คอเลสเตอรอล เรื่องลวงโลก?

[พล 347]

เพิ่มเติมจากต้นฉบับ....

เจ้าตัวยาวิเศษ statin ที่เปลี่ยนโลกทั้งโลกให้มาสยบ พึ่งพาและคบหากันมาจนถึงศตวรรษนี้มีการค้นพบที่น่าทึ่งมากครับ

มันถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญในห้องวิจัยอันทันสมัย ภายในบริษัทผลิตยาใหญ่ ๆ ทั่วโลกหรือ?
หรือว่ามันถูกค้นพบโดยการใช้ระบบจำลองสามมิติค้นหาจากระบบเคมีชีวะกลั่นกลองมาจากสารที่ตับผลิตมาโดยตรง?
หรือว่ามาจาการร่วมมือค้นคว้าและวิจัยด้วยเงินลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์มาหรือ?

คำตอบคือ ไม่

เช่นเดียวกับยาขายดีดัง ๆ ทั่วโลก เจ้าตัวยา statin ถูกค้นพบด้วยเหตุบังเอิญ ล้วน ๆ

ย้อนฉากไปที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ในป่าใหญ่อันกันดาร หนาวเย็น แห้งแล้งและโดดเดี่ยวทางตอนเหนือของเมืองจีน
ที่ซึ่งเจ้าต้นหญ้าเล็ก ๆ แหวกแทรกขออาศัยอยู่บนโลกใบนี้กับเขาบ้าง (นิยายไปหน่อย แต่ผมแปลตามต้นฉบับตรง ๆ
แม้แต่คำว่า นิยาย) เจ้าต้นหญ้าตัวนี้มีชือว่า red yeast rice มีรสหวานหอมหวานชวนให้เป็นอาหารของสัตว์อื่นยิ่งนัก
เลยต้องปกป้องตัวเองด้วยการซ่อนสารพิษไว้ในใบเล็ก ๆ ของมัน เจ้าสารพิษตัวนี้ ชื่อว่า lavastatin
สัตว์ตัวไหนโง่ดันกินเข้า เป็นอันม่องเท่งทุกตัวไป

นักวิจัยแห่งกองทัพบกสหรัฐ ซึ่งค้นพบเจ้าสารพิษตัวนี้ นำมันมาศึกษาต่อ เผื่อว่าจะมีประโยชน์อะไรบ้าง
ซึ่งทีหลังก็ไม่พบว่าเจ้าสารพิษนี้ทำประโยชน์อะไรกับกองทัพมากนัก....

แต่ตอนหลังก็มีการพบว่าเจ้า lavastatin มีอิทธิฤทธีในการบล๊อกหรื้อป้อง เจ้าเอนไซม์ตัวหนึ่ง ชื่อ HMG-CoA ซึ่ง
ในขั้นตอนเคมี ชิวะ อันซับซ้อนที่ไม่สามารถเข้าใจได้นั้น ดันไปลดกระบวนการผลิตและสังเคราะห์ คอเลสเตอรอลของตับเข้า
ส่งผลให้ระดับคอเลสในเลือดของมนุษย์ลดลง

บริษัทยา Merck อันใหญ่ติดอันดับหนึ่งของโลกเป็นเวลาหลายปี ทำยังไงก็ไม่รู็ เข้าไปช้อนซื้อสิทธิบัตรเจ้า lavastatin
จากกองทัพบกสหรัฐได้ตั้งแต่นั้น ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้น คงไม่ต้องบอกเล่ากันครับ โลกมนุษย์ก็เข้าสู่ยุค
"The Age of the Statin" โดยสมบูรณ์ จากวันนั้นจนบัดนี้ 555

[TNN]

ใครสนใจอ่านต้นฉบับ หาซื้อได้เป็น Ebook ครับ
อ่านแล้วรับรอง มันส์กว่านี้เยอะ 555

อ่านแล้วทำให้คนมีคอเลสเตอรอลสูง ๆ เบาใจไปได้เยอะครับ
ส่วนจะเชื่อไปเลย หรือ ฟังหูไว้หู ก็แล้วแต่ใจจะปรารถนานะคร้าบ

ขอบคุณมากครับ ผมจะไปตรวจร่างกายวันจันทร์นี้ครับ ที่ผ่านมาคอเลสเตอรอลสูง ๆ 200 กว่า ตรวจครั้งนี้ จะต่ำลงบ้างหรือเปล่าไม่รู้ หรือให้มันสูงขึ้นเหมือนวัตต์ดีหว่า ออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานต่อไป..

[tum13]

ผมพึ่งกินยาลด คอเลสเตอรอล เพราะระดับ คอเลสเตอรอล ผมสูง300 หมอให้ผมทานยาลด แล้วจะเชื่อใครดีละเนี่ย เมื่อกี้หลังจากอ่านบทความของคุณพล เลยโทรคุยกับไอ้หมอน้องชายผม มันบอกว่าบทความนี้เป็นแค่ความเห็นของ หมอคนเดียวยังไม่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก ในระบบอนามัยโลกยังมีอยู่หลายสถาบันที่ยังเป็นทียอมรับเกี่ยวกับ คอเลสเตอรอล ผมเลยสับสนไปหมด เอาเป็นว่ารู้ใว้ประดับความรู้ใว้ก่อนดีกว่า

[Kriss61]

ขอบคุณครับบทความดีๆ ขอแชร์นะครับ และจะเลิกกินยาลดไขมันเด็ดขาด

[voody]

ขอบคุณครับพี่

[sorpinya]

ขอบคุณทีนำข้อมูลดีๆมาแบ่งปัน

[kbom]

เยี่ยมครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ครับ

[Whaen_Saengnoi]

สับสนจะเอายังไงดีหว่า สรุปว่า คงจะต้องปั่นจักรยานต่อไปอีกน่ะ ขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูลใหม่

[HONG41]

ขอบคุณครับพี่พล ที่สละเวลาค้นข้อมูลมาให้
อ่านแล้วมันส์ ได้ความรู้เพิ่มครับ

[Hoon]

ขอมูลนี้ผมได้อ่านมาก่อนหน้าแล้ว ขอมูลที่แปลเป็นไทยไม่ถูกต้องเท่าไร การอ้างข้อมูลจากอังกฤษเป็นข้อมูลเก่าสมัยที่ยังไม่มีเครื่องCT scan.พูดอะไรก็ได้เพราะมองไม่เห็นภายในเส้นเลือด ซึ่งตอนนี้สามามามองเห็นเส้นเลือดทุกเส้นเป็นรูป3มิติได้ การวัดผลChol หรือวัดLDL ,HDL,Trig แค่เป็นตัวชี้บ่งว่าเรามีปัจจัยเสี่ยงหรือเปล่าเท่านั้น ,ถ้าเราไม่เชื่อในระบบนี้ ผมถามว่าแล้วจะเอาอะไรเป็นตัววัด รอให้มีอาการก่อนก็สายไปเสียแล้ว อย่างผมที่ตายไปแล้วกลับฟื้นขึ้นมาเกิดขึ้น1ในแสนเท่านั้นโชคดีที่เป็นนักกีฬาถึงได้กลับมาเล่าเรื่องให้คนอื่นฟังได้ ผู้ที่เป็นโรคหัวใจวาย50%ตายในที่เกิดเหตุ อีก25%ตายหลังจากถึงมือหมอแล้ว. 75%ไม่มีอาการเตือนมาก่อน บางคนChol สูงๆแต่เส้นเลือดไม่ตีบก็มีเยอะแยะ ตีบที่อื่นเขาไม่สนใจเขาเอาแค่ที่หัวใจกับสมองเท่านั้นที่เป็นอันตรายมากๆ ถึงต้องไปวิ่งสายพาน ถ้าไม่ผ่านถึงต้องฉีดสีหรือทำTC scan. ถ้าผ่านหมดถึงจะเรียกว่าปลอดภัย. ในความเป็นจริงหมอหัวใจก็ยังไม่รู้ว่า ทำไมบางคนเป็นบางคนไม่เป็น เพียงแต่รู้ว่าใครมีปัจจัยเสี่ยงเท่านั้น
ใครอยากจะคุยเรืองนี้ให้มาคุยกับผม ที่ผ่านขั้นตอนมาหมดแล้ว เริ่มตั้งแต่อาหารการกิน ผลเลือดที่ไม่ดี วิ่งสายพานผ่าน110% ฉีดสีตีบ4เส้น 75-95% ใส่ขดลวดไม่ผ่านเพราะภายในกลายเป็นหินปูนไปแล้ว. ผ่าทำบายพาส2เส้น และก็ผ่านการตายมาแล้ว
ไม่รู้ว่าพวกที่ต่อต้านนี่ เคยผ่านขั้นตอนใหนมามั่ง มีวิธีแนะนำที่ดีกว่านี้ไหม.ถ้าไม่มีจะทำให้คนเป็นจำนวนมากเสียโอกาศในการรักษาตัวให้พ้นจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ.ไม่มีใครอยากกินยาแยะๆหรอกครับ เสี่ยงทั้งตับและไต ผมเองต้องตรวจตับทุกสามเดือน เพื่อดูค่าการทำงานของมันตามที่บริษัทยาแนะนำ
พูดมาเสียยืดยาวไม่รู้จะอ่านหรือเปล่า
หุ่น

ขออนุญาต คุณ พล
copy ด้านบนผมsafe เก็บไว้ตอบ ตอนมีคนถามผม บ่อยมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านใดมีข้อสงสัยว่าเส้นเลือดตัวเองสภาพเป็นอย่างไร ตีบ ไม่ตีบ ตีบเส้นใหนกี่% กี่เส้น เป็นรูป 3D ของหัวใจชัดมาก ขอแนะนำไปทำTC scan เลยครับ ราคา หมื่นห้า ถึง สี่หมื่น แล้วแต่ ชนิดเครื่องและโรงพยาบาลผมเองทำมาแล้ว และเชื่อในสิ่งที่ผมมองเห็นสภาพเส้นเลือดหัวใจของตัวเองครับ

[พล 347]

ไม่มีคำอื่นใดนอกจากคำขอบคุณครับพี่ Hoon ที่ได้สละเวลาแนะนำด้วยประสบการณ์ล้วน ๆ
ผมอ่านมากกว่า 2 รอบแล้วครับ

โลกนี้มีสองด้านเสมอ ข้อมูลข่าวสารสมัยนี้ล้นทะลักไปหมด
เลือกไม่ถูก ไม่รู้จะเชื่ออะไรดี หรือไม่ดี อย่างแค่ กาแฟ
บางข้อมูลก็บอกมีประโยชน์ บางทีก็ไม่ โอมเมก้า3 บ้างก็ว่าดี
บ้างก็ว่าไม่ อัลกอฮอล์ บ้างก็ว่าดีกับหัวใจ บ้างก็ว่าแย่กับตับ กับสมอง
นม บ้างก็ดี ชอบ บ้างก็ว่าก่อภูมิแพ้ ไปโน่น

ผู้เสพต้องเลือกกันเองครับ สับสนบ้าง มั่วมั่ง ก็ต้องเรียนรู้ไป
ดีกว่าไม่รับรู้อะไรเลย ทางที่ดีคือ เดินสายกลาง ครับ

แต่ที่ผมเชื่อที่สุด ถือว่าเป็นยาวิเศษอย่างแท้จริง รู้จักมาตั้ง
แต่เด็ก ๆ แล้ว แต่เพิ่งมาเห็นจริง ๆ ตอนนี้ คือ กีฬา ครับ

กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
แก้กองกิเลส ทำคนให้เป็นคน...

ใครหนอแต่ง ช่างมองเห็นการณ์ไกลจริง ๆ
โดยเฉพาะ กีฬา จักรยาน...

[Hoon]

ข้อมูลเพิ่มเติ่ม เกี่ยวกับยา Statin แบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ 1.Lovastatin 2.Simvastatin การทาน เริ่มจาก 5-10mg ถ้าร่างกายเริ่มดื้อยาต้องเพิ่มโดยคูณสองตลอด เช่น10,20,40,80mg
1. กลุ่ม Lovastatin เม็ดละ 50-60บาท ตัวยาออกฤทธิ์ ตลอดเวลา
2.กลุ่ม Simvastatin เม็ดละ5-10บาท ตัวยาออกฤทธิ์เต็มที่ช่วง 1.30ช.ม.หลังเข้าสู่ร่างกาย
หมอเองก็ยังไม่รู้ว่าทำไมยามันทำงานเฉพาะกลางคืน อาจเพราะว่าตับผลิต คอเลสเตอรอล ช่วงเรานอนหลับสนิทเท่านั้น แล้วตัวยาไปควบคุมมันให้ผลิตน้อยลง ฉนั้นท่านที่ทานยากลุ่ม2 ควรทานก่อนเข้านอนเท่านั้น ไม่เช่นนั้นตัวยาอาจหมดฤทธิ์หรืออ่อนลงแล้ว ช่วงตับผลิตคอเลสเตอรอล
ข้อเสียที่ไม่ดีมากๆสำหรับนักจักรยานคือ ทำให้กล้ามเนื้อฉีกได้ง่าย และทำให้กล้ามเนื้อที่ยึดโครงกระดูกละลาย ทำให้เราปวดเมื่อยตามร่างกาย
วิธีแก้ของผมคือหยุดยา 4-7 วันก่อนแข่ง แข่งเสร็จก็กลับไปทานต่อ

ความจริงพวกเราอย่าไปสนใจระดับคอเลสเตอรอลว่ามันจะสูงเท่าไร( แต่ไม่ควรต่ำกว่า150 )
ตัวที่ต้องระวังคือ LDL ไม่ควรเกิน 120 สำหรับคนทั่วไป ส่วนคนที่มีปัญหาอย่างผม ไม่ควรเกิน 100 วิธีคำนวนคือ เอา คอเลสเตอรอลตั้ง ลบ ด้วย HDL ลบด้วย 1/5ของไตกลีเซอร์ไล=LDL ตัวอย่างผลเลือด Chol 220,HDL 50,Tri 150,=LDL 140
LDL ไม่ใช่ไขมัน แต่เป็นโปรตีนที่มีความหนาแน่นต่ำ ที่มีไขมันคอเลสเตอรอลซ่อนอยู่ถึง45% การที่มันมีความหนาแน่นต่ำ ทำให้มันสามารถซึมผ่านผนังหลอดเลือดชันในมาอยู่ผนังส่วนกลาง ซึ่งเป็นส่วนที่เหมือนยางยืด ทำหน้าที่หด ขยาย ส่งเลือดไปตามท่อเส้นเลือด เมื่อLDL ไปอยู่ผิดที่ ร่างกายเห็นเป็นสิ่งแปลกปลอม จึงสร้างสารที่คล้ายฟองน้ำมาดูดซึมพอกมันไว้ทำให้มันปูดออกและการยืดหยุ่นบริเวณนั้นน้อยลงหรือหายไป เมื่อหัวใจปั้มส่งเลือดไปตามหลอดเลือด โดยเฉพาะตัวมันเอง ต้องอาศัยความยืดหยุ่นของหลอดเลือด มาถึงจุดที่มีปัญหามันยืดหยุ่นไม่พอ หลอดเลือดภายในก็จะปริ แตก พาสม่าที่อยู่ในหลอดเลือด เห็นมันเป็นแผล ก็จะรีบทำหน้าที่ของมันโดยการไปอุดแผลไว้ เท่านั้นแหละครับ เลือดก็ไม่สามารถผ่านจุดนั้นได้ ถ้ามันซวยอยู่ตรงจุดหัวใจ หัวใจก็จะหยุดปั้มเลือดหรือปั้มน้อยลง พอเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ สมองก็ดับไฟ แค่5นาที กล้ามเนื้อสมองที่ไม่มีเลือดเลี้ยง ก็ตายแล้ว ถึงแม้จะปั้มหัวใจกลับมาเต้นใหม่ได้ เราก็เป็นผักไปแล้วครับพี่น้อง

[พล 347]

เพื่อนส่งตัวนี้มาให้ ขออนุญาตส่งต่อครับ

ภาพลวงเรื่องคอเลสเตอรอลที่ถูกขยายความจนเกินจริง เพื่อหลอกให้เรากินยา
by รวมทรรศน์ on Saturday, 2 February 2013 at 10:08 ·
โดย นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล


สมมติฐานที่ว่าภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูงเพิ่มความเสี่ยงต่อการตายด้วยโรคหัวใจหลอดเลือดหรือไม่? กลายเป็นประเด็นที่การแพทย์ในสหรัฐฯสนใจที่จะศึกษาค้นคว้า จึงมีการศึกที่เรียกว่า การศึกษาฟรามิงแฮม ซึ่งสถาบันโรคหัวใจแห่งชาติสหรัฐอเมริการิเริ่มขึ้น การวิจัยเริ่มในปีค.ศ.1960 โดยเริ่มจากสมมติฐาน 11 ข้อ คือ:

1.โรคหัวใจหลอดเลือดเพิ่มขึ้นตามอายุ อัตราการเกิดพบบ่อยขึ้นและในกลุ่มอายุที่น้อยลงในเพศชาย
2.คนที่เป็นโรคความดันเลือดสูงมีอัตราการเกิดโรคหัวใจหลอดเลือดมากกว่าคนที่ไม่มีความดันเลือดสูง
3.ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดที่สูงขึ้นสัมพันธ์กับอัตราเกิดโรคหัวใจหลอดเลือดมากขึ้น
4.การสูบบุหรี่เพิ่มอัตราการเกิดโรคหัวใจหลอดเลือด
5.การดื่มสุราเป็นนิจสินเพิ่มอัตราการเกิดโรคหัวใจหลอดเลือด
6.การออกกำลังกายลดอัตราการเกิดโรคหัวใจหลอดเลือด
7.ไทรอยด์ทำงานมากขึ้นลดอัตราการเกิดโรคหัวใจหลอดเลือด
8.ฮีโมโกลบินในเลือดสูงขึ้นหรือสัดส่วนเม็ดเลือดแดงในเลือดที่สูงขึ้นเพิ่มอัตราการเกิดโรคหัวใจหลอดเลือด
9.น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นเสี่ยงต่อโรคหัวใจหลอดเลือดมากขึ้น
10.มีอัตราการเกิดโรคหัวใจหลอดเลือดเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน
11.มีอัตราการเกิดโรคหัวใจหลอดเลือดเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้ป่วยโรคเกาต์

ในภายหลังยังได้เพิ่มปัจจัยอื่นที่อาจสัมพันธ์กับโรคหัวใจหลอดเลือดเช่น ระดับ HDL และ LDL อีกด้วย

ว่าให้ถึงที่สุดแล้วการศึกษาฟรามิงแฮมตั้งใจที่จะพิสูจน์ว่า “ระดับคอเลสเตอรอลที่เพิ่มขึ้นสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับอัตราการตายด้วยโรคหัวใจหลอดเลือดในกลุ่มคนที่อายุเกิน 60 ปีขึ้นไป” สำหรับกลุ่มคนที่อายุต่ำกว่า 60 ปีลงมา ระดับคอเลสเตอรอลเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งในอีกหลายๆปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจหลอดเลือด ซึ่งต่อมาในการประชุมนานาชาติเมื่อปีค.ศ.1999 ก็มีผู้เสนอข้อวิจารณ์ต่อการศึกษาฟรามิงแฮมว่า “การศึกษาฟรามิงแฮมแม้จะพบความสัมพันธ์ของระดับคอเลสเตอรอลกับอัตราการเกิดโรคหัวใจหลอดเลือดในคนหนุ่มหรือผู้ชายวัยกลางคนก็จริง แต่ฟรามิงแฮมกลับไม่สามารถพิสูจน์ความสัมพันธ์นี้ในผู้หญิงและในคนสูงอายุได้ ซึ่งคนกลุ่มหลังนี้แหละที่มักจะเกิดโรคหัวใจหลอดเลือดมากกว่ากลุ่มอื่น(และเป็นความตั้งใจแท้ๆของการศึกษาฟรามิงแฮม)” และวิจารณ์ต่อไปอีกว่า “แม้ฟรามิงแฮมจะพบความสัมพันธ์นิ้ในคนหนุ่ม แต่ก็ไม่สามารถพิสูจน์ต่อถึงความสัมพันธ์กับคอเลสเตอรอลในอาหารที่กินเข้าไป ว่าจะสัมพันธ์โดยตรงกับโรคหัวใจหลอดเลือดในคนหนุ่มและผู้ชายวัยกลางคนหรือไม่”

ถ้าตีความจากคำวิจารณ์นี้ก็คือ การศึกษาฟรามิงแฮมคว้าน้ำเหลวในจะพิสูจน์ว่าคอเลสเตอรอลก่อให้เกิดโรคหัวใจหลอดเลือดในผู้สูงอายุ ส่วนในวัยหนุ่มและวัยกลางแม้จะพบความสัมพันธ์แต่ฟรามิงแฮมก็พลาดเป้าเพราะไม่อาจพิสูจน์ว่าการเกิดโรคหัวใจหลอดเลือดเพิ่มขึ้นในคนกลุ่มหลังนี้สัมพันธ์กับคอเลสอเตอรอลที่พวกเขากินเข้าไปกับอาหาร (ซึ่งในช่วงปีค.ศ.1999 กลับมีการพิสูจน์ว่า คอเลสเตอรอลในเลือดของเรานั้น แท้ที่จริงตับของเราสร้างขึ้นเองกว่า 90% ไม่ใช่คอเลสเตอรอลที่เรากินเข้าไป)

ข้อน่าสังเกตก็คือ แม้การศึกษาฟรามิงแฮมจะพบปัจจัยอื่นๆอีกมากที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจหลอดเลือด เช่น ภาวะขาดการออกกำลังกาย ความอ้วน ความเครียด การสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ซึ่งล้วนได้รับการพิสูจน์ว่ามีความสำคัญ แต่ “ด้วยเหตุผลที่เหลือจะกล่าว” ข้อสรุปกลับมาเน้นที่เรื่องของคอเลสเตอรอลอย่างจริงจัง อาจด้วยเหตุผลเพราะว่าปัจจัยเรื่องคอเลสเตอรอลช่างควบคุมได้ง่ายดายด้วยการกินยาลดไขมัน แต่สำหรับเรื่องอื่นๆแล้ว ไม่มี “ยาสำเร็จรูป” ที่จะกินเข้าไปแล้วเข้าไปแก้ไขปัจจัยจากพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นได้

จากนั้นเป็นต้นมา เรื่องราวของโรคหัวใจหลอดเลือดก็เลยถูกเบี่ยงเบนมาสู่ประเด็นของคอเลสเตอรอลไปเสียหมด จนเกือบจะถูกรับรู้ว่าเป็นปัจจัยเดียวเดี่ยวโดดที่ทำให้เกิดโรคดังกล่าว แทนที่จะพิจารณาปัญหาของโรคหัวใจหลอดเลือดในลักษณะที่เป็นองค์รวม

นักเขียนทางสุขภาพชื่อดังของนิวยอร์กไทม์ชื่อ แกรี เทาบีสตั้งประเด็นที่น่าสังเกตต่อไปว่า “มีการสรุปเอาอย่างง่ายๆว่าคอเลสเตอรอลชนิด LDL เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ก่อโรคหัวใจหลอดเลือด และคอเลสเตอรอลชนิด HDL ลดอัตราเสี่ยงโรคหัวใจหลอดเลือด ซึ่งในภายหลังก็เลยกลายเป็นเรื่องที่พูดกันติดปากว่า LDL นำไขมันชนิดเลว ส่วน HDL นำไขมันชนิดดี แต่การศึกษากลับพบว่าผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดจำนวนไม่น้อยกลับมีระดับ LDL ต่ำ”

“ถ้าอย่างนั้นแล้ว ทำไมเราจึงเชื่อมั่นเสียเหลือเกินล่ะว่า LDL เป็นไขมันเลว? มันอาจมาจากการสังเกตอีกประการหนึ่งว่าการกินไขมันอิ่มตัวแล้วทำให้ LDL เพิ่มขึ้น ในเมื่อเราเชื่อมาก่อนแล้วว่าไขมันอิ่มตัวเป็นไขมันที่ไม่ดี ด้วยเหตุนี้ก็เลยเกิดเป็นวังวนแห่งความเชื่อที่ว่า ไขมันอิ่มตัวไม่ดีเพราะมันเพิ่ม LDL และLDLไม่ดีก็เพราะมันเกิดขึ้นมาจากการกินไขมันอิ่มตัว” เทาบีสกล่าว “แท้ที่จริงแล้วการวิจัยทางคลินิกหลายชิ้นยังไม่สามารถพิสูจน์ได้เลยว่า ไขมันอิ่มตัวในอาหารเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจ”

ทีนี้ก็มาถึงเรื่องของยาลดไขมัน เทาบีสกล่าวต่ออีกว่า “มีหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งที่ช่วยยืนยันสมมติฐานเรื่องคอเลสเตอรอลก็คือ ยาสแตตินเช่น ลิปิเตอร์ ลด LDL-Chol ได้และช่วยป้องกันโรคหัวใจ ยาสแตตินยิ่งมีฤทธิ์แรงเพียงใดก็ยิ่งลด LDL-Chol ได้ดีเพียงนั้น และก็ยิ่งลดอัตราการเกิดโรคหัวใจได้ยิ่งยวด การรับรู้เชิงนี้ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวาง และยิ่งได้รับการยืนยันเมื่อองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯให้การรับรองใหม่ๆออกมาว่า ยาสแตตินที่ชื่อว่า ซีเทีย (Zetia) เป็นยาป้องกันโรคหัวใจ เพียงเพราะมีหลักฐานที่ว่ายาซีเทียลด LDL-Chol ได้

ก็ยาซีเทียตัวนี้เองที่เมื่อเร็วๆนี้บริษัทเมิร์ก/เชอริงเพลา ก็ได้เปิดเผยข้อมูลที่ทำให้ทุกคนต้องถึงกับ “อึ้ง” เกี่ยวกับการทดสอบยา Zetia ว่ายาดังกล่าวแม้จะมีผลลดคอเลสเตอรอลได้ แต่ไม่อาจพิสูจน์ว่าเกิดผลดีทางการแพทย์แก่ผู้บริโภคแต่อย่างใด จนแพทย์ชั้นนำทางด้านโรคหัวใจในสหรัฐฯอุทานขึ้นมาว่า “ข่าวนี้ช็อกพวกเรามาก” แล้วพากันตั้งคำถามว่า “ยาลดคอเลสเตอรอลให้ประโยชน์อะไรบ้าง?”

“ตรรกะของเรื่องยาลดคอเลสเตอรอลช่วยป้องกันโรคหัวใจดูค่อนข้างจะไม่ชอบมาพากล” เทาบีส
กล่าว “มันเหมือนกับการพยายามสรุปว่ายาแอสไพรินป้องกันโรคหัวใจได้ เพราะยาแอสไพรินรักษาอาการปวดหัว” (เพราะเหตุผลเบื้องลึกแล้ว ยังไม่มีงานวิจัยที่สรุปได้ว่าอาการปวดหัวก่อให้เกิดโรคหัวใจฉันใด ก็พอๆกับที่ยังไม่มีงานวิจัยที่สรุปว่า LDL-Chol ก่อให้เกิดโรคหัวใจฉันนั้น ดังนั้นการกินสแตตินเพื่อป้องกันโรคหัวใจ ก็มีน้ำหนักน่าเชื่อถือพอๆกับการกินแอสไพรินป้องกันโรคหัวใจนั่นเอง ฮาฮา^^)

และความจริงก็คือ นักวิจัยเป็นจำนวนมากขึ้นทุกทีเริ่มเชื่อแล้วว่า สแตตินช่วยผู้ป่วยโรคหัวใจบางรายได้ดุจเดียวกับแอสไพรินช่วยผู้ป่วยกลุ่มเดียวกันนั่นเอง มันไม่ใช่เพราะผลการลดคอเลสเตอรอลของสแตตินหรอก แต่เป็นเพราะสแตตินไปลดภาวะอักเสบ ซึ่งเป็นฤทธิ์แบบเดียวกับที่แอสไพรินช่วยผู้ป่วยโรคหัวใจด้วยการลดการอักเสบเช่นเดียวกัน

ลงท้ายแล้ว สแตตินก็มีคุณค่าทางยาต่อผู้ป่วยโรคนี้เทียบเท่ากับยาแอสไพรินนั่นเอง แต่ด้วยสนนราคาที่แพงกว่ากันมหาศาล โอ้โฮ L

ถึงตรงนี้ผู้อ่านคงเริ่มตระหนักแล้วว่า เราตกอยู่ในวังวนของความเชื่อที่ด่วนสรุปมายาวนานและลึกล้ำเพียงใด โปรดติดตามเรื่องนี้ต่อไป อย่าด่วนหัวใจวายเสียก่อนด้วยความที่เพิ่งตระหนักรู้ในเล่ห์เพทุบายของบริษัทยา

จากที่นี่
https://www.facebook.com/pages/รวมทรรศน ... 6249787371

[Frogman_twin]

[DOCTORCHAN]

ขอบคุณทั้งสองท่าน

ไม่มีอะไรดีหมด
ไม่มีอะไรร้ายหมด

มีดีก็มีเสีย

มีเสียก็มีดี