????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

บอร์ดสำหรับ นักปั่นทัวร์ริ่ง นักปั่นระยะทางไกล พูดคุยเรื่องอุปกรณ์ เทคนิตการปั่น ที่พัก หรือการกินอยู่
กฏการใช้บอร์ด
บอร์ดสำหรับ นักปั่นทัวร์ริ่ง นักปั่นระยะทางไกล พูดคุยเรื่องอุปกรณ์ เทคนิตการปั่น ที่พัก หรือการกินอยู่
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4369
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »


:) :D เพลง เก่าไปใหม่มา - สุนทราภรณ์ :) :D

:) :D สวัสดีครับท่านผู้มีเกียรติที่เคารพรักทุกท่าน ผมและคุณนายเดินทางไปรับขวัญหลานน้อยที่เพิ่งคลอดได้เดือนกว่า ที่กทม.ตั้งแต่ ๒๙ ธ.ค.๖๖ กลับถึงบ้าน (ปากกอง สารภี) เมื่อวานนี้ (๓ ม.ค.๖๗) คงยังไม่สายนะครับที่จะขอถือโอกาสนี้อวยพรปีใหม่ แด่ทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมและติดตามกระทู้นี้ว่า "สิ่งเลวร้ายต่าง ๆ นานา ขอให้ตกไปกับปีเก่า ๒๕๖๖ ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ๒๕๖๗ จงพบแต่สิ่งดี ๆ มีคุณค่า ปรารถนาสิ่งใดที่ไม่ขัดต่อหลักศีลธรรมอันดี ขอให้อย่าพลาด ความเจ็บอย่าได้ใกล้ ความไข้อย่าได้มี ความร่ำรวยและความสุขสวัสดีจงมีโดยพลัน โชคดีมีความสุขทุกท่านครับ"

มีเรื่องที่ตั้งใจไว้ว่าทุกปีจะนำมาทบทวนให้คนไทยทุกคนได้ตระหนักว่า คนต่างชาติที่เข้ามาอยู่เมืองไทย เขาเข้าใจนิสัยไทยแท้ ๆ เป็นอย่างดี แม้พวกเรากันเองก็เข้าใจเหมือนเขา แต่พวกเราไม่สามารถที่ผ่านสิ่งเหล่านี้ไปได้ เคยคุยกับผู้รู้หลากหลายท่าน ท่านบอกว่า "มันเป็นนิสัยถาวรของชาติเรา" ติดตามกันนะครับ


:idea: :idea: บันทึกของฟรังซัว อังรี ตุรแปง

ตุรแปง ชาวฝรั่งเศส เขียนจากข้อมูลที่ได้จาก บาทหลวงบรีโกต์ ซึ่งเคยอยู่ในกรุงศรีอยุธยาหลายปีจนกระทั่งกรุงแตก พิมพ์ที่กรุงปารีสใน พ.ศ. 2314 (ค.ศ. 1771)

นิสัยใจคอของชาวสยาม

– ภาคภูมิใจในชาติ รักขนบธรรมเนียมอย่างเหนียวแน่น อ่อนโยนสุภาพ มีเมตตา ซ่อนความรู้สึก ไม่ชอบพูดมาก มัธยัสถ์ ไม่ชอบหรูหราฟุ่มเฟือย ไม่เห็นแก่ตัว มีความรู้จักพอ

จุดอ่อนของชาวสยาม

– เฉื่อยชา เกียจคร้าน ย่อท้อ ไม่ชอบทำอะไรที่ลำบากยากเย็น ไม่ยินดียินร้าย ไม่ชอบเหน็ดเหนื่อยและยากลำบาก มักจะเหลาะแหละ ไม่ยอมรับหลักการและผลที่เกิดจากหลักการ จิตใจไม่ค่อยได้รับการฝึกฝน จึงไม่เคยแยกว่าอะไรดีและอะไรไม่ดี ที่สุดแล้ว ประพฤติโดยไม่นึกจะคิดไตร่ตรอง หาเหตุผล

- มักเป็นนายที่แข็งกระด้าง ไม่ค่อยรู้วิธีบังคับบัญชาคน มีความเจ็บแค้นสูงเมื่ออับอาย บ้าคลั่งอย่างไม่รู้จักชั่งใจเมื่อโมโห บางครั้งโหดเหี้ยมทำร้ายกันถึงตาย

- มักย่อมอ่อนน้อมต่อผู้อยู่เหนือกว่า แต่จะหยิ่งดูหมิ่นคนที่ต่ำกว่าและคนที่แสดงยกย่องเขา บางคนช่างพูดอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม อ้างเหตุผลผิดๆ มาตบตาคน

- เชื่อถือไสยศาสตร์ โชคลาง หมอดู เข้าทรงและคาถาอาคม

- ชาวสยามชอบการพนันอย่างยิ่ง ผู้แพ้การพนันยอมขายได้แม้กระทั่งลูกเมียของตน

- การศึกษาของสยามขาดวิชา รู้จักคิดหาเหตุผล คนสยามพยายามจะไม่คิดเพราะความคิดทำให้เหน็ดเหนื่อย

- ไม่มีประเทศใดในโลกที่คนทุจริตจะมีวิธีพลิกแพลงมากเท่ากับในประเทศสยาม มีคนชำนาญการในการทำให้คดียุ่ง สามารถทำให้เรื่องร้ายที่สุด กลับไปในทางดีได้และเขาจะเรียกร้องค่าตอบแทนอย่างสูงทีเดียว

*ผมเก็บบันทึกฉบับนี้ไว้หลายปีแล้ว ไว้คอยเตือนใจตนเองและชาวไทยซึ่งเป็นเชื้อสายเดียวกับชาวสยามว่าจุดแข็งและจุดอ่อนของเราในสายตาของชาวต่างชาตินั้นคืออะไรและจริงหรือไม่ ขณะนี้เกิดกรณีผู้ทำผิดกฏหมาย แต่กลับรอดพ้นทุกคดี กลายเป็นผู้บริสุทธิ์ได้อย่างเป็นที่กังขาของสาธารณชน เป็นไปตามข้อสุดท้ายในบันทึกนี้ เราจะทำใจให้ลืมกันไปเพราะนี่คือ นิสัยประจำเผ่าพันธุ์ชาวสยามหรือครับ

ปองพล อดิเรกสาร
:idea: :idea:
ไฟล์แนบ
586072_0.jpg
586072_0.jpg (48.76 KiB) เข้าดูแล้ว 2871 ครั้ง
586074_0.jpg
586074_0.jpg (85.68 KiB) เข้าดูแล้ว 2871 ครั้ง
586075_0.jpg
586075_0.jpg (104.3 KiB) เข้าดูแล้ว 2871 ครั้ง
คุณปู่ - คุณย่า,คุณตา-คุณยาย,คุณยายทวด และครอบครัวตุณตา-คุณยาย ที่ กทม.ลาดปลาเคล้า ๔๗ "ขอให้หลานรักเจริญเติบโตไว ๆ เป็นขวัญใจของตากับยายตลอดไปนะจ๊ะ"
คุณปู่ - คุณย่า,คุณตา-คุณยาย,คุณยายทวด และครอบครัวตุณตา-คุณยาย ที่ กทม.ลาดปลาเคล้า ๔๗ "ขอให้หลานรักเจริญเติบโตไว ๆ เป็นขวัญใจของตากับยายตลอดไปนะจ๊ะ"
449025_0.jpg (105.29 KiB) เข้าดูแล้ว 2871 ครั้ง
สารภี ๒๒๙.๔.jpg
สารภี ๒๒๙.๔.jpg (141.01 KiB) เข้าดูแล้ว 2871 ครั้ง
สารภี ๒๒๙.๕.jpg
สารภี ๒๒๙.๖.jpg
สารภี ๒๒๙.๖.jpg (162.13 KiB) เข้าดูแล้ว 2871 ครั้ง
เมื่อมีโอกาสไปเยี่ยมหลาน ปู่-ย่า ก็ถือโอกาสเที่ยวใน กทม.บ้างเช่นไปวัดอรุณฯ และอีกหลายวัด ช่วงนี้ถือเป็นปีทองของไทย มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาเที่ยวมากมาย วัดทุกวัดแน่นขนัด สถานที่เที่ยวต่าง ๆ แน่นเอียด ปีนี้ได้ไปชมสถานธรรมของชาวฮินดู ไปชม-ฟังคนฮินดูปฏิบัติธรรม มีคนไทยสายมูพากันไปที่แห่งนี้เยอะมาก ๆ (ไม่แปลกใจ ๕๕๕)
เมื่อมีโอกาสไปเยี่ยมหลาน ปู่-ย่า ก็ถือโอกาสเที่ยวใน กทม.บ้างเช่นไปวัดอรุณฯ และอีกหลายวัด ช่วงนี้ถือเป็นปีทองของไทย มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาเที่ยวมากมาย วัดทุกวัดแน่นขนัด สถานที่เที่ยวต่าง ๆ แน่นเอียด ปีนี้ได้ไปชมสถานธรรมของชาวฮินดู ไปชม-ฟังคนฮินดูปฏิบัติธรรม มีคนไทยสายมูพากันไปที่แห่งนี้เยอะมาก ๆ (ไม่แปลกใจ ๕๕๕)
สารภี ๒๒๙.๗.jpg (179.67 KiB) เข้าดูแล้ว 2871 ครั้ง
ไปเที่ยวถนนวัฒนธรรมย่านสารภีกันต่อครับ เราออกจาก วัดเวฬุวัน ก็ถือโอกาสแวะที่ อบต.ยางเนิ้งเพื่อขอรายละเอียดสำคัญ ๆ กลับมารายงาน ปรากฏว่า จนท.บอกให้ไปค้นหาเอาในเวปป์ มีอยู่ที่นั่นครบ ??? ก็แปลกใจไม่เหมือนหลาย ๆ ที่ ที่เขาจะมีเอกสารแจกจ่ายสำหรับผู้สนใจ ก็ได้แต่ "ขอบคุณ" ไว้เจอนายกจะบอกให้รีบจัดทำ มันคือหน้าตาของหน่วยอีกรูปแบบหนึ่ง..นะจะบอกให้ อิอิ.
ไปเที่ยวถนนวัฒนธรรมย่านสารภีกันต่อครับ เราออกจาก วัดเวฬุวัน ก็ถือโอกาสแวะที่ อบต.ยางเนิ้งเพื่อขอรายละเอียดสำคัญ ๆ กลับมารายงาน ปรากฏว่า จนท.บอกให้ไปค้นหาเอาในเวปป์ มีอยู่ที่นั่นครบ ??? ก็แปลกใจไม่เหมือนหลาย ๆ ที่ ที่เขาจะมีเอกสารแจกจ่ายสำหรับผู้สนใจ ก็ได้แต่ "ขอบคุณ" ไว้เจอนายกจะบอกให้รีบจัดทำ มันคือหน้าตาของหน่วยอีกรูปแบบหนึ่ง..นะจะบอกให้ อิอิ.
สารภี ๒๒๙.jpg (140.54 KiB) เข้าดูแล้ว 2871 ครั้ง
สารภี ๒๓๐.jpg
สารภี ๒๓๐.jpg (99.98 KiB) เข้าดูแล้ว 2871 ครั้ง
ประวัติความเป็นมา<br /><br />เทศบาลตำบลยางเนิ้ง  ตั้งอยู่ในเขตท้องถิ่นอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการจัดตั้งเป็นสุขาภิบาล มีฐานะเป็นนิติบุคคล ตามประกาศการะทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2499 และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2500 โดยกำหนดให้เขตสุขาภิบาลตำบลยางเนิ้งครอบคลุมพื้นที่ตำบลยางเนิ้งทั้งตำบล มีจำนวนพื้นที่โดยประมาณ 10.04 ตารางกิโลเมตร ต่อมากระทรวงมหาดไทยได้ประกาศให้เป็นสุขาภิบาล เนื่องจากมีฐานะการคลังเพียงพอที่จะบริหารงานประจำของสุขาภิบาลได้และประกาศใช้ราชกิจจานุเบกษา ฉบับประกาศทั่วไป เล่ม 112 ตอนพิเศษ 31 เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2538 เป็นผลให้ได้ประธานกรรมการสุขาภิบาลมาจากการเลือกตั้ง ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา และตามพระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงฐานะสุขาภิบาลเป็นเทศบาล สุขาภิบาลยางเนิ้งจึงได้เปลี่ยนแปลงฐานะจากสุขาภิบาลยางเนิ้งเป็นเทศบาลตำบลยางเนิ้ง ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ.2542<br /><br /><br />ปฐมเหตุชื่อ “อำเภอยางเนิ้ง” และการเปลี่ยนผ่านสู่ “อำเภอสารภี”<br /><br />อำเภอสารภีเป็นอำเภอหนึ่งที่อยู่ในเขตการปกครองของจังหวัดเชียงใหม่  เดิมชื่อ “อำเภอยางเนิ้ง” จัดตั้งเป็นอำเภอเมื่อ ร.ศ.109 ตรงกับ พ.ศ.2534 ที่ตำบลยางเนิ้ง เหตุที่อำเภอนี้มีชื่อว่ายางเนิ้ง เพราะตัวอำเภอตั้งอยู่ที่ตำบลยางเนิ้ง<br /><br />คำว่า “ยาง” หมายถึงต้นยาง ส่วนคำว่า “เนิ้ง” เป็นภาษาพื้นเมือง แปลว่า “โน้มเอน” ทั้งนี้เพราะเดิมเป็นป่ายาง ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2470 ท้าวพญาขุนและประชาชนส่วนมากได้เสนอแนะต่อนายอำเภอว่า ชื่ออำเภอยางเนิ้งไม่ไพเราะ ควรเปลี่ยนชื่ออำเภอเสียใหม่ เป็น “อำเภอสารภี” ซึ่งเป็นชื่อตำบลหนึ่งในอำเภอสารภีนี้<br /><br />แม้ว่าจะเปลี่ยนชื่อจากอำเภอยางเนิ้งมาเป็นอำเภอสารภีแล้วก็ตาม  แต่ที่ตั้งที่ว่าการอำเภอสารภีก็ยังคงตั้งอยู่ที่ตำบลยางเนิ้งเช่นเดิม<br /><br /><br />เทศบาลตำบลยางเนิ้ง  มีสำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 19/1 หมู่ที่ 1  ตำบลยางเนิ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ บริเวณที่ตั้งพื้นที่ 1 ไร่ เป็นที่ราบลุ่ม อยู่ห่างจากจังหวัดเชียงใหม่ ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 106 (เชียงใหม่ – ลำพูน) เป็นระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร  มีพื้นที่ทั้งสิ้น 10.04 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 4,050 ไร่  ซึ่งประกอบด้วย 13 หมู่บ้านดังนี้<br /><br />หมู่1 บ้านกู่เสือ<br /><br />หมู่2 บ้านเวฬุวัน<br /><br />หมู่3 บ้านยางเนิ้ง<br /><br />หมู่4 บ้านพระนอนป่าเก็ดถี่<br /><br />หมู่5 บ้านศรีโพธาราม<br /><br />หมู่ 6 บ้านต้นเหียว<br /><br />หมู่7 บ้านป่าแดด<br /><br />หมู่1,2,4,8 ต.สารภี (บางส่วน)<br /><br />หมู่5,7 ต.หนองผึ้ง (บางส่วน)<br /><br /><br />        ทิศเหนือ ติดต่อกับตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี<br /><br />        ทิศใต้ ติดต่อกับตำบลสารภี อำเภอสารภี<br /><br />        ทิศตะวันออก ติดต่อกับตำบลชมภู อำเภอสารภี<br /><br />        ทิศตะวันตก ติดต่อกับตำบลหนองแฝก อำเภอสารภี<br /><br />โดยมีต้นยางนาสองข้างทางซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของเทศบาลตำบลยางเนิ้ง  <br /><br />โดยมีคำขวัญของตำบลยางเนิ้งที่ว่า “เจ้าพ่อแสนหลวงศักดิ์สิทธิ์ พระนอนวิจิตรเลื่อมใส  พัฒนาร่วมมือร่วมใจ  ยางใหญ่ยางนา  ยางเนิ้ง”<br /><br />ประชากร<br /><br />ตำบลยางเนิ้ง  มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 10,259 คน   แยกเป็น ชาย 4,671 คน หญิง 5,588 คน จำนวนครัวเรือน  ทั้งสิ้น 5,271 ครัวเรือน<br /><br />วิสัยทัศน์เทศบาลตำบลยางเนิ้ง<br /><br />“ยางเนิ้งเมืองน่าอยู่  ภายใต้หลักบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี ”
ประวัติความเป็นมา

เทศบาลตำบลยางเนิ้ง ตั้งอยู่ในเขตท้องถิ่นอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการจัดตั้งเป็นสุขาภิบาล มีฐานะเป็นนิติบุคคล ตามประกาศการะทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2499 และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2500 โดยกำหนดให้เขตสุขาภิบาลตำบลยางเนิ้งครอบคลุมพื้นที่ตำบลยางเนิ้งทั้งตำบล มีจำนวนพื้นที่โดยประมาณ 10.04 ตารางกิโลเมตร ต่อมากระทรวงมหาดไทยได้ประกาศให้เป็นสุขาภิบาล เนื่องจากมีฐานะการคลังเพียงพอที่จะบริหารงานประจำของสุขาภิบาลได้และประกาศใช้ราชกิจจานุเบกษา ฉบับประกาศทั่วไป เล่ม 112 ตอนพิเศษ 31 เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2538 เป็นผลให้ได้ประธานกรรมการสุขาภิบาลมาจากการเลือกตั้ง ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา และตามพระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงฐานะสุขาภิบาลเป็นเทศบาล สุขาภิบาลยางเนิ้งจึงได้เปลี่ยนแปลงฐานะจากสุขาภิบาลยางเนิ้งเป็นเทศบาลตำบลยางเนิ้ง ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ.2542


ปฐมเหตุชื่อ “อำเภอยางเนิ้ง” และการเปลี่ยนผ่านสู่ “อำเภอสารภี”

อำเภอสารภีเป็นอำเภอหนึ่งที่อยู่ในเขตการปกครองของจังหวัดเชียงใหม่ เดิมชื่อ “อำเภอยางเนิ้ง” จัดตั้งเป็นอำเภอเมื่อ ร.ศ.109 ตรงกับ พ.ศ.2534 ที่ตำบลยางเนิ้ง เหตุที่อำเภอนี้มีชื่อว่ายางเนิ้ง เพราะตัวอำเภอตั้งอยู่ที่ตำบลยางเนิ้ง

คำว่า “ยาง” หมายถึงต้นยาง ส่วนคำว่า “เนิ้ง” เป็นภาษาพื้นเมือง แปลว่า “โน้มเอน” ทั้งนี้เพราะเดิมเป็นป่ายาง ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2470 ท้าวพญาขุนและประชาชนส่วนมากได้เสนอแนะต่อนายอำเภอว่า ชื่ออำเภอยางเนิ้งไม่ไพเราะ ควรเปลี่ยนชื่ออำเภอเสียใหม่ เป็น “อำเภอสารภี” ซึ่งเป็นชื่อตำบลหนึ่งในอำเภอสารภีนี้

แม้ว่าจะเปลี่ยนชื่อจากอำเภอยางเนิ้งมาเป็นอำเภอสารภีแล้วก็ตาม แต่ที่ตั้งที่ว่าการอำเภอสารภีก็ยังคงตั้งอยู่ที่ตำบลยางเนิ้งเช่นเดิม


เทศบาลตำบลยางเนิ้ง มีสำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 19/1 หมู่ที่ 1 ตำบลยางเนิ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ บริเวณที่ตั้งพื้นที่ 1 ไร่ เป็นที่ราบลุ่ม อยู่ห่างจากจังหวัดเชียงใหม่ ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 106 (เชียงใหม่ – ลำพูน) เป็นระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งสิ้น 10.04 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 4,050 ไร่ ซึ่งประกอบด้วย 13 หมู่บ้านดังนี้

หมู่1 บ้านกู่เสือ

หมู่2 บ้านเวฬุวัน

หมู่3 บ้านยางเนิ้ง

หมู่4 บ้านพระนอนป่าเก็ดถี่

หมู่5 บ้านศรีโพธาราม

หมู่ 6 บ้านต้นเหียว

หมู่7 บ้านป่าแดด

หมู่1,2,4,8 ต.สารภี (บางส่วน)

หมู่5,7 ต.หนองผึ้ง (บางส่วน)


ทิศเหนือ ติดต่อกับตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี

ทิศใต้ ติดต่อกับตำบลสารภี อำเภอสารภี

ทิศตะวันออก ติดต่อกับตำบลชมภู อำเภอสารภี

ทิศตะวันตก ติดต่อกับตำบลหนองแฝก อำเภอสารภี

โดยมีต้นยางนาสองข้างทางซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของเทศบาลตำบลยางเนิ้ง

โดยมีคำขวัญของตำบลยางเนิ้งที่ว่า “เจ้าพ่อแสนหลวงศักดิ์สิทธิ์ พระนอนวิจิตรเลื่อมใส พัฒนาร่วมมือร่วมใจ ยางใหญ่ยางนา ยางเนิ้ง”

ประชากร

ตำบลยางเนิ้ง มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 10,259 คน แยกเป็น ชาย 4,671 คน หญิง 5,588 คน จำนวนครัวเรือน ทั้งสิ้น 5,271 ครัวเรือน

วิสัยทัศน์เทศบาลตำบลยางเนิ้ง

“ยางเนิ้งเมืองน่าอยู่ ภายใต้หลักบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี ”
สารภี ๒๓๑.jpg (135.77 KiB) เข้าดูแล้ว 2871 ครั้ง
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (108).JPG
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (108).JPG (143 KiB) เข้าดูแล้ว 2871 ครั้ง
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (109).JPG
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (110).JPG
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (110).JPG (129.07 KiB) เข้าดูแล้ว 2871 ครั้ง
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (111).JPG
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (111).JPG (141.92 KiB) เข้าดูแล้ว 2871 ครั้ง
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (112).JPG
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (113).JPG
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (114).JPG
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (114).JPG (124.52 KiB) เข้าดูแล้ว 2871 ครั้ง
ไปต่อกันที่วัดกู่เสือครับ วัดนี้สมัยก่อนดังในเรื่องของมวยหมู่ครับ ติดตามนะครับมีเรื่องที่จะเล่าให้ฟังครับ ๕๕๕๕
ไปต่อกันที่วัดกู่เสือครับ วัดนี้สมัยก่อนดังในเรื่องของมวยหมู่ครับ ติดตามนะครับมีเรื่องที่จะเล่าให้ฟังครับ ๕๕๕๕
วันทหารม้ามีต้นกำเนิดจากวีรกรรมที่ บ้านพรานนก ปัจจุบันตั้งอยู่ในอำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา การกู้ชาติของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระยาตากในขณะนั้นยังเป็นพระยาวชิรปราการ ได้นำกองทหารผ่านมาทางบ้านธนู บ้านข้าวเม่า เมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2309<br /><br />ตลอดทางของการรบ ชาวบ้านได้จัดส่งข้าวเม่า ให้เป็นเสบียงและส่งธนูให้แก่ทหารใช้เป็นอาวุธ กองทหารได้ปะทะกับพม่าที่คลองแห่งหนึ่ง พระยาตากตีทหารพม่าแตกพ่าย จึงตั้งชื่อคลองว่า &quot;คลองชนะ&quot; ฝ่ายทหารพม่าได้ติดตามไปอย่างกระชั้นชิดตลอดระยะทางที่หนีออกจากกรุงศรีอยุธยา พระยาตากต้องต่อสู้กับพม่าถึง 4 ครั้ง <br /><br />แต่กองทหารพม่าก็ไม่ยอมลดละ และไล่ตามไปทันที่บ้านโพธิ์สังหาร มีหญิงสาวชาวบ้านชื่อนางโพ ได้ช่วยรบกับพม่าจนเสียชีวิต และภายหลังจากพระยาตากกู้ชาติได้แล้ว จึงได้ระลึกถึงกลับมาตั้งชื่อหมู่บ้านโพธิ์สังหาร เป็นหมู่บ้านโพสาวหาญ และยังใช้มาจนถึงปัจจุบัน และมีบุคคลสำคัญอีกคนหนึ่งคือ พรานนก หรือเฒ่าคำ ซึ่งเป็นผู้ช่วยจัดเสบียงอาหารให้กับกองทหารพระยาตากในระหว่างสงคราม ในปัจจุบันมีรูปปั้นให้ประชาชนเคารพที่หมู่บ้านพรานนก อำเภออุทัย<br /><br />กองทัพบกไทยจึงตั้งวันที่ 4 มกราคม ของทุกปี เป็นวันทหารม้า
วันทหารม้ามีต้นกำเนิดจากวีรกรรมที่ บ้านพรานนก ปัจจุบันตั้งอยู่ในอำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา การกู้ชาติของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระยาตากในขณะนั้นยังเป็นพระยาวชิรปราการ ได้นำกองทหารผ่านมาทางบ้านธนู บ้านข้าวเม่า เมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2309

ตลอดทางของการรบ ชาวบ้านได้จัดส่งข้าวเม่า ให้เป็นเสบียงและส่งธนูให้แก่ทหารใช้เป็นอาวุธ กองทหารได้ปะทะกับพม่าที่คลองแห่งหนึ่ง พระยาตากตีทหารพม่าแตกพ่าย จึงตั้งชื่อคลองว่า "คลองชนะ" ฝ่ายทหารพม่าได้ติดตามไปอย่างกระชั้นชิดตลอดระยะทางที่หนีออกจากกรุงศรีอยุธยา พระยาตากต้องต่อสู้กับพม่าถึง 4 ครั้ง

แต่กองทหารพม่าก็ไม่ยอมลดละ และไล่ตามไปทันที่บ้านโพธิ์สังหาร มีหญิงสาวชาวบ้านชื่อนางโพ ได้ช่วยรบกับพม่าจนเสียชีวิต และภายหลังจากพระยาตากกู้ชาติได้แล้ว จึงได้ระลึกถึงกลับมาตั้งชื่อหมู่บ้านโพธิ์สังหาร เป็นหมู่บ้านโพสาวหาญ และยังใช้มาจนถึงปัจจุบัน และมีบุคคลสำคัญอีกคนหนึ่งคือ พรานนก หรือเฒ่าคำ ซึ่งเป็นผู้ช่วยจัดเสบียงอาหารให้กับกองทหารพระยาตากในระหว่างสงคราม ในปัจจุบันมีรูปปั้นให้ประชาชนเคารพที่หมู่บ้านพรานนก อำเภออุทัย

กองทัพบกไทยจึงตั้งวันที่ 4 มกราคม ของทุกปี เป็นวันทหารม้า
IMG_20240104_171051.jpg (72.65 KiB) เข้าดูแล้ว 2854 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4369
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: #การเดินทางของชีวิต

🧚‍♂️ ชีวิตคน
ไม่มีหรอกที่ไม่ทุกข์ เมื่อใดที่เจอความทุกข์ กัดฟันทนเอาเดี๋ยวมันก็ผ่านไป ทุกข์สิ้นสุขย่อมเกิด ไม่มีงานใดที่ทำแล้วไม่เหนื่อย เมื่อใดที่เหนื่อยก็หาเวลาพัก พักแล้วก็หายเหนื่อย
เพราะทุกข์จึงเรียกว่าชีวิต เพราะเหนื่อยคุณค่าจึงเกิดขึ้น


👻วันใดตายจากโลกนี้ไป
มีเงินมากเพียงใด ก็เอาไปด้วยไม่ได้
มีรถหรูเพียงใด ก็ขับไปด้วยไม่ได้
ตำแหน่งสูงส่งเพียงใด ก็เอาไปเบ่งในยมโลกไม่ได้ ใช้กายนี้เป็นเนื้อนาบุญ สร้างบุญสร้างคุณธรรม ถนอมกายนี้ไว้สร้างคุณ อะไหล่หายาก ต่อให้มีเงินก็ใช่ว่าจะหามาเปลี่ยนใหม่ได้

🧚‍♀️โลกนี้มีสองสิ่งที่ยากมาก
ไปสวรรค์ที่ว่ายาก พึ่งพาคนอื่นกลับยากยิ่งกว่า โลกนี้มีสองสิ่งที่ขมขื่นมาก ยาสมุนไพรที่ว่าขม ไม่มีเงินกลับขมขื่นมากยิ่งกว่า โลกนี้มีสองสิ่งที่อันตรายมาก สังคมที่ว่าอันตราย ใจคนกลับอันตรายมากยิ่งกว่า โลกนี้มีสองสิ่งที่บางมาก เช็คธนาคารที่ว่าบาง น้ำใจคนกลับบางมากยิ่งกว่า

🧚จิตใจดี อะไรก็ดีตาม
จิตใจดี มนุษย์สัมพันธ์ย่อมดีตาม อย่าปล่อยให้นิสัยใหญ่กว่าความสามารถ ยิ่งมากความสามารถ นิสัยเลวๆควรยิ่งน้อยตาม คนที่จิตใจดี ย่อมจัดการเรื่องราวได้ดี ถึงจะเด็ดบัวก็ไม่ช้ำ ถึงจะกวนน้ำก็ไม่ขุ่น
จิตใจดี คือทรัพย์ติดตัวที่ใช้ไม่มีวันหมด

🤗การมีชีวิตอยู่คือกำไร
หาเงินได้เท่าไหร่ก็เหมือนการเล่นเกมส์ สุขภาพดีคือจุดหมาย ความสุขในชีวิตคือเส้นชัย เพราะหลังจากนี้ร้อยปี เธอนอนในที่ของเธอ ฉันนอนในที่ของฉัน คำดีหวานหูสักเพียงใด ก็สื่อสารให้เธอฟังอีกต่อไปไม่ได้ เพราะเราต่างคนต่างหลับไหล นานแสนนาน

👨‍👩‍👦เคารพผู้มีพระคุณ
ถนอมคนที่คอยค้ำจุน เพราะเวลาของเขาและเธอ ยิ่งมากยิ่งน้อย ทุกครั้งที่ฉีกปฏิทินทิ้ง อายุของเธอเท่านั้นที่เพิ่มขึ้น แต่เวลาของเธอกลับลดลง อย่าแก่งแย่ง อย่าใช้วาจาเฉือดเฉือน เพราะคำพูดเหมือนดาบ แทงเขาวันนี้ได้วันหน้าจะย้อนกลับ แรงเหวี่ยงแห่งกรรมไม่เคยบังเอิญ ใช้ความเข้าใจโอบอุ้มคนรอบกาย ใช้ความรักหลอมละลายความแค้นเคืองในใจ

👫เราพบเจอกันได้เพราะ"บุญสัมพันธ์"

Cr.นุสนธิ์บุคส์✍️
:idea: :idea:

:) :D อรุณสวัสดิ์ครับท่านที่รักและเคารพทุกท่าน ปีใหม่ผ่านไปแล้วหนึ่งอาทิตย์ สังเกตุมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปทางไหน? กันบ้างครับ "ชีวิตอย่าประมาทกันนะครับ" เฝ้าเรียนรู้ ติดตาม สังเกตุ ปรับปรุงแก้ไข สิ่งใดไม่ดีรีบเอาทิ้ง ตัดออกไปจาก จิต จากใจ อย่าอาลัยอาวรณ์โดยเด็ดขาด แม้มันจะเป็นความสุข นั่นละคือพญามารที่จะมาคอยบั่นทอนบุญของเราครับ ตรงข้ามสิ่งใดที่ดีเป็นบุญ เป็นคุณต่อการดำรงชีวิต ต้องรีบขวนขวาย ทำให้มากเข้าไว้ หลักง่าย ๆ ในการพิจารณาได้แก่ "สิ่งใดที่คิด พูด ทำ แล้วทำให้เกิดความเดือดร้อนทั้งเราและคนอื่น นั่นละคือสิ่งที่ไม่ดี ต้องละ ส่วนสิ่งใดที่คิด พูด ทำ แล้วทำให้เราและคนอื่นสบายใจมีความสุข ควรทำและต้องรีบทำอย่าชักช้าลังเล" แค่นี้ครับ

จำไว้นะครับ "กามมีสุขน้อยนิดหน่อย..แต่มีทุกข์โทษมหันต์!!!!" ท่องไว้เลยนะครับ....ขอให้มีความสุข โชคดีปลอดภัยจากภยันตรายใด ๆ ทุกท่านทุกคนนะครับ....สาธุ สาธุ สาธุ.....
:) :D
ไฟล์แนบ
“สมัยใหม่ชอบบอกกันว่าให้“ทำในสิ่งที่รัก” ผมว่าไม่ถูก แต่ถ้าให้ ”รักในสิ่งที่ทำอ่ะ“ พอไหว  มันถึงดู เป็นชีวิตจริงๆหน่อย เพราะมันไม่ใช่ทุกคนที่จะเลือกทำในสิ่งที่รักได้”  <br /><br />เป็นบทสัมภาษณ์ล่าสุดจากอาต๋อยไตรภพ ที่ผมรู้สึกว่ามันทรงพลังมีเหตุมีผล และ อยู่บนความเป็นจริงโคตรๆ แบบไม่อคติ<br /><br /> อาต๋อยบอกว่าตัวเอง<br />ไม่เคยอยากจะเป็นพิธีกร <br />แต่ทำเพราะมันเป็นหน้าที่และโอกาส <br /><br />“ผมไม่เคยชอบอาชีพนี้ ผมอยากบอกพ่อแม่พี่น้องทุกคน โดยเฉพาะเด็กๆ คุณไม่จำเป็นต้องชอบในสิ่งที่คุณทำ แต่เมื่อคุณทำอะไรก็ตามคุณควรจะทำให้มันดีที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ ไม่ใช่ทำเพราะความชอบ “<br />         <br />“อย่าทำงานเพราะความชอบสิ <br />ทำเพราะมันเป็นหน้าที่ ทำเพราะมันเป็นสิ่งที่ต้องทำ  <br />ขอโทษนะผมไม่ได้จะมาอะไร แต่คุณคิดว่า คนเก็บขยะเค้าชอบเก็บขยะเหรอ? ต้องรักงานที่ทำ?  <br />ใครจะรักงานดูดไขมัน งานเก็บขยะอ่ะ?  <br />     <br />เค้าทำหน้าที่ไง บ้านเมือง<br />มันสะอาดอยู่ได้ไม่ใช่เพราะว่า<br />เขารักงานนั้นหรอกนะ  แต่เพราะ<br />เขารู้จักทำหน้าที่เค้า”<br /><br />“สมัยใหม่ชอบบอกกันว่าให้“ทำในสิ่งที่รัก” ผมว่าไม่ถูก แต่ถ้าให้”รักในสิ่งที่ทำอ่ะ“ พอไหว  มันถึงดูเป็นชีวิตจริงๆหน่อย เพราะมันไม่ใช่ทุกคนที่จะเลือกทำในสิ่งที่รักได้”  <br /><br />“จงโฟกัสกับหน้าที่ ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ แต่หน้าที่มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ วันนึงผมเคยเป็นสามี ต่อมาผมเป็นพ่อ ต่อมาผมเป็นปู่ หน้าที่มันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และเปลี่ยนให้เป็นด้วย   <br /><br />อย่าได้พูดคำนี้…..เลย “ก็ฉันเป็นคนอย่างนี้ ฉันเป็นของฉันแบบนี้”  มันไม่ไหวนะ ต้องรู้จักด้วยว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไป หน้าที่เรามันก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย ไม่เกี่ยวกับรวยฮะ ไม่เกี่ยวกับจน คุณเห็นต้นไม้ในบ้านผมอย่างโน้นอย่างนี้ โอ้ย ผมทำมานี่ 23 ปีนะ มันไม่ใช่ปุ๊บปั้บแบบผมดีดนิ้วแล้วมันขึ้นอย่างนี้นะ มันปลูกมาจากต้นละ20บาทเนี่ย“<br /><br />   ”ผมเคยพูดคำนี้ไปนานละ เมื่อก่อนผมเป็นคนวิ่งที่อยากจะถึงเส้นชัยให้เร็วที่สุด แล้วผมไม่เคยมองข้างทาง ไม่เคยสนใจข้างทางเลย สำหรับผมชีวิตคือเส้นชัย แล้วผมมารู้ว่าผมสูญเสียอะไรไปในชีวิตหลายอย่างมาก ว่าจริงๆแล้ว…ข้างทางต่างหากที่มันสำคัญ“ <br />      <br />บทสัมภาษณ์นี้สะกิดใจอะไรเราได้หลายอย่าง มันมีคนมากมายที่ไม่ได้ทำในสิ่งที่รัก เค้าแค่ทำหน้าที่ของเค้าให้ดีที่สุด แต่ถ้าเราได้ทำในสิ่งที่รักด้วย และมันกลายเป็นหน้าที่ด้วย เรายิ่งควรจะดีใจกับมัน มีถูกใจบ้างไม่ถูกใจบ้าง มันเรื่องธรรมดา ก็มันหน้าที่ไง ……. <br /><br />หวังว่าจะเป็นประโยชน์ ขอให้ทุกคนมีความสุขครับ ผม สิริทัศน์ อ่านแล้วเห็นว่าดีมาก จึงนำมา จัดเรียงตัวอักษรให่อ่านง่าย แล้วเผยแพร่ต่อสาธารณะชน ต่อ<br /><br />ขอบคุณ..นะครับ ผมก็เห็นว่าดีมีประโยชน์ขออนุญาตุนำมาเผยแพร่เพื่อเป็นบุญ กุศล ต่ออีกทอดหนึ่งนะครับ...ขอบคุณครับ... ใครที่คิดว่าดีมีประโยชน์ก็นำไปเผยแพร่ต่อ ๆ กันไปครับ สาธุ สาธุ สาธุ.
“สมัยใหม่ชอบบอกกันว่าให้“ทำในสิ่งที่รัก” ผมว่าไม่ถูก แต่ถ้าให้ ”รักในสิ่งที่ทำอ่ะ“ พอไหว มันถึงดู เป็นชีวิตจริงๆหน่อย เพราะมันไม่ใช่ทุกคนที่จะเลือกทำในสิ่งที่รักได้”

เป็นบทสัมภาษณ์ล่าสุดจากอาต๋อยไตรภพ ที่ผมรู้สึกว่ามันทรงพลังมีเหตุมีผล และ อยู่บนความเป็นจริงโคตรๆ แบบไม่อคติ

อาต๋อยบอกว่าตัวเอง
ไม่เคยอยากจะเป็นพิธีกร
แต่ทำเพราะมันเป็นหน้าที่และโอกาส

“ผมไม่เคยชอบอาชีพนี้ ผมอยากบอกพ่อแม่พี่น้องทุกคน โดยเฉพาะเด็กๆ คุณไม่จำเป็นต้องชอบในสิ่งที่คุณทำ แต่เมื่อคุณทำอะไรก็ตามคุณควรจะทำให้มันดีที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ ไม่ใช่ทำเพราะความชอบ “

“อย่าทำงานเพราะความชอบสิ
ทำเพราะมันเป็นหน้าที่ ทำเพราะมันเป็นสิ่งที่ต้องทำ
ขอโทษนะผมไม่ได้จะมาอะไร แต่คุณคิดว่า คนเก็บขยะเค้าชอบเก็บขยะเหรอ? ต้องรักงานที่ทำ?
ใครจะรักงานดูดไขมัน งานเก็บขยะอ่ะ?

เค้าทำหน้าที่ไง บ้านเมือง
มันสะอาดอยู่ได้ไม่ใช่เพราะว่า
เขารักงานนั้นหรอกนะ แต่เพราะ
เขารู้จักทำหน้าที่เค้า”

“สมัยใหม่ชอบบอกกันว่าให้“ทำในสิ่งที่รัก” ผมว่าไม่ถูก แต่ถ้าให้”รักในสิ่งที่ทำอ่ะ“ พอไหว มันถึงดูเป็นชีวิตจริงๆหน่อย เพราะมันไม่ใช่ทุกคนที่จะเลือกทำในสิ่งที่รักได้”

“จงโฟกัสกับหน้าที่ ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ แต่หน้าที่มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ วันนึงผมเคยเป็นสามี ต่อมาผมเป็นพ่อ ต่อมาผมเป็นปู่ หน้าที่มันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และเปลี่ยนให้เป็นด้วย

อย่าได้พูดคำนี้…..เลย “ก็ฉันเป็นคนอย่างนี้ ฉันเป็นของฉันแบบนี้” มันไม่ไหวนะ ต้องรู้จักด้วยว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไป หน้าที่เรามันก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย ไม่เกี่ยวกับรวยฮะ ไม่เกี่ยวกับจน คุณเห็นต้นไม้ในบ้านผมอย่างโน้นอย่างนี้ โอ้ย ผมทำมานี่ 23 ปีนะ มันไม่ใช่ปุ๊บปั้บแบบผมดีดนิ้วแล้วมันขึ้นอย่างนี้นะ มันปลูกมาจากต้นละ20บาทเนี่ย“

”ผมเคยพูดคำนี้ไปนานละ เมื่อก่อนผมเป็นคนวิ่งที่อยากจะถึงเส้นชัยให้เร็วที่สุด แล้วผมไม่เคยมองข้างทาง ไม่เคยสนใจข้างทางเลย สำหรับผมชีวิตคือเส้นชัย แล้วผมมารู้ว่าผมสูญเสียอะไรไปในชีวิตหลายอย่างมาก ว่าจริงๆแล้ว…ข้างทางต่างหากที่มันสำคัญ“

บทสัมภาษณ์นี้สะกิดใจอะไรเราได้หลายอย่าง มันมีคนมากมายที่ไม่ได้ทำในสิ่งที่รัก เค้าแค่ทำหน้าที่ของเค้าให้ดีที่สุด แต่ถ้าเราได้ทำในสิ่งที่รักด้วย และมันกลายเป็นหน้าที่ด้วย เรายิ่งควรจะดีใจกับมัน มีถูกใจบ้างไม่ถูกใจบ้าง มันเรื่องธรรมดา ก็มันหน้าที่ไง …….

หวังว่าจะเป็นประโยชน์ ขอให้ทุกคนมีความสุขครับ ผม สิริทัศน์ อ่านแล้วเห็นว่าดีมาก จึงนำมา จัดเรียงตัวอักษรให่อ่านง่าย แล้วเผยแพร่ต่อสาธารณะชน ต่อ

ขอบคุณ..นะครับ ผมก็เห็นว่าดีมีประโยชน์ขออนุญาตุนำมาเผยแพร่เพื่อเป็นบุญ กุศล ต่ออีกทอดหนึ่งนะครับ...ขอบคุณครับ... ใครที่คิดว่าดีมีประโยชน์ก็นำไปเผยแพร่ต่อ ๆ กันไปครับ สาธุ สาธุ สาธุ.
538284_0.jpg (11.31 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
มีเรื่องติดค้างไว้ ๒ เรื่อง เอาเรื่องแรกก่อนนะครับ...ผมนำเรื่องของทหารม้ามานำเสนอ ปรากฏว่ามีหลายท่านสงสัย มันเกี่ยวอะไรกับตัวผม..๕๕๕..อยู่ดี ๆ ทำไมถึงสนใจ ประเด็นแรกด้วยหัวใจ ผมรักและศรัทธาในพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระเจ้าตากสินเป็นชีวิตจิตใจ (พระองค์ทรงทำศึกบนหลังม้า) ประเด็นที่ ๒ ผมรัก..ชอบม้า..มาแต่สมัยเป็นเด็ก ได้เลี้ยงม้า ดูแลม้า ขี่ม้าสนุกสนานอยู่กับม้ามานาน <br /><br />เมื่อเติบโตและรับราชการ มันแปลกดีสมัยที่เป็นนายตำรวจใหม่ๆ พวกเราต่างถูกส่งให้ไปเรียนกับหน่วยทหาร และส่วนใหญ่ ตชด.ใฝ่ฝันที่จะไปเรียน &quot;เหล่าทหารราบเป็นหลัก&quot; ส่วนผมกลับถูกส่งให้ไปเรียนกับเหล่าทหารม้า ทั้งชั้นนายร้อย นายพัน...เอาซิ..มันแปลกไหม??<br /><br />ในภาพเป็นการไปเรียนหลักสูตรชั้นนายพันเหล่าทหารม้า ปี ๒๕๒๖ ซึ่ง ตอนนั้นดำรงตำแหน่งเป็น รองผู้บังคับกองร้อยที่ ๓ ค่ายเชียงคำ บ.เชียงบาน อ.เชียงคำ จ.เชียงราย ปัจจุบัน เป็น จ.พะเยาไปแล้ว (หายสงสัยนะครับ)
มีเรื่องติดค้างไว้ ๒ เรื่อง เอาเรื่องแรกก่อนนะครับ...ผมนำเรื่องของทหารม้ามานำเสนอ ปรากฏว่ามีหลายท่านสงสัย มันเกี่ยวอะไรกับตัวผม..๕๕๕..อยู่ดี ๆ ทำไมถึงสนใจ ประเด็นแรกด้วยหัวใจ ผมรักและศรัทธาในพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระเจ้าตากสินเป็นชีวิตจิตใจ (พระองค์ทรงทำศึกบนหลังม้า) ประเด็นที่ ๒ ผมรัก..ชอบม้า..มาแต่สมัยเป็นเด็ก ได้เลี้ยงม้า ดูแลม้า ขี่ม้าสนุกสนานอยู่กับม้ามานาน

เมื่อเติบโตและรับราชการ มันแปลกดีสมัยที่เป็นนายตำรวจใหม่ๆ พวกเราต่างถูกส่งให้ไปเรียนกับหน่วยทหาร และส่วนใหญ่ ตชด.ใฝ่ฝันที่จะไปเรียน "เหล่าทหารราบเป็นหลัก" ส่วนผมกลับถูกส่งให้ไปเรียนกับเหล่าทหารม้า ทั้งชั้นนายร้อย นายพัน...เอาซิ..มันแปลกไหม??

ในภาพเป็นการไปเรียนหลักสูตรชั้นนายพันเหล่าทหารม้า ปี ๒๕๒๖ ซึ่ง ตอนนั้นดำรงตำแหน่งเป็น รองผู้บังคับกองร้อยที่ ๓ ค่ายเชียงคำ บ.เชียงบาน อ.เชียงคำ จ.เชียงราย ปัจจุบัน เป็น จ.พะเยาไปแล้ว (หายสงสัยนะครับ)
529988_0.jpg (104.07 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
สารภี ๒๓๔.๑.jpg
สารภี ๒๓๔.๑.jpg (95.85 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
สารภี ๒๓๔.๒.jpg
สารภี ๒๓๔.๒.jpg (130.6 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
เราไปเที่ยวถนนวัฒนธรรมกันต่อครับ...อีกเรื่องหนึ่งที่ค้างไว้คือ..เรื่องมวยหมู่ที่กู่เสือ..วัดกู่เสือ ที่ผมจะพาไปเที่ยวเป็นวัดที่สมัยก่อนผมเคยมาแสดงดนตรี เป็นประจำที่พวกเรามักจะยกพวกมาตีกัน ทุกครั้งที่มาเที่ยว ณ วัดกู่เสือแห่งนี้ สมัยก่อนตีกันเฉย ๆ ไม่มีอาวุธใด ๆ ตีกันเสร็จก็เลิกลากันไป ไม่คิดแค้นอาฆาตุ เรียกว่าแค่สนุก วัยรุ่นต่างถิ่นสมัยนั้น..ใครที่คิดจะมเที่ยวกู่เสือเรียกว่า..ต้องระวังครับ แค่นี้ครับ ๕๕๕๕.
เราไปเที่ยวถนนวัฒนธรรมกันต่อครับ...อีกเรื่องหนึ่งที่ค้างไว้คือ..เรื่องมวยหมู่ที่กู่เสือ..วัดกู่เสือ ที่ผมจะพาไปเที่ยวเป็นวัดที่สมัยก่อนผมเคยมาแสดงดนตรี เป็นประจำที่พวกเรามักจะยกพวกมาตีกัน ทุกครั้งที่มาเที่ยว ณ วัดกู่เสือแห่งนี้ สมัยก่อนตีกันเฉย ๆ ไม่มีอาวุธใด ๆ ตีกันเสร็จก็เลิกลากันไป ไม่คิดแค้นอาฆาตุ เรียกว่าแค่สนุก วัยรุ่นต่างถิ่นสมัยนั้น..ใครที่คิดจะมเที่ยวกู่เสือเรียกว่า..ต้องระวังครับ แค่นี้ครับ ๕๕๕๕.
สารภี ๒๓๔.jpg (96.07 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
ประวัติความเป็นมาของวัด<br /><br />วัดกู่เสือสร้างเมื่อพ.ศ. ๒๔๐๕ เดิมชื่อว่า “บ้านปูเสื้อ” ตำนานเดิมเล่าว่า ก่อนการสร้างวัดบริเวณนี้ วัดเคยตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิงฝั่งตะวันตก ซึ่งเป็นที่พำนักของพ่อค้าและผู้ที่เดินทางผ่านเมืองเชียงใหม่กับเมืองลำพูน ขณะนั้นมีพระธุดงค์รูปหนึ่งได้เดินทางมาพักที่แห่งนี้ ชาวบ้านจึงพากันมากราบไหว้และนำภัตตาหารมาถวายและชาวบ้านเห็นว่าท่านไม่มีอะไรปูนั่งจึงถอดเสื้อให้ปูนั่ง <br /><br />ต่อมาท่านจึงได้นำชาวบ้านสร้างวัดขึ้นโดยตั้งชื่อว่า “วัดปูเสื้อ” ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิงที่เป็นที่ราบลุ่มอยู่ทางใต้ของเวียงกุมกาม สันนิษฐานว่าเมื่อครั้งน้ำท่วมประกอบกับเกิดศึกกับพม่า ทำให้วัดถูกทำลายและร้างไปเป็นเวลานานหลายร้อยปี <br /><br />ครั้นเมื่อมีคนอพยพมาตั้งถิ่นฐานใหม่ก็ได้ไปเป็นศรัทธาวัดกู่ขาว ซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียง และเห็นว่าวัดปูเสื้อเหลือแต่ซากปรักหักพังยากเกินกว่าจะบูรณปฏิสังขรณ์ ชาวบ้านจึงพากันย้ายมาสร้างในที่ปัจจุบัน ต่อมาพบว่าบริเวณนี้มีกู่ร้าง และวิหารเก่าอยู่ จึงช่วยกันบูรณะสร้างวัดใหม่ขึ้นมา โดยสร้างเจดีย์ครอบองค์เดิม รื้อวิหารเก่าและสร้างวิหารใหม่ เปลี่ยนชื่อเป็น “วัดกู่เสือ” ดังมีนิทานเล่าว่า มีเสือลำบากท้องแก่ตัวหนึ่งถูกนายพรานยิงมาจกบริเวณกู่แดงแล้วมาลอดลูกใกล้กู่ร้างนี้ก่อนจะตายไป
ประวัติความเป็นมาของวัด

วัดกู่เสือสร้างเมื่อพ.ศ. ๒๔๐๕ เดิมชื่อว่า “บ้านปูเสื้อ” ตำนานเดิมเล่าว่า ก่อนการสร้างวัดบริเวณนี้ วัดเคยตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิงฝั่งตะวันตก ซึ่งเป็นที่พำนักของพ่อค้าและผู้ที่เดินทางผ่านเมืองเชียงใหม่กับเมืองลำพูน ขณะนั้นมีพระธุดงค์รูปหนึ่งได้เดินทางมาพักที่แห่งนี้ ชาวบ้านจึงพากันมากราบไหว้และนำภัตตาหารมาถวายและชาวบ้านเห็นว่าท่านไม่มีอะไรปูนั่งจึงถอดเสื้อให้ปูนั่ง

ต่อมาท่านจึงได้นำชาวบ้านสร้างวัดขึ้นโดยตั้งชื่อว่า “วัดปูเสื้อ” ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิงที่เป็นที่ราบลุ่มอยู่ทางใต้ของเวียงกุมกาม สันนิษฐานว่าเมื่อครั้งน้ำท่วมประกอบกับเกิดศึกกับพม่า ทำให้วัดถูกทำลายและร้างไปเป็นเวลานานหลายร้อยปี

ครั้นเมื่อมีคนอพยพมาตั้งถิ่นฐานใหม่ก็ได้ไปเป็นศรัทธาวัดกู่ขาว ซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียง และเห็นว่าวัดปูเสื้อเหลือแต่ซากปรักหักพังยากเกินกว่าจะบูรณปฏิสังขรณ์ ชาวบ้านจึงพากันย้ายมาสร้างในที่ปัจจุบัน ต่อมาพบว่าบริเวณนี้มีกู่ร้าง และวิหารเก่าอยู่ จึงช่วยกันบูรณะสร้างวัดใหม่ขึ้นมา โดยสร้างเจดีย์ครอบองค์เดิม รื้อวิหารเก่าและสร้างวิหารใหม่ เปลี่ยนชื่อเป็น “วัดกู่เสือ” ดังมีนิทานเล่าว่า มีเสือลำบากท้องแก่ตัวหนึ่งถูกนายพรานยิงมาจกบริเวณกู่แดงแล้วมาลอดลูกใกล้กู่ร้างนี้ก่อนจะตายไป
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (126).JPG (104.03 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (120).JPG
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (120).JPG (140.77 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (121).JPG
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (121).JPG (134.53 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (122).JPG
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (122).JPG (97.34 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (123).JPG
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (123).JPG (116.96 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (124).JPG
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (125).JPG
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (125).JPG (96.87 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (126).JPG
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (126).JPG (104.03 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (127).JPG
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (127).JPG (122.77 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (128).JPG
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (128).JPG (96.74 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (129).JPG
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (129).JPG (92.85 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (130).JPG
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (130).JPG (131.97 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (131).JPG
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (131).JPG (95.98 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (134).JPG
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (134).JPG (116.85 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
บรรยากาศภายในวัดร่มรื่น สงบ เหมาะแก่การมาทำบุญไหว้พระ ทางเข้าวัดสวยมาก เป็นพญานาคสีขาวยาวเป็นทางเข้าวัด ด้านหน้ามีศาลาครูบาศรีวิชัยอยู่ข้างวัด สถาปัตยกรรมไทใหญ่ หลังคาซ้อนกัน 5 ชั้น ภายในเป็นที่ประดิษฐานรูปเหมือนครูบาศรีวิชัยและพระสีวลี พระวิหารเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนแบบล้านนาเป็นงาแกะสลักไม้ พระเจดีย์สะหลีพยัคฆาวนาราม ศิลปะล้านนาอยู่ด้านหลังวิหาร มีปูนปั้นเสือหลายตัววางเรียงอยู่ นอกจากภายในวัดยังมี หอไตร ศาลเจ้าพ่อทันใจ และพระพุทธรูปปางมารวิชัยทรงเครื่องให้ชาวบ้านได้กราบไหว้สักการะบูชาอีกด้วย
บรรยากาศภายในวัดร่มรื่น สงบ เหมาะแก่การมาทำบุญไหว้พระ ทางเข้าวัดสวยมาก เป็นพญานาคสีขาวยาวเป็นทางเข้าวัด ด้านหน้ามีศาลาครูบาศรีวิชัยอยู่ข้างวัด สถาปัตยกรรมไทใหญ่ หลังคาซ้อนกัน 5 ชั้น ภายในเป็นที่ประดิษฐานรูปเหมือนครูบาศรีวิชัยและพระสีวลี พระวิหารเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนแบบล้านนาเป็นงาแกะสลักไม้ พระเจดีย์สะหลีพยัคฆาวนาราม ศิลปะล้านนาอยู่ด้านหลังวิหาร มีปูนปั้นเสือหลายตัววางเรียงอยู่ นอกจากภายในวัดยังมี หอไตร ศาลเจ้าพ่อทันใจ และพระพุทธรูปปางมารวิชัยทรงเครื่องให้ชาวบ้านได้กราบไหว้สักการะบูชาอีกด้วย
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (135).JPG (96.81 KiB) เข้าดูแล้ว 2773 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4369
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »


:idea: :idea: ประวัติทหารม้า :idea: :idea:


:) :D มาร์ชทหารม้า ( Royal Thai Cavalry March ) :) :D

:) :D สวัสดียามสาย ๆ ของวันที่ ๑๐/๑/๖๗ ผมศิษย์เก่าทหารม้า สายวันนี้จึงขอนำเสนอเรื่องราวทหารม้าต่ออีกสักนิด ก่อนที่จะเดินทางสู่ถนนวัฒนธรรมสายต้นยาง ไม่ว่ากันนะครับเป็นความรู้ครับ :) :D
ไฟล์แนบ
ในภาพคือ ทหารม้าโปแลนด์ (Polish cavalry) ในปี 1938<br /><br />ทหารม้า จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี<br /><br />ทหารม้า (อังกฤษ: Cavalry, จากคำศัพท์ภาษาฝรั่งเศสคำว่า cavalerie สืบทอดจากตัวของมันเองจากคำว่า &quot;cheval&quot; หมายถึง &quot;ม้า&quot;) เป็นทหารหรือนักรบที่ต่อสู้รบด้วยการขี่บนหลังม้า ในเมื่อครั้งอดีต ทหารม้าเป็นหน่วยกองกำลังรบที่เคลื่อนที่ได้เร็วมากที่สุด ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทหารม้าเบาในบทบาทของการลาดตระเวน การคุ้มกัน(Screening) และการรบปะทะที่เล็กน้อย(harassing) ในหลายกองทัพ หรือจะเป็นทหารม้าหนักสำหรับการโจมตีที่เด็ดขาดในกองทัพอื่นๆ ทหารแต่ละคนในกองทหารม้าเป็นที่รู้จักกันโดยชื่อที่ถูกตั้งให้เป็นจำนวนมากซึ่งขึ้นอยู่กับยุคสมัยและกลยุทธ์ เช่น พลทหารม้า นักขี่ม้า ทรูปเปอร์ คาตาฟรัค ฮุสซาร์ แลนเซอร์ หรือดรากูน <br /><br />การกำหนดชื่อของทหารม้าโดยทั่วไปแล้วจะไม่ได้กำหนดให้กับกองกำลังทหารที่ใช้สัตว์อื่นมาเป็นพาหนะ เช่น อูฐ หรือช้าง ทหาราบผู้ที่ซึ่งเคลื่อนไหวบนหลังม้า แต่เมื่อลงจากหลังม้าเพื่อเข้าต่อสู้รบบนทางเท้า เป็นที่รู้จักกันในศตวรรษที่ 17 และช่วงต้นของศตวรรษที่ 18 คือ ดรากูน ซึ่งเป็นกลุ่มทหารราบที่ขี่บนหลังม้าซึ่งกองทัพส่วนใหญ่ในเวลาต่อมาได้พัฒนาเป็นทหารม้าแบบมาตรฐาน ในขณะที่ยังคงรักษาชื่อที่ถูกกำหนดไว้ในประวัติศาสตร์<br /><br />ทหารม้านั้นมีข้อได้เปรียบในเรื่องความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ได้ดีขึ้น และทหารที่ต่อสู้รบจากหลังม้าก็มีข้อได้เปรียบในเรื่องของความสูงและความเร็วที่ดีกว่า และมวลเฉื่อยที่มีมากกว่าคู่ต่อสู้บนทางเท้า องค์ประกอบอีกประการหนึ่งของการทำสงครามบนหลังม้าคือ ผลกระทบทางจิตใจของทหารที่ขี่บนหลังม้าสามารถทำลายล้างคู่ต่อสู้ได้<br /><br />ด้วยความเร็ว ความคล่องแคล่ว และค่าที่ทำให้เกิดความสะดุ้งหวาดกลัวของทหารม้าได้รับความชื่นชมและใช้ประโยชน์อย่างมากในกองทัพในยุคโบราณและยุคกลาง กองกำลังบางส่วนส่วนใหญ่เป็นทหารม้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมชนเผ่าเร่ร่อนของเอเชีย ที่เด่นที่สุดคือ ชาวฮันของอัตติลาและต่อมาเป็นกองทัพมองโกล <br /><br />ในทวีปยุโรป ทหารม้าได้รับการติดตั้งด้วยการหุ้มเกราะที่มากขึ้น(หนัก) และท้ายที่สุดก็พัฒนาเป็นอัศวินที่ขี่บนหลังม้าในยุคกลาง  ในช่วงศตวรรษที่ 17 ทหารม้าในทวีปยุโรปได้สูญเสียเกราะส่วนใหญ่ไป ซึ่งไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันมากนักเมื่อต้องเผชิญหน้ากับปืนคาบศิลาและปืนใหญ่ที่นำเข้ามาใช้งาน และในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ชุดเกราะส่วนใหญ่ต่างได้ยกเลิกใช้ไปหมดแล้ว แม้ว่าบางหน่วยทหารจะยังคงมีการใช้เสื้อเกราะขนาดเล็กที่มีความหนามากขึ้นที่สามารถใช้ในการป้องกันหอกและดาบและบางครั้งก็ป้องกันกระสุนได้ด้วย
ในภาพคือ ทหารม้าโปแลนด์ (Polish cavalry) ในปี 1938

ทหารม้า จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ทหารม้า (อังกฤษ: Cavalry, จากคำศัพท์ภาษาฝรั่งเศสคำว่า cavalerie สืบทอดจากตัวของมันเองจากคำว่า "cheval" หมายถึง "ม้า") เป็นทหารหรือนักรบที่ต่อสู้รบด้วยการขี่บนหลังม้า ในเมื่อครั้งอดีต ทหารม้าเป็นหน่วยกองกำลังรบที่เคลื่อนที่ได้เร็วมากที่สุด ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทหารม้าเบาในบทบาทของการลาดตระเวน การคุ้มกัน(Screening) และการรบปะทะที่เล็กน้อย(harassing) ในหลายกองทัพ หรือจะเป็นทหารม้าหนักสำหรับการโจมตีที่เด็ดขาดในกองทัพอื่นๆ ทหารแต่ละคนในกองทหารม้าเป็นที่รู้จักกันโดยชื่อที่ถูกตั้งให้เป็นจำนวนมากซึ่งขึ้นอยู่กับยุคสมัยและกลยุทธ์ เช่น พลทหารม้า นักขี่ม้า ทรูปเปอร์ คาตาฟรัค ฮุสซาร์ แลนเซอร์ หรือดรากูน

การกำหนดชื่อของทหารม้าโดยทั่วไปแล้วจะไม่ได้กำหนดให้กับกองกำลังทหารที่ใช้สัตว์อื่นมาเป็นพาหนะ เช่น อูฐ หรือช้าง ทหาราบผู้ที่ซึ่งเคลื่อนไหวบนหลังม้า แต่เมื่อลงจากหลังม้าเพื่อเข้าต่อสู้รบบนทางเท้า เป็นที่รู้จักกันในศตวรรษที่ 17 และช่วงต้นของศตวรรษที่ 18 คือ ดรากูน ซึ่งเป็นกลุ่มทหารราบที่ขี่บนหลังม้าซึ่งกองทัพส่วนใหญ่ในเวลาต่อมาได้พัฒนาเป็นทหารม้าแบบมาตรฐาน ในขณะที่ยังคงรักษาชื่อที่ถูกกำหนดไว้ในประวัติศาสตร์

ทหารม้านั้นมีข้อได้เปรียบในเรื่องความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ได้ดีขึ้น และทหารที่ต่อสู้รบจากหลังม้าก็มีข้อได้เปรียบในเรื่องของความสูงและความเร็วที่ดีกว่า และมวลเฉื่อยที่มีมากกว่าคู่ต่อสู้บนทางเท้า องค์ประกอบอีกประการหนึ่งของการทำสงครามบนหลังม้าคือ ผลกระทบทางจิตใจของทหารที่ขี่บนหลังม้าสามารถทำลายล้างคู่ต่อสู้ได้

ด้วยความเร็ว ความคล่องแคล่ว และค่าที่ทำให้เกิดความสะดุ้งหวาดกลัวของทหารม้าได้รับความชื่นชมและใช้ประโยชน์อย่างมากในกองทัพในยุคโบราณและยุคกลาง กองกำลังบางส่วนส่วนใหญ่เป็นทหารม้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมชนเผ่าเร่ร่อนของเอเชีย ที่เด่นที่สุดคือ ชาวฮันของอัตติลาและต่อมาเป็นกองทัพมองโกล

ในทวีปยุโรป ทหารม้าได้รับการติดตั้งด้วยการหุ้มเกราะที่มากขึ้น(หนัก) และท้ายที่สุดก็พัฒนาเป็นอัศวินที่ขี่บนหลังม้าในยุคกลาง ในช่วงศตวรรษที่ 17 ทหารม้าในทวีปยุโรปได้สูญเสียเกราะส่วนใหญ่ไป ซึ่งไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันมากนักเมื่อต้องเผชิญหน้ากับปืนคาบศิลาและปืนใหญ่ที่นำเข้ามาใช้งาน และในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ชุดเกราะส่วนใหญ่ต่างได้ยกเลิกใช้ไปหมดแล้ว แม้ว่าบางหน่วยทหารจะยังคงมีการใช้เสื้อเกราะขนาดเล็กที่มีความหนามากขึ้นที่สามารถใช้ในการป้องกันหอกและดาบและบางครั้งก็ป้องกันกระสุนได้ด้วย
get_auc1_img.jpg (7.47 KiB) เข้าดูแล้ว 2655 ครั้ง
ทหารม้าบนรถถัง<br /><br />ในช่วงสมัยระหว่างของสงครามโลก ทหารม้าหลายหน่วยต่างได้ถูกเปลี่ยนเป็นหน่วยทหารราบยานยนต์และหน่วยทหารราบยานเกราะ หรือเปลี่ยนมาเป็นพลขับรถถัง อย่างไรก็ตาม ทหารม้าบางส่วนยังคงทำหน้าที่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่เด่นมากที่สุดคือ กองทัพแดงแห่งสหภาพโซเวียต กองทัพประชาชนมองโกเลีย กองทัพบกราชอาณาจักรอิตาลี กองทัพโรมาเนีย กองทัพบกโปแลนด์ และหน่วยทหารลาดตระเวนเบาภายในหน่วยวัฟเฟิน-เอ็สเอ็ส หน่วยทหารม้าส่วนใหญ่ที่ขี่บนหลังม้าในกองทัพสมัยใหม่นั้นได้ทำหน้าที่ในพิธีทางการอย่างสง่าผ่าเผย หรือทหารราบที่ขี่ม้าในภูมิประเทศที่มีความยากลำบาก เช่น ภูเขา หรือพื้นที่ป่าทึบ การใช้คำศัพท์สมัยใหม่โดยทั่วไปหมายถึงหน่วยทหารที่ทำหน้าที่บทบาทของการลาดตระเวน การเฝ้าระวัง และการได้มาซึ่งเป้าหมาย (reconnaissance, surveillance, and target acquisition, RSTA)<br /><br />คุณลักษณะของทหารม้า<br />ทหารม้าต้องประกอบด้วยคุณลักษณะที่จำเป็นและสำคัญของเหล่าคือ<br /><br />-ความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ (Mobility) พาหนะที่ใช้ไม่ว่าจะเป็น ม้า, ยานยนต์, ยานเกราะ หรืออากาศยาน<br />-อำนาจการยิงรุนแรง (Fire power) ได้แก่ อาวุธประจำกายและอาวุธประจำยานพาหนะ หรือประหน่วยซึ่งมีหลายชนิด และหลายขนาดสามารถทำการยิงได้ตั้งแต่ระยะใกล้จนถึงระยะไกล<br />-อำนาจการทำลายและข่มขวัญ (Shock action) เป็นผลที่ได้มาจากการปฏิบัติการอย่างรุนแรง ด้วยอาวุธที่มีอำนาจการทำลายสูง เช่น ปืนใหญ่และปืนกลประจำรถประกอบกับรูปร่าง ขนาด เสียงที่เกิดจากเครื่องยนต์ สายพาน และของอาวุธรวมทั้งมีเกราะกำบังที่ยากแก่การทำลายและความรวดเร็วในการเคลื่อนที่สูง สิ่งเหล่านี้นอกจากจะเกิดผลในทางทำลายแล้ว ยังได้ผลในการข่มขวัญของฝ่ายตรงข้าม คือก่อให้เกิดความตระหนกตกใจและชะงักงันให้แก่ข้าศึกได้เป็นอย่างดีด้วย ภายใต้คำขวัญ “รวดเร็ว รุนแรง เด็ดขาด”<br /><br />ขีดจำกัดของทหารม้า<br />อย่างไรก็ตาม ขีดจำกัดของทหารม้าคือการรบในระยะประชิดตัว และการรบในป่าทึบ เนื่องจากข้อจำกัดด้านอาวุธที่ติดตั้ง โดยเฉพาะเมื่อถูกโจมตีจากด้านหลัง อีกทั้งวิสัยทัศน์การมองของพลประจำรถถังเองก็ถูกจำกัด สงครามเวียดนามเป็นเหตุการณ์ หนี่งที่ชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดนี้ได้อย่างชัดเจน โดยทหารราบเวียดกง ทำการต่อกรกับทหารม้ารถถังอเมริกัน ด้วยการซุ่มอยู่ข้างทางในป่าทึบ แล้วใช้หลักการ คานดีดคานงัด เข้างัดรถถังอเมริกันให้พลิกคว่ำ<br /><br />เพื่อเป็นการชดเชยข้อจำกัดของทหารม้า จึงมักจะทำการรบในลักษณะของกองกำลังผสมระหว่างทหารม้าและทหารราบ<br /><br />ภารกิจของทหารม้า<br />ทหารม้าเป็นกำลังรบหลักส่วนหนึ่งของกองทัพบก ซึ่งสามารถมอบภารกิจให้ทำการรบโดยลำพังหรือผสมเหล่าได้เป็นอย่างดี ซึ่งภารกิจในการรบที่หน่วยทหารม้ารับผิดชอบได้แก่ ภารกิจดังต่อไปนี้<br /><br />๑.เป็นหน่วยในการลาดตระเวน การเข้าตี การระวังป้องกันและออมกำลังให้กับหน่วยใหญ่<br />๒.เป็นหน่วยหลักในการดำเนินกลยุทธ์
ทหารม้าบนรถถัง

ในช่วงสมัยระหว่างของสงครามโลก ทหารม้าหลายหน่วยต่างได้ถูกเปลี่ยนเป็นหน่วยทหารราบยานยนต์และหน่วยทหารราบยานเกราะ หรือเปลี่ยนมาเป็นพลขับรถถัง อย่างไรก็ตาม ทหารม้าบางส่วนยังคงทำหน้าที่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่เด่นมากที่สุดคือ กองทัพแดงแห่งสหภาพโซเวียต กองทัพประชาชนมองโกเลีย กองทัพบกราชอาณาจักรอิตาลี กองทัพโรมาเนีย กองทัพบกโปแลนด์ และหน่วยทหารลาดตระเวนเบาภายในหน่วยวัฟเฟิน-เอ็สเอ็ส หน่วยทหารม้าส่วนใหญ่ที่ขี่บนหลังม้าในกองทัพสมัยใหม่นั้นได้ทำหน้าที่ในพิธีทางการอย่างสง่าผ่าเผย หรือทหารราบที่ขี่ม้าในภูมิประเทศที่มีความยากลำบาก เช่น ภูเขา หรือพื้นที่ป่าทึบ การใช้คำศัพท์สมัยใหม่โดยทั่วไปหมายถึงหน่วยทหารที่ทำหน้าที่บทบาทของการลาดตระเวน การเฝ้าระวัง และการได้มาซึ่งเป้าหมาย (reconnaissance, surveillance, and target acquisition, RSTA)

คุณลักษณะของทหารม้า
ทหารม้าต้องประกอบด้วยคุณลักษณะที่จำเป็นและสำคัญของเหล่าคือ

-ความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ (Mobility) พาหนะที่ใช้ไม่ว่าจะเป็น ม้า, ยานยนต์, ยานเกราะ หรืออากาศยาน
-อำนาจการยิงรุนแรง (Fire power) ได้แก่ อาวุธประจำกายและอาวุธประจำยานพาหนะ หรือประหน่วยซึ่งมีหลายชนิด และหลายขนาดสามารถทำการยิงได้ตั้งแต่ระยะใกล้จนถึงระยะไกล
-อำนาจการทำลายและข่มขวัญ (Shock action) เป็นผลที่ได้มาจากการปฏิบัติการอย่างรุนแรง ด้วยอาวุธที่มีอำนาจการทำลายสูง เช่น ปืนใหญ่และปืนกลประจำรถประกอบกับรูปร่าง ขนาด เสียงที่เกิดจากเครื่องยนต์ สายพาน และของอาวุธรวมทั้งมีเกราะกำบังที่ยากแก่การทำลายและความรวดเร็วในการเคลื่อนที่สูง สิ่งเหล่านี้นอกจากจะเกิดผลในทางทำลายแล้ว ยังได้ผลในการข่มขวัญของฝ่ายตรงข้าม คือก่อให้เกิดความตระหนกตกใจและชะงักงันให้แก่ข้าศึกได้เป็นอย่างดีด้วย ภายใต้คำขวัญ “รวดเร็ว รุนแรง เด็ดขาด”

ขีดจำกัดของทหารม้า
อย่างไรก็ตาม ขีดจำกัดของทหารม้าคือการรบในระยะประชิดตัว และการรบในป่าทึบ เนื่องจากข้อจำกัดด้านอาวุธที่ติดตั้ง โดยเฉพาะเมื่อถูกโจมตีจากด้านหลัง อีกทั้งวิสัยทัศน์การมองของพลประจำรถถังเองก็ถูกจำกัด สงครามเวียดนามเป็นเหตุการณ์ หนี่งที่ชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดนี้ได้อย่างชัดเจน โดยทหารราบเวียดกง ทำการต่อกรกับทหารม้ารถถังอเมริกัน ด้วยการซุ่มอยู่ข้างทางในป่าทึบ แล้วใช้หลักการ คานดีดคานงัด เข้างัดรถถังอเมริกันให้พลิกคว่ำ

เพื่อเป็นการชดเชยข้อจำกัดของทหารม้า จึงมักจะทำการรบในลักษณะของกองกำลังผสมระหว่างทหารม้าและทหารราบ

ภารกิจของทหารม้า
ทหารม้าเป็นกำลังรบหลักส่วนหนึ่งของกองทัพบก ซึ่งสามารถมอบภารกิจให้ทำการรบโดยลำพังหรือผสมเหล่าได้เป็นอย่างดี ซึ่งภารกิจในการรบที่หน่วยทหารม้ารับผิดชอบได้แก่ ภารกิจดังต่อไปนี้

๑.เป็นหน่วยในการลาดตระเวน การเข้าตี การระวังป้องกันและออมกำลังให้กับหน่วยใหญ่
๒.เป็นหน่วยหลักในการดำเนินกลยุทธ์
hh73f1654856263-1.jpg (10.17 KiB) เข้าดูแล้ว 2655 ครั้ง
ประวัติทหารม้าไทย<br /><br />พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นจเรกองทัพบก เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2446 ได้จัดให้มีกิจการจเรทหารม้าอยู่ในการจัดกองทัพ ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของหน่วยทหารม้า เป็นยุคแรกของทหารม้าสมัยใหม่<br /><br />เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2453 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการประกาศแก้ไขกิจการทหารม้าใหม่ เปลี่ยนเป็น “กระทรวงกลาโหม” มีกรมจเรกองทัพบกเป็นกรมหนึ่งในครั้งนี้และมีหน่วยขึ้นตรงของกรมนี้แบ่งเป็น 5 แผนก มีแผนกที่ 2 เป็นแผนกจเรทหารม้า ซึ่งมีพลตรี พระยาศักดาภิเดชวรฤทธิ์ (อุ่น อินทรโยธิน) เป็นผู้บัญชาการท่านแรก และต่อมามีคำสั่งกระทรวงกลาโหมเปลี่ยนชื่อหน่วยอีกหลายครั้ง คือ เปลี่ยนเป็น“กรมจเรทหารม้า” “กรมจเรทหารม้าและสัตว์พาหนะ” กรมจเรสัตว์พาหนะทหารบกและทหารม้า”<br /><br />เมื่อปีพ.ศ. 2460 ซึ่งมีกรมหลวงอดิศรอุดมเดช เป็นผู้บังคับบัญชา และขอพระราชทานนามพระองค์เป็นชื่อค่าย “อดิศร” ต่อมาในปี พ.ศ. 2497 ตามคำสั่งกระทรวงกลาโหม (เฉพาะ) ที่ 44/12291 ลงวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2497 ให้เปลี่ยนชื่อจากกรมการทหารม้า เปลียนเป็น ศูนย์การทหารม้า ถือว่าวันที่ 1 มิถุนายนของทุกปีเป็นวันสถาปนาศูนย์การทหารม้า ปัจจุบันกองทัพบกไทยตั้งวันที่ 4 มกราคมของทุกปี เป็นวันทหารม้า และยกย่องให้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงเป็น“พระบิดาแห่งการทหารม้าไทย”]<br /><br />การแบ่งประเภทของทหารม้า<br /><br />ศูนย์การทหารม้า ได้กำหนดหลักนิยมและรูปแบบการจัดหน่วยทหารม้าโดยแบ่งประเภทของทหารม้าไว้ดังนี้<br /><br />ทหารม้าลาดตระเวน หมายถึง หน่วยทหารม้าที่จัดขึ้นเพื่อปฏิบัติภารกิจลาดตระเวน และระวังป้องกันโดยเฉพาะไม่ว่าจะเป็นกองพันลาดตระเวน หรือกองร้อยลาดตระเวนทุกรูปแบบ จัดอยู่ในประเภททหารม้าลาดตระเวนทั้งสิ้น<br /><br />ทหารม้ารถถัง หมายถึง หน่วยทหารม้าที่ดำเนินกลยุทธ์หลัก โดยมีรถถังเป็นยานรบไม่ว่าจะเป็นกองพันรถถังของกองพลทหารราบ หรือกองพันรถถังในอัตราของกรมทหารม้า จัดอยู่ในประเภททหารม้ารถถังทั้งสิ้น<br /><br />ทหารม้าบรรทุกยานเกราะ หมายถึง หน่วยทหารม้าที่ใช้ดำเนินกลยุทธ์หลัก โดยมียานยนต์สายพานหุ้มเกราะเป็นยานรบหลัก สามารถเคลื่อนที่และทำการรบบนยานรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารม้ารถถังโดยตลอด จะลงรบบนดินเมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินกลยุทธ์ทางพื้นดิน เพื่อชดเชยจุดอ่อนของทหารม้ารถถังเท่านั้น<br /><br />ทหารม้าขี่ม้า ปัจจุบันกองทัพบกสงวนไว้เพียง 1 กองพัน คือ กองพันทหารม้าที่ 29 รักษาพระองค์ เพื่อใช้ในภารกิจแห่นำตามเสด็จเป็นการเชิดชูเกียรติ วัฒนธรรมประเพณีของชาติ และเป็นการรักษาตำนาน<br />ทหารม้าอากาศ เป็นทหารม้าที่ใช้อากาศยาน เป็นยานรบหลัก เป็นหน่วยที่มีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่สูงมาก ซึ่งจัดอยู่ในประเภททหารม้าลาดตระเวน เพื่อเอาชนะขีดจำกัดของภูมิประเทศทหารม้าประเภทนี้มหาอำนาจบางประเทศ เช่น สหรัฐ มีการจัดและเคยใช้ปฏิบัติการได้ผลมาแล้วในสงครามเวียดนาม ปัจจุบันกองทัพบกได้อนุมัติหลักการในการจัดตั้งแล้ว 4 กองร้อย เป็นหน่วยขึ้นตรงกับกองทัพบก ฝากการบังคับบัญชาไว้กับ กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ คือ กองร้อยทหารม้าอากาศที่ 1 (ปัจจุบันถูกยุบกองร้อยเป็นที่เรียบร้อย)<br /><br />หน่วยทหารม้าในปัจจุบันของไทย<br /><br />หน่วยทหารม้าที่เป็นกำลังรบในปัจจุบัน ทั้งที่จัดตั้งแล้วและยังอยู่ในการดำเนินการจัดตั้งมีอยู่ 3 กองพล, 7 กรม, 31 กองพัน และ 5 กองร้อยอิสระ มีที่ตั้งอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ จังหวัดที่มีหน่วยทหารม้าอยู่ นอกจากกรุงเทพมหานคร และสุโขทัย ได้แก่ สระบุรี, ปราจีนบุรี, นครราชสีมา, ขอนแก่น, เพชรบูรณ์, พิษณุโลก, น่าน, อุตรดิตถ์, แพร่, กาญจนบุรี, นครศรีธรรมราช, ร้อยเอ็ด และปัตตานี<br /><br />ทหารม้าชาวไทยที่มีชื่อเสียง<br /><br />จอมพล สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ<br /><br />พลเอก เปรม ติณสูลานนท์<br /><br />พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ
ประวัติทหารม้าไทย

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นจเรกองทัพบก เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2446 ได้จัดให้มีกิจการจเรทหารม้าอยู่ในการจัดกองทัพ ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของหน่วยทหารม้า เป็นยุคแรกของทหารม้าสมัยใหม่

เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2453 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการประกาศแก้ไขกิจการทหารม้าใหม่ เปลี่ยนเป็น “กระทรวงกลาโหม” มีกรมจเรกองทัพบกเป็นกรมหนึ่งในครั้งนี้และมีหน่วยขึ้นตรงของกรมนี้แบ่งเป็น 5 แผนก มีแผนกที่ 2 เป็นแผนกจเรทหารม้า ซึ่งมีพลตรี พระยาศักดาภิเดชวรฤทธิ์ (อุ่น อินทรโยธิน) เป็นผู้บัญชาการท่านแรก และต่อมามีคำสั่งกระทรวงกลาโหมเปลี่ยนชื่อหน่วยอีกหลายครั้ง คือ เปลี่ยนเป็น“กรมจเรทหารม้า” “กรมจเรทหารม้าและสัตว์พาหนะ” กรมจเรสัตว์พาหนะทหารบกและทหารม้า”

เมื่อปีพ.ศ. 2460 ซึ่งมีกรมหลวงอดิศรอุดมเดช เป็นผู้บังคับบัญชา และขอพระราชทานนามพระองค์เป็นชื่อค่าย “อดิศร” ต่อมาในปี พ.ศ. 2497 ตามคำสั่งกระทรวงกลาโหม (เฉพาะ) ที่ 44/12291 ลงวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2497 ให้เปลี่ยนชื่อจากกรมการทหารม้า เปลียนเป็น ศูนย์การทหารม้า ถือว่าวันที่ 1 มิถุนายนของทุกปีเป็นวันสถาปนาศูนย์การทหารม้า ปัจจุบันกองทัพบกไทยตั้งวันที่ 4 มกราคมของทุกปี เป็นวันทหารม้า และยกย่องให้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงเป็น“พระบิดาแห่งการทหารม้าไทย”]

การแบ่งประเภทของทหารม้า

ศูนย์การทหารม้า ได้กำหนดหลักนิยมและรูปแบบการจัดหน่วยทหารม้าโดยแบ่งประเภทของทหารม้าไว้ดังนี้

ทหารม้าลาดตระเวน หมายถึง หน่วยทหารม้าที่จัดขึ้นเพื่อปฏิบัติภารกิจลาดตระเวน และระวังป้องกันโดยเฉพาะไม่ว่าจะเป็นกองพันลาดตระเวน หรือกองร้อยลาดตระเวนทุกรูปแบบ จัดอยู่ในประเภททหารม้าลาดตระเวนทั้งสิ้น

ทหารม้ารถถัง หมายถึง หน่วยทหารม้าที่ดำเนินกลยุทธ์หลัก โดยมีรถถังเป็นยานรบไม่ว่าจะเป็นกองพันรถถังของกองพลทหารราบ หรือกองพันรถถังในอัตราของกรมทหารม้า จัดอยู่ในประเภททหารม้ารถถังทั้งสิ้น

ทหารม้าบรรทุกยานเกราะ หมายถึง หน่วยทหารม้าที่ใช้ดำเนินกลยุทธ์หลัก โดยมียานยนต์สายพานหุ้มเกราะเป็นยานรบหลัก สามารถเคลื่อนที่และทำการรบบนยานรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารม้ารถถังโดยตลอด จะลงรบบนดินเมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินกลยุทธ์ทางพื้นดิน เพื่อชดเชยจุดอ่อนของทหารม้ารถถังเท่านั้น

ทหารม้าขี่ม้า ปัจจุบันกองทัพบกสงวนไว้เพียง 1 กองพัน คือ กองพันทหารม้าที่ 29 รักษาพระองค์ เพื่อใช้ในภารกิจแห่นำตามเสด็จเป็นการเชิดชูเกียรติ วัฒนธรรมประเพณีของชาติ และเป็นการรักษาตำนาน
ทหารม้าอากาศ เป็นทหารม้าที่ใช้อากาศยาน เป็นยานรบหลัก เป็นหน่วยที่มีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่สูงมาก ซึ่งจัดอยู่ในประเภททหารม้าลาดตระเวน เพื่อเอาชนะขีดจำกัดของภูมิประเทศทหารม้าประเภทนี้มหาอำนาจบางประเทศ เช่น สหรัฐ มีการจัดและเคยใช้ปฏิบัติการได้ผลมาแล้วในสงครามเวียดนาม ปัจจุบันกองทัพบกได้อนุมัติหลักการในการจัดตั้งแล้ว 4 กองร้อย เป็นหน่วยขึ้นตรงกับกองทัพบก ฝากการบังคับบัญชาไว้กับ กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ คือ กองร้อยทหารม้าอากาศที่ 1 (ปัจจุบันถูกยุบกองร้อยเป็นที่เรียบร้อย)

หน่วยทหารม้าในปัจจุบันของไทย

หน่วยทหารม้าที่เป็นกำลังรบในปัจจุบัน ทั้งที่จัดตั้งแล้วและยังอยู่ในการดำเนินการจัดตั้งมีอยู่ 3 กองพล, 7 กรม, 31 กองพัน และ 5 กองร้อยอิสระ มีที่ตั้งอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ จังหวัดที่มีหน่วยทหารม้าอยู่ นอกจากกรุงเทพมหานคร และสุโขทัย ได้แก่ สระบุรี, ปราจีนบุรี, นครราชสีมา, ขอนแก่น, เพชรบูรณ์, พิษณุโลก, น่าน, อุตรดิตถ์, แพร่, กาญจนบุรี, นครศรีธรรมราช, ร้อยเอ็ด และปัตตานี

ทหารม้าชาวไทยที่มีชื่อเสียง

จอมพล สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ

พลเอก เปรม ติณสูลานนท์

พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ
589032_0.jpg (88.78 KiB) เข้าดูแล้ว 2655 ครั้ง
ทหารม้าขี่ม้า ปัจจุบันกองทัพบกสงวนไว้เพียง 1 กองพัน คือ กองพันทหารม้าที่ 29 รักษาพระองค์ เพื่อใช้ในภารกิจแห่นำตามเสด็จเป็นการเชิดชูเกียรติ วัฒนธรรมประเพณีของชาติ และเป็นการรักษาตำนาน
ทหารม้าขี่ม้า ปัจจุบันกองทัพบกสงวนไว้เพียง 1 กองพัน คือ กองพันทหารม้าที่ 29 รักษาพระองค์ เพื่อใช้ในภารกิจแห่นำตามเสด็จเป็นการเชิดชูเกียรติ วัฒนธรรมประเพณีของชาติ และเป็นการรักษาตำนาน
113c0ac0-a066-11ee-91bf-230bfab3fcba.jpg (10.33 KiB) เข้าดูแล้ว 2655 ครั้ง
จุดสุดท้ายของ อบต.ยางเนิ้ง คือ วัดกู่เสือ เราออกจากวัดกู่เสือเดินทางไปยังวัดพระนอนป่าเก็ดถี่ เพื่อไปกราบสักการะพระนอนที่ขึ้นชื่อของ อ.สารภีออกจากวัดทางด้านหน้ามาพักเหนื่อยที่สวนสุขภาพ วางแผนการเดินทาง โดยไม่ย้อนทางเดิม
จุดสุดท้ายของ อบต.ยางเนิ้ง คือ วัดกู่เสือ เราออกจากวัดกู่เสือเดินทางไปยังวัดพระนอนป่าเก็ดถี่ เพื่อไปกราบสักการะพระนอนที่ขึ้นชื่อของ อ.สารภีออกจากวัดทางด้านหน้ามาพักเหนื่อยที่สวนสุขภาพ วางแผนการเดินทาง โดยไม่ย้อนทางเดิม
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (114).JPG (124.52 KiB) เข้าดูแล้ว 2655 ครั้ง
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (143).JPG
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (143).JPG (144.17 KiB) เข้าดูแล้ว 2655 ครั้ง
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (144).JPG
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (148).JPG
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (148).JPG (107.86 KiB) เข้าดูแล้ว 2655 ครั้ง
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (150).JPG
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (150).JPG (104.92 KiB) เข้าดูแล้ว 2655 ครั้ง
เมื่อไม่ย้อนทางเดิมเราต้องปั่นออกทางด้านหลัง เทศบาลยางเนิ้งเลาะไปตามซอกซอย ไปทะลุออกที่ รร.วชิราลัย รร.ของหลานรัก และที่ รร.แห่งนี้คือ รร.ที่รับเอาเด็ก ๆ หมูป่านักฟุตบอลล์ มาอุปถัมป์ให้การศึกษา
เมื่อไม่ย้อนทางเดิมเราต้องปั่นออกทางด้านหลัง เทศบาลยางเนิ้งเลาะไปตามซอกซอย ไปทะลุออกที่ รร.วชิราลัย รร.ของหลานรัก และที่ รร.แห่งนี้คือ รร.ที่รับเอาเด็ก ๆ หมูป่านักฟุตบอลล์ มาอุปถัมป์ให้การศึกษา
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (151).JPG (126.74 KiB) เข้าดูแล้ว 2655 ครั้ง
593854_0.jpg
593854_0.jpg (97.11 KiB) เข้าดูแล้ว 2655 ครั้ง
593851.jpg
593851.jpg (151.76 KiB) เข้าดูแล้ว 2655 ครั้ง
593852_0.jpg
593852_0.jpg (74.37 KiB) เข้าดูแล้ว 2655 ครั้ง
ช่วงนั้นน่าสงสารทาง รร.มาก ๆ ที่มีมุมมองของคนที่ไม่เห็นด้วยก็เข้ามาถล่มก่นด่าทาง รร.เป็นอันมาก แต่ก็สามารถฟันฝ่าอุปสรรคไปได้ จิตใจคนที่คับแคบมองไม่พ้นจากอคติต่าง ๆ นานา <br /><br />ปัจจุบันประเทศไทยเราก็มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของบรรดานักท่องเที่ยว ที่ต้องการมาชมสถานที่ ๆ ถ้ำนางนอน กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวติดอันดับ ไปแล้วด้วย ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณน้อง ๆ ที่ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น<br /><br />ผมเคยนำกำลังลาดตระเวนเข้าไปภายในถ้ำแห่งนี้ จากสายสืบที่สืบข่าวว่ามีการนำยาเสพติดมาซุกซ่อน แต่ไม่เจอครับไปเจออีกที่ติด ๆ กับดอยผาหมี
ช่วงนั้นน่าสงสารทาง รร.มาก ๆ ที่มีมุมมองของคนที่ไม่เห็นด้วยก็เข้ามาถล่มก่นด่าทาง รร.เป็นอันมาก แต่ก็สามารถฟันฝ่าอุปสรรคไปได้ จิตใจคนที่คับแคบมองไม่พ้นจากอคติต่าง ๆ นานา

ปัจจุบันประเทศไทยเราก็มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของบรรดานักท่องเที่ยว ที่ต้องการมาชมสถานที่ ๆ ถ้ำนางนอน กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวติดอันดับ ไปแล้วด้วย ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณน้อง ๆ ที่ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น

ผมเคยนำกำลังลาดตระเวนเข้าไปภายในถ้ำแห่งนี้ จากสายสืบที่สืบข่าวว่ามีการนำยาเสพติดมาซุกซ่อน แต่ไม่เจอครับไปเจออีกที่ติด ๆ กับดอยผาหมี
593853_0.jpg (94.67 KiB) เข้าดูแล้ว 2655 ครั้ง
เทือกเขาดอยนางนอนตรงบริเวณทางขึ้นดอยผาหมี ห่างจากถ้ำหมูป่าประมาณ ๒-๓ กม.ชุดข่าวของ ตชด.เรา สืบทราบมีการผลิตเฮโรอีนในถ้ำ ทำเรื่องนำเสนอหน่วยเหนือกลายเป็นเรื่องตลก นายบางคนผรุสวาทว่า &quot;..?.ทำงานมาก่อน.?.ไม่เคยเห็นผลิตเฮโรอีนในถ้ำอย่าเอาเรื่องไร้สาระมานำเสนอ&quot; เพื่อพิสูจน์ทราบผมใช้เวลา ๑ ปีเต็ม ๆ หมดงบส่วนตัวไปหลายตังค์ พยายามสืบจนแน่ใจ จึงนำกำลังเข้าทลายโรงงานได้สำเร็จ ลบคำสบประมาทได้อย่างสวยงาม...แต่ชีวิตความเป็นอยู่ ไม่ราบรื่นเท่าที่ควร เกือบสิ้นชื่อและเกือบกลายเป็นฆาตกรก็หลาย ๆ ครั้ง <br /><br />เมื่อชีวิตมีปัญหาจึงหันหน้าเข้าพึ่งธรรมะ และเมื่อ ๑ ม.ค.๒๕๓๒ ผมก็ประกาศตัวเป็นพุทธมามกะเต็มตัวคือ เลิกอบายมุขทั้งหมดทั้งสิ้นเลิกดื่ม เลิกเล่นดนตรี เลิก ๆ ๆ ตลอดจนให้อภัยแก่ศัตรูทุกรูปทุกนาม นอกจากนี้ยังหันมาเป็นมนุษย์มังสวิรัติเต็มตัวเป็นการไม่เบียดเบียนสัตว์โลกด้วยกันอีกด้วย (๓๔ ปีแล้ว) <br /><br />เมื่อเรามี &quot;ธรรมะ&quot; ในหัวใจอย่างสมบูรณ์เต็มที่ ชีวิตจึงอยู่รอดปลอดภัยจนมาถึงทุกวันนี้ ทำให้ตระหนักและเชื่ออย่างสนิทใจว่า &quot;ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม&quot;
เทือกเขาดอยนางนอนตรงบริเวณทางขึ้นดอยผาหมี ห่างจากถ้ำหมูป่าประมาณ ๒-๓ กม.ชุดข่าวของ ตชด.เรา สืบทราบมีการผลิตเฮโรอีนในถ้ำ ทำเรื่องนำเสนอหน่วยเหนือกลายเป็นเรื่องตลก นายบางคนผรุสวาทว่า "..?.ทำงานมาก่อน.?.ไม่เคยเห็นผลิตเฮโรอีนในถ้ำอย่าเอาเรื่องไร้สาระมานำเสนอ" เพื่อพิสูจน์ทราบผมใช้เวลา ๑ ปีเต็ม ๆ หมดงบส่วนตัวไปหลายตังค์ พยายามสืบจนแน่ใจ จึงนำกำลังเข้าทลายโรงงานได้สำเร็จ ลบคำสบประมาทได้อย่างสวยงาม...แต่ชีวิตความเป็นอยู่ ไม่ราบรื่นเท่าที่ควร เกือบสิ้นชื่อและเกือบกลายเป็นฆาตกรก็หลาย ๆ ครั้ง

เมื่อชีวิตมีปัญหาจึงหันหน้าเข้าพึ่งธรรมะ และเมื่อ ๑ ม.ค.๒๕๓๒ ผมก็ประกาศตัวเป็นพุทธมามกะเต็มตัวคือ เลิกอบายมุขทั้งหมดทั้งสิ้นเลิกดื่ม เลิกเล่นดนตรี เลิก ๆ ๆ ตลอดจนให้อภัยแก่ศัตรูทุกรูปทุกนาม นอกจากนี้ยังหันมาเป็นมนุษย์มังสวิรัติเต็มตัวเป็นการไม่เบียดเบียนสัตว์โลกด้วยกันอีกด้วย (๓๔ ปีแล้ว)

เมื่อเรามี "ธรรมะ" ในหัวใจอย่างสมบูรณ์เต็มที่ ชีวิตจึงอยู่รอดปลอดภัยจนมาถึงทุกวันนี้ ทำให้ตระหนักและเชื่ออย่างสนิทใจว่า "ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม"
595882.jpg (197.2 KiB) เข้าดูแล้ว 2653 ครั้ง
โชคดีในวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ ๆ ถ้าเราไม่หมดกำลังใจ ผมได้เจอ ปราชญหลาย ๆ ท่านเช่น หลวงปู่พุทธทาส พระธรรมสิงหบุราจารย์(หลวงพ่อจรัญ) ฯ ท่านเมตตาส่งกระแสจิต อบรมสั่งสอน ให้ธรรมะและข้อปฏิบัติจนผ่านพ้นวิกฤตต่าง ๆ ไปได้ เรียกว่าความสุขอยู่บนความทุกข์ ธรรมะเจริญอย่างรวดเร็ว ใครก็ทำอะไรเราไม่ได้ ต้องขอบคุณวิกฤตในครั้งนั้นครับ ไตรตรองดูแล้วก็เชื่ออีกอย่างหนึ่งคือ &quot;เมื่อเห็นทุกข์จึงเห็นธรรม&quot;
โชคดีในวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ ๆ ถ้าเราไม่หมดกำลังใจ ผมได้เจอ ปราชญหลาย ๆ ท่านเช่น หลวงปู่พุทธทาส พระธรรมสิงหบุราจารย์(หลวงพ่อจรัญ) ฯ ท่านเมตตาส่งกระแสจิต อบรมสั่งสอน ให้ธรรมะและข้อปฏิบัติจนผ่านพ้นวิกฤตต่าง ๆ ไปได้ เรียกว่าความสุขอยู่บนความทุกข์ ธรรมะเจริญอย่างรวดเร็ว ใครก็ทำอะไรเราไม่ได้ ต้องขอบคุณวิกฤตในครั้งนั้นครับ ไตรตรองดูแล้วก็เชื่ออีกอย่างหนึ่งคือ "เมื่อเห็นทุกข์จึงเห็นธรรม"
IMG_20240110_153340.jpg
IMG_20240110_153340.jpg (103.81 KiB) เข้าดูแล้ว 2646 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4369
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D สวัสดียามเที่ยงวันในวันสำคัญของเด็ก ๆ วันนี้ผมออกบ้านแต่เช้าไปทำการเจาะเลือดที่ รพ.สวนดอก หาค่าของเม็ดเลือดที่ผิดปกติ นัดฟังผลใน ๑๖/๑/๖๗ อีกครั้ง กว่าจะได้เจาะก็สายแล้ว(นี่ขนาดวันหยุดนอกเวลานะ) ขากลับรถติดตลอดเพราะทุก ๆ ที่เขาจัดงานวันเด็กกัน

" วันเด็กแห่งชาติ ของประเทศไทย ตรงกับวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคมของทุกปี เป็นวันหยุดราชการที่ไม่ได้ชดเชยในวันทำงานถัดไป มีการให้คำขวัญวันเด็กทุกปีโดยนายกรัฐมนตรีไทย เริ่มต้นจัดงานวันเด็กครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2498 โดยได้กำหนดให้เป็นวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม เป็นวันเด็กแห่งชาติ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2507 ได้มีมติเปลี่ยนแปลงเป็นวันเด็กแห่งชาติมาเป็นวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคม โดยเริ่มจัดงานวันเด็กในปี พ.ศ. 2508"

สมัยผมวันเด็กโชคดีเจอทั้งตุลาฯและมกราฯ ครับ คำขวัญที่จำติดใจจนทุกวันนี้คือ "ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่อยู่ในระเบียบวินัย(จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ 2504)" และ "เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ(จอมพล ถนอม กิตติขจร 2512)"

วันนี้จะพาท่านไปชมวัดพระนอนป่าเก็ดถี่ ซึ่งเป็นวัดที่ชาวยางเนิ้งให้ความสำคัญและเป็นวัดพระนอน หนึ่งในสองพระนอนของ อ.สารภี อำเภอสารภีมีคำขวัญว่า “ต้นยางใหญ่ ลำไยหวาน เมืองโบราณเวียงกุมกาม พระนอนบวรงาม เชิดชูนามสารภี" พระนอนบวรงามก็คือพระนอนป่าเก็ดถี่ ต,ยางเนิ้ง กับ พระนอนอีกองค์อยู่เขต ต.หนองผึ้งซึ่งจะพาท่านไปชมต่อจากเทศบาลตำบลยางเนิ้งครับ ติดตามให้กำลังใจไปตลอดทริปนะครับ
:) :D



:) :D วัดพระนอนป่าเก็ดถี่ อยู่ที่อำเภอสารภี เชียงใหม่ ชื่อนี้มีความหมาย :) :D

:idea: :idea: บุคคลผู้มีสติปัญญาดี

เมื่อได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง พระสัจธรรม อันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว เขาย่อมเป็นผู้มีจิตแสนฉลาด รู้ความหมาย มีศรัทธาเลื่อมใส เข้าใจในอรรถในธรรม

# เขาทำแต่กรรมดี ละกายทุจริต ดังจิตเจตนา เว้นห่างทางบาป เช่น ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมยเอาข้าวของของผู้อื่น ไม่ประพฤติผิดมิจฉาทางกาม ไม่พูดความเท็จ พูดแต่ความจริง ไม่พูดส่อเสียดให้เกิดความทะเลาะ แตกความสามัคคีต่อกันและกัน ไม่พูดคำหยาบคายไม่แสลงหู ทำให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจดี ไม่มีภัยในคำพูด พูดมั่นคงมีหลักฐาน ไม่เป็นคำเพ้อเจ้อเหลวไหล ไร้ประโยชน์ เป็นวาจาสะอาด นักปราชญ์นิยมชมชอบ

#บุคคลผู้ฉลาดนั้น_แม้จะคิดสิ่งใด # ก็ไม่คิดเพื่อเบียดเบียนตนและคนอื่น "อนภิชฌาอพยาบาท" มีความเห็นถูกต้อง #คิดเว้นกรรมชั่ว ศึกษา สมาทานทำแต่กรรมดี ยินดีพอใจในการทำบุญ มีทานามัย ศีลามัย ภาวนามัย ให้ความสำเร็จเป็นบุญ อาศัยได้กำลังหนุนมาจาก "ปุญญาภิสังขาร" เป็นนายช่าง มี "วิชชา" มาเป็นปัจจัย ให้เป็นไปสมควรแก่กำลังของตน นี่เป็นฝ่ายกุศลธรรม ทำได้ทุกคน

เมื่อจิตมีความฉลาดแล้ว ย่อมยังกุศลให้ถึงพร้อม ที่เรียกว่า "กุสลัสสูปสัมปทา เอตัง พุทธานสาสนันติ" นี้เป็นพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย...เราทุกคนควรระลึกนึกมาเป็นธรรมคำภาวนา ว่า "สวากขาโต ภควตา ธัมโม" หรือจะบริกรรมว่า "ธัมโม เม นาโถ" หรือ "ธัมโมๆๆๆๆๆ" ก็ได้ ให้พากันปฏิบัติอย่างนี้ จึงจะถูก จึงจะมีผลอานิสงส์มาก เป็นทางสุคติ

#ปฏิบัติถูกอย่างนี้ จึงจะได้รับประโยชน์สำเร็จสุข ในมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ เป็นสมบัติสุขอย่างยิ่ง

#ได้เลิกละความเชื่อถือที่นับถือผิดๆ #อันพวกเราเคยถือมาแล้วนั้นเสีย...


พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ
:idea: :idea:
ไฟล์แนบ
ออกบ้านแต่เช้าหวังจะได้คิวแรก ๆ ปรากฏคิวที่ ๐๒๔ ได้เจาะเกือบ ๐๙.๐๐ น.เส้นเลือดเล็กมากสาเหตุจากเราให้คีโม และฉายแสงเกี่ยวกับมะเร็ง ยังไม่พอตอนนี้ต้องทานยาต้านเม็ดเลือดที่ผลิตเม็ดเลือดมากเกินปรกติ (เป็นยาเคมีน้อง ๆ คีโม)  เวลาเจาะเลือดต้องโดนเจาะอย่างน้อย ๒ - ๓ แห่ง เช้านี้โดน ๒ จุด หมอบอกเจ็บหน่อยนะ ก็บอกหมอตามสบายครับ..(เจ็บไม่เท่าถูกแทง..ถูกยิง??
ออกบ้านแต่เช้าหวังจะได้คิวแรก ๆ ปรากฏคิวที่ ๐๒๔ ได้เจาะเกือบ ๐๙.๐๐ น.เส้นเลือดเล็กมากสาเหตุจากเราให้คีโม และฉายแสงเกี่ยวกับมะเร็ง ยังไม่พอตอนนี้ต้องทานยาต้านเม็ดเลือดที่ผลิตเม็ดเลือดมากเกินปรกติ (เป็นยาเคมีน้อง ๆ คีโม) เวลาเจาะเลือดต้องโดนเจาะอย่างน้อย ๒ - ๓ แห่ง เช้านี้โดน ๒ จุด หมอบอกเจ็บหน่อยนะ ก็บอกหมอตามสบายครับ..(เจ็บไม่เท่าถูกแทง..ถูกยิง??
599283_0.jpg (90.78 KiB) เข้าดูแล้ว 2517 ครั้ง
การจัดงานวันเด็ก<br /><br />ปี พ.ศ. 2498 อันเป็นปีที่ทั่วโลกเริ่มจัดงานเฉลิมฉลองวันเด็กแห่งชาติกันขึ้น ซึ่งจะเป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี ตามความเห็นคล้อยตามกับองค์การสหประชาชาติที่นำปัญหาเรื่องเด็กมาร่างเป็นปฏิญญาว่าด้วยสิทธิของเด็ก<br /><br />ประเทศไทยได้รับข้อเสนอของ วี เอ็ม กุลกานี ผู้แทนองค์กรสมาพันธ์เพื่อสวัสดิภาพเด็กระหว่างประเทศ ผ่านมาทางกรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย ว่า ประเทศไทยควรจัดงานเฉลิมฉลองวันเด็กแห่งชาติขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเห็นความสำคัญของเด็กให้มากขึ้น ดังที่นานาประเทศกำลังทำอยู่<br /><br />ขณะนั้น สภาวัฒนธรรมแห่งชาติยังมิได้ถูกยุบเลิกไป คณะกรรมการสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ จึงนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมเพื่อพิจารณา ในที่สุดที่ประชุมได้เห็นชอบนำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในขณะนั้น ต่อมาเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2498 ได้มีมติคณะรัฐมนตรีรับหลักการ ให้จัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้น โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงศึกษาธิการรับไปดำเนินการ ส่วนของค่าใช้จ่ายในการจัดงานนั้น ได้อนุมัติเงินจากกองสลากกินแบ่งรัฐบาลมาดำเนินการ<br /><br />ดังนั้น ในวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2498 ประเทศไทยจึงมีงานเฉลิมฉลองวันเด็กแห่งชาติเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก จากนั้นเป็นต้นมา ทางราชการได้กำหนดวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปีเป็นวันเด็กแห่งชาติ และจัดติดต่อกันมาจนถึงปี พ.ศ. 2507 ที่ประชุมคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติในปีนั้น มีความเห็นพ้องต้องกันว่า สมควรที่จะเสนอเปลี่ยนวันจัดงานวันเด็กแห่งชาติเสียใหม่เพื่อความเหมาะสม ด้วยเหตุผลว่า ในเดือนตุลาคม ประเทศไทยยังอยู่ในฤดูฝน มีฝนตกมาก เด็กไม่สะดวกในการมาร่วมงาน ประการต่อมาก็คือ วันจันทร์เป็นวันปฏิบัติงานของผู้ปกครอง จึงไม่สามารถพาเด็กของตนไปร่วมงานได้ ตลอดจนการจราจรก็ติดขัด อีกทั้งการที่กำหนดให้วันเด็กต้องจัดในช่วงต้นปี มีความหมายว่า ทุกภาคส่วนของประเทศจะต้องให้ความสำคัญกับเด็กเป็นอันดับแรก ๆ<br /><br />คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติเสนอ ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2507 ประกาศเปลี่ยนงานฉลองวันเด็กแห่งชาติจากวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม มาเป็นวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคมตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้ปี พ.ศ. 2507 ไม่มีงานวันเด็กแห่งชาติด้วยการประกาศเปลี่ยนได้เลยวันมาแล้ว<br /><br />งานวันเด็กแห่งชาติจึงได้เริ่มจัดขึ้นมาใหม่อีกครั้งใน พ.ศ. 2508 โดยมีคำขวัญวันเด็กในปีนั้นว่า &quot;เด็กจะเจริญต้องรักเรียนเพียรทำดี&quot;และจัดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
การจัดงานวันเด็ก

ปี พ.ศ. 2498 อันเป็นปีที่ทั่วโลกเริ่มจัดงานเฉลิมฉลองวันเด็กแห่งชาติกันขึ้น ซึ่งจะเป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี ตามความเห็นคล้อยตามกับองค์การสหประชาชาติที่นำปัญหาเรื่องเด็กมาร่างเป็นปฏิญญาว่าด้วยสิทธิของเด็ก

ประเทศไทยได้รับข้อเสนอของ วี เอ็ม กุลกานี ผู้แทนองค์กรสมาพันธ์เพื่อสวัสดิภาพเด็กระหว่างประเทศ ผ่านมาทางกรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย ว่า ประเทศไทยควรจัดงานเฉลิมฉลองวันเด็กแห่งชาติขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเห็นความสำคัญของเด็กให้มากขึ้น ดังที่นานาประเทศกำลังทำอยู่

ขณะนั้น สภาวัฒนธรรมแห่งชาติยังมิได้ถูกยุบเลิกไป คณะกรรมการสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ จึงนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมเพื่อพิจารณา ในที่สุดที่ประชุมได้เห็นชอบนำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในขณะนั้น ต่อมาเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2498 ได้มีมติคณะรัฐมนตรีรับหลักการ ให้จัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้น โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงศึกษาธิการรับไปดำเนินการ ส่วนของค่าใช้จ่ายในการจัดงานนั้น ได้อนุมัติเงินจากกองสลากกินแบ่งรัฐบาลมาดำเนินการ

ดังนั้น ในวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2498 ประเทศไทยจึงมีงานเฉลิมฉลองวันเด็กแห่งชาติเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก จากนั้นเป็นต้นมา ทางราชการได้กำหนดวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปีเป็นวันเด็กแห่งชาติ และจัดติดต่อกันมาจนถึงปี พ.ศ. 2507 ที่ประชุมคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติในปีนั้น มีความเห็นพ้องต้องกันว่า สมควรที่จะเสนอเปลี่ยนวันจัดงานวันเด็กแห่งชาติเสียใหม่เพื่อความเหมาะสม ด้วยเหตุผลว่า ในเดือนตุลาคม ประเทศไทยยังอยู่ในฤดูฝน มีฝนตกมาก เด็กไม่สะดวกในการมาร่วมงาน ประการต่อมาก็คือ วันจันทร์เป็นวันปฏิบัติงานของผู้ปกครอง จึงไม่สามารถพาเด็กของตนไปร่วมงานได้ ตลอดจนการจราจรก็ติดขัด อีกทั้งการที่กำหนดให้วันเด็กต้องจัดในช่วงต้นปี มีความหมายว่า ทุกภาคส่วนของประเทศจะต้องให้ความสำคัญกับเด็กเป็นอันดับแรก ๆ

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติเสนอ ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2507 ประกาศเปลี่ยนงานฉลองวันเด็กแห่งชาติจากวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม มาเป็นวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคมตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้ปี พ.ศ. 2507 ไม่มีงานวันเด็กแห่งชาติด้วยการประกาศเปลี่ยนได้เลยวันมาแล้ว

งานวันเด็กแห่งชาติจึงได้เริ่มจัดขึ้นมาใหม่อีกครั้งใน พ.ศ. 2508 โดยมีคำขวัญวันเด็กในปีนั้นว่า "เด็กจะเจริญต้องรักเรียนเพียรทำดี"และจัดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
599282_0.jpg (68.46 KiB) เข้าดูแล้ว 2517 ครั้ง
จาก รร.วชิราลัย ข้ามถนนแล้วตรงไปอีกประมาณ ๕-๗๐๐ ม.ก็จะถึงวัดพระนอนป่าเก็ดถี่ เป็นจุดสุดท้ายของถนนวัฒนธรรมเขต ต.ยางเนิ้ง ที่จะพาทุกท่านไปเยี่ยมชมครับ
จาก รร.วชิราลัย ข้ามถนนแล้วตรงไปอีกประมาณ ๕-๗๐๐ ม.ก็จะถึงวัดพระนอนป่าเก็ดถี่ เป็นจุดสุดท้ายของถนนวัฒนธรรมเขต ต.ยางเนิ้ง ที่จะพาทุกท่านไปเยี่ยมชมครับ
๑๕ ธ.ค.๖๖ ต.ยางเนิ้ง สารภี (151).JPG (126.74 KiB) เข้าดูแล้ว 2517 ครั้ง
วัดพระนอนป่าเก็ดถี่<br /><br />ประวัติการสร้างวัดไม่ทราบแน่ชัด มีตำนานอยู่สองเรื่องที่กล่าวถึงที่มาที่ไปของพระอารามแห่งนี้ เรื่องแรกมีอยู่ว่า พระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์แห่งนครหริภุญไชย เสด็จประพาสป่าทางทิศเหนือของเมืองลำพูน กลางดึกนั้นพระนางมองเห็นแสงโชติช่วงพุ่งขึ้นมาจากป่าทิศตะวันตก รุ่งขึ้นเมื่อให้ข้าราชบริพารออกตามหาที่มาของลำแสงนั้น ก็ปรากฏพระนอน มีรูปแบบศิลปะงดงามวิจิตรมากตั้งอยู่กลางป่าเขารกชัฏ พระนางจึงโปรดให้บูรณะพระนอนองค์นั้น แล้วสร้างพระอารามขึ้น เรียกว่า “วัดพระนอนป่าเก็ดถี่”<br /><br />พระนอนแสนสุข พระราชชายาเจ้าดารารัศมีประทานนามให้ตามพระพักต์ที่ยิ้มแย้ม<br /><br />อีกตำนานหนึ่งเล่าย้อนกลับไปไกลกว่านั้น เมื่อครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงเสด็จออกโปรดสัตว์ ในป่าราชายตนะ (ป่าไม้เก็ด) มียักษ์ตนหนึ่งอาศัยอยู่ใกล้หนองน้ำ วันหนึ่งนางอุทุม บุตรสาวของนายแสนแซว่ นายบ้านชาวลั้วะได้ออกไปหาปลา แล้วหลงทางเข้าไปในป่าไม้เก็ด และพบกับยักษ์ตนนั้นเข้า ยักษ์ตนนั้นมุ่งหน้ามาหวังจะทำร้ายนางอุทุม แต่ปรากฏเสียงดังขึ้นปรามว่า “หยุดทำบาปเถิด” ในตอนแรกยักษ์ไม่ทราบว่านั้นคือพระพุทธเจ้า แต่ต่อมาพระพุทธเจ้าก็แสดงธรรมโปรดยักษ์ร้าย และนางอุทุม ทั้งสองเกิดความซาบซึ้งในรสพระธรรมคำสอน จนฟันของยักษ์หลุดออกมา ต่อมานายแสนแซว่ผู้เป็นพ่อไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงประทานเส้นพระเกศาให้
วัดพระนอนป่าเก็ดถี่

ประวัติการสร้างวัดไม่ทราบแน่ชัด มีตำนานอยู่สองเรื่องที่กล่าวถึงที่มาที่ไปของพระอารามแห่งนี้ เรื่องแรกมีอยู่ว่า พระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์แห่งนครหริภุญไชย เสด็จประพาสป่าทางทิศเหนือของเมืองลำพูน กลางดึกนั้นพระนางมองเห็นแสงโชติช่วงพุ่งขึ้นมาจากป่าทิศตะวันตก รุ่งขึ้นเมื่อให้ข้าราชบริพารออกตามหาที่มาของลำแสงนั้น ก็ปรากฏพระนอน มีรูปแบบศิลปะงดงามวิจิตรมากตั้งอยู่กลางป่าเขารกชัฏ พระนางจึงโปรดให้บูรณะพระนอนองค์นั้น แล้วสร้างพระอารามขึ้น เรียกว่า “วัดพระนอนป่าเก็ดถี่”

พระนอนแสนสุข พระราชชายาเจ้าดารารัศมีประทานนามให้ตามพระพักต์ที่ยิ้มแย้ม

อีกตำนานหนึ่งเล่าย้อนกลับไปไกลกว่านั้น เมื่อครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงเสด็จออกโปรดสัตว์ ในป่าราชายตนะ (ป่าไม้เก็ด) มียักษ์ตนหนึ่งอาศัยอยู่ใกล้หนองน้ำ วันหนึ่งนางอุทุม บุตรสาวของนายแสนแซว่ นายบ้านชาวลั้วะได้ออกไปหาปลา แล้วหลงทางเข้าไปในป่าไม้เก็ด และพบกับยักษ์ตนนั้นเข้า ยักษ์ตนนั้นมุ่งหน้ามาหวังจะทำร้ายนางอุทุม แต่ปรากฏเสียงดังขึ้นปรามว่า “หยุดทำบาปเถิด” ในตอนแรกยักษ์ไม่ทราบว่านั้นคือพระพุทธเจ้า แต่ต่อมาพระพุทธเจ้าก็แสดงธรรมโปรดยักษ์ร้าย และนางอุทุม ทั้งสองเกิดความซาบซึ้งในรสพระธรรมคำสอน จนฟันของยักษ์หลุดออกมา ต่อมานายแสนแซว่ผู้เป็นพ่อไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงประทานเส้นพระเกศาให้
สารภี ๒๓๖.jpg (109.98 KiB) เข้าดูแล้ว 2517 ครั้ง
สารภี ๒๓๗.jpg
สารภี ๒๓๘.jpg
สารภี ๒๓๘.jpg (117.83 KiB) เข้าดูแล้ว 2517 ครั้ง
สารภี ๒๓๙jpg.jpg
สารภี ๒๔๐.๑.jpg.jpg
สารภี ๒๔๐.๑.jpg.jpg (97.9 KiB) เข้าดูแล้ว 2517 ครั้ง
สารภี ๒๔๐.jpg.jpg
สารภี ๒๔๐.jpg.jpg (133.31 KiB) เข้าดูแล้ว 2517 ครั้ง
สารภี ๒๔๑.jpg.jpg
สารภี ๒๔๑.jpg.jpg (104.31 KiB) เข้าดูแล้ว 2517 ครั้ง
สารภี ๒๔๒.jpg.jpg
สารภี ๒๔๓.jpg.jpg
สารภี ๒๔๓.jpg.jpg (121.6 KiB) เข้าดูแล้ว 2517 ครั้ง
สารภี ๒๔๔.jpg.jpg
สารภี ๒๔๔.jpg.jpg (125.48 KiB) เข้าดูแล้ว 2517 ครั้ง
พระนอนที่นี่นานนานเราไปเยี่ยม เราอาจจะเห็นทางวัดเปลี่ยนจีวรสีจะแปลกตาไป อย่าตกใจนะครับ สวยแปลกตาดี คราวนี้ผมไปก็ตกใจ &quot;เอ้า..ครานี้สีเป็นแบบท่านครูบาบุญชุ่มเลย ๕๕&quot; ก็เลยไปค้นหาสีที่เคยเห็นนำมาให้ท่านได้เป็นข้อมูลครับ
พระนอนที่นี่นานนานเราไปเยี่ยม เราอาจจะเห็นทางวัดเปลี่ยนจีวรสีจะแปลกตาไป อย่าตกใจนะครับ สวยแปลกตาดี คราวนี้ผมไปก็ตกใจ "เอ้า..ครานี้สีเป็นแบบท่านครูบาบุญชุ่มเลย ๕๕" ก็เลยไปค้นหาสีที่เคยเห็นนำมาให้ท่านได้เป็นข้อมูลครับ
จากบ้านปากกองเราปั่นเยี่ยมสถานที่สำคัญของ ต.ยางเนิ้ง (น่าจะครบ) ถือว่าไม่ไกลครับ ไป-กลับ สิบกว่าโล( จิ๊บๆ ) ถือเป็นการออกกำลังที่ไม่หักโหมตามหมอสั่ง อาทิตย์หน้าจะเป็นเขต ต.หนองผึ้ง ก็อย่าลืมติดตามให้กำลังใจ จะพยายามค้นคว้าหาจุดเด่นสำคัญ ๆ เพื่อเป็นข้อมูลท่านใดไปเที่ยวเชียงใหม่ จะได้หาเวลาไปแวะเวียนเยี่ยมชมสถานที่สำคัญ ๆ ของ อ.สารภีกันครับ
จากบ้านปากกองเราปั่นเยี่ยมสถานที่สำคัญของ ต.ยางเนิ้ง (น่าจะครบ) ถือว่าไม่ไกลครับ ไป-กลับ สิบกว่าโล( จิ๊บๆ ) ถือเป็นการออกกำลังที่ไม่หักโหมตามหมอสั่ง อาทิตย์หน้าจะเป็นเขต ต.หนองผึ้ง ก็อย่าลืมติดตามให้กำลังใจ จะพยายามค้นคว้าหาจุดเด่นสำคัญ ๆ เพื่อเป็นข้อมูลท่านใดไปเที่ยวเชียงใหม่ จะได้หาเวลาไปแวะเวียนเยี่ยมชมสถานที่สำคัญ ๆ ของ อ.สารภีกันครับ
สารภี ๒๔๕.jpg.jpg (72.61 KiB) เข้าดูแล้ว 2517 ครั้ง
สำหรับท่านที่ไม่ใช่คนเมืองเหนือ วันนี้มีคำเมืองมาฝาก ใครที่อ่านได้รู้เรื่อง แปลให้ฟังแล้วตอบกลับในกระทู้นี้ จะมีรางวัลเป็นหนังสือ ส่งให้อ่านถึงบ้านครับ ๕๕๕ ลองนะ..<br /><br />ลำบากโทะ.<br /><br />  ชีวิตป้อก๊า         ขายส๊า.ไซ ก๋วย<br />สุ่ม.บุง.น้ำบวย      ด้ง.เหิง.ไห.เข้า<br />หนุ่มหน้อยหน้ามล  คนพะเยาเจ้า<br />มาขายเร่เอา         เป๋นปุ๊ก<br />  <br />ย้อนวาสนา         เกิดมามันตุ๊กข์<br />บ่สุขอย่างเจ้า       นายคน<br />ฝนต๊กแดดฮ้อน     กะบ่เกยสน<br />จ๋ำใจอดทน         ง่ามก้นปอด้าน<br />  <br />แจ้งเจ๊ามืนต๋า       ล้างหน้าออกบ้าน<br />เป๋นมาเมินนาน      ค่ำเจ๊า<br />ผ้องจี้สนใจ๋          อันในนั้นเล้า<br />ต้องเตหื้อเจ้า        เลือกกอย<br />  <br />ตินั่นว่านี้             เป๋นดีเหงาหงอย<br />ง่อมใจ๋จอยวอย     บ่ซื้อเหียหั้น<br />เมื่อเขาบ่สน         จ๋ำทนอดกั้น<br />กั๊นมัดใหม่มัน        จ่นล้า<br />  <br />อิดใจ๋เต๋มที         ชีวิตป้อก๊า<br />หากิ๋นตางหน้า      เป๋นไป<br />อาบเหื่อต๋างน้ำ     หลายครั้งเหื่อไหล<br />ผ๊ดแผ่วเต่วใน       คันในฮ่องก้น<br /><br />คัน..-ำ โจ้น โจ้น..
สำหรับท่านที่ไม่ใช่คนเมืองเหนือ วันนี้มีคำเมืองมาฝาก ใครที่อ่านได้รู้เรื่อง แปลให้ฟังแล้วตอบกลับในกระทู้นี้ จะมีรางวัลเป็นหนังสือ ส่งให้อ่านถึงบ้านครับ ๕๕๕ ลองนะ..

ลำบากโทะ.

ชีวิตป้อก๊า ขายส๊า.ไซ ก๋วย
สุ่ม.บุง.น้ำบวย ด้ง.เหิง.ไห.เข้า
หนุ่มหน้อยหน้ามล คนพะเยาเจ้า
มาขายเร่เอา เป๋นปุ๊ก

ย้อนวาสนา เกิดมามันตุ๊กข์
บ่สุขอย่างเจ้า นายคน
ฝนต๊กแดดฮ้อน กะบ่เกยสน
จ๋ำใจอดทน ง่ามก้นปอด้าน

แจ้งเจ๊ามืนต๋า ล้างหน้าออกบ้าน
เป๋นมาเมินนาน ค่ำเจ๊า
ผ้องจี้สนใจ๋ อันในนั้นเล้า
ต้องเตหื้อเจ้า เลือกกอย

ตินั่นว่านี้ เป๋นดีเหงาหงอย
ง่อมใจ๋จอยวอย บ่ซื้อเหียหั้น
เมื่อเขาบ่สน จ๋ำทนอดกั้น
กั๊นมัดใหม่มัน จ่นล้า

อิดใจ๋เต๋มที ชีวิตป้อก๊า
หากิ๋นตางหน้า เป๋นไป
อาบเหื่อต๋างน้ำ หลายครั้งเหื่อไหล
ผ๊ดแผ่วเต่วใน คันในฮ่องก้น

คัน..-ำ โจ้น โจ้น..
593593.jpg (27.72 KiB) เข้าดูแล้ว 2517 ครั้ง
แก้ไขล่าสุดโดย Deang-sarapee เมื่อ 13 ม.ค. 2024, 14:23, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4369
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »


:idea: :idea: เพลงวันครูแห่งชาติ :idea: :idea:

:idea: :idea: วันครูตรงกับวันที่ 16 มกราคม ของทุกๆปี (Teachers' Day)

จุดประสงค์ในการมีวันครูนี้ เพื่อให้นักเรียนได้ระลึกถึงพระคุณของครูบาอาจารย์ แม่พิมพ์ พ่อพิมพ์ของชาติที่ได้อบรมสั่งสอนเรามาตั้งแต่เล็ก ทำให้เราเป็นคนดีรู้วิชา เพราะฉะนั้นครูจึงเป็นบุคคลที่สำคัญอย่างมากในวงการ การศึกษา ทั้งในด้านวิชาการ และประสบการณ์ รวมทั้งเป็นอาชีพที่ถือว่ามีความเสียสละเพื่อส่วนรวมอย่างมาก

เหตุผลที่วันที่ 16 มกราคมของทุกปีถูกกำหนดให้เป็นวันครูอันเนื่องมาจาก ในปี 2488 ประเทศไทยมีการประกาศพระราชบัญญัติครูขึ้นมาในราชกิจจานุเบกษา จึงมีการกำหนดให้มีวันครูครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ.2500 เป็นต้นมา

ความหมายของครู

ครู หมายถึง ผู้อบรมสั่งสอนแนะนำ ผู้ถ่ายทอดความรู้ ผู้สร้างสรรค์ภูมิปัญญา และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของสังคมและประเทศชาติ เป็นผู้ที่มีหน้าที่สอน อบรมเกี่ยวกับวิชาความรู้ การอ่านเขียน รวมไปถึงการให้ความรู้และแนะนำในการใช้ชีวิตประจำวันและการทำงาน (คำว่าครูนั้นมาจากศัพท์ภาษาสันสกฤต คำว่า "คุรุ" และภาษาบาลี คำว้า "ครุ" , "คุรุ")

ประวัติความเป็นมาของวันครูแห่งชาติ

วันครูได้จัดให้มีขึ้น ครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ. 2488 ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า"คุรุสภา" ซึ่งมีสถานะเป็นนิติบุคคลและให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความ เห็นในเรื่องนโยบายการศึกษา และวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษาธิการ จัดสวสัดิการให้แก่ครูและครอบครัว ได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู

ด้วยเหตุนี้ในทุกๆปี คุรุสภาจึงจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งซักถามปัญหาข้อข้องใจต่างๆเกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภา โดยมี คณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นผู้ตอบข้อสงสัย สถานที่ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุม"สามัคคยาจารย์"หอประชุมของจุฬาลงกร ณมหาวิทยาลัย ในระยะหลังจึงมาใช้หอประชุมของคุรุสภา

ปี พ.ศ. 2499 ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์ ได้กล่าวปราศัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า "ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณเป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่า"วันครู"ควรมีสักวันหนึ่งสำหรับให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายได้ แสดงความเคารพสักการะต่อบรรดาครูผู้มีพระคุณทั้งหลาย เพราะเหตุว่าสำหรับคนทั่วไปถ้าถึงวันตรุษ วันสงกรานต์ เราก็นำอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง"

จากแนวความคิดนี้ กอรปกับความคิดเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่นๆที่ล้วนเรียกร้อง ให้มี "วันครู" เพื่อให้เป็นการรำลึกถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสีย สละ ประกอบคุณงามความดีเพื่แประโยชน์ของชาติ และประชาชนเป็นอันมาก ในปีเดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจำปีจึงได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติ เห็นควรให้มี "วันครู" เพื่อเสนอคณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอในหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครู และเพื่อส่งเสริมความเข้าใจอีนดีระหว่างครูกับประชาชน

ในที่สุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2499 ให้วันที่ 16 มกราคม ของทุกปีเป็น "วันครู" โดยถือเอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจา นุเบกษาเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2488 เป็นวันครู และให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดัง กล่าวได้

การจัดงานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2500 ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติเป็นที่จัดงาน งานวันครูนี้ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้ให้แก่อนุชนรุ่น หลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญคือหนังสือประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างที่เป็นถาวรวัตถุ
:idea: :idea:

:) :D ผมขอกราบคารวะคุณครูทุกท่านทุกคน ที่ได้อบรมสอนสั่งให้กระผมได้ดิบได้ดี มีชีวิตที่ดีได้ก็เพราะครู ขอกราบแทบเท้าคารวะคุณครูทุกๆ คนด้วยหัวใจครับ :) :D
ไฟล์แนบ
เมื่อวันวานเป็นวันเกิดครบรอบ ๗๔ ปีของผม ปรกติผมงดให้ความสำคัญและเลิกจัดงานวันเกิดให้กับตัวเองมาหลายปีแล้ว จนลืมไปเลยว่าตัวเองมีวันเกิด ปีนี้หลานชาย(ด.ช.ปุรณพัฒน์ ฯ ๗ ขวบ) ทำ surprise แอบจัดการสั่งเค็กวันเกิดช็อคโกแลตของชอบปู่ และดำเนินกรรมวิธีต่าง ๆ เช่นปิดไฟ ประคองเค็กเดินมามอบให้ที่โต๊ะอาหาร พร้อมจุดเทียนและร้องเพลง happy birthday (คิดได้ไง?) แทบน้ำตาไหล ไม่คิดไม่ฝันจริง ๆ ว่าเด็กน้อยตัวเล็ก ๆ จะมีแนวคิดจัดการได้ขนาดนี้ (กำลังจะตำหนิย่า ครั้งแรกนึกว่าย่าเป็นคนจัดการ)<br /><br />ขอบใจหลานรักขอให้หลานเป็นเด็กดี เป็นที่รักของผู้พบเห็นและเรียนหนังสือเก่งๆ เพื่อจะได้มีอนาคตที่สดใส ไว้เป็นที่พึ่งของคุณพ่อ-คุณแม่ ปู่คงจะอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว
เมื่อวันวานเป็นวันเกิดครบรอบ ๗๔ ปีของผม ปรกติผมงดให้ความสำคัญและเลิกจัดงานวันเกิดให้กับตัวเองมาหลายปีแล้ว จนลืมไปเลยว่าตัวเองมีวันเกิด ปีนี้หลานชาย(ด.ช.ปุรณพัฒน์ ฯ ๗ ขวบ) ทำ surprise แอบจัดการสั่งเค็กวันเกิดช็อคโกแลตของชอบปู่ และดำเนินกรรมวิธีต่าง ๆ เช่นปิดไฟ ประคองเค็กเดินมามอบให้ที่โต๊ะอาหาร พร้อมจุดเทียนและร้องเพลง happy birthday (คิดได้ไง?) แทบน้ำตาไหล ไม่คิดไม่ฝันจริง ๆ ว่าเด็กน้อยตัวเล็ก ๆ จะมีแนวคิดจัดการได้ขนาดนี้ (กำลังจะตำหนิย่า ครั้งแรกนึกว่าย่าเป็นคนจัดการ)

ขอบใจหลานรักขอให้หลานเป็นเด็กดี เป็นที่รักของผู้พบเห็นและเรียนหนังสือเก่งๆ เพื่อจะได้มีอนาคตที่สดใส ไว้เป็นที่พึ่งของคุณพ่อ-คุณแม่ ปู่คงจะอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว
สารภี ๒๕๗.jpg.jpg (82.92 KiB) เข้าดูแล้ว 2297 ครั้ง
เช้าวันนี้จะพาทุกท่านเดินทางท่องเที่ยวยังถนนวัฒนธรรม อ.สารภี กันต่อนะครับ เป็น ต.หนองผึ้ง ต่อจาก ต.ยางเนิ้ง
เช้าวันนี้จะพาทุกท่านเดินทางท่องเที่ยวยังถนนวัฒนธรรม อ.สารภี กันต่อนะครับ เป็น ต.หนองผึ้ง ต่อจาก ต.ยางเนิ้ง
สารภี ๒๕๖.jpg.jpg (10.8 KiB) เข้าดูแล้ว 2297 ครั้ง
สารภี ๒๕๒.jpg.jpg
สารภี ๒๕๒.jpg.jpg (55.91 KiB) เข้าดูแล้ว 2297 ครั้ง
สารภี ๒๕๓.jpg.jpg
สารภี ๒๕๓.jpg.jpg (16.15 KiB) เข้าดูแล้ว 2297 ครั้ง
สารภี ๒๕๔.jpg.jpg
สารภี ๒๕๔.jpg.jpg (55.98 KiB) เข้าดูแล้ว 2297 ครั้ง
ประวัติความเป็นมา <br />เทศบาลตําบลตําบลหนองผึ้ง ได้จัดตั้งครั้งแรกตามพระราชบัญญัติสภาตําบลและองค์การบริหารส่วน ตําบล พ.ศ.2537 ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2538<br />และได้มีการยกฐานะเป็นเทศบาลตําบลหนองผึ้งตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจัดตั้งเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2550 เป็นต้นไป<br /><br />ปัจจุบันเทศบาลตําบลหนองผึ้ง เป็นเทศบาลประเภทสามัญ ตามประกาศโครงสร้างส่วนราชการ เมื่อวันที่ 9 เดือน มีนาคม พ.ศ. 2559 โดยกําหนดส่วนราชการ ดังนี้<br /><br />1.สํานักปลัด<br />2.กองคลัง<br />3.กองช่าง<br />4.กองการศึกษา<br />5.กองสวัสดิการสังคม<br />6.กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม<br />7.หน่วยตรวจสอบภายใน<br />ข้อมูล ณ วันที่ 9 มกราคม 2565<br /><br /><br />วิสัยทัศน์ / พันธกิจ / ยุทธศาสตร์ <br /><br />1 วิสัยทัศน์ (Vision)<br />“เทศบาลตําบลหนองผึ้ง เป็นองค์กรที่มีการบริหารจัดการโปร่งใส พัฒนาสุขอนามัยถ้วนหน้า<br />รักษาสภาพสิ่งแวดล้อม สร้างความพร้อมทางการศึกษา ฟื้นฟูภูมิปัญญา ร่วมรักษาวัฒนธรรม นําการพัฒนาชุมชน<br />และท้องถิ่นน่าอยู่อย่างยั่งยืน”<br /><br />2 ยุทธศาสตร์<br />ยุทธศาสตร์ที่ 1 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน<br />ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาด้านความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง<br />ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาด้านการสร้างแห่งวัฒนธรรมความรู้ ภูมิปัญญา จิตสาธารณะและพัฒนา<br />ศักยภาพคนให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลง<br />ยุทธศาสตร์ที่ 4 การพัฒนาด้านการดํารงเป็นฐานทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และพลังงานสะอาด<br />ยุทธศาสตร์ที่ 5 การพัฒนาด้านการสร้างความมั่นคงปลอดภัย และความสงบสุขของประชาชน<br />ยุทธศาสตร์ที่ 6 การพัฒนาด้านสร้างประสิทธิภาพ ความโปร่งใส เป็นประชาธิปไตยและเป็นธรรมในการ<br />ให้บริการ<br /><br />3 เป้าประสงค์<br />เทศบาลตําบลหนองผึ้ง มุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญก้าวหน้า ซึ่งจะส่งผลทํา<br />ให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น จึงได้กําหนดเป้าประสงค์เพื่อให้สามารถดําเนินการจัด<br /><br />กิจกรรมต่าง ๆ บรรลุตามพันธกิจและวิสัยทัศน์ที่กําหนด ดังนี้<br /><br />(1) ประชาชนมีอาชีพและรายได้พอเพียง<br />(2) กลุ่มองค์กรเครือข่ายชุมชนเข้มแข็ง<br />(3) ผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ได้รับการดูแลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น<br />(4) ประชาชนมีช่องในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารมากขึ้นอันเป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และส่งเสริมการ<br />เรียนรู้ตลอดชีวิต<br />(5) เพื่อรักษาไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่นมิให้สูญหาย พร้อมทั้งได้รับการสืบ<br />สานและพัฒนาตามยุคสมัยอย่างเหมาะสม<br />(6) ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจในการออกกําลังกาย และให้ความสําคัญของการออกกําลังกายและ<br />เล่นกีฬาเพื่อสุขภาพ<br />(7) ระบบโครงสร้างพื้นฐานได้รับการพัฒนา ปรับปรุง บูรณะซ่อมแซมให้สามารถใช้การได้อย่างมี<br />คุณภาพ<br />(8) ประชาชนมีน้ําเพื่ออุปโภคบริโภคและทําการเกษตรที่พอเพียงต่อการดํารงชีพ<br />(9) มีการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่ประชาชนมีความอุ่นใจ และรู้สึกปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สิน<br />(10) มีการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติโดยคนในชุมชน และสิ่งแวดล้อมได้รับการจัดการอย่างถูก<br />สุขลักษณะ มีประสิทธิภาพและไม่มีมลพิษ<br />(11) หน่วยงาน / องค์กร บุคลากร มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่และประชาชนมีความพึงพอใจ<br /><br />4. คําขวัญเทศบาลตําบลหนองผึ้ง<br />“หัตกรรมลือเลื่อง เมืองพุทธศาสนา ต้นยางงามตระการตา ล้ําเลอค่าประเพณี”
ประวัติความเป็นมา
เทศบาลตําบลตําบลหนองผึ้ง ได้จัดตั้งครั้งแรกตามพระราชบัญญัติสภาตําบลและองค์การบริหารส่วน ตําบล พ.ศ.2537 ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2538
และได้มีการยกฐานะเป็นเทศบาลตําบลหนองผึ้งตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจัดตั้งเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2550 เป็นต้นไป

ปัจจุบันเทศบาลตําบลหนองผึ้ง เป็นเทศบาลประเภทสามัญ ตามประกาศโครงสร้างส่วนราชการ เมื่อวันที่ 9 เดือน มีนาคม พ.ศ. 2559 โดยกําหนดส่วนราชการ ดังนี้

1.สํานักปลัด
2.กองคลัง
3.กองช่าง
4.กองการศึกษา
5.กองสวัสดิการสังคม
6.กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม
7.หน่วยตรวจสอบภายใน
ข้อมูล ณ วันที่ 9 มกราคม 2565


วิสัยทัศน์ / พันธกิจ / ยุทธศาสตร์

1 วิสัยทัศน์ (Vision)
“เทศบาลตําบลหนองผึ้ง เป็นองค์กรที่มีการบริหารจัดการโปร่งใส พัฒนาสุขอนามัยถ้วนหน้า
รักษาสภาพสิ่งแวดล้อม สร้างความพร้อมทางการศึกษา ฟื้นฟูภูมิปัญญา ร่วมรักษาวัฒนธรรม นําการพัฒนาชุมชน
และท้องถิ่นน่าอยู่อย่างยั่งยืน”

2 ยุทธศาสตร์
ยุทธศาสตร์ที่ 1 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาด้านความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาด้านการสร้างแห่งวัฒนธรรมความรู้ ภูมิปัญญา จิตสาธารณะและพัฒนา
ศักยภาพคนให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลง
ยุทธศาสตร์ที่ 4 การพัฒนาด้านการดํารงเป็นฐานทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และพลังงานสะอาด
ยุทธศาสตร์ที่ 5 การพัฒนาด้านการสร้างความมั่นคงปลอดภัย และความสงบสุขของประชาชน
ยุทธศาสตร์ที่ 6 การพัฒนาด้านสร้างประสิทธิภาพ ความโปร่งใส เป็นประชาธิปไตยและเป็นธรรมในการ
ให้บริการ

3 เป้าประสงค์
เทศบาลตําบลหนองผึ้ง มุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญก้าวหน้า ซึ่งจะส่งผลทํา
ให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น จึงได้กําหนดเป้าประสงค์เพื่อให้สามารถดําเนินการจัด

กิจกรรมต่าง ๆ บรรลุตามพันธกิจและวิสัยทัศน์ที่กําหนด ดังนี้

(1) ประชาชนมีอาชีพและรายได้พอเพียง
(2) กลุ่มองค์กรเครือข่ายชุมชนเข้มแข็ง
(3) ผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ได้รับการดูแลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
(4) ประชาชนมีช่องในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารมากขึ้นอันเป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และส่งเสริมการ
เรียนรู้ตลอดชีวิต
(5) เพื่อรักษาไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่นมิให้สูญหาย พร้อมทั้งได้รับการสืบ
สานและพัฒนาตามยุคสมัยอย่างเหมาะสม
(6) ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจในการออกกําลังกาย และให้ความสําคัญของการออกกําลังกายและ
เล่นกีฬาเพื่อสุขภาพ
(7) ระบบโครงสร้างพื้นฐานได้รับการพัฒนา ปรับปรุง บูรณะซ่อมแซมให้สามารถใช้การได้อย่างมี
คุณภาพ
(8) ประชาชนมีน้ําเพื่ออุปโภคบริโภคและทําการเกษตรที่พอเพียงต่อการดํารงชีพ
(9) มีการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่ประชาชนมีความอุ่นใจ และรู้สึกปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สิน
(10) มีการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติโดยคนในชุมชน และสิ่งแวดล้อมได้รับการจัดการอย่างถูก
สุขลักษณะ มีประสิทธิภาพและไม่มีมลพิษ
(11) หน่วยงาน / องค์กร บุคลากร มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่และประชาชนมีความพึงพอใจ

4. คําขวัญเทศบาลตําบลหนองผึ้ง
“หัตกรรมลือเลื่อง เมืองพุทธศาสนา ต้นยางงามตระการตา ล้ําเลอค่าประเพณี”
สารภี ๒๕๕.jpg.jpg (30.25 KiB) เข้าดูแล้ว 2297 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (2).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (2).JPG (141.7 KiB) เข้าดูแล้ว 2297 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (4).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (4).JPG (120.21 KiB) เข้าดูแล้ว 2297 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (5).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (5).JPG (122.12 KiB) เข้าดูแล้ว 2297 ครั้ง
เสียดายสะพานเดิมเป็นรูปช้างบ่งบอกปี พ.ศ.ที่สร้าง (นานแล้ว) ถูกมาเปลี่ยนเมื่อไม่กี่ปีมานี้ นัยว่าเพื่อสัญญลักษณ์และเพิ่มความสวยงาม โดยลืมรากฐานทางประวัติศาสตร์ พี่ไทยเราก็เป็นเสียแบบนี้ แล้วอีกไม่นานจะโหยหาเรียกร้องของเก่า ต่างกับชาติตะวันตกที่เขา รักและหวงแหนประวัติศาสตร์ของเขา อนุลักษณ์ไว้อย่างดี (เจริญยากนะประเทศไทย)
เสียดายสะพานเดิมเป็นรูปช้างบ่งบอกปี พ.ศ.ที่สร้าง (นานแล้ว) ถูกมาเปลี่ยนเมื่อไม่กี่ปีมานี้ นัยว่าเพื่อสัญญลักษณ์และเพิ่มความสวยงาม โดยลืมรากฐานทางประวัติศาสตร์ พี่ไทยเราก็เป็นเสียแบบนี้ แล้วอีกไม่นานจะโหยหาเรียกร้องของเก่า ต่างกับชาติตะวันตกที่เขา รักและหวงแหนประวัติศาสตร์ของเขา อนุลักษณ์ไว้อย่างดี (เจริญยากนะประเทศไทย)
บ.กองทราย บ้านแรกของบนถนนวัฒธรรมต้นยางของ ต.หนองผึ้ง (มาจากทาง ลพ.) ต่อจาก บ.กู่เสือ บ้านสุดท้ายของ ต.ยางเนิ้ง ครับ
บ.กองทราย บ้านแรกของบนถนนวัฒธรรมต้นยางของ ต.หนองผึ้ง (มาจากทาง ลพ.) ต่อจาก บ.กู่เสือ บ้านสุดท้ายของ ต.ยางเนิ้ง ครับ
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (8).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (8).JPG (138.63 KiB) เข้าดูแล้ว 2297 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (9).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (9).JPG (140.8 KiB) เข้าดูแล้ว 2297 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (10).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (10).JPG (139.92 KiB) เข้าดูแล้ว 2297 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (11).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (11).JPG (123.79 KiB) เข้าดูแล้ว 2297 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (12).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (12).JPG (119.31 KiB) เข้าดูแล้ว 2297 ครั้ง
เมื่อวานนี้ (๑๕/๑/๖๗) เราสองคนหลังจากที่ทำภารกิจประจำ(ส่งหลานรักไป รร.) เราก็จับจักรยานคู่ชีพของเราออกสำรวจ และออกกำลังกายตามปรกติเช้านี้เราไปท่องเที่ยวเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับ ต.หนองผึ้งต่อจาก ต.ยางเนิ้ง ที่พึ่งจบไป รวมแล้วขณะนี้เราพาทุกท่านเที่ยวชมสถานที่บนเส้นทางถนนแห่งวัฒนธรรม อ.สารภี รวมแล้ว ๒ แห่งคือ ต.สารภี ต.ยางเนิ้ง วันนี้ผมจะเริ่ม ต.หนองผึ้ง ซึ่งมีของดีที่จะโชว์หลากหลาย อย่าลืมติดตามเป็นกำลังใจกันนะครับ ขอบพระคุณมากครับ
เมื่อวานนี้ (๑๕/๑/๖๗) เราสองคนหลังจากที่ทำภารกิจประจำ(ส่งหลานรักไป รร.) เราก็จับจักรยานคู่ชีพของเราออกสำรวจ และออกกำลังกายตามปรกติเช้านี้เราไปท่องเที่ยวเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับ ต.หนองผึ้งต่อจาก ต.ยางเนิ้ง ที่พึ่งจบไป รวมแล้วขณะนี้เราพาทุกท่านเที่ยวชมสถานที่บนเส้นทางถนนแห่งวัฒนธรรม อ.สารภี รวมแล้ว ๒ แห่งคือ ต.สารภี ต.ยางเนิ้ง วันนี้ผมจะเริ่ม ต.หนองผึ้ง ซึ่งมีของดีที่จะโชว์หลากหลาย อย่าลืมติดตามเป็นกำลังใจกันนะครับ ขอบพระคุณมากครับ
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (14).JPG (123.59 KiB) เข้าดูแล้ว 2297 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4369
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: อาตมาวิเคราะห์ปัญหาการศึกษาในเมืองไทยว่า

คนที่มีฐานะดีมาก จะส่งลูกไปเรียนเมืองนอก ถ้าฐานะปานกลางก็ส่งลูกไปโรงเรียนคริสต์ จบแล้วก็ไปเรียนมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ก็แปลว่า ชนชั้นนำของเมืองไทย ปัญญาชนเติบโตโดยเข้าใจหลักพุทธศาสนาน้อยมาก คำสั่งสอนเพื่อพัฒนาตนหรือสังคมแทบจะไม่รู้จักเลย

อาตมาว่า เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย และไม่น่าเป็นไปได้

ปัจจุบัน ในอังกฤษ ได้เพิ่มหลักสูตรการเรียนรู้เรื่องความฉลาดในเรื่องพฤติกรรม ความสามารถในการปรับตัวอยู่กับชุมชน การควบคุมบริหารอารมณ์ตัวเอง ในเมืองนอกตอบรับเรื่องพวกนี้ หลายโรงเรียนมีคอร์สสอนเรื่องสติ การรู้จักตัวเอง เพื่อให้อยู่ในปัจจุบันขณะ เราอยู่ในยุคที่ทางตะวันตกกำลังสำนึกถึงความบกพร่องในระบบการศึกษา ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาชีวิตมีอยู่ในพุทธศาสนา ถ้าหากมีการพัฒนาการศึกษาตามแนวพุทธิปัญญา เมืองไทยก็เป็นผู้นำเรื่องนี้ แต่คนยังขาดความรู้และความศรัทธาในภูมิปัญญาตัว เอง กลับไปยกย่องตะวันตก แทนที่จะเป็นผู้นำก็เป็นผู้ตามตลอด

ถ้าเข้าใจการพัฒนาจิตใจ พฤติกรรม และการอยู่ในสังคม ต้องทำแบบองค์รวม ไม่ใช่การศึกษาแยกส่วน มีเด็กฉลาด ๆ ติดยา ติดเกม เยอะมาก ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ขึ้นกับความฉลาด เราอยู่ในยุคที่หวังว่า ถ้าคนมีการศึกษาที่ดี ประเทศชาติก็เจริญ มันเป็นความเชื่องมงาย โดยถือว่า การศึกษาวัดด้วยปริญญาบัตร ถ้าจะแก้ปัญหาคอรัปชั่น ก็บังคับกันว่า คนต้องมีการศึกษาจบปริญญาตรี ปริญญาโท แล้วมันจะมีผลอะไร

คนส่วนใหญ่เข้าใจเปลือกพุทธศาสนามากกว่าหัวใจพุทธศาสนา คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นระบบการศึกษาที่สมบูรณ์บริบูรณ์ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ แล้วความฉลาด คืออะไร เครื่องวัดความฉลาดที่แน่นอนที่สุด ก็คือ ศีล 5 เพราะคนเราต้องการสุข ไม่ต้องการทุกข์

กฎแห่งกรรมมีจริง การผิดศีล คือ การสร้างความทุกข์ ความเดือดร้อนให้ชีวิตเราในระยะยาว เพราะฉะนั้นคนฉลาดจริงๆ ไม่มีทางผิดศีล 5 นี่คือ แง่มุมหนึ่งที่ว่า ความฉลาดอยู่ตรงไหน ทุกวันนี้เรารู้ว่า คนฉลาด ไอคิวสูง แล้วมีผลดีต่อสังคมตรงไหน แต่ถ้าทำให้สังคมเสียหาย ฉลาดในการเอารัดเอาเปรียบ แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว เราไม่อยากให้เกียรติว่า คนที่ทำแบบนี้เป็นปัญญาชน ถ้าใช้ไอคิวเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ตนและครอบครัว และสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น

อาตมาไม่ยอมรับว่า เป็นพฤติกรรมของปัญญาชน เพราะฉะนั้นเราใช้คำว่า ปัญญาชนง่ายเกินไป คนที่ไม่ศึกษาศีล สมาธิ ปัญญา ก็จะบอกว่า แล้วเกี่ยวอะไรกับการศึกษา ฟังๆ แล้วมันเกี่ยวกับพระมากเกินไป ที่อาตมานำไปใช้ในโรงเรียนมีการภาวนา 4 ข้อ เนื้อหาเหมือนไตรสิกขา เพราะการภาวนา ไม่ได้หมายความว่านั่งหลับตา ความหมายเดิมแปลว่าพัฒนา ดังนั้น

1. เน้นการพัฒนาความสัมพันธ์ ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมทางวัตถุ
2. พัฒนาความสัมพันธ์ ระหว่างมนุษย์กับสังคม
3. พัฒนาทางจิตใจ
4. พัฒนาทางปัญญา

ถ้าระบบการศึกษาไปตามแนวนี้จะครบทุกด้าน อย่างเช่น การพัฒนาความสัมพันธ์ ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมทางวัตถุ ก็เริ่มจากธรรมชาติใกล้สุดคือ ร่างกายของเรา ต้องเรียนรู้ความฉลาดในร่างกาย ต้องกินให้พอดี ใช้ตา หู ลิ้น กาย ใจในทางที่เหมาะสม ซึ่งจะนำไปสู่ความสัมพันธ์ของเทคโนโลยีการใช้อินเตอร์เน็ต เรื่องเงินทอง เสื้อผ้า แฟชั่น ก็ขยับไปสู่ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม

การภาวนาคือ การพัฒนาจิตใจ ซึ่งสอนให้เด็กสามารถแก้ปัญหาตัวเอง เวลาน้อยใจ วิตกกังวล กลัว ซึมเศร้า จะทำอย่างไร คนเรามีเรื่องชวนให้เครียด ชวนให้โกรธ ชวนให้มีปัญหาตลอดชีวิต สิ่งที่จำเป็นในชีวิตอย่างการเลือกคู่ ผู้ชายจะเป็นพ่อที่ดี สามีที่ดีอย่างไร เวลาอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เราเดือดร้อน จะรักษาจิตใจของตนให้ปกติได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้สำคัญมาก

ทำไมสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ระบบการศึกษาไม่สอนเลย อันนี้เป็นจุดบอดใหญ่ ทั้งๆ ที่แนวทางพุทธมีวัตรปฎิบัติที่ชัดเจน มีคำสอนที่จะช่วยเรื่องนี้ ถือว่าเรามีบุญมากที่ได้เปรียบตะวันตก ซึ่งไม่มีหลักแบบนี้

Credit : พระอาจารย์ชยสาโร (นามเดิม ฌอน ชิเวอร์ตัน ชาวอังกฤษ)
:idea: :idea:

:( :( ไทยพัง..เพราะคนมีความรู้ คนใหญ่คนโต ตลอดจนคนมีอำนาจ ล้วนจบเมืองนอกเมืองนา พุทธศาสนาสำหรับพวกเขา "คร่ำครึ" แม้แต่การจะบัญญัติให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เขายังไม่ทำเลย(กลัวไม่ทันสมัยแบบตะวันตก) :( :(
ไฟล์แนบ
71171.jpg
71171.jpg (51.82 KiB) เข้าดูแล้ว 2104 ครั้ง
.trashed-1698796315-1696202555649.jpg
.trashed-1698796315-1696202555649.jpg (96.73 KiB) เข้าดูแล้ว 2104 ครั้ง
603900.jpg
603900.jpg (114.75 KiB) เข้าดูแล้ว 2104 ครั้ง
603901.jpg
603901.jpg (120.18 KiB) เข้าดูแล้ว 2104 ครั้ง
เมื่อ ๑๖/๑/๖๗ ไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อฟังผลเลือด ผลคือทุกอย่างปรกติแต่ต้องทานยา (ไม่ต้องทำคีโม) คงต้องกินตลอดชีวิตละกระมัง..๕๕๕ ร่างกายคือรังของโรคเมื่อไปหาหมอต้องเขื่อหมอครับ หลังจากเสร็จภารกิจพบแพทย์เราสองคนก็พากันไปทำบุญ ณ ที่ตึกสงฆ์อาพาธสมทบทุนให้กับมูลนิธิสงฆ์อาพาธ ได้รับผ้ายันต์เจ้าคุณธงชัยและหนังสืออีก ๒ เล่ม เป็นของสมนาคุณ ร่วมอนุโมทนาเอาบุญกุศลด้วยกันนะครับ.
เมื่อ ๑๖/๑/๖๗ ไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อฟังผลเลือด ผลคือทุกอย่างปรกติแต่ต้องทานยา (ไม่ต้องทำคีโม) คงต้องกินตลอดชีวิตละกระมัง..๕๕๕ ร่างกายคือรังของโรคเมื่อไปหาหมอต้องเขื่อหมอครับ หลังจากเสร็จภารกิจพบแพทย์เราสองคนก็พากันไปทำบุญ ณ ที่ตึกสงฆ์อาพาธสมทบทุนให้กับมูลนิธิสงฆ์อาพาธ ได้รับผ้ายันต์เจ้าคุณธงชัยและหนังสืออีก ๒ เล่ม เป็นของสมนาคุณ ร่วมอนุโมทนาเอาบุญกุศลด้วยกันนะครับ.
604027.jpg (69.43 KiB) เข้าดูแล้ว 2104 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (14).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (14).JPG (123.59 KiB) เข้าดูแล้ว 2104 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (16).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (16).JPG (135 KiB) เข้าดูแล้ว 2104 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (17).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (17).JPG (94.9 KiB) เข้าดูแล้ว 2104 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (18).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (18).JPG (87.9 KiB) เข้าดูแล้ว 2104 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (19).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (19).JPG (110.33 KiB) เข้าดูแล้ว 2104 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (20).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (20).JPG (108.09 KiB) เข้าดูแล้ว 2104 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (22).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (22).JPG (123.14 KiB) เข้าดูแล้ว 2104 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (23).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (24).JPG
สารภี ๒๕๖.jpg.jpg
สารภี ๒๕๖.jpg.jpg (81.62 KiB) เข้าดูแล้ว 2103 ครั้ง
สารภี ๒๕๘.jpg.jpg
วัดป่าแคโยง<br /><br />วัดป่าแคโยง นั้นถือเป็นวัดที่โด่งดังในประเทศไทยวัดหนึง โดยที่วัดป่าแคโยงนั้นจะเป็นวัดในรูปแบบของวัดราษฎร์ และแบบนิกายเป็นมหานิกาย  ตั้งอยู่เลขที่ 159 หมู่ที่ 5 บ.ป่าแคโยง  ตำบล หนองผึ้ง อำเภอ สารภี สร้างเมื่อ พ.ศ. 2419 ได้รับพระราชทานวิสุงคามาสีมา เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2496 เขตวิสุงคามสีมา กว้าง 10 เมตร ยาว 15 เมตร สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย<br /> <br />อาณาเขตติดกับสถานที่ต่าง ๆ ดังนี้ ทิศเหนือ ติดกับลำเหมืองสาธารณะ ทิศใต้ ติดกับหมู่บ้านจินดาวิลล่า ทิศตะวันออก ติดกับหมู่บ้านจินดาวิลล่า ทิศตะวันตก ติดกับถนนสาธารณะประโยชน์<br /><br />วัดป่าแคโยง ใน ต.หนองผึ้ง อ.สารภี กับความเป็นมาเป็นไปเกี่ยวกับหมู่บ้าน ป่าแคโยง <br /><br />บ้านป่าแคโยง แต่เดิมชื่อว่า บ้านไร่ มีรูปร่างเป็นรูปสามเหลี่ยม มีพื้นที่ประมาณ 350 ไร่ ประวัติความเป็นมาจากคำบอกเล่า ๆ ว่า บ้านไร่ มีอายุกว่า 620 ปี เชื่อกันว่า ชาวบ้านได้อพยพกันมาตั้งถิ่นฐานจากเชียงแสน เชียงราย เชียงตุง และจีนฮ่อ โดยกระจัดกระจายกันอยู่ทั่วไปเป็นจำนวนมาก หมู่บ้านนี้มีดอกแคมากมาย ดอกแค เป็นไม้ยืนต้น ดอกเป็นสีบานเย็นและสีขาว ลักษณะการออกดอกจะเป็นพวงห่างกันเป็นระยะเล็ก ๆ กิ่งของดอกก็จะโน้มต่ำลงโยงเข้าหากัน จึงเรียกว่า ดอกแคโยง และจากดอกแคโยงจำนวนมากนี้เอง จึงเรียกชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านป่าแคโยง”<br /><br />สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดก็มีกันดังต่อไปนี้<br /><br />วิหารทรงล้านนา ลักษณะเป็นวิหารปิด ตัวอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีการยกเก็จของผัง ลักษณะโครงสร้างของอาคาร เป็นการผสมผสานระหว่าง โครงสร้างก่ออิฐฉาบปูน กับโครงสร้างไม้ ส่วนเครื่องบนหรือหลังคา สร้างด้วยโครงสร้างไม้ในระบบเสาและคาน หลังคาเป็นทรงจั่วมีการซ้อนชั้นของหลังคาด้านหน้าสองชั้น สัมพันธ์กับการยกเก็จของผัง หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผาหรือแป้นเกล็ด บริเวณผนังภายในเขียนด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพุทธศาสนา อย่างในภาพเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ ปางโปรดองคุลีมาลโจร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปอยู่ในอิริยาบถยืน พระหัตถ์ซ้ายห้อยลงข้างพระวรกาย พระหัตถ์ขวายกขึ้นเสมอพระอุระ (อก) นิ้วพระหัตถ์ตั้งตรง หันฝ่าพระหัตถ์ไปทางซ้าย<br /><br />อุโบสถ  เป็นอุโบสถล้านนาหลังเล็ก อันเป็นอาคารที่พระสงฆ์ใช้ประชุมสังฆกรรมร่วมกัน มีใบสีมา เป็นเครื่องหมายเขตบริสุทธิ์ล้อมรอบอาคารที่เป็นตัวโบสถ์อีกชั้นหนึ่ง โดยจะกำหนดบริเวณทิศทั้ง 8 และฝังไว้ตรงกลาง รวมทั้งหมด 9 แห่ง ตรงบันไดทางขึ้นอุโบสถมีบันไดนาค<br /><br />เจดีย์วัดป่าแคโยง เป็นเจดีย์รูปแบบล้านนาสีทองอร่าม ที่รับเอาอิทธิพลแบบอย่างจากวัฒนธรรมอื่นๆ เช่น สุโขทัย พุกาม มาผสมผสานกันพัฒนาจนเป็นรูปทรงใหม่ที่ลงตัวและใช้กันแพร่หลาย พระเจดีย์แบบล้านนานี้เป็นเจดีย์ทรงกลมเป็นฐานสูงสี่เหลี่ยมย่อเก็จ เน้นชั้นมาลัยเถาที่ขยายใหญ่ขึ้น ยกสูงขึ้น องค์ระฆังถูกลดความสำคัญลงจนเหลือขนาดเล็ก มีบัวรัดรอบองค์ระฆังตามแบบพุกาม บัลลังก์ย่อเหลี่ยม มีรูปปั้นสิงห์ล้านนาประดับอยู่รอบๆ องค์เจดีย์<br /><br />โดยรวมแล้ววัดแห่งนี้เป็นวัดที่น่าสนใจ ที่ให้บรรยากาศอันเงียบสงบ เหมาะแก่การมาทำบุญ ไหว้พระกันครับ
วัดป่าแคโยง

วัดป่าแคโยง นั้นถือเป็นวัดที่โด่งดังในประเทศไทยวัดหนึง โดยที่วัดป่าแคโยงนั้นจะเป็นวัดในรูปแบบของวัดราษฎร์ และแบบนิกายเป็นมหานิกาย ตั้งอยู่เลขที่ 159 หมู่ที่ 5 บ.ป่าแคโยง ตำบล หนองผึ้ง อำเภอ สารภี สร้างเมื่อ พ.ศ. 2419 ได้รับพระราชทานวิสุงคามาสีมา เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2496 เขตวิสุงคามสีมา กว้าง 10 เมตร ยาว 15 เมตร สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย

อาณาเขตติดกับสถานที่ต่าง ๆ ดังนี้ ทิศเหนือ ติดกับลำเหมืองสาธารณะ ทิศใต้ ติดกับหมู่บ้านจินดาวิลล่า ทิศตะวันออก ติดกับหมู่บ้านจินดาวิลล่า ทิศตะวันตก ติดกับถนนสาธารณะประโยชน์

วัดป่าแคโยง ใน ต.หนองผึ้ง อ.สารภี กับความเป็นมาเป็นไปเกี่ยวกับหมู่บ้าน ป่าแคโยง

บ้านป่าแคโยง แต่เดิมชื่อว่า บ้านไร่ มีรูปร่างเป็นรูปสามเหลี่ยม มีพื้นที่ประมาณ 350 ไร่ ประวัติความเป็นมาจากคำบอกเล่า ๆ ว่า บ้านไร่ มีอายุกว่า 620 ปี เชื่อกันว่า ชาวบ้านได้อพยพกันมาตั้งถิ่นฐานจากเชียงแสน เชียงราย เชียงตุง และจีนฮ่อ โดยกระจัดกระจายกันอยู่ทั่วไปเป็นจำนวนมาก หมู่บ้านนี้มีดอกแคมากมาย ดอกแค เป็นไม้ยืนต้น ดอกเป็นสีบานเย็นและสีขาว ลักษณะการออกดอกจะเป็นพวงห่างกันเป็นระยะเล็ก ๆ กิ่งของดอกก็จะโน้มต่ำลงโยงเข้าหากัน จึงเรียกว่า ดอกแคโยง และจากดอกแคโยงจำนวนมากนี้เอง จึงเรียกชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านป่าแคโยง”

สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดก็มีกันดังต่อไปนี้

วิหารทรงล้านนา ลักษณะเป็นวิหารปิด ตัวอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีการยกเก็จของผัง ลักษณะโครงสร้างของอาคาร เป็นการผสมผสานระหว่าง โครงสร้างก่ออิฐฉาบปูน กับโครงสร้างไม้ ส่วนเครื่องบนหรือหลังคา สร้างด้วยโครงสร้างไม้ในระบบเสาและคาน หลังคาเป็นทรงจั่วมีการซ้อนชั้นของหลังคาด้านหน้าสองชั้น สัมพันธ์กับการยกเก็จของผัง หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผาหรือแป้นเกล็ด บริเวณผนังภายในเขียนด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพุทธศาสนา อย่างในภาพเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ ปางโปรดองคุลีมาลโจร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปอยู่ในอิริยาบถยืน พระหัตถ์ซ้ายห้อยลงข้างพระวรกาย พระหัตถ์ขวายกขึ้นเสมอพระอุระ (อก) นิ้วพระหัตถ์ตั้งตรง หันฝ่าพระหัตถ์ไปทางซ้าย

อุโบสถ เป็นอุโบสถล้านนาหลังเล็ก อันเป็นอาคารที่พระสงฆ์ใช้ประชุมสังฆกรรมร่วมกัน มีใบสีมา เป็นเครื่องหมายเขตบริสุทธิ์ล้อมรอบอาคารที่เป็นตัวโบสถ์อีกชั้นหนึ่ง โดยจะกำหนดบริเวณทิศทั้ง 8 และฝังไว้ตรงกลาง รวมทั้งหมด 9 แห่ง ตรงบันไดทางขึ้นอุโบสถมีบันไดนาค

เจดีย์วัดป่าแคโยง เป็นเจดีย์รูปแบบล้านนาสีทองอร่าม ที่รับเอาอิทธิพลแบบอย่างจากวัฒนธรรมอื่นๆ เช่น สุโขทัย พุกาม มาผสมผสานกันพัฒนาจนเป็นรูปทรงใหม่ที่ลงตัวและใช้กันแพร่หลาย พระเจดีย์แบบล้านนานี้เป็นเจดีย์ทรงกลมเป็นฐานสูงสี่เหลี่ยมย่อเก็จ เน้นชั้นมาลัยเถาที่ขยายใหญ่ขึ้น ยกสูงขึ้น องค์ระฆังถูกลดความสำคัญลงจนเหลือขนาดเล็ก มีบัวรัดรอบองค์ระฆังตามแบบพุกาม บัลลังก์ย่อเหลี่ยม มีรูปปั้นสิงห์ล้านนาประดับอยู่รอบๆ องค์เจดีย์

โดยรวมแล้ววัดแห่งนี้เป็นวัดที่น่าสนใจ ที่ให้บรรยากาศอันเงียบสงบ เหมาะแก่การมาทำบุญ ไหว้พระกันครับ
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (25).JPG (112.93 KiB) เข้าดูแล้ว 2103 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4369
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D อรุณสวัสดิ์ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ เช้าวันนี้วันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๗ วันนี้ในอดีต ๔๐ ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก(แต่ยังจำได้) เป็นวันที่ ตชด.ได้รับเกียรติสูงสุดจากหน่วยเหนือให้ปฏิบัติภารกิจสำคัญมาก ๆ เราต้องสูญเสียน้อง ๆ ตชด.ไปถึง ๑๖ ชีวิต เรื่องนี้ในกระทู้นี้ก็ได้เคยนำเสนอไปแล้ว(ย้อนหลังไปดูได้) เป็นคนละ version แต่อดไม่ได้ที่จะกลับมานำเสนออีกครั้ง เพราะน้อง ๆ ในไลน์ส่งให้เหล่า ตชด.ได้รำลึก (อีกหนึ่ง version) ผมจึงคิดว่ายังมีอีกหลายท่าน ที่ยังไม่เคยผ่านสายตา จึงขอกลับมาทบทวนความจำและขอรำลึกสดุดี วีรกรรม ตชด.ที่จากไปในวันนั้น version ใหม่นี้จะมี มีทั้งอย่างสั้น ๆ (สรุป) สำหรับท่านที่ไม่ชอบอ่าน และแบบยาวจุใจ สำหรับท่านที่ต้องการรายละเอียด หากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดขาดตกบกพร่อง ต้องกราบอภัยท่านผู้รู้และผู้ร่วมในเหตุการณ์ด้วยครับ (ผมในปีนั้นกำลังเรียนชั้นนายร้อยทหารม้า ถ้าไม่ติดเรียนคงได้ร่วมงานด้วยแน่นอน) :) :D

:idea: :idea: วีรกรรม ตชด.ค่ายพระเจ้าตาก กก.ตชด.เขต ๖ (กก.ตชด.๓๔ ปัจจุบัน) รบขุนส่า (สรุปสั้นๆ สำหรับคนไม่ชอบอ่าน) เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๕ ตชด.ตาก ประมาณ ๘๐๐ นาย ได้เข้าทำการรบกับกองกำลังติดอาวุธของขุนส่า สู้กันอย่างหนักหน่วง โดย ตชด.เราบาดเจ็บหลายนาย เสียชีวิต ๑๖ นาย ฝ่ายขุนส่า ตายและเจ็บจำนวนมาก และสามารถผลักดันกองกำลังราชายาเสพติดให้พ้นประเทศไทย ได้สำเร็จเป็นเกียรติประวัติให้กับตำรวจตระเวนชายแดน ก่อนจะไปพบกับเรื่องราวละเอียดยาวจุใจ เชิญชม ฟังจากปาก ตชด.ตัวจริงมาเล่าให้ฟังครับ :) :D


8-) 8-) วีรกรรม ตชด.ในยุทธการบ้านหินแตก "ดาบตำรวจ ไว สืบสะอาด" สัมภาษณ์โดย ศนิโรจน์ ธรรมยศ :o :o

:o :o คนจีนเชื่อว่าทุกสิ่งในโลกมีคุณค่าและไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกัน

ชีวิตมนุษย์มีทางเดินของตัวเอง แต่มีของมีค่า 2 อย่างคือ สุขภาพกาย และสุขภาพจิต

ชีวิตมนุษย์มี 4 ทุกข์ คือ มองไม่ทะลุ, สละไม่ลง, แพ้ไม่เป็น, และปล่อยวางไม่ได้

คนมีทรัพย์สมบัติอยู่ 6 สิ่ง คือ ร่างกาย, ความรู้, ความฝัน, ทัศนคติ, ความเชื่อมั่น, และความกล้าหาญ
:) :D
ไฟล์แนบ
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (26).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (26).JPG (141.87 KiB) เข้าดูแล้ว 1938 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (27).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (27).JPG (102.29 KiB) เข้าดูแล้ว 1938 ครั้ง
ออกจากวัดป่าแคโยงปั่นขึ้นเหนือ(เข้าเชียงใหม่) ถึงวงแหวนรอบ ๒ ซ้ายมือไปสะเมิง ขวามือวนรอบเมืองไปออกแม่ริมได้ เมื่อข้ามถนนตรงสี่แยกไฟแดง ไปอีก ๕๐ ม.ก็จะเห็นป้ายวัดกองทรายผมรีบตะโกนบอกคุณนายขอไปวัดนีด้วย (ก่อนออกบ้านไม่ได้พูดตกลงรายละเอียดกันก่อน)
ออกจากวัดป่าแคโยงปั่นขึ้นเหนือ(เข้าเชียงใหม่) ถึงวงแหวนรอบ ๒ ซ้ายมือไปสะเมิง ขวามือวนรอบเมืองไปออกแม่ริมได้ เมื่อข้ามถนนตรงสี่แยกไฟแดง ไปอีก ๕๐ ม.ก็จะเห็นป้ายวัดกองทรายผมรีบตะโกนบอกคุณนายขอไปวัดนีด้วย (ก่อนออกบ้านไม่ได้พูดตกลงรายละเอียดกันก่อน)
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (29).JPG (116.18 KiB) เข้าดูแล้ว 1938 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (30).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (30).JPG (123.42 KiB) เข้าดูแล้ว 1938 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (34).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (34).JPG (97.89 KiB) เข้าดูแล้ว 1938 ครั้ง
สารภี ๒๕๘.jpg.jpg
สารภี ๒๕๙.jpg.jpg
สารภี ๒๕๙.jpg.jpg (127.49 KiB) เข้าดูแล้ว 1938 ครั้ง
สารภี ๒๖๐.jpg.jpg
สารภี ๒๖๐.jpg.jpg (133 KiB) เข้าดูแล้ว 1938 ครั้ง
สารภี ๒๖๑.jpg.jpg
สารภี ๒๖๑.jpg.jpg (110.65 KiB) เข้าดูแล้ว 1938 ครั้ง
สารภี ๒๖๒.jpg.jpg
สารภี ๒๖๒.jpg.jpg (117.23 KiB) เข้าดูแล้ว 1938 ครั้ง
วัดกองทราย ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งอยู่ที่ เลขที่ ๖๔ หมู่ ๖ บ้านกองทราย ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ๕๐๑๔๐ วัดราษฏร์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งวัดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๐ ได้รับพระราชทานพัทธสีมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๑<br /><br />ประวัติวัดกองทราย<br /><br />วัดกองทราย (ยางหนุ่ม) ตั้งอยู่เลขที่ ๖๔ บ้านกองทราย หมู่ที่ ๖ ต.หนองผึ้ง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ ๔ ไร่ ๒ งาน ๑๔ ตารางวา โฉนดเลขที่ ๑๖๖๗ อาณาเขตวัดทั้ง ๔ ทิศ จรดทางสาธารณะประโยชน์ มีที่ธรณีสงฆ์๓ แปลง เนื้อที่ ๔ไร่ 1 งาน ๔๐ตารางวา<br /><br />วัดกองทราย เดิมชื่อว่า วัดยางหนุ่ม เพราะบริเวณที่สร้างวัดมีแต่ต้นยาง มีต้นไม้ยางต้นหนึ่งใหญ่มาก เมื่อถูกตัดแล้ว มีเรื่องเล่าว่า คน ๘ คนนั่งล้อมวงกินข้าวบนตอต้นยางต้นนี้ได้อย่างสบาย วัดกองทรายนี้ได้สร้างขึ้นสมัยพระเจ้าเม็งรายมหาราชสร้างเวียงกุมกามขึ้น โดยมี เจ้าแม่คำแพ เป็นผู้สร้าง และได้กลายเป็นวัดร้าง ท้าวก้อนสิทธิ์ แพทย์ประจำตำบลคนหนึ่งได้ชักชวนราษฎรสร้างขึ้นมาใหม่ เมื่อ พ.ศ. ๑๙๒๙ เนื่องจากการสร้างวัด ขุดดินตรงไหนก็เจอแต่ทราย จึงได้ตั้งชื่อวัดว่า วัดกองทราย จนถึงปัจจุบันนี้<br /><br />เจ้าอาวาสวัดกองทราย<br /><br />พระครูสิริจันทวิสุทธิ์ สิริจนฺโท มีลำดับชั้นสมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบลชั้นเอก ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็น เจ้าอาวาสวัดกองทราย และยังดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคณะตำบล (จต.) ประวัติด้านการศึกษาของพระครูสิริจันทวิสุทธิ์ สิริจนฺโท พระครูสิริจันทวิสุทธิ์ สิริจนฺโท เจ้าอาวาสวัดกองทราย จบการศึกษาศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ ๔ (ป.๔) จากสถานบันการศึกษาโรงเรียนวัดกองทราย(แต่เก่งมาก)
วัดกองทราย ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งอยู่ที่ เลขที่ ๖๔ หมู่ ๖ บ้านกองทราย ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ๕๐๑๔๐ วัดราษฏร์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งวัดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๐ ได้รับพระราชทานพัทธสีมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๑

ประวัติวัดกองทราย

วัดกองทราย (ยางหนุ่ม) ตั้งอยู่เลขที่ ๖๔ บ้านกองทราย หมู่ที่ ๖ ต.หนองผึ้ง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ ๔ ไร่ ๒ งาน ๑๔ ตารางวา โฉนดเลขที่ ๑๖๖๗ อาณาเขตวัดทั้ง ๔ ทิศ จรดทางสาธารณะประโยชน์ มีที่ธรณีสงฆ์๓ แปลง เนื้อที่ ๔ไร่ 1 งาน ๔๐ตารางวา

วัดกองทราย เดิมชื่อว่า วัดยางหนุ่ม เพราะบริเวณที่สร้างวัดมีแต่ต้นยาง มีต้นไม้ยางต้นหนึ่งใหญ่มาก เมื่อถูกตัดแล้ว มีเรื่องเล่าว่า คน ๘ คนนั่งล้อมวงกินข้าวบนตอต้นยางต้นนี้ได้อย่างสบาย วัดกองทรายนี้ได้สร้างขึ้นสมัยพระเจ้าเม็งรายมหาราชสร้างเวียงกุมกามขึ้น โดยมี เจ้าแม่คำแพ เป็นผู้สร้าง และได้กลายเป็นวัดร้าง ท้าวก้อนสิทธิ์ แพทย์ประจำตำบลคนหนึ่งได้ชักชวนราษฎรสร้างขึ้นมาใหม่ เมื่อ พ.ศ. ๑๙๒๙ เนื่องจากการสร้างวัด ขุดดินตรงไหนก็เจอแต่ทราย จึงได้ตั้งชื่อวัดว่า วัดกองทราย จนถึงปัจจุบันนี้

เจ้าอาวาสวัดกองทราย

พระครูสิริจันทวิสุทธิ์ สิริจนฺโท มีลำดับชั้นสมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบลชั้นเอก ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็น เจ้าอาวาสวัดกองทราย และยังดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคณะตำบล (จต.) ประวัติด้านการศึกษาของพระครูสิริจันทวิสุทธิ์ สิริจนฺโท พระครูสิริจันทวิสุทธิ์ สิริจนฺโท เจ้าอาวาสวัดกองทราย จบการศึกษาศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ ๔ (ป.๔) จากสถานบันการศึกษาโรงเรียนวัดกองทราย(แต่เก่งมาก)
สารภี ๒๖๓.jpg.jpg (114.37 KiB) เข้าดูแล้ว 1938 ครั้ง
ต่อไปจะเป็นข้อมูลเพื่อความรู้ สำหรับผู้รักการอ่าน (ชอบอ่าน ชอบค้นคว้า) <br /><br />สดุดีวีรกรรมผู้กล้าตำรวจตระเวนชายแดน ค่ายพระเจ้าตาก กก.ตชด.๓๔ เมื่อ ๒๑ มกราคม ๒๕๒๕ วันนี้ ครบรอบ ๔๑ ปี  ใน&quot;ยุทธการบ้านหินแตก&quot; ที่เราได้สูญเสียเพื่อนวีรบุรุษของชาติรวมเป็น ๑๖ ชีวิต การเสียสละชีวิตเลือดเนื้อเพื่อผืนดินเกิดของท่านทั้งหลาย จักอยู่ในความทรงจำของพวกเราสืบไปชั่วนิรันดร์กาล <br /><br />ย้อนไปทบทวนเหตุการณ์ใน พท.ปฐมเหตุกันที่ สามเหลี่ยมทองคำครับ<br />&quot;สามเหลี่ยมทองคำ&quot;  ในบริเวณนี้เป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าไทยใหญ่ เนี้อที่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำมีอาณาเขตกว้างขวางมากเป็นตะเข็บรอยต่อของชายแดนระหว่างประเทศ ๔ ประเทศ คือ ลาว ไทย  จีน และพม่า และอยู่ในอิทธิพลของกองกำลังขุนส่า เรามารู้จักกับเรื่องราวของขุนส่ากันครับ<br /><br />ขุนส่า เครดิต จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี<br /><br />ขุนส่า (17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2477 – 26 ตุลาคม พ.ศ. 2550)[1] มีชื่อจริงว่า จาง ซีฟู (จีน: 张奇夫; พินอิน: Zhāng Qífú จาง ฉีฝู) และมีชื่อไทยว่า จันทร์ จางตระกูล [2] เป็นอดีตผู้นำกองทัพเมิงไตซึ่งต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชให้แก่ชนกลุ่มน้อยชาวไทใหญ่ในพม่า และเป็นผู้ผลิตและค้าเฮโรอีนและฝิ่นรายใหญ่ของโลก โดยมีที่มั่นอยู่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ มีอิทธิพลอยู่ในเขตรัฐชานและว้า<br /><br />ขุนส่ามีบิดาเป็นชาวจีน และมีมารดาเป็นชาวไทใหญ่ ชื่อนางแสงคำ[3] ขุนส่าเคยตั้งกองกำลังใหญ่อยู่ที่บ้านหินแตก ในเขตตำบลเทอดไทย อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ตั้งแต่ พ.ศ. 2506 มีการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งโรงพยาบาล วัด โรงเรียน และใช้ที่นี้เป็นฐานการผลิตเฮโรอีน จากฝิ่นที่ลักลอบนำเข้ามาจากรัฐชานและรัฐโยนก ส่งขายไปทั่วโลก<br /><br />ในปี พ.ศ. 2512 ทางการพม่าจับตัวขุนส่าไปจำคุกด้วยข้อหาค้ายาเสพติด และได้รับการปล่อยตัวในปี พ.ศ. 2516 เพื่อแลกกับชีวิตของแพทย์ชาวโซเวียต 2 คน ที่กองกำลังของขุนส่าจับไปเป็นตัวประกัน ที่บ้านหินแตก จากเหตุการณ์ครั้งนั้น รัฐบาลไทยจึงมีนโยบายผลักดันกองกำลังขุนส่าออกนอกประเทศ ตำรวจตระเวนชายแดนของไทยได้เข้ากวาดล้างบ้านหินแตกเมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2525 กองกำลังขุนส่าย้ายไปตั้งอยู่ฝั่งพม่า ที่บ้านหัวเมือง ตรงข้ามกับจังหวัดแม่ฮ่องสอน เปลี่ยนชื่อเป็นกองทัพรวมชาน (Shan United Army) และเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสภาปฏิวัติไท (Tai Revolutionary Council) เมื่อ พ.ศ. 2528<br /><br />ในปี พ.ศ. 2532 ทางการสหรัฐตั้งค่าหัวขุนส่าเป็นเงิน 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำตัวขุนส่าไปดำเนินคดี หลังจากศาลสหรัฐสั่งฟ้องในข้อหาลักลอบนำเฮโรอีนจำนวน 1,000 ตัน เข้าประเทศ<br /><br />ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2539 ขุนส่าตกลงสวามิภักดิ์และส่งมอบอาวุธของกองทัพเมิงไตแก่ทางการพม่า เพื่อแลกเปลี่ยนกับการไม่ถูกส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนให้แก่สหรัฐ ขุนส่าถูกทหารพม่าควบคุมตัวให้อยู่ภายในบ้านพักในย่างกุ้ง ต่อมาได้ล้มป่วยด้วยโรคอัมพฤกษ์ ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน[2] จนกระทั่งเสียชีวิต เมื่อคืนวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2550 อายุ 73 ปี<br /><br />ขุนส่าเคยตั้งกองกำลังใหญ่อยู่ที่บ้านหินแตก ในเขตตำบลเทอดไทย อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงรายตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๖ มีการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งโรงพยาบาล วัด โรงเรียน และใช้ที่นี้เป็นฐานการผลิตเฮโรอีน จากฝิ่นที่ลักลอบนำเข้ามาจากรัฐฉานและรัฐโยนก ส่งขายไปทั่วโลก
ต่อไปจะเป็นข้อมูลเพื่อความรู้ สำหรับผู้รักการอ่าน (ชอบอ่าน ชอบค้นคว้า)

สดุดีวีรกรรมผู้กล้าตำรวจตระเวนชายแดน ค่ายพระเจ้าตาก กก.ตชด.๓๔ เมื่อ ๒๑ มกราคม ๒๕๒๕ วันนี้ ครบรอบ ๔๑ ปี ใน"ยุทธการบ้านหินแตก" ที่เราได้สูญเสียเพื่อนวีรบุรุษของชาติรวมเป็น ๑๖ ชีวิต การเสียสละชีวิตเลือดเนื้อเพื่อผืนดินเกิดของท่านทั้งหลาย จักอยู่ในความทรงจำของพวกเราสืบไปชั่วนิรันดร์กาล

ย้อนไปทบทวนเหตุการณ์ใน พท.ปฐมเหตุกันที่ สามเหลี่ยมทองคำครับ
"สามเหลี่ยมทองคำ" ในบริเวณนี้เป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าไทยใหญ่ เนี้อที่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำมีอาณาเขตกว้างขวางมากเป็นตะเข็บรอยต่อของชายแดนระหว่างประเทศ ๔ ประเทศ คือ ลาว ไทย จีน และพม่า และอยู่ในอิทธิพลของกองกำลังขุนส่า เรามารู้จักกับเรื่องราวของขุนส่ากันครับ

ขุนส่า เครดิต จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ขุนส่า (17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2477 – 26 ตุลาคม พ.ศ. 2550)[1] มีชื่อจริงว่า จาง ซีฟู (จีน: 张奇夫; พินอิน: Zhāng Qífú จาง ฉีฝู) และมีชื่อไทยว่า จันทร์ จางตระกูล [2] เป็นอดีตผู้นำกองทัพเมิงไตซึ่งต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชให้แก่ชนกลุ่มน้อยชาวไทใหญ่ในพม่า และเป็นผู้ผลิตและค้าเฮโรอีนและฝิ่นรายใหญ่ของโลก โดยมีที่มั่นอยู่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ มีอิทธิพลอยู่ในเขตรัฐชานและว้า

ขุนส่ามีบิดาเป็นชาวจีน และมีมารดาเป็นชาวไทใหญ่ ชื่อนางแสงคำ[3] ขุนส่าเคยตั้งกองกำลังใหญ่อยู่ที่บ้านหินแตก ในเขตตำบลเทอดไทย อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ตั้งแต่ พ.ศ. 2506 มีการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งโรงพยาบาล วัด โรงเรียน และใช้ที่นี้เป็นฐานการผลิตเฮโรอีน จากฝิ่นที่ลักลอบนำเข้ามาจากรัฐชานและรัฐโยนก ส่งขายไปทั่วโลก

ในปี พ.ศ. 2512 ทางการพม่าจับตัวขุนส่าไปจำคุกด้วยข้อหาค้ายาเสพติด และได้รับการปล่อยตัวในปี พ.ศ. 2516 เพื่อแลกกับชีวิตของแพทย์ชาวโซเวียต 2 คน ที่กองกำลังของขุนส่าจับไปเป็นตัวประกัน ที่บ้านหินแตก จากเหตุการณ์ครั้งนั้น รัฐบาลไทยจึงมีนโยบายผลักดันกองกำลังขุนส่าออกนอกประเทศ ตำรวจตระเวนชายแดนของไทยได้เข้ากวาดล้างบ้านหินแตกเมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2525 กองกำลังขุนส่าย้ายไปตั้งอยู่ฝั่งพม่า ที่บ้านหัวเมือง ตรงข้ามกับจังหวัดแม่ฮ่องสอน เปลี่ยนชื่อเป็นกองทัพรวมชาน (Shan United Army) และเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสภาปฏิวัติไท (Tai Revolutionary Council) เมื่อ พ.ศ. 2528

ในปี พ.ศ. 2532 ทางการสหรัฐตั้งค่าหัวขุนส่าเป็นเงิน 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำตัวขุนส่าไปดำเนินคดี หลังจากศาลสหรัฐสั่งฟ้องในข้อหาลักลอบนำเฮโรอีนจำนวน 1,000 ตัน เข้าประเทศ

ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2539 ขุนส่าตกลงสวามิภักดิ์และส่งมอบอาวุธของกองทัพเมิงไตแก่ทางการพม่า เพื่อแลกเปลี่ยนกับการไม่ถูกส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนให้แก่สหรัฐ ขุนส่าถูกทหารพม่าควบคุมตัวให้อยู่ภายในบ้านพักในย่างกุ้ง ต่อมาได้ล้มป่วยด้วยโรคอัมพฤกษ์ ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน[2] จนกระทั่งเสียชีวิต เมื่อคืนวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2550 อายุ 73 ปี

ขุนส่าเคยตั้งกองกำลังใหญ่อยู่ที่บ้านหินแตก ในเขตตำบลเทอดไทย อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงรายตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๖ มีการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งโรงพยาบาล วัด โรงเรียน และใช้ที่นี้เป็นฐานการผลิตเฮโรอีน จากฝิ่นที่ลักลอบนำเข้ามาจากรัฐฉานและรัฐโยนก ส่งขายไปทั่วโลก
39880.jpg (124.25 KiB) เข้าดูแล้ว 1938 ครั้ง
การปราบปรามแหล่งผลิตยาเสพติด &quot;สามเหลี่ยมทองคำ&quot; อย่างเด็ดขาด โดยใช้แผน ตากสิน<br /><br /> พ.ต.อ. ทองอุณห์  เจริญสม ผกก.ตชด.เขต ๖ (กก.ตชด.๓๔ ปัจจุบัน) ได้รับคำสั่ง ลับที่ด่วนที่สุดมาถึง  ในวันที่  ๒๐ ม.ค ๒๕๒๕ ให้จัดกำลังทั้งหมดจากฐานที่มั่นในจังหวัดตาก ซึ่งมีกำลังพล ๘๐๐ นายมีรถหุ้มเกราะคอมมานโด วี.๑๕๐ จำนวน ๓ คัน และอาวุธที่ใช้ในครั้งนี้มีปืนกลเบา เอ็ม.๖๐ ปีน ค.๙๓ ค.๘๘ ค.๘๑ มม. และจรวดอาร์พีจี.โดยให้กองกำลังทั้งหมดนี้เดินทางไป อ.แม่จัน จ.เชียงราย ด้วยขบวนยานยนต์ ๗๐ คัน จักรยานยนต์ ๑๐๐ คัน เดินทางตลอดคืนโดยไม่พักหลับนอนพอเลี้ยวเข้าสู่บนดอย ถนนขรุขระเขย่าไปมาเหมือนปลุกให้เหล่า ตชด.รุ้ว่าต้องตื่นตัวตื่นใจกับภารกิจครั้งนี้ซึ่งกะทันหันเฉียบขาด <br />    <br /> แน่นอนมันต้องสำคัญถึงความเป็นความตาย ระยะทางเหลือเพียงอีก ๒๗ กิโลเมตร จะถึงเป้าหมาย รถลำเลียงพลต้องโยกคลอนฝ่าความขรุขระถึง ๒ ชั่วโมงผ่านบ้านห้วยผึ้งถึงบ้านหินแตก พ.ต.อ. ทองอุณห์ ฯ สั่งลูกน้อง สำรวจพื้นที่ตั้งค่าย &quot;ตากสิน &quot; อยู่ห่างจากหมู่บ้านผู้คน ๓ กิโลเมตรทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็วฉับไวเป็นความลับ  ฝ่ายตรงข้ามไม่มีโอกาสเตรียมตัวขนย้ายหรือจัดตั้งด้วยประการใด ๆ เมื่อค่ายตากสินฐานที่มั่นจัดตั้งเรียบร้อยแล้ว หน่วยเคลื่อนที่เร็วซึ่งประกอบด้วย ตชด.ที่ฝึกมาแล้วอย่างโชกโชนในการขับขี่จักรยานยนต์วิบากก็ส่งเสียงกระหึ่มกึกก้อง ๑๐๐ คัน โดยเบิกทางนำหน้าด้วยรถหุ้มเกราะแบบสิงห์ทะเลทราย พุ่งเข้าหาที่หมาย &quot;บ้านหินแตกใต้&quot;<br />     <br />กองกำลังขุนส่า ตั้งบนบ้านหินแตก ซึ่งได้กำหนดชัยภูมิของที่ตั้งไว้หมดแล้ว คือ ทางเข้าหมู่บ้านต้องโล่งแจ้งราบต่ำ เห็นคนที่จะเข้ามาในหมู่บ้านได้แต่ไกล  ทำให้ หน่วย พ.ต.อ. ทองอุณห์ จำเป็นต้องตั้งกองกำลังให้หยุดอยู่ในชัยภูมิที่เป็นแอ่ง (ทำอย่างไรได้ ชีวิตของ ตชด.ย่อมสละเพื่อชาติได้เสมอ)ยากที่กองกำลังภาคพื้นดินเพียว ๆ จะบุกขึ้นไปทำลายได้ แต่ท่าน ผกก.คิดว่ายังพอพูดคุยกันได้<br />     <br />ผกก.ใช้เครื่องขยายเสียงประกาศให้ &quot;จางซีฟู&quot; ออกมามอบตัว แต่กลับไม่มีการปฎิบัติตาม มีแต่เสียงปืนครกดัง หวีดหวิวแหวกอากาศพุ่งตรงมาที่กองกำลัง ตชด. เสีย บึม บึม ดังสนั่นรอบข้างนักรบผู้กล้า เลือดสด ๆ พุ่งกระฉูด เมือสะเก็ดระเบิดนับพันชื้น สาดเข้าเชือดเฉือนร่างของเหล่า ตชด. ผกก.ตะโกน ให้หลบเข้าที่กำบังและยิงตอบโต้ว และพูดวิทยุ ว่า &quot;เราถูกโจมตีแล้ว เราถูกโจมตีแล้ว ขอกำลังเสริม&quot; ปากก็พูดไป มือก็ยิงกราดไป ฝ่ายตรงข้าม ผกก.เห็นกับตาว่าลูกน้องถูกระเบิดฉีกร่างกระเด็นจากพื้นไม่ต่ำกว่า ๖ ชีวิต และบาดเจ็บ สิ่งที่ปรากฎตรงหน้า ทำให้ผกก.ทองอุณห์  ลืมความตาย วิ่งฝ่ากระสุนเข้าประคองลูกน้องที่ร่างโชกด้วยเลือด เข้าที่กำบัง <br />   <br /> เสียงปืนนานาชนิดทั้งปืนกลเบา เอ็ม ๖๐ ปืน  ค.๘๘  ค.๘๑  จรวดอาร์พีจี ดังกึกก้องสะท้อนกลบไปทั้งขุนเขาบ้านหินแตก ต.เทอดไทย อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย กองกำลังตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) เขต๖ จำนวน ๘๐๐ นาย ภายใต้การนำของ พ.ต.อ.ทองอุณห์เจริญสม ที่โอบล้อมฐานที่ตั้งกองกำลังขุนส่าราชายาเสพติดโลก ส่งผลให้ชาวบ้านกว่า๙๐๐ ชีวิต ๔๐๐ ครัวเรือน ต้องอพยพหนีตายกันจ้าละหวั่น<br />    <br />การยิงต่อสู้อย่างไม่เสียดายชีวิตของ เหล่า ตชด. ดำเนินไปอย่างดุเดือด แต่โชคดี หน่วยบินที่ ๔๑ ทิ้งระเบิดและยิงกดหัวรบกวน ร่างของพวกมันถูกยิงลงตายมากกว่า ตชด.ทวีคูณ <br /><br />    สถานการณ์พลิกผัน หน่วย ตชด. รุกคืบ แต่ในขณะที่พวกมันเริ่มถอย และ ตชด.ของเราก็ เข้าคุมพื้นที่บ้านหินแตกไว้ได้สำเร็จ (น่าจะใช้เครื่องบินตั้งแต่เริ่มต้นเสียเลย เราอาจจะไม่สูญเสียน้อง ๆ  ตชด.ไปถึง ๑๖ นาย ให้รู้ไว้นะว่า เรารักพวกนาย) <br />  <br /> เสียงการต่อสู้ห้ำหั่นกินเวลานาน ๒ วันเต็ม ยุทธภูมิบ้านหินแตกจึงสิ้นสุดลง พร้อมกับชัยชนะของทางการไทยที่สามารถผลักดันกองกำลังนอกดินแดนพ้นอธิปไตยของไทยได้อย่างเบ็ดเสร็จ จับกุมกองกำลังได้บางส่วนและยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ได้รวมน้ำหนักกว่า ๕ ตัน ทั้งปืนเอ็ม ๑๖ ปืนยิงจรวดเอ็ม ๗๙ ระเบิดมือเอ็ม ๒๖ และกระสุนปืนนับหมื่นนัด <br />   <br /> แต่ไร้วี่แววของขุนส่าที่หลบหนีออกจากฐานที่มั่นไปก่อนการกวาดล้างจะเกิดขึ้น ไปตั้งฐานที่มั่นอยู่ที่เมืองกาน ประเทศพม่า<br /><br />    เส้นทางทำมาหากินและขนของเถื่อน ทุกชนิด (เส้นทาง เงินของขุนส่า)<br /><br />๑.ระหว่างเมืองาตองกีเชียงตุง ผ่านท่าขึ้เหล็ก เมืองชายแดนพม่าตรงข้ามแม่สายของไทย<br />๒.มัณฑะเล - ตองอู - มะละแหม่ง - ย่างกุ้ง ออกไปทางมลายาเข้าทางสิงโปร์<br />๓.ดอยแหลม  เมืองต่วน - เมืองหาง เมืองสาด เข้าไทยทางเมืองหาง ผ่านแม่แกน เมืองนะ เขตติดต่อไทยแถบแม่สอด<br />๔.เมืองอาปัน - นาหวาย ข้ามแม่น้ำสาละวิน ผ่านหนองป่าคำ เข้าเชียงใหม่<br />๕.เริ่มต้นจากเมืองสาละวิน เมืองต่วน เมืองสาด เสียบดอยลาง ด้านขวาของท่าขี้เหล็ก<br /><br />พิพิธภัณฑ์บ้านหินแตก<br /><br />พิพิธภัณฑ์บ้านหินแตก หรือจะพูดให้ถูกคือฐานที่ตั้งของกองกำลังขุนส่าในอดีต มาถึงวันนี้ยังหลงเหลือร่องรอยแห่งการต่อสู้ที่ยาวนาน แข็งแกร่ง มั่นคง และมีมนต์ขลัง เต็มไปด้วยกลิ่นอายของการต่อสู้ ที่ปรากฏอยู่ตามโรงเรือนฝึกทหาร โรงครัว คุกดิน สถานที่ประชุมก่อนปฏิบัติการแต่ละครั้ง รวมไปถึงบ้านพักของขุนส่าบนเนื้อที่ ๑๒ ไร่<br />ณสถานที่แห่งนี้เองเมื่อครั้งอดีตจะมีกองกำลังของขุนส่าประจำอยู่ ๒,๐๐ คน ทุกๆ ๖ เดือนจะมีกองกำลังผลัดใหม่จากพม่าผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาฝึกยุทธวิธี ก่อนจะกลับไปปฏิบัติการตามฐานที่มั่นต่างๆ สถานที่ที่ครั้งหนึ่งเต็มไปด้วยผู้คน มาบัดนี้กลับว่างเปล่า มีเพียง เครือเดือน ตุงคำ นักวิจัยท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่โครงการพัฒนาดอยตุงอยู่ดูแลในฐานะผู้เก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับขุนส่าเอาไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้<br /><br />เครือเดือนอธิบายว่า สาเหตุที่ขุนส่าเลือกเอาบ้านหินแตกเป็นฐานที่มั่น ก็เพราะบ้านหินแตกเป็นที่ที่ชาวไทยใหญ่อพยพเข้ามาตั้งรกรากอยู่ก่อนแล้ว เป็นที่พักแรมของบรรดาพ่อค้าวัว และยังเป็นจุดศูนย์กลางการค้าระหว่างรัฐฉานกับรัฐโยนก ไม่นานนักบ้านหินแตกก็เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการสร้างโรงพยาบาล สร้างโรงเรียน บูรณะซ่อมแซมวัดวาอารามต่างๆ โดยนำเงินที่ได้จากการขายฝิ่นมาสร้างสิ่งเหล่านี้<br /><br />ขุนส่าลักลอบขนฝิ่นจากรัฐฉานมายังบ้านหินแตกด้วยการปะปนมากับคาราวานม้าต่างๆ ของพ่อค้านายทุน จากฐานที่มั่นเมืองดอยหม่อเข้าเมืองต้างยาน บ้านผาผึ้ง บ้านหนองคำ ข้ามแม่น้ำสาละวินที่ท่าวัวนอง ปางกันฮ่อก ข้ามถนนใหญ่เส้นทางเชียงตุง-ตองจีที่เมืองเปียง เข้าเมืองขอน เมืองปั๊ก เมืองลุง ข้ามแม่น้ำสายเข้าประเทศไทยที่บ้านผาจี ห้วยอื้น บ้านหินแตก เขาทำการค้ายาเสพติดมานานและด้วยปริมาณที่มากมายที่กระจายไปทั่วโลก ชื่อของขุนส่าจึงติดอันดับราชายาเสพติดโลกในชั่วเวลาไม่นาน<br /><br />เมื่อขุนส่ามาสร้างหลักปักฐานอยู่ที่บ้านหินแตกทางการพม่าก็เริ่มไม่ไว้วางใจราชายาเสพติดโลกคนนี้เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับรัฐบาลไทยมีนโยบายปราบปรามยาเสพติดให้หมดไปจากราชอาณาจักร โดยได้รับความช่วยเหลือจากองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) การกวาดล้างผลักดันครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้น<br /><br />ขณะที่ทางการพม่าเองก็พยายามกันตัวเองให้พ้นจากข้อครหาของประชาคมโลกว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการค้ายาเสพติดของขุนส่า เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจจึงจับกุมขุนส่าไปจำคุก ทว่าก็เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เพียง ๕ ปีเท่านั้น เพราะลูกสมุนขุนส่าได้ลักพาตัวแพทย์ชาวรัสเซีย ๒ คน ไปกักตัวไว้ที่บ้านหินแตก พร้อมกับยื่นข้อเสนอให้แลกเปลี่ยนตัวประกันกับราชายาเสพติดโลก<br /><br />พล.อ.เกรียงศักดิ์ชมะนันท์ นายกรัฐมนตรีของไทยสมัยนั้น ร่วมกับเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย เป็นตัวแทนช่วยเจรจากับทางการพม่า นำมาสู่การแลกเปลี่ยนตัวประกันในที่สุด แต่กระนั้นก็ยังกินเวลานานถึง ๖ เดือนกว่าการเจรจาจะเป็นผลสำเร็จ จากนั้นการแลกเปลี่ยนตัวประกันจึงเกิดขึ้นที่บ้านหินแตก<br /><br />เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ประเทศไทยตื่นตัวและเริ่มดำเนินนโยบายผลักดันกองกำลังติดอาวุธของขุนส่าอย่างจริงจังนำมาสู่ยุทธการบ้านหินแตกเมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๒๕ นั่นเอง<br /><br />นั่นคือภาพยุทธภูมิบ้านหินแตก เมื่อ ๔๑ ปีก่อนหน้านี้ ปัจจุบันขุนส่าพร้อมสมุนกว่า ๒ หมื่นชีวิต ตัดสินใจเข้ามอบตัวกับทางการพม่า ยุติบทบาทอันลือเลื่องเมื่อครั้งอดีตให้เหลืออยู่แต่ในความทรงจำและบันทึกที่มีอยู่เพียงไม่กี่แห่งบนโลกใบนี้ หนึ่งในนั้นคือพิพิธภัณฑ์บ้านหินแตก ต.เทอดไทย อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย <br /><br />ปิดตำนาน&quot;ขุนส่า ราชายาเสพติดโลก&quot; มีญาติร่วมงานเผาไม่ถึง ๒๐ คน ท่ามกลางการอารักขาทหารพม่าอย่างเข็มงวด ลูกชายสงสัยชนวนการตาย มิหนำซ้ำกำชับให้บอกเฉพาะญาติสนิทร่วมงานเท่านั้น<br /><br />#ตำรวจตระเวนชายแดน #นักรบตำรวจ # กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 34 ค่ายพระเจ้าตาก จ.ตาก.
การปราบปรามแหล่งผลิตยาเสพติด "สามเหลี่ยมทองคำ" อย่างเด็ดขาด โดยใช้แผน ตากสิน

พ.ต.อ. ทองอุณห์ เจริญสม ผกก.ตชด.เขต ๖ (กก.ตชด.๓๔ ปัจจุบัน) ได้รับคำสั่ง ลับที่ด่วนที่สุดมาถึง ในวันที่ ๒๐ ม.ค ๒๕๒๕ ให้จัดกำลังทั้งหมดจากฐานที่มั่นในจังหวัดตาก ซึ่งมีกำลังพล ๘๐๐ นายมีรถหุ้มเกราะคอมมานโด วี.๑๕๐ จำนวน ๓ คัน และอาวุธที่ใช้ในครั้งนี้มีปืนกลเบา เอ็ม.๖๐ ปีน ค.๙๓ ค.๘๘ ค.๘๑ มม. และจรวดอาร์พีจี.โดยให้กองกำลังทั้งหมดนี้เดินทางไป อ.แม่จัน จ.เชียงราย ด้วยขบวนยานยนต์ ๗๐ คัน จักรยานยนต์ ๑๐๐ คัน เดินทางตลอดคืนโดยไม่พักหลับนอนพอเลี้ยวเข้าสู่บนดอย ถนนขรุขระเขย่าไปมาเหมือนปลุกให้เหล่า ตชด.รุ้ว่าต้องตื่นตัวตื่นใจกับภารกิจครั้งนี้ซึ่งกะทันหันเฉียบขาด

แน่นอนมันต้องสำคัญถึงความเป็นความตาย ระยะทางเหลือเพียงอีก ๒๗ กิโลเมตร จะถึงเป้าหมาย รถลำเลียงพลต้องโยกคลอนฝ่าความขรุขระถึง ๒ ชั่วโมงผ่านบ้านห้วยผึ้งถึงบ้านหินแตก พ.ต.อ. ทองอุณห์ ฯ สั่งลูกน้อง สำรวจพื้นที่ตั้งค่าย "ตากสิน " อยู่ห่างจากหมู่บ้านผู้คน ๓ กิโลเมตรทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็วฉับไวเป็นความลับ ฝ่ายตรงข้ามไม่มีโอกาสเตรียมตัวขนย้ายหรือจัดตั้งด้วยประการใด ๆ เมื่อค่ายตากสินฐานที่มั่นจัดตั้งเรียบร้อยแล้ว หน่วยเคลื่อนที่เร็วซึ่งประกอบด้วย ตชด.ที่ฝึกมาแล้วอย่างโชกโชนในการขับขี่จักรยานยนต์วิบากก็ส่งเสียงกระหึ่มกึกก้อง ๑๐๐ คัน โดยเบิกทางนำหน้าด้วยรถหุ้มเกราะแบบสิงห์ทะเลทราย พุ่งเข้าหาที่หมาย "บ้านหินแตกใต้"

กองกำลังขุนส่า ตั้งบนบ้านหินแตก ซึ่งได้กำหนดชัยภูมิของที่ตั้งไว้หมดแล้ว คือ ทางเข้าหมู่บ้านต้องโล่งแจ้งราบต่ำ เห็นคนที่จะเข้ามาในหมู่บ้านได้แต่ไกล ทำให้ หน่วย พ.ต.อ. ทองอุณห์ จำเป็นต้องตั้งกองกำลังให้หยุดอยู่ในชัยภูมิที่เป็นแอ่ง (ทำอย่างไรได้ ชีวิตของ ตชด.ย่อมสละเพื่อชาติได้เสมอ)ยากที่กองกำลังภาคพื้นดินเพียว ๆ จะบุกขึ้นไปทำลายได้ แต่ท่าน ผกก.คิดว่ายังพอพูดคุยกันได้

ผกก.ใช้เครื่องขยายเสียงประกาศให้ "จางซีฟู" ออกมามอบตัว แต่กลับไม่มีการปฎิบัติตาม มีแต่เสียงปืนครกดัง หวีดหวิวแหวกอากาศพุ่งตรงมาที่กองกำลัง ตชด. เสีย บึม บึม ดังสนั่นรอบข้างนักรบผู้กล้า เลือดสด ๆ พุ่งกระฉูด เมือสะเก็ดระเบิดนับพันชื้น สาดเข้าเชือดเฉือนร่างของเหล่า ตชด. ผกก.ตะโกน ให้หลบเข้าที่กำบังและยิงตอบโต้ว และพูดวิทยุ ว่า "เราถูกโจมตีแล้ว เราถูกโจมตีแล้ว ขอกำลังเสริม" ปากก็พูดไป มือก็ยิงกราดไป ฝ่ายตรงข้าม ผกก.เห็นกับตาว่าลูกน้องถูกระเบิดฉีกร่างกระเด็นจากพื้นไม่ต่ำกว่า ๖ ชีวิต และบาดเจ็บ สิ่งที่ปรากฎตรงหน้า ทำให้ผกก.ทองอุณห์ ลืมความตาย วิ่งฝ่ากระสุนเข้าประคองลูกน้องที่ร่างโชกด้วยเลือด เข้าที่กำบัง

เสียงปืนนานาชนิดทั้งปืนกลเบา เอ็ม ๖๐ ปืน ค.๘๘ ค.๘๑ จรวดอาร์พีจี ดังกึกก้องสะท้อนกลบไปทั้งขุนเขาบ้านหินแตก ต.เทอดไทย อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย กองกำลังตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) เขต๖ จำนวน ๘๐๐ นาย ภายใต้การนำของ พ.ต.อ.ทองอุณห์เจริญสม ที่โอบล้อมฐานที่ตั้งกองกำลังขุนส่าราชายาเสพติดโลก ส่งผลให้ชาวบ้านกว่า๙๐๐ ชีวิต ๔๐๐ ครัวเรือน ต้องอพยพหนีตายกันจ้าละหวั่น

การยิงต่อสู้อย่างไม่เสียดายชีวิตของ เหล่า ตชด. ดำเนินไปอย่างดุเดือด แต่โชคดี หน่วยบินที่ ๔๑ ทิ้งระเบิดและยิงกดหัวรบกวน ร่างของพวกมันถูกยิงลงตายมากกว่า ตชด.ทวีคูณ

สถานการณ์พลิกผัน หน่วย ตชด. รุกคืบ แต่ในขณะที่พวกมันเริ่มถอย และ ตชด.ของเราก็ เข้าคุมพื้นที่บ้านหินแตกไว้ได้สำเร็จ (น่าจะใช้เครื่องบินตั้งแต่เริ่มต้นเสียเลย เราอาจจะไม่สูญเสียน้อง ๆ ตชด.ไปถึง ๑๖ นาย ให้รู้ไว้นะว่า เรารักพวกนาย)

เสียงการต่อสู้ห้ำหั่นกินเวลานาน ๒ วันเต็ม ยุทธภูมิบ้านหินแตกจึงสิ้นสุดลง พร้อมกับชัยชนะของทางการไทยที่สามารถผลักดันกองกำลังนอกดินแดนพ้นอธิปไตยของไทยได้อย่างเบ็ดเสร็จ จับกุมกองกำลังได้บางส่วนและยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ได้รวมน้ำหนักกว่า ๕ ตัน ทั้งปืนเอ็ม ๑๖ ปืนยิงจรวดเอ็ม ๗๙ ระเบิดมือเอ็ม ๒๖ และกระสุนปืนนับหมื่นนัด

แต่ไร้วี่แววของขุนส่าที่หลบหนีออกจากฐานที่มั่นไปก่อนการกวาดล้างจะเกิดขึ้น ไปตั้งฐานที่มั่นอยู่ที่เมืองกาน ประเทศพม่า

เส้นทางทำมาหากินและขนของเถื่อน ทุกชนิด (เส้นทาง เงินของขุนส่า)

๑.ระหว่างเมืองาตองกีเชียงตุง ผ่านท่าขึ้เหล็ก เมืองชายแดนพม่าตรงข้ามแม่สายของไทย
๒.มัณฑะเล - ตองอู - มะละแหม่ง - ย่างกุ้ง ออกไปทางมลายาเข้าทางสิงโปร์
๓.ดอยแหลม เมืองต่วน - เมืองหาง เมืองสาด เข้าไทยทางเมืองหาง ผ่านแม่แกน เมืองนะ เขตติดต่อไทยแถบแม่สอด
๔.เมืองอาปัน - นาหวาย ข้ามแม่น้ำสาละวิน ผ่านหนองป่าคำ เข้าเชียงใหม่
๕.เริ่มต้นจากเมืองสาละวิน เมืองต่วน เมืองสาด เสียบดอยลาง ด้านขวาของท่าขี้เหล็ก

พิพิธภัณฑ์บ้านหินแตก

พิพิธภัณฑ์บ้านหินแตก หรือจะพูดให้ถูกคือฐานที่ตั้งของกองกำลังขุนส่าในอดีต มาถึงวันนี้ยังหลงเหลือร่องรอยแห่งการต่อสู้ที่ยาวนาน แข็งแกร่ง มั่นคง และมีมนต์ขลัง เต็มไปด้วยกลิ่นอายของการต่อสู้ ที่ปรากฏอยู่ตามโรงเรือนฝึกทหาร โรงครัว คุกดิน สถานที่ประชุมก่อนปฏิบัติการแต่ละครั้ง รวมไปถึงบ้านพักของขุนส่าบนเนื้อที่ ๑๒ ไร่
ณสถานที่แห่งนี้เองเมื่อครั้งอดีตจะมีกองกำลังของขุนส่าประจำอยู่ ๒,๐๐ คน ทุกๆ ๖ เดือนจะมีกองกำลังผลัดใหม่จากพม่าผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาฝึกยุทธวิธี ก่อนจะกลับไปปฏิบัติการตามฐานที่มั่นต่างๆ สถานที่ที่ครั้งหนึ่งเต็มไปด้วยผู้คน มาบัดนี้กลับว่างเปล่า มีเพียง เครือเดือน ตุงคำ นักวิจัยท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่โครงการพัฒนาดอยตุงอยู่ดูแลในฐานะผู้เก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับขุนส่าเอาไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้

เครือเดือนอธิบายว่า สาเหตุที่ขุนส่าเลือกเอาบ้านหินแตกเป็นฐานที่มั่น ก็เพราะบ้านหินแตกเป็นที่ที่ชาวไทยใหญ่อพยพเข้ามาตั้งรกรากอยู่ก่อนแล้ว เป็นที่พักแรมของบรรดาพ่อค้าวัว และยังเป็นจุดศูนย์กลางการค้าระหว่างรัฐฉานกับรัฐโยนก ไม่นานนักบ้านหินแตกก็เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการสร้างโรงพยาบาล สร้างโรงเรียน บูรณะซ่อมแซมวัดวาอารามต่างๆ โดยนำเงินที่ได้จากการขายฝิ่นมาสร้างสิ่งเหล่านี้

ขุนส่าลักลอบขนฝิ่นจากรัฐฉานมายังบ้านหินแตกด้วยการปะปนมากับคาราวานม้าต่างๆ ของพ่อค้านายทุน จากฐานที่มั่นเมืองดอยหม่อเข้าเมืองต้างยาน บ้านผาผึ้ง บ้านหนองคำ ข้ามแม่น้ำสาละวินที่ท่าวัวนอง ปางกันฮ่อก ข้ามถนนใหญ่เส้นทางเชียงตุง-ตองจีที่เมืองเปียง เข้าเมืองขอน เมืองปั๊ก เมืองลุง ข้ามแม่น้ำสายเข้าประเทศไทยที่บ้านผาจี ห้วยอื้น บ้านหินแตก เขาทำการค้ายาเสพติดมานานและด้วยปริมาณที่มากมายที่กระจายไปทั่วโลก ชื่อของขุนส่าจึงติดอันดับราชายาเสพติดโลกในชั่วเวลาไม่นาน

เมื่อขุนส่ามาสร้างหลักปักฐานอยู่ที่บ้านหินแตกทางการพม่าก็เริ่มไม่ไว้วางใจราชายาเสพติดโลกคนนี้เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับรัฐบาลไทยมีนโยบายปราบปรามยาเสพติดให้หมดไปจากราชอาณาจักร โดยได้รับความช่วยเหลือจากองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) การกวาดล้างผลักดันครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้น

ขณะที่ทางการพม่าเองก็พยายามกันตัวเองให้พ้นจากข้อครหาของประชาคมโลกว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการค้ายาเสพติดของขุนส่า เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจจึงจับกุมขุนส่าไปจำคุก ทว่าก็เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เพียง ๕ ปีเท่านั้น เพราะลูกสมุนขุนส่าได้ลักพาตัวแพทย์ชาวรัสเซีย ๒ คน ไปกักตัวไว้ที่บ้านหินแตก พร้อมกับยื่นข้อเสนอให้แลกเปลี่ยนตัวประกันกับราชายาเสพติดโลก

พล.อ.เกรียงศักดิ์ชมะนันท์ นายกรัฐมนตรีของไทยสมัยนั้น ร่วมกับเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย เป็นตัวแทนช่วยเจรจากับทางการพม่า นำมาสู่การแลกเปลี่ยนตัวประกันในที่สุด แต่กระนั้นก็ยังกินเวลานานถึง ๖ เดือนกว่าการเจรจาจะเป็นผลสำเร็จ จากนั้นการแลกเปลี่ยนตัวประกันจึงเกิดขึ้นที่บ้านหินแตก

เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ประเทศไทยตื่นตัวและเริ่มดำเนินนโยบายผลักดันกองกำลังติดอาวุธของขุนส่าอย่างจริงจังนำมาสู่ยุทธการบ้านหินแตกเมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๒๕ นั่นเอง

นั่นคือภาพยุทธภูมิบ้านหินแตก เมื่อ ๔๑ ปีก่อนหน้านี้ ปัจจุบันขุนส่าพร้อมสมุนกว่า ๒ หมื่นชีวิต ตัดสินใจเข้ามอบตัวกับทางการพม่า ยุติบทบาทอันลือเลื่องเมื่อครั้งอดีตให้เหลืออยู่แต่ในความทรงจำและบันทึกที่มีอยู่เพียงไม่กี่แห่งบนโลกใบนี้ หนึ่งในนั้นคือพิพิธภัณฑ์บ้านหินแตก ต.เทอดไทย อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย

ปิดตำนาน"ขุนส่า ราชายาเสพติดโลก" มีญาติร่วมงานเผาไม่ถึง ๒๐ คน ท่ามกลางการอารักขาทหารพม่าอย่างเข็มงวด ลูกชายสงสัยชนวนการตาย มิหนำซ้ำกำชับให้บอกเฉพาะญาติสนิทร่วมงานเท่านั้น

#ตำรวจตระเวนชายแดน #นักรบตำรวจ # กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 34 ค่ายพระเจ้าตาก จ.ตาก.
39910.jpg (127.52 KiB) เข้าดูแล้ว 1938 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4369
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D อรุณสวัสดิ์ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ อ่านเรื่องราว รบราฆ่าฟันกันมันเศร้านะ..เปลี่ยนบรรยากาศไปเรื่องเบา ๆ มีสาระและมีที่มาที่ไป ของบ้านเมืองเรา เกี่ยวกับว่า สวัสดี คำทักทายที่ใช้กันทั่วไป แลในเทศกาลต่างๆ ทุกท่านมีใครจำได้ไหมเราเริ่มใช้มาแต่เมื่อใด ไปทบทวนกันครับ :) :D

:idea: :idea: สวัสดี เป็นคําที่คนไทยใช้ทักทายกันในชีวิตประจําวันมากที่สุดคําหนึ่ง ยิ่งถึงเทศกาลขึ้นปีใหม่, คริสต์มาส, สงกรานต์ ก็ยิ่งใช้เปลืองมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า เพราะคนไทยมักจะทักทายกันด้วยวลีที่ว่า “สวัสดีปีใหม่, สวัสดีวันคริสต์มาส, สวัสดีวันสงกรานต์”

สวัสดีมาจากไหน?

“พระยาอุปกิตศิลปสาร ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ในภาษาไทย ซึ่งมีลูกศิษย์ลูกหามากมายที่สุดคนหนึ่งได้บัญญัติศัพท์คำว่าสวัสดีนี้ขึ้นสำหรับให้คนไทยได้ใช้ในการทักทายเมื่อพบปะกัน ให้ใช้ได้เป็นคำทักเมื่อแรกพบและคำลาเมื่อจะจากกัน”

จริงหรือที่ว่าพระยาอุปกิตศิลปสารคิดคำนี้ขึ้นใช้ในภาษาไทย

ท่านผู้หญิงสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา ยืนยันไว้ในหนังสือสดุดีบุคคลสำคัญ (สำนักงานส่งเสริมเอกลักษณ์ของชาติ พิมพ์เผยแพร่ เมื่อ พ.ศ. 2528) ตอนหนึ่งว่า…

เมื่อ 47 ปีมาแล้ว นิสิตอักษรศาสตร์ปีที่ 1 และ 2 แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับจดหมายลาป่วยของลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478 จากอาจารย์ภาษาไทยคนหนึ่ง จดหมายนั้นแจ้งว่า ท่านอาจารย์ผู้นั้นเสียใจจริงๆ ที่ไม่อาจมาสอนในวันสุดท้ายของภาคปลายปีนั้นได้ ทั้งที่ทราบว่าเป็นวันสำคัญที่สุดของปี เพราะถัดมาจากวันนั้นแล้ว มหาวิทยาลัยจะหยุดให้นิสิตดูหนังสือเตรียมตัวสอบไล่ประจำปี

ข้อความในจดหมายที่อาจารย์ลาป่วยต่อลูกศิษย์เขียนมาเป็นข้อๆ ข้อที่ 2 มีใจความอันเป็นประวัติศาสตร์ที่คนไทยปัจจุบันพึงรู้พึงจำเพราะเป็นมรดกวัฒนธรรมทางประเพณีอันทันสมัยแก่คนไทยและชาติไทย ขอคัดมาดังนี้

“คำว่า ‘สวัสดี’ ที่ครูได้มอบไว้แต่ต้น โปรดจงโปรยคำอมฤตนี้ทุกครั้งเถิด จะใช้ ‘สวัสดี’ ห้วนๆ หรือ ‘สวัสดีขอรับ’ หรือ ‘สวัสดีขอรับคุณครู’ หรือจะเหยาะให้หวานว่า ‘สวัสดีขอรับคุณอาจารย์’ ครูเป็นปลื้มใจทั้งนั้น

ถ้าสงเคราะห์ให้ได้รับความปิติยินดีแล้วเมื่อพบครูครั้งแรกไม่ว่าที่ไหนโปรดกล่าวคำนี้ ครูจะปลาบปลื้มเหลือเกิน ยิ่งเป็นที่อื่น เช่น ในกลางถนน บนรถราง ครูปลาบปลื้มเป็นทวีคูณ เพราะจะได้เป็นตัวอย่างแก่สาธารณชนชาวไทยทั่วไป เป็นความจริงนิสิตชายหญิงที่พบครูในที่ต่างๆ และกล่าวคำ ‘สวัสดี’ ทำให้ครูปลาบปลื้มจนต้องไปตรวจดูบัญชีชื่อว่าเป็นใครเสมอ

มีนิสิตหญิงผู้หนึ่ง เธอพบครูและกล่าวว่า ‘สวัสดีค่ะ’ แต่ครูไม่ได้ยิน เธอกล่าวอีกครั้งหนึ่งครูก็ไม่ได้ยิน แต่มีคนอื่นเขาเตือน ครูต้องวิ่งไปขอโทษ กว่าจะทันก็หอบครูจึงขอโทษไว้ก่อน คำอมฤตอันปลาบปลื้มที่สุดของครูนี้ ถ้าครูได้ยินก็จะตอบด้วยความยินดีเสมอ ที่ครูนิ่งไม่ตอบรับเป็นด้วยไม่ได้ยิน เพราะหูตาของครูเข้าเกณฑ์ชราภาพแล้วโปรดให้อภัยครู

ขอจงสอบได้ทุกคนเถิดนิสิตที่รักของครูทั้ง 2 ชั้น

(ลงนาม) พระยาอุปกิตศิลปสาร

ก็สรุปได้ว่า พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) เป็นผู้คิดคำว่าสวัสดีขึ้นใช้ทักทายเมื่อพบปะกัน เมื่อแรกราว พ.ศ. 2477-2478 ได้มอบคำนี้ให้นิสิตอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใช้ทักทายครูก่อน หลังจากนั้นกรรมการชำระปทานุกรมและกรรมการโปรแกรมวิทยุกระจายเสียก็นำไปใช้ด้วย เป็นเหตุให้คำนี้แพร่หลายไปทั่วประเทศมาจนถึงทุกวันนี้ และคงจะสืบเนื่องต่อไปอีกนานเท่านาน

ที่มา ศิลปวัฒนธรรม ฉบับมกราคม 2535
ผู้เขียน กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่ วันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2566
:idea: :idea:
ไฟล์แนบ
1601136.jpg
1601136.jpg (51.46 KiB) เข้าดูแล้ว 1739 ครั้ง
ออกจากวัดกองทรายถนนคึกคักด้วยยวดยานพาหนะต่าง ๆ คุณนายปั่นไปข้างหน้า ส่วนผมค่อย ๆ ปั่น ชมสองข้างทางเพลิน มาหยุดพิจารณาวัดดอนจืน คิดถึงความหลังผมมีเพื่อนอยู่ที่บ้านดอนจืน เคยเป็นนักดนตรีเล่นประจำวง ซี.เอ็ม ด้วยกัน (จะตะโกนเรียกคุณนายก็คงไม่ได้ยิน)อยากไปเยี่ยม ตัดสินใจปล่อยคุณนายไปคนเดียว (ไม่หลง) ผมไปวัดดอนจืนก่อน สถานที่เปลี่ยนแปลงไปหมดจำอะไรไม่ได้เลย...งง????
ออกจากวัดกองทรายถนนคึกคักด้วยยวดยานพาหนะต่าง ๆ คุณนายปั่นไปข้างหน้า ส่วนผมค่อย ๆ ปั่น ชมสองข้างทางเพลิน มาหยุดพิจารณาวัดดอนจืน คิดถึงความหลังผมมีเพื่อนอยู่ที่บ้านดอนจืน เคยเป็นนักดนตรีเล่นประจำวง ซี.เอ็ม ด้วยกัน (จะตะโกนเรียกคุณนายก็คงไม่ได้ยิน)อยากไปเยี่ยม ตัดสินใจปล่อยคุณนายไปคนเดียว (ไม่หลง) ผมไปวัดดอนจืนก่อน สถานที่เปลี่ยนแปลงไปหมดจำอะไรไม่ได้เลย...งง????
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (38).JPG (112.19 KiB) เข้าดูแล้ว 1739 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (40).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (40).JPG (110.28 KiB) เข้าดูแล้ว 1739 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (41).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (41).JPG (117.88 KiB) เข้าดูแล้ว 1739 ครั้ง
หน้าวัดพ่อค้าขายกาแฟสด...น้ำลายสอ...แต่เกรงจะเสียเวลา รีบเข้าเข้าไปเก็บภาพในวัดก่อนครับ
หน้าวัดพ่อค้าขายกาแฟสด...น้ำลายสอ...แต่เกรงจะเสียเวลา รีบเข้าเข้าไปเก็บภาพในวัดก่อนครับ
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (42).JPG (112.44 KiB) เข้าดูแล้ว 1739 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (43).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (43).JPG (107.12 KiB) เข้าดูแล้ว 1739 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (44).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (44).JPG (84.53 KiB) เข้าดูแล้ว 1739 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (45).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (45).JPG (81.08 KiB) เข้าดูแล้ว 1739 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (46).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (46).JPG (109.3 KiB) เข้าดูแล้ว 1739 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (47).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (47).JPG (100.65 KiB) เข้าดูแล้ว 1739 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (48).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (48).JPG (121.95 KiB) เข้าดูแล้ว 1739 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (49).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (49).JPG (113.96 KiB) เข้าดูแล้ว 1739 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (50).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (50).JPG (138.37 KiB) เข้าดูแล้ว 1739 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (51).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (51).JPG (108.24 KiB) เข้าดูแล้ว 1739 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (52).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (52).JPG (90.32 KiB) เข้าดูแล้ว 1739 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (53).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (53).JPG (97.25 KiB) เข้าดูแล้ว 1739 ครั้ง
การทำความรู้จักกับความเป็นมาของวัดซักแห่ง บางทีก็เหมือนกับการเรียนรู้ความเป็นมาของหมู่บ้านนั้นด้วย เหมือนอย่างเช่น วัดดอนจืน ใน อ.สารภี ที่ผมพาทุกท่านมาทำความรู้จัก<br /><br />ก่อนจะมาเป็นวัดนั้น แต่เดิมบ้านดอนจืน หมู่ 3 เดิมชื่อบ้านป่าไผ่ รูปร่างเป็นวงรี มีพื้นที่ประมาณ 546 ไร่ จากคำบอกเล่า เดิมเรียกกันว่า บ้านบวกหมู (บวก แปลว่า แอ่งน้ำ, ปลัก , แปลงที่แอ่งโคลน) เพราะมีหมูป่ามาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ครั้งหนึ่งหมูป่าไอ้ออกมาอาละวาดกินพืชไร่และทำให้พืชไร่ถูกทำลายจำนวนมาก สร้างความเดือดร้อนแก่ราษฎร เจ้าเมืองขณะนั้นได้ประกาศว่า ใครฆ่าหมูป่าตายจะได้รางวัล ขณะนั้นมีชาวเย้า ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงมาขุดเอา จืน (โลหะผสมระหว่างดีบุกกับตะกั่ว สำหรับหล่อเป็นลูกปืน) ได้ขันอาสา โดยขุดเอาจืนมาหล่อเป็นปืนและกระสุนและมีการนำจืนไปชั่งเพื่อทำลูกปืนอยู่ ยอยบ้าน ( ยอย คือ ปลายหรือท้ายบ้าน ) ยิงหมูป่าจนตายหมด หมูป่าไม่มารบกวนหนีไปอยู่ที่ถ้ำเมืองออน<br /><br />นอกจากนี้ในตำนาน มีนิทานเล่าว่า กาลครั้งหนึ่งมีชายผู้หนึ่ง ได้อพยพมาตั้งรกรากบนที่ดอนนี้ ชายผู้นี้เป็นคนที่ปั้นพระเนื้อชินขายเพื่อเลี้ยงชีพ ต่อมาจึงมีคนอพยพมาตั้งรกรากที่ดอนนี้เช่นเดียวกัน แต่คนที่มาทีหลังนั้นปั้นพระไม่เป็น ชายผู้นี้ จึงสอนให้ ชาวบ้านจึงตั้งชื่อหมู่บ้านนี้ว่า บ้านดอนชิน และเปลี่ยนมาเป็น บ้านดอนจืน ต่อมาตู้เมืองแก้วซึ่งหนีสงครามมาจากเชียงแสน ได้สร้างวัดขึ้น 3 วัด คือ วัดเชียงแสน วัดดอนจืน และวัดสันคือ ต่อมาประมาณ พ.ศ. 2450 ชาวบ้านจึงขอตั้งหมู่บ้านจึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่า บ้านดอนจืนตามชื่อวัด<br /><br />วัดดอนจืน เลื่องชื่อเกี่ยวกับ พระครูญาณวิภาต หรือ ครูบาคำตั๋น วัดดอนจืน เจ้าตำหรับน้ำมันงาเสกต่อกระดูกที่ว่ากันว่า สามารถใช้น้ำมันงาเสก เอาขาเป็ดมาต่อขาไก่ได้ โดยผู้เคารพนับถือใกล้ชิดเล่าลือกันว่าท่านพระครูญาณวิภาต เป็นพระผู้สำเร็จ พระอรหันต์ องค์หนึ่ง อาศัยปฎิปทาอันสูงส่ง ด้วย ศีลธรรม คุณธรรม เป็นอยู่โดยธรรมประจำจิต จึงเป็นที่เคารพสักการบูชา ของศิษย์ ศรัทธาประชาชนทั่วไป จนต่อมาเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2520 พระครูญาณวิภาต หรือครูบาคำตั๋นแห่งวัดดอนจืน ได้ถึงแก่มรณภาพด้วยอาการสงบ<br /><br />ในส่วนวัตถุมงคล ของครูบาคำตั๋น ท่านได้สร้างเหรียญรุ่น 1 และ พระเนื้อผง พระปิดตา ออกให้บูชาที่วัดดอนจืน ซึ่งเป็นวัตถุมงคลที่มีประสบการณ์กันมากในศิษย์ที่นับถือครูบาคำตั๋น เหรียญรุ่นนี้ท่านได้นำยันต์ 108 อย่างมาหลอมรวมผสมอยู่ในเหรียญด้วย<br /><br />ส่งท้ายด้วยศาสนสถานในวัดที่สำคัญ มีพระวิหารแบบล้านนา เจดีย์รูปทรงแบบล้านนา และพระอุโบสถ ที่กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างครับ<br /><br />Cr.ตะลอนเที่ยววัดเชียงใหม่ &quot;วัดดอนจืน&quot;
การทำความรู้จักกับความเป็นมาของวัดซักแห่ง บางทีก็เหมือนกับการเรียนรู้ความเป็นมาของหมู่บ้านนั้นด้วย เหมือนอย่างเช่น วัดดอนจืน ใน อ.สารภี ที่ผมพาทุกท่านมาทำความรู้จัก

ก่อนจะมาเป็นวัดนั้น แต่เดิมบ้านดอนจืน หมู่ 3 เดิมชื่อบ้านป่าไผ่ รูปร่างเป็นวงรี มีพื้นที่ประมาณ 546 ไร่ จากคำบอกเล่า เดิมเรียกกันว่า บ้านบวกหมู (บวก แปลว่า แอ่งน้ำ, ปลัก , แปลงที่แอ่งโคลน) เพราะมีหมูป่ามาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ครั้งหนึ่งหมูป่าไอ้ออกมาอาละวาดกินพืชไร่และทำให้พืชไร่ถูกทำลายจำนวนมาก สร้างความเดือดร้อนแก่ราษฎร เจ้าเมืองขณะนั้นได้ประกาศว่า ใครฆ่าหมูป่าตายจะได้รางวัล ขณะนั้นมีชาวเย้า ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงมาขุดเอา จืน (โลหะผสมระหว่างดีบุกกับตะกั่ว สำหรับหล่อเป็นลูกปืน) ได้ขันอาสา โดยขุดเอาจืนมาหล่อเป็นปืนและกระสุนและมีการนำจืนไปชั่งเพื่อทำลูกปืนอยู่ ยอยบ้าน ( ยอย คือ ปลายหรือท้ายบ้าน ) ยิงหมูป่าจนตายหมด หมูป่าไม่มารบกวนหนีไปอยู่ที่ถ้ำเมืองออน

นอกจากนี้ในตำนาน มีนิทานเล่าว่า กาลครั้งหนึ่งมีชายผู้หนึ่ง ได้อพยพมาตั้งรกรากบนที่ดอนนี้ ชายผู้นี้เป็นคนที่ปั้นพระเนื้อชินขายเพื่อเลี้ยงชีพ ต่อมาจึงมีคนอพยพมาตั้งรกรากที่ดอนนี้เช่นเดียวกัน แต่คนที่มาทีหลังนั้นปั้นพระไม่เป็น ชายผู้นี้ จึงสอนให้ ชาวบ้านจึงตั้งชื่อหมู่บ้านนี้ว่า บ้านดอนชิน และเปลี่ยนมาเป็น บ้านดอนจืน ต่อมาตู้เมืองแก้วซึ่งหนีสงครามมาจากเชียงแสน ได้สร้างวัดขึ้น 3 วัด คือ วัดเชียงแสน วัดดอนจืน และวัดสันคือ ต่อมาประมาณ พ.ศ. 2450 ชาวบ้านจึงขอตั้งหมู่บ้านจึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่า บ้านดอนจืนตามชื่อวัด

วัดดอนจืน เลื่องชื่อเกี่ยวกับ พระครูญาณวิภาต หรือ ครูบาคำตั๋น วัดดอนจืน เจ้าตำหรับน้ำมันงาเสกต่อกระดูกที่ว่ากันว่า สามารถใช้น้ำมันงาเสก เอาขาเป็ดมาต่อขาไก่ได้ โดยผู้เคารพนับถือใกล้ชิดเล่าลือกันว่าท่านพระครูญาณวิภาต เป็นพระผู้สำเร็จ พระอรหันต์ องค์หนึ่ง อาศัยปฎิปทาอันสูงส่ง ด้วย ศีลธรรม คุณธรรม เป็นอยู่โดยธรรมประจำจิต จึงเป็นที่เคารพสักการบูชา ของศิษย์ ศรัทธาประชาชนทั่วไป จนต่อมาเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2520 พระครูญาณวิภาต หรือครูบาคำตั๋นแห่งวัดดอนจืน ได้ถึงแก่มรณภาพด้วยอาการสงบ

ในส่วนวัตถุมงคล ของครูบาคำตั๋น ท่านได้สร้างเหรียญรุ่น 1 และ พระเนื้อผง พระปิดตา ออกให้บูชาที่วัดดอนจืน ซึ่งเป็นวัตถุมงคลที่มีประสบการณ์กันมากในศิษย์ที่นับถือครูบาคำตั๋น เหรียญรุ่นนี้ท่านได้นำยันต์ 108 อย่างมาหลอมรวมผสมอยู่ในเหรียญด้วย

ส่งท้ายด้วยศาสนสถานในวัดที่สำคัญ มีพระวิหารแบบล้านนา เจดีย์รูปทรงแบบล้านนา และพระอุโบสถ ที่กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างครับ

Cr.ตะลอนเที่ยววัดเชียงใหม่ "วัดดอนจืน"
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (39).JPG (122.68 KiB) เข้าดูแล้ว 1739 ครั้ง
ออกจากวัดดอนจืน เพื่อตามหาคุณนาย มาเจอวัดผางยอย คิดนะครับ &quot;โชคดี&quot; ไปเก็บภาพวัดผางยอยต่อเลยไม่ต้องเสียเวลา คิดตามกันต่อไปนะครับคิดจะโทร ฯ หาคุณนาย(อย่าดีกว่า) ปล่อยให้อิสระเจอกันค่อยว่าดูซิ คุณนายจะมีปัญหาอะไร ? ๕๕๕
ออกจากวัดดอนจืน เพื่อตามหาคุณนาย มาเจอวัดผางยอย คิดนะครับ "โชคดี" ไปเก็บภาพวัดผางยอยต่อเลยไม่ต้องเสียเวลา คิดตามกันต่อไปนะครับคิดจะโทร ฯ หาคุณนาย(อย่าดีกว่า) ปล่อยให้อิสระเจอกันค่อยว่าดูซิ คุณนายจะมีปัญหาอะไร ? ๕๕๕
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (54).JPG (122.44 KiB) เข้าดูแล้ว 1739 ครั้ง
&quot;ฮัลโหล&quot; เป็นคำทักทายที่ใช้มากที่สุดในการรับโทรศัพท์ บ่อยครั้งเราก็นำมาใช้เป็นคำทักทาย ระหว่างเพื่อนฝูง เมื่อพบเจอกัน ทุกวันนี้คนไทยใช้คำว่า &quot;ฮัลโหล&quot; กันจนติดปาก จนบางคนอาจจะลืมไปแล้วว่า คนไทยเราเองก็มีคำทักทายแบบไทย ๆ ที่มีความงดงามทางภาษา มีความไพเราะ และเป็นคำที่มีความหมายดีด้วย เป็นเวลากว่า๘๑ ปีแล้ว ที่คำว่า &quot;สวัสดี&quot; ได้ก้าวเข้ามาในชีวิตของคนไทย<br /><br /> ผู้ที่คิดค้นคำนี้ขึ้นก็คือ &quot;พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ)&quot; ซึ่งในขณะนั้นท่านเป็นอาจารย์สอนที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ท่านได้นำคำว่า &quot;สวัสดี&quot; ทดลองใช้ในหมู่นิสิตจุฬาก่อน หลังจากนั้นรัฐบาลในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้นำคำว่า &quot;สวัสดี&quot; มาใช้เป็นคำทักทายอย่างเป็นทางการ เมื่อปีพ.ศ. ๒๔๘๖ รวมเวลาอย่างเป็นทางการที่พวกเราคนไทยใช้คำว่าสวัสดี ๘๑ ปีมาแล้ว ก็ไม่นานนะครับ ด้วยลืมไปผมยังคิดเลยว่า เราคงใช้มาเนิ่นานแต่สมัยไหน ๆ แล้ว ช่วยกันรักษาไว้นะครับ สมัยนี้สังเกตุบ้างไหม เด็ก ๆ รุ่นใหม่เจอกันคำ สวัสดี จะเลือนหายไป ช่วยกันรักษาของดีของไทยกันนะครับ.
"ฮัลโหล" เป็นคำทักทายที่ใช้มากที่สุดในการรับโทรศัพท์ บ่อยครั้งเราก็นำมาใช้เป็นคำทักทาย ระหว่างเพื่อนฝูง เมื่อพบเจอกัน ทุกวันนี้คนไทยใช้คำว่า "ฮัลโหล" กันจนติดปาก จนบางคนอาจจะลืมไปแล้วว่า คนไทยเราเองก็มีคำทักทายแบบไทย ๆ ที่มีความงดงามทางภาษา มีความไพเราะ และเป็นคำที่มีความหมายดีด้วย เป็นเวลากว่า๘๑ ปีแล้ว ที่คำว่า "สวัสดี" ได้ก้าวเข้ามาในชีวิตของคนไทย

ผู้ที่คิดค้นคำนี้ขึ้นก็คือ "พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ)" ซึ่งในขณะนั้นท่านเป็นอาจารย์สอนที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ท่านได้นำคำว่า "สวัสดี" ทดลองใช้ในหมู่นิสิตจุฬาก่อน หลังจากนั้นรัฐบาลในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้นำคำว่า "สวัสดี" มาใช้เป็นคำทักทายอย่างเป็นทางการ เมื่อปีพ.ศ. ๒๔๘๖ รวมเวลาอย่างเป็นทางการที่พวกเราคนไทยใช้คำว่าสวัสดี ๘๑ ปีมาแล้ว ก็ไม่นานนะครับ ด้วยลืมไปผมยังคิดเลยว่า เราคงใช้มาเนิ่นานแต่สมัยไหน ๆ แล้ว ช่วยกันรักษาไว้นะครับ สมัยนี้สังเกตุบ้างไหม เด็ก ๆ รุ่นใหม่เจอกันคำ สวัสดี จะเลือนหายไป ช่วยกันรักษาของดีของไทยกันนะครับ.
395504.jpg (10.9 KiB) เข้าดูแล้ว 1739 ครั้ง
11398.jpg
11398.jpg (77.98 KiB) เข้าดูแล้ว 1739 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4369
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D สวัสดียามบ่ายที่อากาศมืดคลึ้มเหมือนฝนจะตก ที่ บ.ปากกอง สารภี บ่ายนี้มีข่าวดี ๒ ข่าวใหญ่มาฝากครับ ข่าวแรก กองร้อย ตชด.๓๒๗ อ.แม่จัน จ.เชียงราย จับยาบ้า ๒,๐๐๐,๐๐๐ เม็ด เรียกว่าล็อตใหญ่ทีเดียว เรื่องที่ ๒ เรื่องของคนที่อายุยืน ท่าน ณรงค์ ทาสิงห์คำ (เพื่อนยุพราช ๐๘ รุ่นเดียวกันครับ) รองประธานฯและคณะกรรมการฯ ได้เดินทางไปมอบโล่ห์ผู้สูงอายุเกิน๑๐๐ ปี เข็มกลัดสมเด็จย่า เงินก้นถุง และเครื่องอุปโภคบริโภค แด่นายพะหน้อย โมะโละ อายุ ๑๒๓ ปี :o :o ที่บ้านแม่แพม อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ แล้วจากนั้นผมก็จะพาไปเที่ยวถนนวัฒนธรรมเขต ต.หนองผึ้งกันต่อครับ :) :D


:o :o “บิ๊กต่าย”ชื่นชมตชด.327 สกัดจับยาบ้าล็อตใหญ่กว่า 2ล้านเม็ดที่เชียงราย | รอบวันทันเหตุการณ์ 24 ม.ค.67 :) :D

:idea: :idea: เรื่องราวของการมีอายุยืนนี้ พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ถ้ามีธรรม ๔ ประการนี้แล้ว อยู่ไปได้จนอายุขัยเลย หมายความว่า อายุขัยของคนเราในช่วงแต่ละยุคๆ นั้นสั้นยาวไม่เท่ากัน ยุคนี้ถือว่าอายุขัย ๑๐๐ ปี เราก็อยู่ไปให้ได้ ๑๐๐ ปี ถ้าวางใจจัดการชีวิตได้ถูกต้องแล้วและวางไว้ให้ดี ก็อยู่ได้ ธรรม ๔ ประการนี้ พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า อิทธิบาท ๔ ได้แก่

๑. ฉันทะ ความใฝ่ปรารถนาที่จะทำ คือ ความอยากจะทำนั่นเอง เป็นจุดเริ่มว่าต้องมีอะไรที่อยากจะทำ ที่ดีงามและชัดเจน
๒. วิริยะ ความมีใจเข้มแข็งแกร่งกล้า มุ่งหน้าพยายามทำไป
๓. จิตตะ ความมีใจแน่ว จดจ่อ อุทิศตัว ต่อสิ่งนั้น
๔. วิมังสา การไตร่ตรองพิจารณา ใช้ปัญญา ใคร่ครวญในการที่จะปรับปรุงแก้ไข ทำให้ดียิ่งขึ้นไป จนกว่าจะสมบูรณ์
สี่ข้อนี้เป็นหลักความจริงตามธรรมดาของธรรมชาติ
:idea: :idea:

:roll: :roll: ใครจะมีวาสนาบารมีอยู่จนถึงร้อยปีก็ขออนุโมทนา ส่วนผมขอให้ถึง ๘๐ แค่นี้ก็ถือว่าคือโชควาสนาบารมีแล้ว ปีหน้าผมก็จะ ๗๕ เหมือน ๆ ท่านยมจะร้องเรียกหาแล้วครับ ทุกวันนี้หายใจเข้า-ออก ผมนึกถึงความตายอยู่ตลอดเวลา เพื่อไม่ประมาท ปุ๊บปั๊บหมดลม จะได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีครับ :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
ไฟล์แนบ
เตรียมแถลงข่าว...ตชด.327 จับ 2หนุ่มมูเซอร์แดง ขับรถบรรทุกยาบ้า 2,100,000 เม็ด พื้นที่ท้าวเปลือก อ.แม่จัน   สารภาพลำเลียงจากเขต ต.เทอดไทย อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย(1)<br /><br />สายวันที่ 23 ม.ค. 2567 พ.ต.อ.รังสิมันต์ สงเคราะห์ธรรม รอง ผบก.ตชด.ภาค 3 , พ.ต.อ.ภูมิชาย พันธ์กล้า  ผกก.ตชด.32  และ พ.ต.ต.อนัญวัฒน์ รัตนวิชัย  ผบ.ร้อย.ตชด.327 อ.แม่จัน  จ.เชียงราย   เร่งสอบสวนชายชนเผ่าลาหู่ 2 คน ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหา……หลังชุดเคลื่อนที่เร็ว ปราบปรามยาเสพติด ตชด.327  ติดตาม รถยนต์ต้องสงสัย สีขาว ทะเบียนกรุงเทพมหานคร ในเวลาช่วงเย็นถึงค่ำ วันที่ 22 ม.ค. 2567 ที่ผ่านมา (2)<br /><br />ขับวิ่งมาจากพื้นที่ อ.แม่ฟ้าหลวง  โดยมีมอเตอร์ไซต์ 3 คัน วิ่งนำและตามประกบ ลักษณะคุ้มกันรถยนต์คันดังกล่าว  จนถึงพื้นที่ บ้านท้าวเปลือก  อ.แม่จัน  และกำลังจะมุ่งหน้าไป อ.ดอยหลวง(3)<br /><br />ระหว่างติดตามพบว่า  ทั้งหมดได้ใช้เส้นทางรอง  เพื่อเลี่ยงด่านตรวจ  อันเป็นที่ต้องสงสัยว่า อาจมีสิ่งผิดกฎหมายซุกซ่อน จึงทำการขับประกบเพื่อสกัดรถยนต์ แต่รถยนต์ได้ถูกขับหนี  สุดท้ายเสียหลักขับลงข้างทาง  บริเวณบ้านท่าข้าวเปลือก ต.ท่าข้าวเปลือก  ในรถพบถุงพลาสติกสีดำขนาดใหญ่ 8 ถุง มีกระสอบฟางอยู่ภายใน  ซุกซ่อนยาบ้ารวมประมาณ 2,100,000 เม็ด(4)<br /><br />เบื้องต้นทั้งสอง  ให้การว่า รับยาเสพติดนำมาจากบริเวณป่าข้างถนน  ระหว่าง บ้านปางมะหัน - บ้านม้งเก้าหลัง ต.เทอดไทย มีนายทุนชาวพม่าว่าจ้าง 100,000 บาท  นำไปส่งสถานที่หนึ่งใน จ.เชียงราย  โดยจะแบ่งเงินกันคนละ 50,000 บาท  ทั้งนี้ทาง ตชด.327 อ.แม่จัน  จะมีการแถลงข่าวพร้อมรายละเอียดทั้งหมด ในช่วงเย็นวันนี้ต่อไป ///<br /><br />MAESAIPRESS 23/01/67<br /><br />(ขอชื่นชมน้อง ๆ ร้อยตชด.๓๒๗ ทุกคนที่ตั้งใจทำงานเพื่อชื่อเสียงของหน่วยเรา และขอขอบคุณน้อง ๆ ตชด.ที่ส่งข่าว ขอบคุณมากครับ)
เตรียมแถลงข่าว...ตชด.327 จับ 2หนุ่มมูเซอร์แดง ขับรถบรรทุกยาบ้า 2,100,000 เม็ด พื้นที่ท้าวเปลือก อ.แม่จัน สารภาพลำเลียงจากเขต ต.เทอดไทย อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย(1)

สายวันที่ 23 ม.ค. 2567 พ.ต.อ.รังสิมันต์ สงเคราะห์ธรรม รอง ผบก.ตชด.ภาค 3 , พ.ต.อ.ภูมิชาย พันธ์กล้า ผกก.ตชด.32 และ พ.ต.ต.อนัญวัฒน์ รัตนวิชัย ผบ.ร้อย.ตชด.327 อ.แม่จัน จ.เชียงราย เร่งสอบสวนชายชนเผ่าลาหู่ 2 คน ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหา……หลังชุดเคลื่อนที่เร็ว ปราบปรามยาเสพติด ตชด.327 ติดตาม รถยนต์ต้องสงสัย สีขาว ทะเบียนกรุงเทพมหานคร ในเวลาช่วงเย็นถึงค่ำ วันที่ 22 ม.ค. 2567 ที่ผ่านมา (2)

ขับวิ่งมาจากพื้นที่ อ.แม่ฟ้าหลวง โดยมีมอเตอร์ไซต์ 3 คัน วิ่งนำและตามประกบ ลักษณะคุ้มกันรถยนต์คันดังกล่าว จนถึงพื้นที่ บ้านท้าวเปลือก อ.แม่จัน และกำลังจะมุ่งหน้าไป อ.ดอยหลวง(3)

ระหว่างติดตามพบว่า ทั้งหมดได้ใช้เส้นทางรอง เพื่อเลี่ยงด่านตรวจ อันเป็นที่ต้องสงสัยว่า อาจมีสิ่งผิดกฎหมายซุกซ่อน จึงทำการขับประกบเพื่อสกัดรถยนต์ แต่รถยนต์ได้ถูกขับหนี สุดท้ายเสียหลักขับลงข้างทาง บริเวณบ้านท่าข้าวเปลือก ต.ท่าข้าวเปลือก ในรถพบถุงพลาสติกสีดำขนาดใหญ่ 8 ถุง มีกระสอบฟางอยู่ภายใน ซุกซ่อนยาบ้ารวมประมาณ 2,100,000 เม็ด(4)

เบื้องต้นทั้งสอง ให้การว่า รับยาเสพติดนำมาจากบริเวณป่าข้างถนน ระหว่าง บ้านปางมะหัน - บ้านม้งเก้าหลัง ต.เทอดไทย มีนายทุนชาวพม่าว่าจ้าง 100,000 บาท นำไปส่งสถานที่หนึ่งใน จ.เชียงราย โดยจะแบ่งเงินกันคนละ 50,000 บาท ทั้งนี้ทาง ตชด.327 อ.แม่จัน จะมีการแถลงข่าวพร้อมรายละเอียดทั้งหมด ในช่วงเย็นวันนี้ต่อไป ///

MAESAIPRESS 23/01/67

(ขอชื่นชมน้อง ๆ ร้อยตชด.๓๒๗ ทุกคนที่ตั้งใจทำงานเพื่อชื่อเสียงของหน่วยเรา และขอขอบคุณน้อง ๆ ตชด.ที่ส่งข่าว ขอบคุณมากครับ)
614358.jpg (124.79 KiB) เข้าดูแล้ว 1599 ครั้ง
๒๓ มกราคม ๒๕๖๗<br /><br />#วันนี้วันดีสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทยฯประจำจังหวัดเชียงใหม่โดยการนำของนายณรงค์ ทาสิงห์คำ รองประธานฯและคณะกรรมการฯ ได้เดินทางไปมอบโล่ผู้สูงอายุเกิน ๑๐๐ ปี เข็มกลัดสมเด็จย่า เงินก้นถุง และเครื่องอุปโภคบริโภค แด่นายพะหน้อย โมะโละ อายุ ๑๒๓ ปี ที่บ้านแม่แพม อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่<br /><br />#ขอขอบคุณเพื่อนณรงค์ ฯ ที่ส่งข่าวเรื่องราวเหลือเชื่อมาให้รับทราบนะครับ ยังไม่เคยเห็นจริง ๆ คนอะไรอายุ ๑๒๓ ปี ยังไม่พอที่เวียงแหงนี้ ถิ่นเก่าผมนะครับ ไม่ระแคะระคายเลยจริง ๆ สุดยอด
๒๓ มกราคม ๒๕๖๗

#วันนี้วันดีสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทยฯประจำจังหวัดเชียงใหม่โดยการนำของนายณรงค์ ทาสิงห์คำ รองประธานฯและคณะกรรมการฯ ได้เดินทางไปมอบโล่ผู้สูงอายุเกิน ๑๐๐ ปี เข็มกลัดสมเด็จย่า เงินก้นถุง และเครื่องอุปโภคบริโภค แด่นายพะหน้อย โมะโละ อายุ ๑๒๓ ปี ที่บ้านแม่แพม อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่

#ขอขอบคุณเพื่อนณรงค์ ฯ ที่ส่งข่าวเรื่องราวเหลือเชื่อมาให้รับทราบนะครับ ยังไม่เคยเห็นจริง ๆ คนอะไรอายุ ๑๒๓ ปี ยังไม่พอที่เวียงแหงนี้ ถิ่นเก่าผมนะครับ ไม่ระแคะระคายเลยจริง ๆ สุดยอด
612914.jpg (165.38 KiB) เข้าดูแล้ว 1599 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (55).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (55).JPG (103.75 KiB) เข้าดูแล้ว 1599 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (56).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (56).JPG (137.47 KiB) เข้าดูแล้ว 1599 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (57).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (57).JPG (142.27 KiB) เข้าดูแล้ว 1599 ครั้ง
เอกลักษณ์อันโดดเด่นของวัดนี้คือองค์พระเจดีย์ ประดิษฐานอยู่เป็นศูนย์กลางระหว่างพระอุโบสถซึ่งประดิษฐานทางทิศตะวันออก<br />และพระวิหารซึ่งประดิษฐานทางทิศตะวันตก เรียงรายอยู่ในระนาบเดียวกันทั้งหมด เหมือนลักษณะของเครื่องชั่งตวงโบราณ ที่เรียกว่า &quot;ยอย&quot;
เอกลักษณ์อันโดดเด่นของวัดนี้คือองค์พระเจดีย์ ประดิษฐานอยู่เป็นศูนย์กลางระหว่างพระอุโบสถซึ่งประดิษฐานทางทิศตะวันออก
และพระวิหารซึ่งประดิษฐานทางทิศตะวันตก เรียงรายอยู่ในระนาบเดียวกันทั้งหมด เหมือนลักษณะของเครื่องชั่งตวงโบราณ ที่เรียกว่า "ยอย"
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (58).JPG (116.3 KiB) เข้าดูแล้ว 1599 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (59).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (59).JPG (84.18 KiB) เข้าดูแล้ว 1599 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (60).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (60).JPG (129.94 KiB) เข้าดูแล้ว 1599 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (61).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (61).JPG (73.05 KiB) เข้าดูแล้ว 1599 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (63).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (63).JPG (101.81 KiB) เข้าดูแล้ว 1599 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (64).JPG
วัดผางยอย เป็นวัดโบราณในสมัยก่อนเวียงกุมกามกว่าพันปีมาแล้ว เป็นวัดร้างมานานมาก จนกระทั่งเมื่อประมาณ 200 ปีที่ผ่านมา<br />ท่านครูบาสิทธิได้มาแผ้วถางและบูรณะขึ้นมาใหม่ ณ เวลานั้นคงเหลือพระเจดีย์อยู่เพียงครึ่งองค์ ส่วนทั้งพระอุโบสถและพระวิหารนั้นก็เหลือแต่เพียงส่วนฐานเท่านั้น<br /><br />การที่วัดนี้ได้ชื่อว่า &quot;วัดผางยอย&quot; นั้น สืบเนื่องมาจากลักษณะที่ตั้งของปูชนียสถานในวัดแห่งนี้นั่นเอง <br /><br />เอกลักษณ์อันโดดเด่นของวัดนี้คือองค์พระเจดีย์ ประดิษฐานอยู่เป็นศูนย์กลางระหว่างพระอุโบสถซึ่งประดิษฐานทางทิศตะวันออก<br />และพระวิหารซึ่งประดิษฐานทางทิศตะวันตก เรียงรายอยู่ในระนาบเดียวกันทั้งหมด เหมือนลักษณะของเครื่องชั่งตวงโบราณ ที่เรียกว่า &quot;ยอย&quot;<br /><br />ด้วยเหตุนี้คำว่า &quot;ผางยอย&quot; จึงน่าจะหมายถึง &quot;ความยุติธรรม&quot; นั่นเอง<br />เมื่อครั้งที่มีการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดผางยอยอยู่นั้น เล่ากันว่ามีถ้ำอยู่ในวัดนี้ด้วย ในเวลาที่ฝนตก น้ำฝนจะไหลลงไปในโพรงถ้ำนั้นหมด<br />แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไปนานวัน น้ำได้พัดพาเอากรวด หิน ดิน ทราย ไปปิดโพรงนั้นเสีย เพราะในเวลานั้นยังไม่มีใครคอยดูแล<br /><br />ส่วนเหตุที่พระเจดีย์ในวัดนี้ ปรากฏศิลปกรรมแบบพม่า ปรากฏเรื่องเล่าขานกันด้วยว่า คหบดีผู้ใจบุญที่ให้การสนับสนุนการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดผางยอยในเวลานั้นเป็นชาวพม่า วัดผางยอยมีที่ธรณีสงฆ์จำนวน 1 แปลง เนื้อที่ 2 งาน 25 ตารางวา
วัดผางยอย เป็นวัดโบราณในสมัยก่อนเวียงกุมกามกว่าพันปีมาแล้ว เป็นวัดร้างมานานมาก จนกระทั่งเมื่อประมาณ 200 ปีที่ผ่านมา
ท่านครูบาสิทธิได้มาแผ้วถางและบูรณะขึ้นมาใหม่ ณ เวลานั้นคงเหลือพระเจดีย์อยู่เพียงครึ่งองค์ ส่วนทั้งพระอุโบสถและพระวิหารนั้นก็เหลือแต่เพียงส่วนฐานเท่านั้น

การที่วัดนี้ได้ชื่อว่า "วัดผางยอย" นั้น สืบเนื่องมาจากลักษณะที่ตั้งของปูชนียสถานในวัดแห่งนี้นั่นเอง

เอกลักษณ์อันโดดเด่นของวัดนี้คือองค์พระเจดีย์ ประดิษฐานอยู่เป็นศูนย์กลางระหว่างพระอุโบสถซึ่งประดิษฐานทางทิศตะวันออก
และพระวิหารซึ่งประดิษฐานทางทิศตะวันตก เรียงรายอยู่ในระนาบเดียวกันทั้งหมด เหมือนลักษณะของเครื่องชั่งตวงโบราณ ที่เรียกว่า "ยอย"

ด้วยเหตุนี้คำว่า "ผางยอย" จึงน่าจะหมายถึง "ความยุติธรรม" นั่นเอง
เมื่อครั้งที่มีการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดผางยอยอยู่นั้น เล่ากันว่ามีถ้ำอยู่ในวัดนี้ด้วย ในเวลาที่ฝนตก น้ำฝนจะไหลลงไปในโพรงถ้ำนั้นหมด
แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไปนานวัน น้ำได้พัดพาเอากรวด หิน ดิน ทราย ไปปิดโพรงนั้นเสีย เพราะในเวลานั้นยังไม่มีใครคอยดูแล

ส่วนเหตุที่พระเจดีย์ในวัดนี้ ปรากฏศิลปกรรมแบบพม่า ปรากฏเรื่องเล่าขานกันด้วยว่า คหบดีผู้ใจบุญที่ให้การสนับสนุนการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดผางยอยในเวลานั้นเป็นชาวพม่า วัดผางยอยมีที่ธรณีสงฆ์จำนวน 1 แปลง เนื้อที่ 2 งาน 25 ตารางวา
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (62).JPG (128.61 KiB) เข้าดูแล้ว 1599 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (65).JPG
ผมปั่นออกจากวัดผางยอยมาจนถึงทางออก ก็ได้เห็นไลน์คุณนาย ว่าตอนนี้รออยู่ที่หน้าวัดหนองผึ้ง ผมก็เลยบอกให้รอแป๊บ ขอไปเก็บภาพวัดเชียงแสนก่อน แล้วจะตามไปที่วัดหนองผึ้ง คุณนายก็โอเค.
ผมปั่นออกจากวัดผางยอยมาจนถึงทางออก ก็ได้เห็นไลน์คุณนาย ว่าตอนนี้รออยู่ที่หน้าวัดหนองผึ้ง ผมก็เลยบอกให้รอแป๊บ ขอไปเก็บภาพวัดเชียงแสนก่อน แล้วจะตามไปที่วัดหนองผึ้ง คุณนายก็โอเค.
463619_0.jpg (189.58 KiB) เข้าดูแล้ว 1599 ครั้ง
วัดเชียงแสนนั้นไม่ไกลจากวัดผางยอยครับ แค่ปั่นไปแป๊บเดียว ทันช่วงจังหวะรถไฟขบวนเช้า(ระยะสั้น)วิ่งผ่านพอดีได้เก็บภาพมาฝากครับ
วัดเชียงแสนนั้นไม่ไกลจากวัดผางยอยครับ แค่ปั่นไปแป๊บเดียว ทันช่วงจังหวะรถไฟขบวนเช้า(ระยะสั้น)วิ่งผ่านพอดีได้เก็บภาพมาฝากครับ
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (1).JPG (111.39 KiB) เข้าดูแล้ว 1599 ครั้ง
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (2).JPG
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (2).JPG (130.25 KiB) เข้าดูแล้ว 1599 ครั้ง
วัดเชียงแสน ตามที่แจ้งในแบบกรอกประวัติวัดสร้างประมาณ จ.ศ. 697 แต่ในทะเบียนวัดของจังหวัด สร้าง พ.ศ. 2400 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2519 เขตวิสุทคามสีมา กว้าง 40 เมตร ยาว 80 เมตร ได้ผูกพัทธสีมา เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2547 (ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะครับ)
วัดเชียงแสน ตามที่แจ้งในแบบกรอกประวัติวัดสร้างประมาณ จ.ศ. 697 แต่ในทะเบียนวัดของจังหวัด สร้าง พ.ศ. 2400 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2519 เขตวิสุทคามสีมา กว้าง 40 เมตร ยาว 80 เมตร ได้ผูกพัทธสีมา เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2547 (ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะครับ)
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (3).JPG (125.92 KiB) เข้าดูแล้ว 1599 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4369
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D อรุณสวัสดิ์ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ พักเที่ยวถนนวัฒนธรรมไปชมพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาของชาว อ.สารภี ซึ่งปีนี้จัดเป็นปีที่ ๑๘ แล้วครับ โดย

เมื่อวานนี้ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๗ ที่สนามกีฬาโรงเรียนสารภีพิทยาคม ตำบลยางเนิ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ได้จัดกิจกรรม เปิดการแข่งขันกีฬาสีประชาคมต้านยาเสพติดอำเภอสารภี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๗ โดยมี นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายก อบจ. จังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธาน,นายวรุตม์ วิศิษฎ์ศิลป์ นายอำเภอสารภี , นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบล จำนวน ๑๒ ตำบล และเทศบาลตำบลตำบลทั้ง ๑๒ ตำบล ชาวบ้านในเขตรับผิดชอบของอำเภอสารภี เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้

วัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความสามัคคีและส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรวมถึงส่งเสริมให้ประชาชนในท้องถิ่นมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อันเป็นการป้องกันการเกิดปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติด และสร้างความสุขให้กับประชาชน ขอเชิญ พ่อ แม่ พี่ น้อง ร่วมชม ร่วมเชียร์ และเป็นกำลังใจให้กับ นักกีฬาของตำบลสารภี ในการแข่งขันกีฬาประชาคม อำเภอสารภี ประจำปี๒๕๖๗ ในครั้งนี้ และสามารถติดตามผลการแข่งขันได้ทาง เฟสบุ๊คครับ
:) :D
ไฟล์แนบ
cat1.jpg
cat1.jpg (107.2 KiB) เข้าดูแล้ว 1436 ครั้ง
cat2.jpg
cat3.1.jpg
cat3.2.jpg
cat3.2.jpg (66.42 KiB) เข้าดูแล้ว 1436 ครั้ง
cat3.jpg
cat3.jpg (143.07 KiB) เข้าดูแล้ว 1436 ครั้ง
cat4.5.jpg
cat4.jpg
cat4.jpg (132.72 KiB) เข้าดูแล้ว 1436 ครั้ง
cat5.1.jpg
cat5.1.jpg (130.57 KiB) เข้าดูแล้ว 1436 ครั้ง
cat5.jpg
cat5.jpg (107.41 KiB) เข้าดูแล้ว 1436 ครั้ง
cat6.jpg
cat7.jpg
cat7.jpg (72.12 KiB) เข้าดูแล้ว 1436 ครั้ง
cat8.jpg
cat9.jpg
cat10.jpg
cat10.jpg (104.24 KiB) เข้าดูแล้ว 1436 ครั้ง
83455.jpg
83455.jpg (77.91 KiB) เข้าดูแล้ว 1436 ครั้ง
1134210.jpg
1134210.jpg (44.77 KiB) เข้าดูแล้ว 1436 ครั้ง
1134989.jpg
1134989.jpg (71.48 KiB) เข้าดูแล้ว 1436 ครั้ง
cat11.jpg
cat11.jpg (201.35 KiB) เข้าดูแล้ว 1386 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4369
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D อรุณสวัสดิ์ครับท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ ผมไปค้นคว้าหาเรื่องราวเกี่ยวกับคำพยากรณ์ เรื่องวันสิ้นโลกซึ่งผมเคยได้รับฟังจากปาก พ่อ แม่ ครูบาอจารย์ของผม มานำเสนอและฝากข้อคิดให้คิดว่า น่าเป็นห่วงสถานการณ์บ้านเมืองเราและสถานการณ์โลกในทุกวันนี้มากนะครับ ฟังหู-ไว้หู นะครับ :) :D



:shock: :shock: ศิลาจารึกพุทธพยากรณ์ ทำนายภัยพิบัติกึ่งพุทธกาล และการนับปีพ.ศ.ที่ผิดพลาด :o :o



:idea: :idea: นิทานภัยพิบัติ และสงครามโลกครั้งที่ 3 :idea: :idea:

:) :D ตลอดเดือนมกราคมที่ผ่านมา ผมใจจดใจจ่ออยู่กับข่าวสารต่าง ๆ เห็นว่า ข่าวเลวร้าย น่าสลดหดหู่ ฆ่ากัน ทำร้ายกัน แทงกัน ยิงกัน โขมยกัน เป็นชู้กัน ฯ เยอะมาก ๆ ข่าวดี ๆ มีสาระประกอบด้วยคุณธรรม จริยธรรม เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตให้เป็นสุขมันน้อย มีน้อยเหลือเกิน คนเลว ๆ ได้รับการเอาใจใส่ดูแลแบบน่าอิจฉา (ไม่ได้ตำหนิหรือน้อยใจใด ๆ เป็นข้อสังเกตุนะครับ)

ที่สลดใจมาก ๆ เห็นจะเป็นข่าวเด็ก ๆ นักเรียนของเราแทงกัน ฆ่ากัน ทำให้นึกไปถึงคำทำนาย (ปรกติผมไม่ได้ให้ความสนใจ) คิดนะครับว่าเลยกึ่งพุทธกาลมา พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ ท่านเล่าให้ฟังว่า “นรกจะเปิด สัตว์นรกจะขึ้นมาบนโลกมนุษย์ โลกมนุษย์จะพบกับความวุ่นวาย” เมื่อเรานับเวลากึ่งพุทธกาลถึงปัจจุบัน เดนนรกที่ว่าเขาอายุจะอยู่ที่ ๑๖,๑๗ ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลานี้พอดิบพอดี คิดแล้วเหนื่อยใจนะครับ

ตัวอย่าง คำสอน ดี ๆ ที่จะเป็นแบบอย่างให้เยาวชนของเรา ถามนะครับว่า “มีไหม ? ” ทุกวันนี้สื่อส่วนใหญ่จะนำเสนอแต่เรื่องเลวร้ายทั้งสิ้น อยากจะให้บรรดาสื่อทั้งหลายหันมาสนใจ ให้ข่าวคนดี ที่ทำดี สนับสนุนกิจกรรมดี ๆ มีคุณธรรม จริยธรรม เพื่อที่จะได้ให้เยาวชนของเรา ได้เห็น ได้ชม จะได้ซึมซับเอาสิ่งดี ๆ เหล่านั้นไปเป็นแบบอย่าง จะได้ไหม เช่น ในวันหนึ่งถ้าเราจะเสนอข่าวร้าย ๆ ๑๐๐ % ลดลงแบ่งเป็นข่าวดี ๆ มีคุณธรรมสัก ๓๐-๔๐ % จะได้ไหม และภาครัฐควรอย่างยิ่งที่ต้องให้ความสนใจกิจกรรมดี ๆ สนับสนุนกิจกรรมดี ๆ ให้ปรากฏในหน้าสื่อต่าง ๆ ให้มาก ๆ ยิ่งขึ้น ได้ไหมล่ะ คนเลว ๆ กม.มีอยู่แล้วว่าไปตามตัวบทกฏหมาย ไม่น่าจะให้ค่าขนาดนำเสนอเป็นข่าวใหญ่ให้เป็นแบบอย่างเด็ก ๆ เขาชอบนะ..มันสะใจ..ประมาณนั้น
:( :(
ไฟล์แนบ
นับวันเราจะเห็นเพิ่มมากขึ้น ๆ รุนแรงยิ่งขึ้น ๆ เด็ก ๆ เหล่านี้ไม่เกรงกลัว กม.หรือนรกใด ๆ เขาเห็นจากสื่อที่นำเสนอนึกว่าเท่ห์ สุดท้ายก็หมดอนาคต บ้านเมืองต้องมาเสียเวลาในการหาวิธีป้องกันและแก้ไข ถ้าเรามีตัวอย่าง แบบอย่างที่ดี มากขึ้นภาพเหล่านี้คาดว่าน่าจะไม่มี ถึงเวลาที่ต้องมาทบทวนเรื่องง่าย ๆ แบบนี้ได้แล้ว (วิงวอนสื่อทั้งหลายพิจารณาด้วยนะครับ)
นับวันเราจะเห็นเพิ่มมากขึ้น ๆ รุนแรงยิ่งขึ้น ๆ เด็ก ๆ เหล่านี้ไม่เกรงกลัว กม.หรือนรกใด ๆ เขาเห็นจากสื่อที่นำเสนอนึกว่าเท่ห์ สุดท้ายก็หมดอนาคต บ้านเมืองต้องมาเสียเวลาในการหาวิธีป้องกันและแก้ไข ถ้าเรามีตัวอย่าง แบบอย่างที่ดี มากขึ้นภาพเหล่านี้คาดว่าน่าจะไม่มี ถึงเวลาที่ต้องมาทบทวนเรื่องง่าย ๆ แบบนี้ได้แล้ว (วิงวอนสื่อทั้งหลายพิจารณาด้วยนะครับ)
621584.jpg (136.51 KiB) เข้าดูแล้ว 1298 ครั้ง
621268_0.jpg
621268_0.jpg (103.31 KiB) เข้าดูแล้ว 1298 ครั้ง
621265_0.jpg
621265_0.jpg (70.9 KiB) เข้าดูแล้ว 1298 ครั้ง
621264_0.jpg
621264_0.jpg (72.69 KiB) เข้าดูแล้ว 1298 ครั้ง
621266_0.jpg
621266_0.jpg (104.9 KiB) เข้าดูแล้ว 1298 ครั้ง
ฝากหลาน ๆ ไปคิดกันนะครับคนเก่ง กล้า แม้ชีวิตก็ยอมสละเพื่อชาติบ้านเมืองแบบนี้คุ้มกว่าเยอะ<br /><br />อดุลย์ ปริกเพชร คนตัวเล็กแต่ใจใหญ่ เมื่อครั้งที่พวกเราเข้าไปรับการฝึกอบรมในหลักสูตร &quot;อาวุธพิเศษจากอเมริกา&quot; ณ ค่ายดารารัศมี อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เมื่อปี ๒๕๑๓ เป็น รุ่นที่ ๒ เพื่อไปต่อสู้กับ ผกค.ที่โหมกระหน่ำทางภาคเหนือจำได้ว่าแต่ปี ๒๕๐๖ เป็นต้นมา<br /><br />รุ่นของเรามีทั้งหมดสองร้อยกว่าคนแบ่งเป็น ๖ มว. ๒ กองร้อย กองร้อยละ ๓ มว. ร้อย ๑ มว.๑ ตัวสูงโย่งใหญ่สุดของรุ่น ร้อย ๒ มว.๓ ตัวเล็กสุดจิ๋วที่สุดในรุ่น ผมนั้นอยู่ ม.๒ มว.๒ ร้อย ๒ ครับ (ครูฝึกแบ่งสีเสื้อให้สวมใส่ตอนรับการฝึกดังนี้ มว.๑ ร้อย ๑ สีแดง มว.๒ ร.๑ สีดำ มว.๓ ร้อย๑ สีขาว กองร้อยที่ ๒ มว.๑ ร้อย ๒ สีน้ำเงิน มว.๒ ร้อย ๒ สีเขียว (พวกเรียกสางเขียว ๕๕) มว.๓ ร้อย ๒ สีฟ้า<br /><br />เล็กพริกขี้หนูของรุ่นก็ไอ้พวกตัวเล็กนี่ละครับ หลบหลีก ว่องไว หนีเที่ยวแล้วถูกครูฝึกทำโทษน้อยมาก ตรงข้ามกับพวกโต ๆ โดนทำโทษบ่อยครั้ง ๔๐ กว่าปีที่เพื่อนรักจากไปจากการสู้รบ อย่างสมศักดิ์ศรี ความดีนี้ยังอยู่ เช่น fb.ที่ขึ้นทบทวนความจำให้รำลึกเสมอ ๆ ป่านนี้เพื่อนคงไปเกิดและเติบโตเป็นหนุ่มแล้ว ขอให้เพื่อนได้พบกับพระพุทธศาสนาและเจริญในธรรม จนกว่าจะบรรลุจะได้ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดให้ทุกข์แล้วทุกข์เล่า เป็นวัฏวนแบบนี้อีกต่อไป ขณะนี้พวกเราที่เหลือก็ทะยอยจากไปทีละคน ๒ คน ไม่นานก็หมดรุ่น
ฝากหลาน ๆ ไปคิดกันนะครับคนเก่ง กล้า แม้ชีวิตก็ยอมสละเพื่อชาติบ้านเมืองแบบนี้คุ้มกว่าเยอะ

อดุลย์ ปริกเพชร คนตัวเล็กแต่ใจใหญ่ เมื่อครั้งที่พวกเราเข้าไปรับการฝึกอบรมในหลักสูตร "อาวุธพิเศษจากอเมริกา" ณ ค่ายดารารัศมี อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เมื่อปี ๒๕๑๓ เป็น รุ่นที่ ๒ เพื่อไปต่อสู้กับ ผกค.ที่โหมกระหน่ำทางภาคเหนือจำได้ว่าแต่ปี ๒๕๐๖ เป็นต้นมา

รุ่นของเรามีทั้งหมดสองร้อยกว่าคนแบ่งเป็น ๖ มว. ๒ กองร้อย กองร้อยละ ๓ มว. ร้อย ๑ มว.๑ ตัวสูงโย่งใหญ่สุดของรุ่น ร้อย ๒ มว.๓ ตัวเล็กสุดจิ๋วที่สุดในรุ่น ผมนั้นอยู่ ม.๒ มว.๒ ร้อย ๒ ครับ (ครูฝึกแบ่งสีเสื้อให้สวมใส่ตอนรับการฝึกดังนี้ มว.๑ ร้อย ๑ สีแดง มว.๒ ร.๑ สีดำ มว.๓ ร้อย๑ สีขาว กองร้อยที่ ๒ มว.๑ ร้อย ๒ สีน้ำเงิน มว.๒ ร้อย ๒ สีเขียว (พวกเรียกสางเขียว ๕๕) มว.๓ ร้อย ๒ สีฟ้า

เล็กพริกขี้หนูของรุ่นก็ไอ้พวกตัวเล็กนี่ละครับ หลบหลีก ว่องไว หนีเที่ยวแล้วถูกครูฝึกทำโทษน้อยมาก ตรงข้ามกับพวกโต ๆ โดนทำโทษบ่อยครั้ง ๔๐ กว่าปีที่เพื่อนรักจากไปจากการสู้รบ อย่างสมศักดิ์ศรี ความดีนี้ยังอยู่ เช่น fb.ที่ขึ้นทบทวนความจำให้รำลึกเสมอ ๆ ป่านนี้เพื่อนคงไปเกิดและเติบโตเป็นหนุ่มแล้ว ขอให้เพื่อนได้พบกับพระพุทธศาสนาและเจริญในธรรม จนกว่าจะบรรลุจะได้ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดให้ทุกข์แล้วทุกข์เล่า เป็นวัฏวนแบบนี้อีกต่อไป ขณะนี้พวกเราที่เหลือก็ทะยอยจากไปทีละคน ๒ คน ไม่นานก็หมดรุ่น
621267_0.jpg (47.72 KiB) เข้าดูแล้ว 1298 ครั้ง
เรายังอยู่ที่วัดเชียงแสนนะครับ ที่วัดนี้ก็น่าสนใจมาก ๆ วัดสวยงามมีเจดีย์ มีวิหารที่เก่าแก่น่าชม ที่สำคัญกิจกรรมทางวัดที่จัดสอดคล้องกับบริบทความเป็นวัดมากครับ เสียดายขณะที่เก็บภาพทางวัดก็มีกิจกรรมประชุมเลยอดที่จะได้พูดคุยเก็บรายละเอียด ได้แต่เดินถ่ายภาพและชมสถานที่ ไว้เวลาว่างจะหาโอกาสมาสนทนากับท่านพระอาจารย์อีกครั้ง
เรายังอยู่ที่วัดเชียงแสนนะครับ ที่วัดนี้ก็น่าสนใจมาก ๆ วัดสวยงามมีเจดีย์ มีวิหารที่เก่าแก่น่าชม ที่สำคัญกิจกรรมทางวัดที่จัดสอดคล้องกับบริบทความเป็นวัดมากครับ เสียดายขณะที่เก็บภาพทางวัดก็มีกิจกรรมประชุมเลยอดที่จะได้พูดคุยเก็บรายละเอียด ได้แต่เดินถ่ายภาพและชมสถานที่ ไว้เวลาว่างจะหาโอกาสมาสนทนากับท่านพระอาจารย์อีกครั้ง
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (5).JPG (134.72 KiB) เข้าดูแล้ว 1298 ครั้ง
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (7).JPG
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (8).JPG
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (8).JPG (134.92 KiB) เข้าดูแล้ว 1298 ครั้ง
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (9).JPG
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (9).JPG (130.09 KiB) เข้าดูแล้ว 1298 ครั้ง
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (10).JPG
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (10).JPG (125.22 KiB) เข้าดูแล้ว 1298 ครั้ง
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (11).JPG
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (11).JPG (113.99 KiB) เข้าดูแล้ว 1298 ครั้ง
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (12).JPG
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (12).JPG (145.16 KiB) เข้าดูแล้ว 1298 ครั้ง
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (13).JPG
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (13).JPG (112.84 KiB) เข้าดูแล้ว 1298 ครั้ง
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (14).JPG
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (14).JPG (111.44 KiB) เข้าดูแล้ว 1298 ครั้ง
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (15).JPG
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (15).JPG (108.01 KiB) เข้าดูแล้ว 1298 ครั้ง
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (16).JPG
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (17).JPG
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (17).JPG (78.79 KiB) เข้าดูแล้ว 1298 ครั้ง
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (18).JPG
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (18).JPG (146.27 KiB) เข้าดูแล้ว 1298 ครั้ง
วัดเชียงแสน เลขที่ ๕๕ บ้านเชียงแสน ถนน เชียงใหม่ –ลำปาง ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ ๓ ไร่ - งาน ๗๗ ตารางวา โฉนดเลขที่ ๒๘๖๘๑ อาณาเขตติดกับสถานที่ต่าง ๆ ดังนี้.<br /><br />ทิศเหนือ ติดลำเหมืองสาธารณประโยชน์<br />ทิศใต้ ติดถนนสาธารณประโยชน์<br />ทิศตะวันออก ติดถนนออกหมู่บ้าน<br />ทิศตะวันตก ติดทางรถไฟกรุงเทพ –เชียงใหม่<br /><br />ประวัติ และความเป็นมา.<br />วัดเชียงแสน ตามที่แจ้งในแบบกรอกประวัติวัดสร้างประมาณ จ.ศ. ๖๙๗ แต่ในทะเบียนวัดของจังหวัด สร้าง พ.ศ. ๒๔๐๐ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ เขตวิสุทคามสีมา กว้าง ๔๐ เมตร ยาว ๘๐ เมตร ได้ผูกพัทธสีมา เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗<br /><br />Cr.กระทรวงวัฒนธรรม
วัดเชียงแสน เลขที่ ๕๕ บ้านเชียงแสน ถนน เชียงใหม่ –ลำปาง ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ ๓ ไร่ - งาน ๗๗ ตารางวา โฉนดเลขที่ ๒๘๖๘๑ อาณาเขตติดกับสถานที่ต่าง ๆ ดังนี้.

ทิศเหนือ ติดลำเหมืองสาธารณประโยชน์
ทิศใต้ ติดถนนสาธารณประโยชน์
ทิศตะวันออก ติดถนนออกหมู่บ้าน
ทิศตะวันตก ติดทางรถไฟกรุงเทพ –เชียงใหม่

ประวัติ และความเป็นมา.
วัดเชียงแสน ตามที่แจ้งในแบบกรอกประวัติวัดสร้างประมาณ จ.ศ. ๖๙๗ แต่ในทะเบียนวัดของจังหวัด สร้าง พ.ศ. ๒๔๐๐ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ เขตวิสุทคามสีมา กว้าง ๔๐ เมตร ยาว ๘๐ เมตร ได้ผูกพัทธสีมา เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗

Cr.กระทรวงวัฒนธรรม
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (19).JPG (145.03 KiB) เข้าดูแล้ว 1298 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4369
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D ... Letter From President Abraham Lincoln to His Son's Teacher

He will have to learn, I know,
that all men are not just,
all men are not true.
But teach him also that
for every scoundrel there is a hero;
that for every selfish Politician,
there is a dedicated leader…

Teach him for every enemy there is a friend,

Steer him away from envy,
if you can,
teach him the secret of
quiet laughter.

Let him learn early that
the bullies are the easiest to lick…
Teach him, if you can,
the wonder of books…
But also give him quiet time
to ponder the eternal mystery of birds in the sky,
bees in the sun,
and the flowers on a green hillside.

In the school teach him
it is far more honorable to fail
than to cheat…
Teach him to have faith
in his own ideas,
even if everyone tells him
they are wrong…

Teach him to be gentle
with gentle people,
and tough with the tough.

Try to give my son
the strength not to follow the crowd
when everyone is getting on the band wagon…

Teach him to listen to all men…
but teach him also to filter
all he hears on a screen of truth,
and take only the good
that comes through.

Teach him if you can,
how to laugh when he is sad…
Teach him there is no shame in tears,
Teach him to scoff at cynics
and to beware of too much sweetness…

Teach him to sell his brawn
and brain to the highest bidders
but never to put a price-tag
on his heart and soul.

Teach him to close his ears
to a howling mob
and to stand and fight
if he thinks he’s right.

Treat him gently,
but do not cuddle him,
because only the test
of fire makes fine steel.

Let him have the courage
to be impatient…
let him have the patience to be brave.

Teach him always
to have sublime faith in himself,
because then he will have
sublime faith in mankind.


จดหมายจากอับราฮัม ลินคอล์น ถึงครูของลูกชาย :

เขาจะต้องเรียนรู้ ผมทราบว่า :

ใช่ว่าทุกคนจะเป็นธรรม
ใช่ว่าทุกคนจะเป็นคนจริง
แต่สอนเขาด้วยเถิดว่า
ในหมู่คนเลว ยังมีวีรบุรุษ
ในหมู่นักการเมืองฉ้อฉล
ยังมีผู้นำที่อุทิศตน.

สอนเขาว่า ในหมู่ศัตรูนั้น
จะยังมีมิตรนำพาเขาออก
ห่างจากความริษยา.

หากท่านทำได้
สอนเขาถึงเคล็ดลับของ
การหัวเราะเบาๆ
ปล่อยให้เขาได้เรียนรู้แต่เยาว์ว่า
การถูกรังแกนั้นเป็นสิ่งที่แก้ได้ง่ายที่สุด.

หากท่านทำได้
สอนเขาถึงความอัศจรรย์
ของหนังสือ…
แต่ให้เวลาเงียบสงบแก่เขาด้วย
เพื่อครุ่นคิดถึงความลี้ลับอันนิรันดร์ของนกในท้องฟ้า
ผึ้งกลางแสงแดด
และดอกไม้บนเนินเขาเขียว.

ในโรงเรียน สอนเขาว่า
การสอบตกนั้นมีเกียรติยิ่งกว่าการโกงมาก.

สอนเขาให้มีความเชื่อ
ในความคิดของตนเอง
แม้ทุกคนจะบอกเขาว่า
มันผิด.

สอนให้เขาสุภาพ ต่อสุภาพชน
แข็งกร้าวต่อผู้ระราน.

ขอให้ท่านช่วยสร้างพลัง
แก่ลูกชายผม
ที่จะไม่วิ่งกรูตามฝูงชน
เมื่อทุกคนแห่ตามกันไป
ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
สอนให้เขาฟังทุกคน
แต่สอนให้เขากลั่นกรอง
ทุกสิ่งที่ได้ฟังด้วยตาข่าย
แห่งความจริง
แล้วหยิบเอาเพียงสิ่งดีๆ
ที่ถูกร่อนแล้ว.

สอนเขาด้วยถ้าท่านทำได้ว่า
จะหัวเราะอย่างไรเมื่อโศกเศร้า.

สอนเขาว่า อย่าได้อายที่จะ
หลั่งน้ำตา.

สอนเขาว่า อย่าใส่ใจคนชอบหยัน และพึงระวังความหวาน
ที่มากเกินไป.

สอนเขาให้ขายกล้ามเนื้อ
และสมองแก่ผู้ให้ราคาสูงสุด
แต่อย่าได้ติดป้ายราคา
ที่หัวใจและวิญญาณตน.

สอนให้เขาปิดหู
ต่อฝูงชนที่เอะอะเอ็ดตะโร
และยืนหยัดสู้
ถ้าเขาคิดว่าตัวเองถูก.

สอนเขาอย่างอ่อนโยน
แต่อย่ากกกอดเขา
เพราะมีเพียงการทดสอบ
จากเปลวไฟร้อนแรงเท่านั้น
จึงได้เหล็กกล้าเนื้อดี.

ปล่อยให้เขามีความกล้า
ที่จะใจร้อนไม่อดทน
ปล่อยให้เขามีความอดทน
ที่จะกล้า.

สอนเขาเสมอ
ที่จะมีศรัทธาสูงส่งในตนเอง
เพราะจากนั้นเขาจะมี
ศรัทธาสูงส่งต่อมนุษยชาติ.

ภาดา กิตติโกวิท แปล มอบแด่คุณครู และผู้ปกครองเด็กๆ ทุกคน. :idea: :idea:
ไฟล์แนบ
622528.jpg
622528.jpg (125.76 KiB) เข้าดูแล้ว 1132 ครั้ง
626744.jpg
626744.jpg (120.96 KiB) เข้าดูแล้ว 1132 ครั้ง
625702.jpg
625702.jpg (72.01 KiB) เข้าดูแล้ว 1132 ครั้ง
เมื่อวานที่ ๓ ก.พ.๖๗ รร.ยุพราชวิทยาลัย เชียงใหม่ จัดงานคืนสู่เหย้าชาวบานเย็น และมอบโล่ห์รางวัลดีเด่นแก่ศิษย์เก่า ที่มีผลงานปีนี้ ยุพราชรุ่น ๐๘ - ๑๐ เป็นรุ่นเก๋ากึ๊กที่สุดที่ไปในงาน และรุ่นเราได้รับเกียรติขึ้นรับรางวัล ๒ ท่านคือ ท่าน ประธาน พรหมกร (ดีเด่นภาครัฐ) และ ยงยุทธ ไชยวงค์ (ดีเด่นในฐานะผู้สร้างคุณประโยชน์แก่สังคมและสถาบัน) ขอแสดงความยินดีกับทั้ง ๒ ท่านด้วย<br /><br />ในวันงานเราได้พบปะเพื่อนฝูงที่ไม่ได้เจอหน้าค่าตากันมาเป็น สิบ ๆ ปี แทบจำกันไม่ได้ก็มี รุ่นเดียวกันที่เรียนด้วยกันจำได้ แต่ต่างรุ่นอยู่ใกล้ชิดกันเห็นหน้าจำได้ แต่ชื่อไม่จำ สนุกสนานตามภาษาพี่ ๆ น้อง ๆ สมกับสโลแกนของโรงเรียนที่ว่า &quot;ชั่วดีอย่างไรเราต้องรักกัน&quot;  ดีใจครับที่เห็นพวกเราสมัคสมานสามัคคีกัน ไม่ว่าจะรุ่นไหน ๆ ปีนี้ศิษย์เก่ามากันเยอะมากครับ
เมื่อวานที่ ๓ ก.พ.๖๗ รร.ยุพราชวิทยาลัย เชียงใหม่ จัดงานคืนสู่เหย้าชาวบานเย็น และมอบโล่ห์รางวัลดีเด่นแก่ศิษย์เก่า ที่มีผลงานปีนี้ ยุพราชรุ่น ๐๘ - ๑๐ เป็นรุ่นเก๋ากึ๊กที่สุดที่ไปในงาน และรุ่นเราได้รับเกียรติขึ้นรับรางวัล ๒ ท่านคือ ท่าน ประธาน พรหมกร (ดีเด่นภาครัฐ) และ ยงยุทธ ไชยวงค์ (ดีเด่นในฐานะผู้สร้างคุณประโยชน์แก่สังคมและสถาบัน) ขอแสดงความยินดีกับทั้ง ๒ ท่านด้วย

ในวันงานเราได้พบปะเพื่อนฝูงที่ไม่ได้เจอหน้าค่าตากันมาเป็น สิบ ๆ ปี แทบจำกันไม่ได้ก็มี รุ่นเดียวกันที่เรียนด้วยกันจำได้ แต่ต่างรุ่นอยู่ใกล้ชิดกันเห็นหน้าจำได้ แต่ชื่อไม่จำ สนุกสนานตามภาษาพี่ ๆ น้อง ๆ สมกับสโลแกนของโรงเรียนที่ว่า "ชั่วดีอย่างไรเราต้องรักกัน" ดีใจครับที่เห็นพวกเราสมัคสมานสามัคคีกัน ไม่ว่าจะรุ่นไหน ๆ ปีนี้ศิษย์เก่ามากันเยอะมากครับ
625837.jpg (131.49 KiB) เข้าดูแล้ว 1132 ครั้ง
งานเลี้ยงคืนสู่เหย้าชาวบานเย็น ในงานเราเจอเพื่อน ๆ ที่ว่าจำกันได้บ้างไม่ได้บ้าง ผมมีเรื่องเสทือนใจนิดนึง จะเล่าให้ฟัง ผมเจอเพื่อนที่คบกันมานานดื่มเหล้าเมายาหัวทิ่มบ่อมาด้วยกัน หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานานมาก เจอกันผมปรี่เข้าไปหาส่งซิกว่า &quot;เฮ้ย..เพื่อน&quot; แต่ปรากฏเพื่อนมองนิ่ง ๆ ไม่พูดจาเหมือน &quot;งง&quot; ยอมรับครับว่า &quot;เซ่อ..กิน&quot;<br /><br />ผมนิ่งและเก็บอารมณ์มองข้างในจิตของตนเอง &quot;คิดอะไร&quot; ไม่คิด..เฉย ๆ สบาย สงบ เย็น เข้าใจ สัตว์โลกผู้ไม่รู้มีอวิชชา โกรธ เกลียด อาฆาต ฯลฯ ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจ เราอาจจะไปทำไม่ดีอะไรให้เขาขุ่นใจ หมองใจ จนเป็นเรื่องที่เขารับไม่ได้ <br /><br />ยอมรับว่าอดีตที่ผ่านมาผมใช้ชีวิตค่อนข้างจะ ไม่ดีก็เยอะครับ เรียกว่าเลวจนถึงอายุสามสิบกว่า ๆ เมื่อได้พบพระอาจารย์ และพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ได้ช่วยกันฉุดกระชากลากดึงผมออกจากความชั่วร้าย หันหน้าเข้าสู่สายธรรมสำเร็จ<br /><br />เมื่อคืนนี้เมื่อเจอสถานการณ์แบบนั้น ผมไม่โกรธ ไม่คิดลบ ไม่ข้องใจ รู้ว่ามันเพียงเราพูดไปเขาไม่เข้าใจ หรืออะไร ๆ สักอย่าง มันก็เรื่องของเขา จิตนิ่งมาก ๆ ใจสบาย ๆ ไม่คิดอะไรจริง ๆ  ผมสอบผ่านอีกหนึ่งแบบทดสอบ ที่เรียกว่า โจทย์หินมาก ต้องขอบคุณพระธรรมคำสอน ที่อุตส่าห์ประพฤติปฏิบัติเอาใจใส่ ร่ำเรียนนานมาก(๓๕ ปี) เรียกว่าเห็นผลในชาตินี้จริง ๆ สาธุ สาธุ สาธุ.<br /><br />ขอบันทึก ณ ที่นี้ ว่า เจ้ากรรมนายเวรทุกรูปทุกนามทุกภพทุกชาติ พร้อมเพื่อนด้วยหากยังขุ่นข้องหมองใจ เราขออโหสิกรรมเพื่อนและเจ้ากรรมนายเวรว่า จะด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ทั้งต่อหน้าแลลับหลัง ทั้งที่รู้และไม่รู้ ทั้งที่เจตนาและไม่เจตนา ขอเพื่อนและเจ้ากรรมนายเวรดังกล่าว ได้ยกโทษอโหสิกรรมให้แก่กันและกันด้วย เพื่อความเจริญในธรรมต่อไป หวังว่าเรายังคงเป็นเพื่อน และจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนะ สาธุ สาธุ สาธุ
งานเลี้ยงคืนสู่เหย้าชาวบานเย็น ในงานเราเจอเพื่อน ๆ ที่ว่าจำกันได้บ้างไม่ได้บ้าง ผมมีเรื่องเสทือนใจนิดนึง จะเล่าให้ฟัง ผมเจอเพื่อนที่คบกันมานานดื่มเหล้าเมายาหัวทิ่มบ่อมาด้วยกัน หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานานมาก เจอกันผมปรี่เข้าไปหาส่งซิกว่า "เฮ้ย..เพื่อน" แต่ปรากฏเพื่อนมองนิ่ง ๆ ไม่พูดจาเหมือน "งง" ยอมรับครับว่า "เซ่อ..กิน"

ผมนิ่งและเก็บอารมณ์มองข้างในจิตของตนเอง "คิดอะไร" ไม่คิด..เฉย ๆ สบาย สงบ เย็น เข้าใจ สัตว์โลกผู้ไม่รู้มีอวิชชา โกรธ เกลียด อาฆาต ฯลฯ ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจ เราอาจจะไปทำไม่ดีอะไรให้เขาขุ่นใจ หมองใจ จนเป็นเรื่องที่เขารับไม่ได้

ยอมรับว่าอดีตที่ผ่านมาผมใช้ชีวิตค่อนข้างจะ ไม่ดีก็เยอะครับ เรียกว่าเลวจนถึงอายุสามสิบกว่า ๆ เมื่อได้พบพระอาจารย์ และพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ได้ช่วยกันฉุดกระชากลากดึงผมออกจากความชั่วร้าย หันหน้าเข้าสู่สายธรรมสำเร็จ

เมื่อคืนนี้เมื่อเจอสถานการณ์แบบนั้น ผมไม่โกรธ ไม่คิดลบ ไม่ข้องใจ รู้ว่ามันเพียงเราพูดไปเขาไม่เข้าใจ หรืออะไร ๆ สักอย่าง มันก็เรื่องของเขา จิตนิ่งมาก ๆ ใจสบาย ๆ ไม่คิดอะไรจริง ๆ ผมสอบผ่านอีกหนึ่งแบบทดสอบ ที่เรียกว่า โจทย์หินมาก ต้องขอบคุณพระธรรมคำสอน ที่อุตส่าห์ประพฤติปฏิบัติเอาใจใส่ ร่ำเรียนนานมาก(๓๕ ปี) เรียกว่าเห็นผลในชาตินี้จริง ๆ สาธุ สาธุ สาธุ.

ขอบันทึก ณ ที่นี้ ว่า เจ้ากรรมนายเวรทุกรูปทุกนามทุกภพทุกชาติ พร้อมเพื่อนด้วยหากยังขุ่นข้องหมองใจ เราขออโหสิกรรมเพื่อนและเจ้ากรรมนายเวรว่า จะด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ทั้งต่อหน้าแลลับหลัง ทั้งที่รู้และไม่รู้ ทั้งที่เจตนาและไม่เจตนา ขอเพื่อนและเจ้ากรรมนายเวรดังกล่าว ได้ยกโทษอโหสิกรรมให้แก่กันและกันด้วย เพื่อความเจริญในธรรมต่อไป หวังว่าเรายังคงเป็นเพื่อน และจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนะ สาธุ สาธุ สาธุ
S__12369925.jpg (70.73 KiB) เข้าดูแล้ว 1132 ครั้ง
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (22).JPG
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (22).JPG (123.15 KiB) เข้าดูแล้ว 1132 ครั้ง
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (23).JPG
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (23).JPG (110.53 KiB) เข้าดูแล้ว 1132 ครั้ง
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (24).JPG
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (25).JPG
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (25).JPG (137.45 KiB) เข้าดูแล้ว 1132 ครั้ง
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (26).JPG
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (26).JPG (125.25 KiB) เข้าดูแล้ว 1132 ครั้ง
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (27).JPG
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (27).JPG (130.67 KiB) เข้าดูแล้ว 1132 ครั้ง
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (28).JPG
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (28).JPG (102.39 KiB) เข้าดูแล้ว 1132 ครั้ง
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (29).JPG
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (29).JPG (115.14 KiB) เข้าดูแล้ว 1132 ครั้ง
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (30).JPG
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (30).JPG (138.91 KiB) เข้าดูแล้ว 1132 ครั้ง
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (32).JPG
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (32).JPG (113.95 KiB) เข้าดูแล้ว 1132 ครั้ง
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (33).JPG
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (33).JPG (102.77 KiB) เข้าดูแล้ว 1132 ครั้ง
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (34).JPG
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (35).JPG
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (35).JPG (106.46 KiB) เข้าดูแล้ว 1132 ครั้ง
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (36).JPG
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (36).JPG (77.78 KiB) เข้าดูแล้ว 1132 ครั้ง
วัดสันคือ;  วัดราษฎร์/พัทธสีมา; นิกาย: มหานิกาย; ที่ตั้ง: เลขที่ ๑๙๙ หมู่ ข บ้านสันคือ ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่<br /><br />ตามประวัติเล่าขานกันมาบ่งบอกว่า วัดสันคือ เดิมชื่อว่า วัดศรีบุญยืน สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๐๕ ตั้งอยู่หมู่ที่ ๑ ต่อมาได้เปลี่ยนมาเป็นหมู่ที่ข ตามการแบ่งเขตของทางอำเภอ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ จนถึงปัจจุบัน วัดสันคือมีอาณาเขตติดกับตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ บริเวณทิศตะวันออกของวัด มีลำเหมืองพญาคำไหลผ่าน สันนิฐานว่า เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจและเป็นสถานที่ทำพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา เป็นสถานที่ทำบุญของชาวบ้านในโอกาสต่างๆ โดยพื้นที่ในวัดแห่งนี้ไม่เคยมีน้ำท่วมเลย เพราะบริเวณนี้มีลักษณะเป็นที่ดอน<br /><br />วัดสันคือนั้นเคยมีพระพุทธรูปคู่วัดอยู่ ๑ องค์เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยสิงห์ ๑ สมัยเชียงแสนได้ถูกขโมยไปเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๐ และมีปูชนียสถานที่สำคัญอีกอย่างคือ พระเจดีย์โดยที่ชาวบ้านได้นำวัตถุโบราณต่าง ๆ มาบรรจุไว้ในองค์พระเจดีย์ซึ่งวัตถุโบราณต่าง ๆ นั้นได้นำมาจากวัดป่าหวายและวัดป่าเป้า ทั้งนี้ภายในวัดมีถาวรวัตถุต่าง ๆ คือ วิหาร กุฏิสงฆ์ อุโบสถ ศาลาการเปรียญ หอระฆัง ศาลาบำเพ็ญบุญ และมีกำแพงล้อมรอบอาณาบริเวณของวัด ปัจจุบันมีพระครูพิธานศาสนกิจเป็นเจ้าอาวาส
วัดสันคือ; วัดราษฎร์/พัทธสีมา; นิกาย: มหานิกาย; ที่ตั้ง: เลขที่ ๑๙๙ หมู่ ข บ้านสันคือ ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่

ตามประวัติเล่าขานกันมาบ่งบอกว่า วัดสันคือ เดิมชื่อว่า วัดศรีบุญยืน สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๐๕ ตั้งอยู่หมู่ที่ ๑ ต่อมาได้เปลี่ยนมาเป็นหมู่ที่ข ตามการแบ่งเขตของทางอำเภอ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ จนถึงปัจจุบัน วัดสันคือมีอาณาเขตติดกับตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ บริเวณทิศตะวันออกของวัด มีลำเหมืองพญาคำไหลผ่าน สันนิฐานว่า เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจและเป็นสถานที่ทำพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา เป็นสถานที่ทำบุญของชาวบ้านในโอกาสต่างๆ โดยพื้นที่ในวัดแห่งนี้ไม่เคยมีน้ำท่วมเลย เพราะบริเวณนี้มีลักษณะเป็นที่ดอน

วัดสันคือนั้นเคยมีพระพุทธรูปคู่วัดอยู่ ๑ องค์เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยสิงห์ ๑ สมัยเชียงแสนได้ถูกขโมยไปเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๐ และมีปูชนียสถานที่สำคัญอีกอย่างคือ พระเจดีย์โดยที่ชาวบ้านได้นำวัตถุโบราณต่าง ๆ มาบรรจุไว้ในองค์พระเจดีย์ซึ่งวัตถุโบราณต่าง ๆ นั้นได้นำมาจากวัดป่าหวายและวัดป่าเป้า ทั้งนี้ภายในวัดมีถาวรวัตถุต่าง ๆ คือ วิหาร กุฏิสงฆ์ อุโบสถ ศาลาการเปรียญ หอระฆัง ศาลาบำเพ็ญบุญ และมีกำแพงล้อมรอบอาณาบริเวณของวัด ปัจจุบันมีพระครูพิธานศาสนกิจเป็นเจ้าอาวาส
วัดเชียงแสน-วัดสันคือ (37).JPG (130.27 KiB) เข้าดูแล้ว 1132 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4369
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »


:idea: :idea: กัลยาณมิตรคืออย่างไร :idea: :idea:

:( :( สวัสดียามสาย ๆของวันที่ ๗/๒/๖๗ เมื่อคืน ๖ ก.พ.พวกเราได้ไปร่วมงานบำเพ็ญกุศลศพเพื่อนยุพราช ๐๘ ท่าน ยงยุทธ ฯ ที่เสียชีวิตที่ รพ.เมื่อ ๕ ก.พ. และจะนำไปฌาปนกิจใน ๘ ก.พ นี้เราสูญเสียกัลยาณมิตรไปอีกหนึ่ง รุ่นนี้เรียกว่าเริ่มทยอยจากไปทีละคนสองคน :( :( อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องแต่นานมาแล้วและกลายเป็นตำนาน นั่นคือเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ตชด.ค่ายดารารัศมี ที่เสียชีวิตจากการปะทะกับ ผกค.ทางกองร้อย ๔ น่าน(เดิม) ปัจจุบัน ร้อย ตชด.ที่๓๒๔ได้สร้างอนุสาวรีย์และจารึกชื่อ ตชด.ที่เสียชีวิตในการรบแต่ละครั้งไว้เตือนความจำ และรำลึกถึง ท่านใดไป ๆ มา ๆ แถว จ.น่าน อย่าลืมแวะไปคารวะรำลึกถึงวีรกรรมของท่านผู้เสียสละชีวิต เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินอันเป็นที่รักของเรากันนะครับ :) :D

:idea: :idea: กัลยาณมิตตตา (ความมีกัลยาณมิตร) คือ มีผู้แนะนำสั่งสอน ที่ปรึกษา เพื่อนที่คบหา และบุคคลผู้แวดล้อมที่ดี, ความรู้จักเลือกเสวนาบุคคล หรือเข้าร่วมหมู่กับท่านผู้ทรงคุณทรงปัญญามีความสามารถ ซึ่งจะช่วยแวดล้อม สนับสนุนชักจูง ชี้ช่องทาง เป็นแบบอย่าง ตลอดจนเป็นเครื่องอุดหนุนเกื้อกูลแก่กัน ให้ดำเนินก้าวหน้าไปด้วยดี ในการศึกษาอบรม การครองชีวิต การประกอบกิจการ และธรรมปฏิบัติ, สิ่งแวดล้อมทางสังคมที่ดี - having good friend; good company; friendship with the lovely; favorable social environment) ข้อนี้เป็น องค์ประกอบภายนอก (external factor; environmental factor)

“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อดวงอาทิตย์อุทัยอยู่ ย่อมมีแสงอรุณขึ้นมาก่อน เป็นบุพนิมิตฉันใด ความมีกัลยาณมิตรก็เป็นตัวนำ เป็นบุพนิมิต แห่งการเกิดขึ้นของอารยอัษฎางคิกมรรค แก่ภิกษุ ฉันนั้น”

“ความมีกัลยาณมิตร เท่ากับเป็นพรหมจรรย์ (การครองชีวิตประเสริฐ) ทั้งหมดทีเดียว เพราะว่า ผู้มีกัลยาณมิตรพึงหวังสิ่งนี้ได้ คือ จักเจริญ จักทำให้มากซึ่งอารยอัษฎางคิกมรรค”

“อาศัยเราผู้เป็นกัลยาณมิตร เหล่าสัตว์ผู้มีชาติเป็นธรรมดา ก็พ้นจากชาติผู้มีชราเป็นธรรมดา ก็พ้นจากชรา ผู้มีมรณะเป็นธรรมดา ก็พ้นจากมรณะ ผู้มีโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสเป็นธรรมดา ก็พ้นจากโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส”

“เราไม่เล็งเห็นองค์ประกอบภายนอกอื่นแม้สักอย่างเดียว ที่มีประโยชน์มากสำหรับภิกษุผู้เป็นเสขะ เหมือนความมีกัลยาณมิตร, ภิกษุผู้มีกัลยาณมิตร ย่อมกำจัดอกุศลได้ และย่อมยังกุศลให้เกิดขึ้น”

“ความมีกัลยาณมิตร ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่, เพื่อความดำรงมั่นไม่เสื่อมสูญ ไม่อันตรธานแห่งสัทธรรม” ฯลฯ

จาก พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
:idea: :idea:
ไฟล์แนบ
อนุสาวรีย์ผู้กล้าตั้งอยู่ที่กองร้อยตชด.ที่ ๓๒๔ จ.น่าน สร้างไว้ตั้งแต่สมัยที่พวกเรา(รุ่น ๒)ยังไม่ได้เข้ามาเป็น ตชด.คือสร้างปี ๒๕๑๐ รุ่น ๒ เข้าฝึกปี ๒๕๑๓ และมีชื่อจารึกไว้ ๓ ท่านมี ท่านประสาร ท่านอดุลย์และท่านสมชาย ท่านใดไปมา จ.น่านมีโอกาสแวะไปชมได้นะครับ
อนุสาวรีย์ผู้กล้าตั้งอยู่ที่กองร้อยตชด.ที่ ๓๒๔ จ.น่าน สร้างไว้ตั้งแต่สมัยที่พวกเรา(รุ่น ๒)ยังไม่ได้เข้ามาเป็น ตชด.คือสร้างปี ๒๕๑๐ รุ่น ๒ เข้าฝึกปี ๒๕๑๓ และมีชื่อจารึกไว้ ๓ ท่านมี ท่านประสาร ท่านอดุลย์และท่านสมชาย ท่านใดไปมา จ.น่านมีโอกาสแวะไปชมได้นะครับ
630290.jpg (133.09 KiB) เข้าดูแล้ว 985 ครั้ง
เมื่อ ๓ ก.พ.๖๗ พวกเรายุพราช ๐๘ ก็ต้องสูญเสียเพื่อนไปอีกคนหนึ่ง(เอาศพออกจาก รพ.๕ กพ ) จะทำการฌาปนกิจใน ๘ ก.พ.นี้ พวกเราเหมือนไม้ใกล้ฝั่งที่เริ่มจากไปปีนี้เพื่อนเราจากไปแล้ว ๒ ท่าน คือท่านทินกร และ ท่านยงยุทธ ใครจะเป็นคนต่อไป ?? ไม่แน่อาจจะเป็นคนที่เล่าเรื่องราวคนนี้ก็ได้ ๕๕๕.
เมื่อ ๓ ก.พ.๖๗ พวกเรายุพราช ๐๘ ก็ต้องสูญเสียเพื่อนไปอีกคนหนึ่ง(เอาศพออกจาก รพ.๕ กพ ) จะทำการฌาปนกิจใน ๘ ก.พ.นี้ พวกเราเหมือนไม้ใกล้ฝั่งที่เริ่มจากไปปีนี้เพื่อนเราจากไปแล้ว ๒ ท่าน คือท่านทินกร และ ท่านยงยุทธ ใครจะเป็นคนต่อไป ?? ไม่แน่อาจจะเป็นคนที่เล่าเรื่องราวคนนี้ก็ได้ ๕๕๕.
630198.jpg (129.18 KiB) เข้าดูแล้ว 985 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (67).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (67).JPG (131.95 KiB) เข้าดูแล้ว 985 ครั้ง
ออกจากวัดสันคือ ผมรีบตามไปสมทบคุณนายที่จอดรออยู่หน้าวัดหนองผึ้งครับ (ไม่ทราบหงุดหงิดหรือเปล่า เพราะรอนานพอสมควร) แต่ดูสีหน้าแล้วไม่น่ามีปัญหา เมื่อมาสมทบกันแล้ว เราพาก็กันเข้าไปเก็บภาพตามสไตล์ของเราครับ
ออกจากวัดสันคือ ผมรีบตามไปสมทบคุณนายที่จอดรออยู่หน้าวัดหนองผึ้งครับ (ไม่ทราบหงุดหงิดหรือเปล่า เพราะรอนานพอสมควร) แต่ดูสีหน้าแล้วไม่น่ามีปัญหา เมื่อมาสมทบกันแล้ว เราพาก็กันเข้าไปเก็บภาพตามสไตล์ของเราครับ
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง(103).JPG (137.39 KiB) เข้าดูแล้ว 985 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง(100).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง(101).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (70).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (70).JPG (93.45 KiB) เข้าดูแล้ว 985 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (71).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (71).JPG (113.61 KiB) เข้าดูแล้ว 985 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (72).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (72).JPG (94.02 KiB) เข้าดูแล้ว 985 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (73).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (73).JPG (86.65 KiB) เข้าดูแล้ว 985 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (74).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (74).JPG (100.69 KiB) เข้าดูแล้ว 985 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (75).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (75).JPG (136.26 KiB) เข้าดูแล้ว 985 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (78).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (78).JPG (85.25 KiB) เข้าดูแล้ว 985 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (79).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (79).JPG (94.19 KiB) เข้าดูแล้ว 985 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (80).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (80).JPG (128.43 KiB) เข้าดูแล้ว 985 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (81).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (81).JPG (142.01 KiB) เข้าดูแล้ว 985 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (82).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (82).JPG (139.34 KiB) เข้าดูแล้ว 985 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (83).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (83).JPG (88.03 KiB) เข้าดูแล้ว 985 ครั้ง
“พระนอนหนองผึ้ง” พระนอนในตำนานพระเจ้าเลียบโลก<br /><br />ตำนานเกี่ยวกับ “พระนอน” ในจังหวัดเชียงใหม่นั้นมีมากมาย หนึ่งในนั้นก็มี “พระนอนหนองผึ้ง” ปรากฎณ์อยู่ในตำนานด้วย ซึ่ง พระนอนหนองผึ้ง ประดิษฐานอยู่ในวิหารพระนอน วัดพระนอนหนองผึ้ง ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่<br /><br />“พระนอนหนองผึ้ง” หรือ “พระพุทธรูปป้านปิง” เป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ ขนาดความยาว 19 เมตร เป็นพุทธศิลปแบบศิลปะล้านนายุคต้นถึงยุคกลาง ราวพุทธศตวรรษที่ 19-20 โดยพระนอนหนองผึ้งหันพระเศียรไปทางทิศตะวันออก ซึ่งเหตุที่ได้อีกชื่อหนึ่งว่า พระนอนป้านปิง นั้น ความหมายของคำว่า “ป้าน” คือ ต้านน้ำปิงไว้ให้ไหลเบี่ยงออกซ้ายขวาไป ซึ่งภายหลังจากสร้างพระนอนป้านปิงเสร็จเรียบร้อย ปรากฏว่าน้ำปิงไม่เคยไหลมาท่วมในหมู่บ้านแห่งนี้ รวมทั้งจังหวัดลำพูน<br /><br />ในตำนานได้กล่าวถึงวัดพระนอนหนองผึ้งและพระนอนหนองผึ้งไว้ 2 ตำนานด้วยกัน ได้แก่ “ตำนานแรก” เป็นยุคพุทธกาล กล่าวถึงพระพุทธเจ้าเสด็จมายังหนองน้ำแห่งหนึ่งใกล้แม่ระมิงค์ มีพญานาคอาศัยอยู่ เมื่อเห็นพระพุทธเจ้าก็บังเกิดความปีติจึงเนรมิตกายเป็นมนุษย์ เอาน้ำผึ้งใกล้หนองน้ำมาถวาย เมื่อพระองค์รับแล้วก็สำเร็จสีหไสยาสน์ พญานาคทูลขอรอยพระบาท พระพุทธองค์กล่าวว่า สถานที่นี้ไม่มีหินจักเหยียบ ท่านจงก่อรูปเราไว้ยังที่ตถาคตประทับนอนนี้ไว้เป็นที่สักการบูชาแก่คนและเทวดาทั้งหลาย สถานที่นี้ภายหน้าจักได้ชื่อว่า “พระนอนหนองผึ้ง”<br /><br />ส่วนตำนานที่สอง เป็นเหตุการณ์ในเป็นยุคล้านนา ที่ระบุว่า พ.ศ.1836 มีพระมหาเถระเจ้าพร้อมเศรษฐีบริวารจากเมืองเชียงแสน ได้บูรณะเจดีย์ขึ้นและสร้างพระพุทธรูปปางไสยาสน์ คือพระนอนยาว 38 ศอก ต่อมา พ.ศ.1838 หลังจากที่พระญามังรายตีหริภุญไชย แล้วมาสร้างเวียงกุมกาม ได้รวมเอาวัดนี้เป็นส่วนหนึ่งของเวียงกุมกาม และเปลี่ยนนามเป็น วัดพุทธป้านปิงหนองผึ้ง อนึ่ง คำว่า “พระนอนป้านปิง” มีความหมายเฉพาะ คำว่า “ป้าน” หมายถึง ต้านหรือขวาง เนื่องจากคนในยุคนั้นไม่ต้องการให้แม่น้ำปิงไหลท่วมบ้านเรือนผู้คน หลังจากที่สร้างพระนอนแล้วเสร็จ ก็ปรากฏว่าน้ำแม่ปิงก็ไม่เคยไหลท่วมหมู่บ้านอีกเลย รวมถึงจังหวัดลำพูนด้วย คนทั่วไปจึงมักเรียกปะปนกันระหว่าง พระป้านปิงกับพระนอนหนองผึ้ง <br /><br />(อ้างอิงwww.matichonweekly.com)<br /><br />นอกจากในวัดพระนอนหนองผึ้ง มีพระนอนที่น่าสนใจแล้ว ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เจดีย์ อุโบสถ และวิหาร<br /><br />“เจดีย์” เป็นเจดีย์ขนาดเล็กทรงระฆังที่ได้รับการซ่อมปฏิสังขรณ์แล้ว ส่วนฐานเป็นแบบเขียงตอนล่าง เหนือขึ้นมาเป็นชั้นปัทม์ย่อเก็จรองรับส่วนมาลัยเถาแบบย่อเก็จแปลง องค์ระฆังขนาดเล็ก ไม่มีส่วนบัลลังก์ ปล้องไฉนทรงกรวยคว่ำแต่ละปล้องต้องมีขนาดใหญ่ ต่อเหนือขึ้นไปด้วยชั้นบัวกลุ่มแบบพม่า และส่วนปลียอดประดับฉัตรโลหะ<br /><br />“อุโบสถ” เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หลังคาหน้าจั่วมีปีกนก 2 ข้าง สร้างหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ด้านหน้ามีสิงห์ปูนปั้นอยู่ 1 คู่ ส่วนซุ้มโขงประตูทางเข้าปรากฏลวดลายปูนปั้นในศิลปะพม่า สันนิษฐานว่าอาจได้รับการซ่อมแซมบูรณะในช่วงรัชกาลที่ 5 ดังเช่นที่พบในสิ่งก่อสร้างต่างๆของวัดช้างค้ำ วัดเจดีย์เหลี่ยม วัดศรีบุญเรือง วัดสันป่าเลียง และวัดเสาหิน<br /><br />“วิหาร” สร้างหันหน้าไปทางตะวันออก มีรูปทรงโครงสร้างอิทธิพลศิลปะจากภาคกลาง ที่มีส่วนจั่วหลังคาฐานกว้าง ทำตัวบันไดรูปมกรคายนาคปูนปั้นปิดทองและเขียนสี คล้ายกับที่พบในเขตเมืองเชียงใหม่ทั่วๆไป<br /><br />ปัจจุบัน วัดพระนอนหนองผึ้ง ถือเป็นปูชนียสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ มีผู้คนมาเที่ยวชมและนมัสการกราบไหว้พระนอนฯ อย่างไม่ขาดสาย ซึ่งวันนี้หากมีโอกาสก็มาเที่ยวชมและไหว้พระกันนะครับ<br /><br />Cr.Chaingmai Press
“พระนอนหนองผึ้ง” พระนอนในตำนานพระเจ้าเลียบโลก

ตำนานเกี่ยวกับ “พระนอน” ในจังหวัดเชียงใหม่นั้นมีมากมาย หนึ่งในนั้นก็มี “พระนอนหนองผึ้ง” ปรากฎณ์อยู่ในตำนานด้วย ซึ่ง พระนอนหนองผึ้ง ประดิษฐานอยู่ในวิหารพระนอน วัดพระนอนหนองผึ้ง ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่

“พระนอนหนองผึ้ง” หรือ “พระพุทธรูปป้านปิง” เป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ ขนาดความยาว 19 เมตร เป็นพุทธศิลปแบบศิลปะล้านนายุคต้นถึงยุคกลาง ราวพุทธศตวรรษที่ 19-20 โดยพระนอนหนองผึ้งหันพระเศียรไปทางทิศตะวันออก ซึ่งเหตุที่ได้อีกชื่อหนึ่งว่า พระนอนป้านปิง นั้น ความหมายของคำว่า “ป้าน” คือ ต้านน้ำปิงไว้ให้ไหลเบี่ยงออกซ้ายขวาไป ซึ่งภายหลังจากสร้างพระนอนป้านปิงเสร็จเรียบร้อย ปรากฏว่าน้ำปิงไม่เคยไหลมาท่วมในหมู่บ้านแห่งนี้ รวมทั้งจังหวัดลำพูน

ในตำนานได้กล่าวถึงวัดพระนอนหนองผึ้งและพระนอนหนองผึ้งไว้ 2 ตำนานด้วยกัน ได้แก่ “ตำนานแรก” เป็นยุคพุทธกาล กล่าวถึงพระพุทธเจ้าเสด็จมายังหนองน้ำแห่งหนึ่งใกล้แม่ระมิงค์ มีพญานาคอาศัยอยู่ เมื่อเห็นพระพุทธเจ้าก็บังเกิดความปีติจึงเนรมิตกายเป็นมนุษย์ เอาน้ำผึ้งใกล้หนองน้ำมาถวาย เมื่อพระองค์รับแล้วก็สำเร็จสีหไสยาสน์ พญานาคทูลขอรอยพระบาท พระพุทธองค์กล่าวว่า สถานที่นี้ไม่มีหินจักเหยียบ ท่านจงก่อรูปเราไว้ยังที่ตถาคตประทับนอนนี้ไว้เป็นที่สักการบูชาแก่คนและเทวดาทั้งหลาย สถานที่นี้ภายหน้าจักได้ชื่อว่า “พระนอนหนองผึ้ง”

ส่วนตำนานที่สอง เป็นเหตุการณ์ในเป็นยุคล้านนา ที่ระบุว่า พ.ศ.1836 มีพระมหาเถระเจ้าพร้อมเศรษฐีบริวารจากเมืองเชียงแสน ได้บูรณะเจดีย์ขึ้นและสร้างพระพุทธรูปปางไสยาสน์ คือพระนอนยาว 38 ศอก ต่อมา พ.ศ.1838 หลังจากที่พระญามังรายตีหริภุญไชย แล้วมาสร้างเวียงกุมกาม ได้รวมเอาวัดนี้เป็นส่วนหนึ่งของเวียงกุมกาม และเปลี่ยนนามเป็น วัดพุทธป้านปิงหนองผึ้ง อนึ่ง คำว่า “พระนอนป้านปิง” มีความหมายเฉพาะ คำว่า “ป้าน” หมายถึง ต้านหรือขวาง เนื่องจากคนในยุคนั้นไม่ต้องการให้แม่น้ำปิงไหลท่วมบ้านเรือนผู้คน หลังจากที่สร้างพระนอนแล้วเสร็จ ก็ปรากฏว่าน้ำแม่ปิงก็ไม่เคยไหลท่วมหมู่บ้านอีกเลย รวมถึงจังหวัดลำพูนด้วย คนทั่วไปจึงมักเรียกปะปนกันระหว่าง พระป้านปิงกับพระนอนหนองผึ้ง

(อ้างอิงwww.matichonweekly.com)

นอกจากในวัดพระนอนหนองผึ้ง มีพระนอนที่น่าสนใจแล้ว ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เจดีย์ อุโบสถ และวิหาร

“เจดีย์” เป็นเจดีย์ขนาดเล็กทรงระฆังที่ได้รับการซ่อมปฏิสังขรณ์แล้ว ส่วนฐานเป็นแบบเขียงตอนล่าง เหนือขึ้นมาเป็นชั้นปัทม์ย่อเก็จรองรับส่วนมาลัยเถาแบบย่อเก็จแปลง องค์ระฆังขนาดเล็ก ไม่มีส่วนบัลลังก์ ปล้องไฉนทรงกรวยคว่ำแต่ละปล้องต้องมีขนาดใหญ่ ต่อเหนือขึ้นไปด้วยชั้นบัวกลุ่มแบบพม่า และส่วนปลียอดประดับฉัตรโลหะ

“อุโบสถ” เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หลังคาหน้าจั่วมีปีกนก 2 ข้าง สร้างหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ด้านหน้ามีสิงห์ปูนปั้นอยู่ 1 คู่ ส่วนซุ้มโขงประตูทางเข้าปรากฏลวดลายปูนปั้นในศิลปะพม่า สันนิษฐานว่าอาจได้รับการซ่อมแซมบูรณะในช่วงรัชกาลที่ 5 ดังเช่นที่พบในสิ่งก่อสร้างต่างๆของวัดช้างค้ำ วัดเจดีย์เหลี่ยม วัดศรีบุญเรือง วัดสันป่าเลียง และวัดเสาหิน

“วิหาร” สร้างหันหน้าไปทางตะวันออก มีรูปทรงโครงสร้างอิทธิพลศิลปะจากภาคกลาง ที่มีส่วนจั่วหลังคาฐานกว้าง ทำตัวบันไดรูปมกรคายนาคปูนปั้นปิดทองและเขียนสี คล้ายกับที่พบในเขตเมืองเชียงใหม่ทั่วๆไป

ปัจจุบัน วัดพระนอนหนองผึ้ง ถือเป็นปูชนียสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ มีผู้คนมาเที่ยวชมและนมัสการกราบไหว้พระนอนฯ อย่างไม่ขาดสาย ซึ่งวันนี้หากมีโอกาสก็มาเที่ยวชมและไหว้พระกันนะครับ

Cr.Chaingmai Press
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง (86).JPG (130.53 KiB) เข้าดูแล้ว 985 ครั้ง
รางวัลที่พวกเราภูมิใจและมีคุณค่าสำหรับนักรบเดนตายชายแดน ไม่ใช่ใคร ๆ ก็มีได้นะครับ แต่..ก็มีหลาย ๆ รายที่ได้มาแบบไม่น่าภาคภูมิใจ..ก็ไม่ว่ากัน ประเทศนี้ โลกนี้ มันไม่เคย ยุติ ด้วย ธรรม เพราะมันไม่มีความยุติธรรม คือไม่มีธรรมในหัวใจ  คุณธรรม จริยธรรม งง ไหมครับ (อย่า งง ครับ ๕๕)<br /><br />ศักดิ์และสิทธิ์ตามกฏหมาย ระบุว่าผู้ใดได้รับเหรียญเชิดชูเกียรติทั้ง ๒ แบบนี้ สามารถลดหย่อนค่าโดยสารได้ทุกชนิด แต่ในทางความเป็นจริงผมเคยถูกปฏิเสธการใช้สิทธิ์ บัตรนี้ทั้ง ๒ ชนิดมันน่าเจ็บใจ ถามว่า เอาเรื่องได้ไหม ? ได้ครับเพราะเป็น กม. แต่ก็นั่นแหละถ้าเราเอาเรื่องมันก็เสียเวร่ำเวลาของเรา อยากจะบอกกล่าวตรงนี้ว่า &quot;คนไทยนี่มันแปลกที่สุดในโลก คือไม่เคารพกฏกติกา เอาแต่ประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่&quot; แต่ก็ไม่เสมอไปนะ..บางที่เขาก็ชื่นชมและให้เครดิต เราก็ใช้ไป ถ้าเขาไม่โอเค เราก็เสียเงินไปเรียกว่าเอาที่สบายใจทั้ง ๒ ฝ่าย (อย่าคิดอะไรมาก๕๕)<br /><br />ฝรั่งเขาเคยวิจารณ์คนไทยว่า &quot;ไทยที่ไม่เจริญเพราะนิสัยแบบนี้แหละ&quot; ขอเวลาค้นหาก่อนนะครับแล้วจะนำมาเล่าให้ฟัง ๕๕๕๕
รางวัลที่พวกเราภูมิใจและมีคุณค่าสำหรับนักรบเดนตายชายแดน ไม่ใช่ใคร ๆ ก็มีได้นะครับ แต่..ก็มีหลาย ๆ รายที่ได้มาแบบไม่น่าภาคภูมิใจ..ก็ไม่ว่ากัน ประเทศนี้ โลกนี้ มันไม่เคย ยุติ ด้วย ธรรม เพราะมันไม่มีความยุติธรรม คือไม่มีธรรมในหัวใจ คุณธรรม จริยธรรม งง ไหมครับ (อย่า งง ครับ ๕๕)

ศักดิ์และสิทธิ์ตามกฏหมาย ระบุว่าผู้ใดได้รับเหรียญเชิดชูเกียรติทั้ง ๒ แบบนี้ สามารถลดหย่อนค่าโดยสารได้ทุกชนิด แต่ในทางความเป็นจริงผมเคยถูกปฏิเสธการใช้สิทธิ์ บัตรนี้ทั้ง ๒ ชนิดมันน่าเจ็บใจ ถามว่า เอาเรื่องได้ไหม ? ได้ครับเพราะเป็น กม. แต่ก็นั่นแหละถ้าเราเอาเรื่องมันก็เสียเวร่ำเวลาของเรา อยากจะบอกกล่าวตรงนี้ว่า "คนไทยนี่มันแปลกที่สุดในโลก คือไม่เคารพกฏกติกา เอาแต่ประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่" แต่ก็ไม่เสมอไปนะ..บางที่เขาก็ชื่นชมและให้เครดิต เราก็ใช้ไป ถ้าเขาไม่โอเค เราก็เสียเงินไปเรียกว่าเอาที่สบายใจทั้ง ๒ ฝ่าย (อย่าคิดอะไรมาก๕๕)

ฝรั่งเขาเคยวิจารณ์คนไทยว่า "ไทยที่ไม่เจริญเพราะนิสัยแบบนี้แหละ" ขอเวลาค้นหาก่อนนะครับแล้วจะนำมาเล่าให้ฟัง ๕๕๕๕
223217.jpg (95.02 KiB) เข้าดูแล้ว 985 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4369
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D สวัสดียามสาย ๆ ของวันตรุษจีน วันตรุษจีน 2567 (Chinese New Year 2024) ตรงกับวันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ ถือเป็นหนึ่งในวันสำคัญของผู้ที่มีเชื้อสายจีนทั่วโลก ก็ขอให้ชาวไทยเชื้อสายจีนและชาวจีนทุกท่านทุกคนมีความสุข สมหวังในวันขึ้นปีใหม่จีนปีนี้จงทุกท่านทุกคนเทอญ

เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๕ เป็นปีที่กิจการลูกเสือชาวบ้านเจริญรุ่งเรืองมาก ๆ โดยเฉพาะค่าย ตำรวจตระเวนชายแดนดารารัศมี อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เรามีครูฝึกที่ชำนาญและเก่งกาจในด้านการปลุกระดม ซึ่งเป็นจังหวะที่ ผกค.กำลังโหมกระหน่ำในการจะยึดครองประเทศไทยให้ได้ ้เราต่างสู้กันด้วยอุดมการณ์และอาวุธ ทุกอย่างมีขึ้นก็มีลงตามกฏแห่งไตรลักษณ์ (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป) ลูกเสือชาวบ้านโด่งดังจนที่สุดก็อิ่มตัว วงดนตรีรัศมีดารา (กก.ตชด.เขต ๕) ก็เข้ามาแทนที่ ปี ๒๕๑๘-๒๕๒๐ ผมถูกเรียกตัวกลับให้มาช่วยสร้างวงดนตรีรัศมีดารา(ตำแหน่งแซ็กโซโฟน) ช่วงนั้นเป็นจังหวะที่เพลงพระราชนิพนธ์ ความฝันอันสูงสุดที่พระราชทานให้กับตำรวจ ทหาร และผู้ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจโด่งดังมาก ๆ วงรัศมีดาราของเราก็นำเพลงนี้มาเป็นเพลงเปิดวงของเราด้วย เราไปชมและฟังประวัติความเป็นมาของเพลงนี้กันครับ
:idea: :idea:


:o :o พระสุบินสุดอัศจรรย์ พระนเรศวรเสด็จมาหา พระราชินีสิริกิติ์ รับสั่งเรื่องสุดสำคัญ :idea: :idea:
ไฟล์แนบ
วันอาสารักษาดินแดน อีกหนึ่งวันสำคัญที่ชาวไทยจะร่วมกันรำลึกถึงความกล้าหาญของหน่วยพลเรือนอาสา ผู้เสียสละเพื่อบ้านเมืองทั้งในภาวะปกติและภาวะสงคราม<br /><br />ที่มาของวันอาสารักษาดินแดน<br /><br />เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2497 ได้มีการออกพระราชบัญญัติกองอาสารักษาดินแดน โดยให้อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย พระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลบังคับใช้ทั่วประเทศ ในวัน 10 กุมภาพันธ์ จึงได้มีการกำหนดให้เป็นวันอาสารักษาดินแดนเป็นประจำทุกปี<br /><br />วันรักษาดินแดนในประเทศไทย<br /><br />กองอาสารักษาดินแดน หรือ อส. เป็นกำลังกึ่งทหารเพื่อสำรองไว้ช่วยเหลือประชาชนและประเทศชาติ เป็นกำลังสำรองของฝ่ายทหารเมื่อมีการร้องขอทั้งในยามปกติและยามศึกสงคราม โดยการรับสมัครราษฎรที่สมัครใจเข้ามาเป็นสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานกรรมการและผู้บัญชาการโดยตำแหน่ง หลักการสำคัญของกองอาสารักษาดินแดน คือ การจัดเตรียมกองกำลังสำรองไว้ช่วยเหลือประชาชนและประเทศชาติ ทั้งยามปกติและยามสงคราม<br /><br />เพราะมีรูปแบบและระบบการจัดการที่ชัดเจนมากขึ้น จึงถือเอาวันที่ 1o กุมภาพันธ์ เป็นวันคล้ายวันสถาปนากองอาสารักษาดินแดน ซึ่งในปี พ.ศ.2497 ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติกองอาสารักษาดินแดน พ.ศ.2497 ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2497 เป็นผลให้เกิดกิจการด้านพลเรือนอาสา โดยมอบหมายให้ กระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งในสมัยรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงครามได้มีแนวคิดในการจัดตั้งหน่วยพลเรือนอาสา โดยได้ออกพระราชบัญญัติกำหนดหน้าที่คนไทยในเวลารบพ.ศ.2481และพระราชบัญญัติให้อำนาจในการเตรียมการป้องกันประเทศพ.ศ.2484 เพื่อให้การฝึกอบรมคนไทยให้รู้จักหน้าที่ในการป้องกันรักษาประเทศชาติในยามศึกสงคราม<br /><br />วันที่ใช้จัดกิจกรรม วันอาสารักษาดินแดน วันที่ 10 กุมภาพันธ์ ของทุกปี ถือเป็นวันคล้ายวันสถาปนากองอาสารักษาดินแดน
วันอาสารักษาดินแดน อีกหนึ่งวันสำคัญที่ชาวไทยจะร่วมกันรำลึกถึงความกล้าหาญของหน่วยพลเรือนอาสา ผู้เสียสละเพื่อบ้านเมืองทั้งในภาวะปกติและภาวะสงคราม

ที่มาของวันอาสารักษาดินแดน

เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2497 ได้มีการออกพระราชบัญญัติกองอาสารักษาดินแดน โดยให้อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย พระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลบังคับใช้ทั่วประเทศ ในวัน 10 กุมภาพันธ์ จึงได้มีการกำหนดให้เป็นวันอาสารักษาดินแดนเป็นประจำทุกปี

วันรักษาดินแดนในประเทศไทย

กองอาสารักษาดินแดน หรือ อส. เป็นกำลังกึ่งทหารเพื่อสำรองไว้ช่วยเหลือประชาชนและประเทศชาติ เป็นกำลังสำรองของฝ่ายทหารเมื่อมีการร้องขอทั้งในยามปกติและยามศึกสงคราม โดยการรับสมัครราษฎรที่สมัครใจเข้ามาเป็นสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานกรรมการและผู้บัญชาการโดยตำแหน่ง หลักการสำคัญของกองอาสารักษาดินแดน คือ การจัดเตรียมกองกำลังสำรองไว้ช่วยเหลือประชาชนและประเทศชาติ ทั้งยามปกติและยามสงคราม

เพราะมีรูปแบบและระบบการจัดการที่ชัดเจนมากขึ้น จึงถือเอาวันที่ 1o กุมภาพันธ์ เป็นวันคล้ายวันสถาปนากองอาสารักษาดินแดน ซึ่งในปี พ.ศ.2497 ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติกองอาสารักษาดินแดน พ.ศ.2497 ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2497 เป็นผลให้เกิดกิจการด้านพลเรือนอาสา โดยมอบหมายให้ กระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งในสมัยรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงครามได้มีแนวคิดในการจัดตั้งหน่วยพลเรือนอาสา โดยได้ออกพระราชบัญญัติกำหนดหน้าที่คนไทยในเวลารบพ.ศ.2481และพระราชบัญญัติให้อำนาจในการเตรียมการป้องกันประเทศพ.ศ.2484 เพื่อให้การฝึกอบรมคนไทยให้รู้จักหน้าที่ในการป้องกันรักษาประเทศชาติในยามศึกสงคราม

วันที่ใช้จัดกิจกรรม วันอาสารักษาดินแดน วันที่ 10 กุมภาพันธ์ ของทุกปี ถือเป็นวันคล้ายวันสถาปนากองอาสารักษาดินแดน
3377801.jpg (31.73 KiB) เข้าดูแล้ว 836 ครั้ง
เหรียญราชการชายแดน (จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี) มอบโดย พระมหากษัตริย์ไทย อักษรย่อ	ช.ด. ประเภท เหรียญบำเหน็จความชอบในราชการ วันสถาปนา	22 กันยายน พ.ศ. 2497<br />	<br />ผู้สมควรได้รับ	ผู้ที่ได้ปฏิบัติราชการชายแดนเป็นพิเศษ<br /><br />เหรียญราชการชายแดน (อังกฤษ: The Border Service Medal) ใช้อักษรย่อว่า ช.ด. เป็นเหรียญราชอิสริยาภรณ์ที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น สำหรับพระราชทานแก่ผู้ที่ได้ปฏิบัติราชการชายแดนเป็นพิเศษ ตามพระราชบัญญัติเหรียญราชการชายแดน พ.ศ. 2497 เมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2497[1]<br /><br />ลักษณะของเหรียญ<br /><br />เหรียญราชการชายแดน ด้านหน้า เหรียญราชการชายแดน มีลักษณะเป็นเหรียญรูปกลม ทำด้วยโลหะสีทอง ด้านหน้า มีพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราช กำลังทรงทำยุทธหัตถีกับราชศัตรู ด้านหลัง มีอักษรจารึกว่า &quot;เราปฏิบัติหน้าที่เพื่อเกียรติศักดิ์ไทย&quot; ตัวเหรียญห้อยกับแพรแถบสีม่วงมีริ้วสีขาวสองข้าง เบื้องบนมีเข็มโลหะรูปคฑาจอมพลสีทองจารึกอักษรว่า &quot;ราชการชายแดน&quot; ใช้ประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้าย<br /><br />สิทธิของผู้ได้รับพระราชทาน ได้รับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลของรัฐบาล หรือองค์การของรัฐบาลทุกแห่ง ตลอดจนให้ได้รับยาบำบัดรักษาโรคโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ได้ลดค่าโดยสารยานพาหนะ คือ รถราง รถไฟ รถยนต์โดยสารประจำทาง เรือเดินทะเล ที่เป็นของรัฐบาลหรือองค์การ และบริษัทในความควบคุมของรัฐบาลลงกึ่งหนึ่งของอัตราธรรมดา<br /><br />การพระราชทาน พระราชทานแก่ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และผู้กระทำหน้าที่ซึ่งเจ้ากระทรวง หน่วยทหาร หรือตำรวจ สั่งให้ปฏิบัติหน้าที่ราชการ ณ อำเภอชายแดน เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน ยกเว้นแต่มีเหตุสู้รบพิเศษ เกี่ยวกับการป้องกันราชอาณาจักรได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการสมความมุ่งหมายของทางราชการ และประพฤติตนอยู่ในระเบียบวินัยอันดี<br /><br />เหรียญพิทักษ์เสรีชน (จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)<br /><br />เหรียญพิทักษ์เสรีชน สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ใช้อักษรย่อว่า ส.ช. สร้างขึ้นตามพระราชบัญญัติเหรียญพิทักษ์เสรีชน พ.ศ. 2512 สำหรับพระราชทานแก่ผู้กระทำการปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ด้วยความกล้าหาญ หรือได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือตายในการสู้รบ โดยที่การสู้รบนั้นได้ก่อให้เกิดผลดีอย่างยิ่งแก่การปราบปราม การพระราชทานกรรมสิทธิ์ และ การเรียกคืน เช่นเดียวกับเหรียญกล้าหาญ เหรียญนี้ทำด้วยทองแดงรมดำรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละ 23 มิลลิเมตร ย่อกลางทั้งสี่ด้าน มุมบนห้อยกับแพรแถบ ด้านหน้าเหรียญตรงกลางมีรูปจักร ซ้ายขวามีรูปปีกนกพับอยู่บนพระแสงดาบ เขนและโล่ห์ ตอนบนเป็นรูปครุฑพ่าห์ ด้านหลังมีอักษร จารึกว่า อสาธุ สาธุนา ชิเน แพรแถบกว้าง 34 มิลลิเมตร ลายริ้วจากบนลงล่างเป็นสีแดงขาวสลับกัน ขอบทั้งสองข้างมีริ้วแดง รวม 17 ริ้ว ข้างบนมีเข็มโลหะ จารึกอักษรว่า พิทักษ์เสรีชน มีเครื่องหมายทำด้วยโลหะสีทอง เป็นรูปช่อชัยพฤกษ์ช่อเดียวติดกลางแพรแถบ ใช้ประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้ายเหรียญนี้ไม่มีประกาศนียบัตร ผู้ได้รับจะประกาศนามในราชกิจจานุเบกษา<br /><br />ลักษณะ<br /><br />ชั้นที่ 1 มีเครื่องหมายทำด้วยโลหะสีทอง เป็นรูป&quot;ช่อชัยพฤกษ์&quot;ช่อเดียวติดกลางแพรแถบ ถ้าผู้ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 1 ปฏิบัติการถึงขั้นที่จะได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 1 อีก ก็จะได้รับพระราชทานเครื่องหมายเป็นรูปช่อ&quot;ชัยพฤกษ์&quot;ช่อเดียวติดเพิ่มกลางแพรแถบในทางดิ่งกับช่อชัยพฤกษ์เดิมทุกครั้ง<br /><br />ร.10 ฉลองพระองค์เต็มยศทหารบก ซึ่งมีเหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 1 ประดับช่อชัยพฤกษ์ ทั้ง 2 ช่อ<br /><br />ชั้นที่ 2 มี 2 ประเภท คือ<br /><br />ประเภทที่ 1 มีเครื่องหมายทำด้วยโลหะสีทอง เป็นรูปขีดประกอบด้วย&quot;เปลวระเบิด&quot;ติดกลางแพรแถบ<br /><br />ประเภทที่ 2 ไม่มีเครื่องหมายติดแพรแถบ<br /><br />การขอพระราชทาน<br /><br />เหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 1 จะพระราชทานแก่บุคคลผู้ซึ่งได้ปฏิบัติการสู้รบด้วยความกล้าหาญ หรือได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือเสียชีวิตในการสู้รบ และการสู้รบนั้นได้ก่อให้เกิดผลดีอย่างยิ่งแก่ประเทศ<br /><br />เหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 2 ประเภทที่ 1 จะพระราชทานแก่บุคคลผู้ซึ่งได้ปฏิบัติการสู้รบจนได้รับคำชมเชยจากทางราชการ หรือปฏิบัติการเสี่ยงอันตรายจนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต แต่ยังไม่ถึงขั้นที่จะได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 1<br /><br />เหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 2 ประเภทที่ 2 จะพระราชทานแก่บุคคลซึ่งปฏิบัติการสู้รบเป็นผลดีแก่ประเทศ
เหรียญราชการชายแดน (จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี) มอบโดย พระมหากษัตริย์ไทย อักษรย่อ ช.ด. ประเภท เหรียญบำเหน็จความชอบในราชการ วันสถาปนา 22 กันยายน พ.ศ. 2497

ผู้สมควรได้รับ ผู้ที่ได้ปฏิบัติราชการชายแดนเป็นพิเศษ

เหรียญราชการชายแดน (อังกฤษ: The Border Service Medal) ใช้อักษรย่อว่า ช.ด. เป็นเหรียญราชอิสริยาภรณ์ที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น สำหรับพระราชทานแก่ผู้ที่ได้ปฏิบัติราชการชายแดนเป็นพิเศษ ตามพระราชบัญญัติเหรียญราชการชายแดน พ.ศ. 2497 เมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2497[1]

ลักษณะของเหรียญ

เหรียญราชการชายแดน ด้านหน้า เหรียญราชการชายแดน มีลักษณะเป็นเหรียญรูปกลม ทำด้วยโลหะสีทอง ด้านหน้า มีพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราช กำลังทรงทำยุทธหัตถีกับราชศัตรู ด้านหลัง มีอักษรจารึกว่า "เราปฏิบัติหน้าที่เพื่อเกียรติศักดิ์ไทย" ตัวเหรียญห้อยกับแพรแถบสีม่วงมีริ้วสีขาวสองข้าง เบื้องบนมีเข็มโลหะรูปคฑาจอมพลสีทองจารึกอักษรว่า "ราชการชายแดน" ใช้ประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้าย

สิทธิของผู้ได้รับพระราชทาน ได้รับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลของรัฐบาล หรือองค์การของรัฐบาลทุกแห่ง ตลอดจนให้ได้รับยาบำบัดรักษาโรคโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ได้ลดค่าโดยสารยานพาหนะ คือ รถราง รถไฟ รถยนต์โดยสารประจำทาง เรือเดินทะเล ที่เป็นของรัฐบาลหรือองค์การ และบริษัทในความควบคุมของรัฐบาลลงกึ่งหนึ่งของอัตราธรรมดา

การพระราชทาน พระราชทานแก่ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และผู้กระทำหน้าที่ซึ่งเจ้ากระทรวง หน่วยทหาร หรือตำรวจ สั่งให้ปฏิบัติหน้าที่ราชการ ณ อำเภอชายแดน เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน ยกเว้นแต่มีเหตุสู้รบพิเศษ เกี่ยวกับการป้องกันราชอาณาจักรได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการสมความมุ่งหมายของทางราชการ และประพฤติตนอยู่ในระเบียบวินัยอันดี

เหรียญพิทักษ์เสรีชน (จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)

เหรียญพิทักษ์เสรีชน สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ใช้อักษรย่อว่า ส.ช. สร้างขึ้นตามพระราชบัญญัติเหรียญพิทักษ์เสรีชน พ.ศ. 2512 สำหรับพระราชทานแก่ผู้กระทำการปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ด้วยความกล้าหาญ หรือได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือตายในการสู้รบ โดยที่การสู้รบนั้นได้ก่อให้เกิดผลดีอย่างยิ่งแก่การปราบปราม การพระราชทานกรรมสิทธิ์ และ การเรียกคืน เช่นเดียวกับเหรียญกล้าหาญ เหรียญนี้ทำด้วยทองแดงรมดำรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละ 23 มิลลิเมตร ย่อกลางทั้งสี่ด้าน มุมบนห้อยกับแพรแถบ ด้านหน้าเหรียญตรงกลางมีรูปจักร ซ้ายขวามีรูปปีกนกพับอยู่บนพระแสงดาบ เขนและโล่ห์ ตอนบนเป็นรูปครุฑพ่าห์ ด้านหลังมีอักษร จารึกว่า อสาธุ สาธุนา ชิเน แพรแถบกว้าง 34 มิลลิเมตร ลายริ้วจากบนลงล่างเป็นสีแดงขาวสลับกัน ขอบทั้งสองข้างมีริ้วแดง รวม 17 ริ้ว ข้างบนมีเข็มโลหะ จารึกอักษรว่า พิทักษ์เสรีชน มีเครื่องหมายทำด้วยโลหะสีทอง เป็นรูปช่อชัยพฤกษ์ช่อเดียวติดกลางแพรแถบ ใช้ประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้ายเหรียญนี้ไม่มีประกาศนียบัตร ผู้ได้รับจะประกาศนามในราชกิจจานุเบกษา

ลักษณะ

ชั้นที่ 1 มีเครื่องหมายทำด้วยโลหะสีทอง เป็นรูป"ช่อชัยพฤกษ์"ช่อเดียวติดกลางแพรแถบ ถ้าผู้ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 1 ปฏิบัติการถึงขั้นที่จะได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 1 อีก ก็จะได้รับพระราชทานเครื่องหมายเป็นรูปช่อ"ชัยพฤกษ์"ช่อเดียวติดเพิ่มกลางแพรแถบในทางดิ่งกับช่อชัยพฤกษ์เดิมทุกครั้ง

ร.10 ฉลองพระองค์เต็มยศทหารบก ซึ่งมีเหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 1 ประดับช่อชัยพฤกษ์ ทั้ง 2 ช่อ

ชั้นที่ 2 มี 2 ประเภท คือ

ประเภทที่ 1 มีเครื่องหมายทำด้วยโลหะสีทอง เป็นรูปขีดประกอบด้วย"เปลวระเบิด"ติดกลางแพรแถบ

ประเภทที่ 2 ไม่มีเครื่องหมายติดแพรแถบ

การขอพระราชทาน

เหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 1 จะพระราชทานแก่บุคคลผู้ซึ่งได้ปฏิบัติการสู้รบด้วยความกล้าหาญ หรือได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือเสียชีวิตในการสู้รบ และการสู้รบนั้นได้ก่อให้เกิดผลดีอย่างยิ่งแก่ประเทศ

เหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 2 ประเภทที่ 1 จะพระราชทานแก่บุคคลผู้ซึ่งได้ปฏิบัติการสู้รบจนได้รับคำชมเชยจากทางราชการ หรือปฏิบัติการเสี่ยงอันตรายจนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต แต่ยังไม่ถึงขั้นที่จะได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 1

เหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 2 ประเภทที่ 2 จะพระราชทานแก่บุคคลซึ่งปฏิบัติการสู้รบเป็นผลดีแก่ประเทศ
630422.jpg (126.98 KiB) เข้าดูแล้ว 836 ครั้ง
น้อง ๆ ลูกหลานทั้งหลายใครที่อยากได้อยากมีเหรียญราชการชายแดน และเหรียญพิทักษ์เสรีชน เป็นโอกาสดีแล้ว เชิญมาอ่านมาชมแล้วรีบพากันไปสมัครได้นะครับ<br /><br />ข่าวดี!! ผบ.ตร.ขานรับนโยบายรัฐบาล เปิดรับทหารกองหนุน สอบเป็นนักเรียนนายสิบตำรวจ 500 อัตรา จบมาลงหน่วย ตชด.ทำงานชายแดนคู่หน่วยทหาร เชื่อทำให้เกิดประสิทธิภาพ และช่วยประหยัดงบประมาณ ลดเวลาเรียนลง <br />.<br />เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2567 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ( ตร. )  พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ( ผบ.ตร. ) เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายเปลี่ยนรูปแบบการเกณฑ์ทหารเป็นแบบสมัครใจ และให้หน่วยต่าง ๆ พิจารณาสนับสนุนให้ทหารกองประจำการสามารถประกอบอาชีพอื่นต่อได้นั้น <br />.<br />“สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เล็งเห็นความสำคัญในเรื่องดังกล่าว จึงได้อนุมัติให้เปิดรับสมัคร และคัดเลือกทหารกองหนุนที่เคยรับราชการในกองประจำการ (ทหารเกณฑ์) จำนวน 500 อัตรา บรรจุ และแต่งตั้งเป็น นักเรียนนายสิบตำรวจ เพื่อเข้ารับการฝึกอบรม เมื่อสำเร็จการฝึกอบรมจะแต่งตั้งลงในสังกัด กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่สอดคล้องกับภารกิจของทหาร และมีความคุ้นเคยกับระบบการฝึกการใช้อาวุธต่าง ๆ อยู่แล้ว” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าว<br />.<br />ผบ.ตร. กล่าวว่า การรับทหารกองหนุนเข้ามาเป็นนักเรียนนายสิบตำรวจนั้น จะสามารถลดเวลาการฝึกอบรมให้สั้นลงเหลือเพียงประมาณ 6 เดือน ทำให้ช่วยประหยัดงบประมาณ โดยทหารกองหนุนที่จะรับสมัครนั้น คุณสมบัติจะต้องจบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หรือเทียบเท่า มีอายุระหว่าง 18 -27 ปี บริบูรณ์ และหน่วยต้นสังกัดจะต้องรับรองความประพฤติ<br />.<br />“ข้อดีคือ ทหารเหล่านี้ได้รับการฝึกระเบียบวินัย การใช้อาวุธและความรู้พื้นฐานมาแล้ว ทำให้เราสามารถลดระยะเวลาการฝึกอบรมลงได้ โดยจากเดิมต้องใช้ระยะเวลาผลิตข้าราชการตำรวจตามหลักสูตรคือ 1 ปีครึ่ง หรือ 18 เดือน ก็จะลดลงมาเหลือเพียง 6 เดือน ซึ่งจะช่วยทดแทนการขาดแคลนตำรวจได้ อีกทั้งช่วยประหยัดงบประมาณในการฝึกอบรม และยังเป็นการสนับสนุนนโยบายสมัครใจเกณฑ์ทหารของรัฐบาลอีกด้วย ทั้งนี้กระบวนการสอบคัดเลือกทั้งภาควิชาการ ร่างกาย สุขภาพจิต และการคัดกรองด้านอื่นๆ ยังคงเข้มข้นและเป็นไปตามมาตรฐานเช่นเดิม” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ฯ กล่าว<br />.<br />ทั้งนี้ สำหรับขั้นตอนและการประกาศรับสมัครนั้น ขณะนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน และกองบัญชาการศึกษา ดำเนินการในรายละเอียด ซึ่งคาดว่าจะเปิดรับสมัครในเดือนมีนาคม 2567 นี้ โดยจะประกาศรายละเอียดให้ทราบอีกครั้ง<br /><br />#สอบตำรวจ #นายสิบตำรวจ #ทหารเกณฑ์ #สำนักงานตำรวจแห่งชาติ #Royalthaipolice
น้อง ๆ ลูกหลานทั้งหลายใครที่อยากได้อยากมีเหรียญราชการชายแดน และเหรียญพิทักษ์เสรีชน เป็นโอกาสดีแล้ว เชิญมาอ่านมาชมแล้วรีบพากันไปสมัครได้นะครับ

ข่าวดี!! ผบ.ตร.ขานรับนโยบายรัฐบาล เปิดรับทหารกองหนุน สอบเป็นนักเรียนนายสิบตำรวจ 500 อัตรา จบมาลงหน่วย ตชด.ทำงานชายแดนคู่หน่วยทหาร เชื่อทำให้เกิดประสิทธิภาพ และช่วยประหยัดงบประมาณ ลดเวลาเรียนลง
.
เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2567 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ( ตร. ) พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ( ผบ.ตร. ) เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายเปลี่ยนรูปแบบการเกณฑ์ทหารเป็นแบบสมัครใจ และให้หน่วยต่าง ๆ พิจารณาสนับสนุนให้ทหารกองประจำการสามารถประกอบอาชีพอื่นต่อได้นั้น
.
“สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เล็งเห็นความสำคัญในเรื่องดังกล่าว จึงได้อนุมัติให้เปิดรับสมัคร และคัดเลือกทหารกองหนุนที่เคยรับราชการในกองประจำการ (ทหารเกณฑ์) จำนวน 500 อัตรา บรรจุ และแต่งตั้งเป็น นักเรียนนายสิบตำรวจ เพื่อเข้ารับการฝึกอบรม เมื่อสำเร็จการฝึกอบรมจะแต่งตั้งลงในสังกัด กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่สอดคล้องกับภารกิจของทหาร และมีความคุ้นเคยกับระบบการฝึกการใช้อาวุธต่าง ๆ อยู่แล้ว” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าว
.
ผบ.ตร. กล่าวว่า การรับทหารกองหนุนเข้ามาเป็นนักเรียนนายสิบตำรวจนั้น จะสามารถลดเวลาการฝึกอบรมให้สั้นลงเหลือเพียงประมาณ 6 เดือน ทำให้ช่วยประหยัดงบประมาณ โดยทหารกองหนุนที่จะรับสมัครนั้น คุณสมบัติจะต้องจบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หรือเทียบเท่า มีอายุระหว่าง 18 -27 ปี บริบูรณ์ และหน่วยต้นสังกัดจะต้องรับรองความประพฤติ
.
“ข้อดีคือ ทหารเหล่านี้ได้รับการฝึกระเบียบวินัย การใช้อาวุธและความรู้พื้นฐานมาแล้ว ทำให้เราสามารถลดระยะเวลาการฝึกอบรมลงได้ โดยจากเดิมต้องใช้ระยะเวลาผลิตข้าราชการตำรวจตามหลักสูตรคือ 1 ปีครึ่ง หรือ 18 เดือน ก็จะลดลงมาเหลือเพียง 6 เดือน ซึ่งจะช่วยทดแทนการขาดแคลนตำรวจได้ อีกทั้งช่วยประหยัดงบประมาณในการฝึกอบรม และยังเป็นการสนับสนุนนโยบายสมัครใจเกณฑ์ทหารของรัฐบาลอีกด้วย ทั้งนี้กระบวนการสอบคัดเลือกทั้งภาควิชาการ ร่างกาย สุขภาพจิต และการคัดกรองด้านอื่นๆ ยังคงเข้มข้นและเป็นไปตามมาตรฐานเช่นเดิม” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ฯ กล่าว
.
ทั้งนี้ สำหรับขั้นตอนและการประกาศรับสมัครนั้น ขณะนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน และกองบัญชาการศึกษา ดำเนินการในรายละเอียด ซึ่งคาดว่าจะเปิดรับสมัครในเดือนมีนาคม 2567 นี้ โดยจะประกาศรายละเอียดให้ทราบอีกครั้ง

#สอบตำรวจ #นายสิบตำรวจ #ทหารเกณฑ์ #สำนักงานตำรวจแห่งชาติ #Royalthaipolice
S__1426674.jpg (95.05 KiB) เข้าดูแล้ว 836 ครั้ง
ออกจากวัดหนองผึ้ง เราตกลงกันว่าไปต่อที่วัดบ่อน้ำทิพย์ กันอีกสักแห่งเพราะไม่ไกลเท่าไหร่ แค่ปั่นผ่าน เทศบาลหนองผึ้งข้ามสะพานไป ขวามือติดสะพานก็เป็นที่ตั้งวัดบ่อน้ำทิพย์ วัดแห่งนี้เราสองคนทั้งชีวิตไม่เคยไปเลยครับ (เอาอีกแล้วใกล้เกลือกินด่าง ๕๕๕) ไปถึงได้เห็นโบราณสถานแล้ว ตกใจโอ...บ้านเรายังมีของดีให้ชมอีกเยอะนะ แต่วัดนี้เสียดายครับ เหมือนจะไม่ได้รับการเอาใจใส่<br /><br />สังเกตุเห็นว่าเป็นพี่น้องชาวไทยใหญ่มาทำบุญกันมาก ไม่เห็นชาวไทยสักคนเลยสถานที่เหมาะสำหรับสายมู..ประมาณนั้น (จากการสังเกตุนะครับ) เราไม่เจอพระสักองค์ หรือคนที่พอจะให้ข้อมูลได้ กลับมาบ้านเข้าค้นคว้าก็ไม่มีรายละเอียดมากนัก แต่เห็นแล้วศรัทธายังคงมีอยู่ครับ
ออกจากวัดหนองผึ้ง เราตกลงกันว่าไปต่อที่วัดบ่อน้ำทิพย์ กันอีกสักแห่งเพราะไม่ไกลเท่าไหร่ แค่ปั่นผ่าน เทศบาลหนองผึ้งข้ามสะพานไป ขวามือติดสะพานก็เป็นที่ตั้งวัดบ่อน้ำทิพย์ วัดแห่งนี้เราสองคนทั้งชีวิตไม่เคยไปเลยครับ (เอาอีกแล้วใกล้เกลือกินด่าง ๕๕๕) ไปถึงได้เห็นโบราณสถานแล้ว ตกใจโอ...บ้านเรายังมีของดีให้ชมอีกเยอะนะ แต่วัดนี้เสียดายครับ เหมือนจะไม่ได้รับการเอาใจใส่

สังเกตุเห็นว่าเป็นพี่น้องชาวไทยใหญ่มาทำบุญกันมาก ไม่เห็นชาวไทยสักคนเลยสถานที่เหมาะสำหรับสายมู..ประมาณนั้น (จากการสังเกตุนะครับ) เราไม่เจอพระสักองค์ หรือคนที่พอจะให้ข้อมูลได้ กลับมาบ้านเข้าค้นคว้าก็ไม่มีรายละเอียดมากนัก แต่เห็นแล้วศรัทธายังคงมีอยู่ครับ
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง(107).JPG (111.98 KiB) เข้าดูแล้ว 836 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง(108).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง(109).JPG
วัดบ่อน้ำทิพย์ ต.หนองผึ้ง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ เดิมชาวบ้านเรียกวัดป่าคา แต่หลังจากชาวบ้านพบว่าในบริเวณวัดมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ จึงเรียกโบราณสถานนี้ว่า &quot;วัดบ่อน้ำทิพย์&quot; จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบ สามารถกำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ 21 – 22<br /><br />วัดบ่อน้ำทิพย์เป็นโบราณสถานที่ได้รับการขุดแต่งแล้ว ภายในบริเวณโบราณสถานมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นที่มาของชื่อวัด นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมได้ทุกวัน โดยไม่เสียค่าเข้าชม หน่วยงานที่ดูแลรักษา กรมศิลปากรไม่ขึ้นทะเบียน
วัดบ่อน้ำทิพย์ ต.หนองผึ้ง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ เดิมชาวบ้านเรียกวัดป่าคา แต่หลังจากชาวบ้านพบว่าในบริเวณวัดมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ จึงเรียกโบราณสถานนี้ว่า "วัดบ่อน้ำทิพย์" จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบ สามารถกำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ 21 – 22

วัดบ่อน้ำทิพย์เป็นโบราณสถานที่ได้รับการขุดแต่งแล้ว ภายในบริเวณโบราณสถานมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นที่มาของชื่อวัด นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมได้ทุกวัน โดยไม่เสียค่าเข้าชม หน่วยงานที่ดูแลรักษา กรมศิลปากรไม่ขึ้นทะเบียน
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง(119).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง(120).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง(130).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง(131).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง(132).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง(132).JPG (105.42 KiB) เข้าดูแล้ว 836 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง(133).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง(129).JPG
602581_0.jpg
เราเดินชมสถานที่และเก็บภาพตามสไตล์ของใครของมัน จนได้เวลา(ท้องเริ่มหิว) ประมาณว่าจะกลับไปทานมื้อเที่ยงที่ร้าน เจ แต่ผลปรากฏว่าขณะที่ปั่นกลับผมเหลือบไปเห็นป้ายวัดอุโบสถ ใจอยากจะไปชมแต่คุณนายไม่อยากจะไปแล้ว อยากจะกลับท่าเดียว วันนี้เรียกว่าแปลกพลัดหลงกันครั้งหนึ่ละ ตอนนี้มาขัดใจอีกแล้ว ติดตามนะครับว่าใครจะชนะ ๕๕๕๕
เราเดินชมสถานที่และเก็บภาพตามสไตล์ของใครของมัน จนได้เวลา(ท้องเริ่มหิว) ประมาณว่าจะกลับไปทานมื้อเที่ยงที่ร้าน เจ แต่ผลปรากฏว่าขณะที่ปั่นกลับผมเหลือบไปเห็นป้ายวัดอุโบสถ ใจอยากจะไปชมแต่คุณนายไม่อยากจะไปแล้ว อยากจะกลับท่าเดียว วันนี้เรียกว่าแปลกพลัดหลงกันครั้งหนึ่ละ ตอนนี้มาขัดใจอีกแล้ว ติดตามนะครับว่าใครจะชนะ ๕๕๕๕
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4369
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »


:idea: :idea: :) :D รักอย่างไร?...ไม่ให้เป็นทุกข์ เนื่องในวันวาเลนไทน์ :) :D

:) :D สวัสดียามสาย ๆ ครับ ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ วันนี้ ๑๔ กุมภา วันวาเลนไทน์ (Valentine's Day) หรือ วันนักบุญวาเลนไทน์ (Saint Valentine's Day) ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี วันวาเลนไทน์มีการเฉลิมฉลองในหลายประเทศทั่วโลก ส่วนใหญ่เป็นประเทศทางตะวันตก แม้จะยังเป็นวันทำงานในทุกประเทศเหล่านั้นก็ตาม มีความเป็นมาดังนี้

"วันนักบุญวาเลนไทน์" แต่เดิมเป็นเพียงวันฉลองนักบุญในศาสนาคริสต์ยุคแรกหนึ่งหรือสองคนชื่อวาเลนตินัส ความหมายโรแมนติกโดยนัยสมัยใหม่นั้นกวีเพิ่มเติมในอีกหลายศตวรรษต่อมาทั้งสิ้น มีการกำหนดวันวาเลนไทน์ขึ้นครั้งแรกโดยสมเด็จพระสันตะปาปาเกลาซิอุสที่ 1 ใน ค.ศ. 496 ก่อนที่สมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 6 จะให้ตัดออกจากปฏิทินโรมันทั่วไป (General Roman Calendar) ในปี ค.ศ. 1969

วันวาเลนไทน์มาข้องเกี่ยวกับรักแบบโรแมนติกเป็นครั้งแรกในแวดวงสังคมของเจฟฟรีย์ ชอเซอร์ สมัยกลางยุครุ่งโรจน์ (High Middle Ages) เมื่อประเพณีรักเทิดทูน (courtly love) เฟื่องฟู จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 วันวาเลนไทน์ได้วิวัฒนา มาเป็นโอกาสซึ่งคู่รักจะแสดงความรักของพวกเขาแก่กันโดยให้ดอกไม้ ขนมหรือลูกกวาด และส่งการ์ดอวยพรกัน[1][2]ในภายหลังประเพณีการแสดงออกความรักไม่ได้เป็นที่นิยมเพียงแค่ทางฝั่งตะวันตกหากแต่มีการแพร่กระจายความนิยมไปทั่วโลก โดยคนส่วนใหญ่ถือว่าวันดังกล่าวเป็นวันแห่งการแสดงความรักให้กันจนถึงปัจจุบัน” จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี :idea: :idea:

:) :D ความรัก เป็นความรู้สึก สภาพและเจตคติต่าง ๆ ซึ่งมีตั้งแต่ความชอบ ระหว่างบุคคลหมายถึงอารมณ์การดึงดูดและความผูกพัน (attachment) ส่วนบุคคลอย่างแรงกล้า ในบริบททางปรัชญา ความรักเป็นคุณธรรมแสดงออกซึ่งความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจ และความเสน่หาทั้งหมดของมนุษย์ ความรักเป็นแก่นของหลายศาสนา อย่างเช่นในวลี "พระเจ้าเป็นความรัก" ของศาสนาคริสต์ หรืออากาเปในพระวรสารในสารบบ ความรักยังอาจอธิบายได้ว่าเป็นพฤติกรรมต่อตนเองหรือผู้อื่นซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานความเห็นอกเห็นใจ หรือความเสน่หา

คำว่า "รัก" สามารถหมายความถึง ความรู้สึก สภาพทางอารมณ์และเจตคติต่าง ๆ ซึ่งอาจมีตั้งแต่ความพอใจทั่วไปจนถึงความดึงดูดระหว่างบุคคลอย่างรุนแรง แต่โดยเจาะจงแล้ว ความรักสามารถหมายถึงความต้องการอย่างเสน่หาและความสัมพันธ์ทางเพศ ซึ่งเป็นความหมายของความรักแบบโรแมนติก ความรักที่มีเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นความหมายของอีรอส (คำภาษากรีกหมายถึงความรัก) ความใกล้ชิดทางอารมณ์ ซึ่งเป็นความหมายของความรักกับบุคคลในครอบครัว หรือรักบริสุทธิ์ที่นิยามมิตรภาพ หรือความรักแบบอุทิศตัวแบบในทางศาสนา ความหลากหลายของการใช้และความหมายของคำว่ารักนี้ ประกอบกับความรู้สึกอันซับซ้อนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เป็นการยากที่จะนิยามความรักให้แน่นอน แม้จะเทียบกับสภาพอารมณ์อื่น ๆ แล้วก็ตาม

วิทยาศาสตร์นิยามว่าสิ่งที่เข้าใจได้ว่าเป็นความรักนั้นเป็นสภาพที่มาจากวิวัฒนาการของสัญชาตญาณการเอาตัวรอด โดยพื้นฐานแล้วเพื่อให้มนุษย์อยู่ร่วมกันเพื่อต่อต้านภัยคุกคามและเพื่อสนับสนุนความต่อเนื่องของสายพันธุ์ผ่านการสืบพันธุ์ (จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)

:idea: :idea: พระพรหมคุณาภรณ์์ (ป.อ.ปยุตฺโต)..วัดญาณเวศกวัน จ.นครปฐม ผู้เป็นปราชญทางพุทธศาสนาได้เคยบอกไว้ว่า ความรักหากมองในแง่พุทธศาสนาเป็นเรื่องสำคัญมาก คือความรักมีทั้งดีทั้งร้าย มีทั้งความรักที่เต็มไปด้วยความทุกข์หรือทำให้เจอทุกข์อย่างหนัก และความรักที่ทำให้คนมีความสุขได้ และความรักที่ทำให้คนไปนรกได้มากมาย แต่ก็มีความรักที่ทำให้คนไปสวรรค์ก็ได้ มีความรักที่ทำให้คนสร้างสรรค์ จนกระทั่งมีความรักของพระอรหันต์ที่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขของคนทั่วโลกเพราะฉะนั้นความรักเป็นเรื่องใหญ่ ทำ ให้คนไปได้ตั้งแต่นรกจนถึงพระนิพพาน หมายความว่า หากเอาเรื่องที่เป็นความรักมาพูดในแง่ธรรมะ มันก็เป็นข้อปฏิบัติที่ทำให้เราเดินไปในธรรม จนกระทั่งถึงบรรลุอริยมรรคอริยผลทีเดียว

ความรัก ในศาสนาอิสลาม (อับดุลวาเฮด สุคนธา).."ความรัก" คือ ? คือ ความรู้สึก สภาพและเจตคติต่าง ๆ ซึ่งมีตั้งแต่ความชอบระหว่างบุคคลหมาย ถึงอารมณ์การดึงดูดและความผูกพัน ส่วนบุคคลอย่างแรงกล้า ในบริบททางปรัชญา ความรักเป็นคุณธรรมแสดงออกซึ่งความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจ และความเสน่หาทั้งหมดของมนุษย์ ความรักเป็นแก่นแท้ของศาสนาอิสลาม ฉะนั้นมนุษย์เรามีความรู้สึกหลากหลายรูปแบบเช่น ความรัก ความเศร้า ความทุกข์ เป็นต้น

เป็นมุมมองความเชื่อของคริสเตียนเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ควรอย่างไร?....พระเยซูตรัสว่า “ไม่มีผู้ใดมีความรักยิ่งใหญ่กว่านี้คือ การที่เขายอมสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตนเอง” (ยอห์น 15:13) การสิ้นพระชมน์ที่แสนเจ็บปวดและทุกข์ทรมานบนไม้กางเขนเพื่อคนบาปที่น่ารังเกียจนั้นไม่มีทางที่จะหวานชื่นเลย แต่เป็นการแสดงออกซึ่งความรักอย่างมากที่สุด (1 ยอห์น 4:9-10) :idea: :idea:

:o :o ความหมายของคำว่า รัก ตาม คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6083/2546 "...ความรักเป็นสิ่งที่เกิดจากใจไม่อาจบังคับกันได้ ความรักที่แท้จริงคือความปรารถนาดีต่อคนที่ตนรักความยินดีที่คนที่ตนรักมีความสุข การให้อภัยเมื่อคนที่ตนรักทำผิด และการเสียสละความสุขของตนเพื่อความสุขของคนที่ตนรัก จำเลยปรารถนาจะยึดครองผู้ตายเพื่อความสุขของจำเลยเอง เมื่อไม่สมหวังจำเลยก็ฆ่าผู้ตาย เป็นความผิดและการกระทำที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ของจำเลยโดยฝ่ายเดียว มิได้คำนึงถึงจิตใจและความรู้สึกของผู้ตาย หาใช่ความรักไม่ ทั้งเป็นความเห็นผิดที่เป็นอันตรายต่อสังคมอย่างยิ่ง..." :o :o


:?: :?: แล้วความรักของคุณ ๆ ละครับเป็นอย่างไร ส่วนของผมนั้น ความรักคือการให้ครับคือ "ให้ใจ เอาใจ ตามใจ" ทั้งหมดทั้งมวลการให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่มีอะไรเกินไปกว่า การให้อภัย จริง ๆ ครับ

:idea: :idea: ในทางพระพุทธศาสนานั้นกล่าวไว้ว่า การให้มีอยู่ ๓ ทาง ได้แก่

๑. อามิสทาน คือ การให้วัตถุสิ่งของ
๒. ธรรมทาน คือ การให้ในสิ่งที่เป็นความรู้ ชี้ทางสว่าง
๓. อภัยทาน ความหมายตรงตัวเลย ก็คือการให้อภัย

:) :D ขอบคุณคุณนาย ที่ให้อภัยผมในหลาย ๆ เรื่องแม้เรื่องที่ร้ายแรง ชีวิตครอบครัวของเราจึงได้ยืนยาวมาจนถึงทุกวันนี้ "ให้อภัยยิ่งใหญ่ที่สุดครับ"
:) :D
ไฟล์แนบ
632831.jpg
632831.jpg (119.08 KiB) เข้าดูแล้ว 700 ครั้ง
เดือนนี้มีนัดกับหมอถึง ๓ ครั้ง ร่างกายเป็นรังของโรคจริง ๆ แต่ก่อนยามหนุ่มฉกรรจ์ไม่สะทกสะท้านใด ๆ ในโลก ผจญเผชิญหน้าไม่หวั่น สุรายาเมาล่อเข้าไป นอนดึกเที่ยวเตร่สำมะเลเทเมาไม่เข้าท่า  พ่อ แม่ สอน ไม่เคยฟัง ยังเถียงอีกต่างหาก สำหรับผมแล้วถือว่ายังโชคดีที่สำนึกกลับตัวกลับใจได้ ก่อนที่จะสาย แต่คิด ๆ ก็ถือว่าสายไป ชีวิตน่าจะดีกว่านี้ ก็ไม่เป็นไรอดีตคือจิ๊กกุ่ง (จิ้งหรีด) ผ่านมาก็ผ่านไปแก้ไขไม่ได้แล้วเดินหน้าสร้างกรรมดีต่อไป (เพื่อไม่ให้กรรมชั่วตามทัน) ๕๕๕<br /><br />วันที่ ๑๕ นี้ก็ต้องไปพบกับหมอเกี่ยวกับเส้นเลือด(ตามนัด) ระยะนี้หัวใจทำงานไม่ปกติครับ ไม่คิดอะไรแล้วร่างกายยกให้หมอดูแล นัดก็ไป ไม่สบายก็ไป ให้ทำไรก็ทำ ทำไม่ได้ก็จบ หมดกันชาตินี้ แต่สิ่งที่ไม่เคยขาดคือ การสวดมนต์ ไหว้พระ ปฏิบัติสมาธิภาวนา เป็นเสบียงบุญอย่างน้อยให้เชื่อใจว่า เราจะไม่ตกไปอบายแน่นอน &quot;กายเป็นของหมอ ใจเป็นของเรา&quot; เราต้องรักษาใจเราด้วยสมาธิ ภาวนา เพื่อให้จิตใจเข้มแข็งเตรียมผจญกับภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ความตาย อย่ากลัวครับ
เดือนนี้มีนัดกับหมอถึง ๓ ครั้ง ร่างกายเป็นรังของโรคจริง ๆ แต่ก่อนยามหนุ่มฉกรรจ์ไม่สะทกสะท้านใด ๆ ในโลก ผจญเผชิญหน้าไม่หวั่น สุรายาเมาล่อเข้าไป นอนดึกเที่ยวเตร่สำมะเลเทเมาไม่เข้าท่า พ่อ แม่ สอน ไม่เคยฟัง ยังเถียงอีกต่างหาก สำหรับผมแล้วถือว่ายังโชคดีที่สำนึกกลับตัวกลับใจได้ ก่อนที่จะสาย แต่คิด ๆ ก็ถือว่าสายไป ชีวิตน่าจะดีกว่านี้ ก็ไม่เป็นไรอดีตคือจิ๊กกุ่ง (จิ้งหรีด) ผ่านมาก็ผ่านไปแก้ไขไม่ได้แล้วเดินหน้าสร้างกรรมดีต่อไป (เพื่อไม่ให้กรรมชั่วตามทัน) ๕๕๕

วันที่ ๑๕ นี้ก็ต้องไปพบกับหมอเกี่ยวกับเส้นเลือด(ตามนัด) ระยะนี้หัวใจทำงานไม่ปกติครับ ไม่คิดอะไรแล้วร่างกายยกให้หมอดูแล นัดก็ไป ไม่สบายก็ไป ให้ทำไรก็ทำ ทำไม่ได้ก็จบ หมดกันชาตินี้ แต่สิ่งที่ไม่เคยขาดคือ การสวดมนต์ ไหว้พระ ปฏิบัติสมาธิภาวนา เป็นเสบียงบุญอย่างน้อยให้เชื่อใจว่า เราจะไม่ตกไปอบายแน่นอน "กายเป็นของหมอ ใจเป็นของเรา" เราต้องรักษาใจเราด้วยสมาธิ ภาวนา เพื่อให้จิตใจเข้มแข็งเตรียมผจญกับภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ความตาย อย่ากลัวครับ
636920.jpg (117.56 KiB) เข้าดูแล้ว 700 ครั้ง
ออกจากบ่อน้ำทิพย์เราตกลงกันไปทานมื้อเที่ยงที่ร้านเจ ซึ่งไม่ไกลจากจุดที่เราคุยกัน บังเอิญผมเหลือบไปเห็นป้ายวัดอุโบสถ ผมก็ชวนคุณนายขอให้แวะแป๊บ คุณนายแกไม่อยากไปแล้ว (หิว..ผมคิดนะ๕๕) ต.หนองผึ้งมีวัดเก่าแก่ รวม ๘ แห่ง วัดอุโบสถเป็นแห่งสุดท้ายแล้ว ผมจึงขอให้คุณนายไปรอที่ร้านอาหารละกันส่วนผมรีบบึ่งเข้าไปเก็บภาพวัดอุโบสถเพื่อให้ครบทั้ง ๘ วัดครับ
ออกจากบ่อน้ำทิพย์เราตกลงกันไปทานมื้อเที่ยงที่ร้านเจ ซึ่งไม่ไกลจากจุดที่เราคุยกัน บังเอิญผมเหลือบไปเห็นป้ายวัดอุโบสถ ผมก็ชวนคุณนายขอให้แวะแป๊บ คุณนายแกไม่อยากไปแล้ว (หิว..ผมคิดนะ๕๕) ต.หนองผึ้งมีวัดเก่าแก่ รวม ๘ แห่ง วัดอุโบสถเป็นแห่งสุดท้ายแล้ว ผมจึงขอให้คุณนายไปรอที่ร้านอาหารละกันส่วนผมรีบบึ่งเข้าไปเก็บภาพวัดอุโบสถเพื่อให้ครบทั้ง ๘ วัดครับ
635865.jpg (98.31 KiB) เข้าดูแล้ว 700 ครั้ง
DSC_0169.JPG
DSC_0169.JPG (132.48 KiB) เข้าดูแล้ว 700 ครั้ง
DSC_0170.JPG
DSC_0170.JPG (96.43 KiB) เข้าดูแล้ว 700 ครั้ง
DSC_0172.JPG
DSC_0172.JPG (96.88 KiB) เข้าดูแล้ว 700 ครั้ง
DSC_0173.JPG
DSC_0173.JPG (110.6 KiB) เข้าดูแล้ว 700 ครั้ง
DSC_0174.JPG
DSC_0174.JPG (123.28 KiB) เข้าดูแล้ว 700 ครั้ง
DSC_0175.JPG
DSC_0175.JPG (123.7 KiB) เข้าดูแล้ว 700 ครั้ง
DSC_0177.JPG
DSC_0177.JPG (130.69 KiB) เข้าดูแล้ว 700 ครั้ง
วัดอุโบสถ เป็นวัดราษฎร์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๔ ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่  สถานะวัด ตั้งวัด เมื่อ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๓ ความจริงแล้วเท่าที่สังเกตุวัดนี้น่าจะเก่าแก่ไม่ธรรมดา เห็นเศษหิน เศษดิน เก่า ๆ กองไว้เป็นหลักฐาน เสียดายทางวัดก็ไม่มีประวัติ ทราบแต่เพียง แต่ก่อนวัดนี้คือวัดร้าง ตั้งอยู่ไกลหมู่บ้าน จึงไม่ได้รับการเหลียวแล ทราบว่าสมัยเด็ก ๆ ท่านพระอาจารย์เล่าว่า ท่านและเพื่อนยังมาเลี้ยง วัว เลี้ยงควายมานอนเล่นบริเวณลานวัดอยู่เลย เมื่อท่านบวชใหม่ ๆ ก็ไม่ได้มาจำที่วัดนี้ จนมีหมู่บ้านเข้ามาตั้งและรุกพื้นที่ ทางคณะสงฆ์จึงได้เข้ามาบูรณะและมอบหมายให้ท่านมาดูแล <br /><br />บริเวณนี้เป็นวัดจริง ๆ มีมานานแล้ว จนปัจจุบัน ว่าง ๆ คงต้องกลับไปหาคำตอบอีกครั้ง ตอนนี้ต้องรีบไปสมทบคุณนายที่ร้าน เจ ก่อนครับ
วัดอุโบสถ เป็นวัดราษฎร์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๔ ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ สถานะวัด ตั้งวัด เมื่อ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๓ ความจริงแล้วเท่าที่สังเกตุวัดนี้น่าจะเก่าแก่ไม่ธรรมดา เห็นเศษหิน เศษดิน เก่า ๆ กองไว้เป็นหลักฐาน เสียดายทางวัดก็ไม่มีประวัติ ทราบแต่เพียง แต่ก่อนวัดนี้คือวัดร้าง ตั้งอยู่ไกลหมู่บ้าน จึงไม่ได้รับการเหลียวแล ทราบว่าสมัยเด็ก ๆ ท่านพระอาจารย์เล่าว่า ท่านและเพื่อนยังมาเลี้ยง วัว เลี้ยงควายมานอนเล่นบริเวณลานวัดอยู่เลย เมื่อท่านบวชใหม่ ๆ ก็ไม่ได้มาจำที่วัดนี้ จนมีหมู่บ้านเข้ามาตั้งและรุกพื้นที่ ทางคณะสงฆ์จึงได้เข้ามาบูรณะและมอบหมายให้ท่านมาดูแล

บริเวณนี้เป็นวัดจริง ๆ มีมานานแล้ว จนปัจจุบัน ว่าง ๆ คงต้องกลับไปหาคำตอบอีกครั้ง ตอนนี้ต้องรีบไปสมทบคุณนายที่ร้าน เจ ก่อนครับ
604899_0.jpg (118.99 KiB) เข้าดูแล้ว 700 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง(141).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง(141).JPG (79.48 KiB) เข้าดูแล้ว 700 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง(143).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง(143).JPG (108.41 KiB) เข้าดูแล้ว 700 ครั้ง
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง(149).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง(152).JPG
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง(152).JPG (133.67 KiB) เข้าดูแล้ว 700 ครั้ง
ผมออกจากวัดอุโบสถก็รีบสปีดอย่างเร็วไปสมทบกับคุณนายที่มารอที่ร้านอาหาร (เราทานมื้อเที่ยงกัน) ร้านนี้เป็นร้านใหม่พึ่งเปิดได้ไม่ถึงปี ทำอาหารทั้งเจ ทั้ง มัง ฯ อร่อยใช้ได้ทีเดียว เชื่อว่าอีกไม่นานต้องขยายพื้นที่เพิ่ม เพราะเริ่มมีคนอุดหนุนมาอุดหนุนมากขึ้น<br /><br />หลังจากอิ่มกันเราก็กลับบ้านเรา รวมระยะทางที่ออกมาเก็บข้อมูลยี่สิบกว่าโล สบาย ๆ กำลังสนุกครับ เราพาท่านที่เคารพมาเที่ยวชมถนนต้นยาง ถนนวัฒนธรรมของ อ.สารภี ได้ครบทั้ง ๓ ตำบล(ต.สารภี ต.ยางเนิ้ง และ ต.หนองผึ้ง) เหลืออีกหนึ่งตำบลแต่ไม่อยู่บนถนนต้นยางนะครับ คือ ต.ท่าวังตาล ซึ่งเป็นที่ตั้งของเวียงกุมกาม อันเป็นไฮไลท์ สำคัญของ อ.สารภีเลยทีเดียว ติดตามตอนต่อไปจะนำเที่ยวเวียงเก่าเวียงแก่ของคนสารภี ที่กลายเป็นไฮไลท์ของเมืองเชียงใหม่อีกแห่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดครับ
ผมออกจากวัดอุโบสถก็รีบสปีดอย่างเร็วไปสมทบกับคุณนายที่มารอที่ร้านอาหาร (เราทานมื้อเที่ยงกัน) ร้านนี้เป็นร้านใหม่พึ่งเปิดได้ไม่ถึงปี ทำอาหารทั้งเจ ทั้ง มัง ฯ อร่อยใช้ได้ทีเดียว เชื่อว่าอีกไม่นานต้องขยายพื้นที่เพิ่ม เพราะเริ่มมีคนอุดหนุนมาอุดหนุนมากขึ้น

หลังจากอิ่มกันเราก็กลับบ้านเรา รวมระยะทางที่ออกมาเก็บข้อมูลยี่สิบกว่าโล สบาย ๆ กำลังสนุกครับ เราพาท่านที่เคารพมาเที่ยวชมถนนต้นยาง ถนนวัฒนธรรมของ อ.สารภี ได้ครบทั้ง ๓ ตำบล(ต.สารภี ต.ยางเนิ้ง และ ต.หนองผึ้ง) เหลืออีกหนึ่งตำบลแต่ไม่อยู่บนถนนต้นยางนะครับ คือ ต.ท่าวังตาล ซึ่งเป็นที่ตั้งของเวียงกุมกาม อันเป็นไฮไลท์ สำคัญของ อ.สารภีเลยทีเดียว ติดตามตอนต่อไปจะนำเที่ยวเวียงเก่าเวียงแก่ของคนสารภี ที่กลายเป็นไฮไลท์ของเมืองเชียงใหม่อีกแห่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดครับ
๑๕ ม.ค.๖๗ ต.หนองผึ้ง(153).JPG (69.52 KiB) เข้าดูแล้ว 700 ครั้ง
แก้ไขล่าสุดโดย Deang-sarapee เมื่อ 20 ก.พ. 2024, 10:26, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
ตอบกลับ

กลับไปยัง “ทัวร์ริ่ง (Touring)”