วัฒนธรรม ประเพณี สังคม การเมือง ....... เรื่อง คน.คน.คน

ผู้ดูแล: ชนินทร์, สมพิศ, watt

รูปประจำตัวสมาชิก
สมพิศ
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 21111
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 06:08
Tel: +66894556699
team: กลุ่มรวมมิตร
Bike: Jamis Dakota
ตำแหน่ง: สะพานพระราม 7 บางกรวย นนทบุรี
ติดต่อ:

Re: วัฒนธรรม ประเพณี สังคม การเมือง ....... เรื่อง คน.คน.คน

โพสต์ โดย สมพิศ »

552000011109802.JPEG
552000011109802.JPEG (26.54 KiB) เข้าดูแล้ว 1292 ครั้ง
Lao25.jpg
Lao25.jpg (27.98 KiB) เข้าดูแล้ว 1292 ครั้ง
รูปภาพ

SEA GAMES ครั้งที่ 25 จัดขึ้นที่กรุงเวียงจันทน์ ประเทศ สปป.ลาว ระหว่างวันที่ 9 ถึง 18 ธันวาคม 2552 ไทยเป็นจ้าวเหรียญทองครับ :mrgreen:


รายละเอียด :arrow: http://www.laoseagames2009.com/






พิธีเปิด




ชมคลิป YouTube เพิ่มเติมได้ที่นี่
:arrow: http://www.youtube.com/results?search_q ... type=&aq=f
รูปประจำตัวสมาชิก
สมพิศ
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 21111
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 06:08
Tel: +66894556699
team: กลุ่มรวมมิตร
Bike: Jamis Dakota
ตำแหน่ง: สะพานพระราม 7 บางกรวย นนทบุรี
ติดต่อ:

Re: วัฒนธรรม ประเพณี สังคม การเมือง ....... เรื่อง คน.คน.คน

โพสต์ โดย สมพิศ »

รูปภาพ

หัวหรือก้อย !!!


บ่ายวันนี้ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา 13.30 นาฬิกา ศาลฎีกา แผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดอ่านคำพิพากษา คดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร 7 หมื่น 6 พัน ล้านบาท



เงินฝากของพันตำรวจโททักษิณและครอบครัวชินวัตร ที่ถูกอายัด มีดังนี้

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำนวน 39,634 ล้านบาท
ธนาคาร กรุงเทพ จำนวน 18,156 ล้านบาท
ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์และที่ดิน จำนวน 2,722 ล้านบาท
บลจ.ไทยพาณิชย์ฯ จำนวน 2,237 ล้านบาท
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำนวน 2,125 ล้านบาท
ธนาคารธนชาต จำนวน 1,476 ล้านบาท
ธนาคารยูโอบี รัตนสิน จำนวน 492 ล้านบาท
บลจ.กสิกรไทยฯ จำนวน 208 ล้านบาท
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จำนวน 200 ล้านบาท
บลจ.แอสเซทพลัสฯ จำนวน 172 ล้านบาท
ธนาคารกสิกร ไทย จำนวน 36 ล้านบาท
ธนาคารทหารไทย จำนวน 10 ล้านบาท
ธนาคารนครหลวงไทย จำนวน 1 ล้านบาท
ธนาคารออมสิน จำนวน 15,748 บาท
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จำนวน 10,000 บาท
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน 500 บาท




รูปภาพ
ประวัติ :arrow: พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร

26 กุมภาพันธ์ 2553 วันธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
:arrow: http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews ... 0000027584

รวมบทความ-วิเคราะห์ ยึดทรัพย์ “แม้ว”
:arrow: http://www.manager.co.th/Politics/ViewN ... 0000027805


รูปประจำตัวสมาชิก
สมพิศ
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 21111
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 06:08
Tel: +66894556699
team: กลุ่มรวมมิตร
Bike: Jamis Dakota
ตำแหน่ง: สะพานพระราม 7 บางกรวย นนทบุรี
ติดต่อ:

Re: วัฒนธรรม ประเพณี สังคม การเมือง ....... เรื่อง คน.คน.คน

โพสต์ โดย สมพิศ »


ยึด 46,000 ล้าน ศาลฟันทักษิณปล้นชาติ


ASTVผู้จัดการรายวัน - "นช.แม้ว" โกงจริง! ศาลฎีกานักการเมืองพิพากษายึดเงิน 4.6 หมื่นล้านของ"ทักษิณ-พจมาน"ตกเป็นของแผ่นดิน หลักฐานชัดนอมินีก่อนขายให้กลุ่มทุนเทมาเส็ก ชี้แอมเพิลริชของทักษิณ ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ธุรกิจเครือชินฯ จนร่ำรวยผิดปกติ ประเด็นข้อกฎหมาย แม้ว แพ้ราบคาบ อัยการย้ำทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แล้ว คดีถือว่าจบ ขณะที่ทนายแม้วปิดปากเงียบ

วานนี้ ( 26 ก.พ.) เวลา 13.30 น.ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายสมศักดิ์ เนตรมัย ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกาเจ้าของสำนวนยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมองค์คณะ รวม 9 คน ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่อม.4/2551 ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ถูกกล่าวหาว่ามีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ เนื่องจากขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใช้อำนาจออกนโยบายที่เอื้อประโยชน์ธุรกิจของครอบครัวและการกระทำที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวมและทรัพย์สินของคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยาและครอบครัวรวมทั้งนิติบุคคลผู้มีชื่อเป็นเจ้าของทรัพย์สินรวม 22 ราย ผู้คัดค้านคดีนี้ จำนวน 76,621,603,061.05 บาท พร้อมดอกผล ตกเป็นของแผ่นดิน ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ศ.2542 มาตรา 80

**มติเอกฉันท์ศาลมีอำนาจพิพากษา**

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องกล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะเป็นนายกฯ ร่ำรวยผิดปกติ มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากหรือได้มาโดยไม่สมควรสืบเนื่องจากตำแหน่งหน้าที่ ขอให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน เป็นการดำเนินการตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 30 เรื่องการตรวจสอบความเสียหายที่ก่อให้เกิดแก่รัฐ (คตส.) และเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลฎีกาฯ หาใช่เป็นการฟ้องละเมิดที่จะต้องมีการออกคำสั่งทางปกครองที่จะอยู่ในอำนาจของศาลปกครองตัดสิน ทั้งไม่ใช่เป็นการร้องขอให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง องค์คณะจึงมีมติด้วยเสียงเอกฉันท์ว่า ศาลมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้

ปัญหาว่า คตส.ผู้ร้องมีอำนาจร้องคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า คปค.ฉบับที่ 30 เป็นประกาศที่ให้อำนาจ คตส.ตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ การตรวจสอบไต่สวนในคดีนี้จึงเป็นการดำเนินการภายในขอบเขตหน้าที่ พ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านอ้างว่า คตส.สอบสวนล่วงเลยเวลา 2 ปี จึงเป็นการสอบสวนไม่ชอบนั้น เห็นว่า คปค.ฉบับที่ 30 ข้อ 11 วรรคหนึ่งได้กำหนดกรอบการตรวจสอบภายใน 1 ปี โดยเมื่อพ้นระยะเวลาให้ ปปช.ทำการสอบสวนต่อไปตามหน้าที่ กรณีจึงถือได้ว่า คตส.ได้ตรวจสอบภายในกรอบเวลาที่กฎหมายบัญญัติ และคณะอนุกรรมการไต่สวนพิสูจน์ทรัพย์สินได้ให้โอกาส พ.ต.ท.ทักษิณกับผู้คัคค้านต่อสู้คัดค้านโดยชอบแล้ว การคัดค้านตัว คตส. ประกอบด้วยนายกล้านรงค์ จันทิก นายบรรเจิด สิงคะเนติ และนายแก้วสรร อติโพธิ แสดงความคิดเห็นในเวทีการเมืองก็เป็นความเห็นทางวิชาการ และไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับ พ.ต.ท.ทักษิณ คตส.ที่ถูกคัดค้านเหล่านี้จึงไม่มีเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะเป็นปรปักษ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ

**ข้ออ้าง"ทักษิณ-พจมาน"ไม่น่ารับฟัง**

นอกจากนี้ที่อ้างว่ามีการจ่ายเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินตามค่าหุ้นที่ซื้อขายกันไปแล้วตั้งแต่ปี 2542 แต่เนื่องจากทำตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับดังกล่าวหาย และเมื่อคุณหญิงพจมาน ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคุณหญิงจึงออกตั๋วสัญญาใหม่โดยใช้คำนำหน้านามว่าคุณหญิง ศาลเห็นว่าเป็นข้ออ้างที่กลับทำให้มีพิรุธ เพราะตั๋วสัญญาใช้เงินในการโอนขายหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ที่ผ่านมามีหลายฉบับแต่กลับหายเฉพาะฉบับนี้ จึงเป็นข้ออ้างที่ไม่น่ารับฟัง

ส่วนการซื้อหุ้นชินคอร์ปของนายพานทองแท้ น.ส.พินทองทา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ใช้วิธีออกตั๋วสัญญาใช้เงินและไม่ชำระค่าหุ้นครบตามจำนวน และคุณหญิงพจมานก็ไม่เคยเรียกเก็บเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินกระทั่งชินคอร์ปมีการจ่ายเงินปันผลจึงนำเงินมาชำระค่าหุ้น โดยเฉพาะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ซึ่งอ้างว่าได้รับเงินปันผล 6 งวด 97 ล้านบาทหลังนำเงินส่วนหนึ่งไปชำระค่าหุ้นแต่ไม่มีหลักฐานว่าเงินที่เหลือนำไปทำอะไร ทั้งที่เป็นเงินจำนวนมาก

**แอมเพิลริช ของ ดร.ที ชินวัตร**

ส่วนหุ้นชินคอร์ปในแอมเพิลริช รับฟังได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้ก่อตั้งเมื่อปี 2542 โดยโอนหุ้นชินคอร์ปให้แอมเพิลริช จำนวน 32 ล้านหุ้นราคาพาร์ 10 บาท ต่อมาปี 2543โอนหุ้นแอมเพิลริชให้นายพานทองแท้ แต่ปรากฏหลักฐานคำเบิกความของนางกาญจนาภา หงส์เหิน เลขานุการคุณหญิงพจมาน ซึ่งเป็นหนึ่งในกรรมการแอมเพิลริชว่าหลังก่อตั้งแอมเพิลริชไม่ได้ดำเนินการกิจการอะไร แต่เบิกความรับว่าบัญชีเงินของแอมเพิลริช ที่เปิดกับธนาคารยูบีเอสเอจี สิงคโปร์ มียอดเงินโอนเข้าแต่ไม่รู้ว่าเป็นเงินของใคร แต่ผู้มีอำนาจเบิกจ่ายคือ ดร.ที ชินวัตร ต่อมาในปี 2546 – 2548 แอมเพิลริชได้เงินปันผลจากชินคอร์ปรวม 5 ครั้งเป็นเงิน 1 พันล้านบาทและ ดร.ที ชินวัตร คือผู้เบิกจ่ายเพียงคนเดียว ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างว่าโอนหุ้นแอมเพิลริชซึ่งเป็นผู้ถือครองหุ้นชินคอร์ปให้นายพานทองแท้ แล้วในปี 2543 แต่ผู้มีอำนาจเบิกจ่ายเงินในบัญชีแอมเพิลริชยังเป็น พ.ต.ท.ทักษิณ เพียงผู้เดียวในช่วงหลังจากอ้างว่ามีการโอนหุ้นให้นายพานทองแท้ ในปี 2543 แล้วถึง 4 ปีต่อมา อีกทั้งการโอนหุ้นแอมเพิลริชซึ่งถือครองหุ้นชินคอร์ปถึง 32 ล้านหุ้นให้นายพานทองแท้ โดยคิดราคาเพียง 1 เหรียญสหรัฐอเมริกาก็เป็นข้ออ้างที่ไม่เหตุผลให้รับฟังได้

ประเด็นข้อต่อสู้ว่า นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา เป็นเจ้าของแอมเพิลริช จึงถูกกรมสรรพากรเรียกให้เสียภาษี ดังนั้นจึงเห็นว่าแอมเพิลริชจึงไม่ใช่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เห็นว่า การที่กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีก็เป็นไปตามประมวลรัษฏากรมาตรา 61 เกี่ยวกับผู้มีรายได้ เมื่อบุคคลมีชื่อในหนังสือสำคัญถือได้ว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าของทรัพย์สิน ดังนั้นการเรียกเก็บภาษีจากหุ้นดังกล่าวก็เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ข้อคัดค้านนี้จึงฟังไม่ขึ้น

**มติเอกฉันท์"แม้ว-อ้อ"เจ้าของหุ้นชิน**

ประเด็นวินมาร์ค ซึ่งถือครองหุ้นเอสซี แอสเสท และบริษัทอสังหาริมทรัพย์อีก 5 บริษัทรับฟังผลการตรวจสอบของคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์และกรมสอบสวนคดีพิเศษว่าเป็นการอำพรางหุ้น องค์คณะผู้พิพากษาจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ยังคงเป็นเจ้าของหุ้นชินคอร์ปที่ขายให้กองทุนเทมาเส็ก 1,419 ล้านหุ้นเศษตามคำร้องของอัยการสูงสุดในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 วาระ

**เอื้อประโยชน์ให้เอไอเอสธุรกิจเครือชิน**

ประเด็นเรื่องการใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งโดยมิชอบเอื้อประโยชน์ชินคอร์ปหรือไม่ ได้ความจากนายสมเกียรติ ตั้งวานิช ผอ.ทีดีอาร์ไอ เบิกความนำเสนอความเห็นว่าจากผลการทำวิจัยว่าการแปรหรือไม่แปรสัญญาณสัมปทาน จะต้องได้รับความสมัครใจจากทั้งสองฝ่าย โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับ แต่ต้องไม่ให้เอกชนได้รับผลประโยชน์มากกว่าสัญญาเดิม ที่ครม.มีมติออกพ.ร.ก. 2 ฉบับ ประกาศกระทรวงการคลังเรื่องำหนดภาษีสรรพสามิตร และครม.มีมติให้นำภาษีหักค่าสัมปทานได้นั้น ขัดกับหลักการและเหตุผลที่ครม.ดำเนินการออกพ.ร.ก.ภาษีในครั้งนี้ที่มุ่ประสงค์หารายได้เข้ารัฐแต่กลับยอมให้เอกชนนำค่าภาษีไปหักค่าสัมปทานอีกทั้งกิจการโทรคมนาคมเป็นประโยชน์กับประเทศรัฐควรส่งเสริมไม่ควรเรียกเก็บภาษีเพราะไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือยและเป็นการผลักภาระให้ประชาชนการที่มติครม.ให้นำเอาภาษีสัมพสามิตรไปหักค่าสัมปทานทำให้ ทศท.ไม่ได้ประโยชน์อะไร ดังนั้นเห็นว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหา เป็นการทำให้รัฐเสียหายเอื้อประโยชน์ให้กับชินคอร์ปโดยได้ความจากพยานผู้ร้องว่า การออกนโยบายดังกล่าวทำให้รัฐสูญเสียรายได้ 6 หมื่นล้านบาทเศษ จึงมีมติเสียงข้างมากว่า พ.ต.ท.ทักษิณใช้อำนาจในตำแหน่งเอื้อประโยชน์ทำให้รัฐเสียหาย

ประเด็นการแก้ไขสัญญาอัตราจัดเก็บภาษีมือถือระบบเติมเงินหรือพรีเพด ได้ความว่า นอกจากเอสไอเอสแล้วยังมีดีแทคได้รับสัญญาสัมปทานเป็นเวลา 27 ปี แต่แทคต้องจ่ายค่าเชื่อมโยงสัญญาณจาก ทศท. 200 บาทต่อหนึ่งเลขหมายต่อมามีระบบพรีเพด ทศท.ปรับลดอัตราภาษีให้กับแทค เนื่องจากมีข้อจำกัดในเรื่องค่าเชื่อมโยงเป็นเหตุให้เอไอเอสขอลดบ้างโดยอ้างว่า สัญญาที่เอไอเอสทำกับ ทศท.แตกต่างกับแทคโดยจะเห็นได้ว่าเอไอเอส ได้ให้บริการพรีเพดตั้งแต่ปี 2541 โดยอ้างว่าเป็นโปรโมชั่นให้ผู้ใช้บริการ จึงเป็นภาระเอไอเอสที่จะต้องลงทุนปรับระบบซึ่งเชื่อว่าเอไอเอสมีกำไรจากระบบพรีเพดเพราะเมื่อครบสัญญาก็ยังขอขยายเวลาอีก 3 ปีถ้าไม่กำไรคงไม่ขอต่อ ดังนั้นการแก้ไขสัญญากับ ทศท.จึงเป็นการผิดหลักเกณฑ์ เอไอเอสได้ประโยชน์จากระบบพรีเพดจากเดิมมีเพียง 2.7 แสนคนเป็น 17 ล้านคนมีรายได้กว่า 5.8 หมื่นล้านบาทเสียงข้างมากจึงมีมติเห็นว่า เป็นการใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้เอไอเอสธุรกิจเครือชินคอร์ป

***ได้รับประโยชน์แก้ไขสัญญา**

ประเด็นการแก้ไขสัญญาเชื่อมต่อสัญญาณ หรือโรมมิ่ง ได้ความว่า ชินคอร์ปถือหุ้นในเอไอเอสถึง 42.90% เมื่อปี 2533 เอไอเอสได้รับสัญญาสัมปทานโทรศัพท์ 20 ปีต่อมาปี 2539 ขยายเวลาเป็น 25 ปีและต้องการขยายลูกค้าโดยไม่ลงทุนสร้างเครือข่ายเพิ่มแต่กลับใช้บริการของดีพีซี ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการด้านโครงข่ายที่เอไอเอสถือหุ้นแล้วมาขอแก้ไขสัญญาโรมมิ่ง โดยอ้างว่า ทศท.ไม่สามารถจัดสรรคลื่นความถี่ให้เพียงพอรองรับลูกค้าได้ ซึ่ง ทศท.ควรรับผิดชอบเห็นว่า ข้ออ้างดังกล่าวเป็นข้ออ้างของเอไอเอสที่ไม่ลงทุนทางธุรกิจในการขยายโครงข่ายเพราะเรื่องคลื่นความถี่เอไอเอสสามารถคาดการได้อยู่แล้วในช่วงการทำสัญญากับ ทศท.ว่าจะมีขีดความสามารถให้บริการได้เท่าไร เมื่อ ทศท.จัดสรรคลื่นให้เอไอเอสจนเต็มความสามารถแล้วจึงไม่อยู่ในข่ายที่ ทศท.ต้องรับผิดชอบ การที่เอไอเอสเลือกขยายเครือข่ายโดยใช้บริการดีพีซีของเอไอเอสแทนที่จะก่อสร้างเครือข่ายเพิ่มจึงไม่อาจนำมาอ้างได้ เสียงข้างมากจึงมีมติเห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหามีส่วนเกี่ยวข้องและได้รับประโยชน์จากการแก้ไขสัญญา

**ดาวเทียมไม่ปฎิบัติตามสัญญา**

ประเด็นปัญที่วินิจฉัยต่อไปเรื่องการส่งดาวเทียมไอพีสตาร์ขึ้นไปเป็นดาวเทียมสำรองให้กับดาวเทียมที่ไทยคม 3 เห็นว่าสัญญาระบุให้การส่งดาวเทียมไทยคม 3 ขึ้นไปนั้น จะต้องมีดาวเทียมสำรองเป็นดาวเทียมไทยคม4 เพื่อใช้เป็นการสื่อสารภายในประเทศเท่านั้น โดยบริษัทชินคอร์ปฯเป็นผู้ได้รับสัมปทานเมื่อวันที่31ก.ย.34 แต่ขณะที่พ.ต.ท.ทักษิณ ได้มีมติให้เปลี่ยนแก้ไขไอพีสตาร์เป็นดาวเทียมไทยคม 4 ก่อนเสนอให้นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ลงลายมือชื่อขอให้รับรองการประชุมในลักษณะหนังสือเวียน ต่อมารมว.คมนาคม มีหนังสือแจ้งไปยังบ.ไทยคมว่าได้อนุมัติให้ไอพีสตาร์แล้ว เห็นว่าการดำเนินการเรื่องนี้เป็นการดำเนินการลัดขั้นตอน รวบรัด เร่งรีบผิดวิสัย ซึ่งคุณสมบัติของไอพีสตาร์นั้น มีลักษณะเป็นดาวเทียมใหม่ ไม่ใช่ดาวเทียมสำรองให้ไทยคม 3 ที่มีคลื่นซีแบน และเคยูแบน แต่กลับแก้ว่าไอพีสตาร์เป็นดาวเทียมสำรอง ทำให้จนถึงปัจจุบันยังไม่มีการยิงดาวเทียมไทยคม4 ทำให้บ.ชินคอร์ปไม่ปฏิบัติไปตามสัญญาสัมปทาน

ทั้งนี้เห็นว่าไอพีสตาร์เป็นดาวเทียมที่ให้บริการต่างประเทศเป็นหลัก 94 เปอร์เซ็นต์ โดยรองรับการใช้อินเตอร์เนตในต่างประเทศ และใช้ภายในประเทศร้อยละ 6 ถือว่าเป็นโครงการใหม่นอกสัญญาณสัมปทาน ซึ่งจะต้องเปิดประมูล ทำให้ไม่ต้องเปิดประมูลแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่น โดยผู้ถูกกล่าวหาขณะที่เป็นนายกฯได้อนุมัติให้แก้ไขทางเทคนิค จึงมีมติเสียงข้างมากว่ากรณีดังกล่าวเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทชินคอร์ปฯกับบริษัทไทยคม

**ปล่อยกู้พม่าเอื้อธุรชินฯ**

ประเด็นการปล่อยกู้พม่า 4 พันล้านบาท ได้ความว่า รัฐบาลพม่าทำเรื่องขอกู้ 3 พันล้านเพื่อลงทุนพัฒนาก่อสร้างขั้นพื้นฐานภายหลังขอกู้เพิ่มอีก 2 พันล้านโดยระบุจะนำไปพัฒนาธุรกิจโทรคมนาคม ซึ่งนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีต รมว.ต่างประเทศเสนอว่าจะเป็นผลเสียเนื่องจากครอบครัวนายกฯ ทำธุรกิจโทรคมนาคมใหญ่ที่สุดของประเทศ แต่ผู้ถูกกล่าวหาก็ยังอนุมัติให้ไป 4 พันล้านบาทซึ่งเห็นว่าการอนุมัติสินเชื่อนั้นไม่เป็นไปตามกรอบนโยบายมีผลประโยชน์จากการประกอบธุรกิจโทรคมนาคม จนที่สุดบริษัทชินแซท ฯ ได้ทำสัญญากับพม่า การที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นนายกฯ นำเรื่องปล่อยกู้ต่ำกว่าทุนเข้า ครม.อนุมัติผิดวัตถุประสงค์ของการก่อตั้งธนาคารเอ็กซ์ซิมแบงก์ อีกทั้งยังให้กระทรวงการคลังจัดสรรรายได้ชดเชยส่วนต่างค่าเสียหายรายปีประมาณ 140 ล้าน แสดงให้เห็นว่าการอนุมัติเพิ่มเติมให้พม่าเพื่อต้องการได้รับประโยชน์ของชินแซทฯ เสียงข้างมากมีมติเห็นว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์กับชินแซทธุรกิจเครือชินคอร์ป

**ใช้อำนาจทำให้ร่ำรวยผิดปกติ**

กรณี 5 มาตรการเป็นผลจากการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ เห็นว่า นายกฯ มีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา เป็นหัวหน้ารัฐบาลมีอำนาจเหนือฝ่ายบริหารทุกกระทรวง ทบวง กรมและรัฐวิสาหกิจ เห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหาใช้อำนาจในตำแหน่งนายกฯ เอื้อประโยชน์ธุรกิจครอบครัวตามคำร้องจริง ส่วนเงินต้องตกเป็นของแผ่นดินหรือไม่ เมื่อฟังได้ว่าหุ้นชินคอร์ปถือครองโดยผู้ถูกกล่าวหามีนโยบายเอื้อให้มูลค่าหุ้นสูงขึ้นก่อนขายไปและนำเงินปันผลและเงินค่าขายหุ้นไปไว้ที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 -5 จึงเป็นการได้มาโดยไม่สมควร ศาลจึงมีอนุญาตสั่งให้เงินนั้นตกเป็นของแผ่นดินตาม คปค. ฉบับที่ 30 และพรบ.ว่าด้วยปปช.ที่ผู้ถูกกล่าวหาอ้างว่าทรัพย์สินส่วนหนึ่งเป็นสินสมรส จึงมีปัญหาว่าจะสั่งให้ทรัพย์ส่วนนี้ตกเป็นของแผ่นดินได้หรือไม่ เพราะการที่อ้างว่าเป็นสินสมรสต้องได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่การไต่สวนได้ความว่า ทั้งสองร่วมกันก่อตั้งชินคอร์ปโดยผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้บริหาร ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดการทรัพย์สินแม้ตอนขายหุ้นก็ยังจ่ายเงินแทน และผู้ถูกกล่าวหานำเงินมาคืนภายหลังแสดงให้เห็นว่ามีผลประโยชน์ร่วมกันตลอดมาเมื่อฟังได้ว่าเงินขายหุ้นได้มาโดยมิชอบ จึงไม่อาจอ้างเป็นสินสมรสได้ ส่วนศาลจะให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินได้เท่าไรนั้นเห็นว่า พรบ.ว่าด้วย ปปช.ระบุไว้ 2 กรณีคือ ทรัพย์สินเพิ่มขึ้นหรือหนี้สินลดลงจากเมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่งต่างกับตอนพ้นตำแหน่ง และกรณีร่ำรวยผิดปกติได้ทรัพย์มาโดยไม่สมควรจากการใช้ตำแหน่ง พิจารณาตามมูลเหตุคำร้องแล้วเห็นว่าเป็นกรณีที่ใช้อำนาจหน้าที่ทำให้มีทรัพย์สินร่ำรวยผิดปกติ

**ศาลมีอำนาจสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดิน**

ปัญหาต้องวินิจฉัยว่า เงินซื้อขายหุ้นและเงินปันผล ศาลควรมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า เมื่อปรากฎว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหา ได้ใช้อำนาจตำแหน่งเอื้อประโยชน์บริษัทเอไอเอส และบริษัทไทยคมแล้วบริษัทชินคอร์ป ฯ ซึ่งถือหุ้นทั้งสองบริษัทย่อมได้รับประโยชน์โดยตรงจากผลกำไร การที่ศาลได้วินิจฉัยแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหา และคุณหญิงพจมาน ผู้ คัดค้านที่ 1 ให้นายพานทองแท้ น.ส.พินทองทา น.ส.ยิ่งลักษณ์ และนายบรรรพจน์ ผู้คัดค้านที่ 2-5 ถือหุ้นแทนบริษัทชินคอร์ป ฯ ดังนั้นศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินได้ ตามประกาศ คปค.ฉบับที่30 ประกอบพ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.พ.ศ.2542

**มติเสียงข้างมากยึด 4.6 หมื่นล้าน**

ขณะที่การสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินจำนวนเท่าใด ต้องวินิจฉัยก่อนว่าคุณหญิงพจมาน ผู้คัดค้านที่ 1 ได้ร่วมกันมีประโยชน์จากการถือครองหุ้นจำนวนเท่าใด ศาลเห็นว่า ในการโอนขายหุ้นชินคอร์ปให้ บ.แอมเพิลริช ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหา ปรากฏว่าเงินที่ใช้ซื้อหุ้นดังกล่าวก็เป็นทรัพย์สินของคุณหญิงพจมาน ผู้คัดค้านที่ 1 จึงเห็นได้ว่าคุณหญิงพจมาน ซึ่งเป็นคู่สมรส พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้แสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหา ส่วนการจะมีคำสั่งให้ทรัพย์ที่ได้จากการขายหุ้นชินคอร์ปฯตกเป็นของแผ่นดินจำนวนเท่าใด ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วย เมื่อปรากฏว่าก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะดำรงตำแหน่งนายกฯเมื่อวันที่ 7 ก.พ.44 จากการพิจารณาเอกสารเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นพบว่า ขณะนั้นหุ้นชินคอร์ปฯมีราคาหุ้นสูงอยู่ที่ 213.09 บาท และต่อมาเมื่อหุ้นชินคอร์ปได้มีการแตกพาร์จากหุ้นละ 10 บาทเหลือหุ้นพาร์ละ 1 บาท เท่ากับว่ามูลค่าหุ้น 213.09 บาทจะลดลงอยู่ที่ 21.309 บาท และเมื่อนำมาคิดคำนวณกับจำนวนหุ้นทั้งหมดของชินคอร์ปที่ขายให้เทมาเส็กจำนวน 1,419,490,115 หุ้น จะเป็นเงิน 30,000 ล้านบาทเศษ ดังนั้นการที่ศาลจะมีคำสั่งให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินก็จะต้องนำเงินจำนวน 30,000 ล้านบาทเศษ ไปหักจากมูลค่าที่ขายหุ้นเทมาเส็กทั้งหมดมูลค่า 69,000 ล้านบาทเศษ คงเหลือมูลค่าการซื้อขายหุ้นที่ศาลจะมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินจำนวน 39,774,168,325.70บาท ศาลจึงมีมติด้วยเสียงข้างมาก มีคำสั่งให้เงินซื้อขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ จำนวน 39,774,168,325.70 บาท และเงินปันผลที่ได้จากการขายหุ้นทั้งหมดจำนวน 6,898,722,129 บาท รวมเป็นเงินทั้งหมดจำนวน 46,373,687,454.70 บาท โดยศาลพิจารณาตามบัญชีทรัพย์สินที่อายัดไว้ในชั้นคตส.ของพ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหา คุณหญิงพจมาน นายพานทองแท้ นางสาวพิณทองทา นางสาวยิ่งลักษณ์ และนายบรรณพจน์ ผู้คัดค้านที่ 1-5 มีจำนวนเพียงพอที่จะบังคับคดีได้ หากไม่เพียงพอก็ให้บังคับจากทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่1-5 ที่คตส.อายัดไว้แล้วและมีคำสั่งให้เพิกถอนการอายัดผู้คัดค้านที่ 7, 8, 14 ,17 และ 19 ที่ คตส.มีคำสั่งเพิกถอนการอายัดทรัพย์แล้วรวมทั้งผู้คัดค้านรายอื่นด้วย

**อัยการพอใจคำพิพากษา**

ภายหลัง นายเศกสรร บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีเศรษฐดิจและทรัพยากร หัวหน้าคณะทำงานอัยการ กล่าวว่า ตนและคณะทำหน้าที่ทนายของแผ่นดินอย่างสมบูรณ์แล้ว คดีถือว่าจบ หลังจากนี้จะขอคัดสำเนาคำพิพากษาก่อนส่งให้ ป.ป.ช.ทำตามคำสั่งศาลต่อไป

นายฉัตรทิพย์ ตัณฑประศาสน์ ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ไม่อยากพูดอะไรขอปรึกษา พ.ต.ท.ทักษิณ ก่อนโดยจะคัดคำพิพากษาไปศึกษาอีกครั้งว่าจะมีประเด็นใดให้ยื่นอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้หรือไม่ ส่วนพอใจหรือไม่พอใจคำพิพากษาไม่อาจวิจารณ์ได้เพราะต้องเคารพคำพิพากษา



รูปภาพ
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 26 กุมภาพันธ์ 2553 23:32 น.
:arrow: http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews ... 0000028169



“คำต่อคำ” พิพากษายึดทรัพย์เงินปล้นชาติ 46,373 ล้าน!

:arrow: http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews ... 0000028148

รวมบทความ-วิเคราะห์ ยึดทรัพย์ “แม้ว”
:arrow: http://www.manager.co.th/Politics/ViewN ... 0000027805




Update 28 ก.พ. 2010, 19:14
553000003053201.JPEG
553000003053201.JPEG (72.99 KiB) เข้าดูแล้ว 1236 ครั้ง

องค์คณะเสียง 7 ต่อ 2 สั่งยึดทรัพย์ทักษิณ ‏‏ 4.6หมื่นล้าน!


องค์คณะศาลฎีกานักการเมืองเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 ลงมติยึดทรัพย์ "ทักษิณ – ครอบครัว" 4.6 หมื่นล้านจาก 7.6 หมื่นล้านบาท ขณะที่ 2 เสียง "ไพโรจน์ วายุภาพ รอง ปธ.ศาลฎีกา - กำพล ภู่สุดแสวง พ.อาวุโสศาลฎีกา" เห็นควรให้ยึดหมด ส่วนมติ 8 ต่อ 1 วินิจฉัย "ทักษิณ" ผิดออกนโยบาย 5 มาตรการเอื้อชินคอร์ป ฯ ด้านศาลฎีกา เตรียมเปิดคำพิพากษา – คำวินิจฉัยส่วนตัวผู้พิพากษา 9 คน เผยแพร่สัปดาห์หน้า

วันนี้(28 ก.พ.) แหล่งข่าวผู้พิพากษา กล่าวถึงมติองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่มีคำสั่งให้ทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ หรือ ณ ป้อมเพ็ชร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ นายพานทองแท้ น.ส.พินทองทา บุตรชายและบุตรสาว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ รวม 46,373,687,454.70 บาทตกเป็นของแผ่นดิน เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ โดยให้ครอบครัวถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด ( มหาชน) แทน โดยขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่ออกนโยบาย 5 มาตรการเอื้อประโยชน์ธุรกิจครอบครัว ว่า ก่อนหน้านี้ที่มีการระบุว่าองค์คณะผู้พิพากษาลงมติเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 เสียง ให้ทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว ตกเป็นของแผ่นดินนั้นเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะมติ 8 ต่อ 1 ดังกล่าวเป็นการวินิจฉัยประเด็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิดในการใช้อำนาจออกนโยบาย 5 มาตรการหรือไม่ ส่วนการลงมติวินิจฉัยให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว จำนวน 46,000 ล้านบาทเศษนั้น องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากด้วยลงมติด้วยเสียง 7 ต่อ 2 อย่างไรก็ดีสำหรับคำวินิจฉัยส่วนตัวของผู้พิพากษาองค์คณะแต่ละคน และคำพิพากษากลางที่ลงมติให้ยึดทรัพย์นั้น จะนำไปติดเผยแพร่ที่ศาลฎีกาได้ภายในสัปดาห์หน้า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับมติองค์คณะ 8 ต่อ 1 เสียงที่วินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจขณะดำรงตำแหน่งนายก ฯ ออกนโยบาย 5 มาตรการเอื้อประโยชน์ทำให้รัฐเสียหาย จากกรณีแปลงค่าสัมปทานเป็นค่าภาษีสรรพสามิต การแก้ไขสัญญาอัตราจัดเก็บภาษีมือถือระบบเติมเงินหรือพรีเพด ให้กับบริษัท AIS การแก้ไขสัญญาเชื่อมต่อสัญญาณ หรือโรมมิ่งให้กับบริษัท AIS การยิงดาวเทียมไอพีสตาร์ขึ้นไปเป็นดาวเทียมสำรองให้กับดาวเทียมไทยคม 3 และการปล่อยกู้รัฐบาลพม่าจำนวน 4 ,000 ล้านบาทของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า หรือเอ็กซิมแบงค์ นั้น พบว่าเสียงผู้พิพากษา 8 คน เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำผิดทั้ง 5 มาตรการ ส่วน 1 เสียงนั้นคือ ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล รองประธานศาลฎีกา เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา

ส่วนประเด็นที่วินิจฉัยเกี่ยวกับการยึดทรัพย์นั้น ปรากฏว่าผู้พิพากษาองค์คณะทั้ง 9 คน มีมติเอกฉันท์ว่าต้องให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน โดยประเด็นที่ต้องวินิจนฉัยว่าให้ทรัพย์สินตกเป็นของจำนวนเท่าใดนั้น ผู้พิพากษาองค์คณะมีมติเสียงมาก 7 ต่อ 2 ว่าให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน จำนวนกว่า 46,000 ล้านบาท โดยการวินิจฉัยดังกล่าวผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย 2 เสียงคือนายไพโรจน์ วายุภาพ รองประธานศาลฎีกา และนายกำพล ภู่สุดแสวง ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกาเห็นว่าควรให้ทรัพย์สินตามคำร้องจำนวน 7.6 หมื่นล้านบาทเศษ ตกเป็นของแผ่นดิน

อย่างไรก็ดีแม้ว่า ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล จะลงมติว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา แต่สุดท้ายองค์คณะกลับลงมติครบทั้ง 9 เสียงในประเด็นการยึดทรัพย์โดยปรากฏว่า ม.ล.ฤทธิเทพ ได้มติให้ยึดทรัพย์ด้วยนั้น เนื่องจากตามกฎหมายการลงมติของผู้พิพากษาองค์คณะ ต้องออกเสียงตัดสินทุกประเด็น ไม่สามารถงดออกเสียงประเด็นใดประเด็นหนึ่งได้ จึงปรากฏว่า ม.ล.ฤทธิเทพ ได้ลงมติเป็น1 ใน 7 เสียงข้างมากให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว จำนวน 46,000 ล้านบาทเศษดังกล่าว



รูปภาพ
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 28 กุมภาพันธ์ 2553 19:00 น.
:arrow: http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews ... 0000028705

รูปประจำตัวสมาชิก
สมพิศ
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 21111
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 06:08
Tel: +66894556699
team: กลุ่มรวมมิตร
Bike: Jamis Dakota
ตำแหน่ง: สะพานพระราม 7 บางกรวย นนทบุรี
ติดต่อ:

Re: วัฒนธรรม ประเพณี สังคม การเมือง ....... เรื่อง คน.คน.คน

โพสต์ โดย สมพิศ »

รูปภาพ


รูปภาพ

ดาวน์โหลด คำพิพากษาคดียึดทรัพย์

คำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.๑๔/๒๕๕๑ คดีหมายเลขแดงที่ อม.๑/๒๕๕๓

:arrow: http://www.supremecourt.or.th/webportal ... hp&base=24
รูปประจำตัวสมาชิก
สมพิศ
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 21111
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 06:08
Tel: +66894556699
team: กลุ่มรวมมิตร
Bike: Jamis Dakota
ตำแหน่ง: สะพานพระราม 7 บางกรวย นนทบุรี
ติดต่อ:

Re: วัฒนธรรม ประเพณี สังคม การเมือง ....... เรื่อง คน.คน.คน

โพสต์ โดย สมพิศ »


กว่า 30 ปีแห่งการต่อสู้ สู่ปริญญาชีวิต “ยายไฮ ขันจันทา”

553000003516808.JPEG
553000003516808.JPEG (82.89 KiB) เข้าดูแล้ว 1213 ครั้ง
พิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา ประจำปีการศึกษา 2551-2552 ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง ในวันที่สอง (9 มีนาคม 2553) มีมหาบัณฑิตคณะรัฐศาสตร์ท่านหนึ่ง เป็นที่จับตาแก่ผู้ร่วมงาน นั่นคือ นางไฮ ขันจันทา หรือ ที่เรารู้จักกันดีในนาม “ยายไฮ”

553000003516809.JPEG
553000003516809.JPEG (56.37 KiB) เข้าดูแล้ว 1213 ครั้ง
ยายไฮ ชาวบ้านจากกิ่งอำเภอนาตาล จ.อุบลราชธานี วัย 81 ปี นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน เพื่อเรียกร้องสิทธิอันชอบธรรมในที่ดินทำกินของตนเอง จากกรณีการเวนคืนอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งจากความอดทน และการเรียกร้องตามแนวสันติวิธี ตลอดระยะเวลา 32 ปี


แม้จะไม่ได้เรียนหนังสือในห้องเรียนของมหาวิทยาลัย แต่การต่อสู้กับหลักกฎหมาย และการเมืองภาคประชาชนในเรื่องสิทธิอันชอบธรรมของประชาชน ก็เป็นหลักสูตรการศึกษาที่หาไม่ได้จากห้องเรียนเช่นกัน ทั้งยังมีคุณค่าอันเป็นที่ประจักษ์แก่สังคมประชาธิปไตย
553000003516810.JPEG
553000003516810.JPEG (67.67 KiB) เข้าดูแล้ว 1213 ครั้ง
Life on campus ขอแสดงความยินดี ที่วันนี้ ยายไฮ ได้เข้ารับพระราชทานปริญญารัฐศาสตร์มหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่หอประชุมพ่อขุนรามคำแหงมหาราช มหาวิทยาลัยรามคำแหง


ยายไฮ เปิดเผยถึงความรู้สึกในวันพิเศษครั้งนี้ ว่า รู้สึกดีใจที่ได้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และรู้สึกตื่นเต้นที่มีคนเห็นคุณค่าในการต่อสู้ที่ผ่านมาจนประสบความสำเร็จ
553000003516811.JPEG
553000003516811.JPEG (60.2 KiB) เข้าดูแล้ว 1213 ครั้ง
เมื่อถามว่า ยายจะเอาใบปริญญาบัตรไปทำอะไร ยายไฮ ตอบว่า จะนำใบปริญญาบัตรนี้ไปให้ลูกหลานได้ดู เป็นเกียรติภูมิ ว่า มาจากความอุตสาหะ ความอดทนต่ออุปสรรคต่างๆ


“ต้องขอขอบคุณมหาวิทยาลัยที่มองเห็นความพยายามของยาย ซึ่งยายขอฝากให้บัณฑิตคนอื่นๆ และประชาชนทุกคน ตั้งใจทำความดี ในการต่อสู้ชีวิต แม้ว่าจะมีอุปสรรค หรือความลำบากอย่างไร ก็ขอให้ต่อสู้กันต่อไป ขอให้อดทน ใจดีสู้เสือ จะได้มีความสุข”
553000003516812.JPEG
553000003516812.JPEG (29.64 KiB) เข้าดูแล้ว 1213 ครั้ง
นอกจากนี้ มหาบัณฑิตคนใหม่ ยังกล่าวอีกว่า แม้ตนจะจบแค่ ชั้น ป.4 เพราะว่าฐานะยากจน ต้องออกมาทำนาหาของป่า แต่สิ่งที่ยึดถือมาตลอดคือความถูกต้อง ทำให้ต้องออกมาเรียกร้องที่ทำกิน พร้อมกับฝากลูกหลานให้ตั้งใจเรียน เพื่อพัฒนาชีวิต และช่วยเหลือประเทศชาติ



รูปภาพ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 มีนาคม 2553 17:22 น.
:arrow: http://www.manager.co.th/Campus/ViewNew ... 0000033053



ข่าว ยายไฮรับปริญญา

:arrow: http://www.youtube.com/watch?v=id2RaF6go74


Hi! Grandmom - ยายไฮ

:arrow: http://www.youtube.com/watch?v=q-sxcHuRYoE


RedNews_ยายไฮ ขันจันทา รับ ป.โท รัฐศาสตร์

:arrow: http://www.youtube.com/watch?v=7rSicNONads


RedNews_ยายไฮรับปริญญา_09 March 2010

:arrow: http://www.youtube.com/watch?v=ZmtxRdFYa9Q


บรรยากาศ มอบเช็คให้คุณยายไฮ และการพูดคุยปัญหาชายแดน

:arrow: http://www.youtube.com/watch?v=6K86hk6gxig


ยายไฮ ร้องเพลงอวยพร ให้อภิสิทธิ์

:arrow: http://www.youtube.com/watch?v=8TCu5VLWh14


ยายไฮ ขันจันฑา - ชาวนาผู้ไม่ยอมท้อ

:arrow: http://www.youtube.com/watch?v=Mer_bU-FQAY
รูปประจำตัวสมาชิก
สมพิศ
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 21111
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 06:08
Tel: +66894556699
team: กลุ่มรวมมิตร
Bike: Jamis Dakota
ตำแหน่ง: สะพานพระราม 7 บางกรวย นนทบุรี
ติดต่อ:

Re: วัฒนธรรม ประเพณี สังคม การเมือง ....... เรื่อง คน.คน.คน

โพสต์ โดย สมพิศ »


กกต.มีมติเสียงข้างมากให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ !!!!


ในวันนี้ (12 เม.ย.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.มีมติเสียงข้างมาก ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ในคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท และและคดีเงินกองทุนเพื่อพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาทที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ โดยเตรียมส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดพิจารณาต่อว่าจะส่งฟ้องหรือไม่ ก่อนจะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค

ซึ่งการประชุมในวันนี้ มีรายงานว่าคณะกรรมการกกต.มาร่วมกันประชุมกันครบ 5 คน และเป็นการประชุมนัดพิเศษ เพื่อพิจารณาความคืบหน้าจากคณะทำงานด้านกฎหมายของนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ในเรื่องสำนวนคดีเงินบริจาคพรรคประชาธิปัตย์ 258 ล้านบาท

โดยที่ประชุม กกต. มีมติ 4 ต่อ 1 ในคดีเงินบริจาคเข้าพรรคฯ และ คดีเงินกองทุนฯ นั้น มีมติเป็นเอกฉันท์ 5 ต่อ 0 ซึ่งกระบวนการหลังจากนี้กกต.จะส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดพิจารณาเพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาด ซึ่งอัยการฯ มีเวลาพิจารณา 30 วัน หากเห็นไม่ตรงกับมีมติ กกต.ก็จะต้องตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาร่วมกัน

อนึ่งคดีเงินบริจาคดังกล่าว เนื่องจากเมื่อเดือนมีนาคม 2552 กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ส่งเรื่องให้ กกต. ตรวจสอบ กรณี พรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าวหารับเงินบริจาค 258 ล้านบาท จาก บมจ.ทีพีไอ เพื่อนำเงินไปใช้ในการเลือกตั้งปี 2548 ส่วนกรณีการใช้เงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมือง ที่ได้รับการสนับสนุนจาก กกต. จำนวน 29 ล้านบาท ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ อาจเข้าข่ายกระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองปี 2550 จึงต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณากรณีการยุบพรรค

ก่อนหน้านี้ กลุ่มคนเสื้อแดงได้ยกขบวนมากดดัน กกต.ให้เร่งพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเดิมคาดว่าจะมีข้อสรุปในเรื่องนี้ประมาณวันที่ 20 เม.ย.



รูปภาพ
วันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2010 เวลา 18:31 น. ณัฐญา เนตรหิน ข่าวรายวัน - ข่าวใน
:arrow: http://www.thanonline.com/index.php?opt ... e&id=28029




ประวัติ :arrow: พรรคประชาธิปัตย์



choo_bma
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 695
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 05:55
Tel: 0816596770
team: กลุ่มรวมมิตร
Bike: Tern P10
ติดต่อ:

Re: วัฒนธรรม ประเพณี สังคม การเมือง ....... เรื่อง คน.คน.คน

โพสต์ โดย choo_bma »

หายไปหลายวัน ขอบคุณที่ทำให้ไม่ตกข่าว
รูปประจำตัวสมาชิก
สมพิศ
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 21111
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 06:08
Tel: +66894556699
team: กลุ่มรวมมิตร
Bike: Jamis Dakota
ตำแหน่ง: สะพานพระราม 7 บางกรวย นนทบุรี
ติดต่อ:

Re: วัฒนธรรม ประเพณี สังคม การเมือง ....... เรื่อง คน.คน.คน

โพสต์ โดย สมพิศ »

arsis.jpg
arsis.jpg (70.74 KiB) เข้าดูแล้ว 1137 ครั้ง
โพสต์ทูเดย์ เขียน:

"อาซิส" ว่าที่จุฬาราชมนตรีคนที่ 18


อาซิส พิทักษ์คุมพล ประธานคณะกรรมการอิสลามสงขลา รับฉันทามติเป็นจุฬาราชมนตรีคนที่ 18 รอโปรดเกล้าฯ

นายอาซิส พิทักษ์คุมพล ประธานอิสลามจังหวัดสงขลา ได้รับการคัดเลือกให้เป็นจุฬาราชมนตรีคนที่ 18 หลังการลงคะแนนเสียงจากคณะกรรมการอิสลามจังหวัดทั่วประเทศ จำนวน 740 คน โดยได้รับผลคะแนนเสียง จำนวน 423 คะแนน ทิ้งห่างอันดับ 2 คือ หมายเลข 1 นายทวี นภากรณ์ ที่ได้ 148 คะแนน และอับดับ 3 ได้แก่หมายเลข 2 นายสมาน มาลีพันธ์ ได้ 122 คะแนน

คณะกรรมการอิสลามจังหวัดทั้งหมด มี 38 จังหวัด จำนวน 740 คน โดยคณะกรรมการอิสลามจังหวัดในภาคใต้ มี 15 จังหวัด จำนวน 380 คน คณะกรรมการอิสลามภาคกลาง มี 13 จังหวัดจำนวน 228 คน คณะกรรมการอิสลามภาคตะวันออก มี 3 จังหวัด จำนวน 51 คน คณะกรรมการอิสลามภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มี 2 จังหวัด จำนวน 22 คน คณะกรรมการอิสลามภาคเหนือ 5 จังหวัด จำนวน 59 คน

ประวัติของนายอาซิส พิทักษ์คุมพล เกิดเมื่อปี พ.ศ.2490 ที่ ต.หัวเขา อ.สิงหนคร จ.สงขลา จบการศึกษาสายศาสนาจากสถาบันปอเนาะใน อ.จะนะ จ.สงขลา และ จ.ปัตตานี แม้ไม่ใช่ชาวไทยเชื้อสายมลายู แต่ที่ผ่านมาได้มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาภาคใต้มาหลายกรรมวาระ นอกจากการสนิทแนบแน่นกับพี่น้องมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว พื้นที่ 4 อำเภอของ จ.สงขลาคือ นาทวี จะนะ เทพา และสะบ้าย้อย ก็มีเหตุความไม่สงบเกิดขึ้น ซึ่งนายอาซิสต้องเข้าไปรับผิดชอบในฐานะผู้นำศาสนาประจำจังหวัด และการเข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรงคือการดำรงตำแหน่งสำคัญในกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.)



Posttoday.com
16 พฤษภาคม 2553 เวลา 17:33 น.
:arrow: "อาซิส"ว่าที่จุฬาราชมนตรีคนที่ 18
รายละเอียดเพิ่มเติม :-

:arrow: อาซิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรีใหม่ คะแนนทิ้งห่างคู่แข่ง
:arrow: รายนามจุฬาราชมนตรีของไทย
:arrow: ย้อนอดีตตำแหน่งจุฬาราชมนตรี
:arrow: สำนักข่าวไทยมุสลิม
ตอบกลับ

กลับไปยัง “กลุ่มรวมมิตร”