@@@ทัวร์ลาวใต้2400กม ออกเดินทางวันนี้ (8 ต.ค) โดย อ. ขวัญใจ @@กับข้อคิดดีๆในการดำเินินชีวิต ที่ทุกท่านควรอ่านจาก พี่แดง สารภี ครับ

จำหน่ายจักรยาน(เก่าญี่ปุ่น) เสือภูเขาโครโมลี-อลูมิเนียมแบบตะเกียบ พร้อมซ่อมและโมดิฟายด์เสือภูเขาทางเรียบ-จักรยานเดินทางไกล โทร. 0814881440

ผู้ดูแล: เอ็ม.เจ.ไบค์ นครปฐม

กฏการใช้บอร์ด
จำหน่ายจักรยาน(เก่าญี่ปุ่น) เสือภูเขาโครโมลี-อลูมิเนียมแบบตะเกียบ พร้อมซ่อมและโมดิฟายด์เสือภูเขาทางเรียบ-จักรยานเดินทางไกล โทร. 0814881440
รูปประจำตัวสมาชิก
เอ็ม.เจ.ไบค์ นครปฐม
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 8741
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2009, 20:08
Tel: 0814881440
team: จักรยานทางไกลเอ็ม.เจ.ไบค์ นครปฐม
Bike: Diamond Back,JT Park,Nishiki,Shogun Cromo,Ritchey P23

Re: คุนหมิง

โพสต์ โดย เอ็ม.เจ.ไบค์ นครปฐม »

Deang-sarapee เขียน:
เอ็ม.เจ.ไบค์ นครปฐม เขียน:อีก3ปี ถ้า เอ็ม เจ จะย้ายมาอยู่ที่นี่ อาจารย์แดงมีความเห็น อย่างไรครับ........... เพราะอยากทำเป็นตัวอย่าง ให้แก่สมาชิก เอ็ม เจ ทุกท่านหลังเกษียร ว่าใช้ชีวิตแบบนี้ดีไหม....... เหมือนสิบปีที่แล้ว ที่ผมเริ่มเปลี่ยนให้คนขี่จักรยานมาขี่จักรยานแบบที่เอ็ม เจ คิด เพราะสุดท้าย ไม่ว่าจะไปขี่จักรยานแบบไหน แต่แบบที่เอ็ม เจ คิด จะเป็น จักรยานที่เราสามารถใช้ได้จริง ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่เราขี่จักรยานไม่ไหว( วันที่เราตาย) .......... เหมือน สร้างทีม จักรยานทางไกล นักจักรยานนึกว่าสร้างมาเพื่อการแข่งขัน แต่กลายมาเป็น ทีมเพื่อพัฒนาการขี่จักรยานเพื่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน เพราะออกกำลังกายก็คือส่วนหนึ่งของการใช้งาน ไปเที่ยว ไปตลาด ไปทัวริ่ง ไปทำงาน เป็นการใช้งานโดยจักรยานทั้งสิ้น แต่จะใช้มันอย่างไร ทุกคำตอบมีใน เอ็ม เจ ........ กระทู้อาจารย์แดง ก็คือ ส่วนหนึ่งของการพัฒนาการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน ของ เอ็ม เจ เช่นกัน.... ทุกคนใน เอ็ม เจ เป็น เจ้าของเอ็ม เจ.... ทุกท่าน ร่วมกัน พัฒนาการขี่การใช้จักรยานเพื่อคนไทย ครับ


รูปภาพ
:) :) จำได้ครับตรงนี้ที่ผมกับลุงดมไปกางเต้นท์นอน หลับสบายม้วนเดียวจบ(เสียไม่ฝันอะไรเลย) ผมคิดว่านะ..๓ ปีช้าไป ? :lol: :lol: ผมอยากให้ไปเสียวันนี้เวลานี้เลยครับ เหมาะที่จะตั้งเป็น Base Camp ของชาว M.J.เลยทีเดียว อนาคตพี่น้องชาวเอ็มเจ จะได้มีเป้าหมายปั่นสู่ Base Camp เพื่อเยี่ยมเยียนเจ้าสำนัก อาจจะเป็นประเพณีปั่นทางไกลจากทุกภูมิภาค ร่วมงานสังสรรค์วันคืนสู่เหย้าชาว M.J.จัดหลาย ๆ ปีเข้าเชื่อนะว่าจะกลายเป็นแบบอย่างทีมจักรยานของคนทั้งประเทศเป็นผลดีต่อบ้านเมืองในระยะยาวครับ

แต่..มีแต่นะครับ เราต้องเน้นคุณภาพของคนคือ ต้องมีการ Select คนที่จะเข้ามาร่วมอุดมการณ์(ตรงนี้ละครับยาก)เป็นห่วงครับเดินไปด้วยดีมีอัปรีย์มาแทรก พังเร็ววิธีการที่จะสกรีนคนมีหลากหลายวิธีครับไม่ต้องไปกลัว สรุปว่าเห็นด้วยรีบทำเลยครับเร่ง ๆ หน่อยจะได้เห็นผลโดยไว สังคมต้องการแบบอย่างที่ดีและจับต้องได้ครับ. :) :D




..... เอ็ม เจ ส่วนหนึ่งอยู่ต่างจังหวัดซื่งถือว่าเป็นส่วนมากที่อยู่สบายอยู่แล้ว แต่มีอีกส่วนหนึ่งที่อยู่ใน กทม และปริมณฑล ที่เมื่อเกษียรแล้ว ก็จะทนต่อ ค่าใช้จ่าย สภาพแวดล้อม การเป็นอยู่ที่ต้องดิ้นรนเพราะทุกอย่างมีแต่ค่าใช้จ่าย ไม่ไหว ........... คิดว่าจะทำตรงนี้เป็นที่อยู่ เกิดท่านใดอยากมาอยู่แบบนี้ ก็มาครับ ยังไม่ต้องไปซื้อที่ ลองมาอยู่แบบนี้ก่อนว่าอยู่ได้ไหม ............. ส่วนเรื่องคน ส่วนมากแล้วคนที่จะมาอยู่แบบ เอ็ม เจ นั้น สกรีนตัวเองมาก่อนแล้ว จะมีบ้างที่สกรีนตัวเองมาแบบบูดๆเบี้ยวๆ แต่เราก็มาจัดการหลอมเสียใหม่แล้วหล่อเหมือนหล่อพระครับ อันไหนโลหะไม่ดี เป็นพลาสติกบ้างก็กลายเป็นเชื่อเพลิงที่มอดไหม้ไปก่อน ที่เหลือก็จะหล่อเป็นพิมพ์เดียวกันได้ทั้งหมด .........................มีตัวอย่างครับ หลายท่านใหม่ๆ อยู่แบบ อร่อยจัง ตังค์อยู่ครับ แต่หลังจากถูกหลอมแล้วแย่งกันออกตังค์ วันไหนไม่ให้ออกตังค์มีโกรธ .......... ขอบคุณมากครับ
ร้านเอ็ม.เจ.ไบค์ เราให้คุณมากกว่าจักรยาน
ทางร้านเป็นผู้บุกเบิกจักรยานเสือภูเขาทางเรียบตะเกียบโครโมลีเป็นรายแรก

ร้านเราไม่ได้ขายสินค้าในlazadaหรือshopeeหรือเว็บตัวแทนขายสินค้าใดๆทั้งสิ้น
Tel.081-488-1440
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4364
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

คุนหมิง

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

รูปภาพ
น้ำโขงเลียบฝั่งเชียงของครับ ประทับใจมากเป็นครั้งแรกของชีวิตที่ปั่นเลียบฝั่งโขงด้านนี้(เคยแต่ขับรถผ่านไม่ทราบซึ้ง)
รูปภาพ

:lol: :lol: ผมจะพูดเสมอ ๆ ว่าใครก็ช่างที่ผูกมัดอยู่กับที่ ๆ เดียวเป็นคนใจแคบ หมายความว่าในโลกใบนี้ธรรมชาติได้สรรสร้างมาให้แตกต่างกันไปตามภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ฯ ดังนั้นในแต่ละพื้นที่ความงามย่อมแตกต่างกันไป ไม่มีที่ใดสวยที่สุด สวยอยู่ที่เดียว ฯ ไม่ใช่ แต่ละที่จะมีความสวยงามอยู่ในตัวเองความสวยงามของท้องที่เป็นเลกลักษณ์เฉพาะตัว การที่เราผ่านไปท้องที่ใด ๆ แล้วนำเอาท้องที่ ที่นั้น ๆ ไปเปรียบเทียบความสวยงาม แล้วไปฟันธงว่าที่นั่นสวยกว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ผมขอบอกครับว่า "ผิดครับ"

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมไปแซวเพื่อนเล่น ๆ ว่า "เลียบฝั่งโขงเหนือสุดเขตสยามสวยงามน่าไปชมยิ่งนัก" เพื่อนผมเขาไม่พอใจครับเพราะเขาเป็นคนอีสานเขาบอกแถวอีสานสวยงามกว่าหลายเท่า นี่คือการ "ฟังไม่ได้สรรพแต่จับเอาไปกระเดียด" ผมไม่ได้ไปบอกว่า เลียบฝั่งโขงเหนือสุดสยามสวยกว่าเลียบฝั่งโขงอีสาน ใช่ไหมครับเพราะนิสัยผมแล้วผมมั่นใจ ทุก ๆ ที่มีความสวยงามเป็นของตนเอง ใครจะสามารถค้นหาความสวยงามนั้นได้หรือไม่อย่างไร มันคนละเรื่องกัน อยากให้เพื่อนผมคนนั้นเขาได้มาอ่านเจอที่ ๆ ผมบันทึกไว้ตรงนี้จัง เขาจะได้หายโกรธผม แต่ก็ช่างเถอะคุณโกรธได้โกรธไป ผมไม่โกรธคุณครับ

ขอบอกนะครับสวยผมสวยใครต่างกันไปตามทัศนคติ ต่อไปนี้ผมจะพยายามพาท่านผู้มีเกียรติไปชมความงามของฝั่งโขงด้านเชียงของ-เชียงแสน ซึ่งโดยความสัตย์จริงแล้ว ทริปคุนหมิงน่าจะจบตั้งแต่ที่เรากลับมา แล้วข้ามฝั่งมานอนเชียงของ น่าจะจบ ณ ตรงนี้แต่ เพื่อนผมเขาจุดฉนวนให้ผมไปต่อเรื่องของ เลียบฝั่งโขงด้านเชียงของ-เชียงแสน จะสวยงามและการเดินทางจะเป็นไรอย่างไร ถึงไหน ผมจึงขอถือโอกาสประชาสัมพันธ์ เลาะโขงเชียงของ-เชียงแสน เผื่อว่านักปั่นตลอดจนนักเดินทางจะได้ใช้เป็นข้อมูลในการหาโอกาสไปปั่นชมเพลิน ๆ ในวันว่าง ยืนยันครับว่าเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง จะไปเวลาไหนเมื่อใด ได้ทั้งนั้น แต่ถ้าจะพิสูจน์ว่าน่าปั่นมาก ๆ ขอท้าให้ไปปั่น ฤดูร้อนเช่นเดือน เมษายน ซึ่งผมไปสัมผัสมาแล้วต้องยกนิ้วให้จริง ๆ อากาศไม่ร้อนทั้ง ๆ ที่แดดเปรี้ยง ๆ น่าทึ่งไหม? แตกต่างกับหลายที่นะ แม้จะเลียบน้ำแต่ปั่นหน้าร้อนยังร้อนตับแลบ ไปกันนะครับเรียนเชิญเลยครับจะได้หายสงสัย :lol: :lol:


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

เส้นทางที่ออกจากตัวเมืองเชียงของเมื่อผ่านเลยท่าเรือบัค มาสักน้อยหนึ่งประมาณกิโลคงได้ จะมีทางเลี้ยวซ้ายเป็นถนนลาดยางท่านไม่ต้องเลี้ยวนะครับ ให้ตรงไปเข้าไปเขตหมู่บ้านเลยก็จะเลาะเลียบโขง แต่ถ้าท่านเลี้ยวซ้ายที่ว่าก็จะลึกเข้าเขาครับ อดเห็นโขงช่วงเชียงของนะครับ เส้นทางที่เราตรงเข้าไปเป็นถนนเดิม ๆ ที่ยังไม่ได้ก่อสร้างหน้าฝนคงยากแน่นอนครับ แต่ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่าทางการมีนโยบายที่จะลาดยาง เมื่อลาดยางเสร็จแน่นอนว่า สายนี้จะหนาแน่นไปด้วยรถที่จะสัญจรไปมา ฉะนั้นขอเชิญนักปั่นทุก ๆ ท่านรีบไปเสียแต่ตอนี้นะครับ ธรรมชาติยังดิบ ๆ อยู่ เมื่อความเจริญเข้ารับรอง"หาย" :lol: :lol:


๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐ https://www.youtube.com/watch?v=Eg805dGCtgc ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐



:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: ผมได้เรื่องดี ๆ มาฝากครับ :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:

ประสบการณ์กับกำไรชีวิต : โดย Rainbow

มีเพื่อนฝูงมิตรสหายจำนวนหนึ่งมักถามผมว่า การเดินทางไปเมืองจีนที่ผ่านมาครั้งนี้ได้ไปที่นั่น ได้ไปที่นี่บ้างหรือเปล่า เมื่อผู้เขียนตอบไปว่า ไมได้ไป ท่านเหล่านั้นก็แสดงความเสียดายว่า ทำไมไม่ไปเข้าเยี่ยมดูเยี่ยมชมสถานที่เหล่านั้น เพราะขนาดคนอื่นที่อยู่ไกลๆ ยังใฝ่ฝันว่า สักวันหนึ่งจะต้องไปดูสถานที่นั้นให้ได้ การที่เราได้มีโอกาสไปถึง หรือผ่านไปในเส้นทางนั้นแล้ว แต่กลับไม่ไปดู ทำให้น่า เสียดายมาก

ผมไม่ปฏิเสธว่า สถานที่เหล่านั้นมีความสำคัญและน่าเข้าไปเยี่ยมชม แต่ความที่ตัวการเดินทางของผมมีความแตกต่างจากการเดินทาง ของคนอื่นทั่วไป มันแตกต่างจากทริปท่องเที่ยวธรรมดา หรือแตกต่างจากการเดินทางเก็บข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของนักโบราณคดี หรือแตกต่างจากการเดินทางที่สร้างความสัมพันธ์เพื่อเพิ่มปริมาณการติดต่อค้าขายของนักพาณิชย์สัมพันธ์ระหว่างประเทศ

การเดินทางของผมเป็นภารกิจที่ถือกำเนิดจากแรงบันดาลใจที่จะเลือกเอาวิธีการชนิดหนึ่งที่ตั้งโจทย์ด้วยการใช้พาหนะเป็นรถจักรยานสองล้อไปจนถึงเป้าหมาย ดังนั้นพฤติกรรมกับความคิดชุดต่างๆจึงทยอยเกิดขึ้นมารองรับภารกิจ ซึ่งย่อมไม่ใช่ความเพลิดเพลินจากการ ท่องเที่ยวที่ตื่นตาตื่นใจจากการเก็บเกี่ยวประสบการณ์แต่อย่างใด
ผมเชื่อว่า หากใครได้มีโอกาสลองมี แบบภารกิจนี้ดูบ้าง จะเข้าใจว่า ทำไมจึงไม่เกิดความปรารถนาอื่นใดมากไปกว่าเป้าหมายของ โครงการ จนทำให้สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจรายทางคลายความน่าตื่นตาตื่นใจลงไป

อนึ่ง..สิ่งที่ผมสังเกตเห็นความสำคัญที่น่ากล่าวถึงก็คือ มีแนวโน้มของผู้คนยุคใหม่ที่มักนิยมเดินทางกันในท่วงท่าของความละโมบ เรามักประเมินมูลค่าของการเดินทางด้วยมิติของ เศรษฐศาสตร์ ที่ตัดสินด้วยการได้ดูได้เห็นจำนวนมาก คล้ายคลึงกับการที่ผู้คนในยุคนี้ที่ ถือการใช้ชีวิตต้องมี กำไร จึงจะคุ้มค่า ได้กิน , ได้เสพ , ได้รับมากกว่าที่จะเป็นฝ่ายให้เมื่อเทียบกับผู้คนอื่นๆ จนกระทั่งนิยามไปว่า การมี โอกาสได้เสพสิ่งต่างๆเหล่านั้น คือเป้าหมายของการเดินทาง และตรงกันข้าม นักเดินทางที่เสพน้อย , เห็นน้อย , กินน้อย ย่อมขาดทุน ราวกับว่า การได้มีโอกาสได้ดูได้เห็นมากแห่งเป็นเครื่องแสดงความสามารถชนิดหนึ่ง และสถานที่ทางธรรมชาติหรือโบราณสถาน เหล่านั้นถูกลดค่าลงเป็นเสมือนสินค้าที่รอผู้บริโภคอยู่บนชั้นวางของรอการจับจ่ายในตลาดท่องเที่ยว เราถูกทำให้เชื่อว่า ยิ่งเที่ยวชม,เที่ยวดูมากแห่งก็ยิ่งเป็นกำไรเท่านั้น ผู้คนเริ่มเชื่อกันว่า “ประสบการณ์” เป็นสินค้าที่น่าซื้อหา เพียงแค่ซื้อมันมาด้วยตั๋วแห่งการเดินทาง

การนิยามความสุขที่เคยเกิดจากการได้มี ได้กินธรรมดา กลับเริ่มซับซ้อนขึ้นกลายเป็นโอกาสแห่งการได้ประสบการณ์ชีวิต คือช่องทาง ของการขายของในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวยุคใหม่ และมันจะเป็นทุกข์ชนิดใหม่ของผู้คนที่ไร้ความสามารถไล่ล่าประสบการณ์เหล่านี้ ประสบการณ์ที่ได้รู้ได้เห็นสิ่งต่างๆมากมายไม่ได้มีความหมายที่สลักสำคัญมากไปกว่าความคิดที่เรามีต่อสิ่งเหล่านั้น น่าคิดว่า ประสบการณ์จะมีความหมายได้อย่างไร หากสิ้นไร้ความสามารถสังเคราะห์ความคิดเบื้องหลังที่เกิดจากการดูได้เห็นในแต่ละสิ่งเข้าด้วยกัน

เราได้อยู่กินกับลัทธิบริโภคนิยมจนติดนิสัยประจำวันไปแล้ว และเริ่มขยายใช้นิสัยเหล่านี้ไปกับบริบทอื่นๆที่แต่เดิมน่าจะอยู่นอกเหนือ การซื้อขาย ประสบการณ์ชีวิตมิควรถูกลดค่าลงจนกลายเป็นสินค้าข้อมูลชนิดหนึ่งที่นำมาก็อป***ลงในสมองของเรา แทนที่จะเป็น อย่างนั้น ประสบการณ์น่าจะเป็นโอกาสของชีวิตที่จะเคลื่อนเข้าสู่ดุลยภาพของการเรียนรู้ระหว่างธรรมชาติกับตัวเรา และระหว่างตัว เรากับโลก จนกระทั่งนำพาให้เกิดการเป็นอยู่ที่สอดคล้องกับโลกแห่งความเป็นจริงในที่สุด

17.55 น.18 กันยายน 2553
หัวลำโพง กรุงเทพมหานคร
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4364
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

คุณหมิง

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

รูปภาพ

:) :) เราตัดลัดเลาะเรียบฝั่งโขงโดยไม่สนใจว่าจะยากลำบากตามคำบอกของชาวบ้าน ซึ่งก็ทำให้เราไม่ผิดหวังตรงข้ามถ้าเราเชื่อชาวบ้าน ที่บอกเราว่า "ทางไม่ดี จย.ไปลำบาก ให้ไปตามถนนลาดยางจะสบายกว่ากันเยอะ" เขาเหล่านั้นเข้าใจจักรยานผิดถนัดใจ ไม่รู้หรือว่าจักรยานนี่แหละตัวทะลุทะลวงของจริง ความที่พวกเราไม่ย่นย่อ ท้อถอยกับคำบอกเล่า เราจึงได้ความประทับที่ไม่มีวันลืม ผมไปปั่นเลียบน้ำโขงมาหลาย ๆ ที่ แต่ไม่เคยสัมผัสเขตบ้านของตัวเอง ถึงกับตาค้าง

ที่แปลกอย่างยิ่ง คือเราปั่นกันเดือนเมษา ฯ มันร้อนสุด ๆ แต่วันนั้นกลับไม่ร้อนเหมือนชื่อเดือน มิหนำซ้ำยังเย็นสบาย พวกเราปั่นแบบเอื่อย อ้อยอิ่ง เหมือนกลัวจะถึงที่หมาย และคืนนี้เราก็ไม่ได้กำหนดด้วยว่า จะนอนกันที่ไหน ? เรียกว่าเพลิดเพลินกันสุด ๆ ครับ หรือเป็นเพราะผิดหวังจากต้าลี่-ลี่เจียง สวรรค์จึงตอบแทน ณ จุดนี้ให้พวกเรา :lol: :lol:


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ


สาวฝั่งโขง.........
ปอง ปรีดา......................





สาวฝั่งโขง.........


ศรชัย เมฆวิเชียร....................

สาวฝั่งโขง .........


ยอดรัก สลักใจ.......................

:idea: :idea: วนอุทยานห้วยทรายมาน อยู่ในท้องที่ตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย อยู่ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่โขงฝั่งขวา มีเนื้อที่ประมาณ 4,000 ไร่ ประกาศจัดตั้งเป็นวนอุทบานเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2549 ลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะทั่วไปของพื้นที่เป็นภูเขาสูง สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 400-700 เมตร ลักษณะภูมิอากาศ มีช่วงฤดูร้อนระหว่างเดือนมีนาคม-กุมภาพันธ์ ฤดูฝนระหว่างเดือนมิถุนายน-ตุลาคม และฤดูหนาวระหว่างเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ โดยมีอุณหภูมิสูงสุด 38 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 8 องศาเซลเซียส มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1600 มิลลิเมตรต่อปี พรรณไม้และสัตว์ป่า ลักษณะพรรณไม้เป็นป่าเบญจพรรณ เช่น ประดู่ ซ้อ มะขามป้อม มีไผ่เป็นไม้พื้นล่าง สำหรับชนิดสัตว์ป่า ได้แก่ อีเห็น หมูป่า อ้น ตุ่น ซาลามานเดอร์ เป็นต้น

ที่ตั้งและการเดินทาง วนอุทยานห้วยทรายมาน ต.ริมโขง อ. เชียงของ จ. เชียงราย

ผู้บริหาร : บัญฑิต น้อนนรินทร์ ตำแหน่ง : นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการ บ้านพัก และค่ายพักแรม ไม่มีบ้านพักบริการแก่นักท่องเที่ยว หากนักท่องเที่ยวมีความประสงค์จะเดินทางไปพักแรมและพักผ่อนหย่อนใจหรือศึกษาหาความรู้ทางธรรมชาติ โปรดนำเต็นท์ไปกางเอง : ขอบคุณข้อมูลและภาพถ่ายของ Chiengraifocus.com ครับ


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ


:) :) :) :) ........................... :) :) :) :) ................... :) :) :) :)
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4364
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

คุนหมิง

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

:idea: :idea: ตลอดเส้นทางเราได้ซึมซับบรรยากาศยากที่จะลืม อากาศที่เป็นใจแม้จะมีแดดแต่ไม่ร้อนเลย น่าจะ้พราะอิทธิพลของน้ำโขง ตรงนี้ละครับที่ได้ใจพวกเราเต็ม ๆ เพราะแม้เราปั่นเลียบน้ำที่อื่น ๆ ก็ไม่เห็นจะเย็นเหมือนที่นี่ จะไม่เปรียบเทียบที่ใดนะครับ อยากให้ไปทดลองปั่นสัมผัสกันเองก็แล้วกัน ย้ำเสมอว่าแต่ละท้องที่จะมีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ แต่ใครจะประทับใจที่ไหนอย่างไร ขึ้นอยู่กับตัวตนของผู้นั้น นี่ละครับความเป็น ปัจเจก ของนักเดินทางโดยเฉพาะจักรยานครับ :lol: :lol:
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4364
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

คุนหมิง

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:o :o ขอคั่นรายการสักวันนะครับ เมื่อวันที่ ๒๒ ต.ค.๕๘ รักรถรักธรรม ได้พาลุงดมซึ่งเป็นเพื่อนร่วมทีมไปไหนต่อด้วยกันมาตลอดแต่วันดีคืนดีเกิดพูดไม่มีเสียง ต้องเปล่งลมใช้ลมมากจึงได้ไปตรวจที่ รพ.หมอตรวจพบว่าเป็นมะเร็งที่กล่องเสียงระยะที่ ๒-๓ ต้องรีบทำการรักษา คือต้องผ่าตัดและทำคีโม ตกใจกันมากครับแต่เราก็ให้กำลังใจกัน ลุงดมเข้าผ่าตัดประมาณเดือนสิงหาคมและทำคีโม จวบจนวันนี้ก็ ๒ เดือนเกือบ ๓ เดือน อาการดีขึ้นมาก บรรดาแพทย์ต่างพากันแปลกใจ คนไข้ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เพราะอานิสงค์ของ "จักรยานครับ" ลุงดมและซึ่งเป็นหนึ่งในทีมรักรถรักธรรม จะปั่นจักรยานเดินทางไกลไปด้วยกันตลอด ผลของการปั่นจักรยานเดินทางไกลก็คือได้ออกกำลังไปด้วย การที่ร่างกายได้ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลานานมาแล้ว ย่อมมีภูมิต้านทาน แต่ร่างกายที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า "เป็นรังแห่งโรค" ยามเมื่อวิบากกรรมจะให้ผลต่อให้คุณแข็งแรงดังยักษ์สีก็ไม่มีทางเลี่ยงได้ เมื่อเป็นแล้วจะต่อสู้อย่างไรนี่ซิสำคัญ ลุงดมนั้นต่อสู้ด้วยการ "ทำใจ การรักษาเป็นเรื่องของหมอ" คอยติดตามละเอียดนะครับผมจะนำมาเล่าไว้เป็นวิทยาทาน ในโอกาสต่อไป เช้านี้เอาตัวอย่างชมก่อนก็แล้วกันครับ :) :)

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4364
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

คุนหมิง

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

เลาะริมโขงใช่ว่าจะไม่ร้านหรูให้นั่งนะครับ เราเจอร้านกาแฟหรูลุงป๊อกเล่าว่าเคยมานั่งกับคุณยูรแล้วเป็นกาแฟไฮโซประมาณนั้น ก็เลยไม่ได้แวะกันมองเข้าไปในร้านเห็นมีฝรั่งนั่งอยู่ ๒ - ๓ โต๊ะบรรยากาศน่าจะโอเคครับ เราปั่นกันไปเรื่อยไม่มีเป้าหมายจนกระทั่งตะวันบ่ายคล้อย เราก็มาถึงพระธาตุแสนเมือง คุณนายแกเกิดชอบใจอยากจะพักปฏิบัติธรรมที่นี่สักคืน แหงนขึ้นไปสูงพอควร บังเอิญว่าผมเหลือบไปเห็นป้ายให้เข้าไปติดต่อทางขวามือตรงข้ามกับทางขึ้นพระธาตุแสนเมือง พวกเราจึงเลี้ยวเข้าไปร่มรื่น มองหาใครไม่เจอก็เดินวนรอบวัด ไปเจอป้ากุฏิพระเขียนว่า กุฏินิมิตดอยคำ ก็แปลกใจเป็นพระธาตุเดียวกันหรือเปล่า ผมมองหาพระไม่เจอแต่เห็นมีรองเท้าวางไว้หน้ากุฏิก็เลยร้องเรียก สักครู่ก็มีพระท่านเดินนออกมาผมกราบนมัสการและแจ้งความประสงค์ ท่านก็บอกตามสบายให้เราไปที่อาคารจะมีโยมสองสามี-ภรรยาเป็นคนจัดการ

เราไปพบสองสามีภรรยาตอนหลังทราบว่า สามีเป็น ตชด.(ลูกน้องเก่าผมเอง)เขาก็ดีใจจัดที่พักให้ ก็มีเรื่องแปลกที่อยากจะเล่าให้ฟังครับ ตามไปละกันขอเวลาลำดับเหตุการณ์สักนิดครับ :lol: :lol:
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4364
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

คุนหมิง

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

รูปภาพ

:lol: :lol: ชีวิตคนเราในหนึ่งชาติมีเรื่องราวที่มากมายก่ายกอง ทั้งดี-ไม่ดี คละเคล้ากันไป วันที่พวกเราไปถึงพระธาตุแสนเมืองเกิดถูกใจอยากจะพัก ก็เข้าไปติดต่อและได้รับการต้อนรับอย่างดีจากพระอาจารย์ แนะนำให้ติดต่อกับผู้ดูแลสำนัก ซึ่งเป็นอดีต ตชด.เมื่อผมเจอหน้าก็บอกตรง ๆ นะว่าผมจำเขาไม่ได้สมัยนั้นมีลูกน้องเป็นพันครับ เมื่อเจอหน้ากันเขาก็ต้อนรับขับสู้ดีมากแต่ยังไม่ฉงนใจ (คงจำผมไม่ได้)

เรื่องที่จะเล่ามีหลายเรื่องครับทั้งโศกเศร้าสารพัด แต่ขอคัดเอาเฉพาะที่ขำ ๆ นะครับ คือว่า หลังจากที่เราพบกันแล้วเราก็เหมือนคนที่เพิ่งรู้จักกัน แต่ไม่ใช่ปรากฏว่า รุ่งเช้าภรรยาเล่าให้เราฟังว่า "เมื่อคืนสามีนอนไม่หลับทั้งคืน แกนอนคิดว่าผมนั้นเหมือนเจ้านายเก่าของแก ทั้งการเดิน การพูด น้ำเสียง มันใช่เลยผมต้องเป็นเจ้านายเก่าของแก คือผู้กองสำราญ แน่ ๆ " พอตื่นตอนเช้า แกตื่นมาต้มน้ำชงกาแฟ แกก็แอบ ๆ มามองผมตลอดเวลา(เอ..ยังไงวะนี่ ๕๕.) แต่แกก็ไม่กล้าถามไม่กล้าพูดกับผม จนภรรยาเล่าให้พวกเราฟัง ผม(กลั้นหัวเราะครับ)แต่ก็ไม่พูดอะไรคงนิ่งเฉย ก่อนจะอำลากันลุงป๊อกถึงได้บอกให้แกทราบ แกรีบวิ่งเข้ามากอดผมแสดงความดีใจที่สุด เล่าว่าเมื่อคืนนอนไม่หลับเลย แกคิดเสมอว่าผมต้องคือเจ้านายแกแน่นอน ขอร้องอยากจะขอให้พวกเราค้างอีกสักคืน ต้องสัญญากันว่าเราจะกลับไปอีกครั้งไว ๆ นี้ :lol: :lol:


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพอย่าเสียเวลาแวะไปเยี่ยมชมนะครับ เจ้าหน้าที่ห้ามบุคคลภายนอกเข้าไปเด็ดขาด เป็นสถานที่ส่งสินค้าท่าเรือใหญ่มากอยากชมต้องทำหนังสือแจ้งครับ ได้ความรู้ใหม่เขาเกรงว่าจะเกิดอุบัติเหตุเช่นของหล่นเกิดอันตราย(คงไม่อยากมีปัญหา) :lol: :lol:

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4364
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

คุนหมิง

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

ถึงเชียงแสนเราแวะนั่งพักที่ท่าเรือ มีกัปตันเรือเด็กหนุ่มชาวจีนเราได้สอบถามถึงวิธีการที่จะเอาจักรยานใส่เรือ ไปขึ้นที่ท่าเมืองสิบสองปันนา(จิ่งหง) ปรากฏว่าคุยก็ไม่รู้เรื่องต้องอาศัยมือถือแปลภาษา ถึงว่าถ้าเมืองจีนถ้าใจกว้างให้เราใช้เน็ตได้ป่านนี้เราไม่ต้องมาเสียใจกับความผิดหวัง คุยกันรู้เรื่องนิด ๆ หน่อยโดยผ่านการแปลจากลุงกู เราก็ยังโชคดีเจอเข้านักปั่นชาวเชียงแสน ทราบภายหลังว่าเป็นประธานชมรมจักรยานเชียงแสน ชื่อว่าเฮียใหญ่มีร้านค้าติดริมโขง (ฐานะคงไม่ธรรมดา) ได้เข้ามาคุยด้วยเราจึงได้ทราบข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มขึ้นเป็นพื้นฐานถ้าจะล้างตาในครั้งต่อไป

ออกจากเชียงแสนเรายังเลาะฝั่งโขงเข้าสามเหลี่ยมทองคำ มุ่งไปให้สุดโขงที่สบรวก แต่ก่อนผมมีหน้าที่รับผิดชอบอยู่แถวนี้ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าที่เคยอยู่ ครับโลกเปลี่ยนไปทุก ๆ นาที อย่าจมอยู่กับที่ครับมีเวลาออกผจญโลกภายนอกกัน เราปั่นขึ้นดอยสบรวก โดยผมนำไปก่อนประมาณว่าจะไปรอที่สามแยกเข้าแม่จันเลย แต่ปรากฏว่าเมื่อผ่านด่าน บ.สบรวกตรงบริเวณฐาน ชฝต.(ชุดเฝ้าตรวจชายแดน) ลุงป๊อกเจอแจ็กพอตยางแบน คุณนายโทร ฯ เรียกให้ผมย้อนกลับมาช่วยลุงป๊อกปะเปลี่ยนยาง เสียเวลาไปนานพอควร กว่าจะได้เดินทางต่อไป

ก็ขอแนะนำครับท่านที่ยังไม่เคยปั่นเข้าแม่สาย ก็ขอให้ปั่นให้ทะลุเข้าไปเลย พวกเราเคยไปหลายครั้งแล้วจึงเอาแค่สุดโขงก็เลี้ยวเข้าถนนที่มุ่งสู่แม่จัน ไม่เข้าแม่สายไม่อยากจะไปนอนที่แม่สายครับ :lol: :lol:
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4364
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

คุนหมิง

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D อรุณสวัสดิ์ครับเช้านี้เรามาเดินทางกันต่อ หลังจากที่คุณนายโทร ฯ เรียกผมให้ย้อนกลับมาช่วยลุงป๊อกซ่อมยางที่รั่วตรงเลยฐาน ชฝต.(ชุดเฝ้าตรวจชายแดน)บ.สบลวก ซึ่งเราเสียเวลาพอสมควรเนื่องจากหาเศษสาเหตุแห่งรั่วที่ยางให้เจอถ้าไม่เจอปั่นไปรับรองรั่วอีกจนได้สุดท้ายก็เจอเป็นเศษแก้วเล็กมาติดคาอยู่ยางนั่นแหละ ก็ขอบอกนะครับว่าเมื่อยางรั่วอย่าถอดแล้วเปลี่ยนเลยท่านต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนเสมอ ๆ หากมีเศษอะไรแฝงอยู่แม้นิดเดียวมันก็จะทำให้ยางรั่วซึมอีกได้ เราปั่นกันแบบสบายตามสไตล์การท่องเที่ยวระหว่างทางบรรยากาศสุดแสนจะบรรยายครับ เราแวะเติมสารเสพติด(ต้มกาแฟ)ที่ห้างนานั่งชมดอยนางนอน แต่เป็นระยะใกล้จึงมองไม่เห็นว่าเป็นนางนอน (ดอยนางนอนเป็นที่ตั้งของพระธาตุดอยตุง อันเป็นปูชนียสถานสำคัญของภูมิภาคนี้ อีกทั้งเป็นที่ประทับของสมเด็จย่า แม่ฟ้าหลวงของปวงชนชาวไทย สำหรับเทือกเขาดอยนางนอนนี้ มี จุดสูงสุดคือ ผาช้างมูบ ซึ่งมีความสูงจากน้ำทะเลประมาณ ๘๓๐ เมตร สภาพพื้นที่ทั่วไปของดอยนางนอนเป็นภูเขาหินปูน ซึ่งมีถ้ำอยู่หลายแห่ง ดังนั้นพื้นที่ทางตะวันตกจึงเป็นที่สูงและลาดลงไปทางตะวันออกเป็นพื้นที่การ เกษตร ไปจนจรดเขตอำเภอเชียงแสน ส่วนทางทิศใต้เป็นที่ราบติดกับอำเภอแม่จันและอำเภอแม่ฟ้าหลวง)

ผมภูมิใจที่สุดสมัยรับราชการเป็นผู้บังคับกองร้อยที่แม่จัน สามารถตรวจจับโรงงานผลิตยาเสพติดได้ถึง ๒ โรงใหญ่มูลค่ามหาศาลทะเลาะกับผู้ทรงอิทธิพลเปิดการดวลกันบนยอดดอยเรื่องนี้ยาวครับคงเล่าที่นี่ไม่ได้ ใครอยากรู้เจอผมสอบถามเถอะแล้วรับรองจะเล่าให้ฟัง ยาเสพติดเป็นพิษภัยกับทุกคนไม่ว่าคุณจะเสพไม่เสพ เป็นเจ้าหน้าที่หรือไม่ล้วนมีส่วนได้รับผลกระทบของเจ้ายามหานรกตัวนี้แทบทุกคน ใครที่เข้าไปมีส่วนด้วยมีเรื่องทั้งดีและไม่ดีทุกรายครับ

จุดชมดอยนางนอนที่เห็นชัดน่าจะอยู่แถว ๆ ห้วยไคร้แม่จัน แต่ก่อนนะครับการก่อสร้างต่าง ๆ ไม่มากมายเหมือนปัจจุบันดอยนางนอน พาดนอนขวางทางที่มุ่งสู่ อ.แม่สายให้ได้ชมกันแทบจะทุก ๆ จุด ปัจจุบันหาจุดชมได้ยากแล้วมลภาวะทางตามันเยอะมากนี่แหละครับอานุภาพของความเจริญทางวัตถุ ที่ทำให้คุณค่าทางจิตใจเสื่อมหายไป เมื่อเราจิบกาแฟซึมซับบรรยายกาศจนเต็มอิ่มก็พากันออกเดินทางจนทะลุถึงทางสามแยกไปแม่จัน-แม่สาย เลี้ยวซ้ายเข้าแม่จัน ผ่านทิวทัศน์สองข้างทางตกใจเห็นแผงสับปะรดขายนางแล ภูแล ปรกติแล้วนางแลเขาจะตั้งขายที่ บ.นางแล เชียงรายที่เดียว แต่เดี๋ยวนี้มีหลาย ๆ ที่ ที่ตกใจเพราะนางแลบุกไปจนชิดแม่สายเรียกว่าผิดปรกติ ผมก็เลยเรียกนางแลเป็นนางเล่อ (แม่นางตาเข๕๕๕) อีกหน่อยสับปะรดเราคงแพ้ของลาวนะ ไม่แน่ ๆ อย่าประมาท ๕๕๕.

ปั่นเลย บ.ห้วยไคร้มานิดนึงเราก็เจอร้านกาแฟที่นำเอากาแฟดอยหลวงมาทำขาย อร่อยมากนะครับใครผ่านไปแวะชิมได้ ประเทศไทยมีที่เดียว(เขาเล่ามา) เราซื้อติดมือกลับไปคนละถุงกับลุงป๊อก ก่อนเข้าเชียงรายก็มืดต้องติดไฟปั่นกัน ช่วงที่เข้าเขตเชียงรายต้องจอดรอกันเป็นระยะ เพราะผมเป็นคนนำ(หัวลาก) ยอมรับว่าผมถ้านำจะเป็นหัวรากที่แย่มาก ๆ มักปั่นไปเรื่อย ๆ ไม่ทราบเลยว่ามักจะทิ้งห่างเสมอ ๆ สาเหตุเพราะปั่นด้วยสมาธิครับ จึงกดบันไดเร็วขึ้น ๆ รู้ตัวอีกทีก็ต้องจอดรอ ในที่สุดเราก็เข้ามาถึงห้าแยกพ่อขุนเม็งราย ก่อนเข้าบ้านแวะเติมพลังที่ร้านบะหมี่ห้าแยก เจ้าของร้านประทับใจการเดินทางของพวกเรากินหนึ่งถ้วยแถมให้อีกถ้วย ขอบคุณมาก ๆ นะครับ ออกจากร้านบะหมี่ก็ตรงไป ภูแสงจันทร์ ถึงบ้านเกือบสี่ทุ่มประมาณนั้นครับ คุนหมิงตอบแทนเราอย่างดีให้โอกาสเราได้ชมฝั่งโขงด้านบนเหนือสุดซึ่งไม่เคยปั่นมาก่อนเลย ขอบอกนะครับเรียนเชิญทุก ๆ ท่านที่รักการเดินทางไกลด้วยจักรยานไม่ควรพลาด ท้าให้ไปได้ทุกฤดูครับ :lol: :lol:


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพตำนานดอยนางนอน เรื่องตำนานดอยนางนอนนี้ เล่ากันว่า นานมาแล้ว ณ เมืองเชียงรุ้ง สิบสองปันนา มีเจ้าหญิงองค์หนึ่ง มีพระสิริโฉมงดงามเป็นอย่างยิ่ง ได้แอบรักกับชายเลี้ยงม้าในวัง อันเป็นการผิดกฏตามโบราณราชประเพณี จึงจำต้องหลบหนีตามกันมา จนกระทั่งถึงที่ราบแห่งหนึ่งใกล้แม่น้ำโขง ช่วงเวลาที่ทั้งคู่หลบหนีมาด้วยกันนั้น เจ้าหญิงก็ทรงพระครรภ์ได้หลายเดือนแล้ว จึงเสด็จต่อไปไม่ไหว นางจึงบอกพระสวามีว่าจะประทับรออยู่ที่นี่ ส่วนสวามีก็บอกนางว่าจะไปหาอาหารมาให้ อย่าไปไหนนะ ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินทางออกไปหาอาหารในป่านั้น แต่ทว่าชายหนุ่มนั้นจากไปนานแล้วไม่กลับมาเสียที พอเจ้าหญิงมาได้ทราบข่าวอีกที ปรากฏว่าชายหนุ่มผู้นั้นถูกฆ่าโดยทหารของพระราชบิดาของเจ้าหญิง ซึ่งได้สะกดรอยตามมาตลอดนั่นเอง ด้วยความเสียพระทัย นางจึงใช้ปิ่นปักผม แทงพระเศียรของพระองค์จนโลหิตไหลออกมาเป็นสายจนถึงแก่พระชนม์ชีพ และสายพระโลหิตที่ได้หลั่งไหล่ออกมานั้นได้กลายมาเป็นต้นแม่น้ำแม่สายในทุกวันนี้ ส่วนพระวรกายของพระองค์ที่นอนเหยียดยาวจาก ทิศใต้จรดทิศเหนือ ก็กลายเป็นดอยนางนอนจวบจนทุกวันนี้ และส่วนของพระอุทร(ท้อง)ก็เป็นดอยตุง


นนนนนนนน...... https://www.youtube.com/watch?v=uwfwyF21Pk8 ....... นนนนนนนนนนนนนนนนน


๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐ https://www.youtube.com/watch?v=HmgC5aJwzes ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐


ประวัติศาสตร์เมืองเชียงราย, เชียงราย,เชียงแสน, นครเหนือสุดในสยาม,วัดและสถานที่สำคัญของเชียงราย ใครมีเวลาคลิกเข้าไปฟังมีประโยชน์มากครับใช้เวลาประมาณ ๔๐ กว่านาที:ขอขอบคุณเด็กดีมีเดีย 081-1120563 ครับ :) :D ......... https://www.youtube.com/watch?v=x1WuPqhlC4Q ........................................................ :) :D


................................................................................................
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4364
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

คุนหมิง

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

:) :D ถึงภูแสงจันทร์เรียบร้อยนับว่าภารกิจที่ตั้งเป้าไว้เสร็จสิ้นไปด้วยดี แม้จะมีข้อผิดพลาดที่ทำให้ไม่ประสบผลสำเร็จตามที่ตั้งใจหวัง เราก็มีเรื่องใหม่ให้ทดแทนความผิดหวังนั้นได้ การถอยมาตั้งหลักไม่ใช่ความพ่ายแพ้แต่เป็นความชาญฉลาด ซึ่งนักรบถือเป็นปัจจัยหลักในการทำสงคราม การดันทุรังย่อมนำมาซึ่งความสูญเสีย การไปคุนหมิง-ต้าลี่-ลี่เจียงครั้งนี้ก็เช่นกัน มันมีอุปสรรคเข้ามาขัดขวางหลายอย่างตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มเดินทาง ไม่ว่าการเตรียมการเพื่อนร่วมเดินทาง การหาข้อมูลโดยเฉพาะข้อมูลจากคนที่มีประสบการณ์แต่การเดินทางต่างกัน

เรา ๓ คนพักอยู่ที่ภูแสงจันทร์สบาย ๆ สองวันสองคืนได้นั่งคุยเสวนาหาข้อผิดพลาดต่าง ๆ เพื่อเตรียมไว้เป็นบทเรียนในการเดินทางครั้งต่อ ๆ ไป คุนหมิง-ต้าลี่-ลี่เจียง ยังคงถูกบรรจุไว้ในโปรแกรมที่จะต้องกลับไปล้างตากันอีกครั้งแน่นอน และหลังจากที่พักผ่อนจนสบายหายเครียดแล้ว ก็เป็นเวลาที่จะต้องออกไปชมธรรมชาติของเมืองเชียงราย ซึ่งเชียงรายนั้นมีที่เที่ยวเยอะมากสามารถไปกลับในวันเดียวได้ ไม่ว่าจะออกไปทางทิศใด ล้วนมีที่ให้เพลิดเพลินถ้าจะพูดว่ามากกว่าเมืองเชียงใหม่ก็น่าจะได้ เพราะเชียงใหม่ออกเดินทางไปกลับในวันเดียวคงเที่ยวได้ไม่จุใจ เพราะแต่ละที่แห่งห่างไกลพอกันสมควร ที่เชียงใหม่ควรต้องพักค้างหนึ่งคืนเสมอ ๆ จึงจะได้อรรถรส(จุใจ)ครับ

เราพากันออกปั่นไปเยี่ยมชม ปางช้างของหมู่บ้านกระเหรี่ยงรวมมิตร ที่นั่นมีธรรมชาติให้ชื่นชมสวยงามครับ :) :D


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4364
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

คุนหมิง

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

รูปภาพ รูปภาพ

:) :D อรุณสวัสดิ์ครับท่านที่เคารพ เช้านี้ผมมีเจตนาที่จะจบทริปคุนหมิง-ต้าลี่-ลี่เจียง เพราะผมใช้เวลาในเดินทางมานานพอสมควรแล้ว :lol: :lol: ก็เขียนไปเล่าไปโดยที่ผมก็ไม่มีโอกาสทราบได้เลยว่าสิ่งที่ผมนำเสนอจะถูกใจหรือไม่อย่างไร เพราะเป็นการสื่อสารทางเดียว คือผมเล่า(เขียน)คนเดียวมีการ Feedback บ้าง ก็ขอขอบคุณท่านที่เข้ามา Feedback ให้กำลังใจ/ร่วมแจม ครับ ยังคงมีเรื่องราวอีกหลาย ๆ เรื่องราวที่อยากจะบันทึกไว้ บางเรื่องสด ๆ ร้อน ๆ แต่ก็ต้องขยักไว้เพราะเพื่อนผม(รุ่นเดียวกัน)เขาก็เข้ามาเยี่ยมชม(อ่าน)มักจะโทร ฯ "มึงเขียนอะไรของมึงวะ" ผมก็ไม่ได้สนใจ ใส่ใจ เพราะเขาไม่เคยปั่นเลย จึงไม่รู้หรอกว่า คนเดินทางเขาอยากได้ข้อมูลอะไรบ้าง เท่าที่เล่า ๆ มาล้วนแต่เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้นนะครับ ดังนั้นสิ่งที่เล่าหากเป็นบุญกุศล อันเกิดจากการได้นำธรรมะเข้ามาสอดแทรกไว้เป็นบางช่วงบางตอน ก็ขอให้เป็นพละปัจจัยให้ทุกท่านได้พ้นวิบากกรรม ดังเช่นที่ผมปรารถนาและรู้ได้ว่ามีผล(ได้รับผลนั้น)

เรา ๓ คนปั่นเที่ยวชมธรรมชาติแบบเพียว ๆ ไปที่หมู่บ้านกระเหรี่ยงรวมมิตร ซึ่งเป็นที่ ๆ เดียวของเมืองเชียงราย ที่มีช้างไว้บริการนักท่องเที่ยว ผิดกับเชียงใหม่ที่มีหลาย ๆ ที่ แข่งขันกันจะไม่เปรียบเทียบครับว่าที่ไหนยิ่งใหญ่กว่ากัน แต่ละที่มีดีไปคนละแบบและผมก็ไม่ได้นิยมที่จะไปนั่งช้างด้วย จึงไม่มีภูมิปัญญาตัดสินได้ เอาเป็นว่าใครไปก็ไปเปรียบเทียบเอาก็แล้วกัน ออกจากหมู่บ้านกระเหรี่ยงเราแวะทานอาหารที่ร้านข้างทาง แล้วก็ปั่นเข้าไปเยี่ยมหาดเชียงราย ซึ่งทางเทศบาลได้เนรมิตรริมน้ำกก ให้มีหาดทรายเพื่อคนเชียงรายจะได้มีหาดไว้พักผ่อนแทนหาดทรายชายทะเล ก็พอได้..แต่...เสียดายที่กิจกรรมการทำมาหากินไปบดบังเจตนาดีของทางเทศบาลไปเสีย..น่าเสียดายครับ เมืองไทย..พูดยากครับ อยู่แบบไทย ไทย :lol: :lol: :) :D


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

:) :D เมื่อกลับถึงภูแสงจันทร์เราก็ตกลงกันว่า จากเดิมเราจะปั่นกลับเชียงใหม่ ให้เป็นวงรอบของการเดินทางแต่เนื่องจาก ลุงป๊อกมีภารกิจสอดแทรกจึงตกลงขอยืมรถเจ้าลูกชายบรรทุกจักรยานกลับเชียงใหม่ รุ่งเช้าเราก็ทำตามที่ตกลงกัน เดินทางถึงเชียงใหม่ส่งลุงป๊อกที่บ้านบวกครกก็เข้า บ.ปากกอง สารภี เป็นการจบทริปคุนหมิงอย่างสมบูรณ์ ขอได้รับการขอบคุณจากใจที่ กรุณาเข้ามาเยี่ยมชมหากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดผิด-พลาด อันเนื่องมาจากการขีด ๆ เขียน ๆ ของผมไปกระทบจิตใจทำให้อึดอัดขัดใจ ก็ขออโหสิกรรมไว้ ณ ที่นี้ เพื่อจะได้ไม่เป็นนิวรณ์ธรรมในการปฏิบัติธรรมของผมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ขอขอบพระคุณครับ :) :D

รูปภาพ

:idea: :idea: กิเลสชั้นละเอียด ที่ถูกปรุงขึ้นมาเป็นกิเลสชั้นกลาง เรียกว่า "นิวรณ์ ๕" รบกวน อยู่ที่ มโนทวาร นั้น มีเรื่องที่พึงศึกษาดังนี้ : เครดิตจาก หลวงปู่พุทธทาส

คำว่า นิวรณ์ แปลว่า เครื่องห้าม หรือ เครื่องกั้น ในที่นี้หมายถึง เครื่องกั้นจิต มิให้บรรลุถึงธรรม ที่สูงขึ้นไป อธิบายว่า ตามปรกติ คนเรา มักมีความรู้สึกที่ เรียกว่า นิวรณ์ อยู่ด้วยกันทุกคน ไม่อย่างใด ก็อย่างหนึ่ง ตามวิสัยของ ปุถุชน เพราะฉะนั้น จึงเป็นอันว่า จิตของ ปุถุชน ถูกนิวรณ์ เหล่านี้ กีดกันไว้ จากการ บรรลุธรรมะ ที่สูงขึ้นไป อยู่ทุกครั้ง ที่ กิเลสชั้นละเอียด ถูกปรุง ฟุ้งป่วน ขึ้น เป็นความกลัดกลุ้ม วุ่นวาย ไม่สงบ รำงับ ในภายใน ผู้ที่สามารถทำจิตให้ว่าง จากนิวรณ์ ได้ตาม ความต้องการ ของตน นับว่า เป็นปุถุชนพิเศษ หรือ กัลยาณปุถุชน ได้แก่ ผู้มีปัญญา ในการที่จะเปลื้องนิวรณ์ เหล่านี้ ออกไป เสียจากจิตโดยการยกจิต ขึ้นมาสู่ สมาธิได้สำเร็จ ตามวิธีใด วิธีหนึ่ง เป็นต้น

กามฉันทะ แปลว่า ความพอใจในกาม แต่ความหมาย หมายถึง ความกลัดกลุ้ม อยู่ด้วยความกำหนัดในกาม จนมืดมัว ไม่แจ่มใส ไม่เห็นแจ้ง ในธรรมตามที่เป็น จริง ท่านเปรียบอุปมาเหมือนน้ำใส แต่มีสี ต่างๆ มาเจือปน จนหมดความใส

พยาบาท หมายถึง ความกลัดกลุ้ม อยู่ด้วยความไม่พอใจ โกรธแค้น เกลียดชัง เป็นต้น ซึ่งทำความมืดมัว ให้อีก ในลักษณะหนึ่ง ซึ่งท่าน เปรียบด้วยน้ำที่ใส แต่ถูกทำให้เดือด พลุ่งพล่าน อยู่ ก็ไม่อาจ ทำให้ผู้มอง มองเห็น สิ่งต่างๆ ที่มี อยู่ ภายใต้น้ำ นั้นได้

ถีนมิทธะ ความที่จิตหดหู่ เคลิบเคลิ้ม ไม่ร่าเริง แจ่มใส ทำให้ จิต ไม่มีสมรรถภาพ ในการที่จะเห็นแจ้ง ในธรรม ท่านเปรียบเหมือน น้ำใส แต่มีพืช เช่น ตะไคร่ หรือ สาหร่าย เกิด อยู่เต็ม ก็ไม่อาจจะ มองเห็น สิ่งต่างๆ ใต้น้ำ ได้ เช่นเดียวกัน

อุทธัจจกุกกุจจะ หมายถึง ความฟุ้งซ่าน รำคาญ กระสับกระส่าย ในลักษณะที่ ตรงกันข้าม จากถีนมิทธะ ท่านเปรียบอุปมา ไว้เหมือนน้ำใส แต่ถูก ทำให้เป็น ละลอกคลื่น หรือ กระเพื่อม อยู่เป็นนิจ ทำให้ไม่สามารถ จะมองเห็นสิ่งใต้น้ำ เช่น กรวด ปลา และ หอย ได้เช่นเดียวกัน

วิจิกิจฉา ข้อสุดท้ายนั้น หมายถึง ความสงสัย เพราะไม่รู้ หรือ มีอะไร มา รบกวน ความอยากรู้ ไม่มีความสงบลงได้ ทำให้ เกิดความมืดมัว แก่จิต ไม่ อาจจะเห็นแจ้ง ในสิ่งที่ควรเห็นแจ้ง ท่านเปรียบเหมือน น้ำใส อยู่ในที่มืด ย่อมไม่อำนวยให้มองเห็นสิ่งต่างๆ ในน้ำนั้นได้



ความไม่มีนิวรณ์ หมายถึง จิตมีลักษณะบริสุทธิ์ ผ่องใส เยือกเย็น ปลอดโปร่ง เป็นความพร้อม ที่จะรู้แจ้งเห็นจริง ในอรรถะ และธรรม อันลึก นับว่า เป็นสิ่ง ที่จำเป็น จะต้องมี หรือ ต้องฝึกหัด สำหรับ ผู้ที่ประสงค์ จะก้าวหน้า ไปในทาง ธรรม แม้จะกล่าวกันอย่างโลกๆ เวลาที่จิต ไม่ถูกนิวรณ์ รบกวน ก็กล่าวได้ว่า เป็น เวลา ที่มีความ ผาสุก ที่สุด จึงได้มีผู้ หลงใหล ใน รสของ สมาธิ หรือ ฌาน จน ถึงสิ่งนี้เคยถูก บัญญัติ เหมาเอาว่า เป็น นิพพาน มาแล้ว ในยุคหนึ่ง คือ ยุค ที่ยัง ไม่มีความรู้ ในทางจิตสูงไปกว่านั้น :idea: :idea:


๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐ https://www.youtube.com/watch?v=21yWBLHpfJg ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐


จนกว่าจะพบกันใหม่ สวัสดีครับ
:idea: :idea:
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4364
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

วันมาฆบูชา

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

๑๔ กุมภา วันวาเรนไทม์ เมื่อวานที่ผ่านมาดอกกุหลาบยังคงมีราคาสูงลิ่ว ผมนั้นไม่ได้ให้ความสำคัญสักเท่าไหร่ แต่ไม่ให้เชยก็เอากับเขาบ้าง โชคดีที่ ท่าน ผอ.ลือชัย กรุณาส่งมะม่วงจาก เนินมะปราง (พิษณุโลก)ไปให้ก็เลยถือโอกาสที่จะไปวัดดีกว่า ผมได้พาคุณนายไปถวายอาหารที่วัดแม่สะป๊อก พร้อมกับสำรวจเส้นทางจากแม่สะป๊อก-ขุนวาง ออกดอยอินทนนท์ที่ กม.๓๑ ซึ่งเป็นสวนสน(อุทยาน)ที่จุดปล่อยตัวนักกีฬาแข่งขึ้นอินทนนท์จุดที่ ๒ ปีนี้ทราบว่ามีผู้เข้าร่วมแข่งขันถึง ๕,๐๐๐ คน พี่น้อง M.J.ปีนี้ก็เข้าร่วมด้วย เอ้า...เอาใจช่วยครับ ขอให้ประสบผลสำเร็จและสนุกกับการแข่งขันครับ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพรูปภาพรูปภาพรูปภาพ

วันมาฆบูชา (บาลี: มาฆปูชา; อักษรโรมัน: Magha Puja) เป็นวันสำคัญของชาวพุทธเถรวาทและวันหยุดราชการในประเทศไทย "มาฆบูชา" ย่อมาจาก "มาฆปูรณมีบูชา" หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะตามปฏิทินของอินเดีย หรือเดือน 3 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย (ตกช่วงเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม) ถ้าปีใดมีเดือนอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน (ปีอธิกมาส) ก็เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 3 หลัง (วันเพ็ญเดือน 4)

วันมาฆบูชาได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางศาสนาพุทธ เนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ท่ามกลางที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา โดยมีเหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมกัน 4 ประการ คือ พระสงฆ์สาวก 1,250 รูปได้มาประชุมพร้อมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย, พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" หรือผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง, พระสงฆ์ที่มาประชุมล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา 6, และวันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญมาฆปุรณมีดิถี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ดังนั้น จึงเรียกวันนี้อีกอย่างหนึ่งว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" หรือ วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ 4

เดิมนั้นไม่มีพิธีมาฆบูชาในประเทศพุทธเถรวาท จนมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) พระองค์ได้ทรงปรารภถึงเหตุการณ์ครั้งพุทธกาลในวันเพ็ญเดือน 3 ดังกล่าวว่า เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญยิ่ง ควรประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นที่ตั้งแห่งความศรัทธาเลื่อมใส จึงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชกุศลมาฆบูชาขึ้น การประกอบพระราชพิธีคงคล้ายกับวันวิสาขบูชา คือ มีการบำเพ็ญพระราชกุศลต่าง ๆ และมีการพระราชทานจุดเทียนตามประทีปเป็นพุทธบูชาในวัดพระศรีรัตนศาสดารามและพระอารามหลวงต่าง ๆ เป็นต้น ในช่วงแรก พิธีมาฆบูชาคงเป็นการพระราชพิธีภายใน ยังไม่แพร่หลายทั่วไป ต่อมา ความนิยมจัดพิธีมาฆบูชาจึงได้ขยายออกไปทั่วราชอาณาจักร

ปัจจุบัน วันมาฆบูชาได้รับการประกาศให้เป็นวันหยุดราชการในประเทศไทย โดยพุทธศาสนิกชนทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์และประชาชนประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การตักบาตร การฟังพระธรรมเทศนา การเวียนเทียน เป็นต้น เพื่อบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญดังกล่าวที่ถือได้ว่า เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประทานโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งกล่าวถึงหลักคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญความดีให้ถึงพร้อม และการทำจิตของตนให้ผ่องใส เพื่อเป็นหลักปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนทั้งมวล

นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2549 รัฐบาลไทยได้ประกาศให้วันมาฆบูชาเป็น "วันกตัญญูแห่งชาติ" เนื่องจากในสังคมไทยปัจจุบัน หญิงสาวมักเสียตัวในวันวาเลนไทน์ หลายหน่วยงานจึงพยายามรณรงค์ให้วันมาฆบูชาเป็นวันแห่งความรัก (อันบริสุทธิ์) แทน

วันมาฆบูชา ปี 2559 ตรงกับวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559




รูปภาพ"วันมาฆบูชา" เป็นวันที่ระลึกถึงวันที่พระพุทธเจ้าประทานโอวาทปาฏิโมกข์แก่มหาสังฆสันนิบาตในมณฑลวัดเวฬุวันมหาวิหาร ซึ่งในวันนั้นมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น 4 ประการคือ
1.พระสงฆ์ 1,250 รูปที่พระพุทธองค์ได้ส่งไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาตามแว่นแคว้นต่าง ๆ ได้กลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้าอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย
2.พระสงฆ์ทั้งหมดล้วนเป็นเอหิภิกขุที่พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ด้วยพระองค์เองทั้งสิ้น ซึ่งเรียกว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทา
3.พระสงฆ์ทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ คือผู้ได้อภิญญา 6 ข้อ
4.วันที่พระสงฆ์ทั้งหมดมาชุมนุมกันนี้ตรงกับวันเพ็ญเดือนมาฆะ (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3)

ด้วยเหตุการณ์ประจวบกับ 4 อย่าง จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า จาตุรงคสันนิบาต (มาจากศัพท์บาลี จาตุร+องฺค+สนฺนิปาต แปลว่า การประชุมอันประกอบด้วยองค์ประกอบทั้งสี่ประการ) โดยประชุมกัน ณ วัดเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว 9 เดือน (45 ปี ก่อนพุทธศักราช)


คาถา โอวาทปาฏิโมกข์ มีดังนี้

"สพฺพปาปสฺส อกรณํกุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํเอตํ พุทธาน สาสนํฯ
ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ
อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ"

แปล : การไม่ทำความชั่วทั้งปวง, การบำเพ็ญแต่ความดี, การทำจิตของตนให้ผ่องใส นี้เป็นคำสอนของ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง, พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพาน เป็นบรมธรรม, ผู้ทำร้ายคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต,ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ การไม่กล่าวร้าย, การไม่ทำร้าย, ความสำรวมในปาฏิโมกข์, ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร, ที่นั่งนอนอันสงัด, ความเพียรในอธิจิต นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่เข้าใจกันโดยทั่วไป และจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส


:) :D ....https://www.youtube.com/watch?v=-3wCMGx6Ou8...... :) :D



เมื่อมีวันวาเรนไทม์ ก็ อย่าลืม วันมาฆบูชา กันนะครับ
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4364
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

ทหารปะทะกับพระที่พุทธมณฑล

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

เจ้าคุณเบอร์ลิน ได้แชร์โพสต์ของ Thairath
7 ชม. •
บริหารประเทศแบบทหาร : มองภัตตาหารเพลพระ เป็นยุทธปัจจัยของศัตรู.
.......
ใกล้แล้วครับ ใกล้จะเกิดไฟศาสนาเผาแผ่นดินไทยไปทุกวันแล้ว
แผ่นดินที่ชื่อว่าพุทธศาสนาเจริญที่สุดในโลกนึ้แหละครับ.
.....
- ภาพพระปะทะทหารในเครื่องแบบขุดลายพลาง
ที่กำลังฉุดกระซากลากถู ประชิดตัว ล๊อคคอ กระชากจีวร ดึงเสื้อทหาร
ลามไปถึงขนาด ใช้กำลังจะยกรถรบที่ใช้ในราชการสงคราม โดยมีทหาร และพระอยู่คนละฝั่งนั้น.
- ซึ่งภาพเหล่านี้ รุ่งขึ้นจะต้องปรากฏในสื่อต่างประเทศทั่วโลกอย่างแน่นอน อาจได้รางวัล
มันจะเป็นภาพที่ จะต้องถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ชาติไทยว่า..
"ที่ประเทศไทย ในวันที่ 15.02.2016
ภายใต้การบริหารประเทศ ของรัฐบาลที่เป็นทหาร
มาจากการปฏิวัติรัฐประหาร
อันมี พล. อ. ประยุทธ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี นั้น
ได้มีการปะทะระหว่างพระสงฆ์เถรวาท กับกำลังทหารในเครื่องแบบ ที่ พุทธมณฑลเกิดขึ้น".
.....
ภาพลักษณ์อันสุดอัปยศของไทย
- ทั้งภาพนิ่ง และวีดีโอ เหล่านี้
ได้ถูกส่งเผยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว
เกิดสภาพในอาการซ้ำเติมประเทศไทยอย่างหนัก
ทั้งที่ถูกต่างชาติประณาม และแอนตี้ทุกทาง
อันเกิดเนื่องมาจากรัฐประหาร และเรียกร้องให้มีการจัดเลือกตั้งโดยเร็ว อยู่แล้วนั้น
มาซ้ำเติม ทำให้โดยรวมของประเทศไทยทรุดหนักยิ่งขึ้น.
......
- นานาชาติ จะต้องตั้งคำถามต่อคนไทยว่า..
"นี่มันเกิดอะไรขึ้นในประเทศพวกคุณ"
หรือว่า ปัญหาความขัดแย้งไทยจากอาณาจักร ได้ไหลเข้าไปสู่ศาสนจักรโดยสมบูรณ์ไปแล้ว
หรือว่าในวันนี้ ในทุก ๆ ภาคส่วน ทุก ๆ วงการของไทย มันแตกแยกไปหมดแล้ว.
- แม้แต่วงการแห่งความเชื่อความศรัทธา เช่น ศาสนา
ที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานสากล
ที่มนุษย์ทุกคนสามารถ ที่จะมีความเป็นอิสระที่จะเลือกเฉพาะตนนั้น
ก็ยังถูกคุกคาม ข่มขู่ จากกลุ่มแก๊งค์ปั่นป่วนสังคม
ที่คิดการใหญ่ขนาดจะล้มล้างพุทธศาสนาในประเทศไทย
ที่ผู้มีอำนาจในประเทศไทย
ได้ให้ท้ายอย่างลับ ๆ ให้การสนับสนุน
ทำนองให้อีกกลุ่มเคลื่อนไหวอะไรก็ได้
แต่สกัดไม่ให้อีกกลุ่มได้ทำกิจกรรมอะไรได้เลย.
นี่เป็นคำถามที่รัฐบาลจะต้อง
เตรียมไว้ตอบคนไทย และต่างชาติ.
....
ความละเอียดอ่อนของศาสนา
- ด้วยการใช้ยุทธวิธีแบบทหารที่ปฏิบัติต่อข้าศึกในสงคราม
ที่รัฐบาลทหารพลาดนำมาใช้กับพระสงฆ์ที่พุทธมณฑล.
......
- มาวันนี้ พระสงฆ์ไทย และชาวพุทธมากกว่า 2 หมื่น.
- รวมตัวกันไปทำกิจกรรมทางศาสนา ในศาสนสถานของตน
เนื่องจากเทศกาลวันมาฆบูชา วันสำคัญทางพุทธศาสนาที่กำลังจะมาถึงใน 2-3 วันนี้.
- กลับมีเหตุการน่าสลดใจ หดหู่ บาดลึกในหัวใจชาวพุทธอย่างแรง คือ
1. พระสงฆ์ไทยฉันเช้า เพล วันละ 2 มื้อ แต่มีทหารขัดขวาง
2. มีการร่วมทำกิจกรรมทางพุทธศาสนาขึ้น มีชาวพุทธเกิดศรัทธา กำลังนำอาหารเพล จะเข้าไปถวายพระเหล่านั้น.
3. ด้วยการคิด และการทำงานแบบทหาร
ทหารนายกบิ๊กตู่กลับมองอาหารเพลของพระพวกนี้
เป็นยุทธปัจจัยของศัตรู
จึงเข้าสกัดกั้นขัดขวางด้วยยานยนต์ที่ใช้ในราชการสงคราม
จนเกิดการปะทะ และมีภาพประจานไปทั่วโลก.
....
- เจริญ ๆ เถอะ นายก ประยุทธ จันทร์โอชา
ถึงนาทีนี้ ถ้าหากไม่รีบสั่งให้ถอนทหารทั้งหมดออก ไปจากพุทธมณฑล โดยเร็วที่สุดละก็
จะขอบอกว่า ตัวท่านเอง และครอบครัวนะแหละ
จะอยู่ในแผ่นดินพุทธแห่งนี้ไม่ได้
ไอ้อาการปากว่าตาขะหยิบไปกับแก๊งค์พุทธอิสระที่สะสมอยู่อยู่ในหัวใจชาวพุทธไทยมาต่อเนื่องนั่น
มาถึง ณ วันนี้ ซ้ำยังดันส่งทหารมาทำหยาบๆ เถื่อน ๆ แบบนี้
กับสงฆ์องค์เจ้าซ้ำไปอีก
"อะไร ๆ มันก็จะเร็วนะครับท่าน"
ระวังนะครับ ภัยคือความร้อนแรงทางศาสนานี่
มันอันตราย และให้ผลเร็วกว่า
และมากกว่า
"ที่ท่านต้องมานั่งระแวงเพื่อนรักทุก ๆ วัน"
ว่า
"เพื่อนรักจะมาเอาอี้นายกของกูคืนไป เมื่อไร"
ภัยนี้มันหลายเท่านะครับท่าน
ตรองเอาเองนะครับ
ท่านก็ไม่ใช่คนโง่สักหน่อยนี่
โชคดีนายกที่รักของชาวพุทธ ....(อิสระ).
....
สุดท้าย อยากจะขอเตือนสติ
นายกบิ๊กตู่ แบบลึก ๆ ก่อนจบว่า...
"พระสงฆ์ทุกรูปในประเทศไทยนั้น
เป็นผู้ที่พระราชาในแผ่นไทย
นับแต่อดีตถึงปัจจัย
ทรงศรัทธาเลื่อมใส และถวายการอุปถัมภ์คุ้มครองทั้งสิ้น
ดังนั้น ทหารพระราชาไม่มีสิทธิ์คุกคาม และทำร้ายได้
ไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น".
โชคดีมีชัยทุกท่านครับ.
เจ้าคุณเบอร์ลิน
15.02.2016
แนบข่าว สังฆามติ.
.........,
พระเมธีธรรมาจารย์ เลขาธิการศูนย์พิทักษ์ แถลงสังฆามติ ประกาศชุมนุมไม่มีกำหนด หากไท่บรรลุข้อเสนอ 5 ข้อ
....
ในช่วงเย็นนี้
ฝ่ายรัฐบาลเชิญหารือร่วม โดยทางพระเมธี แถลงการณ์และมีข้อเสนอ 5 ข้อ
1.ห้ามหน่วยงานรัฐเข้ามาก้าวก่ายเรื่องทางสงฆ์
2.ขอให้รัฐบาลยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติที่กระทำสืบกันมา
3.ขอให้ยึดมติเถระสมาคมในการเสนอชื่อสมเด็จมหารัชมังคลาจารย์ สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช
4 ขอให้รัฐบาลปฏิบัติต่อพระสงฆ์ด้วยความเคารพ
5.ขอให้บัญญัติพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
#‪#‎สดจากภาคสนาม‬
https://www.facebook.com/ThairathFan/po ... 3419877439



:( :( เคยเห็นแต่ในประเทศอื่น ไม่นึกไม่ฝันว่าจะเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา ทำไงดีครับ?เห็นภาพข่าวใน ทีวี.ที่พระกับทหารตีกันแล้วรับไม่ได้ มันเกิดอะไรขึ้นครับ สงสารประเทศไทยจริง ๆ ผมมีเพื่อนต่างชาติภาพข่าวนี้เผยแพร่ไปทั่วโลก ผมควรจะตอบคำถามเขาว่าอย่างไร "ความกลัวนี่เป็นภัยจริง ๆ " :( :(
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4364
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

ปางเลไลย์

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

รูปภาพ รูปภาพ

:idea: :idea: พระสงฆ์ทะเลาะกันครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งแรกในสมัยพุทธกาล โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าทะเลาะวิวาทกัน ก็คงมีบ่อยๆ เพราะความคิดเห็นไม่ตรงกัน แต่ครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด จนเกิดความแตกแยกเป็นครั้งแรก และเกิดขึ้นในครั้งสมัยพุทธกาลด้วย ที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎก ก็คือ การทะเลาะของภิกษุชาวเมืองโกสัมพี

ในอรรถกถาธรรมบท (ธัมมปทัฏฐกถา) ได้นำมาเล่าต่อ พร้อม “ใส่ไข่” (ผมอยากจะเรียกอย่างนั้น) ทำให้เราอ่านไปมีความมันในอารมณ์ไปด้วย ขอนำมาถ่ายทอดในวันเลือกตั้ง ที่อารมณ์ของคนในสังคมไทยแตกต่างกัน เพราะสนับสนุนนักการเมืองต่างพรรค (มันเกี่ยวกันไหมเนี่ย)

เรื่องมีอยู่ว่า ในวัดแห่งหนึ่ง เมืองโกสัมพี มีพระภิกษุอยู่ร่วมกันจำนวนมาก มีพระเถระสองรูปเป็นที่เคารพของพระภิกษุทั้งหลาย รูปหนึ่งเป็นผู้เคร่งครัดในพระวินัย มีความเชี่ยวชาญในการอธิบายพระวินัย เรียกตามศัพท์ของพระอรรถกถาจารย์ว่า “พระวินัยธร” อีกรูปหนึ่งมีความสามารถในการถ่ายทอดพระธรรม เรียกว่า “พระธรรมกถึก”

ทั้งสองรูปมีลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมากทัดเทียมกัน ถึงในเนื้อหาจะไม่มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกชัดเจน แต่โดยพฤตินัยก็พอมองเห็นเป็นรูปธรรม รวมไปถึงญาติโยมด้วย พวกที่ชอบพระนักเทศน์ก็ไปหาพระนักเทศน์ พวกที่ชอบพระผู้เชี่ยวชาญพระวินัยก็ไปหาพระวินัยธรบ่อยๆ สมัยนี้เรียกว่า “ขึ้น” ทั้งสองรูป มีญาติโยมขึ้นพอๆ กัน

ท่านเหล่านี้ก็อยู่ด้วยกันมาด้วยดี ไม่มีอะไร อยู่มาวันหนึ่ง พระวินัยธรเข้าห้องน้ำ (สมัยโน้นวัจกุฎีก็คงเป็นส้วมหลุม มากกว่าห้องน้ำในปัจจุบัน) ออกมาเจอพระธรรมกถึก จึงถามว่า “ท่านใช่ไหมที่เข้าห้องน้ำก่อนผม”

พระธรรมกถึกรับว่า “ใช่ มีอะไรหรือ”

“ท่านเหลือน้ำชำระไว้ครึ่งขัน ท่านทำผิดพระวินัย ต้องอาบัติทุกกฎแล้ว รู้หรือเปล่า” พระวินัยธรกล่าว

“โอ ผมไม่รู้ ถ้าอย่างนั้นผมขอปลงอาบัติ” พระธรรมกถึก ยอมรับและยินดี “ปลงอาบัติ” หรือแสดงอาบัติอันเป็นวิธีออกจากอาบัติตามพระวินัย

พระวินัยธรกล่าวว่า ถ้าท่านไม่มีเจตนาก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องอาบัติดอก แล้วก็เดินจากไป เรื่องก็น่าจะแล้วกันไป แต่ไม่แล้วสิครับ พระวินัยธรไปเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า พระธรรมกถึก ดีแต่เทศน์สอนคนอื่น ตัวเองต้องอาบัติแล้วยังไม่รู้เลย ลูกศิษย์พระวินัยธรก็ไปบอกลูกศิษย์พระธรรมกถึก ทำนองบลั๊ฟกันกลายๆ ว่า พรรคท่านฟ้องแก้เกี้ยว เอ๊ย อาจารย์ของพวกท่านดีแต่สอนคนอื่น ตัวเองต้องอาบัติแล้วยังไม่รู้

เรื่องรู้ถึงหูพระธรรมกถึก ก็หูแดงสิครับ ใครมันจะยอมให้กล่าวหาว่าพิมพ์สติ๊กเกอร์ เอ๊ยจงใจละเมิดพระวินัย จึงศอกกลับพระวินัยธรว่า สับปลับ ทีแรกว่าไม่เป็นไร แต่คราวนี้ว่าต้องอาบัติ พระวินัยธร ก็ต้องอาบัติข้อพูดเท็จเหมือนกัน เอาละสิครับ เมื่ออาจารย์ทะเลาะกัน พวกลูกศิษย์ก็ทะเลาะกันด้วย ขยายวงกว้างออกไปจนถึงญาติโยมผู้ถือหางทั้งสองฝ่ายด้วย เรื่องลุกลามไปใหญ่โต ทราบถึงพระพุทธองค์ พระองค์เสด็จมาห้ามปราบ แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็เลือดเข้าตาแล้ว ไม่ยอมเชื่อฟัง

พระพุทธองค์ทรงระอาพระทัย จึงเสด็จหลีกไปประทับอยู่ ณ ป่าปาลิเลยยกะ (หรือปาลิไลยกะ) ตามลำพัง มีช้างนามเดียวกับป่านี้เฝ้าปรนนิบัติ ทรงจำพรรษาที่นั่น ในคัมภีร์พระไตรปิฎกพูดถึงช้างตัวเดียว ไม่พูดถึงลิง แต่ในอรรถกถาบอกว่ามีลิงด้วยตัวหนึ่ง

หมายเหตุไว้ตรงนี้ ศาสตราจารย์ (พิเศษ) จำนงค์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิต ผู้เป็นนักปราชญ์ท่านบอกว่า ช้างนั้น ถ้าเป็นช้างป่าลักษณนามต้องเรียกว่า “ตัว” แต่ถ้าช้างที่ขึ้นระวางแล้วเรียกว่า “เชือก” ว่าอย่างนั้น ผมเป็นแค่ “นักปาด” ก็ต้องเชื่อท่าน

ว่ากันว่าช้างคอยต้มน้ำให้พระพุทธองค์ทรงสรง ทำอย่างไรหรือครับ แกกลิ้งก้อนหินที่ตากแดดทั้งวันยังอมความร้อนอยู่ ลงในแอ่งน้ำเล็กๆ น้ำนั้นก็อุ่นขึ้นมา แล้วก็ไปหมอบแทบพระบาททำนองอาราธนาให้สรงสนาน พระพุทธองค์เสด็จไปสรงน้ำนั้น อย่างนี้ทุกวัน

เจ้าจ๋อเห็นช้างทำอย่างนั้น ก็อยากทำอะไรแด่พระพุทธองค์บ้าง มองไปมองมาเห็นผึ้งรวงใหญ่ ก็ไปเอามาถวาย พระพุทธองค์ทรงรับแล้วก็วางไว้ ไม่เสวย เจ้าจ๋อสงสัยว่าทำไมพระองค์ไม่เสวย ก็ไปหยิบรวงผึ้งมาพินิจพิเคราะห์ดู เห็นตัวอ่อนเยอะแยะเลย จึงหยิบออกจนหมดแล้วถวายใหม่ คราวนี้พระองค์เสวย ก็เลยกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ที่อีกฝ่ายจะถูก กกต. แบนเรื่องปริญญาปลอม เอ๊ยที่พระพุทธองค์เสวยผึ้งที่ตนถวาย ปล่อยกิ่งนี้จับกิ่งนั้นเพลิน บังเอิญไปจับกิ่งไม้แห้งเข้า กิ่งไม้หักร่วงลงมา ถูกตอไม้ทิ่มตูดตาย คัมภีร์เล่าต่อว่า ลิงตัวนั้นตายไปเกิดเป็นเทพบุตรนามว่า มักกฎเทพบุตร (แปลว่าเทพบุตรจ๋อ) ปานนั้นเชียว

เมื่อพระพุทธองค์เสด็จหลีกไปตามลำพัง พวกอุบาสกอุบาสิกาที่ทรงธรรมไม่เข้าข้างฝ่ายไหนทั้งนั้น ก็พากันแอนตี้พระภิกษุเหล่านั้น ไม่ถวายอาหารบิณฑบาต กล่าวโทษว่าเป็นสาเหตุให้พระพุทธองค์เสด็จหนีไป พวกตนมิได้เฝ้าพระพุทธองค์ พระภิกษุเหล่านั้นรู้สำนึก จึงขอขมา แต่อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายบอกให้ไปกราบขอขมาพระพุทธองค์ ครั้นออกพรรษาแล้วพระภิกษุเหล่านั้นก็พากันไปเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อขอขมา โดยมีพระอานนท์เป็นผู้ประสานงาน (แหม ใช้ภาษาทันสมัยจังเนาะ) พระพุทธองค์ทรงแสดงโทษของการทะเลาะวิวาทและอานิสงส์ (ผลดี) ของความสามัคคีแก่พระสงฆ์สาวกเหล่านั้น ท่านเหล่านั้นก็กลับมาสมัครสมานสามัคคีกันเหมือนเดิม

ชาวพุทธได้สร้างพระพุทธรูปขึ้นปางหนึ่ง เป็นอนุสรณ์เหตุการณ์ครั้งนี้ คือ ปางปาลิไลยกะ (ป่าเลไลยก์, ป่าลิไลยก์) พระพุทธองค์ประทับห้อยพระบาท มีลิงถือรวงผึ้ง และช้างหมอบแทนพระยุคลบาท อย่าถามว่าสร้างสมัยไหน ผมไม่ทราบ เพราะเกิดไม่ทัน

นี้เป็นการทะเลาะกันของพระสงฆ์ครั้งยิ่งใหญ่ครั้งแรกในประวัติพระพุทธศาสนา แต่การทะเลาะกันเพราะความคิดเห็นต่างกัน ก็ไม่ถึงกับแตกนิกายดังในสมัยหลัง เพราะอย่างไรก็มีพระพุทธเจ้าทรงเป็นจุดศูนย์กลายคอยชี้แจงไกล่เกลี่ยให้กลับคืนดีกัน สมัครสมานสามัคคีกันเหมือนเดิม

ที่มา : http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=34774


:shock: :shock: พิจารณาให้ดีจะเห็นว่าพระพุทธองค์ไม่ทรงโปรดการทะเลาะเบาะแว้งกัน ทะเลาะกันหนักเข้าห้ามไม่ฟังพระองค์ทรงหนีไปเสีย วันนี้บ้านเมืองเราทะเลาะกันเรียกว่า ๓ ฝ่ายมีหัวดำเข้าไปยุ่งด้วย ทำอย่างไรจะให้เรื่องสงบ มีทางเดียวทั้ง ๓ ฝ่ายผละออกไปจากกันเสีย แล้วให้แต่ละฝ่ายไปทำหน้าที่ของตน พระทำหน้าที่พระ พวกหัวดำทำหน้าที่หัวดำ อย่าไปก้าวก่ายกัน

เมื่อหัวดำผละออกไปแล้วก็จะเหลือแต่พระ ๒ ฝ่าย ครานี้เอาแบบอย่างที่พระพุทธองค์ทรงปฏิบัติเรื่องจะจบทันที ยศ ลาภ เป็นสิ่งภายนอกและสมมุติกันขึ้นมา อย่าไปหลงสมมุติ อย่าไปติดลาภ ยศ สรรเสริญ ผมเชื่อของผมที่ไม่ยอมกันเพราะแต่ละฝ่ายมีผลประโยชน์(ลาภ ยศ)และแบ่งพวกใครพวกมัน ดังนั้นผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุดต้องเสียสละดังที่พระพุทธองค์ทรงปฏิบัติไว้ให้เป็นแบบอย่างแล้ว ทำเลยครับถ้าเรื่องไม่ยุติผมยอมให้เอาไปประหารครับ :cry: :cry:
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4364
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

อินทนนท์

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: คำคมของปราชญ์จีน...

๑. ซุนวู -
"ชมคนด้วยวาจา...มีค่ายิ่งกว่ามอบไข่มุกให้เป็นของขวัญ ทำร้ายคนด้วยวาจา...สาหัสยิ่งกว่าทิ่มแทงด้วยหอกดาบ..."

๒. ฮั่วหลัวเกิง -
"คนอื่นช่วยเรา...เราจะจำไว้ชั่วชีวิต เราช่วยคนอื่น...จงอย่าจำใส่ใจ"

๓. ปันกู้ -
"น้ำใสสะอาดเกินไป...ย่อมไร้ซึ่งมัจฉา คนที่เข้มงวดเกินไป...ย่อมไร้ซึ่งบริวาร"

๔. หลี่ต้าเจา -
"ความไม่พอใจ...ความกลัดกลุ้มหงุดหงิด ควรจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราฮึดสู้มากยิ่งขึ้น ไม่ควรเป็นสิ่งที่ทำให้เราท้อแท้ ห่อเหี่ยว ยอมจำนนต่ออุปสรรค"

๕. ปาจิน -
"ในชีวิตของเรา...มิตรภาพเปรียบเสมือนโคมส่องสว่างดวงหนึ่ง ซึ่งสาดส่องจิตวิญญาณของเราให้สว่างไสว ทำให้ชีวิตของเรามีแสงสีอันงดงาม..."

๖. หยางว่านหลี่ -
"ตัวสกปรกก็คิดจะอาบน้ำ เท้าสกปรกก็คิดจะล้างเท้า แต่ใจสกปรก กลับไม่คิดที่จะชำระใจ..."

๗. หูหลินอี้ -
"สุขสบายเกินไป...เส้นสายก็พลอยหย่อนยาน จิตใจก็พลอยขลาดกลัว"

๘. ซุนซือเหมี่ยว -
"พูดน้อย กลุ้มน้อย ตัณหาน้อย นอนน้อย...ถ้าสี่อย่างนี้น้อย ก็ใกล้จะเป็นเซียนแล้ว"

๙. ลู่ซู -
"คนที่เชื่อมั่นในตนเองมากเกินไป...เป็นคนที่โดดเดี่ยวอ้างว้างที่สุด!"

๑๐. ฟังเสี้ยวหยู -
"ไม่มีอะไรแย่เท่ากับความเย่อหยิ่งอวดดี...ผู้ที่คิดว่าตัวเองไม่ดีพอ คือ คนที่ดีพอ...ผู้ที่คิดว่าตัวเองดีแล้ว คือ ผู้ที่ดีไม่พอ...!"

๑๑. จางจื้อซิน -
"ต้องกล้าที่จะมองความจริง...แม้ว่าความจริงอาจจะทำให้เราเจ็บปวดมากๆ"

๑๒. ซุนยาง -
"ความอิจฉา...เป็นอุปสรรคต่อมิตรภาพ ความระแวงสงสัย...เป็นศัตรูตัวร้ายกาจของความรัก ความรัก...ถ้าปราศจากความซื่อสัตย์จริงใจต่อกันเสียแล้ว ก็ไม่อาจเชื่อถือซึ่งกันและกันได้"

๑๓. เจิงจิ้นเสียนเหวิน -
"ใช้จิตใจที่ชอบตำหนิผู้อื่น...มาตำหนิตัวเอง ใช้จิตใจที่ชอบให้อภัยตัวเอง...ให้อภัยผู้อื่น"

๑๔. ก่วนจ้ง -
"ขี้เกียจแล้วยังฟุ่มเฟือย...ย่อมยากจน ขยันและประหยัด...ย่อมร่ำรวย"

๑๕. ขงเบ้ง -
"สูงส่งแต่ไม่เย่อหยิ่ง ชนะแต่ไม่ลำพอง ปราดเปรื่องแต่รู้จักลงเวที เข้มแข็งแต่มีความอดกลั้น..."

๑๖. หลี่ปุ๊เหว่ย -
"ก่อนที่จะเอาชนะคนอื่น...จักต้องเอาชนะตัวเองให้ได้เสียก่อน ก่อนที่จะว่าคนอื่น...ควรพิจารณาดูตัวเองเสียก่อน ก่อนหน้าที่จะรู้จักคนอื่น...ควรจะรู้จักตัวเองเสียก่อน"

๑๗. เล่าจื้อ -
"ผู้ที่รู้จักคนอื่นเป็นคนฉลาด...ผู้ที่รู้จักตัวเองเป็นคนมีสติ"

๑๘. ขงจื้อ -
"สิ่งที่ตัวเราไม่ชอบ...จงอย่าทำกับคนอื่น"

๑๙. ซือหม่าเชียน -
"คนที่ทำได้อาจพูดไม่ได้...คนที่พูดได้อาจทำไม่ได้!!"

๒๐. ซือหม่าเชียน -
"คนเราหนีไม่พ้นความตาย...แต่ความหมายการตายนั้น ไม่เหมือนกัน...บ้างมีค่าหนักกว่าขุนเขา...บ้างไร้ค่าเบากว่าขนนก..."


:) :) วันที่ ๑๗ ก.พ.๕๙ รักรถรักธรรม(พิษณุโลก) ได้เดินทางออกจากเมืองสองแควถึงสารภีวันที่ ๑๘ ก.พ.เพื่อขึ้นอินทนนท์ใน ๒๐ ก.พ.(แต่ไม่ได้เข้าร่วมแข่งขัน)วันที่ ๑๙ ไปกราบหลวงพี่ที่วัดน้ำต้องพักค้างที่วัด จะลงจากอินทนนท์ใน ๒๑ ก.พ.กลับถึงพิษณุโลก ๒๒ ก.พ.รวม ๖ วัน ๕ คืนด้วยระยะทางพันกว่ากิโลเมตร ขอชื่นชมและขอต้อนรับคณะด้วยความยินดีครับ :) :D

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพลุงดมบ้านอยู่ตรงข้ามบ้านผมก็ออกมาต้อนรับและร่วมรับประทานอาหารมื้อเย็นด้วยกัน

รูปภาพอยู่ง่ายกินง่ายสำหรับรักรถรักธรรมทีม เรียกว่ามีอะไรก็กินกันห้ามทำให้ยุ่งยาก เย็นนี้มีบะหมี่จากลำปางเลิศรส(ร้านโกจือลำปาง)ไว้รอต้อนรับ เรียกว่านาน ๆ จะได้กินที บังเอิญว่าโชคดีอาม่ามาจากลำปางมาเยี่ยมได้นำมาฝาก (ลาภปากครับ๕๕) นอกจากนี้ยังมีน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ของท่าน อ.โอ๊ค ตบท้าย ก่อนจะเข้าพักนอนเตรียมตัวขึ้นอินทนนท์ต่อไป

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพเรา ๓ คนส่งได้แค่สี่แยก อ.สันป่าตองต้องกลับไปปฏิบัติภารกิจ ทราบว่าทางคณะจะมุ่งหน้าไปชมอุทยานผาช่อก่อนที่จะไปถึงวัดน้ำต้อง ติดตามชมได้ในกระทู้ท่าน ผอ.นะครับ

:) :D เช้าวันที่ ๑๙ ก.พ.คณะออกเดินทางจากบ้านสารภีเพื่อต่อไปยังวัดน้ำต้อง ซึ่งเช้านี้มีลุงป๊อก อ.โอ๊ค พร้อมกับผมได้ปั่นไปส่งที่ อ.สันป่าตอง เนื่องจากปีนี้มีงานสังคมในวันที่ ๒๐ และ ๒๑ ก็เลยไม่ได้ร่วมกับคณะปั่นขึ้นอินทนนท์ (เสียดายครับ) ขอให้คณะเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพครับ

:) :D


รูปภาพแสงนี้คนถ่ายบอกว่าพยายามส่ายกล้องไปมุมไหนก็จะรบกวนแต่ใบหน้าผมเพียงคนเดียว ปีนี้คงโชคดีละครับ:lol: :lol:
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
ตอบกลับ

กลับไปยัง “เอ็ม.เจ.ไบค์-นครปฐม”