไร ๆ ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ มองไปที่ปลายไร่ข้าวโพดจะเห็นลมพัดใบข้าวโพดปลิวทำให้เกิดเสียงเป็นระยะตามแรงลมพัด <br /><br />เราทั้งหมดนั่งเงียบนิ่ง ได้ยินเสียงขยับตัวของชาวบ้านเสียงเบา ๆ ในเวลากลางคืนในป่ามันช่างเงียบสงัดจริง ๆ ขยับตัวเบา ๆ ก็ได้ยินเสียง เราทั้งหมดนั่งซุ่มเป็นเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ก็ไม่ปรากฎตัวของหมีสองตัวเลย ผมมองดูนาฬิกามันเป็นเวลาเทียงคืนกว่าแล้ว ก็ไม่เห็นหมีสองตัวปรากฎตัวให้เห็นเลย ผมนึกอยู่ในใจว่าวันนี้เจ้าหมีสองตัวคงไม่มาให้ยิงแล้ว ผมก็ทนนั่งซุ่มต่อไปมองนาฬิกาเกือบตีสองแล้ววะทำไหมไม่มาวะ มองดูปลายไรข้าวโพดก็ไม่ปรากฎตัวหมีสองตัว แสงดวงจันทร์ส่องแสงสว่างไปทั่วไร่ข้าวโพด สักครู่ได้ยินเสียงชาวบ้านคนที่ถูกหมีตบเอา พูดกระซิบบอกผมว่า มันมาแล้วมันกินข้าวโพดอยู่ทางขวามือของผม.<br /><br /> ผมหันไปดูก็เห็นจริง ๆผมพูดเบา ๆ บอกชาวบ้านทั้งสองว่ารอให้มันกินข้าวโพดเข้ามาใกล้ ๆ อยู่ในระยะแนวปืนก่อน ผมกระซิบบอกอีกว่าถ้ามันกินข้าวโพดเข้ามาใกล้ ๆ ให้ช่วยกันตบมือให้เกิดเสียงดัง ๆ สัญชาติญาณสัตว์ที่ดุร้ายอย่างหมีมันจะวิ่งเข้าหา ได้ระยะแล้วมันลุกยืนขึ้น เพื่อจะใช้มือตบคู่ต่อสู้ ตอนนั้นจะใช้ปืนยิงได้ถนัดชัดเจน เมื่อตกลงเป็นที่เข้าใจกัน ทุกคนเฝ้าระวังคอยจังหวะที่หมีทั้งคู่จะเข้าใกล้ที่สุด ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีหมีทั้งสองก็เข้ามาใกล้ระยะปืน ผมจึงให้สัญญาตบมือชาวบ้านทั้งสองจึงช่วยกันตบมือ เมื่อหมีทั้งสองได้ยินเสียงตบมือ มันวิ่งเข้าหาเสียงตบมือ เมื่อเข้าใกล้หมีหนึ่งสองตัวได้ลุกขึ้น กางแขน(ตีนคู่หน้า) ออกเห็นเล็บหมีขาววาว หน้าอกหมีเป็นรูปตัววีสีขวาเห็นเด่นชัด ผมชิงจังหวะที่หมีลุกยืนกางแขนกางเล็บ ยิงกระสุนออกเป็นชุด ชุดแรกยิงประมาณ ห้าถึงหกนัด เห็นกระสุนพุ่งเข้าหน้าอกซึ่งเป็นตัววี แรงปะทะของกระสุนทำให้เจ้าหมีตัวที่ถูกยิงกลิ้งตกไปตามแนวไร่ ส่วนหมีอีกตัวผมไม่ได้ยิงเพราะอยู่ไกลแนวปืน ผมจะหันมายิงปรากฎว่าหมีอีกตัวได้วิ่งหลบหายไปกลับความมืด <br /><br />เมื่อผมยิงหมีเสร็จแล้วผมห้ามไม่ให้เดินตามไปดู เพราะถ้าหมีไม่ตายมันจะเพิ่มความดุร้ายอีกเท่าตัว จึงบอกว่ารอให้ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วค่อยตามรอยไป   พอแสงดวงอาทิตย์ขึ้นพ้นขอบฟ้า ผมและชาวบ้านก็นั่งรอดูเหตุการณ์อยู่ที่ห้าง รอจนแน่ใจว่าคงจะปลอดภัยแล้ว ทุกคนก็ขยับออกมาจากที่กำบังตัว เดินสำรวจอย่างช้า ๆ เดินตามรอยตาก็มองไปรอบ ๆ เดินหาตัวหมีที่ถูกยิงเดินหาไปทั่วบริเวณไม่พบแม้แต่รอยเลือด มีแต่รอยคูดเป็นแนว ก็ไม่พบหมีสักตัวเลย <br /><br />เมื่อไม่พบจึงสรุปได้สองกรณี 1 ยิงถูกหมีแต่ไม่ระคายผิว 2 ยิงไม่ถูกหมี ในกรณีที่สองผมและชาวบ้านทั้งสองยืนยันว่ายิงถูกหมี แต่หมีมันไม่ตาย เมื่อสรุปได้จึงเดินทางกลับหมู่บ้าน เมื่อถึงหมู่บ้านชาวบ้านต่างก็เข้าสอบถามชาวบ้านทั้งสอง ส่วนผมเดินกลับเข้าบ้านพัก เด็กชายจะเสือและเด็กชายจะกล้านั่งรอผมอยู่บนบ้านพัก เมื่อเห็นผมเดินขึ้นบ้านพักได้เอากระบอกน้ำมาให้ผมล้างหน้าล้างตัว เสร็จแล้วผมบอกเด็กชายทั้งสองว่าครูจะนอนพักผ่อน. จากนั้นเด็กชายทั้งสองก็แยกกันไปทำธุระของตนเอง.  ผมมาตื่นอีกครั้งประมาณเทียงวัน โดยชาวบ้านทั้งสองที่ไปล่าหมีกับขึ้นมาบนบ้านพัก ได้นำต้มหมู เนื้อแห้ง ไข่ไก่ประมาณห้าฟองพร้อมกับข้าวสารมาให้ผมผมจำต้องรับไว้เป็นสินน้ำใจของชาวบ้าน ผมเรียกเด็กนักเรียนทั้งสองมารับสิ่งที่ชาวบ้านนำมาให้ เอาไปทำกับข้าวกินกัน ใช้เวลาไม่นานนักการปรุงอาหารก็เสร็จผมกับเด็กนักเรียนทั้งสองร่วมกันกินจนอิ่ม
ครูตชด.เป็นผู้ให้และปกป้อง
ผองพี่น้องถิ่นกันดารนานนักหนา
เพราะสายเลือดผูกรักชาติแลประชา
สองแขนอ้าโอบประคองป้องผองภัย

โดย Taweeb Kuljan

ขอขอบพระคุณ คุณพี่ ทวีป ฯ ที่มอบกลอนเป็นกำลังใจให้ครู ตชด.ครับ

และเรามาติดตามความเสียสละความสุขส่วนตัวในวัยหนุ่ม คิดว่าน้อยคนจะทำได้ แต่ ตชด.ต้องทำให้ได้เพราะนี่คือหน้าที่และความรับผิดชอบ รุ่น ๒ ตชด.เรามีเต็มเปี่ยมไม่ว่าจะหน่วยรบ หน่วยจิตวิทยาหรือหน่วยสนับสนุน ฯ

ตอนที่ ๑๐

วันเวลาหมุนผ่านไป ถึงเวลาที่ผมต้องปิด รร. ต้องลงไปรับเงินเดือนและทำเบิกอุปกรณ์บางอย่างที่ยังขาดอยู่ ก่อนที่ผมจะปิด รร. ผมบันทึกไว้ว่าขาดอะไรบ้างที่ต้องทำเบิกเพิ่มเติ่ม ก่อนวันที่ผมจะปิด รร ประมาณห้าวัน เด็กนักเรียนคนหนึ่งเดินพลัดตกจากที่สูง แขนขวาหัก พ่อของเด็กนักเรียนเอาไปหาหมอผีประจำหมู่บ้าน ใช้ไม้ไผ่ตัดเป็นเฝือกครอบแขนขวาไว้ ใช้น้ำมันงาทาให้ เด็กชายจะเสือและเด็กชายจะกล้ามาบอกผม ผมพร้อมเด็กชายทั้งสองรีบไปที่บ้านของเด็กนักเรียนที่แขนหัก ได้สอบถามเรื่องราวต่าง ๆ โดยเด็กชายจะเสือแปลให้ฟังพอเข้าใจ ผมได้เอายาแก้ปวดไว้ให้กิน จากนั้นเดินกลับบ้านพัก

ผมและเด็กนักเรียนทั้งสองก็ปฎิบัติภารกิจของตนเองที่ต้องปฎิบัติทุกวัน แสงอาทิตย์ดับแสงพระจันทร์ขึ้นมาส่องแสงแทน ไม่กี่ชั่งโมงก็เริ่มภาคบันเทิงของหนุ่มสาวเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา ผมต้องไปนั่งเป็นองค์ประธานพร้อมด้วยสมุนซ้ายขวาเหมือนเดิม เสร็จภาคบันเทิงก็เข้าภาคนอน มันเป็นวัตรจักรอย่างนี้หมุนไปจากวันเป็นเดือน สามเดือน หกเดือน ความสัมพันธุ์ของผมกับชาวบ้านเกิดความสนิทสนม ชาวบ้านมีเรื่องทุกข์อะไรก็มาพูดคุย กับมีหลายเรื่องที่ผมพอช่วยได้ บางเรื่องก็ช่วยไม่ได้ ส่วนมากจะเป็นเรื่องเจ็บไข้ป่วย ผมก็จัดยาเม็ดแก้ไข้เจ็บท้อง หรือปวดเมื่อย ผมจะมียาให้ ยาเหล่านี้ผมเบิกมาจากโรงหมอที่กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน เขต 5 บางครั้งชาวบ้านอยากได้เม็ดพันธุ์พืชมาปลูกผมก็จะไปขอจากเกษตรที่สำนักเกษตรที่เขามีพันธุ์แจกจ่าย

ก่อนหนึ่งวันที่จะปิด รร. ผมเดินไปที่บ้านของเด็กนักเรียนที่แขนหัก ดูอาการลักษณะแขนรู้สึกว่าไม่ดีขึ้น ผมจึงชวนให้เดินทางไปโรงหมอที่กองกำกับการตำรวจตระเวนชาย เขต 5 ค่ายดารารัศมี อำเภอแม่ริม พร้อมกับผมโดยบอกให้พ่อแม่เด็กนักเรียนทราบถึงความประสงค์ของผม พ่อแม่เด็กนักเรียนก็เห็นชอบด้วย ผมจึงนัดหมายเด็กนักเรียนให้เดินทางไปพร้อมกับผมในวันที่ รร. ปิด เมื่อวันที่นัดหมายกันผมเด็กนักเรียนพร้อมชาวบ้านประมาณ ห้าหกคนพร้อมด้วยพ่อของเด็กนักเรียน เริ่มเดินลงจากภูเขาหมู่บ้าน มุ่งหน้าไปพื้นราบตามจุดหมายปลายทางคือหมู่บ้านแม่สาว

เมื่อเดินถึงจุดหมายปลายทาง ผมนัดให้พ่อของเด็กนักเรียนมาพบในวันที่ 5 ของเดือนหน้า ได้พูดคุยกันจนเข้าใจทั้งสองฝ่าย ทั้งหมดนั่งพักล้างหน้าล้างตาผมสังเกตตลอดการเดินลงจากหมู่บ้านลงมา เด็กนักเรียนมีความรู้ตื่นเต้นดูแข็งแรงดี นั่งพักประมาณสัก 10 นาที ก็มีรถโดยสารประจำทางมาถึง ผมและเด็กนักเรียนได้นั่งรถโดยสารประจำทาง ได้ขับเคลื่อนออกไปผมนั่งอยู่ติดกับเด็กนักเรียนเพื่อป้องไม่ให้เด็กนักเรียนได้รับอันตรายจากการจะไปกระแทกกับของแข็ง เด็กนักเรียนรู้สึกตื่นเต้นกับสภาพการณ์ที่ผ่านเห็น

เมื่อรถโดยสารประจำทางถึงเป้าหมายปลายทางคนโดยสารต่างลงรถได้เดินแยกไปตามเป้าของตนเอง ผมพาเด็กนักเรียนมาขึ้นรถโดยสารที่มุ่งหน้าไปตัวจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อได้เวลารถโดยสารได้ขับเคลื่อนไปตามถนนสายฝางเชียงใหม่ ผมสังเกตเด็กนักเรียนจะมองไปด้านหน้าต่างรถโดยสารตลอดเส้นทางที่รถยนต์โดยสารแล่นผ่าน รถยนต์โดยสารใช้เวลาประมาณ สามถึงสี่ชั่งโมง ก็แล่นมาถึงอำเภอแม่ริม ผมบอกให้รถยนต์โดยสารหยุดป้ายที่หน้าอำเภอแม่ริม จากนั้นผมพาเด็กนักเรียนลงจากรถยนต์โดยสาร ได้เดินไปยังบ้านของผมเดินประมาณ 500 เมตร

เมื่อถึงบ้านผมได้ให้เด็กนักเรียนเข้าพักบนบ้านของผม แม่ผมถามว่าเด็กนักเรียนเป็นอะไร ที่แขนใช้ผ้าพันไว้ ผมบอกว่าตกที่สูงแขนหัก พรุ่งนี้จะเอาไปรักษาในค่ายดารา ฯ จากนั้นให้เด็กนักเรียนไปอาบน้ำเสร็จแล้วจะได้มากินข้าว จะได้พักผ่อนเพราะเดินทางมาไกล จะได้พักผ่อนให้เต็มที่
รุ่งเช้าเวลาประมาณ 09.00 น ผมได้พาเด็กนักเรียนเดินเข้าไปที่ค่ายดารา ฯ ไปที่โรงหมอไปพบแพทย์สนาม แพทย์ได้ตรวจดูบาดแผลตรวจสอบกระดูกที่แขนขวา จากนั้นแพทย์บอกผมว่าต้องดึงกระดูกแขนขวาจะเจ็บหน่อย แล้วจะเข้าเผือกไว้ผมจึงบอกเด็กนักเรียนให้ทราบ จากนั้นแพทย์เขาดำเนินการ ดึงแขนขวาของเด็กนักเรียน ไม่มีเสียงร้องจากเด็กนักเรียนแม้แต่น้อย ผมดูที่ใบหน้าเด็กนักเรียนที่หยดน้ำตาไหลออกมา เสียงกัดฟันแน่นจนเห็นที่แก้มสันเป็นนูน เมื่อแพทย์บอกว่ากระดูกเข้าที่แล้วแพทย์จึงนำเข้าห้องทำเผือก

ผมนั่งอยู่ที่หน้าห้องแพทย์รอ นั่งอยู่ไม่นานนักก็เห็นแพทย์พาเด็กนักเรียนเดินออกห้องมาพร้อมกัน แพทย์บอกว่าได้เข้าเผือกให้แล้ว และได้ให้ยาแก้ปวดเอาไว้ให้ ก่อนที่แพทย์จะเดินจากไปได้คุยกับเด็กนักเรียนว่า เก่งมากไม่มีเสียงร้องสักคำเก่งมาก จากนั้นผมก็พาเด็กนักเรียนกลับบ้านของผม

วันต่อมาผมฝากเด็กนักเรียนไว้กับแม่ของผม บอกว่าช่วยดูแลให้หน่อยเพราะจะไปเบิกสิ่งของที่จะต้องนำไปใช้ที่ รร. และจะซื้อสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น จากนั้นผมก็ไปทำธุระของตนเองที่กำหนดไว้ จนได้ครบทุกอย่าง วันต่อมาผมพาเด็กนักเรียนเข้าไปที่แผนก 5 เด็กนักเรียนบอกผมว่าอยากเห็นเครื่องบิน ความหมายของเด็กนักเรียนอยากเห็น ฮ เครื่องบิน ที่เด็กนักเรียนเคยเห็นบางครั้งมี ฮ. บินผ่านหมู่บ้าน ผมจึงพาไปดูโดยขออนุญาตหัวหน้าฝูงบินก่อน หัวหน้าได้อนุญาตให้ดูได้ ผมพาไปดูใกล้ ๆ ให้เอามือจับส่วนต่าง ๆ ภายนอกเครื่อง ฮ. เด็กนักเรียนได้จับได้ลูบได้ถืออุปกรณ์เครื่อง ฮ. เด็กนักเรียนรู้สึกตื่นเต้นต่อการได้เห็น ได้จับได้ลูบ

ผมเห็นเด็กนักเรียนดูจนจะเบื่อ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที จากนั้นผมก็พากลับบ้าน ความรู้สึกเด็กนักเรียนมีความสุขใจมาก พูดถึงแต่ ฮ. อยู่ตลอด ผมนึกอยู่ในใจว่ากลับขึ้นไป รร. ก็จะไปเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังทั้งวัน และคงจะไปเล่าให้พ่อแม่พี่น้องฟังด้วย

เมื่อครบกำหนดนัดหมายกับชาวบ้านไว้ ผมพร้อมเด็กนักเรียนก็เดินทางกลับ รร. โดยใช้รถยนต์ประจำทางสายเชียงใหม่ฝาง เมื่อได้เวลาที่รถยนต์โดยสารมาถึงจุดป้ายหน้าอำเภอแม่ริม ผมและเด็กนักเรียนขึ้นบนรถยนต์เรียบร้อย รถยนต์ก็แล่นไปตามถนนสายเชียงใหม่ฝาง ใช้เวลาประมาณสี่ชั่วโมงเพราะตอนกลับจะเป็นทางขึ้นเขาลงเขาตลอดระยะทาง เมื่อรถยนต์ถึงปลายทางที่ฝาง ผมและเด็กนักเรียนลงรถยนต์ก็พาไปกินข้าวเพราะเกือบจะเทียงวันแล้ว

เมื่อเสร็จจากการกินข้าวแล้วได้ขึ้นรถยนต์โดยสารสายฝาง-แม่อาย เมื่อรถยนต์โดยสารมาถึงบ้านแม่สาวที่จุดนัดพบ ลงรถยนต์เดินไปที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านแม่สาวจุดนัดพบ ได้พบกลุ่มชาวบ้านประมาณ 5-6 คนนั่งอยู่ในบ้านผู้ใหญ่นั่งรออยู่ ผมและเด็กนักเรียนมาถึง ชาวบ้านได้เข้ามาคุยกับผม ส่วนพ่อของเด็กนักเรียนได้สอบถามลูกชายว่าเป็นอย่างไร เด็กนักเรียนตอบคำถามพ่ออย่างมีความสุข ทั้งพ่อและลูกชายต่างยิ้มแย้มแจ่มใส ชาวบ้านบางคนจับแขนที่ใส่เผือกเอามือเคาะดู เมื่อได้เวลาก็เริ่มออกเดินกลับสู่ยอดเขาต่อไป

ตลอดระยะทางเสียงพูดของเด็กนักเรียน จะพูดคุยเสียงดังสลับกับแสดงท่าทางบินของ ฮ. ที่ได้เห็นมา สลับคำถามของกลุ่มชาวบ้านที่เดินมาด้วย เด็กนักเรียนจะพูดคุยเป็นภาษามูเซอผมเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ส่วนมากจะไม่ค่อยรู้เรื่องเลย รู้เป็นบางคำเท่านั้น ใช้เวลาการเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง ก็มาถึงหมู่บ้าน ผมแยกเข้าบ้านพัก ก็พบเด็กชายจะกล้าและเด็กชายจะเสือ นั่งรออยู่บนบ้านพัก พร้อมด้วยกระบอกน้ำ 5- 6 กระบอก

เมื่อทำธุระของตนเองเสร็จเด็กชายจะกล้าเอากระบอกน้ำมาให้ใช้ล้างหน้าล้างตัว ก็เหมือนอาบน้ำครึ่งตัวนะครับ เสร็จแล้วก็รู้สึกเย็นสบายขึ้นมากทีเดียว จากนั้นผมไปหยิบขนมอมให้เด็กนักเรียนทั้งสอง เมื่อได้ขนมอมจัดการเอาเข้าปากอมจนเห็นแก้มตุ้ย ผมสอบถามว่าตอนที่ครูไม่อยู่มีกลุ่มหนุ่มสาวมาเล่นเต้นรำหรือไม่ เด็กนักเรียนทั้งสองบอกว่ามีมาเต้นรำ แต่ไม่มากเท่าที่ครูอยู่ คืนนี้เขารู้ว่าครูมาคงจะมามากเหมือนเดิม

พอแสงพระอาทิตย์ลับฟ้าแสงพระจันทร์ก็เข้ามาแทนที่ เวลาผ่านไปไม่นานนัก ภาคบันเทิงก็เริ่มขึ้นมีเสียงแคนสั้น เสียงร้องเพลง เสียงเต้นกันเป็นกลุ่ม ๆ ตามประเพณีของชนเผ่า เสียงหัวเราะของชายหญิงและเสียงแทรกของเด็กชายหญิงดังแทรกมา เสียงแทรกที่เป็นเสียงเด็กชายเด็กหญิงก็ไม่ใช่ใคร ก็เสียงของนักเรียนของผมเอง เสียงบางเสียงผมจำได้ เมื่อหมดเวลาภาคบันเทิงเสียงทุกอย่างก็เงียบลงเพราะต่างคนแยกกลับบ้านตนเอง ผมก็เข้านอนตามปกติเหมือนทุกครั้ง ภาคนอนของผมและเด็กชายทั้งสองต้องระมัดระวังศัตรูตัวร้ายที่พยามจะสอดแซงช่องทางรูที่สามารถสอดแทรกได้ เมื่อทุกอย่างปิดช่องทางแล้วก็ไม่สามารถเข้าช่องได้ศัตรูตัวร้ายคือ ลมหนาว เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็นอนหลับได้สบายห้ามขยับเปิดช่องทางเข้าก็แล้วกัน

เสียงไก่ป่าขันดังมาเป็นนาฬิกาปลุกธรรมชาติ บอกเวลาว่าเป็นวันรุ่งใหม่แล้ว เตรียมดำเนินชีวิตในวันต่อไป จากนั้นผมและเด็กนักเรียนทั้งสองก็ตื่นลุกมาทำภารกิจของตน ได้เวลาก็เดินไปที่ รร. ทำภารกิจของตนเองเหมือนทุกครั้ง วันนี้ผมสังเกตเด็กนักเรียนที่เอาไปเข้าเผือก มีเด็กนักเรียนทั้งชายและหญิงต่างลุมล้อมสอบถามที่ได้ไปบ้านครู ไปเห็น ฮ. ในค่ายดารารัศมี ฯ และได้เห็นสิ่งต่าง ๆ ที่แปลกตา บางคนเอาดินสอที่ใช้เขียนเคาะแขนที่เข้าเผือก ทั้งวันผมจะปล่อยให้เขาได้พูดคุยกับเพื่อนนักเรียน เมื่อเสร็จภาระการสอนเสร็จ รร. เลิก นักเรียนเข้าแถวเดินกลับบ้าน


วันเวลาผ่านไปชาวบ้านเริ่มเข้ามาพูดคุยกับผมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนผมเดินไปทางไหนชาวบ้านจะเข้ามาคุยด้วย พร้อมกับเอาพืชผลทางการเกษตรมาให้ ตลอดทางที่ได้พบปะกับชาวบ้าน บางคนก็เอาเนื้อหมูตากแห้ง เนื้อสัตว์ป่าที่ชาวบ้านล่ามาได้และได้นำตากแห้งบ้าง ผมจำเป็นยอมรับของฝากเหล่านี้ ถ้าเรา ปฎิเสธการให้สิ่งของชาวบ้านเขาถือว่าเรารังเกียจเขา อาหารบางอย่างผมกินไม่ทัน เช่น พวกผักต่าง ๆ มากเกินไป ตอนกลางคืนต้องแอบโยนให้หมูของชาวบ้านที่ปล่อยไปตามหมู่บ้าน มีหมูหนึ่งตัวซึ่งเป็นเพศผู้ ตัวโตมักจะนอนอยู่ใต้ถุงบ้านพัก ผมจะแอบโยนผักให้ตลอด มันก็กินเสียด้วย ตอนหาหลักฐานจึงไม่ค่อยเจอ

วันนี้เป็นวันหยุด รร. เป็นวันเสาร์ ตอนช่วงเช้าประมาณ 10 โมงเช้า ขณะที่ผมกับเด็กนักเรียนทั้งสองนั่งเล่นอยู่บนบ้านพัก ได้มีชาวบ้านสองคนได้เดินมาหาผมขึ้นมาบนบ้านพัก ได้นั่งคุยกับผมประมาณสิบนาที หนึ่งในสองชาวบ้านดังกล่าวได้พูดขอร้องให้ผมทราบว่า เขาได้ทำไร่ข้าวโพดอยู่ห่างจากหมู่บ้านเดินขึ้นไปทางเหนือของหมู่บ้าน ได้ถูกหมีสองตัวมากินข้าวโพดเสียหายไปจำนวนมาก และได้ชี้ไปที่หูของเขาว่าถูกหมีสองตัวนี้ทำร้ายเอาเมื่อปีที่ผ่านมา ผมดูที่หูชาวบ้านเห็นใบหูหายไปมีรอยแผลเป็นทางยาว ผมได้สอบถามข้อมูลทุกอย่างให้ละเอียด จึงทราบว่าหมีคู่นี้เป็นหมีเพศเมียและเพศผู้ มีลักษะดุร้าย ชาวบ้านหลายคนเมื่อพบหมีคู่นี้จะต้องหนีสุดชีวิต ผมจึงตกลงเพื่อไปยิงหมีคู่นี้ นึกในใจว่าถ้าไม่รับปากชาวบ้าน คงหมดความนับถือของชาวบ้านและเสียเกียรติตำรวจตระเวนชายแดนหมด จึงต้องแข็งใจรับปาก และได้นัดหมายกันกับชาวบ้านทั้งสองคนว่าพรุ่งนี้ตอนบ่าย ๆ มาพร้อมกันที่บ้านพัก

วันรุ่งขึ้นตอนบ่ายชาวบ้านทั้งสองก็มาตามนัด พร้อมอาวุธปืนแก๊ปคนละกระบอก ผมพร้อมอาวุธปืนประจำกายคือปืนคาร์บิน พร้อมด้วยกระสุนเต็มแม็กกาซีน สองแม็กกาซีนๆ ละสามสิบนัด ผมเตรียมพร้อมนึกในใจว่าเอากระสุนไปมากได้เท่าที่จะมากได้ ผมสั่งให้เด็กนักเรียนทั้งสองว่าถึงเวลากินข้าวกินให้หมดไม่ต้องเหลือไว้ให้ครู เพราะผมก่อนเดินทางก็กินข้าวจนอิ่มแล้ว ชาวบ้านสองคนบอกว่าเขาห่อข้าวมาเผื่อครูด้วย

ออกเดินเวลา 14.00 น ผมทั้งชาวบ้านออกเดินทางขึ้นไปทางทิศเหนือของหมู่บ้าน ชาวบ้านเป็นผู้นำทาง เราทั้งสามเดินลัดสันเขาไปตามทางเล็ก ๆ เดินขึ้นเขาไปเป็นระยะ จนมาถึงไร่ข้าวโพดของชาวบ้าน ชาวบ้านได้นำผมสำรวจความเสียหายที่ถูกหมีสองตัวแกะกินเป็นแนว หมีมันจะเริ่มกินข้าวโพดจากท้ายไร่และจะกินมาถึงหัวไร่ จากนั้นชาวบ้านพาผมไปที่ห้างคือกระท่อมเล็ก ๆ ที่ทำไว้พักผ่อนหรือเก็บอุปกรณ์การเกษตรบางอย่าง ผมเห็นฟางข้าวโพดกองอยู่จำนวนมาก ผมสำรวจภูมิสภาพแวดล้อม จากหัวไร่จะราดเอียงไปถึงปลายไร่ ผมจึงตั้งป้อมที่ห้างโดยเอาฟางข้าวโพดเอามากองเป็นแนว ใช้สำหรับจะป้องกันเวลาหมีวิ่งเข้ามาหา เราช่วยกันทำแนวป้องกันจนแน่ใจว่าคงปลอดภัย แต่มันไม่เต็มร้อยเปอร์เซนต์ แต่ยังดีกว่าไม่ทำแนวป้องกันไว้

เมื่อใกล้แสงดวงอาทิตย์จะลับหายจากขอบฟ้า ผมได้ทำความเข้าใจกับชาวบ้านทั้งสองว่า ต้องกินข้าวก่อนแสงดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้า เมื่อเข้าเวลากลางคืนห้ามก่อกองไฟ ห้ามสูบบุหรี่ ต้องนั่งสังเกตทุกอย่างที่เคลื่อนไหว ถ้าไม่ใช่หมีสองตัวนั้นห้ามลุกขึ้นจากที่ซ่อนตัว เมื่อทุกคนรับฟังและเข้าใจทุกอย่าง ทุกคนเข้าประจำตำแหน่งของตนเอง ผมนั่งมองไปรอบ ๆ ไร่ข้าวโพด เมื่อแสงดวงอาทิตย์หมด แสงดวงจันทร์ส่องแสงสว่างไปทั่ว วันนี้เคราะห์ดีเป็นวันข้างแรม ดวงจันทร์เริ่มลอยเต็มดวง ส่องแสงไปทั่วสว่างทำให้เห็นอะไร ๆ ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ มองไปที่ปลายไร่ข้าวโพดจะเห็นลมพัดใบข้าวโพดปลิวทำให้เกิดเสียงเป็นระยะตามแรงลมพัด

เราทั้งหมดนั่งเงียบนิ่ง ได้ยินเสียงขยับตัวของชาวบ้านเสียงเบา ๆ ในเวลากลางคืนในป่ามันช่างเงียบสงัดจริง ๆ ขยับตัวเบา ๆ ก็ได้ยินเสียง เราทั้งหมดนั่งซุ่มเป็นเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ก็ไม่ปรากฎตัวของหมีสองตัวเลย ผมมองดูนาฬิกามันเป็นเวลาเทียงคืนกว่าแล้ว ก็ไม่เห็นหมีสองตัวปรากฎตัวให้เห็นเลย ผมนึกอยู่ในใจว่าวันนี้เจ้าหมีสองตัวคงไม่มาให้ยิงแล้ว ผมก็ทนนั่งซุ่มต่อไปมองนาฬิกาเกือบตีสองแล้ววะทำไหมไม่มาวะ มองดูปลายไรข้าวโพดก็ไม่ปรากฎตัวหมีสองตัว แสงดวงจันทร์ส่องแสงสว่างไปทั่วไร่ข้าวโพด สักครู่ได้ยินเสียงชาวบ้านคนที่ถูกหมีตบเอา พูดกระซิบบอกผมว่า มันมาแล้วมันกินข้าวโพดอยู่ทางขวามือของผม.

ผมหันไปดูก็เห็นจริง ๆผมพูดเบา ๆ บอกชาวบ้านทั้งสองว่ารอให้มันกินข้าวโพดเข้ามาใกล้ ๆ อยู่ในระยะแนวปืนก่อน ผมกระซิบบอกอีกว่าถ้ามันกินข้าวโพดเข้ามาใกล้ ๆ ให้ช่วยกันตบมือให้เกิดเสียงดัง ๆ สัญชาติญาณสัตว์ที่ดุร้ายอย่างหมีมันจะวิ่งเข้าหา ได้ระยะแล้วมันลุกยืนขึ้น เพื่อจะใช้มือตบคู่ต่อสู้ ตอนนั้นจะใช้ปืนยิงได้ถนัดชัดเจน เมื่อตกลงเป็นที่เข้าใจกัน ทุกคนเฝ้าระวังคอยจังหวะที่หมีทั้งคู่จะเข้าใกล้ที่สุด ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีหมีทั้งสองก็เข้ามาใกล้ระยะปืน ผมจึงให้สัญญาตบมือชาวบ้านทั้งสองจึงช่วยกันตบมือ เมื่อหมีทั้งสองได้ยินเสียงตบมือ มันวิ่งเข้าหาเสียงตบมือ เมื่อเข้าใกล้หมีหนึ่งสองตัวได้ลุกขึ้น กางแขน(ตีนคู่หน้า) ออกเห็นเล็บหมีขาววาว หน้าอกหมีเป็นรูปตัววีสีขวาเห็นเด่นชัด ผมชิงจังหวะที่หมีลุกยืนกางแขนกางเล็บ ยิงกระสุนออกเป็นชุด ชุดแรกยิงประมาณ ห้าถึงหกนัด เห็นกระสุนพุ่งเข้าหน้าอกซึ่งเป็นตัววี แรงปะทะของกระสุนทำให้เจ้าหมีตัวที่ถูกยิงกลิ้งตกไปตามแนวไร่ ส่วนหมีอีกตัวผมไม่ได้ยิงเพราะอยู่ไกลแนวปืน ผมจะหันมายิงปรากฎว่าหมีอีกตัวได้วิ่งหลบหายไปกลับความมืด

เมื่อผมยิงหมีเสร็จแล้วผมห้ามไม่ให้เดินตามไปดู เพราะถ้าหมีไม่ตายมันจะเพิ่มความดุร้ายอีกเท่าตัว จึงบอกว่ารอให้ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วค่อยตามรอยไป พอแสงดวงอาทิตย์ขึ้นพ้นขอบฟ้า ผมและชาวบ้านก็นั่งรอดูเหตุการณ์อยู่ที่ห้าง รอจนแน่ใจว่าคงจะปลอดภัยแล้ว ทุกคนก็ขยับออกมาจากที่กำบังตัว เดินสำรวจอย่างช้า ๆ เดินตามรอยตาก็มองไปรอบ ๆ เดินหาตัวหมีที่ถูกยิงเดินหาไปทั่วบริเวณไม่พบแม้แต่รอยเลือด มีแต่รอยคูดเป็นแนว ก็ไม่พบหมีสักตัวเลย

เมื่อไม่พบจึงสรุปได้สองกรณี 1 ยิงถูกหมีแต่ไม่ระคายผิว 2 ยิงไม่ถูกหมี ในกรณีที่สองผมและชาวบ้านทั้งสองยืนยันว่ายิงถูกหมี แต่หมีมันไม่ตาย เมื่อสรุปได้จึงเดินทางกลับหมู่บ้าน เมื่อถึงหมู่บ้านชาวบ้านต่างก็เข้าสอบถามชาวบ้านทั้งสอง ส่วนผมเดินกลับเข้าบ้านพัก เด็กชายจะเสือและเด็กชายจะกล้านั่งรอผมอยู่บนบ้านพัก เมื่อเห็นผมเดินขึ้นบ้านพักได้เอากระบอกน้ำมาให้ผมล้างหน้าล้างตัว เสร็จแล้วผมบอกเด็กชายทั้งสองว่าครูจะนอนพักผ่อน. จากนั้นเด็กชายทั้งสองก็แยกกันไปทำธุระของตนเอง. ผมมาตื่นอีกครั้งประมาณเทียงวัน โดยชาวบ้านทั้งสองที่ไปล่าหมีกับขึ้นมาบนบ้านพัก ได้นำต้มหมู เนื้อแห้ง ไข่ไก่ประมาณห้าฟองพร้อมกับข้าวสารมาให้ผมผมจำต้องรับไว้เป็นสินน้ำใจของชาวบ้าน ผมเรียกเด็กนักเรียนทั้งสองมารับสิ่งที่ชาวบ้านนำมาให้ เอาไปทำกับข้าวกินกัน ใช้เวลาไม่นานนักการปรุงอาหารก็เสร็จผมกับเด็กนักเรียนทั้งสองร่วมกันกินจนอิ่ม
152120.jpg (57.34 KiB) เข้าดูแล้ว 1652 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4378
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D อรุณสวัสดิ์ครับท่านผู้มีเกียรติและญาติธรรมที่เคารพทุกท่าน เมื่อหวนรำลึกนึกถึง “คำสั่งของหลวงปู่พุทธทาส ก่อนที่จะอำลาภาคใต้ ที่สั่งไว้กับผม”

ผมต้องขอย้อนกลับไปเมื่อปี ๒๕๒๖-๒๗ เมื่อเจ้านายออกคำสั่งให้เรียกตัวผมกลับมา กก.ตชด.เขต ๕ (ตอนนั้นผมประจำ กองร้อย ๓ กก.ตชด.เขต ๕ อ.เชียงคำ) ให้มาช่วยดูแลกองร้อย ๙ กก.ตชด.เขต ๕ อ.แม่ริม ชม. กองร้อย ๙ ซึ่งเป็นกองร้อยที่รวมยอดขุนพล “ขี้” ไว้มากเช่น ขี้เหล้า ขี้ยา ขี้ไพ่ และ ขี้ ๆ ๆ.... เมื่อมารับตำแหน่งก็คิดซิครับ... “ทำอย่างไร ? ” สุดท้ายตกผลึกที่ต้องอาศัยแนวพุทธศาสนาเท่านั้น

ผมจึงไปหา ท่านเจ้าคุณ วินัย โกศล วัดป่าดาราภิรมย์ (พระพุทธพจนวราภรณ์ จันทร์ กุสโล เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง) อยู่หลังค่ายดารารัศมี (กก.ตชด.เขต ๕) ซึ่งผมคุ้นเคยกับท่าน ท่านแนะนำให้ลองพาพวกขี้ทั้งหลายมาเข้ากรรมฐาน ปฏิบัติธรรม ได้ผลครับ ๑๐ได้๑ (ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย) จากนั้นเป็นต้นมาผมไปอยู่ที่ใดก็จะนำหลักนี้ไปใช้เสมอ ซึ่งเป็นข้อดีของผม ที่จะได้ปฏิบัติตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับหลวงปู่พุทธทาส แสดงว่าหลวงปู่ท่านมีฌานหยั่งรู้ว่า “ผมทำได้”

ครั้งล่าสุดก่อนลาออกจาราชการ เมื่อมาอยู่ที่ กก.ตชด.๓๓ บ.แม่เตาไห อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ได้นิมนต์หลวงพ่อเปลี่ยน ปัญญาปทีโป ท่านเจ้าคุณพระพยอมกัลยาโณ ท่านพระอาจารย์ภิกษุณี รุ้งเดือน สุวรรณ มาให้ธรรมะกับกำลังพล เป็นอดีตที่เมื่อคิดถึงก็เป็นบุญกุศล(ปลื้มใจครับ)

บ.วังหาด แต่ก่อนนานมาแล้วน่าจะยิ่งใหญ่ ผมอยากจะนำพาท่านย้อนอดีตคนไทยเราว่ามาจากไหนกันก่อนครับ ไปชมกันครับ

“คนไทย" ไม่เคยสงสัยว่าตัวเองมาจากไหน แต่คนที่สงสัยคือ "ฝรั่ง"


:lol: :lol: คนไทยไม่ได้มาจากเทือกเขาอัลไต ... สุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรก | ผู้กองเบนซ์ :idea: :idea:
ไฟล์แนบ
เวลาหัวค่ำของวันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน 2565 ซึ่งตรงกับขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 จะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง เป็นปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์ทั้งดวงผ่านเข้าไปในเงามืดของโลก นอกจากนี้ ยังเกิดปรากฏการณ์ดวงจันทร์บังดาวยูเรนัสในเวลาเดียวกันอีกด้วย<br /><br />ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดแสงที่มีรูปร่างเป็นดวงกลมสว่าง ทำให้เงาของโลกแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนมืดเรียกว่าเงามืด บริเวณที่มืดน้อยกว่ามากเรียกว่าเงามัว ช่วงที่ดวงจันทร์อยู่ในเงามัว ดวงจันทร์มีความสว่างลดลงเพียงเล็กน้อย แทบไม่สามารถสังเกตได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบนดวงจันทร์ ช่วงที่เกิดจันทรุปราคาบางส่วนหรือเต็มดวง ผิวดวงจันทร์ส่วนที่อยู่ในเงามืดจะมืดลงอย่างชัดเจน สามารถสังเกตเห็นรูปร่างและสีสันของดวงจันทร์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ด้วยตาเปล่า<br /><br />พรุ่งนี้อย่าลืมชมจันทรุปราคากันนะครับ เต็มดวงด้วยนะ<br /><br />ขั้นตอนการเกิดจันทรุปราคา 8 พฤศจิกายน 2565<br /><br />1. ดวงจันทร์เริ่มเข้าสู่เงามัวของโลก	15:02:15 (ไม่เห็น เนื่องจากดวงจันทร์ยังไม่ขึ้น)<br /><br />2. เริ่มเกิดจันทรุปราคาบางส่วน	16:09:12 (ไม่เห็น เนื่องจากดวงจันทร์ยังไม่ขึ้น)<br /><br />3. เริ่มเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง	17:16:39 (ไม่เห็น เนื่องจากดวงจันทร์ยังไม่ขึ้น)<br /><br />4. ดวงจันทร์เข้าไปในเงาลึกที่สุด	17:59:10 (ขนาดอุปราคา = 1.3592)<br /><br />5. สิ้นสุดจันทรุปราคาเต็มดวง	18:41:39 (ดวงจันทร์เริ่มออกจากเงามืด)<br /><br />6. สิ้นสุดจันทรุปราคาบางส่วน	19:49:05 (ดวงจันทร์กลับมาสว่างเต็มดวง)<br /><br />7. ดวงจันทร์พ้นจากเงามัวของโลก	20:56:11<br /><br />ข้อมูลจาก สมาคมดาราศาสตร์ไทย
เวลาหัวค่ำของวันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน 2565 ซึ่งตรงกับขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 จะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง เป็นปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์ทั้งดวงผ่านเข้าไปในเงามืดของโลก นอกจากนี้ ยังเกิดปรากฏการณ์ดวงจันทร์บังดาวยูเรนัสในเวลาเดียวกันอีกด้วย

ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดแสงที่มีรูปร่างเป็นดวงกลมสว่าง ทำให้เงาของโลกแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนมืดเรียกว่าเงามืด บริเวณที่มืดน้อยกว่ามากเรียกว่าเงามัว ช่วงที่ดวงจันทร์อยู่ในเงามัว ดวงจันทร์มีความสว่างลดลงเพียงเล็กน้อย แทบไม่สามารถสังเกตได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบนดวงจันทร์ ช่วงที่เกิดจันทรุปราคาบางส่วนหรือเต็มดวง ผิวดวงจันทร์ส่วนที่อยู่ในเงามืดจะมืดลงอย่างชัดเจน สามารถสังเกตเห็นรูปร่างและสีสันของดวงจันทร์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ด้วยตาเปล่า

พรุ่งนี้อย่าลืมชมจันทรุปราคากันนะครับ เต็มดวงด้วยนะ

ขั้นตอนการเกิดจันทรุปราคา 8 พฤศจิกายน 2565

1. ดวงจันทร์เริ่มเข้าสู่เงามัวของโลก 15:02:15 (ไม่เห็น เนื่องจากดวงจันทร์ยังไม่ขึ้น)

2. เริ่มเกิดจันทรุปราคาบางส่วน 16:09:12 (ไม่เห็น เนื่องจากดวงจันทร์ยังไม่ขึ้น)

3. เริ่มเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง 17:16:39 (ไม่เห็น เนื่องจากดวงจันทร์ยังไม่ขึ้น)

4. ดวงจันทร์เข้าไปในเงาลึกที่สุด 17:59:10 (ขนาดอุปราคา = 1.3592)

5. สิ้นสุดจันทรุปราคาเต็มดวง 18:41:39 (ดวงจันทร์เริ่มออกจากเงามืด)

6. สิ้นสุดจันทรุปราคาบางส่วน 19:49:05 (ดวงจันทร์กลับมาสว่างเต็มดวง)

7. ดวงจันทร์พ้นจากเงามัวของโลก 20:56:11

ข้อมูลจาก สมาคมดาราศาสตร์ไทย
3297.jpg (49.35 KiB) เข้าดูแล้ว 850 ครั้ง
วันที่ ๖ พฤศจิกายน วันกอบกู้เอกราชไทย การสงครามกอบกู้เอกราชครั้งนั้น เริ่มต้นขึ้นในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๓๑๐  สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงยกกองทัพเรือจากจันทบุรีเข้ามาทางปากแม่น้ำเจ้าพระยา เข้าโจมตีข้าศึกที่เมืองธนบุรี ทรงยึดเมืองธนบุรีคืนได้และประหารนายทองอินคนไทยที่เป็นไส้ศึก แล้วจึงเคลื่อนทัพต่อไปที่กรุงศรีอยุธยา เข้ายึดค่ายโพธิ์สามต้น ปราบข้าศึกจนราบคาบ กอบกู้กรุงศรีอยุธยากลับคืนมาได้ เมื่อวันศุกร์ เดือน ๑๒ ขึ้น ๑๕ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๒๙ ปีกุน นพศก เวลาบ่ายโมงเศษ ซึ่งตรงกับวันศุกร์ที่ ๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๓๑๐ เวลาประมาณ ๑๓.๐๐ น. ใช้เวลา ๗ เดือนหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาในการทรงกอบกู้เอกราช<br /><br />ข่าวคราวที่ดังกระหึ่มทั่วไทยเวลานี้ คือการขายแผ่นดินให้ต่างชาติเข้าครองคนละ ๑ ไร่ มีการถกเถียงกันมากว่าเราจะต้องเสียแผ่นดินอีกครั้งจริงหรือ? หากเป็นจริงใครคนต่อไปที่จะกู้แผ่นดินนี้คืน ??????
วันที่ ๖ พฤศจิกายน วันกอบกู้เอกราชไทย การสงครามกอบกู้เอกราชครั้งนั้น เริ่มต้นขึ้นในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๓๑๐ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงยกกองทัพเรือจากจันทบุรีเข้ามาทางปากแม่น้ำเจ้าพระยา เข้าโจมตีข้าศึกที่เมืองธนบุรี ทรงยึดเมืองธนบุรีคืนได้และประหารนายทองอินคนไทยที่เป็นไส้ศึก แล้วจึงเคลื่อนทัพต่อไปที่กรุงศรีอยุธยา เข้ายึดค่ายโพธิ์สามต้น ปราบข้าศึกจนราบคาบ กอบกู้กรุงศรีอยุธยากลับคืนมาได้ เมื่อวันศุกร์ เดือน ๑๒ ขึ้น ๑๕ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๒๙ ปีกุน นพศก เวลาบ่ายโมงเศษ ซึ่งตรงกับวันศุกร์ที่ ๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๓๑๐ เวลาประมาณ ๑๓.๐๐ น. ใช้เวลา ๗ เดือนหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาในการทรงกอบกู้เอกราช

ข่าวคราวที่ดังกระหึ่มทั่วไทยเวลานี้ คือการขายแผ่นดินให้ต่างชาติเข้าครองคนละ ๑ ไร่ มีการถกเถียงกันมากว่าเราจะต้องเสียแผ่นดินอีกครั้งจริงหรือ? หากเป็นจริงใครคนต่อไปที่จะกู้แผ่นดินนี้คืน ??????
133325.jpg (84.61 KiB) เข้าดูแล้ว 850 ครั้ง
133979.jpg
133979.jpg (118.45 KiB) เข้าดูแล้ว 850 ครั้ง
เช้าวันที่ ๒๐/๑๐/๖๕ ออกจากรีสอร์ทเพื่อไปเที่ยวยัง บ.วังหาดที่ได้ศึกษามาว่าเป็นชุมชนคนไทยก่อนสุโขทัยเป็นราชธานี เผลอ ๆ อาจจะเป็นราชธานีแรกของคนไทยก็ได้ (ถ้าโปรโมทและศึกษากันอย่างจริงจัง) เสียดาย....จัง.
เช้าวันที่ ๒๐/๑๐/๖๕ ออกจากรีสอร์ทเพื่อไปเที่ยวยัง บ.วังหาดที่ได้ศึกษามาว่าเป็นชุมชนคนไทยก่อนสุโขทัยเป็นราชธานี เผลอ ๆ อาจจะเป็นราชธานีแรกของคนไทยก็ได้ (ถ้าโปรโมทและศึกษากันอย่างจริงจัง) เสียดาย....จัง.
133981.jpg (139.68 KiB) เข้าดูแล้ว 850 ครั้ง
ผัดไทย บ.ด่านลานหอยที่แสนอร่อย เช้าวันนั้นเจ็ดโมงเช้าร้านยังไม่เปิด เราก็เลยต้องอาศัญ ๗-๑๑ ที่ยังมีอาหารเจขาย ส่วนในตลาดพ่อค้า-แม่ค้า บอกว่าเขาขายเฉพาะช่วงเทศกาล แต่เมื่อก่อนมีขายคงจะไม่มีคนนิยมทานก็เลยหยุด นี่ละความไม่แน่นอน &quot;เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป&quot;
ผัดไทย บ.ด่านลานหอยที่แสนอร่อย เช้าวันนั้นเจ็ดโมงเช้าร้านยังไม่เปิด เราก็เลยต้องอาศัญ ๗-๑๑ ที่ยังมีอาหารเจขาย ส่วนในตลาดพ่อค้า-แม่ค้า บอกว่าเขาขายเฉพาะช่วงเทศกาล แต่เมื่อก่อนมีขายคงจะไม่มีคนนิยมทานก็เลยหยุด นี่ละความไม่แน่นอน "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป"
133317.jpg (105.96 KiB) เข้าดูแล้ว 850 ครั้ง
The first trip of 2565 (45).JPG
The first trip of 2565 (45).JPG (133.12 KiB) เข้าดูแล้ว 850 ครั้ง
The first trip of 2565 (47).JPG
The first trip of 2565 (48).JPG
The first trip of 2565 (48).JPG (129.01 KiB) เข้าดูแล้ว 850 ครั้ง
The first trip of 2565 (50).JPG
The first trip of 2565 (50).JPG (138.6 KiB) เข้าดูแล้ว 850 ครั้ง
The first trip of 2565 (53).JPG
The first trip of 2565 (53).JPG (99.15 KiB) เข้าดูแล้ว 850 ครั้ง
ปั่นไปเที่ยวไปแวะไปตามอารมณ์ไม่ได้เร่งรีบ มาเพื่อศึกษาหาความรู้ชมทัศนียภาพท้องถิ่นไทยที่สวยงาม เรียกว่าได้อารมณ์ &quot;ชิลล์&quot; มีความสุขครับ
ปั่นไปเที่ยวไปแวะไปตามอารมณ์ไม่ได้เร่งรีบ มาเพื่อศึกษาหาความรู้ชมทัศนียภาพท้องถิ่นไทยที่สวยงาม เรียกว่าได้อารมณ์ "ชิลล์" มีความสุขครับ
The first trip of 2565 (54).JPG (136.46 KiB) เข้าดูแล้ว 850 ครั้ง
133974.jpg
133974.jpg (144.67 KiB) เข้าดูแล้ว 850 ครั้ง
133975.jpg
133975.jpg (131.13 KiB) เข้าดูแล้ว 850 ครั้ง
The first trip of 2565 (39).JPG
๐๙๐๐ น.คุณนายเริ่มหิว เราหาสถานที่สำหรับมื้อเช้า เป็นที่ร่ม สงบ เงียบ แวะเปิบข้าวกล่องจาก ๗-๑๑ เป็นข้าวกระเพราเจ อร่อย รสชาติมาตรฐานเครื่องจักรไม่ใช่จากฝีมือหรือน้ำมือที่เรียก &quot;สเน่ห์ปลายจวัก&quot; สำหรับผมเรียก &quot;กินกันตาย&quot; ไม่ใช่สุนทรียภาพของการกิน ๕๕๕.ว่ากันไปครับ
๐๙๐๐ น.คุณนายเริ่มหิว เราหาสถานที่สำหรับมื้อเช้า เป็นที่ร่ม สงบ เงียบ แวะเปิบข้าวกล่องจาก ๗-๑๑ เป็นข้าวกระเพราเจ อร่อย รสชาติมาตรฐานเครื่องจักรไม่ใช่จากฝีมือหรือน้ำมือที่เรียก "สเน่ห์ปลายจวัก" สำหรับผมเรียก "กินกันตาย" ไม่ใช่สุนทรียภาพของการกิน ๕๕๕.ว่ากันไปครับ
The first trip of 2565 (40).JPG (125.58 KiB) เข้าดูแล้ว 850 ครั้ง
133969.jpg
133969.jpg (146.41 KiB) เข้าดูแล้ว 850 ครั้ง
133970.jpg
The first trip of 2565 (42).JPG
The first trip of 2565 (42).JPG (145.66 KiB) เข้าดูแล้ว 850 ครั้ง
133923.jpg
ติดตามตอน &quot;ไอ้จุ๊ก&quot; ได้ของเล่นใหม่ไม่แปลก แต่ทึ่ง น้อยคนที่จะสามารถเป็นเหมือนท่าน จุ๊ก ติดตามกันครับ<br /><br /><br />ตอนที่ ๑๑<br /><br />                เหตุการณ์ต่าง ๆ ชาวบ้านรับทราบได้พูดคุยกันไปทั่วหมู่บ้าน ถ้าวันไหนเป็นหยุด รร ชาวบ้านจะเวียนมานั่งคุยกับที่บ้านพักแม้แต่ที่ร้านขายของในหมู่บ้าน ชาวบ้านบางคนนั่งคุยผมเป็นเวลานาน ๆ เกิดความคุ้นเลยมักจะเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ในหมู่บ้าน แม้เหตุการณ์ที่เลยเวลาไปหลายปี จนถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันจะพูดให้ทราบหมดทุกเรื่อง มีเรื่องยกเว้นที่ไม่ยอมบอกหรือเล่าให้ฟัง คือเรื่องไปทำไร่ฝิ่นที่ไหน แต่ผมก็รู้ว่าชาวบ้านไปปลูกฝิ่นที่ไหน ชาวบ้านจะปลูกฝิ่นบริเวณหุบเขาหรือตามสันเขา จะปลูกผักต่าง ๆ เรื่องต่าง ๆ นั้นเด็กนักเรียนจะมาบอกให้ผมว่า ครอบครัวไปปลูกผักตรงไหน หุบเขาลูกไหนหรือตามสันเขาลูกไหน ผมฟังนักเรียนเล่าให้ฟังผมก็เก็บเอาไว้ในใจไม่ได้พูดคุยกับชาวบ้าน<br />              <br />วันนี้เป็นวันพระชาวบ้านจะหยุดไปทำไร่ จะอยู่บ้านและจะมักมาพูดกับผมที่บ้านพัก ชาวบ้านบางคนชวนผมไปเที่ยวที่บ้าน ผมก็ต้องไปตามคำเชิญ เมื่อถึงบ้านของชาวบ้านได้ชวนขึ้นบนบ้านนั่งคุยกันรอบกองไฟที่มีถ่านไม้ที่ติดไฟอยู่กลางบ้าน กองไฟดังกล่าวบ้านทุกหลังคาเรือนจะมีไว้อยู่กลางบ้าน เพราะจะอาศัยความร้อนจากการจุดไฟเพื่อทำให้เกิดความอบอุ่น<br /> <br />ข้างกองไฟที่มีถ่านไม้ที่ติดไฟจะมีกาน้ำตั่งอยู่ ไอน้ำจากกาน้ำยังร้อน เมื่อนั่งล้อมวงรอบกองไฟชาวบ้านนำถ้วยใส่น้ำชามาวางไว้ตรงหน้า แล้วรินน้ำร้อนจากกาน้ำลงถ้วยชาและในถ้วยชามีใบชาประมาณสองสามใบอยู่ เมื่อชาถูกน้ำร้อนกลิ่นหอมของชาส่งกลิ่นหอม ผมนั่งชิมน้ำชาอยู่บนบ้าน หันไปด้านซ้ายมือเห็นเด็กชายจะเสือและเด็กชายจะกล้านั่งรวมกับเจ้าของบ้าน เจ้าของบ้านพูดว่าครูลูกน้องครูจะติดตามครูตลอดนะ ผมก็ยิ้มรับและนึกอยู่ในใจว่าดีแล้ว เหมือนมีเพื่อนที่สนิท เมื่อนั่งคุยกับชาวบ้านนานพอสมควรผมก็ขอลากลับ จากนั้นผมพร้อมเด็กชายทั้งสองเดินลงจากเจ้าของบ้าน เดินไปเที่ยวร้านค้าในหมู่บ้านเพื่อจะสั่งแม่ค้าที่มาจากพื้นราบมักจะนำไข่ไก่ขึ้นมาขายในหมู่บ้าน <br /><br />เมื่อผมเดินไปที่ร้านค้าในหมู่บ้านเข้าไปในร้านค้าก็พบแม่ค้าพอดี จึงขอซื้อไข่ไก่แม่ค้าบอกว่าเหลือไข่ไก่เพียงสิบใบ ผมว่าสิบก็ซื้อคราวหน้าถ้าขึ้นมาขายของในหมู่บ้านผมสั่งซื้อไขไก่ไว้ยี่สิบใบ แม่ค้ารับปากว่าคราวจะนำมาให้ครู ผมนั่งคุยกับชาวบ้านหลายคนที่เข้ามาซื้อของแห้ง ขณะนั่งคุยกับชาวบ้าน  สามีของเจ้าของร้านเข้านั่งพูดคุยด้วย เอาน้ำชาใส่กาน้ำร้อนมาเลี้ยง สามีของเจ้าของร้านค้าก็เป็นบิดานักเรียนของผมที่ชื่อนายสุภาพ ขณะที่นั่งคุยอยู่ร่วมกับชาวบ้านหลายคนนั้น สามีของบ้านของร้านบอกผมว่า ครูต้องการม้าเอาไว้ขี่ไหมและชี้ไปที่ยุ้งข้าวเห็นม้าแกบ(ม้าตัวเล็ก) ยืนกินหญ้าอยู่ที่ยุ้งข้าว <br /><br />ผมและสามีเจ้าของร้านและชาวบ้านสองสามคนเดินไปดูสภาพของม้าดังกล่าว ผมเห็นมีน้ำตาไหลออกจากตาสองข้าง ผมถามว่าม้าเป็นอะไร สามีเจ้าของร้านบอกว่า ม้าตัวนี้เป็นฝีที่ต้นคอเพราะถูกใช้งานขนข้าวสารจากพื้นราบขึ้นมาในหมู่บ้าน บางครั้งเจ้าของม้าก็แบกต่างข้าวสารเดินข้ามเขตพม่าเพื่อไปส่งข้าวสาร ที่คอเกิดอักเสบเป็นแผลมีน้ำหนองบวมแดงเป็นก้อนเห็นชัดเจน ม้ามีน้ำตาไหลทั้งสองตา มันคงจะเจ็บปวดมากถึงน้ำตาไหล เจ้าของม้าจะขายม้าตัวนี้เพราะนำไปใช้งานไม่ได้ เจ้าของม้าจะขาย 500 บาท สามีเจ้าของร้านขายของพูดกับผมว่าม้าตัวนี้อายุยังน้อยอยู่ ถ้ารักษาฝีที่บวมแดงโดยเอาหนองที่ฝีออกมันก็จะหาย <br /><br />ผมนึกอยู่ในใจว่าราคาม้าตั้ง 500 บาท เงินเดือนเราเดือนละ 450 บาท เท่านั้น ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเงินเพียง 500 กว่าบาทเท่านั้น ผมจะไม่ซื้อม้าตัวนี้ก็สงสารมองเห็นน้ำตามันไหลก็ยิ่งสงสาร ผมจึงตัดสินใจต่อรองราคาจากเจ้าของม้าให้เหลือ 400 บาท และบอกว่าถ้าขายให้ 400 บาท ผมก็เหลือเงินเพียง 100 กว่าบาทเท่านั้น ผมต่อรองราคาซื้อม้า  ใช้เวลานานพอสมควร สุดท้ายเจ้าของม้าตกลงขาย 400 บาท เมื่อตกลงกันเรียบร้อยและก็จ่ายเงินเป็นที่เรียบร้อย สามีเจ้าของร้านค้าบอกผมว่า ครูเตรียมใบมีดโกนพร้อมด้วยสำสีและแอลกฮอล์ ผมหันไปบอกให้เด็กชายจะกล้าไปเอาใบมีดโกนและแอลฮอล์ที่ครูใช้ล้างหูให้เด็กนักเรียนที่หูเป็นน้ำหนวก <br /><br />เด็กชายจะกล้าหาย ไปสักพัก กลับมาพร้อมใบมีดโกนสำสีและแอลกฮอล์ จากนั้นช่วยกันผูกมัดม้าให้ชิดติดกับต้นไม้ ม้ามันก็ช่างรู้มันไม่ได้ขัดขืนการมัดการผูกมัดแต่อย่างใด จากนั้นสามีเจ้าของร้านขาย ใช้ใบมีดโกนกีดฝีที่ต้นคอม้า. ซ้ำแผลเดิมอีกหลายหน จนเห็นเลือดม้าไหลออกมาพร้อมกับน้ำหนองข้นเข้มมีกลิ่นเหม็นฟุ้งออกตามลอยแผล เสียงม้าร้องพร้อมมีอาการเต้นเล็กน้อย ผมและสามีเจ้าของค้าช่วยกันบีบเอาน้ำหนองออกให้หมด ใช้เวลานานพอสมควรเมื่อเห็นว่าน้ำหนองออกหมด จึงเอาสำสีชุบแอลกฮอล์เช็ดแผลจนแน่ใจว่าแผลสะอาด สามีเจ้าของร้านค้าได้เอายาแผลแดงชุบสำสีชัดแผลอีกครั้ง และบอกว่าไม่ต้องเอาอะไรมาปิดแผล ปล่อยทิ้งไว้คอยดูแลม้าเท่านั้น ธรรมชาติแผลมันแห้งหายและอาการจะดีขึ้น<br /><br /> เมื่อเสร็จการปฐมพยาบาลม้าเสร็จ ผมให้เด็กชานทั้งสองนำม้าไปไว้ที่บ้านพัก โดยให้ผูกเชือกไว้ที่ต้นไม้ของบ้านพักและมอบหน้าที่ให้เด็กชายทั้งสองรับผิดดูแลม้า คอยหาหญ้าหาน้ำให้ม้ากิน ได้ม้าผูกไว้เรียบร้อย เด็กชายทั้งสองก็หายไปไม่รู้ว่าไปไหน. พักหนึ่งกลับมาบ้านพักพร้อมด้วยหญ้าและน้ำเอามาให้ม้ากิน ผมสังเกตที่ตาม้าไม่มีน้ำตาไหลแล้ว ม้ามันคงจะหายปวดที่คอแล้ว เพราะได้เอาน้ำหนองออกหมด  ม้ากินหญ้ากินน้ำพอสมควร มันถามเด็กชายทั้งสองว่าไปเอาหญ้ากับน้ำมาจากไหน เด็กชายทั้งสองบอกว่าเอาหญ้าที่เอาให้วัวกินโดยแบ่งมาเพียงบางส่วน ส่วนน้ำได้เอากระบอกน้ำไปตักที่ลำธาร <br />             <br />ช่วงตอนเช้าที่ผมไป รร ได้ผูกม้าไว้ที่เดิมและได้เตรียมหญ้าและน้ำไว้ให้มีชาวบ้านที่อยู่ใกล้บ้านพัก บอกว่าครูไม่ต้องห่วงม้าเขาจะดูแลให้ ผมจึงสบายใจที่มีคนช่วยดูแลม้าให้ เมื่อเสร็จภารกิจการสอนเรียบร้อยกลับมาบ้านพัก ม้าก็ยืนกินหญ้าอยู่ที่เดิมมีน้ำมีหญ้ากองไว้ใกล้จำนวนมากพอสมควร สอบถามก็ทราบว่าชาวบ้านช่วยกันหาหญ้าและน้ำไว้ให้ ผมเข้าไปหาม้าค่อยเอามือจับที่หัวม้าและลูบไปตามรอบคอม้า ม้าก็ยืนนิ่งให้ผมจับและลูบที่คอ ผมให้เด็กนักเรียนทั้งสองช่วยกันเอาเศษผ้าลูบเช็ดไปทั่วตัวม้า ม้าก็ยืนนิ่งให้เช็ด ผมนึกใจว่าไม่ต้องไปแบกข้าวหรือสิ่งอีกแแล้ว<br />           <br /> ตื่นตอนเช้าก่อนจะไป รร ผมและเด็กนักเรียนต่างไปลูบหัวและตัวม้าก่อนที่จะเดินไป รร ในช่วงระหว่างที่สอนหนังสือ เด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งเข้าพูดกับผม  พ่อและแม่ของเด็กนักเรียนหญิงได้ช่วยหาหญ้ามาให้ม้าครูกิน เด็กนักเรียนหลายคนก็ประสงค์ที่ช่วยครูหาหญ้าหาน้ำให้ม้ากิน ผมก็บอกฝากบอกว่าครูขอบคุณ จากวันนั้นเป็นต้นมาม้ามีหญ้ามีน้ำกินไม่ขาด อาการแผลที่คอของม้าเริ่มแห้งอาการของม้าก็ดีวันดีคืน ใช้เวลาไม่กี่อาทิตย์แผลที่ต้นคอหายแห้งสนิท<br /><br />             ตื่นเช้าในวันนี้เสร็จภาระต่าง ๆ เรียบร้อยได้เดินลงจากบ้าน ผมได้เดินเข้าหาม้าตามปกติที่ปฎิบัติเหมือนทุกวัน วันนี้ผมนึกว่าวันนี้จะพาม้าไป รร. ด้วย จึงให้เด็กชายจะกล้าจูงม้า เด็กชายจะเสือถืออุปกรณ์การสอนเดินตาม ผมเดินนำหน้าพร้อมอุปกรณ์การสอนบางอย่าง ม้าและเด็กชายทั้งสองก็เดินพากันไปตามถนนในหมู่บ้าน  ทุกครั้งนักเรียนที่ยืนรอตามแนวทางเดินได้เดินตามหลังม้าเป็นแถวเดินขึ้น รร. เมื่อถึง รร. ผมให้เด็กชายจะกล้าปล่อยเชือกที่ผูกม้าให้ม้าเดินกินหญ้าตาม รร. โดยอิสระ จากนั้นผมนักเรียนทั้งหมดก็ปฎิบัติตามหน้าที่ของตนเอง จนกระทั่ง รร. เลิกกลับบ้าน เด็กชายจะกล้าก็ไปจับม้ามาผูกเชือก แล้วก็เดินตามกันเป็นแถวกลับบ้าน ถึงบ้านพักเอาม้าไปผูกมันไว้ที่เดิม ได้มีชาวบ้านได้นำเกลือมาให้ผมบอกว่าเอาผสมกับน้ำให้ม้ากิน ผมก็ปฎิบัติตาม  ม้าดูอาการเจ็บป่วยหายไปหมดแล้ว อาการสดชื่นเวลาเอาผ้าเช็ดตัวม้า มันจะยืนให้เช็ดโดยไม่มีอาการขัดขืนเลย ผมจะปฎิบัติอย่างนี้อย่างต่อเนื่อง เวลาไป รร. ม้าก็ไป รร. ด้วย ผมนึกในใจว่าม้ามันก็เหมือนนักเรียน บางครั้งที่สอนนักเรียนมันจะมายืนใกล้ๆ เด็กนักเรียนจะยกเอามือจับหูม้าจับหางม้าบ้าง ม้ามันก็ไม่ทำร้ายนักเรียน<br /><br />           เช้าวันหนึ่งผมและเด็กชายสองทำธุระของตนเสร็จพร้อมจะไป รร. ผมนึกว่าวันนี้ทดลองขี่ม้าไป รร. ผมจึงบอกเด็กชายทั้งสองว่าวันนี้ครูจะขี่ม้าไป รร. เด็กชายทั้งสองเห็นด้วย โดยเด็กชายจะกล้าจะเป็นคนจูงม้าให้ครูขึ้นขี่ม้า ผมขึ้นขี่ม้าโดยไม่ใช้อานม้าเพราะมันไม่มี ผมขึ้นขี่ม้าโดยไม่ต้องใช้อะไรเป็นอุปกรณ์ ครั้งแรกนึกว่าม้าคงจะไม่ให้ขี่  จึงระวังตัวไว้ เมื่อขึ้นนั่งหลังม้าก็ไม่มีอาการสบัดของม้า ม้ายืนเฉยพอผมนั่งได้ที่ เด็กชายจะกล้าก็จูงม้าออกเดินตามถนนในหมู่บ้าน เด็กนักเรียนที่ยืนรอตามถนน เด็กนักเรียนบางคนหัวเราะและเดินตามหลังม้าตามม้าไป รร. เมื่อมาถึง รร. ผมลงจากหลังม้า เด็กชายจะกล้าปล่อยม้าเดินกินตามสบาย ผมเด็กนักเรียนเข้าห้องเรียนไปตามปกติ<br /><br /> เวลาว่างผมมองหาม้าก็ม้าเดินกินหญ้ารอบ รร. บางครั้งก็เดินมาใกล้ห้องเรียน มายืนใกล้ ๆเด็กนักเรียนเพื่อให้จับให้ลูบ ผมเห็นอาการของม้ามันคงอยากเป็นนักเรียนกระมัง ชาติหน้ามีจริงคงจะเกิดเป็นคนได้เรียนหนังสือ เมื่อ รร. เลิกม้ามันก็เดินมาให้เด็กชายจะกล้าจับผูกเชือก ผมก็ขึ้นนั่งหลังม้า  ขี่เดินกลับบ้านพร้อมกับเด็กนักเรียน ถึงบ้านพักนำไปผูกมัดที่เดิม จากนั้นผมและเด็กชายทั้งสองก็จัดการภารกิจของตนเองที่เคยปฎิบัติมา เวลากลางคืนเด็กชายจะกล้ามีอาการไอ ตัวร้อนผมจึงเอายาให้กินและห่มผ้าให้หนา ๆ เมื่อกินยาเสร็จเด็กชายจะกล้าก็หลับสนิท ถึงเวลาเช้าเมื่อผมและเด็กชายจะเสือเสร็จภารกิจของตนเอง ส่วนเด็กชายจะเสือกินข้าวเสร็จให้กินยาให้พักผ่อนอยู่ที่บ้านไม่ต้องไป รร. ผมเดินลงจากบ้านพักเด็กชายจะเสือปลดเชือกม้า ม้าได้เดินมาหาผมที่ยืนรออยู่โดยเด็กชายจะเสือยังไม่ทันจับเชือก ม้ามายืนใกล้ผม ผมจึงขึ้นขี่ม้าเด็กชายจะเสือรีบมาจับเชือกจูงม้าเดินตาม  ผมรีบเอาอุปกรณ์การสอนมาถือไว้ ม้าเดินตามเด็กชายจะเสือไปตามถนนในหมู่บ้านนักเรียนที่ยืนรอม้าเดินผ่านก็จะเดินตามเป็นแถวไป รร. วันต่อมาผมจึงให้เด็กชายจะกล้าเอาเชือกที่ผูกม้าออกเสีย ให้ม้าเดินอย่างอิสระโดยไม่ต้องมีเชือกผูกมีคนจูงนำทาง เมื่อเอาเชือกออกม้าจะเดินไป - กลับจาก รร ไม่ออกนอกเส้นทาง จะอยู่กับผมและเด็กชายทั้งสองอย่างอิสระ
ติดตามตอน "ไอ้จุ๊ก" ได้ของเล่นใหม่ไม่แปลก แต่ทึ่ง น้อยคนที่จะสามารถเป็นเหมือนท่าน จุ๊ก ติดตามกันครับ


ตอนที่ ๑๑

เหตุการณ์ต่าง ๆ ชาวบ้านรับทราบได้พูดคุยกันไปทั่วหมู่บ้าน ถ้าวันไหนเป็นหยุด รร ชาวบ้านจะเวียนมานั่งคุยกับที่บ้านพักแม้แต่ที่ร้านขายของในหมู่บ้าน ชาวบ้านบางคนนั่งคุยผมเป็นเวลานาน ๆ เกิดความคุ้นเลยมักจะเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ในหมู่บ้าน แม้เหตุการณ์ที่เลยเวลาไปหลายปี จนถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันจะพูดให้ทราบหมดทุกเรื่อง มีเรื่องยกเว้นที่ไม่ยอมบอกหรือเล่าให้ฟัง คือเรื่องไปทำไร่ฝิ่นที่ไหน แต่ผมก็รู้ว่าชาวบ้านไปปลูกฝิ่นที่ไหน ชาวบ้านจะปลูกฝิ่นบริเวณหุบเขาหรือตามสันเขา จะปลูกผักต่าง ๆ เรื่องต่าง ๆ นั้นเด็กนักเรียนจะมาบอกให้ผมว่า ครอบครัวไปปลูกผักตรงไหน หุบเขาลูกไหนหรือตามสันเขาลูกไหน ผมฟังนักเรียนเล่าให้ฟังผมก็เก็บเอาไว้ในใจไม่ได้พูดคุยกับชาวบ้าน

วันนี้เป็นวันพระชาวบ้านจะหยุดไปทำไร่ จะอยู่บ้านและจะมักมาพูดกับผมที่บ้านพัก ชาวบ้านบางคนชวนผมไปเที่ยวที่บ้าน ผมก็ต้องไปตามคำเชิญ เมื่อถึงบ้านของชาวบ้านได้ชวนขึ้นบนบ้านนั่งคุยกันรอบกองไฟที่มีถ่านไม้ที่ติดไฟอยู่กลางบ้าน กองไฟดังกล่าวบ้านทุกหลังคาเรือนจะมีไว้อยู่กลางบ้าน เพราะจะอาศัยความร้อนจากการจุดไฟเพื่อทำให้เกิดความอบอุ่น

ข้างกองไฟที่มีถ่านไม้ที่ติดไฟจะมีกาน้ำตั่งอยู่ ไอน้ำจากกาน้ำยังร้อน เมื่อนั่งล้อมวงรอบกองไฟชาวบ้านนำถ้วยใส่น้ำชามาวางไว้ตรงหน้า แล้วรินน้ำร้อนจากกาน้ำลงถ้วยชาและในถ้วยชามีใบชาประมาณสองสามใบอยู่ เมื่อชาถูกน้ำร้อนกลิ่นหอมของชาส่งกลิ่นหอม ผมนั่งชิมน้ำชาอยู่บนบ้าน หันไปด้านซ้ายมือเห็นเด็กชายจะเสือและเด็กชายจะกล้านั่งรวมกับเจ้าของบ้าน เจ้าของบ้านพูดว่าครูลูกน้องครูจะติดตามครูตลอดนะ ผมก็ยิ้มรับและนึกอยู่ในใจว่าดีแล้ว เหมือนมีเพื่อนที่สนิท เมื่อนั่งคุยกับชาวบ้านนานพอสมควรผมก็ขอลากลับ จากนั้นผมพร้อมเด็กชายทั้งสองเดินลงจากเจ้าของบ้าน เดินไปเที่ยวร้านค้าในหมู่บ้านเพื่อจะสั่งแม่ค้าที่มาจากพื้นราบมักจะนำไข่ไก่ขึ้นมาขายในหมู่บ้าน

เมื่อผมเดินไปที่ร้านค้าในหมู่บ้านเข้าไปในร้านค้าก็พบแม่ค้าพอดี จึงขอซื้อไข่ไก่แม่ค้าบอกว่าเหลือไข่ไก่เพียงสิบใบ ผมว่าสิบก็ซื้อคราวหน้าถ้าขึ้นมาขายของในหมู่บ้านผมสั่งซื้อไขไก่ไว้ยี่สิบใบ แม่ค้ารับปากว่าคราวจะนำมาให้ครู ผมนั่งคุยกับชาวบ้านหลายคนที่เข้ามาซื้อของแห้ง ขณะนั่งคุยกับชาวบ้าน สามีของเจ้าของร้านเข้านั่งพูดคุยด้วย เอาน้ำชาใส่กาน้ำร้อนมาเลี้ยง สามีของเจ้าของร้านค้าก็เป็นบิดานักเรียนของผมที่ชื่อนายสุภาพ ขณะที่นั่งคุยอยู่ร่วมกับชาวบ้านหลายคนนั้น สามีของบ้านของร้านบอกผมว่า ครูต้องการม้าเอาไว้ขี่ไหมและชี้ไปที่ยุ้งข้าวเห็นม้าแกบ(ม้าตัวเล็ก) ยืนกินหญ้าอยู่ที่ยุ้งข้าว

ผมและสามีเจ้าของร้านและชาวบ้านสองสามคนเดินไปดูสภาพของม้าดังกล่าว ผมเห็นมีน้ำตาไหลออกจากตาสองข้าง ผมถามว่าม้าเป็นอะไร สามีเจ้าของร้านบอกว่า ม้าตัวนี้เป็นฝีที่ต้นคอเพราะถูกใช้งานขนข้าวสารจากพื้นราบขึ้นมาในหมู่บ้าน บางครั้งเจ้าของม้าก็แบกต่างข้าวสารเดินข้ามเขตพม่าเพื่อไปส่งข้าวสาร ที่คอเกิดอักเสบเป็นแผลมีน้ำหนองบวมแดงเป็นก้อนเห็นชัดเจน ม้ามีน้ำตาไหลทั้งสองตา มันคงจะเจ็บปวดมากถึงน้ำตาไหล เจ้าของม้าจะขายม้าตัวนี้เพราะนำไปใช้งานไม่ได้ เจ้าของม้าจะขาย 500 บาท สามีเจ้าของร้านขายของพูดกับผมว่าม้าตัวนี้อายุยังน้อยอยู่ ถ้ารักษาฝีที่บวมแดงโดยเอาหนองที่ฝีออกมันก็จะหาย

ผมนึกอยู่ในใจว่าราคาม้าตั้ง 500 บาท เงินเดือนเราเดือนละ 450 บาท เท่านั้น ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเงินเพียง 500 กว่าบาทเท่านั้น ผมจะไม่ซื้อม้าตัวนี้ก็สงสารมองเห็นน้ำตามันไหลก็ยิ่งสงสาร ผมจึงตัดสินใจต่อรองราคาจากเจ้าของม้าให้เหลือ 400 บาท และบอกว่าถ้าขายให้ 400 บาท ผมก็เหลือเงินเพียง 100 กว่าบาทเท่านั้น ผมต่อรองราคาซื้อม้า ใช้เวลานานพอสมควร สุดท้ายเจ้าของม้าตกลงขาย 400 บาท เมื่อตกลงกันเรียบร้อยและก็จ่ายเงินเป็นที่เรียบร้อย สามีเจ้าของร้านค้าบอกผมว่า ครูเตรียมใบมีดโกนพร้อมด้วยสำสีและแอลกฮอล์ ผมหันไปบอกให้เด็กชายจะกล้าไปเอาใบมีดโกนและแอลฮอล์ที่ครูใช้ล้างหูให้เด็กนักเรียนที่หูเป็นน้ำหนวก

เด็กชายจะกล้าหาย ไปสักพัก กลับมาพร้อมใบมีดโกนสำสีและแอลกฮอล์ จากนั้นช่วยกันผูกมัดม้าให้ชิดติดกับต้นไม้ ม้ามันก็ช่างรู้มันไม่ได้ขัดขืนการมัดการผูกมัดแต่อย่างใด จากนั้นสามีเจ้าของร้านขาย ใช้ใบมีดโกนกีดฝีที่ต้นคอม้า. ซ้ำแผลเดิมอีกหลายหน จนเห็นเลือดม้าไหลออกมาพร้อมกับน้ำหนองข้นเข้มมีกลิ่นเหม็นฟุ้งออกตามลอยแผล เสียงม้าร้องพร้อมมีอาการเต้นเล็กน้อย ผมและสามีเจ้าของค้าช่วยกันบีบเอาน้ำหนองออกให้หมด ใช้เวลานานพอสมควรเมื่อเห็นว่าน้ำหนองออกหมด จึงเอาสำสีชุบแอลกฮอล์เช็ดแผลจนแน่ใจว่าแผลสะอาด สามีเจ้าของร้านค้าได้เอายาแผลแดงชุบสำสีชัดแผลอีกครั้ง และบอกว่าไม่ต้องเอาอะไรมาปิดแผล ปล่อยทิ้งไว้คอยดูแลม้าเท่านั้น ธรรมชาติแผลมันแห้งหายและอาการจะดีขึ้น

เมื่อเสร็จการปฐมพยาบาลม้าเสร็จ ผมให้เด็กชานทั้งสองนำม้าไปไว้ที่บ้านพัก โดยให้ผูกเชือกไว้ที่ต้นไม้ของบ้านพักและมอบหน้าที่ให้เด็กชายทั้งสองรับผิดดูแลม้า คอยหาหญ้าหาน้ำให้ม้ากิน ได้ม้าผูกไว้เรียบร้อย เด็กชายทั้งสองก็หายไปไม่รู้ว่าไปไหน. พักหนึ่งกลับมาบ้านพักพร้อมด้วยหญ้าและน้ำเอามาให้ม้ากิน ผมสังเกตที่ตาม้าไม่มีน้ำตาไหลแล้ว ม้ามันคงจะหายปวดที่คอแล้ว เพราะได้เอาน้ำหนองออกหมด ม้ากินหญ้ากินน้ำพอสมควร มันถามเด็กชายทั้งสองว่าไปเอาหญ้ากับน้ำมาจากไหน เด็กชายทั้งสองบอกว่าเอาหญ้าที่เอาให้วัวกินโดยแบ่งมาเพียงบางส่วน ส่วนน้ำได้เอากระบอกน้ำไปตักที่ลำธาร

ช่วงตอนเช้าที่ผมไป รร ได้ผูกม้าไว้ที่เดิมและได้เตรียมหญ้าและน้ำไว้ให้มีชาวบ้านที่อยู่ใกล้บ้านพัก บอกว่าครูไม่ต้องห่วงม้าเขาจะดูแลให้ ผมจึงสบายใจที่มีคนช่วยดูแลม้าให้ เมื่อเสร็จภารกิจการสอนเรียบร้อยกลับมาบ้านพัก ม้าก็ยืนกินหญ้าอยู่ที่เดิมมีน้ำมีหญ้ากองไว้ใกล้จำนวนมากพอสมควร สอบถามก็ทราบว่าชาวบ้านช่วยกันหาหญ้าและน้ำไว้ให้ ผมเข้าไปหาม้าค่อยเอามือจับที่หัวม้าและลูบไปตามรอบคอม้า ม้าก็ยืนนิ่งให้ผมจับและลูบที่คอ ผมให้เด็กนักเรียนทั้งสองช่วยกันเอาเศษผ้าลูบเช็ดไปทั่วตัวม้า ม้าก็ยืนนิ่งให้เช็ด ผมนึกใจว่าไม่ต้องไปแบกข้าวหรือสิ่งอีกแแล้ว

ตื่นตอนเช้าก่อนจะไป รร ผมและเด็กนักเรียนต่างไปลูบหัวและตัวม้าก่อนที่จะเดินไป รร ในช่วงระหว่างที่สอนหนังสือ เด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งเข้าพูดกับผม พ่อและแม่ของเด็กนักเรียนหญิงได้ช่วยหาหญ้ามาให้ม้าครูกิน เด็กนักเรียนหลายคนก็ประสงค์ที่ช่วยครูหาหญ้าหาน้ำให้ม้ากิน ผมก็บอกฝากบอกว่าครูขอบคุณ จากวันนั้นเป็นต้นมาม้ามีหญ้ามีน้ำกินไม่ขาด อาการแผลที่คอของม้าเริ่มแห้งอาการของม้าก็ดีวันดีคืน ใช้เวลาไม่กี่อาทิตย์แผลที่ต้นคอหายแห้งสนิท

ตื่นเช้าในวันนี้เสร็จภาระต่าง ๆ เรียบร้อยได้เดินลงจากบ้าน ผมได้เดินเข้าหาม้าตามปกติที่ปฎิบัติเหมือนทุกวัน วันนี้ผมนึกว่าวันนี้จะพาม้าไป รร. ด้วย จึงให้เด็กชายจะกล้าจูงม้า เด็กชายจะเสือถืออุปกรณ์การสอนเดินตาม ผมเดินนำหน้าพร้อมอุปกรณ์การสอนบางอย่าง ม้าและเด็กชายทั้งสองก็เดินพากันไปตามถนนในหมู่บ้าน ทุกครั้งนักเรียนที่ยืนรอตามแนวทางเดินได้เดินตามหลังม้าเป็นแถวเดินขึ้น รร. เมื่อถึง รร. ผมให้เด็กชายจะกล้าปล่อยเชือกที่ผูกม้าให้ม้าเดินกินหญ้าตาม รร. โดยอิสระ จากนั้นผมนักเรียนทั้งหมดก็ปฎิบัติตามหน้าที่ของตนเอง จนกระทั่ง รร. เลิกกลับบ้าน เด็กชายจะกล้าก็ไปจับม้ามาผูกเชือก แล้วก็เดินตามกันเป็นแถวกลับบ้าน ถึงบ้านพักเอาม้าไปผูกมันไว้ที่เดิม ได้มีชาวบ้านได้นำเกลือมาให้ผมบอกว่าเอาผสมกับน้ำให้ม้ากิน ผมก็ปฎิบัติตาม ม้าดูอาการเจ็บป่วยหายไปหมดแล้ว อาการสดชื่นเวลาเอาผ้าเช็ดตัวม้า มันจะยืนให้เช็ดโดยไม่มีอาการขัดขืนเลย ผมจะปฎิบัติอย่างนี้อย่างต่อเนื่อง เวลาไป รร. ม้าก็ไป รร. ด้วย ผมนึกในใจว่าม้ามันก็เหมือนนักเรียน บางครั้งที่สอนนักเรียนมันจะมายืนใกล้ๆ เด็กนักเรียนจะยกเอามือจับหูม้าจับหางม้าบ้าง ม้ามันก็ไม่ทำร้ายนักเรียน

เช้าวันหนึ่งผมและเด็กชายสองทำธุระของตนเสร็จพร้อมจะไป รร. ผมนึกว่าวันนี้ทดลองขี่ม้าไป รร. ผมจึงบอกเด็กชายทั้งสองว่าวันนี้ครูจะขี่ม้าไป รร. เด็กชายทั้งสองเห็นด้วย โดยเด็กชายจะกล้าจะเป็นคนจูงม้าให้ครูขึ้นขี่ม้า ผมขึ้นขี่ม้าโดยไม่ใช้อานม้าเพราะมันไม่มี ผมขึ้นขี่ม้าโดยไม่ต้องใช้อะไรเป็นอุปกรณ์ ครั้งแรกนึกว่าม้าคงจะไม่ให้ขี่ จึงระวังตัวไว้ เมื่อขึ้นนั่งหลังม้าก็ไม่มีอาการสบัดของม้า ม้ายืนเฉยพอผมนั่งได้ที่ เด็กชายจะกล้าก็จูงม้าออกเดินตามถนนในหมู่บ้าน เด็กนักเรียนที่ยืนรอตามถนน เด็กนักเรียนบางคนหัวเราะและเดินตามหลังม้าตามม้าไป รร. เมื่อมาถึง รร. ผมลงจากหลังม้า เด็กชายจะกล้าปล่อยม้าเดินกินตามสบาย ผมเด็กนักเรียนเข้าห้องเรียนไปตามปกติ

เวลาว่างผมมองหาม้าก็ม้าเดินกินหญ้ารอบ รร. บางครั้งก็เดินมาใกล้ห้องเรียน มายืนใกล้ ๆเด็กนักเรียนเพื่อให้จับให้ลูบ ผมเห็นอาการของม้ามันคงอยากเป็นนักเรียนกระมัง ชาติหน้ามีจริงคงจะเกิดเป็นคนได้เรียนหนังสือ เมื่อ รร. เลิกม้ามันก็เดินมาให้เด็กชายจะกล้าจับผูกเชือก ผมก็ขึ้นนั่งหลังม้า ขี่เดินกลับบ้านพร้อมกับเด็กนักเรียน ถึงบ้านพักนำไปผูกมัดที่เดิม จากนั้นผมและเด็กชายทั้งสองก็จัดการภารกิจของตนเองที่เคยปฎิบัติมา เวลากลางคืนเด็กชายจะกล้ามีอาการไอ ตัวร้อนผมจึงเอายาให้กินและห่มผ้าให้หนา ๆ เมื่อกินยาเสร็จเด็กชายจะกล้าก็หลับสนิท ถึงเวลาเช้าเมื่อผมและเด็กชายจะเสือเสร็จภารกิจของตนเอง ส่วนเด็กชายจะเสือกินข้าวเสร็จให้กินยาให้พักผ่อนอยู่ที่บ้านไม่ต้องไป รร. ผมเดินลงจากบ้านพักเด็กชายจะเสือปลดเชือกม้า ม้าได้เดินมาหาผมที่ยืนรออยู่โดยเด็กชายจะเสือยังไม่ทันจับเชือก ม้ามายืนใกล้ผม ผมจึงขึ้นขี่ม้าเด็กชายจะเสือรีบมาจับเชือกจูงม้าเดินตาม ผมรีบเอาอุปกรณ์การสอนมาถือไว้ ม้าเดินตามเด็กชายจะเสือไปตามถนนในหมู่บ้านนักเรียนที่ยืนรอม้าเดินผ่านก็จะเดินตามเป็นแถวไป รร. วันต่อมาผมจึงให้เด็กชายจะกล้าเอาเชือกที่ผูกม้าออกเสีย ให้ม้าเดินอย่างอิสระโดยไม่ต้องมีเชือกผูกมีคนจูงนำทาง เมื่อเอาเชือกออกม้าจะเดินไป - กลับจาก รร ไม่ออกนอกเส้นทาง จะอยู่กับผมและเด็กชายทั้งสองอย่างอิสระ
152129.jpg (39.14 KiB) เข้าดูแล้ว 850 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
ตอบกลับ

กลับไปยัง “ทัวร์ริ่ง (Touring)”