คุยกันทั่วไป...สไตล์เสือสัมมากร ประจำเดือน ตุลาคม 2554

ผู้ดูแล: ถัง สัมมากร MTB

กฏการใช้บอร์ด
ชื่อกลุ่ม : สัมมากรMTB
วัตถุประสงค์ในการรวมกลุ่ม : เพื่อการออกกำลังกายและใช้เวลาว่างร่วมกัน
แกนนำ : พี่ตู่, พี่เดช, น้องถัง
วัน&เวลาออกทริปปกติ : เช้าวันอาทิตย์ เวลา 6.30 น.
จุดนัดพบ : 7-Eleven แห่งที่ 2 ในหมู่บ้านสัมมากร
รูปประจำตัวสมาชิก
ตู่ สัมมากรMTB
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2019
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ส.ค. 2008, 09:39
team: สัมมากรMTB, ศิษย์ อ.ถัง
Bike: TREK 1.7 '09, Giant white xtc team '08

Re: คุยกันทั่วไป...สไตล์เสือสัมมากร ประจำเดือน ตุลาคม 2554

โพสต์ โดย ตู่ สัมมากรMTB »

เจริญ อุชชิน เขียน:รูปภาพ

รูปภาพ



ของเล่นใหม่ของผมครับ :P
โห ปรับความหนืดอัตโนมัติ ตามน้ำหนักคนปั่นด้วยนะเนี่ย ไม่ธรรมดา (หนักมาก จมมาก หนืดมาก 555)
/\(^ _^ ) ( ^/\^ ) ( ^ _^)/\

ไม่ใช่เพราะว่าเป็นไปไม่ได้ ก็เลยไม่ทำ แต่เพราะไม่ยอมลงมือทำ ก็เลยเป็นไปไม่ได้

(^O^)/ เชิญแวะเยี่ยมบ้าน สัมมากร MTB
รูปประจำตัวสมาชิก
millky88
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 737
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2010, 14:49
Tel: 092-5323945
Bike: MERIDA HFS 4000
ตำแหน่ง: รามคำแหง 96

Re: คุยกันทั่วไป...สไตล์เสือสัมมากร ประจำเดือน ตุลาคม 2554

โพสต์ โดย millky88 »

เจริญ อุชชิน เขียน:รูปภาพ

รูปภาพ



ของเล่นใหม่ของผมครับ :P
มีเรือโฟมบ้างไหม๊ครับพี่ติ๊ก อยากได้สักลำ
รูปประจำตัวสมาชิก
rm1kart
สมาชิก
สมาชิก
โพสต์: 17
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ต.ค. 2011, 09:47
Bike: Basso

Re: คุยกันทั่วไป...สไตล์เสือสัมมากร ประจำเดือน ตุลาคม 2554

โพสต์ โดย rm1kart »

ปัญญาพลวัตร โดย...ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต

ในสังคมใด เมื่อมนุษย์ผู้ใดกลุ่มใดโชคดีมีอำนาจขึ้นมา แต่ขาดภูมิปัญญา ใช้อำนาจไม่เป็นและใช้ไปอย่างผิดทาง ก็จะสร้างความหายนะแก่สังคม และท้ายที่สุดอำนาจก็จะหวนกลับมาทำลายตนเอง ดังที่กำลังเกิดขึ้นกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์

ขณะที่คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีฝึกงานกำลังสาละวนและละล้าละลังในการจัดการกับการแก้ปัญหาน้ำท่วม ทักษิณ ชินวัตรพี่ชายของเธอก็หมกมุ่นกับการช่วงชิงอำนาจกับฝ่ายทหาร โดยด้านหนึ่งวิพากษ์ทหารว่าเสพติดอำนาจ และอีกด้านหนึ่งก็สนับสนุนให้ ส.ส.ในสังกัดดำเนินการแก้ พ.ร.บ. กลาโหม เพื่อช่วงชิงอำนาจในการแต่งตั้งนายทหารระดับสูงจากเดิมที่อยู่ในรูปแบบของคณะกรรมการให้มาอยู่ภายใต้นักการเมือง

ด้วยความที่หมกมุ่นอยู่กับการแสวงหาแนวทางและวิธีการที่ช่วยเหลือพี่ชายให้กลับสู่ประเทศไทยโดยปราศจากความผิด ความอ่อนหัดไร้ประสบการณ์การบริหารราชการแผ่นดิน ความจำกัดของความรอบรู้ในปัญหาและระบบงานราชการ ความตื้นเขินของพลังทางปัญญาในการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้างเป็นภาพรวม ผสานกับบารมีที่มีอยู่น้อยนิด ส่งผลให้การตัดสินใจในการแก้ปัญหาของ “ผู้นำจำเป็น” ของประเทศไทยเกิดความล่าช้าและผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า และการใช้อำนาจก็เป็นไปอย่างกล้าๆกลัวๆและไร้ทิศทาง

ปัญหาวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ในปัจจุบัน ได้แสดงตัวออกมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน และปรากฎอย่างชัดเจนในเดือนสิงหาคมเป็นต้นมา พายุหลายลูกที่พัดผ่านประเทศไทยตอนบนก่อให้เกิดปริมาณน้ำฝนที่มากกว่าปีก่อนๆ ทำให้ หลายจังหวัดในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางตอนบนต้องประสบกับชะตากรรมอันเลวร้ายของการถูกน้ำท่วม

ตามมาตรฐานของหลักการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนต่างๆ เมื่อน้ำไหลเข้าเขื่อนจำนวนมากก็ต้องเพิ่มปริมาณการระบายน้ำออกมา แต่ในครั้งนี้หลักการดังกล่าวกลับเกิดขึ้นอย่างล่าช้าเพราะมี “อำนาจ” บางอย่างสั่งให้เจ้าหน้าที่เขื่อนกักน้ำไว้ก่อน และกำหนดให้ระบายน้ำออกมาราวกับว่าเป็นสถานการณ์ปกติ จนกระทั่งถึงจุดที่ใกล้วิกฤติของเขื่อน จึงได้มีการเพิ่มปริมาณการระบายน้ำออกจากเขื่อน อำนาจที่ว่านั้นมิใช่อำนาจลึกลับใดๆ แต่เป็นอำนาจซึ่งดำรงอยู่ในคณะรัฐมนตรีนั่นแหละ

เหตุผลที่มีการสั่งกักน้ำไว้ก่อน หากมองในแง่บวก ก็คือ เป็นเจตนาดีที่ไม่ต้องการให้มีมวลน้ำไหลลงสู่แม่น้ำในปริมาณที่มาก น้ำจะได้ไม่ท่วม แล้วค่อยๆทยอยเพิ่มปริมาณการระบายน้ำในภายหลัง แต่เจตนาดีเหล่านี้ย่อมมีแรงจูงใจอยู่เบื้องหลัง นั่นก็คือ การรักษาคะแนนนิยมในกลุ่มประชาชนภาคเหนืออันเป็นฐานเสียงของรัฐบาล และในท้ายที่สุดกลับทำให้เกิดมหาอุทกภัยซึ่งสร้างความหายนะแก่ประเทศไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์

ความแปลกประหลาดของการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลในครั้งนี้มีร่องรอยให้สืบสาวจากข้อมูลที่ผู้อำนวยการเขื่อนภูมิพลสัมภาษณ์เอาไว้ นายบุญอินทร์ ชื่นชวลิต ผู้อำนวยการเขื่อนภูมิพลระบุว่า ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2554 ถึงเดือนกันยายน 2554 มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนเฉลี่ย 1,000 ล้าน ลบ.ม.ต่อเดือน รวมห้าเดือนมีน้ำเข้าไปอยู่ในเขื่อนภูมิพลประมาณ 5, 000 ล้าน ลบ. ม. แต่ในช่วงห้าเดือนนั้นเขื่อนระบายน้ำออกมาเพียงเดือนละ100 กว่าล้าน ลบ. ม. เท่านั้น รวมห้าเดือนก็ระบายออกประมาณ 500 ลบ. ม. หรือ มีน้ำเข้าเขื่อนมากกว่าน้ำที่ระบายออกมาถึงประมาณ 10 เท่า

ปริมาณน้ำที่ปล่อยออกมาในช่วง 5 เดือน ปล่อยน้ำออกมาเฉลี่ยประมาณแค่ 5 ล้าน ลบ. ม.ต่อวันเท่านั้น แต่ในเดือนตุลาคมได้มีการระบายน้ำเพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยในช่วง 1-4 ตุลาคม เพิ่มเป็น 40-60 ล้าน ลบ. ม.ต่อวัน ต่อมาระหว่างวันที่ 5 – 11 ตุลาคม เพิ่มเป็น 100 กว่าล้าน ลบ. ม. ต่อวัน และ ในช่วง 12 -19 ลดลงเหลือประมาณ 50 – 80 ล้าน ลบ. ม. ต่อวัน

รวมอย่างคร่าวๆน้ำในเขื่อนภูมิพลที่ระบายออกมาเฉพาะ 16 วันของเดือนตุลาคมมีประมาณ 1,200 ล้าน ลบ. ม. หรือประมาณ 2 เท่ากว่า ของช่วงห้าเดือน (150วัน) ซึ่งปล่อยออกมาเพียงประมาณ 500 ล้าน ลบ. ม.

สำหรับพายุที่เข้าประเทศไทยตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคมมี 2 ลูก คือ ปลายเดือนมิถุนายนมีพายุไหหม่า ต่อมาในปลายเดือนกรกฎาคมก็เกิดพายุนกเตน พายุสองลูกนี้นำน้ำจำนวนมหาศาลเข้าประเทศไทย แต่ที่น่าประหลาดใจคือการปล่อยน้ำจากเขื่อนภูมิพลก็ยังปล่อยเท่าๆกับเดือนพฤษภาคม เป็นไปได้ว่า ระหว่างนั้นนักการเมืองผู้ทรงอำนาจทั้งหลายคงไม่มีเวลาเพียงพอในการดูแลจัดการปัญหาเรื่องน้ำในเขื่อน เพราะมัวแต่แข่งขันเลือกตั้งช่วงชิงอำนาจ แม้ว่าน้ำได้ท่วมในบางพื้นที่ บางจังหวัดแล้ว สิ่งที่นักการเมืองทำก็คือ การฉวยโอกาสอาศัยความเดือดร้อนของประชาชนเป็นแหล่งในการหาเสียงสร้างคะแนนนิยมเท่านั้น ไม่มีการเตรียมการใดที่จะรับมือกับมหันตภัยที่กำลังคุกคามอยู่แม้แต่น้อย

รัฐบาลใหม่ของคุณยิ่งลักษณ์ตั้งขึ้นมาต้นเดือนสิงหาคม ปัญหาเรื่องน้ำก็ยังเป็นเรื่องเล็กสำหรับรัฐบาล ส่วนปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลดำเนินการอย่างเร่งด่วนคือ การหาทางในการช่วยเหลือทักษิณ ชินวัตรให้กลับเข้ามาในประเทศไทยโดยปราศจากความผิดติดตัว การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการเพื่อกระชับอำนาจให้แข็งแกร่ง การเจรจาและจัดงานบันเทิงเฉลิมฉลองเตะฟุตบอลร่วมกับผู้นำประเทศกัมพูชา การสนับสนุนข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ การช่วยเหลือเยียวยาสาวกของเสื้อแดง การพยายามแก้ไข พ.ร.บ. กลาโหม และการหาแนวทางต่างๆในการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ได้

สิ่งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องปัญหาน้ำท่วมก็มีบ้าง เช่น การรับบริจาค การออกไปเยี่ยมเอาของไปแจกผู้ประสบภัยบางคน บางพื้นที่ เพื่อสร้างภาพเป็นนายกนางงามแจกของ แต่ยังไม่เห็นความตระหนักในการแก้ปัญหา และการคิดอย่างเป็นระบบเชิงบูรณาการเพื่อรับมือกับปัญหาน้ำท่วมแม้แต่น้อย เราจึงไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆในการปล่อยน้ำจากเขื่อนภูมิพลและเขื่อนอื่นๆ ทั้งๆที่เขื่อนเหล่านั้นมีน้ำเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมหาศาลจากพายุทั้งสองลูกที่เข้ามา

ต่อมาในปลายเดือนกันยายนพายุก็ได้เข้ามาประเทศไทยอีก 2 ลูกคือ ไหถ่าง กับ เนสาด และต้นเดือนตุลาคม พายุนาลแก ก็พัดเข้ามา พายุทั้งสามทำให้ฝนตกหนัก และน้ำจำนวนมหาศาลไหลเข้าเขื่อน จากการที่เขื่อนปล่อยน้ำน้อยก่อนหน้านั้น ทำให้ความสามารถในการรับน้ำใหม่ที่เข้ามามีต่ำลง เขื่อนจึงจำเป็นต้องเพิ่มปริมาณการปล่อยน้ำอย่างมหาศาลตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมเป็นต้นมา ถึงกระนั้นรัฐบาลก็ยังคงสับสนและมะงุมมะงาหราอยู่ทำอะไรไม่ถูก แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ และเพิ่งมาคิดจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ) ขึ้นมา โดยมีหน้าที่ช่วยเหลือ ฟื้นฟูผู้ประสบภัยและประกาศแจ้งเตือนเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำเป็นหลัก

การตั้งชื่อและกำหนดหน้าที่ของ ศปภ. ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า รัฐบาลมีวิธีคิดในการแก้ปัญหาอุทกภัยแบบเสี่ยงเสี้ยวและมีแนวทางในเชิงการตั้งรับ คือคิดเพียงแต่ว่าเมื่อน้ำท่วมแล้วจะช่วยอย่างไร ฟื้นฟูอย่างไร รวมทั้งแค่แจ้งเตือนเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำเท่านั้น โดยไม่ได้คิดถึงว่าจะจัดการหรือควบคุมมวลน้ำจำนวนมหาศาลอย่างไร เพื่อบรรเทาความรุนแรงและลดความเสียหายที่เกิดขึ้นจากน้ำท่วม

เมื่อ ศปภ. ทำงานสิ่งที่ปรากฏแก่สาธารณะก็คือผู้ที่รับผิดชอบทำงานไม่เป็น ใช้คนไม่เหมาะกับงาน มีการช่วงชิงบทบาทการนำอย่างเข้มข้น บางคนต้องการเป็นวีรบุรุษแย่งกันเสนอหน้าแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ช่วยเหลือชาวบ้านแบบสร้างภาพหาคะแนน แถลงข่าวผิดๆถูกๆ จนต้องแก้ไขกันหลายครั้งหลายคราว ข่าวสารที่แถลงออกมาก็เชื่อถือไม่ได้ เป็นที่เอือมระอาของประชาชน การทำงานของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่รับผิดชอบใน ศปภ. สะท้อนถึงตัวตนที่อ่อนหัด ทำงานไม่เป็นในการรับมือและแก้ไขปัญหาวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้น

ยิ่งกว่านั้นสิ่งสำคัญที่ขาดหายไปจากหน้าที่หลักของคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นมาคือ การจัดการมวลน้ำที่ท่วมอยู่ในวงกว้างหลายพื้นที่ แต่การจัดการกับมวลน้ำมหึมาเช่นนี้ได้หาใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยข้อมูลทางวิชาการอย่างรอบด้าน ปัญญาความคิดสร้างสรรค์ในการแสวงหาแนวทางใหม่ๆในการจัดการ การตัดสินใจที่ดีเฉียบขาด และอำนาจสั่งการที่ทรงพลังและเป็นเอกภาพ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ปรากฏให้เห็นในกลุ่มบุคคลที่รับผิดชอบใน ศปภ.

ในความคิดของผม หลักการสำคัญของการจัดการมวลน้ำที่ท่วมขังมีอยู่ 3 ประการคือ การผลักดันมวลน้ำลงสู่ทะเลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การควบคุมน้ำให้อยู่ในพื้นที่ซึ่งสร้างผลกระทบน้อยที่สุดไว้ชั่วคราว และการป้องกันไม่ให้น้ำทะลักเข้าท่วมพื้นที่สำคัญ การจะดำเนินการตามหลักการทั้งสามนั้นอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนบางกลุ่มและอาจสร้างความขัดแย้งขึ้นมาได้ ดังนั้นการใช้อำนาจตามปกติจึงไม่สามารถจัดการตามหลักการทั้งสามได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อการจัดการขาดประสิทธิภาพสิ่งที่ตามมาก็คือ น้ำก็จะขังอยู่เป็นเวลานาน และทะลักเข้าไปท่วมในพื้นที่สำคัญที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศอย่างรุนแรง ดังที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน

ยิ่งน้ำท่วมขังนานเท่าไรความเสียหายทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และความมั่นคงก็มีมากขึ้นเท่านั้น และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ไม่มีวี่แววว่าจะจัดการแก้ปัญหาน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพแต่อย่างใด เมื่อเป็นเช่นนี้คะแนนนิยมของรัฐบาลก็ลดลงเรื่อยๆ ขณะที่กองทัพกลับได้รับคะแนนนิยมเพิ่มเติมจากการลงไปช่วยเหลือประชาชนทุกรูปแบบทั้งการป้องกันไม่ให้น้ำท่วมในบางพื้นที่ และการช่วยเหลืออื่นๆแก่ผู้ที่ประสบภัยน้ำท่วมอยู่แล้ว

แม้ว่ากองทัพจะเป็นกลไกของรัฐ แต่เป็นกลไกที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์และแกนนำเสื้อแดงมองด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก มีความระแวงอยู่ตลอดเวลาว่าทหารจะทำรัฐประหาร ดังนั้นเมื่อทหารมีคะแนนเพิ่มขึ้นก็สร้างความหวั่นวิตกแก่ทักษิณ ชินวัตร ผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาล เป็นเหตุให้เขาต้องออกมาวิพากษ์วิจารณ์ทำลายความน่าเชื่อถือของทหารโดยระบุว่า “ทหารเสพติดอำนาจ” และ ต่างชาติไม่ยอมรับการรัฐประหาร ทั้งที่ผู้เสพติดอำนาจอย่างโงหัวไม่ขึ้น ทำลายหลักประชาธิปไตย และหลักธรรมาภิบาลมากที่สุดคนหนึ่งก็คือตัวทักษิณเองนั่นแหละ

การเดินเกมเพื่อช่วงชิงอำนาจในการแต่งตั้งนายทหารระดับสูงจึงกลายเป็นเกมสำคัญของทักษิณ หากเขาชนะในเกมนี้ ทักษิณก็จะควบคุมการแต่งตั้งโยกย้ายทหารได้ทั้งหมดผ่านน้องสาวที่เป็นหุ่นเชิดของเขา แต่ความฝันของเขาอาจเป็นฝันสลาย เพราะอาจถูกพลังอันมหาศาลของสายน้ำทำลายลงไปก่อนที่จะประสบความสำเร็จ

---------------------------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 28
ความจริงเรื่องน้ำ อยากให้ทุกท่านทราบ และช่วยกันโพสต์ต่อไป เอาเฉพาะลิ้งก์ก็ได้
วันที่ 24 มิ.ย. น้ำในเขื่อนที่ตาก มีอยู่ 7500 ล้านลูกบาศก์เมตร
วันที่ 22 ก.ค. น้ำในเขื่อนที่ตาก มีอยู่ 8000 ล้านลูกบาศก์เมตร
วันที่ 19 ส.ค. น้ำในเขื่อนที่ตาก มีอยู่ 9800 ล้านลูกบาศก์เมตร
วันที่ 02 ก.ย. น้ำในเขื่อนที่ตาก มีอยู่ 10600 ล้านลูกบาศก์เมตร
วันที่ 14 ต.ค. น้ำในเขื่อนที่ตาก มีอยู่ 14000 ล้านลูกบาศก์เมตร
แสดงว่ารัฐบาลชุดก่อน - ไม่ได้สั่งเก็บ และไม่มีทางที่จะสั่งปล่อยได้
ปัญหาคือ รัฐบาลชุดนี้รู้ว่าน้ำมากและพายุจะเข้าแต่ไม่พร่องน้ำออกมา
ข้อมูลดิบ (ตามที่แนบ file ) ท่านสามารถดูได้ที่
water.egat.co.th/old-web/sumdam-rep/dam-bb/graph-bb.htm
ขอความร่วมมือพี่น้องทุกท่านช่วยกันนำข้อความนี้กระจายต่อไปให้ผู้อื่นรับรู้ด้วย
Kenshin

Have a good ride all you guys
รูปประจำตัวสมาชิก
TFR-oldschool
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 1735
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2009, 21:26
Tel: 0894857677
team: สัมมากร MTB
Bike: PRINCIPIA MSL // DAHON CLASSIC

Re: คุยกันทั่วไป...สไตล์เสือสัมมากร ประจำเดือน ตุลาคม 2554

โพสต์ โดย TFR-oldschool »

:shock: อ่านกันตาแฉะครับ ส่วนตัวผมว่าเรื่องแบบนี้คนเค้าก็พอจะรู้กันอยู่แล้วไม๊ครับ คนที่บอกว่าไม่รู้น่าจะเป็นว่าหลับหูหลับตามากกว่า แต่ยังไงก็ขอบคุณที่เอามานำเสนอนะครับ พิมพ์ซะยาวเลย :mrgreen:
PRINCIPIA MSL@10.57
สัมมากร MTB (สายเนียน >_<)
ตอบกลับ

กลับไปยัง “สัมมากรMTB”