นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ
ผู้ดูแล: เสือเพชรบูรณ์, V3 ป่าเลา
กฏการใช้บอร์ด
ที่อยู่ มหาวิทยาลัยราชภัฎเพชรบูรณ์ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ 67000
ที่อยู่ มหาวิทยาลัยราชภัฎเพชรบูรณ์ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ 67000
- V3 ป่าเลา
- ขาประจำ
- โพสต์: 8926
- ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ส.ค. 2008, 22:34
- Tel: 0819538554
- team: PHETCHABUN TEAM
- Bike: Cannondale Taurine SL 09 Super six hi-mod 09 Fash factory team
- ตำแหน่ง: 44/2 หมู่ 8 ต.สะเดียง อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ 67000
Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ
ได้ประโยชน์ ขอบคุณสำหรับความรู้ดี ๆ ครับ
ชนะอื่นใดไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับชนะใจตนเอง
แม้จะมีเพียงแค่ภาพเดียวแต่สามารถแทนคำพูดได้มากกว่าพันคำ
แม้จะมีเพียงแค่ภาพเดียวแต่สามารถแทนคำพูดได้มากกว่าพันคำ
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 2350
- ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
- Tel: 0832150005
- team: เพชรบูรณ์
- Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
- ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
- ติดต่อ:
Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน” รพี พัฒนศักดิ์
"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน” รพี พัฒนศักดิ์
"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 2350
- ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
- Tel: 0832150005
- team: เพชรบูรณ์
- Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
- ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
- ติดต่อ:
Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ
วิธีติดตั้ง คลีทรองเท้าจักรยาน
เพื่อนๆ หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าหากเราปรับตำแหน่งการวางเท้าสำหรับ ปั่นจักรยาน ได้ถูกต้องแล้วมันจะส่งผลดีอย่างไร ต่อประสิทธิภาพในการปั่นจักรยานของเรา วันนี้ผมจึงอยากจะขอแนะนำวิธีติดตั้งคลีทรองเท้าจักรยาน ให้เพื่อนๆ ที่ยังไม่ทราบ หรืออาจจะติดตั้งแล้ว แต่ยังไม่แน่ใจว่าถูกต้องหรือเปล่า จะได้สามารถนำความรู้ดังกล่าวไปปรับตั้งคลีทรองเท้าของตนเองได้ครับ
ขั้นตอนการปรับตั้งคลีทรองเท้าจักรยาน
1. อันดับแรก เรามาดูการวางเท้าที่ถูกต้องกันก่อนนะครับ ซึ่งในภาพข้างบน เป็นจุดที่ถูกต้องในการวางเท้าของเรา บนบันไดจักรยานครับ ซึ่งเป็นจุดที่เราสามารถส่งกำลังจากการออกแรงปั่นได้ดีที่สุดด้วยครับ
2. พอเราทราบจุดวางเท้าแล้ว เราก็มากำหนดจุดวางเท้าของ คลีทบันไดจักรยานกันครับ ในที่นี้ผมขอยกตัวอย่าง ของยี่ห้อ Shimano นะครับ เพราะผมใช้ยี่ห้อนี้อยู่ครับ ผมได้ลองทาบดูแล้ว แกนของบันไดจักรยานจะพาดตรงจุดที่ผมขีด เส้นสีแดงไว้ครับพอดีครับ
3. คราวนี้เรามาหาจุดที่เราจะต้องเอาคลีทไปติดที่รองเท้าจักรยานกันครับ (ผมต้องขออภัยที่ถ่ายรูปเท้า ลงบล็อก หารูปไม่ได้จริงๆ ครับ ^-^!!) เมื่อหาจุดที่เราจะติดตั้งคลีทได้แล้ว ให้เราทำเครื่องหมายที่รองเท้าไว้ด้วยครับ
4. คราวนี้ก็ถึงเวลาที่ เราจะนำคลีทไปติดตั้งที่รองเท้าจักรยานกันแล้วนะครับ โดยนำคลีทที่เราได้ทำเครื่องหมายไว้แล้วตามข้อ 2 ไปทาบให้ตรงกับที่เราได้ทำเครื่องหมายไว้ที่รองเท้า ในข้อ 3 ครับ แล้วจึงหมุนน๊อต ตัวข้างบนสุดเข้าไป แต่ไม่ต้องหมุนแน่น นะครับแค่หลวมๆ พอครับ เพราะเราจะต้องปรับคลีทให้ตรงกับเส้นแบ่งกลางของรองเท้าอีกทีครับ (เส้นแบ่งกึ่งกลางของรองเท้า ในรองเท้าจักรยานรุ่นใหม่ๆ เกือบทุกยี่ห้อเขาจะทำ เครื่องหมายมาให้เราแล้วครับ จะสังเกตุเห็นเป็นขีดๆ แล้วมีตัวเลขกำกับ เพื่ออำนวยความสะดวกในการปรับตั้งคลีทรองเท้า) พอเราปรับให้ตรงได้ที่แล้วก็หมุนน๊อต ทุกตัวให้แน่นพอดีอย่าออกแรงหมุนมากเกินไปนะครับ เดี๋ยวเกลียวที่รองเท้าจะพังได้ครับ
เห็นไหมละครับไม่ยากเลยใช่ไหมครับในการปรับ และติดตั้งคลีทรองเท้าจักรยาน ทุกคนสามารถทำได้เอง หรือหากใครไม่มั่นใจว่า รองเท้าที่ใส่อยู่ติดตั้งคลีทถูกต้องหรือเปล่า ก็ลองตรวจเช็คดูอีกทีครับ หากเราปรับได้ถูกต้องแล้ว จะทำให้เราปั่นได้สบายขึ้น และลดอาการปวดเท้าได้ด้วยครับ
http://thbike.blogspot.com/2013/05/blog-post.html?m=1
เพื่อนๆ หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าหากเราปรับตำแหน่งการวางเท้าสำหรับ ปั่นจักรยาน ได้ถูกต้องแล้วมันจะส่งผลดีอย่างไร ต่อประสิทธิภาพในการปั่นจักรยานของเรา วันนี้ผมจึงอยากจะขอแนะนำวิธีติดตั้งคลีทรองเท้าจักรยาน ให้เพื่อนๆ ที่ยังไม่ทราบ หรืออาจจะติดตั้งแล้ว แต่ยังไม่แน่ใจว่าถูกต้องหรือเปล่า จะได้สามารถนำความรู้ดังกล่าวไปปรับตั้งคลีทรองเท้าของตนเองได้ครับ
ขั้นตอนการปรับตั้งคลีทรองเท้าจักรยาน
1. อันดับแรก เรามาดูการวางเท้าที่ถูกต้องกันก่อนนะครับ ซึ่งในภาพข้างบน เป็นจุดที่ถูกต้องในการวางเท้าของเรา บนบันไดจักรยานครับ ซึ่งเป็นจุดที่เราสามารถส่งกำลังจากการออกแรงปั่นได้ดีที่สุดด้วยครับ
2. พอเราทราบจุดวางเท้าแล้ว เราก็มากำหนดจุดวางเท้าของ คลีทบันไดจักรยานกันครับ ในที่นี้ผมขอยกตัวอย่าง ของยี่ห้อ Shimano นะครับ เพราะผมใช้ยี่ห้อนี้อยู่ครับ ผมได้ลองทาบดูแล้ว แกนของบันไดจักรยานจะพาดตรงจุดที่ผมขีด เส้นสีแดงไว้ครับพอดีครับ
3. คราวนี้เรามาหาจุดที่เราจะต้องเอาคลีทไปติดที่รองเท้าจักรยานกันครับ (ผมต้องขออภัยที่ถ่ายรูปเท้า ลงบล็อก หารูปไม่ได้จริงๆ ครับ ^-^!!) เมื่อหาจุดที่เราจะติดตั้งคลีทได้แล้ว ให้เราทำเครื่องหมายที่รองเท้าไว้ด้วยครับ
4. คราวนี้ก็ถึงเวลาที่ เราจะนำคลีทไปติดตั้งที่รองเท้าจักรยานกันแล้วนะครับ โดยนำคลีทที่เราได้ทำเครื่องหมายไว้แล้วตามข้อ 2 ไปทาบให้ตรงกับที่เราได้ทำเครื่องหมายไว้ที่รองเท้า ในข้อ 3 ครับ แล้วจึงหมุนน๊อต ตัวข้างบนสุดเข้าไป แต่ไม่ต้องหมุนแน่น นะครับแค่หลวมๆ พอครับ เพราะเราจะต้องปรับคลีทให้ตรงกับเส้นแบ่งกลางของรองเท้าอีกทีครับ (เส้นแบ่งกึ่งกลางของรองเท้า ในรองเท้าจักรยานรุ่นใหม่ๆ เกือบทุกยี่ห้อเขาจะทำ เครื่องหมายมาให้เราแล้วครับ จะสังเกตุเห็นเป็นขีดๆ แล้วมีตัวเลขกำกับ เพื่ออำนวยความสะดวกในการปรับตั้งคลีทรองเท้า) พอเราปรับให้ตรงได้ที่แล้วก็หมุนน๊อต ทุกตัวให้แน่นพอดีอย่าออกแรงหมุนมากเกินไปนะครับ เดี๋ยวเกลียวที่รองเท้าจะพังได้ครับ
เห็นไหมละครับไม่ยากเลยใช่ไหมครับในการปรับ และติดตั้งคลีทรองเท้าจักรยาน ทุกคนสามารถทำได้เอง หรือหากใครไม่มั่นใจว่า รองเท้าที่ใส่อยู่ติดตั้งคลีทถูกต้องหรือเปล่า ก็ลองตรวจเช็คดูอีกทีครับ หากเราปรับได้ถูกต้องแล้ว จะทำให้เราปั่นได้สบายขึ้น และลดอาการปวดเท้าได้ด้วยครับ
http://thbike.blogspot.com/2013/05/blog-post.html?m=1
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน” รพี พัฒนศักดิ์
"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน” รพี พัฒนศักดิ์
"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 2350
- ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
- Tel: 0832150005
- team: เพชรบูรณ์
- Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
- ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
- ติดต่อ:
Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ
เลือกตาม ค่ายที่ชอบ และ สตางค์ ในกระเป๋า นะครับ
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน” รพี พัฒนศักดิ์
"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน” รพี พัฒนศักดิ์
"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 2350
- ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
- Tel: 0832150005
- team: เพชรบูรณ์
- Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
- ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
- ติดต่อ:
Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ
* นํ้ามันหมูทำอาหาร กับ พืชผักสวนครัวที่ปลูกเอง อร่อยมั๊กมาก *
ที่บ้านผมทานนํ้ามันหมู ตั้งแต่รุ่นอากง อาม่า ... แล้วก็เปลี่ยนมาทานนํ้ามันพืช เมื่อ 35 ปีที่แล้ว ทานต่อเนื่องกัน 30 ปี --- ระหว่างทาน ก็เห็นสมาชิกในครอบครัวส่วนใหญ่ เป็นเบาหวาน โคเรสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ หัวใจ ความดัน .. ส่วนคนที่ร่างกายปรกติไม่เป็นอะไรก็มี .. จึงคิดว่านํ้ามันพืช ที่โฆษณาว่าทานแล้วจะดีโน่นดีนี่ จะไม่เป็นอะไร จริงๆแล้วน่าจะไม่เป็นเช่นโฆษณา ... ผมก็คิดว่าคนไทยส่วนใหญ่ ก็คงเชื่อตามโฆษณานี้ .. ที่ยิงโฆษณาถี่มากในสมัยที่พยายามชักจูงให้ผู้คนหันมาทานนํ้ามันพืชแทนนํ้ามันหมู ( ผลกระทบนี้ยังส่งผลต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ที่อุสาหกรรมการเลี้ยงหมู ต้องมีการใส่สารต่างๆลงไปมากมายหลายอย่าง ทั้งสารเร่งเนื้อแดง สารเร่งโต พรีมิค ฮอร์โมนต่างๆ เพื่อให้หมูที่เลี้ยงมามีไขมันน้อย เพราะคนทานหมู ถูกหลอกให้กลัวไขมัน ) การโฆษณาในสมัยนั้นจะใช้นํ้ามันพืชและนํ้ามันหมูแช่ใส่ตู้เย็น ทำให้เห็นว่านํ้ามันพืชไม่เป็นไข ส่วนนํ้ามันหมูจะเป็นไข แล้วก็จะชักจูงต่อเนื่องด้วยวารสารทางการแพทย์ บทวิจัยทางการแพทย์ การออกสื่อต่างๆโดยแพทย์และนักวิชาการที่น่าเชื่อถือ .. แต่โดยความจริงคนเหล่านั้นน่าจะไม่ได้วิจัยหรือทราบอะไรจริง แค่ทราบมาจากในสถาบันการเรียน จากตำราฝรั่ง จากการวิจัย ( หลอกลวง )ของฝรั่ง ...
* โดยความจริงแล้ว เพิ่งจะมาทราบภายหลังว่า วงการแพทย์ของอเมริกา ใช้การล่อลวงนี้ เพื่อจะทำให้อุตสาหกรรมถั่วเหลืองของอเมริกาเติบโตขึ้นลำดับโลก ทำเพื่อคนอเมริกา .. .. วงการแพทย์อเมริกาเพิ่งออกมายอมรับ ออกบทความว่า ขอโทษที่หลอกพลโลกให้หลงเชื่อเปลี่ยนมาทานนํ้ามันถั่วเหลืองมากว่า 60 ปี ... ( จริงๆแล้ว ก็ไม่ใช่นํ้ามันถั่วเหลืองเพียงอย่างเดียว หากยังรวมถึง "" นํ้ามันพืชทุกชนิด "" เช่น นํ้ามันรำข้าว นํ้ามันทานตะวัน นํ้ามันข้าวโพด ฯลฯ ที่ผ่านกระบวนการอุตสาหกรรม แล้วมีการเติมไฮโดรเจนลงไป .. ที่ข้างขวดมักจะเขียนว่า "นํ้ามันพืชผ่านกรรมวิธี " )
... ที่บ้านผมจึงเปลี่ยนกลับมาซื้อมันหมูมาเจียวเป็นนํ้ามันหมู เพื่อทำอาหาร เมื่อ 5 ปี ที่ผ่านมา ... ก็สังเกตุว่าคนในบ้าน ไม่เห็นมีใครเป็นอะไรมากมาย อาการโรคผิดปรกติทางกายที่หลายคนเคยเป็น ก็ดูดีขึ้น จากการตรวจร่างกายเป็นระยะ .. ( ข้อนี้น่าจะเกี่ยวกับใช้นํ้ามันหมูแล้วใช้น้อยลง .. ทานของทอดน้อยลงด้วย )
.. ข้อสังเกตุ เวลาทำกับข้าว การใช้นํ้ามันหมู จะใช้น้อยกว่านํ้ามันพืชครึ่งหนึ่ง แต่กับข้าวที่ทำก็ดูน่าทานกว่า .. นํ้ามันหมูทำกับข้าวก็หอมมม อร่อยกว่าทำกับข้าวจากนํ้ามันพืชมาก
.. * ส่วนนํ้ามันพืช ปัจจุบันนี้ที่บ้านผมก็มีใช้อยู่บ้างเป็นบางครั้ง ส่วนใหญ่จะใช้ทำสลัดผัก และ ใช้หมักหมูเวลาจะย่างหมูแดง ... **** "แต่นํ้ามันพืชที่ผมใช้ผมจะใช้ นํ้ามันพืช " " สกัดเย็นเท่านั้น " เช่น นํ้ามันงา นํ้ามันรำข้าว
..............................
ปล.
-เป็นความเชื่อส่วนตัว
- นํ้ามันหมูเข้าใช้ประโยชน์ในร่างกาย ในอุณภูมิร่างกาย 37.5 องศา
- นํ้ามันพืชใช้ในสภาวะความร้อนในร่างกายไม่เหมาะสม
- การสกัดนํ้ามันพืชต้องใช้สารเคมี ในหลายขั้นตอน
- การเจียวนํ้ามันหมู ใช้วิธีแบบบ้านๆ ไม่ต้องใช้สารเคมี ไม่ต้องผ่านขบวนการอุสาหกรรม .. คือเหตุผลที่ผมใช้นํ้ามันหมู
- เตี่ยผม ทานนํ้ามันพืช และ นํ้ามันหมู มาตลอดกว่า 90 ปี ก็ ไม่มีโรคอะไรสักอย่าง
- การเกิดโรค นํ้ามันน่าจะเป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน” รพี พัฒนศักดิ์
"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน” รพี พัฒนศักดิ์
"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
- วิทยาธรณ์
- ขาประจำ
- โพสต์: 1394
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2008, 20:47
- Tel: 0899601801
- team: เพชรบูรณ์
- Bike: terk
Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ
+100 ครับหมอ ผมทานน้ำมันหมูนานแล้ว ร่างกายของเรามีความร้อนจึงสามารถขับไขมันน้ำมันหมูออกได้แต่ไม่สามารถขับไขมันน้ำมันพืชออกได้จึงเกิดการตกค้างในร่างกายทำให้เกิดโรคต่างเพราะมันเหนียวมากผมไม่กล้าที่จะบอกใคร ผมเป็นแค่นักวิชาเกิน
"พกกายพกใจไปกับจักรยาน ไกล้ไกลก็ปั่นได้ทุกเส้นทาง"
หนุ่มใหญ่วัยฉะกันแห่ง "บ้านนิรนาม"
หนุ่มใหญ่วัยฉะกันแห่ง "บ้านนิรนาม"
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 2350
- ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
- Tel: 0832150005
- team: เพชรบูรณ์
- Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
- ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
- ติดต่อ:
Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ
อ่านเป็นความรู้ค่ะ. ไข่ กับ คอเรสเตอรอล
โดนฝรั่งหลอกว่าไข่ไก่กินไม่ดี ไขมันสูง ลองมาอ่านของจริงบ้างเป็นอย่างไร เราโง่มานานแล้ว
คลอเรสเตอร์รอลมันเกิดจากการกินอาหารเพียง 20 %แต่มันสร้างโดยตับเราเองถึง 80% แล้วการสร้างอนุมูลอิสระตัว HDL ซึ่งเป็นตัวมีประโยชน์ต่อร่างกายได้ดีที่สุดคือ การกินไข่ จะได้เพิ่มถึง 48% เชียวนะ
ภาวะสมองเสื่อม..กับไข่ไก่ มีประโยชน์มาก...โปรดอ่านและเผยแพร่แก่ผู้ใกล้ชิดด้วย เห็นว่ามีคุณค่าและเป็นประโยชน์ จึงอยากเผยแพร่ต่อ.... หากใครได้ดูรายการ 'ข้อเท็จจริง..วันนี้' ทางช่องยูบีซี 7 ที่มีการการพูดคุยกับ ศ.นพ.รุ่งธรรม ลัดพลี เกี่ยวกับ เรื่อง 'ภาวะสมองเสื่อม..กับไข่ไก่ ' เรื่องที่มีการการสนทนากันนั้น พอจับใจความหลักๆ ได้ว่า ... จากค่านิยมเดิมๆที่ทราบกันว่า การบริโภคไข่ทุกวัน นั้น จะไปเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด
คุณหมอบอกว่า อยากให้เลิกค่านิยมดังกล่าวเสียเพราะข้อเท็จจริงในปัจจุบันนั้น ไข่นับว่าเป็นอาหารราคาถูก ปรุงง่าย แต่ มากด้วยคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุดการที่หลายๆคนมีระดับคลอเสลเตอรอลในเลือดสูงนั้น เป็นเพราะตับทำงานไม่มีประสิทธิภาพเอง คุณหมอยังกล่าวอีกว่า สำหรับคนที่มีระดับคลอเลสเตอรอลสูงในระดับ 200 นั้น หากทานไข่แล้ว มันไปเพิ่มอีกเพียง 20 แต่ตรงกันข้ามประโยชน์ที่ได้จากการทานไข่ มันมากกว่าไอ้ส่วนที่ไป เพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด เป็นเพราะอาการเลือดในสมองน้อยหรือเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ การ รับประทานไข่ ทุกวันๆละอย่างน้อย 2 ฟอง จะช่วยได้มาก
คุณหมอยังอ้างถึงและพูดถึงผู้สูงอายุว่าการบริโภคไข่ทุกวันนั้น ไม่มีปัญหาดังที่เราๆเข้าใจกันแบบผิดๆ คุณหมอรักษาผู้สูงอายุหลายๆคนที่มาให้การรักษาในหลายๆโรค ขนาดอายุ 80 กว่า คุณหมอยังแนะนำให้ทานไข่วันละ 2 ฟอง
ผลก็คืออาการของโรคที่รักษาบรรเทาลง คนไข้มีอาการดีขึ้นกว่าเดิมมาก จากที่เดินไม่ค่อยได้ก็กลับมาเดินได้.......นี่เป็นตัวอย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ไข่มีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่,ไข่เป็ด,ไข่นกกระทา, และอีกหลายๆชนิด แต่ไข่ไก่ดีที่สุดในกลุ่ม ส่วนการนำมาประกอบอาหารนั้นแล้วแต่ใจชอบ ประกอบอาหารแบบไหนได้ทั้งนั้น คุณหมอเสริมว่า ส่วนของไข่ที่ดีที่สุดนั้น อยู่ที่จุดๆหนึ่งในไข่แดงที่มีลักษณะคล้ายๆเส้นใยยึดส่วนอื่นๆไว้ (หากไม่เคยสังเกต ก็ลองเตาะไข่ดิบดู) พร้อมกันนี้ ได้มีการยกแผนภูมินำมาประกอบว่าประเทศไทยมีการบริโภคไข่ต่อคนมากน้อยเพียงใด ปรากฎว่า ต่ำกว่าหลายๆประเทศที่เจริญแล้ว โดยประเทศที่บริโภคไข่ต่อคนสูงสุดก็คือญี่ปุ่น รองๆลงมาก็มีจีนแดง, สหรัฐอเมริกา, ฯลฯ คุณหมอยังให้ข้อคิดว่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ประชาชนส่วนใหญ่มีสติปัญญาที่ดี ทำไมอาหารมื้อเช้าทุกวัน ยังมีไข่เป็นส่วนประกอบเสมอ และทานกันทุกวัน แต่เรากลับยึดถือแต่ค่านิยมเรื่องคลอเลสเตอรอล.... การบริโภคไข่จะช่วยบำรุงสมองเป็นอย่างดี
อย่าไปสนใจพวกอาหารเสริมที่โฆษณากันเลย ไข่นี่แหละสุดยอดของอาหารแล้ว หากอยากฉลาด ต้องทานไข่ คุณหมอยังเสริมว่าภาวะเลือดที่ข้นเกินไป จะไม่เป็นผลดี เพราะการนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกายจะไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นควรดื่มน้ำสะอาดให้มากๆในแต่ละวัน .....
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน” รพี พัฒนศักดิ์
"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน” รพี พัฒนศักดิ์
"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 2350
- ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
- Tel: 0832150005
- team: เพชรบูรณ์
- Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
- ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
- ติดต่อ:
Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ
Heat Stroke หรือ โรคลมแดด
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน” รพี พัฒนศักดิ์
"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน” รพี พัฒนศักดิ์
"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 2350
- ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
- Tel: 0832150005
- team: เพชรบูรณ์
- Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
- ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
- ติดต่อ:
Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ
ดื่มกาแฟ ช่วยลดความเสี่ยง ของการเกิดโรคสมองฝ่อ หรืออัลไซเมอร์ เมื่อย่างเข้าวัยชราได้
ดื่มกาแฟ ช่วยลดความเสี่ยง ของการเกิดโรคสมองฝ่อ หรืออัลไซเมอร์ เมื่อย่างเข้าวัยชราได้
รายงาน วิจัยโดยนักวิจัยชาวฟินแลนด์และสวีเดนระบุว่า ผู้ใหญ่วัยกลางคนที่ดื่มกาแฟ วันละ 3 - 5 ถ้วย จะช่วยลดความเสี่ยง ของการเกิดโรคสมองฝ่อ หรืออัลไซเมอร์ เมื่อย่างเข้าวัยชราได้ ศาสตราจารย์ Miia Kivipelto แห่งมหาวิทยาลัย Kuopio ในฟินแลนด์ และสถาบัน Karolinska ในสวีเดน หัวหน้าคณะนักวิจัย เรื่องประโยชน์ของกาแฟ ในการช่วยลดความเสี่ยง ของการเกิดโรคอัลไซเมอร์บอกว่า ผู้ใหญ่วัยกลางคนที่ดื่มกาแฟ วันละ 3 - 5 ถ้วย จะช่วยลดความเสี่ยงของ การเกิดโรคความจำเสื่อม และ โรคอัลไซเมอร์เมื่อเข้าสู่วัยชรา ได้ประมาณ 60-65% รายงานชิ้นนี้ ซึ่งตีพิมพ์อยู่ในวารสาร
โรคอัลไซเมอร์ ฉบับเดือนมกราคม รวบรวมผลจากการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง 1409 คนในฟินแลนด์ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา คำถามที่ใช้สัมภาษณ์ คือพฤติกรรมการดื่มกาแฟของกลุ่มตัวอย่าง ในขณะที่อายุประมาณ 50 กว่าปี ต่อมาจึงทดสอบการใช้งานของสมองในช่วงที่กลุ่มตัวอย่างเหล่านั้น มีอายุระหว่าง 65-79 ปี ผลการวิจัยพบว่า มีกลุ่มตัวอย่างที่มีอาการของโรคความจำเสื่อม 61 คน ในจำนวนนั้นมีคนเป็นโรคอัลไซเมอร์ 48 คน ศาสตราจารย์ Kivipelto บอกว่าก่อนหน้านี้เคยมีรายงาน 1-2 ชิ้น ที่แสดงให้เห็นว่าการดื่มกาแฟ ช่วยในการพัฒนาการทำงานของสมองได้จริง แต่รายงานชิ้นนี้ นับเป็นชิ้นแรกที่ศึกษาถึงประโยชน์ของกาแฟในการลดความเสี่ยงของโรคความจำเสื่อม และโรคอัลไซเมอร์โดยตรง อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ผู้นี้กล่าวว่า ยังคงไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่า ทำไมการดื่มกาแฟวันละ 3-5 แก้วจึงช่วยชะลอ หรือลดความเสี่ยงของการเกิดโรคดังกล่าวได้ แต่เชื่อกันว่าเป็นเพราะกาแฟมี สารต้านอนุมูลอิสระประกอบอยู่จำนวนมาก ซึ่งทราบกันดีว่าสารดังกล่าว ช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้
รายงานบางชิ้นระบุว่า กาแฟยังช่วยปกป้องระบบประสาท และ ป้องกันการเกิดโรคความจำเสื่อม นอกจากนี้ยังป้องกันโรคเบาหวานได้อีกด้วย ถ้าไม่ใส่น้ำตาลมากจนเกินไป อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ Kivipelto ยืนยันว่าต้องมีการศึกษาอย่างละเอียดต่อไปว่า ส่วนผสมใดในกาแฟที่สร้างประโยชน์ในด้านนี้ เมื่อ2วันที่แล้วเพิ่งจะมีรายงานจากมหาวิทยาลัย Durham ในอังกฤษ ที่แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องระหว่างการดื่มกาแฟมากๆ กับอาการประสาทหลอน ซึ่งศาสตราจารย์ Kivipelto กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า รายงานของเธอชี้ชัดว่าการดื่มกาแฟแต่พอเหมาะคือประมาณ 3-5 แก้วต่อวัน สามารถเกิดประโยชน์ในการชะลอโรคอัลไซเมอร์ได้จริง แต่หากดื่มมากเกินไป ก็อาจเป็นโทษ อย่างเช่นอาการประสาทหลอนได้เรียกว่ามากเกินไปก็ไม่ดี
การดื่มกาแฟเป็นประจำลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน
การดื่มกาแฟนอกจากจะช่วยให้คนดื่มรู้สึกกระชุ่มกระชวยแล้ว ผลการศึกษาล่าสุดยังระบุว่า การดื่มกาแฟเป็นประจำสามารถลดความเสี่ยง การเป็นโรคเบาหวานในผู้ใหญ่ได้ จากการศึกษาระยะยาวกับชาวฟินแลนด์ 16,000 คน พบว่า การดื่มกาแฟ 2-3 ถ้วยต่อวันช่วยลดความเสี่ยง ในการเป็นเบาหวานแบบที่ 2 หรือ เบาหวานในผู้ใหญ่ได้ ขณะที่ผู้ที่ดื่มมากกว่า 2-3 แก้วต่อวันก็จะมีโอกาสเสี่ยง ต่อการเป็นโรคเบาหวานลดลงตามไปด้วย
ชาวฟินแลนด์นั้นเป็นชนชาติที่ดื่มกาแฟมากที่สุดในโลก เมื่อเทียบปริมาณการบริโภคกาแฟต่อจำนวนประชากรต่อหัว และจากการข้อมูลของสถาบันทรัพยากรโลก ก็ระบุว่าในปี 2000 ชาวฟินแลนด์ดื่มกาแฟโดยเฉลี่ย 11.3 กิโลกรัมต่อคน การศึกษาชิ้นนี้ตีพิมพ์ในวารสารของสมาคมแพทย์อเมริกัน ซึ่งชี้ว่า การที่ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟ 3-4 ถ้วยต่อวันจะช่วย ลดความเสี่ยง ในการเป็นเบาหวานได้ 29 เปอร์เซ็นต์ และ ความเสี่ยงจะลดลงถึง 79 เปอร์เซ็นต์ ถ้าดื่ม 10 ถ้วยต่อวันหรือมากกว่า สำหรับผู้ชาย การดื่มกาแฟ 3-4 ถ้วยจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นเบาหวานได้ 27 เปอร์เซ็นต์ และหากดื่ม 10 ถ้วยต่อวัน หรือ มากกว่า ความเสี่ยงจะลดลงราว 55 เปอร์เซ็นต์ การค้นพบนี้ไม่ได้ระบุความสัมพันธ์ที่ชัดเจน ระหว่างการดื่มกาแฟกับการเป็น โรคเบาหวานแบบที่ 2 ทีมนักวิจัยจากสถาบันสาธารณสุขแห่งชาติ ในกรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ระบุ ถึงแม้จะไม่มีอะไรบอกชัดเจน ว่าทำไมการดื่มกาแฟจึงช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบา หวานได้ แต่ทีมนักวิจัยก็เดาว่าอาจเป็นไปได้ที่สารประกอบในกาแฟไปขัดขวางการลำเลียง กลูโคส นอกจากนี้ ทีมนักวิจัยยังระบุด้วยว่า กาแฟช่วยให้การขับสารประกอบโมเลกุลต่ำที่ให้กรดอะมิโนในกระเพาะอาหารและลำ ไส้ดีขึ้น ซึ่งสารประกอบชนิดนี้ทราบกันดีว่าช่วยลดกลูโคสได้ และในกาแฟยังมีแมกนีเซียม ที่เชื่อกันว่าส่งผลด้านบวกต่อการต้านทานกลูโคส โรคเบาหวานแบบที่ 2 เป็นโรคเบาหวาน ที่เป็นในผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป และพบว่าการเป็นโรคเบาหวานชนิดนี้ เชื่อมโยงกับความอ้วน และ โภชนาการ รายงานผลการศึกษาวิจัย เรื่องใหม่ในแคนาดาระบุว่า การดื่มกาแฟอาจทำให้ผู้ชายล่อแหลมกับการเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมากขึ้น และยิ่งดื่มมากเท่าใด โอกาสเสี่ยงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น การศึกษาทำโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของแคนาดา รายงานว่า คอกาแฟชายที่ดื่มจัดถึงวันละ 4 ถ้วย จะล่อแหลมกับการเป็นมะเร็งชนิดนี้ มากกว่าเพื่อนที่ไม่ได้ดื่มกาแฟถึง 2 เท่า
รายงานการศึกษาซึ่งเสนออยู่ในวารสารการแพทย์ "โรคเรื้อรัง" ของแคนาดาเปิดเผยว่า โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เป็นโรคมะเร็งที่ผู้ชายแคนาดา เป็นกันมากโรคหนึ่ง อย่างเช่นเป็นที่คาดว่าจะมีผู้ป่วยในปีนี้ ประมาณ 3,700 ราย แอนน์ แมรี่ อักนาต นักวิจัยคนหนึ่ง กล่าวว่า "การศึกษาส่อว่าโรคมะเร็งชนิดนี้อาจมีความเกี่ยวเนื่องกับกาแฟ แต่ก็ยังไม่แน่นอนนัก"
ที่มา
http://www.voanews.com/thai/2009-01-17-voa2.cfm
สำนักข่าวเอเอฟพี
http://ogcoffee.gagto.com/?cid=415781
ข่าวดีสำหรับคนชอบดื่มกาแฟ
Increased coffee consumption may reduce risk of type 2 diabetes
http://www.medicalnewstoday.com/articles/275979.php
ดื่มกาแฟ ช่วยลดความเสี่ยง ของการเกิดโรคสมองฝ่อ หรืออัลไซเมอร์ เมื่อย่างเข้าวัยชราได้
รายงาน วิจัยโดยนักวิจัยชาวฟินแลนด์และสวีเดนระบุว่า ผู้ใหญ่วัยกลางคนที่ดื่มกาแฟ วันละ 3 - 5 ถ้วย จะช่วยลดความเสี่ยง ของการเกิดโรคสมองฝ่อ หรืออัลไซเมอร์ เมื่อย่างเข้าวัยชราได้ ศาสตราจารย์ Miia Kivipelto แห่งมหาวิทยาลัย Kuopio ในฟินแลนด์ และสถาบัน Karolinska ในสวีเดน หัวหน้าคณะนักวิจัย เรื่องประโยชน์ของกาแฟ ในการช่วยลดความเสี่ยง ของการเกิดโรคอัลไซเมอร์บอกว่า ผู้ใหญ่วัยกลางคนที่ดื่มกาแฟ วันละ 3 - 5 ถ้วย จะช่วยลดความเสี่ยงของ การเกิดโรคความจำเสื่อม และ โรคอัลไซเมอร์เมื่อเข้าสู่วัยชรา ได้ประมาณ 60-65% รายงานชิ้นนี้ ซึ่งตีพิมพ์อยู่ในวารสาร
โรคอัลไซเมอร์ ฉบับเดือนมกราคม รวบรวมผลจากการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง 1409 คนในฟินแลนด์ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา คำถามที่ใช้สัมภาษณ์ คือพฤติกรรมการดื่มกาแฟของกลุ่มตัวอย่าง ในขณะที่อายุประมาณ 50 กว่าปี ต่อมาจึงทดสอบการใช้งานของสมองในช่วงที่กลุ่มตัวอย่างเหล่านั้น มีอายุระหว่าง 65-79 ปี ผลการวิจัยพบว่า มีกลุ่มตัวอย่างที่มีอาการของโรคความจำเสื่อม 61 คน ในจำนวนนั้นมีคนเป็นโรคอัลไซเมอร์ 48 คน ศาสตราจารย์ Kivipelto บอกว่าก่อนหน้านี้เคยมีรายงาน 1-2 ชิ้น ที่แสดงให้เห็นว่าการดื่มกาแฟ ช่วยในการพัฒนาการทำงานของสมองได้จริง แต่รายงานชิ้นนี้ นับเป็นชิ้นแรกที่ศึกษาถึงประโยชน์ของกาแฟในการลดความเสี่ยงของโรคความจำเสื่อม และโรคอัลไซเมอร์โดยตรง อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ผู้นี้กล่าวว่า ยังคงไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่า ทำไมการดื่มกาแฟวันละ 3-5 แก้วจึงช่วยชะลอ หรือลดความเสี่ยงของการเกิดโรคดังกล่าวได้ แต่เชื่อกันว่าเป็นเพราะกาแฟมี สารต้านอนุมูลอิสระประกอบอยู่จำนวนมาก ซึ่งทราบกันดีว่าสารดังกล่าว ช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้
รายงานบางชิ้นระบุว่า กาแฟยังช่วยปกป้องระบบประสาท และ ป้องกันการเกิดโรคความจำเสื่อม นอกจากนี้ยังป้องกันโรคเบาหวานได้อีกด้วย ถ้าไม่ใส่น้ำตาลมากจนเกินไป อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ Kivipelto ยืนยันว่าต้องมีการศึกษาอย่างละเอียดต่อไปว่า ส่วนผสมใดในกาแฟที่สร้างประโยชน์ในด้านนี้ เมื่อ2วันที่แล้วเพิ่งจะมีรายงานจากมหาวิทยาลัย Durham ในอังกฤษ ที่แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องระหว่างการดื่มกาแฟมากๆ กับอาการประสาทหลอน ซึ่งศาสตราจารย์ Kivipelto กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า รายงานของเธอชี้ชัดว่าการดื่มกาแฟแต่พอเหมาะคือประมาณ 3-5 แก้วต่อวัน สามารถเกิดประโยชน์ในการชะลอโรคอัลไซเมอร์ได้จริง แต่หากดื่มมากเกินไป ก็อาจเป็นโทษ อย่างเช่นอาการประสาทหลอนได้เรียกว่ามากเกินไปก็ไม่ดี
การดื่มกาแฟเป็นประจำลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน
การดื่มกาแฟนอกจากจะช่วยให้คนดื่มรู้สึกกระชุ่มกระชวยแล้ว ผลการศึกษาล่าสุดยังระบุว่า การดื่มกาแฟเป็นประจำสามารถลดความเสี่ยง การเป็นโรคเบาหวานในผู้ใหญ่ได้ จากการศึกษาระยะยาวกับชาวฟินแลนด์ 16,000 คน พบว่า การดื่มกาแฟ 2-3 ถ้วยต่อวันช่วยลดความเสี่ยง ในการเป็นเบาหวานแบบที่ 2 หรือ เบาหวานในผู้ใหญ่ได้ ขณะที่ผู้ที่ดื่มมากกว่า 2-3 แก้วต่อวันก็จะมีโอกาสเสี่ยง ต่อการเป็นโรคเบาหวานลดลงตามไปด้วย
ชาวฟินแลนด์นั้นเป็นชนชาติที่ดื่มกาแฟมากที่สุดในโลก เมื่อเทียบปริมาณการบริโภคกาแฟต่อจำนวนประชากรต่อหัว และจากการข้อมูลของสถาบันทรัพยากรโลก ก็ระบุว่าในปี 2000 ชาวฟินแลนด์ดื่มกาแฟโดยเฉลี่ย 11.3 กิโลกรัมต่อคน การศึกษาชิ้นนี้ตีพิมพ์ในวารสารของสมาคมแพทย์อเมริกัน ซึ่งชี้ว่า การที่ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟ 3-4 ถ้วยต่อวันจะช่วย ลดความเสี่ยง ในการเป็นเบาหวานได้ 29 เปอร์เซ็นต์ และ ความเสี่ยงจะลดลงถึง 79 เปอร์เซ็นต์ ถ้าดื่ม 10 ถ้วยต่อวันหรือมากกว่า สำหรับผู้ชาย การดื่มกาแฟ 3-4 ถ้วยจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นเบาหวานได้ 27 เปอร์เซ็นต์ และหากดื่ม 10 ถ้วยต่อวัน หรือ มากกว่า ความเสี่ยงจะลดลงราว 55 เปอร์เซ็นต์ การค้นพบนี้ไม่ได้ระบุความสัมพันธ์ที่ชัดเจน ระหว่างการดื่มกาแฟกับการเป็น โรคเบาหวานแบบที่ 2 ทีมนักวิจัยจากสถาบันสาธารณสุขแห่งชาติ ในกรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ระบุ ถึงแม้จะไม่มีอะไรบอกชัดเจน ว่าทำไมการดื่มกาแฟจึงช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบา หวานได้ แต่ทีมนักวิจัยก็เดาว่าอาจเป็นไปได้ที่สารประกอบในกาแฟไปขัดขวางการลำเลียง กลูโคส นอกจากนี้ ทีมนักวิจัยยังระบุด้วยว่า กาแฟช่วยให้การขับสารประกอบโมเลกุลต่ำที่ให้กรดอะมิโนในกระเพาะอาหารและลำ ไส้ดีขึ้น ซึ่งสารประกอบชนิดนี้ทราบกันดีว่าช่วยลดกลูโคสได้ และในกาแฟยังมีแมกนีเซียม ที่เชื่อกันว่าส่งผลด้านบวกต่อการต้านทานกลูโคส โรคเบาหวานแบบที่ 2 เป็นโรคเบาหวาน ที่เป็นในผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป และพบว่าการเป็นโรคเบาหวานชนิดนี้ เชื่อมโยงกับความอ้วน และ โภชนาการ รายงานผลการศึกษาวิจัย เรื่องใหม่ในแคนาดาระบุว่า การดื่มกาแฟอาจทำให้ผู้ชายล่อแหลมกับการเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมากขึ้น และยิ่งดื่มมากเท่าใด โอกาสเสี่ยงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น การศึกษาทำโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของแคนาดา รายงานว่า คอกาแฟชายที่ดื่มจัดถึงวันละ 4 ถ้วย จะล่อแหลมกับการเป็นมะเร็งชนิดนี้ มากกว่าเพื่อนที่ไม่ได้ดื่มกาแฟถึง 2 เท่า
รายงานการศึกษาซึ่งเสนออยู่ในวารสารการแพทย์ "โรคเรื้อรัง" ของแคนาดาเปิดเผยว่า โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เป็นโรคมะเร็งที่ผู้ชายแคนาดา เป็นกันมากโรคหนึ่ง อย่างเช่นเป็นที่คาดว่าจะมีผู้ป่วยในปีนี้ ประมาณ 3,700 ราย แอนน์ แมรี่ อักนาต นักวิจัยคนหนึ่ง กล่าวว่า "การศึกษาส่อว่าโรคมะเร็งชนิดนี้อาจมีความเกี่ยวเนื่องกับกาแฟ แต่ก็ยังไม่แน่นอนนัก"
ที่มา
http://www.voanews.com/thai/2009-01-17-voa2.cfm
สำนักข่าวเอเอฟพี
http://ogcoffee.gagto.com/?cid=415781
ข่าวดีสำหรับคนชอบดื่มกาแฟ
Increased coffee consumption may reduce risk of type 2 diabetes
http://www.medicalnewstoday.com/articles/275979.php
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน” รพี พัฒนศักดิ์
"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน” รพี พัฒนศักดิ์
"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 2350
- ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
- Tel: 0832150005
- team: เพชรบูรณ์
- Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
- ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
- ติดต่อ:
Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ
กินอย่างไรเมื่อต้องอดนอน
ทุกคนคงทราบกันดีว่า การอดนอน หรือการนอนหลับไม่เพียงพอนั้น ถือเป็นพฤติกรรมหนึ่งที่มีผลลบต่อสุขภาพ
แต่หากมีความจำเป็นต้องอดนอนก็ควรทราบวิธีดูแลตัวเองเพื่อช่วยชดเชยพลังงานที่สูญเสียไป
ให้ร่างกายได้กระปรี้กระเปร่าสดชื่นกับการเริ่มต้นทำงานในเช้าวันใหม่
จากการวิจัยล่าสุดพบว่า การนอนที่ดีควรใช้เวลาในการนอนหลับอย่างน้อย 8 ชั่วโมง แพทย์หญิงลลิตา ธีระสิริ แพทย์ธรรมชาติบำบัดศูนย์ธรรมชาติบำบัด บัลวี ให้ความรู้ว่า สมองเราทำงานเหมือนคอมพิวเตอร์ ถ้าเรานอนหลับสมองจะลบ เรื่องราวต่าง ๆ ในหัวทิ้ง เช่น ฝันถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ไร้สาระ พิสดารเกินจริง และถ้าเราเครียดมาก ๆ จะฝันประมาณว่ากำลังวิ่งหนีหรือเหนื่อยหอบ
ดังนั้นเราจึงควรนอนหลับ พักผ่อนสมองเพื่อลบเรื่องราวต่าง ๆ ที่รกสมองทิ้งไป
โดยธรรมชาติแล้วฮอร์โมนในร่างกายถูกจัดระบบให้นอนหลับในเวลากลางคืนและตื่นในเวลากลางวัน
เพราะในเวลากลางวันเมื่อมีแสงสว่าง ต่อมไพเนียล หรือต่อมเหนือสมองจะหลั่งฮอร์โมนซีโรโตนินออกมาเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายดำเนินกิจกรรมช่วงกลางวัน ส่วนในเวลากลางคืนซีโรโตนินจะลดระดับลงเพื่อให้ร่างกายพักผ่อน รวมทั้งต่อมไพเนียลจะหลั่งฮอร์โมน "เมลาโตนิน" ออกมาเพื่อให้ร่างกายง่วงนอนจนกระทั่งใกล้เช้าก็จะลดลงทำให้เราตื่นมาพอดี หากว่าเราอดนอนถือว่าเป็นการฝืนธรรมชาติอาจทำให้ร่างกายเสียสมดุลและทำให้เจ็บป่วยได้
อาการเจ็บป่วยจากการอดนอนที่ทำให้ภูมิต้านทานต่ำลง ได้แก่ เหนื่อย อ่อนเพลีย ปวดศีรษะและเวียนศีรษะ
ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ เกิดอาการท้องผูก ความดันสูง-ต่ำ ซึมเศร้า ท้อแท้ และหากอดนอนสะสมมาก ๆ อาจทำให้ระบบประสาททำงานผิดปกติจนเกิดอาการประสาทหลอนได้
ดังนั้นถ้าเราจำเป็นต้องอดนอน และในคืนนั้นรู้สึกหิว หากเกินเวลาเที่ยงคืนไปแล้วไม่แนะนำให้ดื่มกาแฟ เพราะจะกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัวนอนไม่หลับ วิงเวียนศีรษะ หรือดื่มนมวัว เพราะมีไขมันสูงย่อยยากใช้เวลาในการย่อย 3-4 ชั่วโมง จะเป็นการรบกวนกระเพาะอาหาร ทางที่ดีควรรับประทานอาหารที่อุ่น ๆ ย่อยง่าย ๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก น้ำข้าว หรือจะเป็นอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ทำให้หลับง่ายกว่า เช่น ข้าวเหนียวเปียกร้อน ๆ หรือกล้วยนำไปอุ่นให้ร้อน ๆ
ขณะเดียวกัน หากเราตื่นเช้ามาหลังจากการนอนดึกแล้วรู้สึกเพลีย ไม่สดชื่นให้ใช้วิธีอาบน้ำหรือแช่น้ำอุ่นจัด ๆ ประมาณ 3 นาที
และอาบน้ำเย็น ๆ อีก 2 นาทีสลับไปมา 3 รอบ จะทำให้ร่างกาย กระฉับกระเฉงขึ้นมากกว่าการดื่มกาแฟ 1 แก้วเสียอีก นอกจากนี้ ควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและบี เพราะการอดนอนจะทำให้ระดับฮอร์โมนจากต่อมไพเนียลปั่นป่วนทำให้เกิดความเครียดได้ จึงต้องรับประทานวิตามินคลายเครียด อาหารกลุ่มดังกล่าวก็ได้แก่ ข้าวกล้อง ผัก ผลไม้ โดยเฉพาะน้ำส้มคั้นสด ๆ
แต่ถ้าจะให้ดีควรรับประทานองุ่นแดงทั้งเปลือกและเมล็ด เพราะมีโอพีซี ซึ่งมีประสิทธิภาพดีกว่าวิตามินซี 20 เท่าและวิตามินอี 50 เท่า
หากรู้จักวิธีดูแลสุขภาพตัวเองในยามที่ต้องอดนอนแล้วอย่าลืมนำไปปฏิบัติเพื่อเป็นการชดเชยสุขภาพที่เสียไป แต่ถ้าไม่จำเป็น
จริง ๆ ก็อย่าอดนอนกันดีกว่าเพราะเป็นการทำลายสุขภาพให้เสื่อมโทรมลงไม่เป็นผลดี กับเราแน่ ๆ ที่สำคัญสุขภาพร่างกายไม่ได้หาอะไหล่เปลี่ยนง่าย ๆ เหมือนเครื่องยนต์
http://www.baanmaha.com/community/thread26974.htm
ทุกคนคงทราบกันดีว่า การอดนอน หรือการนอนหลับไม่เพียงพอนั้น ถือเป็นพฤติกรรมหนึ่งที่มีผลลบต่อสุขภาพ
แต่หากมีความจำเป็นต้องอดนอนก็ควรทราบวิธีดูแลตัวเองเพื่อช่วยชดเชยพลังงานที่สูญเสียไป
ให้ร่างกายได้กระปรี้กระเปร่าสดชื่นกับการเริ่มต้นทำงานในเช้าวันใหม่
จากการวิจัยล่าสุดพบว่า การนอนที่ดีควรใช้เวลาในการนอนหลับอย่างน้อย 8 ชั่วโมง แพทย์หญิงลลิตา ธีระสิริ แพทย์ธรรมชาติบำบัดศูนย์ธรรมชาติบำบัด บัลวี ให้ความรู้ว่า สมองเราทำงานเหมือนคอมพิวเตอร์ ถ้าเรานอนหลับสมองจะลบ เรื่องราวต่าง ๆ ในหัวทิ้ง เช่น ฝันถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ไร้สาระ พิสดารเกินจริง และถ้าเราเครียดมาก ๆ จะฝันประมาณว่ากำลังวิ่งหนีหรือเหนื่อยหอบ
ดังนั้นเราจึงควรนอนหลับ พักผ่อนสมองเพื่อลบเรื่องราวต่าง ๆ ที่รกสมองทิ้งไป
โดยธรรมชาติแล้วฮอร์โมนในร่างกายถูกจัดระบบให้นอนหลับในเวลากลางคืนและตื่นในเวลากลางวัน
เพราะในเวลากลางวันเมื่อมีแสงสว่าง ต่อมไพเนียล หรือต่อมเหนือสมองจะหลั่งฮอร์โมนซีโรโตนินออกมาเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายดำเนินกิจกรรมช่วงกลางวัน ส่วนในเวลากลางคืนซีโรโตนินจะลดระดับลงเพื่อให้ร่างกายพักผ่อน รวมทั้งต่อมไพเนียลจะหลั่งฮอร์โมน "เมลาโตนิน" ออกมาเพื่อให้ร่างกายง่วงนอนจนกระทั่งใกล้เช้าก็จะลดลงทำให้เราตื่นมาพอดี หากว่าเราอดนอนถือว่าเป็นการฝืนธรรมชาติอาจทำให้ร่างกายเสียสมดุลและทำให้เจ็บป่วยได้
อาการเจ็บป่วยจากการอดนอนที่ทำให้ภูมิต้านทานต่ำลง ได้แก่ เหนื่อย อ่อนเพลีย ปวดศีรษะและเวียนศีรษะ
ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ เกิดอาการท้องผูก ความดันสูง-ต่ำ ซึมเศร้า ท้อแท้ และหากอดนอนสะสมมาก ๆ อาจทำให้ระบบประสาททำงานผิดปกติจนเกิดอาการประสาทหลอนได้
ดังนั้นถ้าเราจำเป็นต้องอดนอน และในคืนนั้นรู้สึกหิว หากเกินเวลาเที่ยงคืนไปแล้วไม่แนะนำให้ดื่มกาแฟ เพราะจะกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัวนอนไม่หลับ วิงเวียนศีรษะ หรือดื่มนมวัว เพราะมีไขมันสูงย่อยยากใช้เวลาในการย่อย 3-4 ชั่วโมง จะเป็นการรบกวนกระเพาะอาหาร ทางที่ดีควรรับประทานอาหารที่อุ่น ๆ ย่อยง่าย ๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก น้ำข้าว หรือจะเป็นอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ทำให้หลับง่ายกว่า เช่น ข้าวเหนียวเปียกร้อน ๆ หรือกล้วยนำไปอุ่นให้ร้อน ๆ
ขณะเดียวกัน หากเราตื่นเช้ามาหลังจากการนอนดึกแล้วรู้สึกเพลีย ไม่สดชื่นให้ใช้วิธีอาบน้ำหรือแช่น้ำอุ่นจัด ๆ ประมาณ 3 นาที
และอาบน้ำเย็น ๆ อีก 2 นาทีสลับไปมา 3 รอบ จะทำให้ร่างกาย กระฉับกระเฉงขึ้นมากกว่าการดื่มกาแฟ 1 แก้วเสียอีก นอกจากนี้ ควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและบี เพราะการอดนอนจะทำให้ระดับฮอร์โมนจากต่อมไพเนียลปั่นป่วนทำให้เกิดความเครียดได้ จึงต้องรับประทานวิตามินคลายเครียด อาหารกลุ่มดังกล่าวก็ได้แก่ ข้าวกล้อง ผัก ผลไม้ โดยเฉพาะน้ำส้มคั้นสด ๆ
แต่ถ้าจะให้ดีควรรับประทานองุ่นแดงทั้งเปลือกและเมล็ด เพราะมีโอพีซี ซึ่งมีประสิทธิภาพดีกว่าวิตามินซี 20 เท่าและวิตามินอี 50 เท่า
หากรู้จักวิธีดูแลสุขภาพตัวเองในยามที่ต้องอดนอนแล้วอย่าลืมนำไปปฏิบัติเพื่อเป็นการชดเชยสุขภาพที่เสียไป แต่ถ้าไม่จำเป็น
จริง ๆ ก็อย่าอดนอนกันดีกว่าเพราะเป็นการทำลายสุขภาพให้เสื่อมโทรมลงไม่เป็นผลดี กับเราแน่ ๆ ที่สำคัญสุขภาพร่างกายไม่ได้หาอะไหล่เปลี่ยนง่าย ๆ เหมือนเครื่องยนต์
http://www.baanmaha.com/community/thread26974.htm
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน” รพี พัฒนศักดิ์
"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน” รพี พัฒนศักดิ์
"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
- V3 ป่าเลา
- ขาประจำ
- โพสต์: 8926
- ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ส.ค. 2008, 22:34
- Tel: 0819538554
- team: PHETCHABUN TEAM
- Bike: Cannondale Taurine SL 09 Super six hi-mod 09 Fash factory team
- ตำแหน่ง: 44/2 หมู่ 8 ต.สะเดียง อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ 67000
Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ
ขอบคุณครับหมอ
ชนะอื่นใดไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับชนะใจตนเอง
แม้จะมีเพียงแค่ภาพเดียวแต่สามารถแทนคำพูดได้มากกว่าพันคำ
แม้จะมีเพียงแค่ภาพเดียวแต่สามารถแทนคำพูดได้มากกว่าพันคำ
- วิทยาธรณ์
- ขาประจำ
- โพสต์: 1394
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2008, 20:47
- Tel: 0899601801
- team: เพชรบูรณ์
- Bike: terk
Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ
หมอครับ ผมอยากได้ข้อมูลล้างพิษตับได้ผลจริงหรือ
"พกกายพกใจไปกับจักรยาน ไกล้ไกลก็ปั่นได้ทุกเส้นทาง"
หนุ่มใหญ่วัยฉะกันแห่ง "บ้านนิรนาม"
หนุ่มใหญ่วัยฉะกันแห่ง "บ้านนิรนาม"
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 2350
- ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
- Tel: 0832150005
- team: เพชรบูรณ์
- Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
- ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
- ติดต่อ:
Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ
จัดให้ ครับวิทยาธรณ์ เขียน:หมอครับ ผมอยากได้ข้อมูลล้างพิษตับได้ผลจริงหรือ
ศิริราช360º : รู้ไว้ไม่ปวดตับ ตีแผ่กระบวนการล้างพิษตับ
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน” รพี พัฒนศักดิ์
"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน” รพี พัฒนศักดิ์
"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
- วิทยาธรณ์
- ขาประจำ
- โพสต์: 1394
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2008, 20:47
- Tel: 0899601801
- team: เพชรบูรณ์
- Bike: terk
Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ
ขอบคุณมากครับหมอ ตาสว่างแล้วครับหลงตาบอดไปสามวัน ได้อดข้าวอดเหล้าแบบโดนบังคับ น้ำหนักหายไป 4 กิโลปั่นจักรยานเมื่อเช้าสงสัยว่าทำมัยพุ่งดีจัง โหก็มันเบาตั้ง 4 โล เมื่อก่อน 74ลดเหลือ 70 ภายในสามวัน ใครอยากลดน้ำหนักแบบผม หลังไมล์ครับ
"พกกายพกใจไปกับจักรยาน ไกล้ไกลก็ปั่นได้ทุกเส้นทาง"
หนุ่มใหญ่วัยฉะกันแห่ง "บ้านนิรนาม"
หนุ่มใหญ่วัยฉะกันแห่ง "บ้านนิรนาม"
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 2350
- ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
- Tel: 0832150005
- team: เพชรบูรณ์
- Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
- ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
- ติดต่อ:
Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ
วิทยาธรณ์ เขียน:ขอบคุณมากครับหมอ ตาสว่างแล้วครับหลงตาบอดไปสามวัน ได้อดข้าวอดเหล้าแบบโดนบังคับ น้ำหนักหายไป 4 กิโลปั่นจักรยานเมื่อเช้าสงสัยว่าทำมัยพุ่งดีจัง โหก็มันเบาตั้ง 4 โล เมื่อก่อน 74ลดเหลือ 70 ภายในสามวัน ใครอยากลดน้ำหนักแบบผม หลังไมล์ครับ
ไม่กินข้าว กินแต่ ผลไม้ 5555555
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน” รพี พัฒนศักดิ์
"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน” รพี พัฒนศักดิ์
"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี