ควันหลง Every Second Count โดย แลนซ์ อาร็มสตรอง

ผู้ดูแล: ra_p

กฏการใช้บอร์ด
347 Cycling Team
ตอบกลับ
รูปประจำตัวสมาชิก
พล 347
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 1101
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 20:24
team: 347 Cycling Team
Bike: Cannondale EVO
ติดต่อ:

ควันหลง Every Second Count โดย แลนซ์ อาร็มสตรอง

โพสต์ โดย พล 347 »

ไปเจอต้นฉบับมาเต็ม ๆ แถว ๆ นี้แหละ เลยขออนุญาติ ผู้แปล (ไม่รู้จริง ๆ ว่าใคร ;) ;) )
คัดลอกมาอ่านกันดูนะครับ

รู้มาว่ายังไม่มีการตีพิมพ์เป็นภาษาไทย ทั้ง ๆ ที่หนังสือออกมานานแสนนานแล้ว
ใครอยากอ่านฉบับภาษาอังกฤษ ก็พอหาได้แถว ๆ นี้อีกเหมือนกันครับ

อ่านรายละเอียดไปเรื่อย ๆ จะรู้ว่า ข้อเขียนแต่ละท่อน ทุก ๆ วินาทีจริง ๆ เลยครับ

หรือถ้าใครคิดว่าไม่เหมาะสม ก็แนะนำตักเตือนกันมาได้นะครับ :roll: :roll:
รูปประจำตัวสมาชิก
พล 347
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 1101
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 20:24
team: 347 Cycling Team
Bike: Cannondale EVO
ติดต่อ:

Re: ควันหลง Every Second Count โดย แลนซ์ อาร็มสตรอง

โพสต์ โดย พล 347 »

ตอนที่ 1

Friday, January 28, 2005

ตูร์ เดอ ฟร็องซ์ 2003

ถ้าคุณคิดว่าหนังสือเล่มนี้จบลงแล้ว อันที่จริงมันยังจบไม่ได้หรอกครับ ผมก็คิดอยู่เหมือนกันล่ะว่ามันน่าจะจบลง ซึ่งจะเป็นการจบแบบเอาชนะอุปสรรคได้ เรื่องราวจึงไม่น่าจะครอบคลุมเพียงบางส่วนของชีวิต แต่น่าจะเป็นเรื่องราวจนถึงที่สุดของมัน สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปก็คือผมกำลังพยายามที่จะชนะตูร์ เดอ ฟร็องซ์ให้ได้เป็นครั้งที่ห้า มีเรื่องให้ฝ่าฟันมากมายจนทำให้ผมรู้ว่ามันยากกว่าที่คิดเอาไว้ นี่แหละครับคือสิ่งที่ผมอยากจะบอกเล่า คุณคงไม่สามารถจะเอาชนะอุปสรรคได้เพียงครั้งเดียวแล้วก็คิดว่ามันจบแค่นั้น อันที่จริงแล้วมันยังมีอะไรที่รอเราอยู่มากมาย แล้วคุณก็รู้ว่าความจริงมันก็เป็นอย่างนี้

ในตูร์ฯปี 2003 มีเรื่องราวเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย หลายเรื่องหลายราวจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการล้มกันระเนระนาด,คลื่นความร้อน,เชื้อไวรัส,จักรยานพัง มันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเสียจนเป็นลางไม่ดีไปเลย ครั้งหนึ่งผมเคยยืนอยู่บนเชิงเขาของพีเรนีส มีรอยขีดข่วนฟกช้ำดำเขียวเต็มตัวและร้องโอดโอยเพราะคิดว่าตัวเองคงต้องแพ้เสียแน่แล้ว และมีหลายครั้งทีเดียวที่ผมยังปั่นต่อไปได้เพราะมีความปรารถนาอันแรงกล้า เพียงเพราะต่อสิ่งเดียวที่ผู้บรรยายกีฬาจักรยานอย่างฟิล ลิกเก็ตต์บอกเอาไว้ว่ามันคือ “เสน่ห์อันเย้ายวนของเส้นชัย”
กงล้อแห่งประวัติศาสตร์คือตัวการสำคัญ? มันก็น่าจะใกล้เคียงนะ ในการแข่งขันครั้งครบรอบหนึ่งร้อยปีของตูร์ฯ มันเหมือนกับว่าผมกำลังต้องต่อสู้อยู่กับศัตรูร้ายที่มองไม่เห็นตัว ราวกับว่าจิตวิญญาณของพวกนักจักรยานเก่งๆในอดีตมารวมตัวกันเพื่อกำหนดให้คนที่จะชนะในปีนี้จะต้องแสดงให้เห็นไม่แต่เพียงคุณค่าของตัวเองเท่านั้น แต่เขาต้องรับมือให้ได้ด้วยกับเหตุการณ์หายนะต่างๆอันไม่คาดฝันและสุดจะทนทานด้วย
ผมน่าจะรู้เสียตั้งแต่แรกแล้วว่าการแข่งขันครั้งนี้คงจะโหดเอาเรื่อง เพราะเมื่อสองวันก่อนการแข่งขันเริ่มขึ้นมีนกบินมาถ่ายรดไหล่ของโยฮาน ซึ่งตอนนั้นพวกเรากำลังนั่งประชุมวางแผนกันอยู่ด้านนอกรถบัสของทีมอยู่พอดีตอนที่มันทำเสื้อของเขาเลอะ หรือว่านี่มันเป็นลางร้าย? แต่ในบางประเทศเขาก็ว่ากันว่ามันเป็นโชคดีเสียมากกว่า ไม่นานนักก็เกิดการถกเถียงกันขึ้นระหว่างเรื่องของโชคดีและโชคร้าย แต่สำหรับผมแล้วมันน่าจะเป็นแค่การหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง ความจริงก็คือว่าในสี่ครั้งที่ผมได้ชนะมานั้นผมยังไม่เคยเจออะไรที่มันเลวร้ายสุดๆเลยสักครั้ง ไม่มีการล้ม,ยางไม่แตก ไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่ตอนนี้ทุกสิ่งดูจะกลับตาลปัตรไปหมด ราวกับมันอาจจะแย่เอาจริงๆ
เรื่องร้ายๆนี้เริ่มขึ้นในฤดูหนาวตั้งแต่เมื่อคิคกับผมแยกกันอยู่ ใครที่เคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้เข้าก็คงจะเข้าใจดีล่ะว่ามันบั่นทอนจิตใจขนาดไหน และมันส่งผลกระทบเข้ากับบุคคลผู้เกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง ผมพยายามจะบอกตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าจัดการกับสถานการณ์ได้ และเรื่องส่วนตัวมันก็ต้องแยกออกจากการแข่งจักรยาน แต่มันกลับมากัดกินใจผม ร่างกายน่ะไม่เท่าไหร่หรอก ไม่ใช่ว่าบางวันไม่อยากจะลุกจากเตียงหรือก้าวขึ้นคร่อมอานจักรยาน แต่มันทำร้ายจิตใจผมมาก ผมไม่ได้หมายความว่ามันมาทำให้การซ้อมจักรยานของผมเสียหายไปหรอกนะ แต่เรื่องนี้มันกัดกินอยู่ทั้งในความคิดและจิตใจของผม

ตอนที่กำลังเตรียมตัวแข่งโปรล็อกอยู่นั้น ผมบอกตัวเองว่าเมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น ขี่ไปแล้วฟอร์มการปั่นก็คงจะเข้าที่เข้าทาง แต่คนอื่นๆกำลังคาดหวังว่าผมคงจะชนะอย่างถล่มทลายมากกว่าที่เคยได้เห็นมาในปีก่อนๆ เมื่อคุณได้ยินสิ่งที่เขาพูดกันบ่อยๆมันก็จะยิ่งกัดกร่อน และคุณก็จะเริ่มรู้สึกว่าไม่ค่อยมีกะจิตกะใจจะแข่งขัน เป็นอย่างนี้ได้มันก็แพ้ตั้งแต่อยู่ในมุ้งแล้ว

แล้วผมก็แพ้อย่างที่คิดเอาไว้ กับตำแหน่งที่เจ็ดจากสเตจโปรล็อก และเริ่มต้นแข่งตูร์ฯครั้งนี้ด้วยเหตุการณ์ร้ายๆ ตอนนี้คนเขาคงคิดล่ะว่าผมคงไม่อยากจะพบให้ใครเห็นตาทั้งสิ้น มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างแพร่กระจายไปทั่วเปโลต็องแล้วว่าผมมันไม่ใช่เสือนักปั่นคนเดิมอย่างที่เคยเป็นอีกแล้ว ผลการแข่งขันของผมสร้างความหวังให้กับนักจักรยานทุกคนในคืนนั้น รวมทั้งยาน อุลริคผู้มาปรากฎตัวที่ปารีสด้วยรูปลักษณ์ฟิตเปรี๊ยะดังเช่นที่เคยเป็นมาก่อน แต่คราวนี้มากับทีมใหม่คือเบียงชี่

แล้วตั้งแต่โปรล็อกมาเหตุการณ์เลวร้ายลง ในสเตจแรกที่วิ่งเข้าสู่เมืองโมซ์ก็เกิดการล้มกันอย่างวินาศสันตะโร ตอนนั้นเปโลต็องค่อนข้างจะเบียดเสียดยัดเยียดกันขณะที่แต่ละคนต่างก็พยายามแทรกตัวเข้าสู่เส้นชัย ความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆเพียงนิดเดียวก็สามารถสร้างความพินาศย่อยยับแบบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ได้ นักปั่นคนหนึ่งทำเท้าหลุดจากลูกบันได เขาพลาด แล้วหลังจากนั้นไม่กี่วินาทีนักจักรยานจำนวน 176 คนก็เสียหลักล้มทับกันระเนระนาด คนที่เจ็บตัวมากที่สุดในวันนั้นก็คือทั้งอดีตเพื่อนร่วมทีมและเพื่อนบ้านของผม ไทเลอร์ แฮมิลตัน(ทีมซีเอสซี) กระดูกไหปลาร้าข้างขาของเขาหักแต่ก็ยังทนฝืนปั่นต่อไป ผมโชคดีกว่าตรงที่มีร่องรอยฟกช้ำและถลอกปอกเปิกเล็กน้อย แต่การล้มครั้งนี้ก็พอจะบอกได้ล่ะว่าการแข่งขันต่อไปจะเป็นยังไง

อีกอย่างหนึ่งก็คือความร้อน มีคลื่นความร้อนแผ่ไปทั่วประเทศฝรั่งเศส มันร้อนตับแทบแตก และทำให้การแข่งกลายเป็นนรกหมกไหม้ไปเลยสำหรับทุกคน ในสเตจแรกๆนั้นอุณหภูมิสูงขึ้นถึง 38 องศาเซลาเซียส มันแผดเผาทั้งหัวและหลัง,ไหล่ของพวกเรา รู้สึกได้เลยว่าเหมือนกับยืนพิงกับอะไรสักอย่างที่ทั้งหนักและลวกตัวเอาได้ แทนที่เราจะรู้สึกดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป มันกลับกลายเป็นว่ายิ่งแข่งเรายิ่งอ่อนแรงลง
แต่เพื่อนร่วมทีมต่างก็ช่วยกันประคับประคองผมให้ผ่านสัปดาห์แรกมาได้ โพสเทิลชนะได้ในสเตจสำคัญ คือสเตจแข่งไทม์ ไทรอัลประเภททีมที่เริ่มจากจวงวิลล์สู่แซงต์ ดิซิเอร์กินระยะทาง 68.64 กิโล สเตจนี้เป็นสเตจยาก ที่นักจักรยานทั้งเก้าคนต้องพยายามใช้ความสามารถที่ตัวเองมีทั้งหมดเพื่อแข่งกับเวลา พวกเรากระหายเหลือเกินที่จะแสดงให้เขาทราบว่าโพสเทิลนี่แหละคือทีมที่ดีที่สุดในกีฬาที่คนยุโรปครอบครอง แล้วเราก็อัดกันได้อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ ราวกับลิ่มสีน้ำเงินกำลังโบยบินอย่างรวดเร็ว

เราชนะในสเตจนี้ด้วยเวลารวม 1 ชั่วโมง 18 นาที 27 วินาที เร็วกว่าคู่แข่งที่ว่าตามกันมาติดๆอยู่ถึงครึ่งนาที แล้วมันก็ส่งผลให้ผมได้เลื่อนตำแหน่งจากอันดับที่ 12 ในประเภทเวลารวมมาเป็นที่สอง สิ่งที่น่าพึงพอใจมากก็คือนักปั่นจากโพสเทิลถึง 8 คนได้อยู่ในตำแหน่งสูงสุด ผมเองยังมีคะแนนเป็นรองเพื่อนร่วมทีมอย่างวิคตอร์ ฮูโก เพนญ่าเสียด้วยซ้ำ เขาได้เสื้อเหลืองไปครองด้วย ยิ่งเข้าใกล้เส้นชัยเราก็ยิ่งเหนื่อย แต่ผมก็กระตุ้นวิคตอร์ด้วยคำพูดว่า “แกอยากจะใส่เสื้อสีอะไรนอนคืนนี้ สีอะไร ฮึ?”

หลังจากปั่นกันมาได้อาทิตย์นึงเราก็เริ่มจะเข้าใกล้เทือกเขาแอลป์ แต่ผมก็ยังไม่รู้สึกว่าเข้าฟอร์ม ได้แต่บอกตัวเองว่ายังต้องแข่งกันอีกไกล ต้องรอโอกาสที่จะแข็งแกร่งขึ้นมาใหม่ แต่ใครก้ตามที่รู้จักผมดีก็จะรู้ได้ว่าผมต้องพยายามอย่างหนักทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อเรามาถึงอัลป์ ดูเอซในสเตจที่แปด ในอดีตผมเคยครองความยิ่งใหญ่ของตูร์ฯเมื่อมาถึงแอลป์ และความคาดหวังของใครๆก็คือว่าผมคงต้องโชว์ฟอร์มได้แจ่มแจ๋วที่นี่อีก แต่มันกลับกลายเป็นว่าอัลป์ ดูเอซคือที่ซึ่งผมโชว์ฟอร์มได้อย่างผิดพลาดไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย
สเตจนี้คือสเตจที่เราต้องปั่นไต่เขาขึ้นไปสู่กาลิบิเยร์อันเป็นยอดเขาที่ต้องใช้ระยะทางถึง 30 กิโลกว่าจะถึงยอดและเป็นหนึ่งในยอดที่สูงที่สุดของเทือกเขาแอลป์ด้วย ผมรู้สึกว่าขาตัวเองมันอ่อนล้าอย่างไม่น่าเชื่อตอนที่ไต่ขึ้นไป ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงได้เป็นอย่างนั้น พอก้มดูข้างหลังถึงได้รู้ว่าเบรคหลังมันลากติดอยู่กับขอบล้อ

ผมเรียกโยฮานไปทางวิทยุ “โยฮาน ผมมีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายจะบอกคุณนะ”
เสียงของเขาดังขึ้นมาว่า “โอเค บอกข่าวดีกับผมก่อน”
“ไม่อ่ะ ผมอยากจะบอกข่าวร้ายกะคุณก่อนมากกว่า ข่าวร้ายก็คือว่าผมปั่นไม่ออกเลยว่ะ แล้วข่าวดีก็คือผมผมคิดว่าผมรู้สาเหตุ ก้มลงมองแล้วเห็นเบรคหลังมันลากน่ะ”
ผมปั่นมาแล้วตั้ง 120 ก.ม.ในสเตจนี้ทั้งๆที่เบรคหลังถูอยู่กับขอบล้อ มันแทบไม่ต่างกันเลยกับการสวมรองเท้าบูทแล้วลงไปว่ายน้ำ น่ารำคาญขนาดนี้ผมก็น่าจะรู้เสียตั้งนานแล้ว

ผมแก้ปัญหาของจักรยานได้ แต่ปัญหาของร่างกายตัวเองนี่สิที่แก้ไม่ตก ผมอ่อนล้าเหลือเกิน ตอนนี้ก็ร้อนถึง 38 องศาอีกแล้วด้วย แล้วเราก็กำลังมุ่งหน้าสู่เส้นทางที่ต้องไต่ขึ้นสู้อัลป์ ดูเอซเป็นช่วงสุดท้าย พวกนักจักรยานคนอื่นๆกำลังเริ่มปั่นหนีกลุ่มออกไปเรื่อยๆโยชีบา เบโลกี้ก็ไป อีกคนที่ตามไปติดก็คือนักปั่นผู้มีพรสวรรค์จากสเปนคืออิบาน มาโย ที่จี้ไปติดๆอีกคนก็คืออาเล็กซานเดอร์ วิโนคูรอฟดาวรุ่งจากรัสเซีย และไม่ยอมให้ใครทิ้งไปได้อีกคนก็คือไทเลอร์ แฮมิลตันเพื่อนผมที่กระดูกไหปลาร้าหักคนนั้น

ผมไล่ตามพวกเขาไม่ไหวครับ ต้องกระเสือกกระสนขึ้นเขาแทบแย่และได้เข้าเส้นชัยได้เป็นที่สี่ ตอนนี้ผมเป็นผู้มีคะแนนรวมสูงสุดแล้ว แต่มันก็ไม่ใช่การขี่จักรยานแบบชนะขาดอย่างที่ใครๆอยากเห็น ตัวเลขมันโกหกไม่ได้หรอก สถิติที่ผมทำได้ตอนที่ขึ้นอัลป์ ดูเอซตอนนี้ช้ากว่าเมื่อครั้งปี 2001 ตั้งสี่นาที ผมได้สวมเสื้อยืดสีเหลืองก็จริงแต่ก็เลือดตาแทบกระเด็น ผมรู้ครับว่าตัวเองไม่ใช่นักจักรยานที่แกร่งที่สุดในตอนนั้น แล้วก็ต้องยอมรับความจริงด้วยว่าผมขี่ได้ไม่ดีนักและแพ้การแข่งขัน

วันต่อมาเราต้องแข่งกันจากบูร์ก ดัวร์ซองไปสู่กาป แล้วก็อีกครั้งหนึ่งที่ยังมีการปั่นหนีกลุ่มเกิดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งวิโนคูรอฟ,มาโยและเบโลกี้พากันเรียงหน้ากันมายำผม อากาศร้อนเหลือเกินในตอนนี้ มันร้อนจนแอสฟัลท์ราดถนนเยิ้มไปเลย ทำให้การดวลกันยิ่งเข้มข้น และยิ่งอันตรายกว่าเดิมด้วย

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปคือตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าทั้งโชคดีและโชคร้ายช่างมาพบกันได้ในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะ ในที่สุดเราก็มาถึงช่วงแห่งการขี่ลงเขาชันที่สุดของสเตจนั้น เราต้องร่อนกันไปจนกว่าจะถึงโค้งถนนที่ทั้งเหนียวและเรียบเพราะยางแอสฟัลท์ เบโลกี้กำลังตั้งหน้าตั้งตาไล่บี้วิโนคูรอฟให้ได้โดยมีผมจี้เขาไปติดๆ ห่างกันแค่ 15 หลา เราไล่ล่ากันมาถึงโค้งนั้นด้วยความเร็วสูงถึง 80 กิโลต่อชั่วโมง
ล้อของเบโลกี้เริ่มไถล เขาพยายามจะเบรคมัน แต่ล้อเกิดล็อค มันติดตายแล้วจักรยานของเขาก็สะบัด มันล้มเอาข้างกระแทกอย่างแรง เบโลกี้เองก็ถูกเหวี่ยงออกจากจักรยาน ทั้งรถทั้งคนไถลไปกับถนนทั้งๆที่ยังติดกัน

ผมพยายามเบรค แล้วล้อหลังตัวเองก็เกิดล็อคตายขึ้นมาบ้าง ผมเสียการควบคุมรถแล้ว ตอนนี้มีทางเลือกอยู่สองทางคือถ้าไม่วิ่งชนเบโลกี้ก็ต้องแฉลบออกนอกทางไป ผมเลือกอย่างหลัง

ผมพุ่งลงไปในทุ่ง ตอนนั้นน่ะไม่รู้หรอกว่าเบโลกี้จะเป็นยังไงบ้าง รู้อยู่อย่างเดียวก็คือว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่ยังคงทรงตัวอยู่ได้ มันอาจจะเป็นได้ทั้งนั้นที่ริมถนนเป็นได้ทั้งหน้าผาหรือแนวกำแพง แต่นี่กลับกลายเป็นทุ่งโล่งๆไปเสีย ผมจึงคิดว่าตัวเองโชคดีเมื่อทุ่งนั้นได้ถูกเก็บเกี่ยวไปแล้วและเต็มไปด้วยหญ้าแห้งต้นเล็กๆ จักรยานวิ่งโขยกเขยกไปตามร่องรอยไถของแทรคเตอร์และต้นไม้แห้ง ผมคิดอยู่เหมือนกันว่าน่าจะเลี้ยวกลับมาเข้าเส้นทางอีกแต่ก็จะทำให้เสียเวลาไป เมื่อมองขึ้นมาก็พบว่าเส้นทางแข่งนั้นมันย้อนกลับเข้ามาหาตรงที่ซึ่งกำลังพุ่งไปพอดี ผมจึงเกิดความคิดว่า เราน่าจะพุ่งตัดทุ่งไปแล้วไปเข้าเส้นทางแข่งขันข้างหน้าจะดีกว่า ด้วยสัญชาตญาณผมเปลี่ยนทิศทางอย่างน่าหวาดเสียวและปั่นต่อไป ลุยฝ่าไปในดงหญ้าแห้งด้วยความคิดว่าตัวเองอาจจะสะดุดหกคะเมนลอยข้ามแฮนด์หรือยางแตกเอาในตอนไหนก็ได้ แต่ผมก็ข้ามทุ่งนั้นมาถึงทางแข่งในที่สุด

แต่ก็ยังมีร่องระบายน้ำฝนโผล่ขึ้นมาขวางหน้าโดยที่ผมเกือบจะไม่ทันได้ระวังตัว ผมเบรคอยางแรงจนเกือบจะเอาหัวทิ่มลงไปในนั้น ไม่มีช่องทางใดๆที่จะใช้ปั่นจักรยานได้เลย ผมจึงต้องกระโดดลงจากจักรยานแล้วยกมันขึ้นบ่าข้ามไปเหมือนกับยกกระสอบมันฝรั่ง ผมรีบกระโจนข้ามร่องระบายน้ำฝนนั้น ขาหลังลื่นไปเกือบสองฟุตเห็นจะได้ มันตวัดเอาฝุ่นขึ้นมาจากพื้นจนคลุ้ง
ผมกระโดดข้ามร่องน้ำนั่นมาได้ก็รีบวิ่งขึ้นมายังถนนแล้วรีบกลับขึ้นขี่จักรยาน ไทเลอร์ปั่นผ่านไปแล้วโบกมือให้เหมือนกับเขาทำท่าตะเบ๊ะ ผมรีบปั่นอย่างรวดเร็วเพื่อให้ทันกลุ่ม รู้สึกโล่งใจจริงๆที่ยังคงแข่งอยู่ได้
ผมแข่งจบในสเตจนี้แบบครบสามสิบสองและยังคงสวมเสื้อเหลืองอยู่ แต่ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลยกับเบโลกี้ เย็นวันนั้นจึงโทรหาหมอประจำทีมของเขาซึ่งเป็นคนอัธยาศรัยดีชื่อว่าเพโดร เซลาย่า เพื่อทราบอาการของเขาว่าเป็นยังไง แล้วผมก็ทราบว่าเบโลกี้ทำกระดูกหักหลายที่ เช่นที่ขาอ่อน,ข้อมือและข้อศอก ตอนที่ผมโทรไปหานั้นเซลาย่ากำลังไปเยี่ยมดูอาการของเบโลกี้ที่โรงพยาบาลอยู่พอดี ผมจึงฝากเขาบอกด้วยว่า “ผมขอแสดงความเสียใจด้วยกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น บอกเขาด้วยนะครับว่าผมหวังว่าเขาคงไม่เป็นอะไรร้ายแรง” ผมหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆครับ คุณคงไม่อยากจะให้คู่แข่งเก่งๆอย่างนี้ต้องมาออกจากการแข่งขันไปเพราะเขาล้มเองหรอก อุบัติเหตุอย่างนี้มันไม่ได้ช่วยให้การแข่งขันดีขึ้นเลย
หลังจากนั้นทั้งเบโลกี้กับผมก็เป็นเหมือนกับเพื่อนซี้กันกลายๆตลอดทั้งตูร์ฯ เขาจะโทรมาหาโยฮานบ่อยๆเพื่ออวยพรให้ผมโชคดีและส่งความปรารถนาดีมาให้

ผมหวังเหลือเกินว่าการขี่จักรยานตัดทุ่งในครั้งนั้นคงจะเป็นคราวซวยครั้งสุดท้าย ด้วยความมั่นใจว่าคงจะไม่มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นอีกแล้ว แต่เหตุการณ์มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นเลยน่ะซิครับ อีกสองวันถัดมาผมต้องมายืนอยู่ที่เส้นสตาร์ทในสเตจสำคัญคือการแข่งขันไทม์ ไทรอัลประเภทบุคคล กินระยะทาง 47 กิโลจากเกลลาคไปสู่ กาป เดอคูแวร์ต เป็นอีกครั้งหนึ่งที่แสงแดดแรงจ้ามากและขณะที่ผมกำลังวอร์ม อัพอยู่นั้นเหงื่อเม็ดเป้งก็ไหลพลั่กๆอยู่ในชุดขี่จักรยาน ทั้งอ่อนเพลียและกระหายน้ำมากขณะรออยู่ที่เส้นสตาร์ท ยาน อุลริคที่ล่วงหน้าไปนั้นก็กำลังมุ่งมั่นทำเวลาของตัวเองอยู่

ผมพุ่งตัวออกจากจุดสตาร์ทแล้วก้มตัวแนบอยู่กับแฮนด์ ตอนแรกๆทุกสิ่งก็ดูเหมือนว่าจะเป็นไปตามที่ตามทางของมัน แต่อากาศมันก็ร้อนเสียจนผมต้องดึงเอาขวดน้ำขึ้นมาดื่มอยู่บ่อยๆจนกระทั่งผ่านไปเศษหนึ่งส่วนสามของระยะทางทั้งอุลริคและผมก็ยังเฉือนกันไม่ลง
แต่ขณะนั้นในหมวกกันน็อคของผมร้อนระอุทีเดียว รวมทั้งที่อยู่ภายในชุดแข่งจักรยานด้วย ทำยังไงมันก็ยังไม่เย็นลงเสียที ผมดื่มและดื่ม อาการขาดน้ำนี้มันจะก่อตัวอยู่นานจนกว่ามันจะได้เวลาที่จะเล่นงานคุณเลยล่ะ ตอนนี้มันกำลังเล่นงานผมอยู่นี่แล้ว คอผมแห้งผากและไม่มีกำลังวังชาเลย

แล้วน้ำก็หมดขวด

เมื่อขานเวลาเป็นครั้งที่สองก็ปรากฎว่าผมยังตามอุลริคอยู่ถึง 39 วินาที และกำลังช้าลง ตอนนี้คงไม่มีใครเอาน้ำมาให้แล้วเพราะกฎแห่งการแข่งไทม์ ไทรอัลกำหนดเอาไว้ว่านักแข่งต้องไม่รับความช่วยเหลือจากริมทาง ตอนนี้ผมไม่สนใจแล้วว่าเวลาจะตามคู่แข่งอยู่เท่าไหร่ รู้อยู่อย่างเดียวคืออยากดื่มน้ำใจจะขาด
เมื่อเวลาที่ข้ามเส้นชัยนั้นผมตามอุลริคอยู่ 36 วินาที และมีคราบเกลือขาวๆอยู่ที่ริมฝีปากด้วย ผมลงจากจักรยานอย่างคนสิ้นเรี่ยวแรง ต้องสูญเสียน้ำในร่างกายไปถึงเกือบ 7 ลิตรเพียงแค่การแข่งขันรอบเดียวนี้เอง แต่ยังไงก็ตามผมก็ยังได้ที่สองในสเตจนี้และยังคงสวมเสื้อเหลืองอยู่ เป็นผู้มีคะแนนนำที่สะบักสบอมและป้อแป้เต็มทน
ผมพูดไม่ออกเลยกับเพื่อนร่วมทีม โยฮานเดินเข้ามาตบหลังตบไหล่บอกว่า “ช่างมันเหอะ พรุ่งนี้ค่อยแก้เกมนะ” แต่มื้อเย็นในวันนั้นก็เงียบเป็นเป่าสาก ผมแทบจะได้ยินความคิดของเพื่อนเลยว่าเขาคงกำลังฉงนสนเท่ห์กันอยู่ว่าวันนี้ลูกพี่เป็นอะไรไป ผมยังคงอยากจะชนะการแข่งขันอยู่หรือเปล่า ผมเองก็ทั้งรู้สึกแย่และรู้สึกผิด พวกคนหนุ่มในชุดสีฟ้าเหล่านี้กำลังทำงานเพื่อผม แต่ผมก็ไม่สามารถทำให้พวกเขาชื่นใจได้ กลับกลายเป็นว่าผมเริ่มโชว์ฟอร์มสุดห่วยลงได้ทุกวันที่ผ่านไป ตอนนี้ก็ยังมาทำท่าจะแย่เอาในสเตจสำคัญเสียอีก ผมไม่กล้ามองหน้าพวกเขาเลยจริงๆ แต่ก็ไม่มีใครปริปากบ่นหรือถามคำถามอะไรออกมาดังๆ พวกเขาเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินกันและปิดปากเงียบสนิท คิดถึงแต่เรื่องงาน

เช้าวันต่อมาเมื่อเราปั่นเข้าสู่ย่านเทือกเขาพีเรนีส จอร์จเร่งฝีเท้าขึ้นมาอยู่เคียงข้างผม ตอนนั้นผมก็ยังรู้สึกหดหู่อยู่และจอร์จก็สังเกตเห็นได้ไม่ยากนัก เขาบอกผมว่า
“ฉันอยากจะให้แกรู้อะไรเอาไว้สักอย่างนะเพื่อน”
“อะไรล่ะ รู้ว่าฉันมันห่วยแตกเหรอ?”
“ไม่โว้ย ไอ้สิ่งที่แกเพิ่งทำไปเมื่อวานน่ะ เป็นสิ่งที่โคตรประทับใจฉันเลยว่ะตั้งแต่เห็นมา”
“ทำไมล่ะ?”
“ก็เพราะทั้งๆที่แกแทบตายอยู่แล้ว แต่ก็ยังกัดไม่ปล่อยไง”

ด้วยคำพูดของจอร์จนี่แหละที่ทำให้ผมลากสังขารผ่านวันอันสุดโหดที่เหลือไปได้ ตอนนี้เรากำลังเข้าสู่สเตจขึ้นเขาที่โหดที่สุดในตูร์ฯแล้ว และผมก็ยังไม่อยู่ในสภาพที่จะป้องกันตำแหน่งตัวเองได้เลย เมื่อใดก็ตามที่คุณเจอเข้ากับอาการขาดน้ำอย่างนี้ อย่าหวังเลยครับว่าอาการมันจะดีขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน หรือสองวันก็เถอะ
วันนั้นเราต้องไต่กันอย่างยากลำบากขึ้นสู่หมู่บ้านที่ชื่อว่าโบนาสก์ ผมคงต้องทรมานยังกะหมาหอบแดดเลย ใครๆก็รู้

จนสิ้นสุดการแข่งขันในวันนั้นผมก็ยังถูกอุลริคทิ้งห่างออกไปอีก ตอนนี้เขาทำเวลาไล่ขึ้นมาจนห่างผมแค่สิบห้าวินาทีแล้ว

ที่เส้นชัยนั้นผมรู้สึกผะอืดผะอมขึ้นมาอีกแล้ว ตาก็ลึกโหล ดูแก่ลงไปมาก มีเสียงร่ำลือกระจายไปทั่วเปโลต็องอีกแล้วว่าผมคงลากสังขารตัวเองต่อไปได้ไม่กี่วันหรอก เดี๋ยวผมก็คงต้องเสียตำแหน่งแชมป์ตูร์ฯให้กับอุลริคเข้าวันใดวันหนึ่ง

ตลอดวันที่เหลือนั้นเพื่อนๆช่วยกันประคับประคองผมให้ปั่นต่อไปได้ ด้วยการให้กำลังใจของโยฮานไม่มีใครเลยที่หวาดหวั่น กลับกลายเป็นว่าโยฮานกลับพยายามพูดอยู่เสมอว่าผมกำลังแข็งแกร่งขึ้นและอุลริคเองนั่นแหละที่จะแย่เองในช่วงใดช่วงหนึ่ง เขาพยายามค้นหาหนทางที่เป็นไปได้ทุกทางเพื่อที่จะรักษาคะแนนนำของเราเอาไว้ แล้วโยฮานก็คิดยุทธวิธีที่จะช่วยปกป้องผมเอาไว้ จากการรุมอัดที่นักแข่งคนอื่นๆพากันเรียงหน้ามาประเคนใส่ได้ เขาตัดสินใจที่จะพลิกสถานการณ์ด้วยการส่งสองนักไต่เขาของทีมคือทั้งเชชู และมานูเอล เบลทราน(ผู้ซึ่งเพื่อนๆตั้งชื่อให้ว่า “ทริคกี้” อันเป็นภาษาสเปนแปลว่าปีศาจคุกกี้)ขึ้นไปเป็นตัวล่อให้คนอื่นไล่จี้

พอได้จังหวะทั้งคู่ก็เร่งฝีเท้าขึ้นไปข้างหน้าอย่างเร็วจัดจนทำให้นักปั่นคนอื่นๆต้องหันมาไล่จี้ตามไป แผนนี้ได้ผล เพราะมีหลายคนที่ไล่กวดตามทั้งเจ้าทริคกี้และเชชูนี่ไปติดๆจนไม่มีใครสนใจจะมาไล่จี้ผม ทำให้ผมขี่ขึ้นเขาได้สบายกว่าเดิมมาก

แล้ววันหนึ่งก็เป็นอย่างที่โยฮานว่าเอาไว้คือผมจะเริ่มรู้สึกดีขึ้น โยฮานสาบานได้เลยว่าเขาจะได้เห็นว่าผมต้องปั่นได้ดีขึ้นแน่ๆ เขาบอกผมว่า
“นายทำงานหนักและเตรียมพร้อมดี มันอาจจะมีอะไรผิดพลาดขึ้นได้เยอะแยะ แต่ในอาทิตย์สุดท้ายของตูร์ฯนี่แหละ ที่ความเก๋า,ใจเต็มร้อยและการกัดไม่ปล่อยของนายที่จะพลิกสถานการณ์ได้ว่ะ”

เพราะเขาเองก็ยังเชื่อมั่นในตัวผม นี่แหละที่ช่วยทำให้ผมเชื่อว่าตัวเองก็ต้องทำได้
พวกเรายังรับประทานอาหารเช้าและเย็นกันอย่างเงียบเชียบดังเดิม เรายังต้องพยายาม ทุกคนยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษาช่วงแห่งการนำอันฉิวเฉียดของเราเอาไว้ให้ได้ ผมเองก็ต้องการวันตัดสินเหมือนกัน ผมบอกกับตัวเองไว้อย่างนั้น

แต่ผมอยากให้วันที่ว่านี้มันมาถึงให้เร็วที่สุด เป็นวันพรุ่งนี้เลยยิ่งดี อันที่จริงแล้วเรายังเหลือสเตจปั่นขึ้นเขาอีกสเตจนึงเป็นสเตจสุดท้าย เราต้องไต่ขึ้นสู่ยอดที่ชื่อว่าลุซ อาร์ดิด็อง ถ้าผมอยากจะชนะตูร์ฯ ผมก็ต้องเอาชนะในสเตจนี้ให้ได้
ความหวาดกลัวมันกัดกินใจผมเหลือเกิน จะเป็นยังไงล่ะถ้าผมเกิดพลาดท่าอีกหลังจากที่เสียฟอร์มมาแล้วหลายครั้ง? เมื่อใดก็ตามที่คุณแบกความหวังของทีมเอาไว้ เมื่อนั้นคุณก็แบกรับเอาความรับผิดชอบอันหนักอึ้งไว้ด้วย ผมมีเรื่องอื่นในใจด้วยเหมือนกัน กล่าวคือเมื่อตอนที่กำลังแข่งกันอยู่ในสเตจไต่เทือกเขาพีเรนีสอยู่นั้น คิคได้ส่งข้อความมาให้ บอกว่าเธอฝันว่าผมกำลังปั่นจักรยานขึ้นเขาและลากเอาเกวียนไปด้วยเล่มนึง ในเกวียนนั้นมีผู้คนอยู่มากมายทั้งคนที่เป็นมะเร็ง,ผู้สนับสนุนทีม,คนที่นิยมชมชอบผม ผมกำลังพยายามอย่างหนักที่จะลากคนเหล่านี้ขึ้นเขา แล้วเธอก็บอกว่าผมได้ปลดตะขอออกจากเกวียนเล่มนั้นแล้วปั่นขึ้นเขาไปตัวเปล่าๆ

“ปลดภาระพวกนั้น ที่มันคอยเหนียวรั้งคุณอยู่ทิ้งไปเสียเถอะนะคะ” คิคบอกผม

คิคพูดถูกครับ ผมกำลังพยายามที่จะลากเจ้าสิ่งเหล่านี้ขึ้นเขา และรู้สึกว่าตัวเองรับภาระหนักเหลือเกิน มันเป็นคำพูดที่ให้กำลังใจดีมาก ผมจึงเก็บมันเอาไว้

ในตอนเย็นวันก่อนที่จะแข่งกันปั่นขึ้นยอดลุซ อาร์ดิด็อง บิล สเตเปิลตันมาเยี่ยมผมและได้พูดบางสิ่งที่ทำให้ผมฮึดสู้ขึ้นมา เราได้คุยกันถึงการแข่งขันที่งวดเข้ามาทุกขณะ และความกดดันที่ผมกำลังได้รับอยู่ บิลจ้องมองผมด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนที่จะพูดว่า

“นี่เพื่อนรัก แกคือคนที่ได้แทงพูลด้วยลูกเบอร์แปดนะ “

ผมไม่รู้หรอกว่าเขาหมายความว่ายังไง “ลูกเบอร์แปด” ผมทวนคำพูดเขา
“เออซิวะ แทงแม่งให้หมดโต๊ะเลย ใช้ลูกแปดนี่แหละ แกพลิกสถานการณ์ได้ ถ้าไม่ชนะพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องไปหวังอะไรแล้ว”

คืนนั้นผมนอนหลับสนิทและตื่นขึ้นมาอีกวันหนึ่งอย่างกระปรี้กระเปร่า ผมรู้สึกดีมากกว่าเมื่อตอนที่เริ่มแข่งตูร์ฯเสียอีก แล้วผมก็ลงไปดื่มกาแฟที่รถบัสของทีม

“คิดว่าฟอร์มผมกลับคืนมาแล้วนะ” ผมบอกโยฮาน

ผมจิบกาแฟไปพร้อมกับคิดถึงสเตจลุซ อาร์ดิด็องไปพลางๆ รูดี้ เพเวนาจ ผู้จัดการทีมเบียงชี่เที่ยวไปบอกใครๆเขาเอาไว้ว่าถึงยอดเขาเมื่อไหร่ละก็ คะแนนเขานำแน่ แล้วผมก็ต้องแพ้ตูร์ฯในวันนี้ล่ะ ขอบคุณเลยนะที่พูดอย่างนั้น

ผมนั่งอยู่บนรถบัส จิบกาแฟไปคิดไป ผู้บริหารของเราคนหนึ่งคือเกิร์ต ดัฟฟี่เดินเข้ามาหาผมแล้วเขาก็บอกว่าเมื่อปีที่แล้วเพเวนาจเคยขอให้เขาหาเสื้อสีเหลืองให้เป็นที่ระลึกตัวนึง ดัฟฟี่ก็สัญญาว่าจะหาให้ได้แต่เขาเองก็กลับลืมเสียสนิท ตอนนี้อุลริคก็ตามผมอยู่แค่สิบห้าวินาทีเท่านั้น เพเวนาจเลยต้องมาตามหาดัฟฟี่ให้เจออีก
“เฮ้…ดัฟฟี่ ไม่ต้องห่วงเรื่องเสื้อยืดสีเหลืองนั่นแล้วนะ เราไปหาเอาเองก็ได้” เขาบอก
“ตูร์ฯมันจบแล้วล่ะ” ผมพูดแค่นี้แล้วก็เดินลงไปจากรถบัส
ก็ยังดีที่ได้รู้แผนบ้าง ตอนนี้ผมก็มีแผนของผมเองเหมือนกัน ผมเจอแฮมิลตันที่เส้นสตาร์ท บอกกับเขาว่า “เตรียมตัวให้ดีนะ ผมลุยจริงๆ”
มันคือโอกาสสุดท้ายของผมแล้วครับ พ้นจากลุซ อาร์ดิด็องไปมันก็มีสเตจสำคัญอีกสเตจเดียวเท่านั้นคือไทม์ ไทรอัลประเภทบุคคลที่เมืองน็องเต และอุลริคก็ชนะผมไปครั้งหนึ่งแล้วจากการแข่งไทม์ ไทรอัลครั้งก่อน ผมคงไม่อยากจะไปแข่งกับเขาอีกที่น็องเตด้วยเวลานำอยู่แค่สิบห้าวินาทีหรอก ผมต้องทำเวลาหนีเขาออกไปให้ได้ในสเตจที่จะไปจบลงบนยอดเขานี่แหละ

มันคือสเตจไต่เขาที่ยาวนานที่สุดและยากที่สุดในตูร์ฯครั้งนี้ เมื่อเราไล่อัดกันผ่านมาจากตูร์มาเลต์ อุลริคก็หนีผมไปได้ระยะหนึ่ง ผมตัดสินใจที่จะไม่ไล่จี้ตามเขาไปเพื่อสงวนพลังงานเอาไว้ อยากให้เขาเหนื่อยของเขาเองมากกว่า แล้วผมก็ค่อยๆขยับเข้าไปหาเขาทีละนิดเมื่อจังหวะการปั่นของเขาเริ่มช้าลงๆ เราถูกดูดกลับไปอยู่กับกลุ่มร่วมกับมาโย,วิโนคูรอฟและถลาร่อนกันลงมาตามทางลาดขาลงเขา

ในที่สุด หลังจากอยู่บนอานจักรยานมาแล้วห้าชั่วโมงเราก็มาถึงเชิงเขาลุซ อาร์ดิด็อง จังหวะการปั่นเริ่มกระชั้นถี่ขึ้น การแยกตัวออกจากกลุ่มของนักแข่งก็เริ่มขึ้นที่นี่เช่นกัน
อิบาน มาโยเริ่มฉีกหนีกลุ่มออกไปก่อน ผมก็อัดตามจี้ไปติดๆจนแซงเขาขึ้นไปได้
ช่วงนี้ผมคือคนที่อยู่ข้างหน้าขบวนและกำลังปั่นลิ่วๆขึ้นเขาไป แต่เจ้าอุลริคล่ะอยู่ที่ไหน? ผมได้แต่สงสัยและได้แต่หวังว่าเขาคงจะหมดแรงไปแล้วตั้งแต่ตูร์มาเลต์แล้ว
เสียงของโยฮานดังมาในหูฟังของผมอย่างเรียบๆว่า “นายทิ้งอุลริคไปแล้วนะ”
เบื้องหลังผม อุลริคกำลังแย่ ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความอ่อนล้า เขาหายใจฟืดฟาดแต่ก็ยังไล่มาได้ไม่ทัน “สิบวินาที” โยฮานขานมา ผมก็รู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังตื่นเต้นอยู่เล็กๆ

ผมกระทืบลูกบันไดไม่ยั้ง พยายามไต่เขาขึ้นไปและคิดถึงแต่อย่างเดียวคือช่องว่างบนถนนระหว่างตัวเองกับอุลริค ผมพยายามเบียดเข้าด้านในของเส้นทางในทุกๆโค้ง ผมปั่นเข้าใกล้คนดูอย่างเฉียดฉิวแต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากนัก……

แวบหนึ่งผมก็เห็นอะไรสีเหลืองไหวๆที่หางตา เด็กคนหนึ่งนั่นเองที่กำลังโบกถุงของที่ระลึกสีเหลืองไปมาอยู่ตรงนั้น
โอ๊ะ ….โอ เดี๋ยวก็เกี่ยวเอาล้มลงไปหรอก ผมคิด
ทันใดนั้นถุงที่ว่าก็เกี่ยวเข้ากับแฮนด์ตรงหัวมือเบรคพอดี ผมรู้สึกได้เลยว่าจักรยานกำลังสะบัดอย่างรุนแรงอยู่ใต้ตัว
มันล้มพังพาบลง
เหมือนกับว่าผมกำลังถูกลงโทษขั้นประหารยังไงยังงั้น เพราะผมล้มตามรถลงไปด้วยอย่างแรงตะแคงขวาขึ้น นี่ฉันล้มแล้วเหรอวะเนี่ย? ผมคิดอย่างไม่ค่อยจะเชื่อความคิดตัวเอง นี่เราล้มลงไปได้ไงวะ?
ความคิดต่อมาของผมก็คือ จบเห่กันแล้วล่ะสำหรับตูร์ฯครั้งนี้ รับไม่ได้นะ อย่างนี้มันมากเกินไป มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมากเกินไป แต่ความคิดหนึ่งก็แทรกตัวเข้ามา ลุกขึ้นซิวะ

ความคิดนี้แหละคือความคิดเดียวกับที่มันคอยปลุกเร้าผมอยู่ตลอดเวลาที่ต้องนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาล หลังจากผ่าตัดผมต้อง ลุกขึ้น หลังจากทำเคมีบำบัดแล้วผมก็ต้อง ลุกขึ้น อีก เจ้าคำๆนี้แหละที่แว่วอยู่ในโสตประสาท มันคอยกระทุ้งผม คอยผลักดันผมอยู่ตลอด ตอนนี้มันก็มาอีกแล้ว ลุก……ขึ้น

ผมลุกขึ้นได้ โยฮานบอกในภายหลังว่าผมลุกขึ้นได้เร็วยังกับเป็นตุ๊กตาล้มลุกเลย ผมยกจักรยานนขึ้นตั้งแล้วรีบใส่โซ่ที่หลุดออกเข้ากับเฟืองอย่างเร่งร้อน ทั้งขยับทั้งกระชากเพื่อให้มันวางตัวเข้ากับใบจานหน้า ผมทำไปก็แช่งด่าไป ทั้งด่าทั่งสบถ ผมเสียงดังด้วยความเกรี้ยวกราด และในสถานการณ์อันพินาศวอดวายอย่างนั้นผมสบถด่าทุกคำเท่าที่ตัวเองจะนึกได้ ผมแช่งด่ามันอย่างนั้นเพราะคิดว่าตัวเองคงแพ้แน่แล้ว
เอาโซ่ใส่กลับเข้าที่ได้แล้วก็รีบกระโดดกลับขึ้นบนจักรยานและออกแรงปั่นออกไป ด้วยแรงผลักช่วยของช่างประจำทีมโพสเทิลจากด้านหลัง ผมก็ได้ยินเสียงเขาตะโกนเช่นกัน ทั้งด้วยความพยายามและด้วยความฉุนเฉียว

เชชูรอผมอยู่แล้ว พอเห็นอย่างนั้นเขาก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีกเพื่อให้ผมเกาะตามความเร็วของเขาไป ผมลุกขึ้นจากอานแล้วลงเท้ากับลูกบันไดมันแต่ก็กลับลื่นหลุด เท้าของผมกระเด็นหลุดออกจากลูกบันไดจนจักรยานแกว่งตะปัดตุเป๋แล้วผมก็พลาดท่าอีก หน้าอกกระแทกเข้ากับท่อบนของโครงจักรยานอย่างแรง ในภายหลังถึงได้มารู้ว่าตะเกียบโซ่ของโครงรถร้าวแล้ว แต่ยังไงก็ตามผมก็ยังสามารถตั้งตัวให้ตรง และสอดเท้าใส่ลงไปล็อคกับลูกบันไดได้อีกครั้ง

ไทเลอร์ แฮมิลตันที่กำลังนำอยู่ข้างหน้านั้นก็อารมณ์เสียเช่นกัน ตามมารยาทในการแข่งตูร์ฯนั้นกำหนดเอาไว้ว่าคนที่นำอยู่จะต้องช้าลงเพื่อให้ผู้นำในเสื้อเหลืองตามมาทัน เหมือนกับตอนที่ผมได้เคยรออุลริคเมื่อครั้งที่เขาตกถนนอย่างน่ากลัวเมื่อสองปีก่อน ตูร์ฯจะต้องมีผู้ชนะเป็นนักจักรยานผู้แข่งแกร่งที่สุดครับ ไม่ใช่พวกฉวยโอกาส และข้อตกลงกันในเปโลต็องก็คือจะไม่มีใครฉวยโอกาสเมื่อเพื่อนเกิดอุบัติเหตุ
ภายหลัง อุลริคถูกยกย่องว่าเป็นคนมีน้ำใจนักกีฬาเพราะเขาชะลอรถรอผม แต่เมื่อมองย้อนกลับไปแล้วผมไม่แน่ใจนะว่าเขาจะรอจริง ในรีเพลย์นั้นผมเห็นว่าเขากำลังปั่นอยู่ในจังหวะของการแข่งขัน เขาไม่ได้จะฉีกตัวหนีออกไป แต่ก็ไม่ได้รอเหมือนกัน ไม่รอจริงๆจนกระทั่งไทเลอร์ต้องเร่งฝีเท้าขึ้นไปข้างหน้าแล้วโบกมือให้ช้าลงแล้วตะโกนว่า “ช้าๆหน่อย” นั่นแหละ

กลุ่มนำอยู่ข้างหน้าลดความเร็วลง ขณะเดียวกันกับที่โยฮานขับรถยนต์มาเทียบกับผมเพื่อดูว่าผมยังไหวอยู่หรือเปล่า ตอนนั้นผมมีแผลถลอกที่ข้อศอก โยฮานไขกระจกลงเพราะต้องการจะพูดอะไรสักอย่างออกมา แต่พอเห็นว่าผมสะบัดหัวกลับไปทำหน้าตาถมึงทึงใส่ เขาก็หุบปากเงียบไปทันที ปิดกระจกรถยนต์ด้วยโดยที่ไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำ เขาได้เห็นแล้วในสิ่งที่ตัวเองต้องการจะเห็น “ผมรู้ได้เลยว่าเขาต้องทำได้” คือสิ่งที่โยฮานพูดได้ในภายหลัง
จักรยานพุ่งขึ้นไปตามทางลาดชันด้วยแรงของผม ไม่กี่นาทีด้วยความพยายามอย่างหนักผมก็ตามมาทันกลุ่มนำได้
พอตามมาถึงไม่นานนัก มาโยก็หันกลับมามองผมแล้วก็ปั่นหนีทิ้งระยะออกไปอีก ผมจึงต้องกระโดดขึ้นจากอานไล่บี้ตามล้อหลังของเขาไปติดๆ แล้วแซงเขาไปได้อย่างรวดเร็วในที่สุด
ผมปั่นเหมือนกับคนไร้วิญญาณ เอาแต่ตะบี้ตะบันอัดลูกบันไดครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งที่กระทืบลูกบันได มันเต็มไปด้วยทั้งตื่นเต้น ทั้งหวาดกลัวและเกรี้ยวกราด
ไม่นานนักผมก็นำโด่งอยู่คนเดียว ผมเร่งหนีกลุ่มออกมาอย่างรวดเร็วเสียจนไม่มีใครตามทัน ตอนนี้อุลริค กลับกลายมาเป็นฝ่ายไล่ตามผมอีกแล้ว

โยฮานรายงานมาว่า “มันห่างออกไปแล้ว นายทิ้งมันได้สิบวินาทีนะ”
ผมจึงปั่นเร่งสปีดตัวเองขึ้นไปอีก แทบจะปั่นไปคำรามไป ผมปั่นได้เพราะไฟแห่งความกลัวและความคั่งแค้นจากการล้มครั้งนี้ จากความอัดอั้นตันอุราจากการล้มและอุบัติเหตุต่างๆในสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมทั้งจากความสงสัยต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
“ยี่สิบวินาทีแล้ว” โยฮานรายงานอย่างตื่นเต้นสุดๆ
ผมจับจังหวะการปั่นได้และเริ่มต้นเต้นอยู่บนลูกบันได ราวกับว่าตัวเองกำลังวิ่งขึ้นบันไดบ้านอยู่
“สามสิบวิ……”
ผมกระหาย ขวดน้ำก็กระเด็นหายไปตอนล้มแล้ว และตอนนี้ผมกำลังเริ่มจะเหนื่อยล้าอีก แต่โยฮานก็ขับรถจี้เข้ามาใกล้และตะโกนโหวกเหวก ผมตื่นเต้นเสียจนฟังไม่ได้ศัพท์ว่าเขาตะโกนอะไรออกมา

“เอาเลย เอามัน! ต้องอย่างนั้นโว้ย! แกกำลังจะชนะตูร์ฯ ถึงคราวของแกแล้วเพื่อน!”

ผมทุ่มเทพลังกายไปมาก แล้วตอนนี้ก็กำลังหมดสิ้นเรี่ยวแรง ระยะทางอีกสองสามกิโลสุดท้ายคือช่วงแห่งความเจ็บปวด แต่ไม่นานนักเส้นชัยก็เลื่อนเข้ามาใกล้ ทั้งความตื่นเต้นและความเกรี้ยวกราดแท้ๆที่พาผมมาถึงมันได้ ผมนึกถึงความสงสัยที่แพร่กระจายอยู่ในเปโลต็อง ทั้งเรื่องซุบซิบนินทาที่ว่าผมมันแก่เกินแกง หรือรวยมากไป หรือไม่ค่อยอยากจะปั่น หรือว่าเป็นอเมริกันเกินกว่าที่จะมาชนะตูร์ เดอ ฟร็องซ์ได้อีกเป็นครั้งที่ห้า ผมคิด นี่มันเกมของข้า ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาชนะมันเด็ดขาด
พอข้ามเส้นชัยมาได้ผมก็แทบจะสลบเหมือดคาจักรยาน ไหล่ตก เหนื่อยเหลือเกิน แม้แขนตัวเองก็ยังไม่อยากจะยก เลือดก็ไหล ทั้งยังโซซัดโซเซและไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกเลย แต่ผมก็ชนะในสเตจนี้ด้วยเวลาทิ้งอุลริคอยู่ถึง 40 วินาที

ตอนนี้ผมมีเวลานำในตูร์ฯอยุ่ หนึ่งนาที เจ็ดวินาที เป็นการนำอยู่หนึ่งนาทีกว่าๆหลังจากสองอาทิตย์แห่งความทรมานและไม่มั่นใจในตัวเองที่ยาวนานราวกับหนึ่งชั่วโมง เราชนะมากกว่าคาดเอาไว้ภายใต้สถานการณ์เลวร้ายอย่างนี้ ผมขึ้นแท่นและสวมเสื้อสีเหลือง เมื่อขณะที่ยืนชูแขนอยู่บนนั้น ผมเห็นจอร์จขี่จักรยานกำลังข้ามเส้นชัยเข้ามา เท่านั้นเองความเหนื่อยยากทั้งหลายก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง ผมเหมือนกับมีกำลังวังชาขึ้นมาอีกและได้ชี้นิ้วไปที่เขา แล้วยกกำปั้นชูขึ้นไปในอากาศแสดงชัยชนะ

หลังจากนั้นผมก็ต้องลงจากแท่นและไปตรวจหายากระตุ้น,ไปแถลงข่าวต่อ ต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะได้มาพบกับโยฮานอีก ผมโผเข้ากอดเขาทันที เขาก็กอดผมอย่างแน่นหนา จับตัวผมเขย่าขึ้นๆลงๆแล้วก็เอาแต่พูดว่า “เออ เออ เออ เออ!”

“ก็นี่มันเป็นเกมของผมไง” ผมพูดเท่านี้
เราขึ้นรถยนต์ด้วยกันเพื่อที่จะได้ขับลงเขากลับไปยังโรงแรมที่พัก ส่วนนักจักรยานในทีมทั้งหมดก็ได้ล่วงหน้าไปก่อนแล้วโดยรสบัส ผมอยากจะเห็นหน้าของเพื่อนๆขึ้นมาเต็มเหนี่ยวและอย่างเร็วที่สุดด้วย เพราะเหตุผลเดียวที่ผมสามารถขึ้นไปยืนเสนอหน้าบนแท่นรับรางวัลในเสื้อยืดสีเหลืองได้นั้น ก็เพราะว่าเพื่อนๆได้ช่วยห้อมล้อมปกป้องผม และตอนนี้ผมไม่อยากจะนั่งรถไปคนเดียวอีกแล้ว อยากจะนั่งกลับไปพร้อมๆกับพวกเขาเสียเลย ผมจึงบอกโยฮานว่า “ตามพวกนั้นให้ทันเหอะ”
เขาเร่งเครื่องลงมาตามลาดเขาจนกระทั่งเห็นรถบัสของทีมอยู่ไหวๆข้างหน้า เราจึงวิทยุไปบอกคนขับให้หยุดรอก่อน เมื่อเราเอารถเข้าข้างทางได้ผมก็รีบรุดออกมาจากรถยนต์ของโยฮานอย่างรวดเร็วแล้วรีบวิ่งไปที่รถบัส ปีนขึ้นไปตามบันได กระโดดลงไปยืนอยู่ตรงทางเดินตรงกลางระหว่างที่นั่ง แล้วก็ตะโกนออกมาด้วยอย่างดีอกดีใจ

“ฉันทำได้แล้ว พวกนายอยากเห็นอย่างนี้ใช่มั้ย พวกนายชอบอย่างนี้ใช่ม้ายยยยย??!!”

รถแทบระเบิด พวกเขาพากันพุ่งออกมาจากที่นั่งของตัวเอง ส่งเสียงร้องกันระเบ็งเซ็งแซ่ เกิดความโกลาหลอยู่ตรงทางเดินในรถนั้นอยู่เป็นสิบนาที พวกเราทั้งกอดกัน ทั้งหลั่งน้ำตาและตบหัวตบไหล่กันอุตลุต
ตูร์ฯยังไม่จบหรอกครับ แต่ผมก็มั่นใจแล้วอย่างถึงที่สุดว่าชนะแน่ เป็นครั้งแรกเลยที่ผมไม่รู้สึกว่าอ่อนแอหรือถูกไล่ล่าอีกต่อไป ผมรู้สึกได้เลยว่าคราวนี้แหละตัวข้าฯคือผู้ชนะที่แท้จริงแห่งตูร์ เดอ ฟร็องซ์ ที่เหนืออื่นใดก็คือผมสามารถกลับมามองหน้าเพื่อนร่วมทีมได้อย่างสนิทใจอีกครั้ง

หลังจากนั้นต่อมาอีกสามวัน อุลริคกับผมต่างก็ไล่เถือกันแบบเฉือนไม่ลง บี้กันไปบี้กันมาตลอดทาง ในสเตจที่เหลือนี้ไม่มีช่วงใดเลยที่เปิดโอกาสให้ใครคนใดคนหนึ่งทำเวลาหนีเพื่อนได้ เราจึงต้องปั่นกันไปอย่างคุมเชิงจนกระทั่งมาถึงเมืองน็องเต อันเป็นเมืองที่เราทั้งคู่ต่างก็รู้กันดีว่าต้องเจอสเตจไทม์ ไทรอัลตัดสินที่นี่อีกสเตจ เราไม่มีอะไรให้ทำนอกจากปั่นไปคิดไปพร้อมๆกับความตึงเครียดที่ทวีขึ้น ทุกๆวินาทีมีความหมายจริงๆ

เราตื่นขึ้นในตอนเช้าของเมืองน็องเตท่ามกลางฝนตกหนัก แม้ว่าจะเป็นอย่างนี้ทั้งโยฮานและผมก็ตื่นขึ้นเมื่อตอนหกโมงเช้าครึ่งเพื่อขับรถยนต์ออกไปสำรวจเส้นทางแข่งขัน ผมขี่จักรยานตัวเองสำรวจเส้นทางนั้นไปมาช้าๆในสายฝน พยายามทำความเข้าใจกับโค้งต่างๆ,ตรงที่เป็นรางรถไฟและเป็นฝาท่อระบายน้ำ เพราะแม้แต่สีที่ทาถนนเอาไว้ก็เป็นอันตรายได้เมื่อถนนเปียกลื่น โดยเฉพาะช่วงสิบกิโลสุดท้ายนั้นค่อนข้างจะอันตรายมาก ผมเห็นว่ามีทั้งโค้งวงเวียนและมุมถนนใหญ่น้อยมากมายที่จะสร้างความหายนะให้กับตัวเองได้ ตอนที่เรากลับไปยังที่พักก็ได้ทราบข่าวว่าอุลริคยังนอนเอกเขนกดูวิดีโอที่ถ่ายเส้นทางมาอยู่เลย แทนที่จะออกไปดูของจริง

ไม่มีเสียงดังให้ได้บินในรถบัสของทีม ฝนยังคงกระหน่ำหน้าต่างรถไม่หยุดหย่อน โรบิน วิลเลี่ยมเพื่อนผมจึงต้องทำลายความเงียบด้วยเรื่องโจ๊กตามที่เขาถนัด ผมเองต้องพยายามอย่างหนักที่จะหัวเราะให้ได้ผ่านทางขากรรไกรขบเขม็ง

และแล้ว นักจักรยานทั้งหมดก็ออกตัวจากจุดสตาร์ทสู่เส้นทางแข่งขัน เพื่อนร่วมทีมของผมเริ่มรายงานกลับมาเป็นระยะๆว่ามีการล้มกันแล้วทุกๆสองสามนาที เพื่อนร่วมทีมของอุลริคสามคนด้วยกันที่ต้องพังพาบไป และผมต้องไม่ตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับพวกนั้น

โยฮานได้ให้คำแนะนำในการปั่นเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งเน้นหนักให้ระมัดระวัง เขาบอกว่าผมไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงทำอะไรหวาดเสียว ตอนนี้อุลริคต่างหากที่กำลังไล่ตามผม เขานั่นแหละเป็นฝ่ายจะถูกกดดันมากกว่า
ผมเอาความคิดนั้นใส่ไว้ในใจแล้วบ่ายหน้าสู่สนาม ผมค่อยๆออกตัวและพบว่ายังตามอุลริคอยู่หกวินาทีในช่วงกิโลครึ่งนับแต่เริ่มปล่อยตัว

ผมยังคงสงบใจอยู่ นึกสงสัยอยู่ว่าอุลริครีบออกตัวอย่างรวดเร็วเพื่อสร้างความกดดันให้ผมตั้งแต่ช่วงแรกๆ และอาจจะเป็นการข่มขวัญไปด้วยในตัว แต่ผมก็ยังคงปั่นด้วยรอบขาสม่ำเสมอและเหมาะสมกับตัวเอง จนกระทั่งถึงการขานเวลาครั้งที่สอง ผมก็ยังตามเขาอยู่สองวินาที
อุลริคยังคงอัดลูกบันไดอย่างเร็วต่อไปทั้งๆที่น้ำเจิ่งนองอย่างนั้นตลอดทั้งเส้นทาง น้ำกระจายออกไปจากล้อของเราในทุกๆโค้งที่พุ่งฝ่าเข้าไป

เพื่อนร่วมทีมของผมทุกคนไม่มีใครได้รับอันตรายเลย ตอนนี้พวกเขาก็กำลังนั่งอยู่บนรถบัสทีมและดูทีวีกันอย่างลุ้นระทึก ต้องเอามือปิดหน้าปิดตาแล้วมองลอดนิ้วกันเลย ตอนที่ผมพุ่งผ่านไปบนเส้นทางอันเต็มไปด้วยน้ำ

ผมตีตื้นขึ้นมาได้สิบวินาที
ที่ข้างหน้านั้น อุลริคยังคงอัดลูกบันไดอย่างรุนแรง เขาพาตัวเองเข้าสู่ส่วนที่นับว่าอันตรายที่สุดแล้วของเส้นทาง ตีวงโค้งเข้าสู่ช่วงสิบกิโลสุดท้าย ไม่นานนักเสียงรายงานอันราบเรียบไร้อารมณ์ของโยฮานก็ดังเข้ามาในหูฟังของผม
“แลนซ์ อุลริคมันล้มแล้วว่ะ”

อุลริคพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วตรงโค้งวงเวียนนั้น ขณะที่เขาเอียงตัวเข้าหาด้านในของโค้ง จักรยานก็ลื่นไถลล้มลง เขาไถไปกับพื้นถนนได้ไกลพอดูทีเดียว เขาไถลไปอย่างหวาดเสียวมากบนพื้นแอสฟัลท์ที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำขัง แล้วทั้งคนทั้งรถจักรยานก็กระแทกเข้ากับกองฟางที่วางกั้นอยู่ริมถนน
อุลริคพยายามลุกขึ้นและก้าวขึ้นคร่อมจักรยานได้ แต่การแข่งขันนั้นดูเหมือนจะจบลงแล้ว ผมคือคนที่ชนะตูร์ฯครั้งนี้ถ้าเพียงแต่ประคองตัวอยู่ได้ โยฮานกรอกเสียงตามมาอีกว่า “แลนซ์ ใจเย็นๆนะ อย่าเสี่ยง แกจะเดินเข้าเส้นชัยเลยก็ยังได้ ยังไงก็ชนะอยู่แล้ว”

หลังจากช่วงเวลานั้นแล้วการปั่นจักรยานของผมก็เหมือนกับการปั่นชมทิวทัศน์รองเมืองน็องเตไปเลย ผมยืดตัวขึ้นแล้วชื่นชมกับวิวทิวทัศน์ แต่ก็ยังต้องระวังโค้งอันตรายต่างๆอยู่
เมื่อเหลืออีกสามกิโลเมตรก่อนถึงเส้นชัย โยฮานก็ขับรถยนต์มาใกล้ๆกับผมแล้วชูนิ้วโป้งในมือทั้งสองข้างขึ้น ผมก็ยกมือขึ้นทำท่าตะเบ๊ะตอบในท่าสัญลักษณ์ “hook’em,horns” ของเท็กซัส
ยิ่งเข้าใกล้เส้นชัยมากขึ้นเท่าไร ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นตลอดสามอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ยิ่งมลายไป ผมรู้สึกว่ามีอะไรสักอย่างที่มันฉาบทาบทาอยู่บนใบหน้า แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าที่แท้มันก็คือรอยยิ้มกว้างของตัวเอง ผมพุ่งเข้าเส้นชัยและชูกำปั้นขึ้นสู่อากาศ พยายามที่จะจดจำช่วงเวลาอันน่าประทับใจนั้นเอาไว้ ผมใกล้แล้วที่จะได้เป็นผู้ชนะตูร์ เดอ ฟร็องซ์เป็นครั้งที่ห้าติดต่อกัน

แต่สถิตินั้นมันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะมารู้สึกกันได้ง่ายๆ มันถูกวัด หรือถูกทำเครื่องหมายเอาไว้ซึ่งจะใช้เพื่อสร้างขีดจำกัด การจะพูดแค่ว่าใครบางคนได้ชนะตูร์ฯมาแล้วห้าครั้งนั้นมันก็ค่อนข้างเป็นคำพูดที่ไร้น้ำหนัก เพราะคำกล่าวเพียงแค่นั้นมันไม่ได้บอกอะไรได้เลยเกี่ยวกับสิ่งต่างๆและอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในนั้น ทั้งความล้มเหลวและชัยชนะในสเตจต่างๆ รวมทั้งความคั่งแค้นและความยินดีปรีดา บางทีคนที่จะซาบซึ้งได้กับความหมายของคำว่า “ชัยชนะในตูร์ เดอ ฟร็องซ์ ห้าครั้งติดกัน” ว่ามันมีความสำคัญอย่างไรนั้น อาจเป็นเพื่อนร่วมทีมของผมและคนอีกสี่คนที่ได้เคยทำมันสำเร็จมาแล้วก็ได้ แต่สำหรับผม สิ่งที่รับรู้ได้อยู่อย่างเดียวก็คือว่ามันคือสิ่งที่บอกให้รู้ถึงจำนวนครั้งที่ผมลุกขึ้นสู้

เมื่อผมเดินลงมาจากแท่นรับรางวัล ผมก็พบกับแบร์นาร์ด อิโนลท์ เขาตรงเข้ามาจับมือผมแล้วพูดแต่เพียงสั้นๆว่า

“ขอต้อนรับคุณสู่พวกเรา”

วันต่อมา การขี่จักรยานสู่ปารีสเปรียบเสมือนกับว่าเป็นขบวนแห่ฉลองชัยชนะ ผมขี่ไปเรื่อยๆ จิบแชมเปญบ้างเป็นระยะและครุ่นคิดถึงความหมายของการแข่งขันครั้งนี้ คิดถึงการกลับมาแข่งอีกในปีถัดไป คิดวิธีแก้ปัญหาของตัวเองด้วยสมองหรือด้วยใจ ผมรู้สึกได้ถึงหัวใจอันพองโตคับอกเมื่อปั่นเข้าสู่ปารีส เมื่อผ่านไปหน้าโอเต็ล เดอ กริลญ็องผมก็เห็นว่ามีธงประจำรัฐเท็กซัสโบกสะบัดอยู่ มันตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงนั้นมาได้ห้าปีแล้ว

แต่ช่วงเวลาแห่งชัยชนะกลับกลายเป็นช่วงเวลาในงานเลี้ยงเล็กๆสำหรับสมาชิกทุกคนในทีม ผมลุกขึ้นแล้วกล่าวเพื่อเป็นเกียรติว่า

“ผมลำบากมากในปีนี้ ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน ผมรู้ครับว่าตัวเองฟอร์มตกหลายครั้ง ผมทำให้พวกเราหวาดหวั่น แหละผมสัญญาว่าจะไม่ปล่อยให้เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นอีก มีแต่พวกเราในทีนี้แหละที่คอยประคับประคองผม มันทำให้ผมอยากจะตายทุกครั้งที่ต้องลงมานั่งอยู่กับท่านที่โต๊ะอาหารเย็น และต้องมองจ้องทั้งใบหน้าและเข้าไปในดวงตาของเพื่อนๆ หลังจากที่ได้ทำให้พวกคุณต้องผิดหวังกันครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดผมก็กลับมามองหน้าพวกเราได้อย่างเต็มภาคภูมิหลังจากลุซ อาร์ดิด็อง ผมต้องการพวกคุณจริงๆ และพวกคุณคือคนที่คอยช่วยเหลือ ทำให้ผมมีวันนี้ขึ้นมาได้ ขอขอบคุณครับที่ได้ช่วยเหลือผมมาตลอดเวลา ผมเป็นหนี้เสื้อสีเหลืองนี้ต่อพวกเรา การฉลองครั้งนี้ ค่ำคืนนี้ คือคืนอันเป็นการให้เกียรติแก่พวกเราทุกคน ขอบคุณทุกๆคนมากครับ”

นั่นคือจุดจบของตูร์ เดอ ฟร็องซ์ครบรอบปีที่ 100 แต่ก็เหมือนอย่างที่ผมเคยบอกนั่นแหละครับ ว่าการแข่งขันก็ยังคงจะมีต่อไปเรื่อยๆ ทั้งคิค ลูกๆและผมกลับไปอยู่ที่จิโรน่าด้วยกัน เราเอาลูกๆเข้านอน เสียบปลั๊กเครื่องเฝ้าดูเด็กทารกเอาไว้ แล้วก็เดินลงไปสู่ร้านกาแฟข้างล่าง ร้านที่ตั้งอยู่ใต้หน้าต่างบ้าน เราทั้งคู่สั่งเบียร์เย็นๆมาดื่ม แกล้มกับแฮมสเปนและขนมปัง นั่งกันเงียบๆอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ต้องพยายามอย่างมากที่จะทั้งดูแลและคิดใคร่ครวญอย่างมากถึงความสัมพันธ์ของเรา
หลังจากนั้นไม่กี่วันผมก็บอกไม่ตอบรับคำเชิญทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการให้สัมภาษณ์หรือการเดินทางไปไหนๆ ชัยชนะต่อตูร์ เดอ ฟร็องหนนี้มันไม่เหมือนกับเมื่อครั้งก่อนๆ ผมอยากทำแค่อยู่บ้าน ได้เล่นกับลูกๆแล้วพาพวกแกไปเดินเล่นริมชายหาดเท่านั้น ตอนนี้เราซื้อเตาย่างบาร์บีคิวใหม่มาแล้ว เราได้ใช้มันย่างเนื้อในสวนของบ้านแล้วก็ฟังเพลงของบ็อบ มาลีย์กัน ผมผสมเหล้ามาการิต้าให้อร่อยเป็นแล้ว ได้คิดถึงการจะไปเที่ยวที่ชายฝั่งอามาลฟี่ในอิตาลีให้สนุกสนาน นี่คือครั้งเดียวที่ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องของการแข่งจักรยาน
เส้นชัยเส้นต่อไปอาจจะอยู่ข้างนอกนั่นที่ไหนสักแห่งหนึ่งล่ะครับ แต่ตอนนี้ผมยังคงไม่อยากจะไปถึงมันหรอก
กบducati
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 9347
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ส.ค. 2008, 19:13

Re: ควันหลง Every Second Count โดย แลนซ์ อาร็มสตรอง

โพสต์ โดย กบducati »

สวัสดีพี่ พลครับ เข้ามาขออ่านหน่อยครับ สบายดีน๊ะครับพี่
รูปประจำตัวสมาชิก
ra_p
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 1326
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 13:15
Tel: 081-850-4092
team: 347 cycling team
Bike: Spe' SL 2/2

Re: ควันหลง Every Second Count โดย แลนซ์ อาร็มสตรอง

โพสต์ โดย ra_p »

>>>> มาร่วมแจมด้วยคนครับ แถมเอา Link มาแปะให้เลยด้วยครับ

http://bookrider.blogspot.com/

>>>> เท่าที่อ่านดูคร่าวๆ ตอนที่น้าพลเอามาลงมันเป็นตอนสุดท้ายนะครับ ผิดถูกอย่างไร ใครอ่านจบแล้วโปรดบอกด้วยครับ
r a _ p ...Yo!
กิจ
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 212
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2008, 00:30
Tel: 0815575577
team: 347Cycling, Rama 4, Sport bicycle, Bikeloves
Bike: All 2 Wheels
ติดต่อ:

Re: ควันหลง Every Second Count โดย แลนซ์ อาร็มสตรอง

โพสต์ โดย กิจ »

ยาวดีจังเดี๋ยวคืนนี้ก่อนนอนจะโหลดมาอ่านนะจ๊ะ
2 wheels All around
รูปประจำตัวสมาชิก
พล 347
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 1101
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 20:24
team: 347 Cycling Team
Bike: Cannondale EVO
ติดต่อ:

Re: ควันหลง Every Second Count โดย แลนซ์ อาร็มสตรอง

โพสต์ โดย พล 347 »

รีบ ๆ โหลดไปเก็บกันนะคร้าบ...ก่อนจะสายเกินไป :P :P
ตอบกลับ

กลับไปยัง “347 Cycling Team”