????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

บอร์ดสำหรับ นักปั่นทัวร์ริ่ง นักปั่นระยะทางไกล พูดคุยเรื่องอุปกรณ์ เทคนิตการปั่น ที่พัก หรือการกินอยู่
กฏการใช้บอร์ด
บอร์ดสำหรับ นักปั่นทัวร์ริ่ง นักปั่นระยะทางไกล พูดคุยเรื่องอุปกรณ์ เทคนิตการปั่น ที่พัก หรือการกินอยู่
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4367
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D ออกจากโป่งน้ำร้อนออนเซนก็พากันกลับบ้าน(ร้านโกจือ) และก่อนเข้าที่พักก็พาอาม่าไปทานมื้อเย็นที่ร้านเพื่อนโกม่อย รู้สึกมีความสุขที่เห็นอาม่ายิ้มสดชื่น (หมดไปอีกหนึ่งวัน) คิดถึงบทความที่เซฟไว้ ขอนำให้ทุกท่านได้พิจารณาครับ :) :D

:lol: :lol: เรื่องราวโดย Sumit Petcharapirat

....ไม่แพง .....

บ่ายวันหนึ่ง เมื่อหลายปีก่อน อาหมวย นอนเอกเขนก ดูทีวี เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หน้าจอบอกว่าเตี่ยโทรมา อาหมวย กดรับสาย " หวัดดีค่ะ เตี่ย " " อาหมวย ลื้อดูทีวีอยู่หรือเปล่า " " ดูค่ะ เตี่ย " " ลื้อ ดูช่องไหน " " ช่องเดียวกับเตี่ยแหละ ฮ่าๆๆ " อาหมวย กับ เตี่ย ชอบดูรายการพากิน พาเที่ยว หรือไม่ก็ รายการสอนทำอาหาร ถ้าอยู่ด้วยกัน ก็นั่งดูไป ชวนกันไป ว่า " ร้านนี้เมื่อไหร่ดี " " น่ากินเนอะ " เตี่ยพูดปนเสียงหัวเราะ ที่อาหมวยดักทางถูก " พรุ่งนี้เลยนะ เตี่ย สิบโมง อั๊วไปรับ " " ตกลง ตกลง " "แต่งตัวหล่อๆนะ เตี่ย " " แก่แล้ว หล่อน้อยลง " " เตี่ยหล่อเสมอ สำหรับอั๊ว" " เอาเถอะ เจอกันพรุ่งนี้ " วางสายลง

เตี่ยคงนั่งอมยิ้ม อาหมวยคิด วันรุ่งขึ้น อาหมวยไปรับเตี่ย เตี่ยแต่งตัวรออยู่แล้ว หล่อเหมือนเดิม กางเกงสแล็ค เสื้อเชิ้ต ชายเสื้อใส่ในกางเกง " มาแล้วเตี่ย " เตี่ยพยักหน้า ค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้พับตัวเล็กๆ เพื่อใส่ถุงเท้า อาหมวยนั่งลง ใส่ถุงเท้าให้เตี่ย เหมือนที่เคยทำให้ พอเงยหน้ามา ก็จะเห็นเตี่ยยิ้ม มีความสุข เตี่ย เปิดตู้รองเท้า หยิบรองเท้าคู่เก่งออกมาสวม " ไม้เท้าหล่ะ เตี่ย " " ไม่ต้องหรอกม้าง แค่ไปกินข้าว" " เอาไปเถอะน่า เผื่อเค้ามีงานน่าสนใจ จะได้เดินดูไงเตี่ย " " โอเค โอเค "

เริ่มออกเดินทาง เตี่ยนั่งยิ้ม กับถนนหนทาง กับรถคันข้างๆ แจกยิ้มไปทั่ว นั่นเพราะ เตี่ย มีความสุข อาหมวยมองเตี่ย ก็มีความสุข " โลกเปลี่ยนไปมากนะ อาหมวย" เตี่ยพูด ทั้งๆที่ตายังมองออกนอกรถ " ใช่ เตี่ย " " เมื่อก่อน เตี่ยพาลื้อนั่งรถไปเที่ยว ไปกินของอร่อย ตอนนี้ ลื้อพาเตี่ยนั่งรถเที่ยว พาเตี่ยไปกินของอร่อย " " แล้ว ดีไหม เตี่ย " " ดีซิ การดูแลบุพการีให้มีความสุข ตามสมควร ตามกำลังตน ถือเป็นการสร้างกุศลให้ตัวเองนะ ลื้อทำ ลื้อก็ได้เอง คนไม่ทำ ก็ไม่ได้รับ ไม่เชื่อ ลื้อก็คอยดูไป "

เตี่ยหันมามองหน้า " ลื้อ ส่องกระจกดูซิ หน้าลื้อ อิ่มสุข" อาหมวย ชะโงกหน้าส่องกระจก หน้ามีความสุขจริงๆด้วย " เตี่ย หน้าอั๊วอิ่ม เพราะอั๊วอ้วน " ฮ่า ๆๆๆ เราหัวเราะออกมาพร้อมกัน รถมาจอดที่หน้าร้าน อาหมวยพาเตี่ยลง เตี่ยหยุดแหงนหน้ามอง หน้าร้าน " ร้านใหญ่โต " บริกรเปิดประตูต้อนรับ อาหมวยเลือกโต๊ะกลม แบบหมุนได้ เป็นความชอบส่วนตัว เลื่อนเก้าอี้ ให้เตี่ยแล้ว เตี่ยนั่งลง มองไปรอบๆร้าน เสร็จแล้วรับเมนูมาเปิดดู " เตี่ย เจียะเบียร ไหม " " ดี ดี อาแหมะลื้อไม่มาด้วย ไม่ต้องฟังบ่น "

เตี่ยชอบจิบเบียร พอๆกับที่อาแหมะชอบบ่น อาหมวยไม่เข้าใจว่า ทำไมอาแหมะ ต้องบ่น เพราะเตี่ยก็แค่จิบๆ มากสุดก็ขวดเดียว สังคมสังสรรค์ เตี่ยก็ไม่เคยออกไป อยู่แต่บ้าน นิดๆหน่อยๆ ไม่เห็นต้องบ่น อาหมวยหันไปสั่งเบียรให้เตี่ย " อาหมวย ราคาแพงทุกอย่างเลยนะ " เตี่ย ยื่นหน้ามากระซิบ "

เตี่ย เตี่ยดู เฉพาะรูปอาหารที่อยากกิน แล้วสั่ง ราคา เตี่ยไม่ต้องไปดูมัน " เตี่ยปิดเมนู เงยหน้าถามบริกรว่า " ที่นี่ มีอาหารแนะนำ อะไรบ้างครับ" บริกร แจ้งว่า เป็ดย่าง หมูแดง หมูกรอบ อาหมวยรู้ว่าของชอบเตี่ย และเตี่ยมาที่นี่ก็เพราะไอ้สามอย่างนี้ เพราะรายการทีวี เมื่อวาน การันตีว่า อร่อย " เอาแบบรวมกันมาที่นึงค่ะ " อาหมวยชิงสั่งก่อนเลย " เตี่ย สั่งที่เตี่ยอยากกินเลย " พร้อมกับเปิดเมนูวางบนมือเตี่ย " เตี่ย อยากกินอะไร สั่ง ไม่ต้องกังวล อั๊วพามา อั๊วจะดีใจ ถ้าเตี่ยกินได้เยอะๆ สั่งหลายๆอย่างก็ได้ ถ้าเหลือ อั๊วห่อกลับบ้าน "

เตี่ย มองหน้า เหมือนยังลังเล อาหมวยต้องรีบขยี้ซ้ำ " อั๊วบอกก่อนนะเตี่ย เชงเม้ง ไม่มีนะ เตี่ยตาย อั๊วเผา แล้วลอยอังคารนะ เพราะฉะนั้น ตอนนี้ยังอยู่ อยากกินอะไร เตี่ยต้องได้กิน " ได้ผล เตี่ยเปิดเมนู สั่งอีกสี่ห้าอย่าง " ลื้อ ดุเหมือนใคร " " เหมือน เมียเตี่ยไง " ฮ่าๆๆๆ การนินทา อาแหมะ คือความสุขของพ่อลูก อีกอย่างหนึ่ง ระหว่างรออาหารมาเสริฟ เตี่ยจิบเบียร ทีละน้อย ทำเสียง ชื่นใจ อารมณ์คงเหมือนเด็ก แอบพ่อแม่ออกมากินเบียรกับเพื่อน เตี่ยจิบแบบกลัวจะหมด " เตี่ย จิบไปเถอะ วันนี้อั๊วให้ สองขวดเลย " " ฮ่อ ฮ่อ ฮ่อ " เตี่ยยิ้มกว้าง จนตาหยี " แต่ กลับบ้าน ตัวใคร ตัวมันนะเตี่ย " " เตี่ย ไม่สนใจหรอก อาแหมะลื้อ บ่นจนเตี่ยเลิกฟังแล้ว คิดแค่ว่า คลื่นเสียงเคลื่อนที่ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป จะเอาหูไปดักไว้ทำไม ถ้าฟังแล้วร้อนหู "

เตี่ย ช่างคิด และแทบจะทุกความคิด ล้วนทำให้ชีวิตเตี่ย เป็นสุข โดยไม่เดือดร้อนคนอื่น อาหารทยอยมาเสริฟ เตี่ยนั่งมองอาหาร พึมพำเบาๆว่า " น่ากินจริงๆ " อาหมวย ใช้ตะเกียบคีบเป็ดย่างให้เตี่ย และตักอาหารทุกอย่าง ให้เตี่ยก่อน อย่างละนิด อย่างละหน่อย ถือเป็นการให้เกียรติ เป็นประเพณีที่เตี่ยสอน เอาไว้ ด้วยการกระทำ เตี่ยบอกว่า การอ่อนน้อม ถ่อมตน เป็นคุณสมบัติของผู้อ่อนวัยกว่า เช่นเดียวกันกับ ที่ผู้ใหญ่ ต้องมีความเมตตา เตี่ย กินไป ก็ชื่นชมรสชาติไป " เป็ดย่างดีมาก เนื้อนุ่ม หนังกรอบ หมูแดงก็หมักจนเข้าเนื้อ ย่างสุกกำลังดี หมูกรอบ กรอบมาก ไม่อมน้ำมันเลย น้ำราดคงเคี่ยวนาน และ ผสมหลายอย่าง หอมเชียวกระเพาะปลาน้ำแดงนี่ก็ดี น้ำซุปหอมกลมกล่อม ฟองเต้าหู้ทอดนี่ กุ้งมาเป็นตัวๆ สดๆ รสชาติหวาน ข้าวผัดหนำเลี๊ยบ ก็หอมกลิ่นกะทะ ตัวข้าวร่วนสวยไม่แข็งเหมาะกับการทำข้าวผัด "

อาหมวยนั่งฟังจนเพลิน เตี่ยนี่น่าจะไปเป็น พิธีกรรายการอาหาร แข่งกับหม่อมถนัดศรี ขวัญใจเตี่ย " อร่อย ทุกอย่างจริงๆ ไม่เสียแรงนั่งรถมาไกล " " ไว้อั๊ว พามาอีกนะ เตี่ยจะเอาขนมหวานด้วยไหม หรือจะสั่งติ่มซำกลับไปกินที่บ้านด้วย " อาหมวย ยื่นเมนูให้ เตี่ยนั่งดูสักพัก ก็ทำตาโต ชี้ให้อาหมวยดู ในเมนู เค้าเขียนว่า มาไลโกว 95 บาท " คุณครับ มาไลโกว นี่ ที่หนึ่งมีกี่ชิ้นครับ " เตี่ยถามบริกร คำตอบคือ ตามรูป สองชิ้นเล็กๆ เตี่ย เลยแหย่เล่น " แป้งข้าวเจ้าเค้า คงได้จากข้าวสารบนสวรรค์ " ฮ่าๆๆๆๆ อาหมวย หัวเราะลั่น จนคนหันมอง

" เอาน่า เตี่ย ทำกินเองไม่ไหวแล้ว เดี๋ยวนี้ หาซื้อกินยังยาก " " น้องค่ะ เอามาที่นึงค่ะ อาหมวยหันไปสั่ง " เอาใส่กล่อง นะครับ " เตี่ยสั่ง บริกร แล้วเลือกติ่มซำ อีกสามสี่อย่าง สั่งใส่กล่อง " เอาไปฝาก อาแหมะลื้อ " เตี่ย ไม่เคยลืมที่จะนึกถึงหญิงอันเป็นที่รัก อาแหมะ ไม่ชอบออกนอกบ้าน อ้างว่า ขี้เกียจแต่งตัว แต่มีเสื้อผ้าสามสี่ตู้ ไม่รู้มีไว้ทำไม เตี่ย นั่งเอนพิงพนัก เอามือลูบพุง " อิ่มมาก อร่อย เหมือนได้ขึ้นสวรรค์ " " เตี่ย เคยไปสวรรค์มาแล้วเหรอ" " การที่มีลูก พามากินของดีดี อร่อย อร่อย สำหรับเตี่ย มันคือ สวรรค์ มันมากกว่าความสุข เพราะลูกมีอยู่ มีกิน มีชีวิตที่ดี พอที่จะเอื้อเฟื้อ ดูแลพ่อแม่ ดูแลผู้อื่น ต้องถือว่า คือ สวรรค์ "

อาหมวยนั่งยิ้ม สุขใจที่สุด " เตี่ยขอบใจลื้อมากนะ ขอให้ลื้อเจริญๆ นะ " เตี่ยให้พรแบบนี้ทุกครั้ง ที่อาหมวยทำอะไรต่ออะไรเพื่อเตี่ย คำอวยพรของเตี่ย เป็นส่วนหนึ่ง ของกำลังใจในการดำเนินชีวิตของอาหมวย " ของที่สั่งมาแล้ว อั๊วให้เค้าเก็บเงินเลยนะเตี่ย " เตี่ยพยักหน้า สักพัก บริกรนำบิลมายื่นให้ เตี่ยรับไปดู อาหมวยคิดในใจว่า บริกรน่าจะยื่นให้อาหมวย มากกว่า " โอ้โห อาหมวย แพงมาก " อาหมวยรับบิลมา ทำหน้านิ่งๆ แต่ในใจคิดว่า มาม่าคือที่พึ่ง " ซื้อให้เตี่ยกิน ไม่มีคำว่าแพง เตี่ยจำคำนี้ของอั๊วไว้นะ สำหรับเตี่ย อั๊วเต็มใจ " นึกขอบคุณเตี่ยในใจ ที่เตี่ยเปิดโอกาสให้อาหมวย ได้ทำสิ่งดีดี เพื่อเตี่ย รถแล่นออกจากหน้าร้านได้พักเดียว เตี่ยก็หลับ อาหมวยหันไปมอง นึกย้อนไปตอนเป็นเด็ก อาหมวยในวันนั้นก็เหมือนเตี่ยในวันนี้ อาหมวย มองออกนอกรถ นึกถึงคำที่เตี่ยสอน " ข้าวเปล่าตอนอยู่ อร่อยกว่าเนื้อมังกรตอนตาย " หันมา เอื้อมมือไปลูบแขนเตี่ยเบาๆ ตะโกนในใจว่า " อั๊ว มีความสุข "

# มาไลโกว หรือ หม่าไหล่โก๊ว คือ ขนมเค้กนึ่งของจีน
:idea: :idea:

:) :D viewtopic.php?t=1772820&start=105 :) :D มีหลายท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมครั้งแรกต้องการอยากรู้ข้อมูลของผม เอาหน้านี้เลยครับสดวกดี กดเข้าติดตามได้เลยครับ ไม่ต้องลำบากหา :lol: :lol:
ไฟล์แนบ
671778_0.jpg
671778_0.jpg (83.12 KiB) เข้าดูแล้ว 787 ครั้ง
671779_0.jpg
671779_0.jpg (107.96 KiB) เข้าดูแล้ว 787 ครั้ง
671780_0.jpg
671780_0.jpg (127.79 KiB) เข้าดูแล้ว 787 ครั้ง
671781_0.jpg
671781_0.jpg (72.13 KiB) เข้าดูแล้ว 787 ครั้ง
671783_0.jpg
671783_0.jpg (94.47 KiB) เข้าดูแล้ว 787 ครั้ง
671785_0.jpg
671785_0.jpg (142.88 KiB) เข้าดูแล้ว 787 ครั้ง
671786_0.jpg
671786_0.jpg (132.51 KiB) เข้าดูแล้ว 787 ครั้ง
516827.jpg
516827.jpg (43.8 KiB) เข้าดูแล้ว 787 ครั้ง
คุณนายไปนอนกับน้องม่อย ส่วนผมกับหลานนอนอีกห้องเป็นเตียง ๒ ชั้น หนูน้อยขอนอนชั้นบน เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หนูน้อย แยกนอนคนเดียว เราสวดมนต์ด้วยกัน และให้นั่งสมาธิก่อนนอน ๑๐ นาที เด็ก ๆ จิตจะรวมตัวได้เร็วเพราะไม่มีเรื่องราวรกสมองและเรื่องเลวร้ายยังไม่ได้สร้าง คงมีแต่ความใสซื่อบริสุทธิ์ ชายปุรณ์มักจะเล่าให้ฟังว่า ช่วงนั่งสมาธิตัวเขาชอบจะลอยขึ้น ๆ เบา ๆ รู้สึกได้สบายดีจัง ทำเอาคุณย่าเป็นปลื้มครับ บุญของชายปุรณ์ ฯ เขาละ.
คุณนายไปนอนกับน้องม่อย ส่วนผมกับหลานนอนอีกห้องเป็นเตียง ๒ ชั้น หนูน้อยขอนอนชั้นบน เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หนูน้อย แยกนอนคนเดียว เราสวดมนต์ด้วยกัน และให้นั่งสมาธิก่อนนอน ๑๐ นาที เด็ก ๆ จิตจะรวมตัวได้เร็วเพราะไม่มีเรื่องราวรกสมองและเรื่องเลวร้ายยังไม่ได้สร้าง คงมีแต่ความใสซื่อบริสุทธิ์ ชายปุรณ์มักจะเล่าให้ฟังว่า ช่วงนั่งสมาธิตัวเขาชอบจะลอยขึ้น ๆ เบา ๆ รู้สึกได้สบายดีจัง ทำเอาคุณย่าเป็นปลื้มครับ บุญของชายปุรณ์ ฯ เขาละ.
516828.jpg (49.2 KiB) เข้าดูแล้ว 787 ครั้ง
แก้ไขล่าสุดโดย Deang-sarapee เมื่อ 01 เม.ย. 2024, 13:53, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4367
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D สวัสดียามเที่ยงๆ ที่แดดร้อนเปรี้ยง ครับ :lol: :lol: การเอาใจเด็กน้อยช่วงปิดเทอม ๑๔ มี.ค.๖๗ พาเที่ยวไดโนเสาร์แล้วเลยไปเที่ยวเมืองนรก สวรรค์ และไปกินไข่ออนเซนกะแช่น้ำแร่ที่ เกาะคา ลำปาง กลับมานอนที่ร้านโกจือ ร้านบะหมี่ดังสุด ๆ ของเมืองลำปาง ยี่ห้อเชลล์ชวลชิม ของอากงโกจือ(ท่านเสียไปแล้วเมื่อไม่กี่เดือนมานี้อายุ ๙๐ กว่า) รุ่งเช้า ๑๕ มี.ค.๖๗ จะพาอาม่าไปเที่ยวเขื่อนภูมิพล(ไปหากินปลาที่อาม่าชื่นชอบ) แล้วจะพาไปแวะทำบุญกับชมวัดสวย ๆ ระหว่างทาง (ติดตามกันนะครับ) แต่ก่อนจะเดินทางขอนำภาพสำหรับคนใหม่ที่กำลังเข้ามาเยี่ยมชมได้เห็นภาพในวันที่ ๑๔ มี.ค.ก่อนละกัน :) :D


:) :D มีนาคม 14, 2567 พาหลานเที่ยวพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ เกาะคา ลำปาง :) :D

:idea: :idea: #ความสุข "มันไม่มีตัวตนหรอก"

ใครบอกว่ามีเงินเยอะ ๆ แล้วมีความสุข งั้นคนรวย ๆ คงไม่ทำร้ายตัวเอง
ใครบอก ว่ามีชื่อเสียงแล้วมีความสุข งั้นคนดัง ๆ คงไม่ทำร้ายตัวเอง
ใครบอกมีลาภยศ แล้วมีความสุข งั้นคนที่มียศศักดิ์สูง ๆ คงไม่เครียดทำร้ายกัน เพื่อไขว่คว้ามันมา

#นิยามความสุขง่าย ๆ ลอง “พอใจ” กับปัจจุบันที่เรามีดูสิ บางทีก็ทำให้เรามีรอยยิ้ม แห่ง . . ความสุขได้นะ #ความสุข ไม่ได้อยู่ที่มีเท่าไหร่ หากแต่ความสุขอยู่ที่พอเมื่อไหร่
#พอใจ" ได้เมื่อไหร่ ก็มี “ความสุข” ได้ทันที

#เครดิต : กวีอินดี้
:o :o
ไฟล์แนบ
434019622_1066285901119404_3552309506665397947_n.jpg
434019622_1066285901119404_3552309506665397947_n.jpg (134.18 KiB) เข้าดูแล้ว 738 ครั้ง
434069930_823558376252174_8889494463037804214_n.jpg
434069930_823558376252174_8889494463037804214_n.jpg (118.67 KiB) เข้าดูแล้ว 738 ครั้ง
ยามป่วยไข้กำลังใจที่ดีที่สุดมาจากเพื่อนร่วมงาน ขอบคุณตัวแทนกลุ่มคณะครูสารภีที่มาให้กำลังใจคุณนายเมื่อวานนี้ (๒๙ มี.ค.๖๗) ขอให้คณะครูทุกท่านทุกคนมีความสุข ไม่จำเป็นอย่าเจ็บ อย่าป่วย ขอให้มีสุขภาพแข็งแรงทุกท่านและเดินทางกลับด้วยความสวัสดิภาพขอบคุณมากครับ
ยามป่วยไข้กำลังใจที่ดีที่สุดมาจากเพื่อนร่วมงาน ขอบคุณตัวแทนกลุ่มคณะครูสารภีที่มาให้กำลังใจคุณนายเมื่อวานนี้ (๒๙ มี.ค.๖๗) ขอให้คณะครูทุกท่านทุกคนมีความสุข ไม่จำเป็นอย่าเจ็บ อย่าป่วย ขอให้มีสุขภาพแข็งแรงทุกท่านและเดินทางกลับด้วยความสวัสดิภาพขอบคุณมากครับ
เช้าวันที่ ๑๕ มี.ค.๖๗ ก่อนออกเดินทางไปเขื่อนภูมิพลเราพากันทานบะหมี่แสนอร่อยที่ทางอาตี้ น้องชายม่อยจัดทำให้ทุกครั้งที่มานอนที่ร้าน วันนี้ชายปุรณ์อร่อยเป็นพิเศษ แต่ไม่หมดชาม(บ่นอาตี้ให้เยอะเกินไป๕๕)
เช้าวันที่ ๑๕ มี.ค.๖๗ ก่อนออกเดินทางไปเขื่อนภูมิพลเราพากันทานบะหมี่แสนอร่อยที่ทางอาตี้ น้องชายม่อยจัดทำให้ทุกครั้งที่มานอนที่ร้าน วันนี้ชายปุรณ์อร่อยเป็นพิเศษ แต่ไม่หมดชาม(บ่นอาตี้ให้เยอะเกินไป๕๕)
cats1.jpg (123.68 KiB) เข้าดูแล้ว 738 ครั้ง
671799_0.jpg
671799_0.jpg (72.09 KiB) เข้าดูแล้ว 738 ครั้ง
671800_0.jpg
671802_0.jpg
671802_0.jpg (124.54 KiB) เข้าดูแล้ว 738 ครั้ง
671802_0.jpg
671802_0.jpg (124.54 KiB) เข้าดูแล้ว 738 ครั้ง
433964547_8322544304429448_8450236636056163610_n.jpg
433964547_8322544304429448_8450236636056163610_n.jpg (119.66 KiB) เข้าดูแล้ว 738 ครั้ง
671805_0.jpg
671805_0.jpg (134.2 KiB) เข้าดูแล้ว 738 ครั้ง
671807_0.jpg
671807_0.jpg (115.58 KiB) เข้าดูแล้ว 738 ครั้ง
671808_0.jpg
671808_0.jpg (143.84 KiB) เข้าดูแล้ว 738 ครั้ง
ออกจากภัตตาคารที่ทานมื้อเที่ยง ก่อนเดินทางต่อเข้าไปยังตัวเขื่อนตรงทางเดินฝั่งตรงข้ามเป็นร้านกาแฟ ม่อยชวนเพิ่มสารเสพติดสักคนละถ้วย (อ้า...ถูกใจ) เราได้คาเฟอีนกระตุ้นต่อมเฉื่อยไปคนละแก้ว จิบกาแฟชมวิวด้านล่างเพลินตาเพลินใจก่อนจะไปยังตัวเขื่อน โชคไม่ดีเขากำลังปรับปรุงและสร้างทางเข้าเขื่อน ขรุขระนิดหน่อยครับ
ออกจากภัตตาคารที่ทานมื้อเที่ยง ก่อนเดินทางต่อเข้าไปยังตัวเขื่อนตรงทางเดินฝั่งตรงข้ามเป็นร้านกาแฟ ม่อยชวนเพิ่มสารเสพติดสักคนละถ้วย (อ้า...ถูกใจ) เราได้คาเฟอีนกระตุ้นต่อมเฉื่อยไปคนละแก้ว จิบกาแฟชมวิวด้านล่างเพลินตาเพลินใจก่อนจะไปยังตัวเขื่อน โชคไม่ดีเขากำลังปรับปรุงและสร้างทางเข้าเขื่อน ขรุขระนิดหน่อยครับ
671814_0.jpg
671814_0.jpg (121.95 KiB) เข้าดูแล้ว 738 ครั้ง
671818_0.jpg
671818_0.jpg (144.39 KiB) เข้าดูแล้ว 738 ครั้ง
671819_0.jpg
“เขื่อนภูมิพล” เป็นเขื่อนอเนกประสงค์แห่งแรกของประเทศไทย ลักษณะเป็นเขื่อนคอนกรีตรูปโค้ง และเป็นเขื่อนแรกในประวัติศาสตร์ไทยอันเป็นจุดกำเนิดของการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบและยั่งยืน เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการเป็นเขื่อนอเนกประสงค์ การใช้ประโยชน์ในหลาย ๆ ด้านของอ่างเก็บน้ำ เช่น เก็บหรือชะลอน้ำในฤดูน้ำหลากเพื่อป้องกันบรรเทาอุทกภัย แต่ทั้งนี้ต้องไม่สูงเกินจนส่งผลกระทบต่อพื้นที่รอบอ่างเก็บน้ำที่ถูกน้ำท่วม และความมั่นคงปลอดภัยของตัวเขื่อน เป็นต้น และระบายน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค การเกษตรกรรม และรักษาระบบนิเวศน์ รวมถึงประโยชน์ที่เป็นผลพลอยได้อื่น ๆ ที่เกิดจากการระบายน้ำของเขื่อนภูมิพล<br /><br />          โดยถือกำเนิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลในขณะนั้นมีแนวคิดที่จะสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ซึ่งสามารถนำไฟฟ้าเข้าสู่ระบบได้อย่างรวดเร็ว จึงมีการจัดตั้ง “คณะกรรมการพิจารณาสร้างโรงไฟฟ้าทั่วราชอาณาจักร” เพื่อสำรวจพื้นที่สร้างโรงไฟฟ้าทั่วประเทศ ซึ่งพบว่าในลำน้ำปิงบริเวณหุบเขาย่านรีหรือยันฮี อ.สามเงา จ.ตาก มีความเหมาะสมต่อการสร้างเขื่อนเป็นอย่างยิ่ง จึงนำมาสู่การสำรวจ “เขื่อนยันฮี” ในปี พ.ศ. 2495 และเริ่มสร้างในปี พ.ศ. 2500 – 2507 และในปีเดียวกันนี้เอง ก็มีการตั้ง “การไฟฟ้ายันฮี” (กฟย.) เพื่อรับผิดชอบการสร้างเขื่อน และผลิตไฟฟ้าให้กับภาคกลางและภาคเหนือ<br /><br />          ประโยชน์ในด้านพลังงานไฟฟ้า สามารถผลิตกำลังไฟฟ้าได้ 560 เมกะวัตต์ หรือปีละ 2,200 ล้านยูนิต ซึ่งอาจส่งพลังงานไฟฟ้าไปยังจังหวัดต่าง ๆ ทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก รวมถึง 36 จังหวัด<br /><br />          ด้านการชลประทานในฤดูฝนจะทำให้พื้นที่บนลุ่มน้ำปิงจากเขื่อนลงมาสามารถทำนาได้ประมาณ 1,500,000 ไร่ ในฤดูแล้งสามารถจะช่วยให้พื้นที่ในโครงการเจ้าพระยาผลิตพืชฤดูแล้งได้อีกประมาณ 2,000,000 ไร่<br /><br />          ด้านการคมนาคมซึ่งเป็นหัวใจของการขนส่งในภาคกลาง เรือขนาดกินน้ำลึก 2 เมตร จะขึ้นล่องจากจังหวัดนครสวรรค์ถึงอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ได้ เป็นระยะทางถึง 400 กิโลเมตร เขื่อนนี้ซึ่งเก็บกักน้ำได้ถึง 12,200 ล้านลูกบาศก์เมตร อาจกักน้ำซึ่งหลากมาในฤดูน้ำไว้เสียได้ อันจะเป็นเหตุให้บรรเทาอุทกภัยลงด้วย<br /><br />          ในปี พ.ศ. 2500 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานพระปรมาภิไธยให้เป็นชื่อเขื่อนว่า “เขื่อนภูมิพล” และในวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2507 ได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อทรงประกอบพิธีเปิดเขื่อนและทรงกดปุ่มขนานเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเครื่องที่ 1 เข้าระบบ และนับตั้งแต่วันนั้น โรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนภูมิพลก็ได้ทำหน้าที่ผลิตไฟฟ้าเพื่อความสุขของคนไทยมาโดยตลอด
“เขื่อนภูมิพล” เป็นเขื่อนอเนกประสงค์แห่งแรกของประเทศไทย ลักษณะเป็นเขื่อนคอนกรีตรูปโค้ง และเป็นเขื่อนแรกในประวัติศาสตร์ไทยอันเป็นจุดกำเนิดของการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบและยั่งยืน เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการเป็นเขื่อนอเนกประสงค์ การใช้ประโยชน์ในหลาย ๆ ด้านของอ่างเก็บน้ำ เช่น เก็บหรือชะลอน้ำในฤดูน้ำหลากเพื่อป้องกันบรรเทาอุทกภัย แต่ทั้งนี้ต้องไม่สูงเกินจนส่งผลกระทบต่อพื้นที่รอบอ่างเก็บน้ำที่ถูกน้ำท่วม และความมั่นคงปลอดภัยของตัวเขื่อน เป็นต้น และระบายน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค การเกษตรกรรม และรักษาระบบนิเวศน์ รวมถึงประโยชน์ที่เป็นผลพลอยได้อื่น ๆ ที่เกิดจากการระบายน้ำของเขื่อนภูมิพล

โดยถือกำเนิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลในขณะนั้นมีแนวคิดที่จะสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ซึ่งสามารถนำไฟฟ้าเข้าสู่ระบบได้อย่างรวดเร็ว จึงมีการจัดตั้ง “คณะกรรมการพิจารณาสร้างโรงไฟฟ้าทั่วราชอาณาจักร” เพื่อสำรวจพื้นที่สร้างโรงไฟฟ้าทั่วประเทศ ซึ่งพบว่าในลำน้ำปิงบริเวณหุบเขาย่านรีหรือยันฮี อ.สามเงา จ.ตาก มีความเหมาะสมต่อการสร้างเขื่อนเป็นอย่างยิ่ง จึงนำมาสู่การสำรวจ “เขื่อนยันฮี” ในปี พ.ศ. 2495 และเริ่มสร้างในปี พ.ศ. 2500 – 2507 และในปีเดียวกันนี้เอง ก็มีการตั้ง “การไฟฟ้ายันฮี” (กฟย.) เพื่อรับผิดชอบการสร้างเขื่อน และผลิตไฟฟ้าให้กับภาคกลางและภาคเหนือ

ประโยชน์ในด้านพลังงานไฟฟ้า สามารถผลิตกำลังไฟฟ้าได้ 560 เมกะวัตต์ หรือปีละ 2,200 ล้านยูนิต ซึ่งอาจส่งพลังงานไฟฟ้าไปยังจังหวัดต่าง ๆ ทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก รวมถึง 36 จังหวัด

ด้านการชลประทานในฤดูฝนจะทำให้พื้นที่บนลุ่มน้ำปิงจากเขื่อนลงมาสามารถทำนาได้ประมาณ 1,500,000 ไร่ ในฤดูแล้งสามารถจะช่วยให้พื้นที่ในโครงการเจ้าพระยาผลิตพืชฤดูแล้งได้อีกประมาณ 2,000,000 ไร่

ด้านการคมนาคมซึ่งเป็นหัวใจของการขนส่งในภาคกลาง เรือขนาดกินน้ำลึก 2 เมตร จะขึ้นล่องจากจังหวัดนครสวรรค์ถึงอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ได้ เป็นระยะทางถึง 400 กิโลเมตร เขื่อนนี้ซึ่งเก็บกักน้ำได้ถึง 12,200 ล้านลูกบาศก์เมตร อาจกักน้ำซึ่งหลากมาในฤดูน้ำไว้เสียได้ อันจะเป็นเหตุให้บรรเทาอุทกภัยลงด้วย

ในปี พ.ศ. 2500 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานพระปรมาภิไธยให้เป็นชื่อเขื่อนว่า “เขื่อนภูมิพล” และในวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2507 ได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อทรงประกอบพิธีเปิดเขื่อนและทรงกดปุ่มขนานเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเครื่องที่ 1 เข้าระบบ และนับตั้งแต่วันนั้น โรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนภูมิพลก็ได้ทำหน้าที่ผลิตไฟฟ้าเพื่อความสุขของคนไทยมาโดยตลอด
671820_0.jpg (107.38 KiB) เข้าดูแล้ว 738 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4367
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »


:idea: :idea: การก่อสร้างเขื่อน​ภูมิพล​ ||​ PE​ มีเรื่อง​มา​เล่า​ | :idea: :idea:
ไฟล์แนบ
671824_0.jpg
671826_0.jpg
671826_0.jpg (125.1 KiB) เข้าดูแล้ว 731 ครั้ง
671828_0.jpg
671828_0.jpg (111.33 KiB) เข้าดูแล้ว 731 ครั้ง
671830_0.jpg
671836_0.jpg
671836_0.jpg (115.37 KiB) เข้าดูแล้ว 731 ครั้ง
671837_0.jpg
671840_0.jpg
671841_0.jpg
671844_0.jpg
671845_0.jpg
671846_0.jpg
671847_0.jpg
671854_0.jpg
671854_0.jpg (57.6 KiB) เข้าดูแล้ว 731 ครั้ง
671855_0.jpg
672212_0.jpg
672212_0.jpg (115.55 KiB) เข้าดูแล้ว 731 ครั้ง
672213_0.jpg
672213_0.jpg (110.22 KiB) เข้าดูแล้ว 731 ครั้ง
672214_0.jpg
672214_0.jpg (96.91 KiB) เข้าดูแล้ว 731 ครั้ง
434013426_404067492242505_7687878371088825223_n.jpg
434013426_404067492242505_7687878371088825223_n.jpg (89 KiB) เข้าดูแล้ว 731 ครั้ง
นักวิชาการคนหนึ่งกำลังข้ามแม่น้ำพร้อมกับคนพายเรือบนเรือแคนู พวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในการสนทนากัน ระหว่างการสนทนา นักวิชาการได้เอ่ยชื่อหนังสือหลายเล่ม และถามคนพายเรือว่าเคยอ่านหนังสือเหล่านี้บ้างหรือไม่ คนพายเรือบอกว่าไม่ได้อ่านเลย <br /><br />นักวิชาการกล่าวว่า “เจ้าสูญเสียชีวิตไปแล้ว ๕๐% ถ้าเจ้าไม่ได้อ่านหนังสือเหล่านี้!” ขณะที่การสนทนาดำเนินต่อไป เรือแคนูเกิดรูรั่วและน้ำไหลเข้าเรืออย่างรวดเร็ว คนพายเรือจึงรีบถามนักวิชาการว่า “โอ้ อาจารย์ ท่านว่ายน้ำเป็นหรือไม่ครับ?” นักวิชาการตอบว่า “ฉันอ่านหนังสือเกี่ยวกับการว่ายน้ำมาหลายเล่มและรู้เรื่องนี้ดีมาก แต่ฉันไม่เคยลองว่ายน้ำเลย” คนพายเรือกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านน่าจะสูญเสียทั้งชีวิตแล้วล่ะเพราะเรือกำลังจะจม!” <br /><br />บทเรียน: การอ่านหนังสือ การรับปริญญา ฯลฯ เป็นสิ่งสำคัญ แต่ต้องไม่ละเลยทักษะที่สำคัญของชีวิต…
นักวิชาการคนหนึ่งกำลังข้ามแม่น้ำพร้อมกับคนพายเรือบนเรือแคนู พวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในการสนทนากัน ระหว่างการสนทนา นักวิชาการได้เอ่ยชื่อหนังสือหลายเล่ม และถามคนพายเรือว่าเคยอ่านหนังสือเหล่านี้บ้างหรือไม่ คนพายเรือบอกว่าไม่ได้อ่านเลย

นักวิชาการกล่าวว่า “เจ้าสูญเสียชีวิตไปแล้ว ๕๐% ถ้าเจ้าไม่ได้อ่านหนังสือเหล่านี้!” ขณะที่การสนทนาดำเนินต่อไป เรือแคนูเกิดรูรั่วและน้ำไหลเข้าเรืออย่างรวดเร็ว คนพายเรือจึงรีบถามนักวิชาการว่า “โอ้ อาจารย์ ท่านว่ายน้ำเป็นหรือไม่ครับ?” นักวิชาการตอบว่า “ฉันอ่านหนังสือเกี่ยวกับการว่ายน้ำมาหลายเล่มและรู้เรื่องนี้ดีมาก แต่ฉันไม่เคยลองว่ายน้ำเลย” คนพายเรือกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านน่าจะสูญเสียทั้งชีวิตแล้วล่ะเพราะเรือกำลังจะจม!”

บทเรียน: การอ่านหนังสือ การรับปริญญา ฯลฯ เป็นสิ่งสำคัญ แต่ต้องไม่ละเลยทักษะที่สำคัญของชีวิต…
430924816_1105381280613381_8828757167324920763_n.jpg (91.15 KiB) เข้าดูแล้ว 731 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4367
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D สวัสดีครับท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ เราสามคน ปู่-ย่า-หลาน ไปลำปางไปนอนบ้านอาม่าและพาอาม่าไปเที่ยวด้วยกัน กลับถึงบ้านปากกองสารภีเมื่อ วันที่ ๑๖ มี.ค.๖๗ ชีวิตก็ดำเนินไปตามปกติ สำหรับผมก็มีการเคลื่อนไหวร่างกาย(ออกกำลัง) นั่งสมาธิ ภาวนาสร้างพลังจิตพลังใจ ช่วงนี้ปิดเทอมคุณนายต้องดูแลหลาน(เฝ้าบ้าน)

นานแล้วในกระทู้นี้ละที่ผมได้เล่าไว้ว่า การกระทำใด ๆ ย่อมให้ผลเสมอ ๆ เคลื่อนไหวร่างกายก็ทำให้ร่างกายแข็งแรง นั่งสมาธิภาวนาจิตใจสงบ นิ่งเป็นสมาธิจิตจะได้แข็งแกร่งมีพลัง มีหลายครั้งที่ผมนั่งสมาธิภาวนา ก่อนจะออกจากสมาธิ เหมือน ๆ อาจารย์ท่านจะกระซิบข้าง ๆ หูว่า "ระวังนะ...ซึมเศร้า ๆ ๆ "แรก ๆ ผมไม่สนใจเท่าไหร่ แต่ ๒-๓ หนชักแปลกใจ

มีอยู่วันหนึ่งผมปั่นจักรยานออกกำลังตามปกติ และได้แวะไปที่ตลาดป่าเห็ว ว่าจะไปหาซื้อของได้ยินแม่ค้าเปิดเพลงดังลั่น เพลงเดียวกันนั่นละ (เพลงเขียนฝันไว้ข้างฝา) ซ้ำไปซ้ำมาถึง ๓ รอบ มีอะไรไม่ทราบมาหยุดดึงให้ผมหยุดฟัง พอฟังไป ๆ ผมน้ำตาซึม(สับสน คิด?) จากนั้นมาพอเข้าสมาธิภาวนาก็ตรวจสอบ ถึงได้รู้ว่าที่อาจารย์ท่านมาเตือน "เรื่องจริง" เพราะผมระยะนี้หงุดหงิด โมโห น้อยใจ แปลก ๆ คุณนายก็มองออก และนี่ก็คืออาการของคนกำลังจะโรคเป็นซึมเศร้า (ระยะเริ่มต้น)

https://www.youtube.com/shorts/PqZS_qQ2tys :cry: :cry: เพลง "เขียนฝันไว้ข้างฝา" เพลงนี้ละครับที่แม่ค้าเปิด ๓ รอบทำเอาผมน้ำตาริน เพราะมีความหลัง ความฝันที่ฝังใจและทำไม่สำเร็จ ตอนนี้เริ่มดีขึ้น (ยิ้มได้แล้ว) วันนี้ เวลานี้ กำลังสลัดออกไปด้วย ทาน ศีล ภาวนา ขออโหสิกรรมเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายครับ :roll: :roll:

https://www.youtube.com/watch?v=Qha3Fj_ngME :) :D เมื่อ ๑ เม.ย.๖๗ ผมปั่นไปฝายน้ำล้นห้วยโจ้ไปนั่งชมพระอาทิตย์ขึ้นและฟังเสียงน้ำไหลออกจากฝาย ปล่อยจิตปล่อยใจฟังเพลง เขียนฝันไว้ข้างฝา ฟังให้มันเบื่อไปเลย สรุปยิ่งฟังยิ่งเพราะ :lol: :lol:

:idea: :idea: โรคซึมเศร้า เป็นโรคทางจิตเวชประเภทหนึ่ง เกิดจากความผิดปกติของสารเคมีในสมอง 'เซโรโทนิน (Serotonin)' มีปริมาณลดลง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการป่วยทั้งร่างกาย จิตใจ และความคิด รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุข มีแต่ความวิตกกังวล และหากปล่อยไว้ ผู้ป่วยอาจคิดสั้นฆ่าตัวตายได้

ภาวะซึมเศร้าในผู้สูงวัย ภาวะซึมเศร้าพบได้บ่อยในผู้สูงวัย แต่ไม่ถือเป็นภาวะปกติของคนสูงวัย ภาวะดังกล่าวเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงและควรได้รับการรักษาทันท่วงที แต่โดยมากผู้ป่วยมักไม่ยอมเข้ารับการรักษาและวินิจฉัยโรค ในผู้สูงวัยมักมีอาการต่างออกไปหรือไม่ชัดเจน ได้แก่

-พฤติกรรมเปลี่ยน -ความจำถดถอย -อาการเจ็บปวดตามร่างกาย -เหนื่อยล้า -เบื่ออาหาร -มีปัญหาด้านการนอน -หมดความสนใจเรื่องเพศสัมพันธ์ซึ่งไม่สัมพันธ์กับยาหรืออาการอื่น ๆ -มีความคิดหรือความรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะในเพศชายสูงอายุ (ช่วงนี้เราได้เห็นได้ยินข่าวคนแก่ฆ่าตัวตายเยอะ ตำรวจยศใหญ่ ๆ ก็หลายคน)น่าเป็นห่วง
:o :o
ไฟล์แนบ
433930213_386732707653151_465314528177938113_n.jpg
433930213_386732707653151_465314528177938113_n.jpg (179.93 KiB) เข้าดูแล้ว 626 ครั้ง
433985017_1116118426382800_1375079852037590957_n (1).jpg
433985017_1116118426382800_1375079852037590957_n (1).jpg (112.26 KiB) เข้าดูแล้ว 626 ครั้ง
434006639_2149202135415453_1795075327238797496_n.jpg
434006639_2149202135415453_1795075327238797496_n.jpg (124.5 KiB) เข้าดูแล้ว 626 ครั้ง
433949679_932742344967301_1647343651060526308_n.jpg
433949679_932742344967301_1647343651060526308_n.jpg (67.63 KiB) เข้าดูแล้ว 626 ครั้ง
433952928_2623344834505349_7756628531128554355_n.jpg
433952928_2623344834505349_7756628531128554355_n.jpg (109.79 KiB) เข้าดูแล้ว 626 ครั้ง
433958579_1125035978639685_490090251804292606_n.jpg
433958579_1125035978639685_490090251804292606_n.jpg (84 KiB) เข้าดูแล้ว 626 ครั้ง
ออกจากเขื่อนภูมิพลบ่ายคล้อยแล้ว ช่วงขับรถผ่านเจอวัดสวยข้างทางอดใจที่จะแวะไม่ได้ สำนักวิปัสสนา วัดถ้ำน้ำบ่อแก้ว อ.แม่พริก ลำปาง เสียดายขับรถวนชมคุยกันไว้เราค่อยกลับมา แบบตั้งใจมาทำบุญกันอีกครั้ง
ออกจากเขื่อนภูมิพลบ่ายคล้อยแล้ว ช่วงขับรถผ่านเจอวัดสวยข้างทางอดใจที่จะแวะไม่ได้ สำนักวิปัสสนา วัดถ้ำน้ำบ่อแก้ว อ.แม่พริก ลำปาง เสียดายขับรถวนชมคุยกันไว้เราค่อยกลับมา แบบตั้งใจมาทำบุญกันอีกครั้ง
433958583_736766291979790_1494128820915313719_n.jpg (81.53 KiB) เข้าดูแล้ว 626 ครั้ง
นี่ก็อีกวัดหนึ่งครับ สำนักปฏิบัติธรรม พรหมรังสี วัดถ่ำผางาม (ม) ต.พระบาทวังตวง อ.แม่พริก จ.ลำปาง  สวยงามมาก ๆ เช่นกันแค่ขับรถวนเข้าไปไม่ได้ลงครับ
นี่ก็อีกวัดหนึ่งครับ สำนักปฏิบัติธรรม พรหมรังสี วัดถ่ำผางาม (ม) ต.พระบาทวังตวง อ.แม่พริก จ.ลำปาง สวยงามมาก ๆ เช่นกันแค่ขับรถวนเข้าไปไม่ได้ลงครับ
434020148_304358939127970_674617373306047476_n.jpg (77.42 KiB) เข้าดูแล้ว 626 ครั้ง
434021590_285802094565568_4610860185213067482_n.jpg
434021590_285802094565568_4610860185213067482_n.jpg (105.79 KiB) เข้าดูแล้ว 626 ครั้ง
434044850_913530983800330_7140413453217040694_n.jpg
434044850_913530983800330_7140413453217040694_n.jpg (98.14 KiB) เข้าดูแล้ว 626 ครั้ง
434057918_1145773889903024_1484619958210353049_n.jpg
434057918_1145773889903024_1484619958210353049_n.jpg (102.12 KiB) เข้าดูแล้ว 626 ครั้ง
434059250_7422746474478643_2549384865066207819_n (1).jpg
434059250_7422746474478643_2549384865066207819_n (1).jpg (106.1 KiB) เข้าดูแล้ว 626 ครั้ง
434059250_7422746474478643_2549384865066207819_n.jpg
434059250_7422746474478643_2549384865066207819_n.jpg (106.1 KiB) เข้าดูแล้ว 626 ครั้ง
670654_0.jpg
670654_0.jpg (132.91 KiB) เข้าดูแล้ว 626 ครั้ง
670656_0.jpg
670656_0.jpg (137.85 KiB) เข้าดูแล้ว 626 ครั้ง
671862_0.jpg
671866_0.jpg
671866_0.jpg (101.01 KiB) เข้าดูแล้ว 626 ครั้ง
671867_0.jpg
671867_0.jpg (137.86 KiB) เข้าดูแล้ว 626 ครั้ง
671875_0.jpg
671875_0.jpg (116.16 KiB) เข้าดูแล้ว 626 ครั้ง
ก่อนเข้าบ้านเราพาอาม่าไปกินมื้อเย็น แล้วพาอาม่ากลับมาพักผ่อน ส่วนเรา ๔ คน พากันไปชมพิธีเปิดถนนคนเดินเหมือนถนนคนเดินกาดกองต้า ชื่อใหม่ว่า &quot;ถนนสายวัฒนธรรม&quot; ซึ่งจะมีการนำสิรค้ามาวางขายเหมือนถนนคนเดิน แต่เป็นเฉพาะวันศุกร์ ที่กาดกองต้าจะเป็นวันเสาร์ - อาทิตย์ สรุปลำปางจะมีถนนคนเดินถึง ๓ วัน คือ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ส่วนถนนสายวัฒนธรรมก็อยู่ติด ๆ ใกล้กับ กาดกองต้า นั่นละครับ ห่างกันสัก ๒ ซอยครับ <br /><br />เราเดินจนสุดซอยก่อนกลับได้ของติดไม้ติดมือ เป็นอาหารเช้า สำหรับพรุ่งนี้ ๑๖ มี.ค.๖๗ ซึ่งก่อนกลับเชียงใหม่ ก็จะพาชายปุรณ์ ฯ ไปชมพิพิธภัณฑ์เมืองลำปาง ซึ่งจัดได้น่าชมมาก ติดตามกันไปเรื่อย ๆ นะครับ โชคดีมีความสุขครับ
ก่อนเข้าบ้านเราพาอาม่าไปกินมื้อเย็น แล้วพาอาม่ากลับมาพักผ่อน ส่วนเรา ๔ คน พากันไปชมพิธีเปิดถนนคนเดินเหมือนถนนคนเดินกาดกองต้า ชื่อใหม่ว่า "ถนนสายวัฒนธรรม" ซึ่งจะมีการนำสิรค้ามาวางขายเหมือนถนนคนเดิน แต่เป็นเฉพาะวันศุกร์ ที่กาดกองต้าจะเป็นวันเสาร์ - อาทิตย์ สรุปลำปางจะมีถนนคนเดินถึง ๓ วัน คือ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ส่วนถนนสายวัฒนธรรมก็อยู่ติด ๆ ใกล้กับ กาดกองต้า นั่นละครับ ห่างกันสัก ๒ ซอยครับ

เราเดินจนสุดซอยก่อนกลับได้ของติดไม้ติดมือ เป็นอาหารเช้า สำหรับพรุ่งนี้ ๑๖ มี.ค.๖๗ ซึ่งก่อนกลับเชียงใหม่ ก็จะพาชายปุรณ์ ฯ ไปชมพิพิธภัณฑ์เมืองลำปาง ซึ่งจัดได้น่าชมมาก ติดตามกันไปเรื่อย ๆ นะครับ โชคดีมีความสุขครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Deang-sarapee เมื่อ 04 เม.ย. 2024, 12:32, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4367
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »


:) :D Tham Nam Bo Keaw #Temple #สำนักวิปัสสนา #วัดถ้ำน้ำบ่อแก้ว อ.แม่พริก #ลำปาง


สำนักปฏิบัติธรรม พรหมรังสี วัดถ่ำผางาม (ม) ต.พระบาทวังตวง อ.แม่พริก จ.ลำปาง :) :D
ไฟล์แนบ
ที่พักสงฆ์ถ้ำน้ำบ่อแก้ว<br /><br />ที่พักสงฆ์ถ้ำน้ำบ่อแก้ว ตั้งอยู่เลขที่ ๑๕/๓ หมู่ที่ ๒ ถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑ ตำบลพระบาทวังตวง อำเภอแม่พริก จังหวัดลำปาง ตั้งอยู่ระหว่างเขตติดต่ออำเภอแม่พริกและอำเภอเถิน เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ ที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวอำเภอแม่พริก และชาวตำบลแม่วะ อำเภอเถิน มาแต่โบราณ โดยเฉพาะน้ำบ่อแก้ว หรือน้ำบ่อทิพย์ ที่มีตาน้ำซึมในถ้ำ จึงทำให้ชาวบ้าน ทั้งสองอำเภอเกิดความเชื่อ ความศรัทธา<br /><br />พระประธานเป็นพระพุทธรูปไม้ขนุน ขนาดหน้าตักกว้าง ๖๓ นิ้ว แกะสลักจากไม้ขนุนเก่าแก่ ขนาด ๗ คนโอบ นับว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวบ้านกราบไหว้บูชา และขนานนามว่า หลวงพ่อหนุนดวง หรือ พระหนุนศักดิ์ศรี
ที่พักสงฆ์ถ้ำน้ำบ่อแก้ว

ที่พักสงฆ์ถ้ำน้ำบ่อแก้ว ตั้งอยู่เลขที่ ๑๕/๓ หมู่ที่ ๒ ถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑ ตำบลพระบาทวังตวง อำเภอแม่พริก จังหวัดลำปาง ตั้งอยู่ระหว่างเขตติดต่ออำเภอแม่พริกและอำเภอเถิน เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ ที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวอำเภอแม่พริก และชาวตำบลแม่วะ อำเภอเถิน มาแต่โบราณ โดยเฉพาะน้ำบ่อแก้ว หรือน้ำบ่อทิพย์ ที่มีตาน้ำซึมในถ้ำ จึงทำให้ชาวบ้าน ทั้งสองอำเภอเกิดความเชื่อ ความศรัทธา

พระประธานเป็นพระพุทธรูปไม้ขนุน ขนาดหน้าตักกว้าง ๖๓ นิ้ว แกะสลักจากไม้ขนุนเก่าแก่ ขนาด ๗ คนโอบ นับว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวบ้านกราบไหว้บูชา และขนานนามว่า หลวงพ่อหนุนดวง หรือ พระหนุนศักดิ์ศรี
433949679_932742344967301_1647343651060526308_n.jpg (67.63 KiB) เข้าดูแล้ว 625 ครั้ง
434044850_913530983800330_7140413453217040694_n.jpg
434044850_913530983800330_7140413453217040694_n.jpg (98.14 KiB) เข้าดูแล้ว 625 ครั้ง
วัดถ้ำผางาม บ้านท่าชุม ตำบลพระบาทวังตวง อำเภอแม่พริก จังหวัดลำปาง เป็นสำนักปฏิบัติธรรมพรหมรังสี วัดถ้ำผางาม (ม.) เนื่องจากถ้ำน้ำผ่าผางาม เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดลำปาง ซึ่งได้รับการเข้าวาระประชุมของจังหวัดลำปาง ทาง สจ. และทางนายอำเภอแม่พริก ที่ได้เข้าประชุมเสนอว่าอำเภอแม่พริกไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่อื่น นอกจากถ้ำน้ำผ่าผางามเพียงแห่งเดียว ดังนั้น เมื่อจังหวัดมอบหมายให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดลำปางอีกแห่งหนึ่ง ทางอำเภอแม่พริกจึงได้พัฒนา วัดถ้ำผางาม แห่งนี้ด้วย<br /><br />พระวิศาล ถาวโร เป็นเจ้าอาวาสวัดถ้ำผางาม กล่าวว่า อาตมภาพได้ดำเนินการสร้างองค์รูปเหมือนของหลวงปู่พระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) หลวงปู่ทวด ครูบาเจ้าศรีวิชัย หลวงพ่อเงินวัดบางคาน หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และที่ยังไม่มีคือ พระพุทธศากยมุนี ปฐมบรมรัตนะ พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สร้างขึ้นไว้เป็นปางปฐมเทศนา หน้าตัก ๘ เมตร ซึ่งเป็นประธานของวัดถ้ำผางามแห่งนี้ และปัจจุบันนี้กำลังดำเนินการสร้างพระนาคปรก พญามุจจลินท์นาคราช พลับพลาของพระเจ้าตากสินมหาราชเก๋งจีนพระโพธิสัตว์กวนอิม ซึ่งทั้ง ๓ อย่างนี้จะสร้างไว้ในสระเรียงกันตามความยาวของสระที่ดำเนินการขุดแล้วในขณะนี้
วัดถ้ำผางาม บ้านท่าชุม ตำบลพระบาทวังตวง อำเภอแม่พริก จังหวัดลำปาง เป็นสำนักปฏิบัติธรรมพรหมรังสี วัดถ้ำผางาม (ม.) เนื่องจากถ้ำน้ำผ่าผางาม เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดลำปาง ซึ่งได้รับการเข้าวาระประชุมของจังหวัดลำปาง ทาง สจ. และทางนายอำเภอแม่พริก ที่ได้เข้าประชุมเสนอว่าอำเภอแม่พริกไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่อื่น นอกจากถ้ำน้ำผ่าผางามเพียงแห่งเดียว ดังนั้น เมื่อจังหวัดมอบหมายให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดลำปางอีกแห่งหนึ่ง ทางอำเภอแม่พริกจึงได้พัฒนา วัดถ้ำผางาม แห่งนี้ด้วย

พระวิศาล ถาวโร เป็นเจ้าอาวาสวัดถ้ำผางาม กล่าวว่า อาตมภาพได้ดำเนินการสร้างองค์รูปเหมือนของหลวงปู่พระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) หลวงปู่ทวด ครูบาเจ้าศรีวิชัย หลวงพ่อเงินวัดบางคาน หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และที่ยังไม่มีคือ พระพุทธศากยมุนี ปฐมบรมรัตนะ พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สร้างขึ้นไว้เป็นปางปฐมเทศนา หน้าตัก ๘ เมตร ซึ่งเป็นประธานของวัดถ้ำผางามแห่งนี้ และปัจจุบันนี้กำลังดำเนินการสร้างพระนาคปรก พญามุจจลินท์นาคราช พลับพลาของพระเจ้าตากสินมหาราชเก๋งจีนพระโพธิสัตว์กวนอิม ซึ่งทั้ง ๓ อย่างนี้จะสร้างไว้ในสระเรียงกันตามความยาวของสระที่ดำเนินการขุดแล้วในขณะนี้
434020148_304358939127970_674617373306047476_n.jpg (77.42 KiB) เข้าดูแล้ว 625 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4367
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:roll: :roll: สวยงามเกินคำบรรยาย! สุริยุปราคาเต็มดวง ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับ สุริยุปราคาเต็มดวง ที่ครั้งนี้ได้เห็นในทวีปอเมริกาเหนือ โดย ข้อมูลจาก NASA ระบุว่า มีการประเมิน คาดการณ์ว่าจะมีผู้คน 31.6 ล้านคนที่อยู่ในพิกัดได้ชมปรากฏการณ์นี้แบบเต็ม ๆ เมื่อเทียบกับ 12 ล้านคนเมื่อครั้งที่เกิดสุริยุปราคาในสหรัฐฯ เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2017 สุริยุปราคาครั้งนี้ สามารถสังเกตเห็นได้ในประเทศเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา และแคนาดา คราสเต็มดวงอาจยาวนานถึง 4 นาที ส่วนประเทศไทยไม่สามารถสังเกตปรากฏการณ์นี้ได้ ส่วนในประเทศไทยนั้น ต้องรอไปถึง พ.ศ. 2613 หลังจากเคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งล่าสุด เมื่อ พ.ศ. 2538
ไฟล์แนบ
Credit ภาพ REUTERS #SPRiNG #สุริยุปราคา<br /><br />ไม่เคยพลาดกับปรากฏการณ์สำคัญ ๆ เช่นนี้ จำได้ปีที่ประทับใจก็ช่วงที่ไปรอชมที่ จ.ตาก  ตรงสะพานเมียวดี(พาคุณพ่อไปด้วย)ตรงกับปี ๒๕๓๘ นั่นละครับ ลงทุนขับรถจากทุ่งสงมารับคุณพ่อที่เชียงใหม่แล้วย้อนกลับไป จ.ตาก บริเวณที่สะพานเมียวดี สวยงามแบบเดียวกันเลย คุ้มสุด ๆ ประทับใจจนทุกวันนี้ จะเห็นอีกครั้ง ๒๖๑๓ เป็นเถ้าธุรีเรียบร้อยแล้วล่ะ ๕๕๕๕.
Credit ภาพ REUTERS #SPRiNG #สุริยุปราคา

ไม่เคยพลาดกับปรากฏการณ์สำคัญ ๆ เช่นนี้ จำได้ปีที่ประทับใจก็ช่วงที่ไปรอชมที่ จ.ตาก ตรงสะพานเมียวดี(พาคุณพ่อไปด้วย)ตรงกับปี ๒๕๓๘ นั่นละครับ ลงทุนขับรถจากทุ่งสงมารับคุณพ่อที่เชียงใหม่แล้วย้อนกลับไป จ.ตาก บริเวณที่สะพานเมียวดี สวยงามแบบเดียวกันเลย คุ้มสุด ๆ ประทับใจจนทุกวันนี้ จะเห็นอีกครั้ง ๒๖๑๓ เป็นเถ้าธุรีเรียบร้อยแล้วล่ะ ๕๕๕๕.
434471803_936328938279131_7434391840657723502_n (1).jpg (69.1 KiB) เข้าดูแล้ว 530 ครั้ง
433920407_781297913892090_5833212102868204903_n.jpg
433920407_781297913892090_5833212102868204903_n.jpg (96.53 KiB) เข้าดูแล้ว 530 ครั้ง
เมื่อวานไปตามนัดหมอ ก่อนนั้น ๕ เมษา เจาะเลือดก่อนแล้ว วันนี้มาฟังผล หมอบอก &quot;เยี่ยม&quot; ค่าไต หัวใจ ปอด ตับ ทุกอย่างดีหมด ผลเลือดก็โอเค ค่าที่มันสูงเกินพิกัดลดลงมาอยู่ในระดับที่น่าพอใจแล้ว แต่ต้องทานยาควบคุมต่อไป ขอทดสอบอีก ๒ เดือนมาตรวจซ้ำ ถ้าผลเลือดคงที่ก็ไม่ต้องเจาะไขสันหลังแล้ว และจะเริ่มนัดห่างออกไป เป็น ๓ เดือน ๖ เดือน ค่อยมาดูกัน ก็ต้องเป็นไปตามหมอบอกนะครับ<br /><br />ณ ที่ รพ.คนนี่นะครับแน่นขนัดเหมือนไปชมคอนเสริ์ต รพ.จะสร้างเท่าไหร่ ๆ ก็คงไม่พอนะครับ เมื่อวานหาที่นั่งไม่ได้พากันไปนั่งรอตามขั้นบรรได ก็สนุกดี กว่าจะเสร็จสรุปทั้งวันครับ ผมเจอบทความน่าสนใจอยากให้ทุกคนได้รับทราบ เรียนเชิญอ่านศึกษาได้ครับ<br /><br /><br />บทความ ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์, มองบ้านแลเมือง เลิกทำบุญสร้างพระเจดีย์ โบสถ์ อันมโหฬาร โอฬาริก แล้วหันมาทำบุญกับโรงพยาบาลรัฐ กันดีกว่าไหม? เผยแพร่: 30 มิ.ย. 2560 13:43   โดย: อาจารย์ ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์<br /><br />&quot;โรงพยาบาลของรัฐในขณะนี้ ขัดสน และสถานการณ์แย่มาก “พี่ตูน” ออกมาวิ่งหาเงินก็แล้ว นายกรัฐมนตรีให้งบกลางมาห้าพันล้านแล้ว แต่เราก็ยังประสบปัญหาอย่างรุนแรง ดังที่ นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ประธานกรรมาธิการสาธารณสุข สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้เขียนเพื่อนำเสนอข้อเท็จจริงไว้ว่า<br /><br />เหตุผลหลักของการต่อต้านการร่วมจ่าย คือ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนยากจนจะหายไป ความภูมิใจในการใช้สิทธิในการมารับการรักษาจากโรงพยาบาลจะหมดไปเมื่อตนเองต้องกลายเป็นชนชั้นสอง กลายเป็นผู้ยากไร้ที่รัฐต้องสงเคราะห์เหมือนในอดีต<br /><br />แต่เมื่อดูสถานการณ์การเงินของรพ.ในสังกัดสธ. จากหนังสือของรัฐมนตรีที่มีไปถึงเลขาครม. สรุปสถานการณ์ของหน่วยบริการสาธารณสุขในปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ว่า<br /><br />๑.สถานะเงินบำรุงติดลบจำนวน ๔๗๐ แห่ง เป็นเงิน ๘,๘๔๕.๒๗ ลบ.<br />๒.มีทุนสำรองหมุนเวียน (Net Working Capital: NWC) ติดลบจำนวน ๒๒๕ แห่ง เป็นเงิน ๒,๒๙๙.๖๔ ลบ.<br />๓.มีหนี้ค้างจ่ายค่าตอบแทนกำลังคนสาธารณสุข บุคคลากรในสังกัด จำนวน ๒,๖๔๑.๖๐ ลบ.<br /><br />อันเป็นที่มาของการอนุมัติงบกลางกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยท่านนายกฯพล อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้กับหน่วยบริการสาธารณสุข จำนวน ๕,๐๐๐ ลบ.เพื่อแก้ไขสถานการณ์ทางการเงินดังกล่าว<br /><br />คงต้องมีการแก้ไขในระยะยาวต่อไป เพราะสำนักงบฯไม่สามารถจัดสรรงบฯให้ได้อย่างเพียงพอ เหมือนกับทุกๆปีที่ผานไป ปี ๖๑ ก็ได้งบกองทุนบัตรทองเพิ่มมาเพียงร้อยละ ๑.๗๕ ไม่เพียงพอกับต้นทุนที่เพิ่ม...สธ.ขอแปรญัตติไปที่ ครม.เพียง ๕,๒๔๖.๒ ล้านบาทก็ไม่ได้ลงไปยังพื้นที่โดยตรง เพียงแต่ลดค่าใช้จ่ายเงินบำรุงด้านบุคคลากรและจัดสรรให้กับคลีนิกหมอครอบครัว ส่วนค่าตอบแทนบุคคลากรก็เพียงขอไปเท่าปีที่ผ่านๆมา...ไม่ได้เพิ่มขึ้น<br /><br />หนีไม่พ้นที่จะต้องหาเงินมาเพิ่มให้กับระบบบัตรทอง ง่ายที่สุดคือเพิ่มสัดส่วนของงบประมาณฯ<br /><br />ถ้าหาเพิ่มได้ก็ไม่จำเป็นต้องร่วมจ่าย มิฉะนั้น อาจต้องถามประชาชนว่าเห็นเป็นประการใด<br /><br />เอาเงินคนรวยมาช่วยคนจนที่ลงทะเบียนไว้ ๑๔ ล้านคน ได้หรือไม่ เพราะผู้ยากไร้ย่อมมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่่เสียค่าใช้จ่ายตามที่กม.บัญญัติอยู่แล้ว (รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ม.๔๗ วรรคสอง)<br /><br />ถ้าหาเงินมาเพิ่มไม่ได้ ร่วมจ่ายก็ไม่มี รพ.ขาดทุนไปเรื่อนๆ ประชาชนนั่นเองที่จะได้รับผลกระทบในท้ายสุดโดยเฉพาะผู้ยากไร้ เพราะคนรวยมีทางเลือกอื่น ครับ<br /><br />ขอยกตัวอย่างให้ฟังว่าแม้กระทั่งโรงพยาบาลศิริราช อันเป็นโรงพยาบาลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ขาดทุนปีละประมาณ 700 ล้าน จากบัตรทอง ได้ทราบมาว่าแม้แต่โรงพยาบาลราชวิถีและโรงพยาบาลภูมิพลก็ขาดทุนจากบัตรทองประมาณปีละ 400 ล้านบาท โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์นั้นขาดทุนจากบัตรทองประมาณ 500 ล้านบาทต่อปีจากบัตรทอง ส่วนโรงพยาบาลรามาธิบดี ผมไม่ทราบตัวเลข ยังไม่ได้ถาม<br /><br />โรงพยาบาลขนาดใหญ่ และโรงเรียนแพทย์เหล่านี้ขาดทุนจากการรับคนไข้หนักที่ refer มาจากทั่วราชอาณาจักร ที่รักษากันไม่ไหวแล้ว และโรงพยาบาลเหล่านั้นก็ขาดทุนบักโกรกจนไม่มีเงินส่ง refer มาด้วย 700 บาทตามระเบียบของบัตรทอง<br /><br />ผมได้ยินกับหูจากผู้บริหารศิริราชว่า ผู้บริหารศิริราชเอง บอกว่า ที่ส่งมาก็ลูกศิษย์เราทั้งนั้น เขาหวังพึ่งเราเพราะเขาก็รักษากันจนหมดฝีมือและความสามารถแล้ว ยังไงก็คนไข้ของลูกศิษย์เรา เราต้องช่วย ถ้าเราไม่ช่วยแล้วใครจะช่วยลูกศิษย์ของเราและประชาชน<br /><br />เรื่องเงินที่ขาดทุนก็คงต้องหากันไป ศิริราชมูลนิธิก็คงต้องหาเงินบริจาคหนักมาก โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ เลยจำเป็นอย่างยิ่งทำให้ได้เป็นผู้ให้และผู้รับในเวลาเดียวกัน<br /><br />โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ นั้นโชคดี มีสภากาชาดไทย และเจ้านายทรงงานหนักมาก พระเมตตาบารมีปกแผ่ให้ประชาชน ไม่เช่นนั้นก็คงอยู่ไม่ได้ไปแล้วเช่นกัน<br /><br />โรงเรียนแพทย์ในต่างจังหวัด เช่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ก็คงจะลำบากไม่ใช่น้อย อยู่ในอาการเดียวกัน และน่าจะหาเงินบริจาคได้ยากยิ่งกว่าโรงเรียนแพทย์ในกรุงเทพ จึงน่าเห็นใจเสียยิ่งกว่า<br /><br />บ้านเราอยู่รอดด้วยเมตตา และการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน<br /><br />เลิกทำบุญสร้างพระเจดีย์ โบสถ์ อันมโหฬาร โอฬาริกเถิดครับผม พระอริยสงฆ์ เช่น หลวงตามหาบัว หรือองค์อื่นๆ ท่านก็สร้างโรงพยาบาล หลวงพ่อจรัญ ก่อนละสังขารท่านก็บริจาคให้ศิริราช 50 ล้านบาทเพื่อช่วยชีวิตคน<br /><br />ภาษิตจีนกล่าวว่า ช่วยชีวิตคนได้กุศลยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น<br /><br />บ้านเราขาดแคลนเรื่องโรงพยาบาลจริงๆ วัดอาจจะมีเยอะมากพอแล้ว ทำบุญกับโรงพยาบาลกันเถิดครับผม ได้บุญจริงๆ ได้ช่วยชีวิตคนด้วยนะครับผม<br /><br />โรงพยาบาลทั้งหลายก็ลองไปกราบพระเกจิอาจารย์ให้ท่านเมตตาช่วยก็ดีนะครับ ท่านมีบารมีพอจะช่วยได้พอสมควรเลยแหละครับ&quot;
เมื่อวานไปตามนัดหมอ ก่อนนั้น ๕ เมษา เจาะเลือดก่อนแล้ว วันนี้มาฟังผล หมอบอก "เยี่ยม" ค่าไต หัวใจ ปอด ตับ ทุกอย่างดีหมด ผลเลือดก็โอเค ค่าที่มันสูงเกินพิกัดลดลงมาอยู่ในระดับที่น่าพอใจแล้ว แต่ต้องทานยาควบคุมต่อไป ขอทดสอบอีก ๒ เดือนมาตรวจซ้ำ ถ้าผลเลือดคงที่ก็ไม่ต้องเจาะไขสันหลังแล้ว และจะเริ่มนัดห่างออกไป เป็น ๓ เดือน ๖ เดือน ค่อยมาดูกัน ก็ต้องเป็นไปตามหมอบอกนะครับ

ณ ที่ รพ.คนนี่นะครับแน่นขนัดเหมือนไปชมคอนเสริ์ต รพ.จะสร้างเท่าไหร่ ๆ ก็คงไม่พอนะครับ เมื่อวานหาที่นั่งไม่ได้พากันไปนั่งรอตามขั้นบรรได ก็สนุกดี กว่าจะเสร็จสรุปทั้งวันครับ ผมเจอบทความน่าสนใจอยากให้ทุกคนได้รับทราบ เรียนเชิญอ่านศึกษาได้ครับ


บทความ ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์, มองบ้านแลเมือง เลิกทำบุญสร้างพระเจดีย์ โบสถ์ อันมโหฬาร โอฬาริก แล้วหันมาทำบุญกับโรงพยาบาลรัฐ กันดีกว่าไหม? เผยแพร่: 30 มิ.ย. 2560 13:43 โดย: อาจารย์ ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์

"โรงพยาบาลของรัฐในขณะนี้ ขัดสน และสถานการณ์แย่มาก “พี่ตูน” ออกมาวิ่งหาเงินก็แล้ว นายกรัฐมนตรีให้งบกลางมาห้าพันล้านแล้ว แต่เราก็ยังประสบปัญหาอย่างรุนแรง ดังที่ นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ประธานกรรมาธิการสาธารณสุข สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้เขียนเพื่อนำเสนอข้อเท็จจริงไว้ว่า

เหตุผลหลักของการต่อต้านการร่วมจ่าย คือ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนยากจนจะหายไป ความภูมิใจในการใช้สิทธิในการมารับการรักษาจากโรงพยาบาลจะหมดไปเมื่อตนเองต้องกลายเป็นชนชั้นสอง กลายเป็นผู้ยากไร้ที่รัฐต้องสงเคราะห์เหมือนในอดีต

แต่เมื่อดูสถานการณ์การเงินของรพ.ในสังกัดสธ. จากหนังสือของรัฐมนตรีที่มีไปถึงเลขาครม. สรุปสถานการณ์ของหน่วยบริการสาธารณสุขในปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ว่า

๑.สถานะเงินบำรุงติดลบจำนวน ๔๗๐ แห่ง เป็นเงิน ๘,๘๔๕.๒๗ ลบ.
๒.มีทุนสำรองหมุนเวียน (Net Working Capital: NWC) ติดลบจำนวน ๒๒๕ แห่ง เป็นเงิน ๒,๒๙๙.๖๔ ลบ.
๓.มีหนี้ค้างจ่ายค่าตอบแทนกำลังคนสาธารณสุข บุคคลากรในสังกัด จำนวน ๒,๖๔๑.๖๐ ลบ.

อันเป็นที่มาของการอนุมัติงบกลางกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยท่านนายกฯพล อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้กับหน่วยบริการสาธารณสุข จำนวน ๕,๐๐๐ ลบ.เพื่อแก้ไขสถานการณ์ทางการเงินดังกล่าว

คงต้องมีการแก้ไขในระยะยาวต่อไป เพราะสำนักงบฯไม่สามารถจัดสรรงบฯให้ได้อย่างเพียงพอ เหมือนกับทุกๆปีที่ผานไป ปี ๖๑ ก็ได้งบกองทุนบัตรทองเพิ่มมาเพียงร้อยละ ๑.๗๕ ไม่เพียงพอกับต้นทุนที่เพิ่ม...สธ.ขอแปรญัตติไปที่ ครม.เพียง ๕,๒๔๖.๒ ล้านบาทก็ไม่ได้ลงไปยังพื้นที่โดยตรง เพียงแต่ลดค่าใช้จ่ายเงินบำรุงด้านบุคคลากรและจัดสรรให้กับคลีนิกหมอครอบครัว ส่วนค่าตอบแทนบุคคลากรก็เพียงขอไปเท่าปีที่ผ่านๆมา...ไม่ได้เพิ่มขึ้น

หนีไม่พ้นที่จะต้องหาเงินมาเพิ่มให้กับระบบบัตรทอง ง่ายที่สุดคือเพิ่มสัดส่วนของงบประมาณฯ

ถ้าหาเพิ่มได้ก็ไม่จำเป็นต้องร่วมจ่าย มิฉะนั้น อาจต้องถามประชาชนว่าเห็นเป็นประการใด

เอาเงินคนรวยมาช่วยคนจนที่ลงทะเบียนไว้ ๑๔ ล้านคน ได้หรือไม่ เพราะผู้ยากไร้ย่อมมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่่เสียค่าใช้จ่ายตามที่กม.บัญญัติอยู่แล้ว (รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ม.๔๗ วรรคสอง)

ถ้าหาเงินมาเพิ่มไม่ได้ ร่วมจ่ายก็ไม่มี รพ.ขาดทุนไปเรื่อนๆ ประชาชนนั่นเองที่จะได้รับผลกระทบในท้ายสุดโดยเฉพาะผู้ยากไร้ เพราะคนรวยมีทางเลือกอื่น ครับ

ขอยกตัวอย่างให้ฟังว่าแม้กระทั่งโรงพยาบาลศิริราช อันเป็นโรงพยาบาลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ขาดทุนปีละประมาณ 700 ล้าน จากบัตรทอง ได้ทราบมาว่าแม้แต่โรงพยาบาลราชวิถีและโรงพยาบาลภูมิพลก็ขาดทุนจากบัตรทองประมาณปีละ 400 ล้านบาท โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์นั้นขาดทุนจากบัตรทองประมาณ 500 ล้านบาทต่อปีจากบัตรทอง ส่วนโรงพยาบาลรามาธิบดี ผมไม่ทราบตัวเลข ยังไม่ได้ถาม

โรงพยาบาลขนาดใหญ่ และโรงเรียนแพทย์เหล่านี้ขาดทุนจากการรับคนไข้หนักที่ refer มาจากทั่วราชอาณาจักร ที่รักษากันไม่ไหวแล้ว และโรงพยาบาลเหล่านั้นก็ขาดทุนบักโกรกจนไม่มีเงินส่ง refer มาด้วย 700 บาทตามระเบียบของบัตรทอง

ผมได้ยินกับหูจากผู้บริหารศิริราชว่า ผู้บริหารศิริราชเอง บอกว่า ที่ส่งมาก็ลูกศิษย์เราทั้งนั้น เขาหวังพึ่งเราเพราะเขาก็รักษากันจนหมดฝีมือและความสามารถแล้ว ยังไงก็คนไข้ของลูกศิษย์เรา เราต้องช่วย ถ้าเราไม่ช่วยแล้วใครจะช่วยลูกศิษย์ของเราและประชาชน

เรื่องเงินที่ขาดทุนก็คงต้องหากันไป ศิริราชมูลนิธิก็คงต้องหาเงินบริจาคหนักมาก โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ เลยจำเป็นอย่างยิ่งทำให้ได้เป็นผู้ให้และผู้รับในเวลาเดียวกัน

โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ นั้นโชคดี มีสภากาชาดไทย และเจ้านายทรงงานหนักมาก พระเมตตาบารมีปกแผ่ให้ประชาชน ไม่เช่นนั้นก็คงอยู่ไม่ได้ไปแล้วเช่นกัน

โรงเรียนแพทย์ในต่างจังหวัด เช่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ก็คงจะลำบากไม่ใช่น้อย อยู่ในอาการเดียวกัน และน่าจะหาเงินบริจาคได้ยากยิ่งกว่าโรงเรียนแพทย์ในกรุงเทพ จึงน่าเห็นใจเสียยิ่งกว่า

บ้านเราอยู่รอดด้วยเมตตา และการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

เลิกทำบุญสร้างพระเจดีย์ โบสถ์ อันมโหฬาร โอฬาริกเถิดครับผม พระอริยสงฆ์ เช่น หลวงตามหาบัว หรือองค์อื่นๆ ท่านก็สร้างโรงพยาบาล หลวงพ่อจรัญ ก่อนละสังขารท่านก็บริจาคให้ศิริราช 50 ล้านบาทเพื่อช่วยชีวิตคน

ภาษิตจีนกล่าวว่า ช่วยชีวิตคนได้กุศลยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น

บ้านเราขาดแคลนเรื่องโรงพยาบาลจริงๆ วัดอาจจะมีเยอะมากพอแล้ว ทำบุญกับโรงพยาบาลกันเถิดครับผม ได้บุญจริงๆ ได้ช่วยชีวิตคนด้วยนะครับผม

โรงพยาบาลทั้งหลายก็ลองไปกราบพระเกจิอาจารย์ให้ท่านเมตตาช่วยก็ดีนะครับ ท่านมีบารมีพอจะช่วยได้พอสมควรเลยแหละครับ"
434398708_242256945580711_2508034446030592611_n.jpg (115.09 KiB) เข้าดูแล้ว 530 ครั้ง
669963_0.jpg
669964_0.jpg
เย็นวันที่ ๑๕ มี.ค.๖๗ หลังจากที่เราพาอาม่าทานมื้อเย็นเรียบร้อยก็พาอาม่ากลับไปพักผ่อนที่บ้าน(ร้านโกจือ) แล้วเรา ๔ คนก็พากันไปเที่ยวชมการเปิดถนนสายวัฒนธรรม(ถนนคนเดิน) อีกแห่งหนึ่งของ จ.ลำปาง ก็อย่าลืมไปลำปางวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ท่านจะได้เที่ยวถนนคนเดินทั้ง ๓ วัน จุใจแน่ครับ ขอขายสวยงามคุณภาพดี ๆ เยอะมาก<br /><br />รุ่งเช้า ๑๖ มี.ค.๖๗ วันนี้ร้านปิด ตี้น้องชายม่อย(ผู้จัดการร้าน) มีงานขาวดำที่พิษณุโลกต้องไป จึงหยุดร้าน ๒ วัน หลังจากมื้อเช้าเรียบร้อยวันนี้เราจะพาคุณชายปุรณ์ ฯ ไปเที่ยวชม พิพิธภัณฑ์เมืองลำปางครับ
เย็นวันที่ ๑๕ มี.ค.๖๗ หลังจากที่เราพาอาม่าทานมื้อเย็นเรียบร้อยก็พาอาม่ากลับไปพักผ่อนที่บ้าน(ร้านโกจือ) แล้วเรา ๔ คนก็พากันไปเที่ยวชมการเปิดถนนสายวัฒนธรรม(ถนนคนเดิน) อีกแห่งหนึ่งของ จ.ลำปาง ก็อย่าลืมไปลำปางวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ท่านจะได้เที่ยวถนนคนเดินทั้ง ๓ วัน จุใจแน่ครับ ขอขายสวยงามคุณภาพดี ๆ เยอะมาก

รุ่งเช้า ๑๖ มี.ค.๖๗ วันนี้ร้านปิด ตี้น้องชายม่อย(ผู้จัดการร้าน) มีงานขาวดำที่พิษณุโลกต้องไป จึงหยุดร้าน ๒ วัน หลังจากมื้อเช้าเรียบร้อยวันนี้เราจะพาคุณชายปุรณ์ ฯ ไปเที่ยวชม พิพิธภัณฑ์เมืองลำปางครับ
525170.jpg
525170.jpg (136.28 KiB) เข้าดูแล้ว 530 ครั้ง
525171_0.jpg
525171_0.jpg (121.76 KiB) เข้าดูแล้ว 530 ครั้ง
670538_0.jpg
670538_0.jpg (107.6 KiB) เข้าดูแล้ว 530 ครั้ง
670539_0.jpg
670539_0.jpg (122.16 KiB) เข้าดูแล้ว 530 ครั้ง
670543_0.jpg
670543_0.jpg (116.92 KiB) เข้าดูแล้ว 530 ครั้ง
670544_0.jpg
670544_0.jpg (120.26 KiB) เข้าดูแล้ว 530 ครั้ง
อย่าลืมแวะเก็บภาพศาลหลักเมืองลำปาง ก่อนเข้าหรือหลังจากออกจาก มิวเซียมด้วยนะครับ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้กราบไหว้ตามประเพณีคนไทยด้วยครับ
อย่าลืมแวะเก็บภาพศาลหลักเมืองลำปาง ก่อนเข้าหรือหลังจากออกจาก มิวเซียมด้วยนะครับ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้กราบไหว้ตามประเพณีคนไทยด้วยครับ
670545_0.jpg (136.4 KiB) เข้าดูแล้ว 530 ครั้ง
670548_0.jpg
670548_0.jpg (83.1 KiB) เข้าดูแล้ว 530 ครั้ง
670549_0.jpg
670549_0.jpg (101.42 KiB) เข้าดูแล้ว 530 ครั้ง
670663_0.jpg
670663_0.jpg (137.93 KiB) เข้าดูแล้ว 530 ครั้ง
525169_0.jpg
525169_0.jpg (74.45 KiB) เข้าดูแล้ว 530 ครั้ง
525181.jpg
525181.jpg (87.31 KiB) เข้าดูแล้ว 530 ครั้ง
525177_0.jpg
525177_0.jpg (56.11 KiB) เข้าดูแล้ว 530 ครั้ง
พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้เมืองลำปาง หรือ มิวเซียมลำปาง คือ หนึ่งในต้นแบบของการสร้างสรรค์แหล่งเรียนรู้ในรูปแบบของพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้(Discovery Museum) ประเภทพิพิธภัณฑ์เมือง(City Museum) ในระดับจังหวัดลำปาง ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการสร้างโครงข่ายพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ในภูมิภาค และยังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงกับเครือข่ายพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ประเภทอื่นๆ ที่มีอยู่ทั้งในจังหวัดลำปางและจังหวัดอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียง<br /><br /> มิวเซียมลำปาง จัดแสดงนิทรรศการชุด “คน-เมือง-ลำปาง” โดยนำเสนอผ่านหัวข้อหลักๆ ว่าด้วยเรื่อง “คน” ที่มีบทบาทสำคัญปรากฎอยู่ในเรื่องราวของจังหวัดลำปาง โดยเฉพาะผู้มีส่วนสำคัญต่อประวัติศาสตร์ โบราณคดี เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม หัวข้อที่ 2 ว่าด้วยเรื่องของ “เมือง” ลำปาง ที่จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับนครลำปางตั้งแต่อดีตจนถึงลำปางในอนาคต การเปลี่ยนผ่าน และเหตุการณ์สำคัญในอดีตส่งผลอย่างไรมาถึงภาพของลำปางในยุคปัจจุบัน และสุดท้ายในหัวข้อ “ลำปาง” มิวเซียมได้สำรวจและเก็บรวบรวมทั้งความเหมือนและแตกต่างทุกๆ ด้าน เพื่อตามหา ‘ลำปางแต้ๆ’ ทุกซอกทุกมุมจากทั้ง 13 อำเภอ นำมาจัดแสดงด้วยรูปแบบที่ทันสมัยผสมผสานเทคโนโลยีแบบอินเตอร์แอ๊กทีฟ โดยแบ่งออกเป็น 16 ห้องนิทรรศการ ดังนี้<br /><br /> ห้องที่ 1 ก่อร่างสร้างลำปาง(Building Lampang City)  จาก 500,000 ปีที่แล้ว ถึงปัจจุบัน ใครบ้าง? ที่มีบทบาทต่อการพัฒนาเมืองลำปาง กลุ่มคนเหล่านั้นทำให้เมืองลำปางแต่ละยุคเป็นอย่างไร?<br /> <br />ห้องที่ 2 เปิดตำนาน อ่านลำปาง (Legends of Lampang) ลำปาง อุดมด้วยตำนาน ทั้งตำนานเมือง ย่าน วัด วีรบุรุษ แต่ละตำนาน ล้วนมีความหมาย และทิ้งเบาะแสให้ตีความ<br /> <br />ห้องที่ 3  ผ่อผาหาอดีต (Back to the Past) ฟอสซิลมนุษย์เกาะคา (โฮโม อิเรคตัส) อายุอย่างน้อย 500,000 ปี ภาพเขียนสีและหลุมฝังศพอายุกว่า 3,000 ปี ที่ช่องประตูผา บ่งชี้ว่า...พื้นที่ลำปางเหมาะสมสำหรับการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มาตั้งแต่บรรพกาล<br /><br />ห้องที่ 4  ประตูโขงโยงรากเหง้า (Pratu Khong, Roots of Lampang) ลอดซุ้มประตูโขง วัดพระแก้วดอนเต้าเข้าสู่ “เขลางค์นคร” เมืองลำปางรุ่นแรก ซึ่งเป็นเมืองในวัฒนธรรมทวารวดีอายุกว่า 1,300 ปี บ้านพี่เมืองน้องกับเมือง “หริภุญชัย” ของพระนางจามเทวี ธิดาแห่งรัฐละโว้<br /> <br />ห้องที่ 5  สี่สหายฉายประวัติ (Fantastic Four of Lampang’s History) เดินผ่านประตูม้า เข้ามาฟังสี่สหายแห่งวัดปงสนุก ช้าง นาค สิงห์ อินทรี บอกเล่าเรื่องราวการผจญภัย และการย้ายจากเขลางค์นคร มาสร้างเมืองลำปางรุ่นที่สองเรียกว่า “เวียงลคอร” (เวียงละกอน) ภายใต้อำนาจของล้านนา พม่า และอยุธยา<br /> <br />ห้องที่ 6  แง้มป่องส่องเวียง (A Look into Lampang) แง้มหน้าต่างเรือขนมปังขิง ส่องดูความเป็นไปของ “นครลำปาง” เมืองลำปางรุ่นที่สาม ซึ่งอยู่ในยุครัตนโกสินทร์ การค้าเฟื่องฟู คลาคล่ำไปด้วยพ่อค้าต่างชาติ พม่า ไทใหญ่ จีน ฝรั่ง เป็นเมืองศูนย์กลางการค้าไม้ที่ใหญ่ที่สุดของภาคเหนือ<br /> <br />ห้องที่ 7  ไก่ขาวเล่าวันวาน (Chicken Stories) สัญลักษณ์ของเมืองลำปาง คือ “ไก่ขาว” สารพัดไก่ในลำปาง จะมาบอกเล่าพัฒนาการด้านต่างๆ ของลำปางตั้งแต่ปลายยุคนครลำปางจนถึงปัจจุบั<br /> <br />ห้องที่ 8  จุดเปลี่ยนเมืองลำปาง (Turning Points of Lampang) อดีต-ปัจจุบัน..”คน” หลากหลายกลุ่มผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาแสดงบทบาทในการเปลี่ยน “เมือง” แต่ละยุค ชาวลั๊วะ ยวน (ล้านนา) พม่า และชาวบางกอก สร้างจุดเปลี่ยนอะไรให้เมืองลำปางบ้าง<br /> <br />ห้องที่ 9 รางเหล็กข้ามเวลา (Railway Story) รางรถไฟ ไม่ใช่เพียงเส้นทางคมนาคมขนส่งแบบใหมี่สะดวกรวดเร็ว แต่รางเหล็กนี้ได้นำพาสิ่งใหม่ๆ เข้ามามากมาย สร้างความเปลี่ยนแปลง ให้เมืองลำปางแบบ “พลิกโฉม”<br /> <br />ห้องที่ 10  รถม้าพาม่วน (Lampang on a Carriage) ไม่ใช่แค่รถรับจ้าง แต่คือ “รถม้าลำปาง” ม่วนอ๊กม่วนใจ๋ ไปกับการนั่งรถม้าเที่ยวชมเมืองลำปาง ผ่านเมืองเก่า วัดเก่า ย่านการค้าโบราณ และสถานที่สำคัญของเมืองลำปาง<br /> <br />ห้องที่ 11 วัดพม่าหน้าตาอินเตอร์ (Myanmar Temples, International Style) ยุคอาณานิคม พม่าเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ชาวอังกฤษ พม่า-ไทยใหญ่ เข้ามาทำกิจการค้าไม้ในลำปาง ครั้งนั้น คหบดีชาวพม่าต่างสร้างวัดไว้ที่นี่มากมาย จนลำปางมีวัดพม่ามากที่สุดในประเทศไทย และไม่ใช่แค่วัดพม่า แต่เป็น “วัดพม่าผสมฝรั่ง” ซึ่งมีเฉพาะที่ลำปาง<br /> <br />ห้องที่ 12 พอดีพองาม อารามลำปาง (Simple Temple of Lampang) จำลองภูมิจักรวาลตามความเชื่อทางพุทธศาสนาลงบนโลกมนุษย์..เตี้ยแจ้ กะทัดรัด พอดีพองาม พอสมพอควรกับการใช้สอยจริง..สอดคล้องกับภูมิประเทศ ภูมิอากาศ.. ทั้งหมดนี้ คือ บุคลิกของ “วัดเมืองลำปาง”<br /><br />ห้องที่ 13  คมปัญญา (Wisdoms of Lampang) ไม่รู้ภาษาอะไร ไม่ได้มีไว้พูดกับคน? เครื่องขยายเสียงชั้นดี ไม่ต้องมีปลั๊กเสียบ...ป่าทั้งป่า กว้างไม่กี่วา หนาไม่กี่ศอก...ร่วมหาคำตอบ และ อึ้ง ทึ่ง ไปกับภูมิปัญญาทั้งศาสตร์และศิลป์ของชาวลำปาง<br /> <br /><br />ห้องที่ 14 ซับป๊ะเสียงสำเนียงลำปาง (Dialects of Lampang) ภาษาลำปางมีเอกลักษณ์เฉพาะตน คนลำปางไม่ได้ “อู้กำเมืองล้านนา” แต่ “อู้กำเมืองลำปาง” แม้แต่กำเมืองลำปางเอง ในแต่ละอำเภอก็มีสำเนียงและศัพท์บางคำที่แตกต่างกัน<br /> <br />ห้องที่ 15  ลำปางมีดีเมืองนี้ห้ามพลาด (Tourism in Lampang) รวบรวมของดีและสถานที่ท่องเที่ยวในลำปางอันหลากหลาย พิเศษไม่เหมือนใคร สะท้อนออกมาในรูปแบบของของที่ระลึกและสิ้นค้านานาประเภทให้เลือกซื้อหา<br /> <br />ห้องที่ 16 เนี๊ยะ...ลำปาง (This is Lampagn) บทสรุปทิ้งท้ายของการเยี่ยมชม..ร่วมแสดงความคิดเห็น เมื่อรู้จักลำปางแล้วบอกได้ไหม “คุณชอบอะไรในลำปาง” ?<br /><br />Cr. จาก บริหารจัดการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น https://www. museumthailand.com/th/museum/Museumlampang<br /><br />[เราชมกันไม่ครบทุกห้องหรอกครับ เวลาจำกัด จุดนี้ต้องใช้เวลาทั้งวันจึงจะโอเค มีขุมความรู้เยอะแยะมากมาย โดยเฉพาะประวติศาสตร์เมืองลำปาง ห้ามพลาดครับ]
พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้เมืองลำปาง หรือ มิวเซียมลำปาง คือ หนึ่งในต้นแบบของการสร้างสรรค์แหล่งเรียนรู้ในรูปแบบของพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้(Discovery Museum) ประเภทพิพิธภัณฑ์เมือง(City Museum) ในระดับจังหวัดลำปาง ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการสร้างโครงข่ายพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ในภูมิภาค และยังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงกับเครือข่ายพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ประเภทอื่นๆ ที่มีอยู่ทั้งในจังหวัดลำปางและจังหวัดอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียง

มิวเซียมลำปาง จัดแสดงนิทรรศการชุด “คน-เมือง-ลำปาง” โดยนำเสนอผ่านหัวข้อหลักๆ ว่าด้วยเรื่อง “คน” ที่มีบทบาทสำคัญปรากฎอยู่ในเรื่องราวของจังหวัดลำปาง โดยเฉพาะผู้มีส่วนสำคัญต่อประวัติศาสตร์ โบราณคดี เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม หัวข้อที่ 2 ว่าด้วยเรื่องของ “เมือง” ลำปาง ที่จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับนครลำปางตั้งแต่อดีตจนถึงลำปางในอนาคต การเปลี่ยนผ่าน และเหตุการณ์สำคัญในอดีตส่งผลอย่างไรมาถึงภาพของลำปางในยุคปัจจุบัน และสุดท้ายในหัวข้อ “ลำปาง” มิวเซียมได้สำรวจและเก็บรวบรวมทั้งความเหมือนและแตกต่างทุกๆ ด้าน เพื่อตามหา ‘ลำปางแต้ๆ’ ทุกซอกทุกมุมจากทั้ง 13 อำเภอ นำมาจัดแสดงด้วยรูปแบบที่ทันสมัยผสมผสานเทคโนโลยีแบบอินเตอร์แอ๊กทีฟ โดยแบ่งออกเป็น 16 ห้องนิทรรศการ ดังนี้

ห้องที่ 1 ก่อร่างสร้างลำปาง(Building Lampang City) จาก 500,000 ปีที่แล้ว ถึงปัจจุบัน ใครบ้าง? ที่มีบทบาทต่อการพัฒนาเมืองลำปาง กลุ่มคนเหล่านั้นทำให้เมืองลำปางแต่ละยุคเป็นอย่างไร?

ห้องที่ 2 เปิดตำนาน อ่านลำปาง (Legends of Lampang) ลำปาง อุดมด้วยตำนาน ทั้งตำนานเมือง ย่าน วัด วีรบุรุษ แต่ละตำนาน ล้วนมีความหมาย และทิ้งเบาะแสให้ตีความ

ห้องที่ 3 ผ่อผาหาอดีต (Back to the Past) ฟอสซิลมนุษย์เกาะคา (โฮโม อิเรคตัส) อายุอย่างน้อย 500,000 ปี ภาพเขียนสีและหลุมฝังศพอายุกว่า 3,000 ปี ที่ช่องประตูผา บ่งชี้ว่า...พื้นที่ลำปางเหมาะสมสำหรับการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มาตั้งแต่บรรพกาล

ห้องที่ 4 ประตูโขงโยงรากเหง้า (Pratu Khong, Roots of Lampang) ลอดซุ้มประตูโขง วัดพระแก้วดอนเต้าเข้าสู่ “เขลางค์นคร” เมืองลำปางรุ่นแรก ซึ่งเป็นเมืองในวัฒนธรรมทวารวดีอายุกว่า 1,300 ปี บ้านพี่เมืองน้องกับเมือง “หริภุญชัย” ของพระนางจามเทวี ธิดาแห่งรัฐละโว้

ห้องที่ 5 สี่สหายฉายประวัติ (Fantastic Four of Lampang’s History) เดินผ่านประตูม้า เข้ามาฟังสี่สหายแห่งวัดปงสนุก ช้าง นาค สิงห์ อินทรี บอกเล่าเรื่องราวการผจญภัย และการย้ายจากเขลางค์นคร มาสร้างเมืองลำปางรุ่นที่สองเรียกว่า “เวียงลคอร” (เวียงละกอน) ภายใต้อำนาจของล้านนา พม่า และอยุธยา

ห้องที่ 6 แง้มป่องส่องเวียง (A Look into Lampang) แง้มหน้าต่างเรือขนมปังขิง ส่องดูความเป็นไปของ “นครลำปาง” เมืองลำปางรุ่นที่สาม ซึ่งอยู่ในยุครัตนโกสินทร์ การค้าเฟื่องฟู คลาคล่ำไปด้วยพ่อค้าต่างชาติ พม่า ไทใหญ่ จีน ฝรั่ง เป็นเมืองศูนย์กลางการค้าไม้ที่ใหญ่ที่สุดของภาคเหนือ

ห้องที่ 7 ไก่ขาวเล่าวันวาน (Chicken Stories) สัญลักษณ์ของเมืองลำปาง คือ “ไก่ขาว” สารพัดไก่ในลำปาง จะมาบอกเล่าพัฒนาการด้านต่างๆ ของลำปางตั้งแต่ปลายยุคนครลำปางจนถึงปัจจุบั

ห้องที่ 8 จุดเปลี่ยนเมืองลำปาง (Turning Points of Lampang) อดีต-ปัจจุบัน..”คน” หลากหลายกลุ่มผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาแสดงบทบาทในการเปลี่ยน “เมือง” แต่ละยุค ชาวลั๊วะ ยวน (ล้านนา) พม่า และชาวบางกอก สร้างจุดเปลี่ยนอะไรให้เมืองลำปางบ้าง

ห้องที่ 9 รางเหล็กข้ามเวลา (Railway Story) รางรถไฟ ไม่ใช่เพียงเส้นทางคมนาคมขนส่งแบบใหมี่สะดวกรวดเร็ว แต่รางเหล็กนี้ได้นำพาสิ่งใหม่ๆ เข้ามามากมาย สร้างความเปลี่ยนแปลง ให้เมืองลำปางแบบ “พลิกโฉม”

ห้องที่ 10 รถม้าพาม่วน (Lampang on a Carriage) ไม่ใช่แค่รถรับจ้าง แต่คือ “รถม้าลำปาง” ม่วนอ๊กม่วนใจ๋ ไปกับการนั่งรถม้าเที่ยวชมเมืองลำปาง ผ่านเมืองเก่า วัดเก่า ย่านการค้าโบราณ และสถานที่สำคัญของเมืองลำปาง

ห้องที่ 11 วัดพม่าหน้าตาอินเตอร์ (Myanmar Temples, International Style) ยุคอาณานิคม พม่าเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ชาวอังกฤษ พม่า-ไทยใหญ่ เข้ามาทำกิจการค้าไม้ในลำปาง ครั้งนั้น คหบดีชาวพม่าต่างสร้างวัดไว้ที่นี่มากมาย จนลำปางมีวัดพม่ามากที่สุดในประเทศไทย และไม่ใช่แค่วัดพม่า แต่เป็น “วัดพม่าผสมฝรั่ง” ซึ่งมีเฉพาะที่ลำปาง

ห้องที่ 12 พอดีพองาม อารามลำปาง (Simple Temple of Lampang) จำลองภูมิจักรวาลตามความเชื่อทางพุทธศาสนาลงบนโลกมนุษย์..เตี้ยแจ้ กะทัดรัด พอดีพองาม พอสมพอควรกับการใช้สอยจริง..สอดคล้องกับภูมิประเทศ ภูมิอากาศ.. ทั้งหมดนี้ คือ บุคลิกของ “วัดเมืองลำปาง”

ห้องที่ 13 คมปัญญา (Wisdoms of Lampang) ไม่รู้ภาษาอะไร ไม่ได้มีไว้พูดกับคน? เครื่องขยายเสียงชั้นดี ไม่ต้องมีปลั๊กเสียบ...ป่าทั้งป่า กว้างไม่กี่วา หนาไม่กี่ศอก...ร่วมหาคำตอบ และ อึ้ง ทึ่ง ไปกับภูมิปัญญาทั้งศาสตร์และศิลป์ของชาวลำปาง


ห้องที่ 14 ซับป๊ะเสียงสำเนียงลำปาง (Dialects of Lampang) ภาษาลำปางมีเอกลักษณ์เฉพาะตน คนลำปางไม่ได้ “อู้กำเมืองล้านนา” แต่ “อู้กำเมืองลำปาง” แม้แต่กำเมืองลำปางเอง ในแต่ละอำเภอก็มีสำเนียงและศัพท์บางคำที่แตกต่างกัน

ห้องที่ 15 ลำปางมีดีเมืองนี้ห้ามพลาด (Tourism in Lampang) รวบรวมของดีและสถานที่ท่องเที่ยวในลำปางอันหลากหลาย พิเศษไม่เหมือนใคร สะท้อนออกมาในรูปแบบของของที่ระลึกและสิ้นค้านานาประเภทให้เลือกซื้อหา

ห้องที่ 16 เนี๊ยะ...ลำปาง (This is Lampagn) บทสรุปทิ้งท้ายของการเยี่ยมชม..ร่วมแสดงความคิดเห็น เมื่อรู้จักลำปางแล้วบอกได้ไหม “คุณชอบอะไรในลำปาง” ?

Cr. จาก บริหารจัดการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น https://www. museumthailand.com/th/museum/Museumlampang

[เราชมกันไม่ครบทุกห้องหรอกครับ เวลาจำกัด จุดนี้ต้องใช้เวลาทั้งวันจึงจะโอเค มีขุมความรู้เยอะแยะมากมาย โดยเฉพาะประวติศาสตร์เมืองลำปาง ห้ามพลาดครับ]
670968_0.jpg (140.79 KiB) เข้าดูแล้ว 530 ครั้ง
แก้ไขล่าสุดโดย Deang-sarapee เมื่อ 10 เม.ย. 2024, 18:31, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4367
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »


:idea: :idea: 74.มิวเซียมลำปาง #พิพิธภัณฑ์ลำปาง :idea: :idea:
ไฟล์แนบ
525176_0.jpg
525176_0.jpg (70.48 KiB) เข้าดูแล้ว 529 ครั้ง
525178_0.jpg
525178_0.jpg (67.88 KiB) เข้าดูแล้ว 529 ครั้ง
525182.jpg
525182.jpg (78.08 KiB) เข้าดูแล้ว 529 ครั้ง
525183.jpg
525183.jpg (83.7 KiB) เข้าดูแล้ว 529 ครั้ง
525202.jpg
525202.jpg (72.74 KiB) เข้าดูแล้ว 529 ครั้ง
525203.jpg
525203.jpg (46.94 KiB) เข้าดูแล้ว 529 ครั้ง
525204.jpg
525204.jpg (64.3 KiB) เข้าดูแล้ว 529 ครั้ง
525206.jpg
525206.jpg (65.65 KiB) เข้าดูแล้ว 529 ครั้ง
525207.jpg
525207.jpg (90.78 KiB) เข้าดูแล้ว 529 ครั้ง
670552_0.jpg
670552_0.jpg (117.61 KiB) เข้าดูแล้ว 529 ครั้ง
670554_0.jpg
670554_0.jpg (114.14 KiB) เข้าดูแล้ว 529 ครั้ง
670555_0.jpg
670555_0.jpg (107.32 KiB) เข้าดูแล้ว 529 ครั้ง
670667_0.jpg
670667_0.jpg (84.27 KiB) เข้าดูแล้ว 529 ครั้ง
670668_0.jpg
670668_0.jpg (108.17 KiB) เข้าดูแล้ว 529 ครั้ง
670971_0.jpg
670971_0.jpg (90.94 KiB) เข้าดูแล้ว 529 ครั้ง
670972_0.jpg
670972_0.jpg (84.02 KiB) เข้าดูแล้ว 529 ครั้ง
670975_0.jpg
670975_0.jpg (84.69 KiB) เข้าดูแล้ว 529 ครั้ง
525173_0.jpg
525173_0.jpg (59.36 KiB) เข้าดูแล้ว 529 ครั้ง
525175.jpg
525175.jpg (37.79 KiB) เข้าดูแล้ว 529 ครั้ง
ดีใจที่ชายปุรณ์ ฯ ให้ความสนใจและมีความสุขกับการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ เรายังมีโปรแกรมที่จะพาชายปุรณ์ ฯ ไปไหว้พระสำคัญของลำปางอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งชายปุรณ์ฯ ก็ชอบที่จะไปด้วย หลังจากนั้นจะไปรับอาม่าทานมื้อเที่ยง และเตรียมตัวกลับเชียงใหม่กันต่อไป อย่าลืมคอยติดตามชมวัดสวยนะครับ..โชคดีมีความสุขครับ.
ดีใจที่ชายปุรณ์ ฯ ให้ความสนใจและมีความสุขกับการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ เรายังมีโปรแกรมที่จะพาชายปุรณ์ ฯ ไปไหว้พระสำคัญของลำปางอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งชายปุรณ์ฯ ก็ชอบที่จะไปด้วย หลังจากนั้นจะไปรับอาม่าทานมื้อเที่ยง และเตรียมตัวกลับเชียงใหม่กันต่อไป อย่าลืมคอยติดตามชมวัดสวยนะครับ..โชคดีมีความสุขครับ.
525174_0.jpg (89.98 KiB) เข้าดูแล้ว 529 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4367
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

viewtopic.php?p=14264558#p14264558 :) :D สวัสดีวันปีใหม่ไทย ๒๕๖๗ วันนี้ออกแต่เช้าเพื่อไปกราบพระที่วัดพระธาตุหริกุญชัย ลำพูน เป็นการออกกำลังไปด้วยในบริบทและอุดมการณ์ของการมีชีวิตในโลกใบนี้ "ร่างกายต้องเคลื่อนไหว(แข็งแรง) จิตใจต้องสงบ เย็น เป็นสมาธิ(แข็งแกร่ง)" :) :D

viewtopic.php?t=890159&start=1230 :) :D ขอส่งกุศลผลบุญที่ได้กระทำในวันนี้มายังท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ และญาติธรรมที่รักทุกท่าน ขอให้ประสบแต่ความสุขความเจริญ ทั้งทางโลกและทางธรรม มีความสุขกาย สุขใจ ไม่เจ็บ ไม่ไข้และไม่จน ตลอดทุกท่านทุกคนเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ :) :D
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4367
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

viewtopic.php?p=14264666#p14264666 :) :D อรุณสวัสดิ์ครับท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ วันสงกรานต์ที่หลายปีมาแล้วต้องอดเล่นน้ำกันเพราะเจ้า Covid - 19 ปีนี้ครึกครื้นมาก ๆ ตามข่าวสารเป็นทั้งประเทศ เห็นภาพแล้วมีความสุขครับ อยากให้คนไทยเป็นแบบนี้ไปนานาน เราก็คงไม่ได้ไปเล่นน้ำเหมือนสมัยที่เป็นหนุ่มเป็นสาว แต่เราเลือกที่จะทำตามประเพณีที่ดีงามของบ้านเมืองเรา คือพาหลานไปวัดทำบุญ สรงน้ำพระทั้งที่วัดและที่บ้าน ให้หลานได้รดน้ำดำหัวตามประเพณี และพาไปวัดเพื่อรดน้ำดำหัว พ่อแม่ครูบาอาจารย์ บุญใดที่ได้กระทำมา ขอส่งถึงทุกท่านทุกคนให้ได้รับบุญด้วยกัน และขอให้บารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ดลบันดาลให้ทุกท่านอยู่เย็นเป็นสุขทุกท่านทุกคนเทอญ :) :D
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4367
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: ประโยคที่ว่า "ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น”

คนส่วนมาก รวมทั้งเราด้วย ก็จะเข้าใจว่า พระท่านบอกให้ปลงว่า #ไปไม่กลับ ก็ = ตาย #หลับไม่ตื่น ก็ = ตาย #ฟื้นไม่มี ก็ = ตาย #หนีไม่พ้น ก็ = ตาย ใช่ไหม?

แต่พระท่านแสดงธรรมว่า เราท่านทั้งหลายเข้าใจความหมายผิดหมดเลย เราควรจะทำความเข้าใจเสียใหม่ ให้ถูกต้อง จะได้ไปสอนลูกหลานให้เข้าใจ ดังนี้

"ไปไม่กลับ" หมายถึง ' #กาลเวลา ' ที่หมุนผ่านไป ไม่มีวันหวนกลับ อดีตล่วงไปแล้ว เหลือแต่ปัจจุบัน ควรใช้เวลาสร้างแต่ความดีให้คุ้มค่า

"หลับไม่ตื่น" หมายถึง คนที่ยังหลงอยู่กับ ' #โมหะ ' ความหลงใน 'กิเลส' สร้างแต่บาปกรรม ไม่ยอมทำความดี เหมือนคนที่หลับไหล ไม่ยอมตื่นรับรู้ตามความจริง

"ฟื้นไม่มี" หมายถึง ' #สังขารของเราที่ร่วงโรยไป ' ในแต่ละวัน ไม่สามารถย้อนคืนความหนุ่มความสาวได้ "หนีไม่พ้น" หมายถึง ' #กรรม ' ที่เราสร้างมาในแต่ละวัน ไม่มีวันที่เราจะหนีกรรมนั้นพ้น

สรุปว่า ท่านบอกให้เรา ไม่ประมาทใน 'กาลเวลา' ไม่ประมาทใน 'กิเลส' ไม่ประมาทใน 'สังขารที่ล่วงไป' ไม่ประมาทใน 'การสร้างบุญกุศล'
:) :) :D


:o :o บนไว้แล้วไม่ได้แก้ พระมหาสมชาย :lol: :lol:
ไฟล์แนบ
17 เมษายน วันพระราชสมภพสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช<br /><br />สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรืออีกพระนามคือ สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 พระราชสมภพ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2277 ทรงมีพระนามเดิมว่า &quot;สิน&quot; พระบิดาเป็นพ่อค้าชาวจีนแต้จิ๋ว นามว่า &quot;นายไหฮอง แซ่แต้&quot; พระมารดา เป็นหญิงไทยนามว่า &quot;นกเอี้ยง&quot; สันนิษฐานว่า ถิ่นกำเนิดของพระองค์น่าจะอยู่แถบภาคกลาง ในกรุงศรีอยุธยา มากกว่าเมืองตาก<br /><br />หลังจากรับราชการจนได้เลื่อนเป็นพระยาวชิรปราการ ได้มาช่วยราชการในพระนครก่อนเสียกรุง และรวบรวมคนได้ 500 คน ตีฝ่าวงล้อมข้าศึกออกจากกรุงศรีอยุธยาไปตั้งมั่นที่เมืองจันท์ แล้วสามารถกอบกู้เอกราชได้สำเร็จ ภายในเวลา 7 เดือน นับตั้งแต่ที่เสียกรุงเมื่อปี พ.ศ.2310<br /><br />หลังจากนั้น พระองค์ได้ยกทัพกลับมาที่ธนบุรี ตั้งราชธานีใหม่ ณ ที่แห่งนี้ ขนานนามว่า &quot;กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร&quot; และทรงปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2310 ในพระชนมายุ 34 พรรษา ทรงเฉลิมพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 และพระราชกรณียกิจหลังจากนั้นของพระองค์ คือการปราบปรามก๊กต่าง ๆ ที่แตกแยกเป็นฝ่าย เพื่อรวบรวมให้เป็นอาณาจักรเดียวกัน และฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้นหลังจากทำสงครามกับพม่า<br /><br />สมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงครองราชย์ได้ 15 ปี ก็เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2325 สิริพระชนมายุได้ 48 พรรษา<br /><br />Cr. หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี
17 เมษายน วันพระราชสมภพสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรืออีกพระนามคือ สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 พระราชสมภพ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2277 ทรงมีพระนามเดิมว่า "สิน" พระบิดาเป็นพ่อค้าชาวจีนแต้จิ๋ว นามว่า "นายไหฮอง แซ่แต้" พระมารดา เป็นหญิงไทยนามว่า "นกเอี้ยง" สันนิษฐานว่า ถิ่นกำเนิดของพระองค์น่าจะอยู่แถบภาคกลาง ในกรุงศรีอยุธยา มากกว่าเมืองตาก

หลังจากรับราชการจนได้เลื่อนเป็นพระยาวชิรปราการ ได้มาช่วยราชการในพระนครก่อนเสียกรุง และรวบรวมคนได้ 500 คน ตีฝ่าวงล้อมข้าศึกออกจากกรุงศรีอยุธยาไปตั้งมั่นที่เมืองจันท์ แล้วสามารถกอบกู้เอกราชได้สำเร็จ ภายในเวลา 7 เดือน นับตั้งแต่ที่เสียกรุงเมื่อปี พ.ศ.2310

หลังจากนั้น พระองค์ได้ยกทัพกลับมาที่ธนบุรี ตั้งราชธานีใหม่ ณ ที่แห่งนี้ ขนานนามว่า "กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร" และทรงปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2310 ในพระชนมายุ 34 พรรษา ทรงเฉลิมพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 และพระราชกรณียกิจหลังจากนั้นของพระองค์ คือการปราบปรามก๊กต่าง ๆ ที่แตกแยกเป็นฝ่าย เพื่อรวบรวมให้เป็นอาณาจักรเดียวกัน และฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้นหลังจากทำสงครามกับพม่า

สมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงครองราชย์ได้ 15 ปี ก็เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2325 สิริพระชนมายุได้ 48 พรรษา

Cr. หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี
437790039_950194699702631_8565357392336552526_n.jpg
437790039_950194699702631_8565357392336552526_n.jpg (98.52 KiB) เข้าดูแล้ว 359 ครั้ง
437954358_749341777333524_620297348911101042_n.jpg
437954358_749341777333524_620297348911101042_n.jpg (107.71 KiB) เข้าดูแล้ว 359 ครั้ง
437789705_1378684072836314_2971752519236590439_n.jpg
437789705_1378684072836314_2971752519236590439_n.jpg (60.14 KiB) เข้าดูแล้ว 359 ครั้ง
ช่วง ๑๖,๑๗ เมษา ผมออกปั่นยามเช้าเพื่อออกกำลังตามปกติและถือโอกาสแวะโน่น นี่ นั่น คุยชาวบ้านสอบถามสารทุกข์สุขดิบ สนุกสนานเบิกบานใจ ก็ได้ความรู้ดี ๆ เยอะ ปกตินานมาแล้วผมมีความเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลาย แต่ตั้งแต่หันหน้าเข้าปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง เรื่องเหล่านี้เลิกหมด เปลื่ยนความเชื่อว่า &quot;คนจะได้ดี ต้องทำดี&quot; ผีห่าซาตานจะมาทำอะไรให้เราไม่ได้ &quot;อัตตาหิอัตโนนาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตนครับ&quot;<br /><br />ปีนี้ขอให้สังเกตุนะครับ ปฏิทินคนเมืองระบุไว้ว่าวันที่ ๑๔,๑๕ เมษา คือวันเนา (หมายถึง วันที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนเข้าอยู่ราศีเมษประจำที่เรียบร้อยแล้ว) วันที่ ๑๖ เมษา คือวันพญาวัน (ได้แก่วันที่เป็นใหญ่แก่วันทั้งหลาย หมายเอา “วันเถลิงศก” เริ่มต้นจุลศักราชใหม่ ชาวล้านนาใช้จุลศักราชมาแต่เดิม จึงยึดถึอว่าวันพระญาวัน เป็นวันขึ้นปีใหม่) <br /><br />ฉะนั้นวันที่ ๑๗ จึงเป็นวันปากปี๋ (ปากปี)  “วันปากปี” หรือ “วันปากปี๋” วันที่สี่ของประเพณีปีใหม่เมือง จัดว่าเป็นวันสำคัญ อีกวันหนึ่ง ในเทศกาลปีใหม่ ถือเป็นวันแรกของปี <br /><br />วันปากปี๋นี้ประเพณีต้องกินแกงขนุน วันนี้คนล้านนาจะกินแกงขนุนกันทุกครอบครัว เพราะเชื่อว่าจะหนุนชีวิตให้เจริญก้าวหน้า ช่วงสายๆชาวบ้านจะมารวมตัวกันที่ใจบ้าน เพื่อทำบุญเสาใจบ้าน หรือส่งเคราะห์บ้าน บางแห่งอาจจะต่อด้วยพิธีสืบชะตาหมู่บ้าน และพากันไปขมาคารวะ ดำหัว พระเถระผู้ใหญ่ตามวัดต่างๆ ในตอนค่ำของวันนี้จะมีการบูชาเทียน สืบชะตา ลดเคราะห์ รับโชค เพื่อให้เกิดความเป็นมงคลแก่ครอบครัว<br /> <br />กินแกงขนุน<br /><br /> ในวันปากปีดังกล่าว มีความเชื่อของคนล้านนาอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ การที่ทุกหลังคาเรือนจะมีการทำอาหารที่เหมือนกันเกือบทุกบ้าน คือการทำแกงขนุน หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า &quot;แก๋งบ่าหนุน&quot; โดยเชื่อกันว่า เมื่อได้ทานแกงดังกล่าว<br /> <br />จะช่วยส่งหนุนให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง ประกอบกิจการงานใดก็สำเร็จผล มีคนมาอุดหนุนค้ำจุนอีกทั้ง เกิดสิริมงคลในครอบครัว ทั้งนี้เหตุผลของการทานแกงขนุนดังกล่าว อาจจะมาจากชื่อขนุน ที่มีความหมายถึงการเกื้อหนุน ค้ำจุน ครอบครัวให้เจริญรุ่งเรืองหรือตลอดปีของคนล้านนา<br /><br />Cr.เว็บไซต์และฐานข้อมูลประเพณีล้านนา โดย สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่[บางส่วนนะครับ]<br /><br />......เราไปเที่ยววัดในเมืองลำปางกันต่อนะครับ...
ช่วง ๑๖,๑๗ เมษา ผมออกปั่นยามเช้าเพื่อออกกำลังตามปกติและถือโอกาสแวะโน่น นี่ นั่น คุยชาวบ้านสอบถามสารทุกข์สุขดิบ สนุกสนานเบิกบานใจ ก็ได้ความรู้ดี ๆ เยอะ ปกตินานมาแล้วผมมีความเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลาย แต่ตั้งแต่หันหน้าเข้าปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง เรื่องเหล่านี้เลิกหมด เปลื่ยนความเชื่อว่า "คนจะได้ดี ต้องทำดี" ผีห่าซาตานจะมาทำอะไรให้เราไม่ได้ "อัตตาหิอัตโนนาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตนครับ"

ปีนี้ขอให้สังเกตุนะครับ ปฏิทินคนเมืองระบุไว้ว่าวันที่ ๑๔,๑๕ เมษา คือวันเนา (หมายถึง วันที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนเข้าอยู่ราศีเมษประจำที่เรียบร้อยแล้ว) วันที่ ๑๖ เมษา คือวันพญาวัน (ได้แก่วันที่เป็นใหญ่แก่วันทั้งหลาย หมายเอา “วันเถลิงศก” เริ่มต้นจุลศักราชใหม่ ชาวล้านนาใช้จุลศักราชมาแต่เดิม จึงยึดถึอว่าวันพระญาวัน เป็นวันขึ้นปีใหม่)

ฉะนั้นวันที่ ๑๗ จึงเป็นวันปากปี๋ (ปากปี) “วันปากปี” หรือ “วันปากปี๋” วันที่สี่ของประเพณีปีใหม่เมือง จัดว่าเป็นวันสำคัญ อีกวันหนึ่ง ในเทศกาลปีใหม่ ถือเป็นวันแรกของปี

วันปากปี๋นี้ประเพณีต้องกินแกงขนุน วันนี้คนล้านนาจะกินแกงขนุนกันทุกครอบครัว เพราะเชื่อว่าจะหนุนชีวิตให้เจริญก้าวหน้า ช่วงสายๆชาวบ้านจะมารวมตัวกันที่ใจบ้าน เพื่อทำบุญเสาใจบ้าน หรือส่งเคราะห์บ้าน บางแห่งอาจจะต่อด้วยพิธีสืบชะตาหมู่บ้าน และพากันไปขมาคารวะ ดำหัว พระเถระผู้ใหญ่ตามวัดต่างๆ ในตอนค่ำของวันนี้จะมีการบูชาเทียน สืบชะตา ลดเคราะห์ รับโชค เพื่อให้เกิดความเป็นมงคลแก่ครอบครัว

กินแกงขนุน

ในวันปากปีดังกล่าว มีความเชื่อของคนล้านนาอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ การที่ทุกหลังคาเรือนจะมีการทำอาหารที่เหมือนกันเกือบทุกบ้าน คือการทำแกงขนุน หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า "แก๋งบ่าหนุน" โดยเชื่อกันว่า เมื่อได้ทานแกงดังกล่าว

จะช่วยส่งหนุนให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง ประกอบกิจการงานใดก็สำเร็จผล มีคนมาอุดหนุนค้ำจุนอีกทั้ง เกิดสิริมงคลในครอบครัว ทั้งนี้เหตุผลของการทานแกงขนุนดังกล่าว อาจจะมาจากชื่อขนุน ที่มีความหมายถึงการเกื้อหนุน ค้ำจุน ครอบครัวให้เจริญรุ่งเรืองหรือตลอดปีของคนล้านนา

Cr.เว็บไซต์และฐานข้อมูลประเพณีล้านนา โดย สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่[บางส่วนนะครับ]

......เราไปเที่ยววัดในเมืองลำปางกันต่อนะครับ...
437784265_1485449109059521_1068733835165479780_n.jpg (60.69 KiB) เข้าดูแล้ว 359 ครั้ง
หลังจากที่พาตัวเล็กไปชมมิวเซียมของลำปาง สนุกสนานกับการวาดภาพและเล่นของเล่นที่ทางพิพิธภัณฑ์จัดไว้ให้เด็ก ๆ เราก็พาหลานรักไปสักการะศาลหลักเมืองก่อนที่จะย้อนกลับไปยังศาลาประดิษฐานพระรูปสำคัญประจำประเทศไทยที่มีไว้สี่มุมเมือง อย่าลืม ณ จุดนี้นะครับอยู่กลางเมืองพอดี ไปลำปางต้องไปสักการะให้ได้
หลังจากที่พาตัวเล็กไปชมมิวเซียมของลำปาง สนุกสนานกับการวาดภาพและเล่นของเล่นที่ทางพิพิธภัณฑ์จัดไว้ให้เด็ก ๆ เราก็พาหลานรักไปสักการะศาลหลักเมืองก่อนที่จะย้อนกลับไปยังศาลาประดิษฐานพระรูปสำคัญประจำประเทศไทยที่มีไว้สี่มุมเมือง อย่าลืม ณ จุดนี้นะครับอยู่กลางเมืองพอดี ไปลำปางต้องไปสักการะให้ได้
525170_0.jpg
525170_0.jpg (32.2 KiB) เข้าดูแล้ว 359 ครั้ง
516826.jpg
516826.jpg (112.7 KiB) เข้าดูแล้ว 359 ครั้ง
525171.jpg
525171_0.jpg
525172.jpg
670546_0.jpg
670546_0.jpg (132.3 KiB) เข้าดูแล้ว 359 ครั้ง
พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ หรือ &quot;พระพุทธรูปสี่มุมเมือง&quot; ซึ่งมีอยู่ 4 องค์ ถูกจัดสร้างขึ้นตามความเชื่อและโบราณประเพณีของบ้านเมืองที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่จะต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องขอบขัณฑสีมาทั้งสี่ทิศ โดยการสร้างพระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศนั้นเป็นการสร้างพระพุทธรูปแบบ &quot;จตุรพุทธปราการ&quot; กล่าวคือเป็นการนำเอาวัดหรือพระพุทธรูปเป็นปราการทั้งสี่ด้าน เพื่อปกป้องภยันตรายจากอริราชศัตรู ปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย เสริมสร้างดวงชะตาแก่บ้านเมืองและคุ้มครองพสกนิกรทั้งมวลให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข<br /><br />ปัจจุบันพระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศทั้ง 4 องค์ ได้ถูกอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ จังหวัดต่าง ๆ ตามทิศทั้งสี่ของประเทศไทย <br /><br />ประวัติการจัดสร้าง<br /><br />พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัตน์จตุรทิศ จัดสร้างขึ้นตามคติความเชื่อเรื่องพุทธไชยปราการเมื่อ พ.ศ. 2511 โดยกรมการรักษาดินแดน กองทัพบก กระทรวงกลาโหม โดย พลโท ยุทธ สมบูรณ์ เจ้ากรมการรักษาดินแดนในขณะนั้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนื่ยวจิตใจและปกป้องคุ้มภัยให้กับประชาชนทุกทิศตามความเชื่อแต่โบราณ โดยได้นำต้นแบบมาจาก &quot;พระพุทธนิรโรคันตราย&quot; พระพุทธรูปประจำรัชกาลในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ซึ่งเป็นพระผู้มีพระราชทานก่อตั้งกรมการรักษาดินแดน อีกทั้งเมื่อพิจารณาความหมายของพระนามของพระพุทธรูป อันหมายถึง &quot;การปราศจากซึ่งภยันตรายทั้งปวง&quot; นับว่าเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะสถาปนาให้เป็นพระสี่มุมเมืองของไทย แล้วนำความขึ้นกราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเททองหล่อพระ<br /><br />ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีเททอง ณ กรมการรักษาดินแดน กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2511 และได้โปรดเกล้าฯ ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 4 จังหวัดเข้ารับพระราชทานพระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ ณ พระตำหนักจิตลดารโหฐานพระราชวังดุสิต เพื่อนำไปประดิษฐานเป็นพระพุทธรูปประจำทิศทั้งสี่ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2511<br /><br />พระพุทธลักษณะ<br /><br />พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิราบตามแบบศิลปะสุโขทัย โดยมีพระพักตร์แจ่มใส พระเนตรเปิด พระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้าย พระบาทขวาทับพระบาทซ้าย หล่อด้วยสำริด ขนาดหน้าตักกว้าง 49 นิ้ว ประดิษฐานอยู่ภายในมณฑปจัตุรมุข ก่ออิฐถือปูน โครงสร้างสร้างคาเป็นเครื่องไม้มุงทับด้วยกระเบื้องอย่างไทยโบราณ บานประตู หน้าต่าง และหน้าลงรักปิดทองทั้งสี่ด้าน<br /><br />(มองจากด้านในศาลาเราจะเห็นศาลหลักเมืองตั้งเด่น สวยงามมาก ๆ )
พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ หรือ "พระพุทธรูปสี่มุมเมือง" ซึ่งมีอยู่ 4 องค์ ถูกจัดสร้างขึ้นตามความเชื่อและโบราณประเพณีของบ้านเมืองที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่จะต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องขอบขัณฑสีมาทั้งสี่ทิศ โดยการสร้างพระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศนั้นเป็นการสร้างพระพุทธรูปแบบ "จตุรพุทธปราการ" กล่าวคือเป็นการนำเอาวัดหรือพระพุทธรูปเป็นปราการทั้งสี่ด้าน เพื่อปกป้องภยันตรายจากอริราชศัตรู ปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย เสริมสร้างดวงชะตาแก่บ้านเมืองและคุ้มครองพสกนิกรทั้งมวลให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข

ปัจจุบันพระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศทั้ง 4 องค์ ได้ถูกอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ จังหวัดต่าง ๆ ตามทิศทั้งสี่ของประเทศไทย

ประวัติการจัดสร้าง

พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัตน์จตุรทิศ จัดสร้างขึ้นตามคติความเชื่อเรื่องพุทธไชยปราการเมื่อ พ.ศ. 2511 โดยกรมการรักษาดินแดน กองทัพบก กระทรวงกลาโหม โดย พลโท ยุทธ สมบูรณ์ เจ้ากรมการรักษาดินแดนในขณะนั้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนื่ยวจิตใจและปกป้องคุ้มภัยให้กับประชาชนทุกทิศตามความเชื่อแต่โบราณ โดยได้นำต้นแบบมาจาก "พระพุทธนิรโรคันตราย" พระพุทธรูปประจำรัชกาลในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ซึ่งเป็นพระผู้มีพระราชทานก่อตั้งกรมการรักษาดินแดน อีกทั้งเมื่อพิจารณาความหมายของพระนามของพระพุทธรูป อันหมายถึง "การปราศจากซึ่งภยันตรายทั้งปวง" นับว่าเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะสถาปนาให้เป็นพระสี่มุมเมืองของไทย แล้วนำความขึ้นกราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเททองหล่อพระ

ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีเททอง ณ กรมการรักษาดินแดน กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2511 และได้โปรดเกล้าฯ ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 4 จังหวัดเข้ารับพระราชทานพระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ ณ พระตำหนักจิตลดารโหฐานพระราชวังดุสิต เพื่อนำไปประดิษฐานเป็นพระพุทธรูปประจำทิศทั้งสี่ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2511

พระพุทธลักษณะ

พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิราบตามแบบศิลปะสุโขทัย โดยมีพระพักตร์แจ่มใส พระเนตรเปิด พระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้าย พระบาทขวาทับพระบาทซ้าย หล่อด้วยสำริด ขนาดหน้าตักกว้าง 49 นิ้ว ประดิษฐานอยู่ภายในมณฑปจัตุรมุข ก่ออิฐถือปูน โครงสร้างสร้างคาเป็นเครื่องไม้มุงทับด้วยกระเบื้องอย่างไทยโบราณ บานประตู หน้าต่าง และหน้าลงรักปิดทองทั้งสี่ด้าน

(มองจากด้านในศาลาเราจะเห็นศาลหลักเมืองตั้งเด่น สวยงามมาก ๆ )
525169_0.jpg (106.73 KiB) เข้าดูแล้ว 359 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4367
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »


:( :(ชาวพุทธงมงาย (พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่อาภัพ เพราะสานุศิษย์ไม่สนใจคำสอน เอาแต่อ้อนวอนขอซึ่งเป็นเรื่องนอกเหนือคำสอน พระพุทธองค์ไม่ได้สอนให้ งมงายแบบนั้น :( :(

:idea: :idea: คำเตือนถึงผู้ที่อายุ 71.0~79.11 ที่ตายมากกว่าช่วงอายุ 61~69 และ 81~89 ขอเตือนว่า ท่านยังต้องออกกำลังกาย และ ถูกแสงแดดบ้าง อย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย ต้องเดินวันละ 10~30 นาที และ ดูแลสมองให้กระฉับกระเฉง

ปกติ สมองส่วนหน้า ของ ผู้ที่อายุ 71~79 ปี จะไม่กระฉับกระเฉง ทำให้ผู้นั้น ลดการมีความคิดสร้างสรรค์ เบื่อหน่ายในกิจกรรมรอบๆตัว แม้กิจกรรม ที่เคยชื่นชอบ ดังนั้น การกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนหน้า จึงควรมี ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

1. ท่านควรมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ คบหาเพื่อนๆมากขึ้น มีส่วนร่วมในการสื่อสารระหว่างบุคคล และ หลีกเลี่ยงการตำหนิคนอื่น โดยคิดว่าตัวเองฉลาดรอบรู้มากกว่าเพื่อนๆในวัยเดียวกัน ต้องรู้จักปล่อยวาง ไม่ยกตนข่มผู้อื่น ฝึกความอดทน อดกลั้นมากขึ้น

2. ควรดื่ม/กินอาหาร ที่สามารถเพิ่ม สารความสุข หรือ สารลดความเครียด ให้มากขึ้น เข่น ช็อกโกแลต อัลมอลด์ ปลาแซลมอน ส้ม ชาเขียว กล้วย มะพร้าว อะโวคาโด้ กาแฟ พืชตระกูลเบอร์รี่ นม ถั่วเปลือกแข็งต่างๆ มะเขือเทศ และ ผักใบเขียวอื่น ๆ เป็นต้น

3. ควรออกไปรับแสงแดดยามเช้า ยามเย็นบ้าง แสงแดดสามารถเพิ่มสารความสุขในสมอง และ ช่วยผลิตฮอร์โมน เมลาโทนิน ซึ่งสามารถทำให้นอนหลับได้สนิท

4. หลีกเลี่ยงชีวิตที่ซ้ำซากจำเจบ้าง อย่างน้อยก็ในวันหยุดสุดสัปดาห์

5. แสดงความคิดเห็น ในทางบวกให้มากขึ้น กระตุ้นสมองให้ใช้ความคิด หรือ อย่างน้อย สรุปเรื่องยาก ให้เข้าใจง่ายขึ้น แล้วเผื่อแผ่แก่สังคม

6. พัฒนานิสัยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เช่น เดินช้า สลับเดินเร็ว ว่ายน้ำ ตามที่พอใจ แต่คงต้องฝืนใจบ้างในช่วงแรกๆ

7. แก่แล้ว ไม่ต้องจงใจลดน้ำหนัก และทรมานจากการขาดสารอาหาร

8. ระวังการสำลักน้ำ/สำลักอาหาร พยายามอย่าล้ม

หากทำได้ 8 ประการข้างต้น ท่านสามารถรักษาคุณภาพชีวิตที่ดีได้แน่ ในช่วงอายุ 80~90 ได้ อย่างแน่นอน.... ขอให้ท่านกัลยาณมิตรทุกท่าน ก้าวพ้นอายุ 79.11 ไปได้อย่างสบายๆ
:) :D
ไฟล์แนบ
438231778_453316537360699_8040761163766976610_n (1).jpg
438231778_453316537360699_8040761163766976610_n (1).jpg (58.37 KiB) เข้าดูแล้ว 240 ครั้ง
ออกกำลังกาย-ออกกำลังใจ<br /><br />ในหมอชาวบ้านฉบับที่แล้ว ผมคุยกับผู้อ่านว่า ดร.วทัญญู ณ ถลาง สามารถลดน้ำหนักได้ 18 กิโลกรัม ดร.อาณัติ อาภาภิรม ลดได้ 17 กิโลกรัม ดร.ชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ลดได้ 16 กิโลกรัม หมอชาวบ้านก็ว่องไวมาก ในฉบับนี้ได้นำเรื่อง ชีวิต-งาน-ทรรศนะ ของท่านทั้ง 3 มาลง<br /><br />ทั้ง 3 ท่านเป็นบุคคลสุขภาพ และจะพบว่าส่วนหนึ่งของชีวิตที่ทำให้สุขภาพดี คือ การออกกำลังกาย<br /><br />การออกกำลังเพียงอย่างเดียวก็ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บไปได้มากมาย รวมทั้งโรคมะเร็งด้วย เป็นการป้องกันโรคและสร้างเสริมสุขภาพที่ราคาถูกมาก หรือไม่ต้องเสียเงินเลย หรือกลับได้เงินอีก จากการประหยัดไม่ต้องเสียเงินไปทำอย่างอื่นและเสียค่ารักษาตัว ท่านอาจลองทำสถิติดูก็ได้ ว่าถ้าออกกำลังเป็นประจำแล้วจะประหยัดเงินไปได้ปีละเท่าไร<br /><br />สตรีสูงอายุในเมือง กระดูกจะเปราะและหักง่าย โดยเฉพาะตรงข้อสะโพก ถ้าขาหักเดินไม่ได้จะบั่นทอนชีวิตมาก เพราะการไม่ได้เดินจะทำให้ปอดติดเชื้อได้ง่าย มีการแนะนำให้กินแคลเซียมบ้าง ใช้ฮอร์โมนบ้าง วิธีที่ดีกว่าคือการออกกำลัง ย่ายายชาวไร่ชาวนาไม่เป็นโรคกระดูกหักง่าย เพราะท่านออกกำลังอยู่เสมอ การออกกำลังทำให้เซลล์สร้างกระดูก กระดูกจึงแข็งแรง<br /><br />แต่ปัญหาใหญ่ของมนุษย์ คือ รู้ว่าอะไรดี แต่ไม่ทำ อย่างการออกกำลังนี้ รู้ว่าดีสารพัด แต่ก็ไม่ทำ ฉะนั้น จึงไม่ใช่ออกกำลังกายอย่างเดียว แต่ต้องออกกำลังใจด้วย คือ ทำใจให้เข้มแข็ง สามารถทำอะไรที่ควรทำได้ ใจที่อ่อนแอเฉยแฉะนำไปสู่ความทุกข์หรือทุกขภาพ ใจที่เข้มแข็งทำให้มีสุขภาพ<br /><br />อยากมีความสุข ต้องบริหารใจให้เข้มแข็ง<br />โปรดให้กำลังใจซึ่งกันและกัน หมั่นถามคำถามว่า &quot;วันนี้ คุณออกกำลังหรือยัง&quot;<br />การที่มีคนคอยถามว่า ออกกำลังหรือยัง จะเพิ่มฉันทะให้อยากออกกำลังมากขึ้น ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา หรืออิทธิบาท 4 ทำให้อายุยืนถึง 1 กัป (120 ปี) ก็ได้ ตรงกับที่นายแพทย์เฉก ธนะสิริ ประกาศไว้พอดี <br />ขออวยพรให้ท่านอายุยืน 1 กัป  <br /><br />โพสโดย somsak เมื่อ 1 พฤศจิกายน 2552 00:00  (เว็บหลักหมอชาวบ้าน)
ออกกำลังกาย-ออกกำลังใจ

ในหมอชาวบ้านฉบับที่แล้ว ผมคุยกับผู้อ่านว่า ดร.วทัญญู ณ ถลาง สามารถลดน้ำหนักได้ 18 กิโลกรัม ดร.อาณัติ อาภาภิรม ลดได้ 17 กิโลกรัม ดร.ชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ลดได้ 16 กิโลกรัม หมอชาวบ้านก็ว่องไวมาก ในฉบับนี้ได้นำเรื่อง ชีวิต-งาน-ทรรศนะ ของท่านทั้ง 3 มาลง

ทั้ง 3 ท่านเป็นบุคคลสุขภาพ และจะพบว่าส่วนหนึ่งของชีวิตที่ทำให้สุขภาพดี คือ การออกกำลังกาย

การออกกำลังเพียงอย่างเดียวก็ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บไปได้มากมาย รวมทั้งโรคมะเร็งด้วย เป็นการป้องกันโรคและสร้างเสริมสุขภาพที่ราคาถูกมาก หรือไม่ต้องเสียเงินเลย หรือกลับได้เงินอีก จากการประหยัดไม่ต้องเสียเงินไปทำอย่างอื่นและเสียค่ารักษาตัว ท่านอาจลองทำสถิติดูก็ได้ ว่าถ้าออกกำลังเป็นประจำแล้วจะประหยัดเงินไปได้ปีละเท่าไร

สตรีสูงอายุในเมือง กระดูกจะเปราะและหักง่าย โดยเฉพาะตรงข้อสะโพก ถ้าขาหักเดินไม่ได้จะบั่นทอนชีวิตมาก เพราะการไม่ได้เดินจะทำให้ปอดติดเชื้อได้ง่าย มีการแนะนำให้กินแคลเซียมบ้าง ใช้ฮอร์โมนบ้าง วิธีที่ดีกว่าคือการออกกำลัง ย่ายายชาวไร่ชาวนาไม่เป็นโรคกระดูกหักง่าย เพราะท่านออกกำลังอยู่เสมอ การออกกำลังทำให้เซลล์สร้างกระดูก กระดูกจึงแข็งแรง

แต่ปัญหาใหญ่ของมนุษย์ คือ รู้ว่าอะไรดี แต่ไม่ทำ อย่างการออกกำลังนี้ รู้ว่าดีสารพัด แต่ก็ไม่ทำ ฉะนั้น จึงไม่ใช่ออกกำลังกายอย่างเดียว แต่ต้องออกกำลังใจด้วย คือ ทำใจให้เข้มแข็ง สามารถทำอะไรที่ควรทำได้ ใจที่อ่อนแอเฉยแฉะนำไปสู่ความทุกข์หรือทุกขภาพ ใจที่เข้มแข็งทำให้มีสุขภาพ

อยากมีความสุข ต้องบริหารใจให้เข้มแข็ง
โปรดให้กำลังใจซึ่งกันและกัน หมั่นถามคำถามว่า "วันนี้ คุณออกกำลังหรือยัง"
การที่มีคนคอยถามว่า ออกกำลังหรือยัง จะเพิ่มฉันทะให้อยากออกกำลังมากขึ้น ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา หรืออิทธิบาท 4 ทำให้อายุยืนถึง 1 กัป (120 ปี) ก็ได้ ตรงกับที่นายแพทย์เฉก ธนะสิริ ประกาศไว้พอดี
ขออวยพรให้ท่านอายุยืน 1 กัป

โพสโดย somsak เมื่อ 1 พฤศจิกายน 2552 00:00 (เว็บหลักหมอชาวบ้าน)
436341010_3345274495771991_7604587643071733495_n.jpg (60.8 KiB) เข้าดูแล้ว 240 ครั้ง
อาม่าเมตตาครอบครัวเรามาก ๆ ปีนี้อาม่ามาเที่ยวหาที่บ้าน ปากกอง สารภี และนอนพักที่บ้านด้วยเป็นมหากุศลที่สุดสำหรับครอบครัวเรา ปกติอาม่าไม่เคยออกไปไหนและไปนอนที่ใดเลย ในโอกาสนี้เราก็ถือเป็นฤกษ์ดีที่จะได้รดน้ำดำหัวอาม่าเพื่อเป็นศิริมงคลและขอพรจากอาม่า<br /><br />สาวม่อยก็ถือโอกาสเช่นกัน รดน้ำดำหัวเราสองคน ซึ่งถือเป็นพี่ใหญ่ก็ขอบใจน้องม่อยและกราบขอบคุณอาม่าที่ให้ความรัก เมตตากับครอบครัวเรา ขอให้อาม่าอยู่เป็นร่มไทรของเราไปนานนาน นะครับ อาม่าใกล้ ๙๐ แล้วถือโอกาสขออาม่าดำรงให้ถึง ๑๐๐ เลยนะครับอาม่า.
อาม่าเมตตาครอบครัวเรามาก ๆ ปีนี้อาม่ามาเที่ยวหาที่บ้าน ปากกอง สารภี และนอนพักที่บ้านด้วยเป็นมหากุศลที่สุดสำหรับครอบครัวเรา ปกติอาม่าไม่เคยออกไปไหนและไปนอนที่ใดเลย ในโอกาสนี้เราก็ถือเป็นฤกษ์ดีที่จะได้รดน้ำดำหัวอาม่าเพื่อเป็นศิริมงคลและขอพรจากอาม่า

สาวม่อยก็ถือโอกาสเช่นกัน รดน้ำดำหัวเราสองคน ซึ่งถือเป็นพี่ใหญ่ก็ขอบใจน้องม่อยและกราบขอบคุณอาม่าที่ให้ความรัก เมตตากับครอบครัวเรา ขอให้อาม่าอยู่เป็นร่มไทรของเราไปนานนาน นะครับ อาม่าใกล้ ๙๐ แล้วถือโอกาสขออาม่าดำรงให้ถึง ๑๐๐ เลยนะครับอาม่า.
438231565_404213109137680_3533499826153574848_n.jpg (121.46 KiB) เข้าดูแล้ว 240 ครั้ง
ตอนเย็นพาอาม่าไปทานที่ร้านเจี่ยท้งเฮง(ร้านเดิม) ร้านเก่าแก่และขึ้นชื่อของเมืองเชียงใหม่ ปกติคนจีนแต่ตั้งเดิมนิยมพาจัดเลี้ยงกัน หลัง ๆ ก็มีบรรดาข้าราชการมาเลี้ยงสังสรรค์ จนเดี๋ยวนี้ถ้าจะเลี้ยงให้หรูดูเหมือนเจี่ยท้งเฮง จะติดอันดับเสมอ ๆ ด้วยอาหารอร่อย ราคามิตรภาพ สะอาดครับ<br /><br />ภัตตาคารกว้างขวางที่เปิดกิจการมายาวนาน ให้บริการอาหารจีนแต้จิ๋วแบบดั้งเดิมซึ่งเหมาะสำหรับครอบครัว ที่อยู่: 193/2-3 ถนน ศรีดอนไชย ตำบลช้างคลาน อำเภอเมืองเชียงใหม่ เชียงใหม่ 50100
ตอนเย็นพาอาม่าไปทานที่ร้านเจี่ยท้งเฮง(ร้านเดิม) ร้านเก่าแก่และขึ้นชื่อของเมืองเชียงใหม่ ปกติคนจีนแต่ตั้งเดิมนิยมพาจัดเลี้ยงกัน หลัง ๆ ก็มีบรรดาข้าราชการมาเลี้ยงสังสรรค์ จนเดี๋ยวนี้ถ้าจะเลี้ยงให้หรูดูเหมือนเจี่ยท้งเฮง จะติดอันดับเสมอ ๆ ด้วยอาหารอร่อย ราคามิตรภาพ สะอาดครับ

ภัตตาคารกว้างขวางที่เปิดกิจการมายาวนาน ให้บริการอาหารจีนแต้จิ๋วแบบดั้งเดิมซึ่งเหมาะสำหรับครอบครัว ที่อยู่: 193/2-3 ถนน ศรีดอนไชย ตำบลช้างคลาน อำเภอเมืองเชียงใหม่ เชียงใหม่ 50100
438204487_763038169347403_7017197985942932582_n.jpg (126.68 KiB) เข้าดูแล้ว 240 ครั้ง
วันที่ ๒๐ เมษา เราก็พาอาม่าเที่ยวในตัวเมืองเชียงใหม่ และพาไปกินมื้อเที่ยงที่ ภัตตาคารเอกทิพย์ ซึ่งร้านนี้ก็เป็นร้านอาหารจีนที่ขึ้นชื่อโดยเฉพาะอาหาร เจ ครับ จากนั้นก็พาอาม่าไปดอยสุเทพกราบพระบรมธาตุ ซึ่งนานมากแล้วที่อาม่าไม่ได้ขึ้นไปกราบสักการะ ๘๗ แล้วยังเดินแข็งแรง ถามอาม่าปีหน้ามาอีกนะ..ฮู..จะไหวกา? เป็นคำตอบ อาม่าจะได้กลับมาอีก ? แต่ปีหน้าเราจะพยายามพาอาม่ามาอีกให้ได้
วันที่ ๒๐ เมษา เราก็พาอาม่าเที่ยวในตัวเมืองเชียงใหม่ และพาไปกินมื้อเที่ยงที่ ภัตตาคารเอกทิพย์ ซึ่งร้านนี้ก็เป็นร้านอาหารจีนที่ขึ้นชื่อโดยเฉพาะอาหาร เจ ครับ จากนั้นก็พาอาม่าไปดอยสุเทพกราบพระบรมธาตุ ซึ่งนานมากแล้วที่อาม่าไม่ได้ขึ้นไปกราบสักการะ ๘๗ แล้วยังเดินแข็งแรง ถามอาม่าปีหน้ามาอีกนะ..ฮู..จะไหวกา? เป็นคำตอบ อาม่าจะได้กลับมาอีก ? แต่ปีหน้าเราจะพยายามพาอาม่ามาอีกให้ได้
438237728_906814724528443_7369755166423177694_n.jpg (148.86 KiB) เข้าดูแล้ว 240 ครั้ง
พระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่ได้ศึกษาค้นคว้าจากตำรับตำราโบราณ เช่น จากใบลาน และอื่นจนทราบถึงความเป็นมาของวัดแห่งนี้ว่า เดิมวัดปงสนุกมีชื่อเรียกถึง 4 ชื่อ ได้แก่วัดศรีจอมไคล-วัดเชียงภูมิ-วัดดอนแก้ว–
พระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่ได้ศึกษาค้นคว้าจากตำรับตำราโบราณ เช่น จากใบลาน และอื่นจนทราบถึงความเป็นมาของวัดแห่งนี้ว่า เดิมวัดปงสนุกมีชื่อเรียกถึง 4 ชื่อ ได้แก่วัดศรีจอมไคล-วัดเชียงภูมิ-วัดดอนแก้ว–
670642_0.jpg (106.69 KiB) เข้าดูแล้ว 240 ครั้ง
670644_0.jpg
670644_0.jpg (83.24 KiB) เข้าดูแล้ว 240 ครั้ง
เสาหลักเมืองเสาแรกของเขลางค์นคร หรือจังหวัดลำปาง จากประวัติศาสตร์พบว่า เป็นชื่อที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การอพยพผู้คนในเหตุการณ์ช่วงปี พ.ศ.2346 ที่พญากาวิละได้ยกทัพเข้าโจมตีเมืองเชียงแสน ซึ่งเป็นที่ตั้งมั่นของพม่า และได้กวาดต้อนชาวเชียงแสนซึ่งเป็นชาวบ้านบ้านปงสนุกมาตั้งถิ่นฐานที่ลำปาง รวมถึงการอพยพของคนเมืองพะยาวที่หนีศึกพม่าลงมายังลำปาง ชาวปงสนุกเชียงแสน และชาวพะยาว จึงได้ ตั้งบ้านเรือนจนกลายเป็นหมู่บ้าน
เสาหลักเมืองเสาแรกของเขลางค์นคร หรือจังหวัดลำปาง จากประวัติศาสตร์พบว่า เป็นชื่อที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การอพยพผู้คนในเหตุการณ์ช่วงปี พ.ศ.2346 ที่พญากาวิละได้ยกทัพเข้าโจมตีเมืองเชียงแสน ซึ่งเป็นที่ตั้งมั่นของพม่า และได้กวาดต้อนชาวเชียงแสนซึ่งเป็นชาวบ้านบ้านปงสนุกมาตั้งถิ่นฐานที่ลำปาง รวมถึงการอพยพของคนเมืองพะยาวที่หนีศึกพม่าลงมายังลำปาง ชาวปงสนุกเชียงแสน และชาวพะยาว จึงได้ ตั้งบ้านเรือนจนกลายเป็นหมู่บ้าน
670671_0.jpg
670671_0.jpg (98.47 KiB) เข้าดูแล้ว 240 ครั้ง
670976_0.jpg
670977_0.jpg
670977_0.jpg (130.1 KiB) เข้าดูแล้ว 240 ครั้ง
670979_0.jpg
670980_0.jpg
670982_0.jpg
670982_0.jpg (103.09 KiB) เข้าดูแล้ว 240 ครั้ง
671981_0.jpg
671981_0.jpg (94.31 KiB) เข้าดูแล้ว 240 ครั้ง
671976_0.jpg
โครงสร้างของวิหารมีลักษณะเป็นมณฑปเปิดโล่งตรงกลางประดิษฐานพระพุทธรูปสี่องค์ พระพักตร์แต่ละองค์ก็หันออกไปยังทิศทั้งสี่ ในส่วนของหลังคามีลักษณะซ้อนกันสามชั้นซึ่งตกแต่งไว้อย่างสวยงาม
โครงสร้างของวิหารมีลักษณะเป็นมณฑปเปิดโล่งตรงกลางประดิษฐานพระพุทธรูปสี่องค์ พระพักตร์แต่ละองค์ก็หันออกไปยังทิศทั้งสี่ ในส่วนของหลังคามีลักษณะซ้อนกันสามชั้นซึ่งตกแต่งไว้อย่างสวยงาม
671977_0.jpg (145.89 KiB) เข้าดูแล้ว 240 ครั้ง
671978_0.jpg
วัดปงสนุกแห่งนี้สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยเจ้าอนันตยศ ซึ่งเป็นราชบุตรของพระนางจามเทวีแห่งหริภุญไชย (จังหวัดลำพูนในปัจจุบัน) เมื่อครั้งเสด็จมาสร้างเขลางค์นคร (จังหวัดลำปางในปัจจุบัน) เมื่อปี พ.ศ. 1223 ทั้งนี้ชื่อของ วัดปงสนุก อาจฟังแล้วรู้สึกแปลกหูไปบ้าง แต่ทราบหรือไม่ว่าที่มาของชื่อวัดนี้ซึ่งบางตำนานกล่าวไว้ว่าเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2364 เมืองลำปางและเมืองเชียงใหม่ยกทัพเข้าตีเมืองเชียงแสน แต่เมื่อไม่สามารถต้านทานความแข็งแกร่งได้ชาวเมืองเหล่านั้นจึงถูกต้อนมายังฝั่งเวียงเหนือของนครลำปาง โดยหนึ่งในกลุ่มชนนั้นก็มีชาวปงสนุกรวมอยู่ด้วย และขณะเดียวกันนั้นชาวเมืองพะเยาก็ได้อพยพมายังฝั่งเวียงเหนือเพื่ออาศัยอยู่เช่นเดียวกัน ต่อมาเมื่อบ้านเมืองสงบแล้วชาวพะเยาก็ย้ายกลับบ้านเกิดเมืองนอนของตน เหลือไว้แต่เพียงชาวปงสนุกที่ยังคงอยู่ ดังนั้นจึงได้เรียกชื่อวัดและชื่อหมู่บ้านตามเผ่าพันธุ์ของตนเอง <br /><br />และคำว่า ปงสนุก นั้นก็หมายถึงพงศ์เผ่าแห่งความรื่นเริง วิหารพระเจ้าพันองค์ หลังนี้เองที่ได้รับรางวัลการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมดีเด่นจากยูเนสโก้เมื่อปี 2008 (Award of Merit Wat Pongsanuk; Asia-Pacific Heritage Awards for Culture Herritage Conservation from UNESCO Year 2008) โดยวิหารพระเจ้าพันองค์หลังนี้สร้างด้วยไม้ เป็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่เพียงแห่งเดียวของประเทศ ตัวอาคารแสดงถึงการรวบรวมทั้งงานด้านจิตรกรรม สถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างไทย จีน พม่า ผสมผสานเข้าไว้ด้วยกันอย่างสวยงาม โครงสร้างของวิหารมีลักษณะเป็นมณฑปเปิดโล่งตรงกลางประดิษฐานพระพุทธรูปสี่องค์ พระพักตร์แต่ละองค์ก็หันออกไปยังทิศทั้งสี่ ในส่วนของหลังคามีลักษณะซ้อนกันสามชั้นซึ่งตกแต่งไว้อย่างสวยงาม รวมไปถึงเสาสี่เหลี่ยมที่ค้ำตัววิหารก็มีลวดลายอันน่าวิจิตรปรากฏให้เห็นอยู่แทบทุกต้น และบริเวณด้านบนรอบในของตัววิหารนั้นได้รับการประดับด้วยพระพิมพ์องค์เล็กจำนวนมากถึง 1,080 องค์ นี่จึงเป็นที่มาของชื่อ วิหารพันองค์ ที่ใช้เรียกกันอย่างติดปาก
วัดปงสนุกแห่งนี้สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยเจ้าอนันตยศ ซึ่งเป็นราชบุตรของพระนางจามเทวีแห่งหริภุญไชย (จังหวัดลำพูนในปัจจุบัน) เมื่อครั้งเสด็จมาสร้างเขลางค์นคร (จังหวัดลำปางในปัจจุบัน) เมื่อปี พ.ศ. 1223 ทั้งนี้ชื่อของ วัดปงสนุก อาจฟังแล้วรู้สึกแปลกหูไปบ้าง แต่ทราบหรือไม่ว่าที่มาของชื่อวัดนี้ซึ่งบางตำนานกล่าวไว้ว่าเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2364 เมืองลำปางและเมืองเชียงใหม่ยกทัพเข้าตีเมืองเชียงแสน แต่เมื่อไม่สามารถต้านทานความแข็งแกร่งได้ชาวเมืองเหล่านั้นจึงถูกต้อนมายังฝั่งเวียงเหนือของนครลำปาง โดยหนึ่งในกลุ่มชนนั้นก็มีชาวปงสนุกรวมอยู่ด้วย และขณะเดียวกันนั้นชาวเมืองพะเยาก็ได้อพยพมายังฝั่งเวียงเหนือเพื่ออาศัยอยู่เช่นเดียวกัน ต่อมาเมื่อบ้านเมืองสงบแล้วชาวพะเยาก็ย้ายกลับบ้านเกิดเมืองนอนของตน เหลือไว้แต่เพียงชาวปงสนุกที่ยังคงอยู่ ดังนั้นจึงได้เรียกชื่อวัดและชื่อหมู่บ้านตามเผ่าพันธุ์ของตนเอง

และคำว่า ปงสนุก นั้นก็หมายถึงพงศ์เผ่าแห่งความรื่นเริง วิหารพระเจ้าพันองค์ หลังนี้เองที่ได้รับรางวัลการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมดีเด่นจากยูเนสโก้เมื่อปี 2008 (Award of Merit Wat Pongsanuk; Asia-Pacific Heritage Awards for Culture Herritage Conservation from UNESCO Year 2008) โดยวิหารพระเจ้าพันองค์หลังนี้สร้างด้วยไม้ เป็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่เพียงแห่งเดียวของประเทศ ตัวอาคารแสดงถึงการรวบรวมทั้งงานด้านจิตรกรรม สถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างไทย จีน พม่า ผสมผสานเข้าไว้ด้วยกันอย่างสวยงาม โครงสร้างของวิหารมีลักษณะเป็นมณฑปเปิดโล่งตรงกลางประดิษฐานพระพุทธรูปสี่องค์ พระพักตร์แต่ละองค์ก็หันออกไปยังทิศทั้งสี่ ในส่วนของหลังคามีลักษณะซ้อนกันสามชั้นซึ่งตกแต่งไว้อย่างสวยงาม รวมไปถึงเสาสี่เหลี่ยมที่ค้ำตัววิหารก็มีลวดลายอันน่าวิจิตรปรากฏให้เห็นอยู่แทบทุกต้น และบริเวณด้านบนรอบในของตัววิหารนั้นได้รับการประดับด้วยพระพิมพ์องค์เล็กจำนวนมากถึง 1,080 องค์ นี่จึงเป็นที่มาของชื่อ วิหารพันองค์ ที่ใช้เรียกกันอย่างติดปาก
671988.jpg (98.15 KiB) เข้าดูแล้ว 240 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4367
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »


:) :D วัดปงสนุก จังหวัดลำปาง หนึ่งเดียวในประเทศไทย ที่ได้รับรางวัล Award of Merit จาก UNESCO :) :)

:idea: :idea: บ้านเมืองเหมือน ๆ จะวุ่นวาย..ฤาคำทำนายต่าง ๆ จะแม่นยำขึ้น เรามาชมอีกคำทำนายที่น่าสนใจเข้ากับยุคสมัยนี้เป๊ะเลยไปดูกันครับ

1.ทองแท่ง...........จะไร้ค่า
2.พระปฏิมา..........เป็นกากปูน
3.กลากเกลื้อน.......จะเพิ่มพูน
4.พระพิรุณ...........จะซบเซา
5.ผ้าเหลือง...........จะโดนย่ำ
6.ตะกวดดำ...........จะเป็นเจ้า
7.ดอกตูม.............โรยแต่เช้า
8.หมาหัวเน่า..........ผึ้งจะตอม
9.บุปผา...............จะเป็นหมัน
10.คืนและวัน.........จะสั้นเข้า
11.นกน้อย............จะลืมเหย้า
12.โคถึกเฒ่า..........จะวังเวง

***** 1.ทองแท่ง..พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจะมีคนสนใจศึกษาน้อยลงเพราะมองไม่เห็นคุณค่า 2.พระปฏิมา..คนจะเริ่มเคารพพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธรูปน้อยลงหรือเสื่อมศรัทธาในพุทธศาสนานั่นเอง 3.กลากเกลื้อน..ความชั่วร้ายและมิจฉาทิฏฐิจะเริ่มลุกลามแผ่ขยายมากขึ้น 4.พระพิรุณ..น้ำใจของผู้คนในสังคมจะเริ่มมีน้อยลงแต่ความเห็นแก่ตัวกลับมีมากขึ้น 5.ผ้าเหลือง..คนจะไม่กลัวบาปเมามันกับการติเตียนดูหมิ่นดูแคลนพระสงฆ์ 6.ตะกวดดำ..คนชั่วมีพวกพ้องบริวารมากจะได้เป็นใหญ่เรืองอำนาจ 7.ดอกตูม..เด็กผู้หญิงจะมีผัวตั้งแต่อายุน้อยยังไม่โตเป็นสาว 8.หมาหัวเน่า..คนไม่ดีคนเนรคุณสังคมจะยกย่องว่าเก่งกล้า 9.บุปผา..ความดีเหมือนเป็นหมันเพราะคนทำความดีสังคมจะไม่เห็นคุณค่าไม่ยกย่องแต่กลับยกย่องคนมีเงินมีอำนาจ 10.คืนและวัน..คนจะยุ่งกับภารกิจหาเงินมาเลี้ยงตัวเองครอบครัวและเลี้ยงกิเลสจนลืมวันและเวลา 11.นกน้อย..ลูกจะลืมพ่อแม่และบ้านเกิดเมืองนอนของตน 12.โคถึก..พ่อแม่จะถูกทอดทิ้งให้อยู่ลำพังขาดลูกหลานดูแล******

ความเสื่อมเกิดขึ้นโดยลำดับ...เริ่มจากบุคคลผู้ที่มีจิตใจเสื่อมถอยในคำสอนแห่งพระพุทธองค์..เป็นเหตุให้จิตใจเสื่อมศีลธรรมและขยายออกไปสู่สังคม.. การเริ่มต้นจากตัวเราเอง..ให้มีจิตใจที่ไม่เสื่อม..เป็นผู้ที่มีคุณค่า มีคุณงามความดีอย่างแท้จริง..มีจิตใจที่เจริญแล
:roll: :roll:
ไฟล์แนบ
438203882_787621036661046_5302236448002300647_n.jpg
438203882_787621036661046_5302236448002300647_n.jpg (89.71 KiB) เข้าดูแล้ว 125 ครั้ง
438271426_1145405963151765_8239814057319581745_n (1).jpg
438271426_1145405963151765_8239814057319581745_n (1).jpg (52.17 KiB) เข้าดูแล้ว 125 ครั้ง
439237204_418263510909497_6624543272097948196_n.jpg
439237204_418263510909497_6624543272097948196_n.jpg (98.04 KiB) เข้าดูแล้ว 125 ครั้ง
436835210_443669681493896_4185068272937154807_n.jpg
436835210_443669681493896_4185068272937154807_n.jpg (54.42 KiB) เข้าดูแล้ว 125 ครั้ง
438171556_1133254371093113_6633634240298951353_n.jpg
438171556_1133254371093113_6633634240298951353_n.jpg (129.25 KiB) เข้าดูแล้ว 125 ครั้ง
บอกเสมอ ๆ ว่า &quot;ร่างกายคือรังของโรค&quot; การจะเอาชนะได้ต้องเคลื่อนไหวร่างกายและทำจิตใจให้สงบเย็นเป็นสมาธิ ในแนวทางของผมการเคลื่อนไหวร่างกายด้วย &quot;จักรยาน&quot; ครับ ส่วนการดูแลจิตใจก็ด้วยการศึกษาพระธรรมคำสอน(ปริยัติ) ไปวัด ให้ทาน สวดมนต์ นั่งสมาธิ ภาวนา (ปฏิบัติ)...เมื่อจิตใจเราสงบ เย็น เป็นสมาธิ ความรู้และประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ ตลอดจนวิชา(ธรรม)ต่าง ๆ จะค่อย ๆ ปรากฏให้เราได้รับรู้..ตามบุญวาสนา บารมี สำหรับครานี้มีบทความที่ว่าด้วยการดำรงชีวิตดีมาก ๆ มาฝากดังนี้ครับ<br /><br /><br />การดำรงชีวิตด้วยหลักธรรมานามัย(ความรู้แผนไทย   ลงวันที่ 27 เมษายน 2563)<br /><br /><br />หลักธรรมานามัย หมายถึงอะไร<br /><br />ประกอบด้วย 2 คำ คือ คำว่า “ธรรมะ” หมายถึง ธรรมชาติ และ “อนามัย” หมายถึง การมีสุขภาพที่ดี เมื่อนำมารวมกัน จึงมีความหมายว่า การสร้างเสริมสุขภาพที่ดีด้วยวิถีทางธรรมชาติ (Healthy by natural method) ซึ่งจะให้ความสำคัญแก่สิ่งที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ที่ช่วยให้มีร่างกายแข็งแรง มีจิตใจสงบ ตระหนักรู้คิด สามารถช่วยเหลือตนเองและสังคมได้ โดยเป็นแนวคิดของศาสตราจารย์นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ ซึ่งเป็นหนึ่งบุคคลที่ช่วยพัฒนาระบบสาธารณสุขของไทย<br /><br />แนวคิดพื้นฐานของหลักธรรมานามัยในการแพทย์แผนไทยมองสุขภาวะแบบองค์รวม มองชีวิตคนเป็นนามรูป โดยรวมกายและใจเป็นเอกพจน์ ซึ่งเกี่ยวเนื่องรวมกันเป็นหนึ่ง ไม่แยกออกจากกัน เพราะมีความสัมพันธ์เชื่อมโยง เป็นระบบแห่งความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่าง ๆ ที่มาเกี่ยวข้องอิงอาศัยกัน มี 3 ส่วน คือ กายานามัย จิตตานามัย และชีวิตานามัย<br /><br />ความหมายของสุขภาพในการแพทย์แผนไทย คือ สุขภาพกาย จิต สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยการดำเนินชีวิตอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติตามหลักพุทธธรรม ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น จิตที่ฝึกดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้ ซึ่งเป็นแนวคิดพื้นฐานของหลักธรรมานามัยในการแพทย์แผนไทย<br /><br />เบื้องต้นให้มองโรคทั้งหมดเป็นชีวิต มองชีวิตว่าเป็นโรคที่ต้องเยียวยา แต่ว่า “โรค” นั้นเยียวยาได้ ซึ่งหมายถึง ร่างกายนี้เป็นรังของโรค แต่โรคนั้นแก้ไขได้ จุดหมายคือการแก้ไขความไม่สบายหรือโรคของชีวิตนั่นเอง<br /><br />กายานามัย คืออะไร<br /><br />กายานามัย หรือ Healthy body เป็นการส่งเสริมสุขภาพทางกายด้วยการออกกำลังกายด้วยวิธีต่างๆ เช่น การวิ่ง การว่ายน้ำ การเดิน เป็นต้น แต่ต้องเหมาะแก่วัยและสภาพร่างกายของบุคคล เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดและมีการเสี่ยงอันตรายน้อยที่สุด นอกจากนั้นการรับประทานอาหารที่ดีและการพักผ่อนอย่างเพียงพอจัดอยู่ในการส่งเสริมสุขภาพทางกายด้วย สำหรับแพทย์แผนไทยมีวิธีส่งเสริมสุขภาพโดยกายบริหารด้วยท่าฤาษีดัดตน ก้าวตา-ก้าวเต้น การนวดไทย และการรับประทานอาหารตามธาตุ ฯลฯ<br /><br />กายานามัยเป็นหลักปฏิบัติเพื่อป้องกันก่อนที่จะเจ็บป่วย โดยศาสตราจารย์นายแพทย์ อวย เกตุสิงห์ กล่าวว่า ผู้ที่มีอายุ  30 ปีขึ้นไป ในทางการแพทย์แผนไทยถือว่า “ปัจฉิมวัย” ตามคัมภีร์สมุฏฐานวินิจฉัย ธาตุทั้ง 4 (ดิน น้ำ ลม ไฟ) จะเริ่มทำงานเสื่อมลง เมื่อธาตุทั้ง 4 ทำงานไม่สมดุลกัน จะก่อให้เกิดโรคขึ้นได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาท คือ การดูแลร่างกายในเรื่องการบริโภคอาหารและการออกกำลังกาย<br /><br />หลักการบริโภคอาหารตามหลักกายานามัย คือ เน้นการบริโภคอาหารให้ถูกกับธาตุและโรค มีการปรับธาตุด้วยรสชาติต่าง ๆ ที่มีในตามธรรมชาติ เช่น การรับประทานอาหารรสร้อน ในผู้ที่มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เป็นต้น<br /><br />หลักการออกกำลังกายตามหลักกายานามัย เริ่มจากการปรับท่วงท่าหรืออิริยาบถของร่างกายในขณะหยุดนิ่งและเคลื่อนไหวให้เหมาะสม เพื่อบุคลิกภาพภายนอกที่ดีและไม่ก่อให้เกิดความเจ็บป่วยตามมา แล้วจึงออกกำลังกายโดยวิธีต่าง ๆ ให้เหมาะสมและสม่ำเสมอในแต่ละบุคคล เช่น ผู้ที่มีเข่าเสื่อมจะไม่เหมาะกับการออกกำลังกายที่มีการกระแทกหรือการย่อตัวลงนั่งที่มากเกินไป เป็นต้น<br /><br />จิตตานามัย คืออะไร<br /><br />         จิตตานามัย หรือ Healthy mind เป็นการส่งเสริมสุขภาพทางใจด้วยการปฏิบัติสมาธิและวิปัสสนาตามหลักพุทธธรรม หรือตามหลักศาสนาที่นับถืออยู่ เพื่อสร้างพื้นฐานจิตให้มั่นคง ไม่กวัดแกว่งไปตามกิเลส ไม่เครียด กล่าวง่าย ๆ คือ การพูดดี คิดดี ทำดี ตระหนักรู้และมีสติในทุกการกระทำ การปฏิบัติเพื่อฝึกจิตให้มั่นคง สามารถทำได้หลายวิธีไม่ว่าจะเป็น การเดินจงกรม การนั่งสมาธิตามหลักศาสนาพุทธ การนั่งสมาธิแบบคริสต์ตามแบบ WCCM (World community for Christian Meditation) ตามหลักศาสนาคริสต์ การละหมาดตามหลักศาสนาอิสลาม เป็นต้น<br /><br />สำหรับทางการแพทย์แผนไทย “ธาตุเจ้าเรือน” มีส่วนในการกำหนดวุฒิภาวะและอารมณ์ไม่มากก็น้อย เช่น คนที่มีธาตุไฟเป็นธาตุเจ้าเรือน มักจะเป็นคนรุ่มร้อน ใจร้อน กล้าหาญ หรือคนที่มีธาตุลมเป็นธาตุเจ้าเรือน มักจะเป็นคนใจโลเล โกรธง่ายหายเร็ว เป็นต้น หากเราเข้าใจ รู้จักจิตใจตัวเองดี จะทำให้เราสามารถควบคุมความคิดและความรู้สึกขณะรับกระทบอารมณ์ได้ดีด้วย และเมื่อควบคุมอารมณ์และความคิดได้ดีก็จะสามารถควบคุมพฤติกรรมการออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร การพักผ่อนให้เหมาะสม (กายานามัย) รวมถึงการควบคุมพฤติกรรมการดำรงชีวิตอื่น ๆ (ชีวิตานามัย) ได้ดีเช่นกัน ดั่งสำนวนที่ว่า “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว”<br /><br />ชีวิตานามัย คืออะไร<br /><br />        ชีวิตานามัย หรือ Healthy behavior เป็นการดำเนินชีวิตโดยยึดหลักอนามัย มีพฤติกรรมในการดำรงชีวิตประจำวันที่ดี เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตและครอบครัว ควบคุมพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเสียดุลยภาพของชีวิต เช่น การรับประทานอาหารที่ถูกต้อง มีประโยชน์ การจัดที่พักอาศัยให้สะอาด การละเว้นสิ่งเสพติดทั้งหลาย การดำเนินชีวิตอย่างใกล้ชิดกับธรรมชาติให้มาก หลีกเลี่ยงมลภาวะ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิตตามหลักชีวิตานามัย เป็นต้น<br /><br />การดำเนินชีวิตอย่างใกล้ชิดกับธรรมชาติ.... เป็นการปรับธาตุ 4 ภายนอก ด้วยการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี เช่น การปลูกต้นไม้ ไม้ดอก ไม้ผล หรือผักที่รับประทานได้ เพื่อนำมาประกอบอาหาร หรือควรปลูกต้นไม้เพื่อสร้างบรรยากาศ ความชุ่มชื่น ร่มเย็น รวมถึงการดูแลความสะอาดของบ้านเรือน และเครื่องแต่งกายที่สะอาดด้วย<br /><br />หลักธรรมนามัย......เป็นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพแบบบูรณาการ ร่วมกับการดำเนินชีวิตว่าด้วยหลักธรรมชาติของกายและจิตที่เคลื่อนไหวไปตามกาลเวลาและการกระทำสิ่งที่ดีและชั่ว โดยองค์ประกอบของหลักธรรมานามัยทั้ง 3 ประการนั้น ย่อมมีผลต่อกัน ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง หากผู้ที่ปฏิบัติดีก็จะส่งผลให้สุขภาพกาย ใจ และสิ่งแวดล้อมดีไปด้วย ถ้าหากปฏิบัติชั่วก็จะส่งผลไปในทางด้านตรงข้ามเช่นกัน<br /><br />Cr. มหาวิทยาลัยมหิดล คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก..... (ขอขอบพระคุณ).
บอกเสมอ ๆ ว่า "ร่างกายคือรังของโรค" การจะเอาชนะได้ต้องเคลื่อนไหวร่างกายและทำจิตใจให้สงบเย็นเป็นสมาธิ ในแนวทางของผมการเคลื่อนไหวร่างกายด้วย "จักรยาน" ครับ ส่วนการดูแลจิตใจก็ด้วยการศึกษาพระธรรมคำสอน(ปริยัติ) ไปวัด ให้ทาน สวดมนต์ นั่งสมาธิ ภาวนา (ปฏิบัติ)...เมื่อจิตใจเราสงบ เย็น เป็นสมาธิ ความรู้และประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ ตลอดจนวิชา(ธรรม)ต่าง ๆ จะค่อย ๆ ปรากฏให้เราได้รับรู้..ตามบุญวาสนา บารมี สำหรับครานี้มีบทความที่ว่าด้วยการดำรงชีวิตดีมาก ๆ มาฝากดังนี้ครับ


การดำรงชีวิตด้วยหลักธรรมานามัย(ความรู้แผนไทย ลงวันที่ 27 เมษายน 2563)


หลักธรรมานามัย หมายถึงอะไร

ประกอบด้วย 2 คำ คือ คำว่า “ธรรมะ” หมายถึง ธรรมชาติ และ “อนามัย” หมายถึง การมีสุขภาพที่ดี เมื่อนำมารวมกัน จึงมีความหมายว่า การสร้างเสริมสุขภาพที่ดีด้วยวิถีทางธรรมชาติ (Healthy by natural method) ซึ่งจะให้ความสำคัญแก่สิ่งที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ที่ช่วยให้มีร่างกายแข็งแรง มีจิตใจสงบ ตระหนักรู้คิด สามารถช่วยเหลือตนเองและสังคมได้ โดยเป็นแนวคิดของศาสตราจารย์นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ ซึ่งเป็นหนึ่งบุคคลที่ช่วยพัฒนาระบบสาธารณสุขของไทย

แนวคิดพื้นฐานของหลักธรรมานามัยในการแพทย์แผนไทยมองสุขภาวะแบบองค์รวม มองชีวิตคนเป็นนามรูป โดยรวมกายและใจเป็นเอกพจน์ ซึ่งเกี่ยวเนื่องรวมกันเป็นหนึ่ง ไม่แยกออกจากกัน เพราะมีความสัมพันธ์เชื่อมโยง เป็นระบบแห่งความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่าง ๆ ที่มาเกี่ยวข้องอิงอาศัยกัน มี 3 ส่วน คือ กายานามัย จิตตานามัย และชีวิตานามัย

ความหมายของสุขภาพในการแพทย์แผนไทย คือ สุขภาพกาย จิต สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยการดำเนินชีวิตอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติตามหลักพุทธธรรม ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น จิตที่ฝึกดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้ ซึ่งเป็นแนวคิดพื้นฐานของหลักธรรมานามัยในการแพทย์แผนไทย

เบื้องต้นให้มองโรคทั้งหมดเป็นชีวิต มองชีวิตว่าเป็นโรคที่ต้องเยียวยา แต่ว่า “โรค” นั้นเยียวยาได้ ซึ่งหมายถึง ร่างกายนี้เป็นรังของโรค แต่โรคนั้นแก้ไขได้ จุดหมายคือการแก้ไขความไม่สบายหรือโรคของชีวิตนั่นเอง

กายานามัย คืออะไร

กายานามัย หรือ Healthy body เป็นการส่งเสริมสุขภาพทางกายด้วยการออกกำลังกายด้วยวิธีต่างๆ เช่น การวิ่ง การว่ายน้ำ การเดิน เป็นต้น แต่ต้องเหมาะแก่วัยและสภาพร่างกายของบุคคล เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดและมีการเสี่ยงอันตรายน้อยที่สุด นอกจากนั้นการรับประทานอาหารที่ดีและการพักผ่อนอย่างเพียงพอจัดอยู่ในการส่งเสริมสุขภาพทางกายด้วย สำหรับแพทย์แผนไทยมีวิธีส่งเสริมสุขภาพโดยกายบริหารด้วยท่าฤาษีดัดตน ก้าวตา-ก้าวเต้น การนวดไทย และการรับประทานอาหารตามธาตุ ฯลฯ

กายานามัยเป็นหลักปฏิบัติเพื่อป้องกันก่อนที่จะเจ็บป่วย โดยศาสตราจารย์นายแพทย์ อวย เกตุสิงห์ กล่าวว่า ผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ในทางการแพทย์แผนไทยถือว่า “ปัจฉิมวัย” ตามคัมภีร์สมุฏฐานวินิจฉัย ธาตุทั้ง 4 (ดิน น้ำ ลม ไฟ) จะเริ่มทำงานเสื่อมลง เมื่อธาตุทั้ง 4 ทำงานไม่สมดุลกัน จะก่อให้เกิดโรคขึ้นได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาท คือ การดูแลร่างกายในเรื่องการบริโภคอาหารและการออกกำลังกาย

หลักการบริโภคอาหารตามหลักกายานามัย คือ เน้นการบริโภคอาหารให้ถูกกับธาตุและโรค มีการปรับธาตุด้วยรสชาติต่าง ๆ ที่มีในตามธรรมชาติ เช่น การรับประทานอาหารรสร้อน ในผู้ที่มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เป็นต้น

หลักการออกกำลังกายตามหลักกายานามัย เริ่มจากการปรับท่วงท่าหรืออิริยาบถของร่างกายในขณะหยุดนิ่งและเคลื่อนไหวให้เหมาะสม เพื่อบุคลิกภาพภายนอกที่ดีและไม่ก่อให้เกิดความเจ็บป่วยตามมา แล้วจึงออกกำลังกายโดยวิธีต่าง ๆ ให้เหมาะสมและสม่ำเสมอในแต่ละบุคคล เช่น ผู้ที่มีเข่าเสื่อมจะไม่เหมาะกับการออกกำลังกายที่มีการกระแทกหรือการย่อตัวลงนั่งที่มากเกินไป เป็นต้น

จิตตานามัย คืออะไร

จิตตานามัย หรือ Healthy mind เป็นการส่งเสริมสุขภาพทางใจด้วยการปฏิบัติสมาธิและวิปัสสนาตามหลักพุทธธรรม หรือตามหลักศาสนาที่นับถืออยู่ เพื่อสร้างพื้นฐานจิตให้มั่นคง ไม่กวัดแกว่งไปตามกิเลส ไม่เครียด กล่าวง่าย ๆ คือ การพูดดี คิดดี ทำดี ตระหนักรู้และมีสติในทุกการกระทำ การปฏิบัติเพื่อฝึกจิตให้มั่นคง สามารถทำได้หลายวิธีไม่ว่าจะเป็น การเดินจงกรม การนั่งสมาธิตามหลักศาสนาพุทธ การนั่งสมาธิแบบคริสต์ตามแบบ WCCM (World community for Christian Meditation) ตามหลักศาสนาคริสต์ การละหมาดตามหลักศาสนาอิสลาม เป็นต้น

สำหรับทางการแพทย์แผนไทย “ธาตุเจ้าเรือน” มีส่วนในการกำหนดวุฒิภาวะและอารมณ์ไม่มากก็น้อย เช่น คนที่มีธาตุไฟเป็นธาตุเจ้าเรือน มักจะเป็นคนรุ่มร้อน ใจร้อน กล้าหาญ หรือคนที่มีธาตุลมเป็นธาตุเจ้าเรือน มักจะเป็นคนใจโลเล โกรธง่ายหายเร็ว เป็นต้น หากเราเข้าใจ รู้จักจิตใจตัวเองดี จะทำให้เราสามารถควบคุมความคิดและความรู้สึกขณะรับกระทบอารมณ์ได้ดีด้วย และเมื่อควบคุมอารมณ์และความคิดได้ดีก็จะสามารถควบคุมพฤติกรรมการออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร การพักผ่อนให้เหมาะสม (กายานามัย) รวมถึงการควบคุมพฤติกรรมการดำรงชีวิตอื่น ๆ (ชีวิตานามัย) ได้ดีเช่นกัน ดั่งสำนวนที่ว่า “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว”

ชีวิตานามัย คืออะไร

ชีวิตานามัย หรือ Healthy behavior เป็นการดำเนินชีวิตโดยยึดหลักอนามัย มีพฤติกรรมในการดำรงชีวิตประจำวันที่ดี เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตและครอบครัว ควบคุมพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเสียดุลยภาพของชีวิต เช่น การรับประทานอาหารที่ถูกต้อง มีประโยชน์ การจัดที่พักอาศัยให้สะอาด การละเว้นสิ่งเสพติดทั้งหลาย การดำเนินชีวิตอย่างใกล้ชิดกับธรรมชาติให้มาก หลีกเลี่ยงมลภาวะ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิตตามหลักชีวิตานามัย เป็นต้น

การดำเนินชีวิตอย่างใกล้ชิดกับธรรมชาติ.... เป็นการปรับธาตุ 4 ภายนอก ด้วยการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี เช่น การปลูกต้นไม้ ไม้ดอก ไม้ผล หรือผักที่รับประทานได้ เพื่อนำมาประกอบอาหาร หรือควรปลูกต้นไม้เพื่อสร้างบรรยากาศ ความชุ่มชื่น ร่มเย็น รวมถึงการดูแลความสะอาดของบ้านเรือน และเครื่องแต่งกายที่สะอาดด้วย

หลักธรรมนามัย......เป็นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพแบบบูรณาการ ร่วมกับการดำเนินชีวิตว่าด้วยหลักธรรมชาติของกายและจิตที่เคลื่อนไหวไปตามกาลเวลาและการกระทำสิ่งที่ดีและชั่ว โดยองค์ประกอบของหลักธรรมานามัยทั้ง 3 ประการนั้น ย่อมมีผลต่อกัน ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง หากผู้ที่ปฏิบัติดีก็จะส่งผลให้สุขภาพกาย ใจ และสิ่งแวดล้อมดีไปด้วย ถ้าหากปฏิบัติชั่วก็จะส่งผลไปในทางด้านตรงข้ามเช่นกัน

Cr. มหาวิทยาลัยมหิดล คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก..... (ขอขอบพระคุณ).
438196218_640709534914981_7071580289692980298_n.jpg (160.61 KiB) เข้าดูแล้ว 125 ครั้ง
ไปเที่ยวกันต่อนะครับ.......เราเดินชมรอบวัดเก็บภาพต่าง ๆ และพากันไปกราบพระเรียกว่ารอบวัดครับ เอาให้จุใจผ่านไปผ่านมาไม่เคยแวะเลย วัดนี้จริง ๆ แล้วมีประวัติศาสตร์ให้เราค้นคว้าอีกมากมาย ใครมีเวลาหาโอกาสไปเยี่ยมชมนะครับ<br /><br />ออกจากวัดเวลาใกล้เที่ยงแล้วเราต้องไปรับอาม่าที่ร้านโกจือ(บ้าน) พาไปทานมื้อเที่ยง (ร้านสุกี้เอ็มเค) สดวกดีมีแบบมัง ฯ (สุกี้ผัก) ด้วย อาม่าและหลานชอบเป็ด สั่งเป็ดพะโล้มาแจมกับเส้นหมี่หยกหลานชายบอกมันก็เข้าท่าอยู่นะ ๕๕๕
ไปเที่ยวกันต่อนะครับ.......เราเดินชมรอบวัดเก็บภาพต่าง ๆ และพากันไปกราบพระเรียกว่ารอบวัดครับ เอาให้จุใจผ่านไปผ่านมาไม่เคยแวะเลย วัดนี้จริง ๆ แล้วมีประวัติศาสตร์ให้เราค้นคว้าอีกมากมาย ใครมีเวลาหาโอกาสไปเยี่ยมชมนะครับ

ออกจากวัดเวลาใกล้เที่ยงแล้วเราต้องไปรับอาม่าที่ร้านโกจือ(บ้าน) พาไปทานมื้อเที่ยง (ร้านสุกี้เอ็มเค) สดวกดีมีแบบมัง ฯ (สุกี้ผัก) ด้วย อาม่าและหลานชอบเป็ด สั่งเป็ดพะโล้มาแจมกับเส้นหมี่หยกหลานชายบอกมันก็เข้าท่าอยู่นะ ๕๕๕
525184.jpg (90.86 KiB) เข้าดูแล้ว 125 ครั้ง
525185.jpg
525185.jpg (82.24 KiB) เข้าดูแล้ว 125 ครั้ง
525187.jpg
525187.jpg (89.24 KiB) เข้าดูแล้ว 125 ครั้ง
672000_0.jpg
672000_0.jpg (90.75 KiB) เข้าดูแล้ว 125 ครั้ง
672002_0.jpg
672002_0.jpg (109.87 KiB) เข้าดูแล้ว 125 ครั้ง
525189.jpg
525189.jpg (80.79 KiB) เข้าดูแล้ว 125 ครั้ง
ทานเที่ยงเสร็จอาม่าขอให้ไปส่งเที่ยวหาหลานที่เปิดร้านกาแฟและทำรีสอร์ท(จำสถานที่ไม่ได้ ๕๕) ร้านทำน่านั่งเสียดายไม่พบกับคนที่อาม่าต้องการพบ อุดหนุนกาแฟและเครื่องดื่มนั่งสักครึ่ง ชม.ก็พากันกลับ เราส่งอาม่าที่ร้านและอำลาอาม่ากับน้องม่อยกลับ บ.ปากกองสารภี ถึงบ้านเกือบ ๕ โมงเย็น เป็นอันว่าทริปพาหลานทัวร์ช่วงปิดเทอม (๑๕ - ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๗) ก็มาถึงจุดสุดท้ายแต่เพียงนี้ <br /><br />ช่วงนี้ต้องรอให้สภาพร่างกายดีขึ้น และขณะนี้การผ่าตัดผ่านไปได้ ๖ เดือนแล้วแต่หมอยังไม่อนุญาตุให้ทำงานหนัก นั่นหมายความว่าเราจะออกทริปปั่นค้างแรมคงต้องรอผลหลังเดือน สิงหาคม โน่นละครับ (เหงาแย่เลย)
ทานเที่ยงเสร็จอาม่าขอให้ไปส่งเที่ยวหาหลานที่เปิดร้านกาแฟและทำรีสอร์ท(จำสถานที่ไม่ได้ ๕๕) ร้านทำน่านั่งเสียดายไม่พบกับคนที่อาม่าต้องการพบ อุดหนุนกาแฟและเครื่องดื่มนั่งสักครึ่ง ชม.ก็พากันกลับ เราส่งอาม่าที่ร้านและอำลาอาม่ากับน้องม่อยกลับ บ.ปากกองสารภี ถึงบ้านเกือบ ๕ โมงเย็น เป็นอันว่าทริปพาหลานทัวร์ช่วงปิดเทอม (๑๕ - ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๗) ก็มาถึงจุดสุดท้ายแต่เพียงนี้

ช่วงนี้ต้องรอให้สภาพร่างกายดีขึ้น และขณะนี้การผ่าตัดผ่านไปได้ ๖ เดือนแล้วแต่หมอยังไม่อนุญาตุให้ทำงานหนัก นั่นหมายความว่าเราจะออกทริปปั่นค้างแรมคงต้องรอผลหลังเดือน สิงหาคม โน่นละครับ (เหงาแย่เลย)
525190.jpg (64.46 KiB) เข้าดูแล้ว 125 ครั้ง
416008437_780627070545866_5747449893431148497_n (1).jpg
416008437_780627070545866_5747449893431148497_n (1).jpg (30.06 KiB) เข้าดูแล้ว 125 ครั้ง
ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งและขอกราบรำลึกไว้อาลัยกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของกลุ่มชาวอโศกในครั้งนี้ด้วย เมื่อครั้งที่ผมได้ประกาศตัว ละ เลิก อบายมุขทั้งหมดทั้งสิ้น แต่ ๑ ม.ค.๓๒ เป็นต้นมา และหันมาเป็นมนุษย์กินผัก ผมได้เคยพบกับพ่อท่านหลายครั้งและเคยไปกราบนมัสการที่สันติอโศกก็หลายครา ศรัทธาและชอบแนวทางของพ่อท่าน ตลอดถึงได้ไปร่วมงานต่าง ๆ ที่ทางพ่อท่านจัดขึ้น <br /><br />เมื่อครั้งที่บ้านเมืองเกิดกลียุคเดินขบวนขับไล่นายกทักษิณปรากฏว่า ทางสันติอโศกออกมาเป็นหัวหอกแม่งานเต็มตัว ทำให้ผมทบทวนการปฏิบัติธรรมที่ผ่านมาในแนวทางสันติเส้นทางธรรมคือการ &quot;ยุติด้วยธรรม&quot; เห็นว่าผมไปด้วยไม่ได้ การเมืองเป็นเรื่องของ &quot;โลก&quot; ทางธรรมพระพุทธองค์บัญญัติไว้ชัดเจนเป็น &quot;ข้อห้าม&quot; จากวันนั้นผมก็เลยถอยออกห่างจากหมู่กลุ่มไปโดยปริยาย แต่สำนึกในบุญคุณของพ่อท่านยังเต็มอกไม่ลืมครับ น่าจะเป็นเช่นที่ อ.ส.ศิวรักษ์ เขียนถึงพ่อท่านดังนี้.....     <br /><br /> คำไว้อาลัยของ ส. ศิวรักษ์ ต่อท่านพ่อสมณะโพธิรักษ์เมื่อ  ๑๑-๔-๖๗<br /><br />ผมขอแสดงความเสียใจในการจากไปของสมณะโพธิรักษ์ ซึ่งเมื่อก่อนบวชมีชื่อว่า รัก รักพงษ์ และมีเกียรติคุณพอสมควรในวงการสื่อสารมวลชน แต่เขาเห็นว่า นั่นเป็นของปลอม เขาจึงหันเข้าหาลัทธิศาสนา โดยเริ่มจากสนใจในทางเครื่องรางของขลัง และแล้วในที่สุดก็เห็นว่า การบวชเรียนในพุทธศาสนา คือคำตอบอันประเสริฐสุด เขาจึงขออุปสมบทที่วัดอโศการามในสังกัดธรรมยุติกนิกาย . <br /><br />เขาเห็นว่า คณะสงฆ์น่าจะปรับปรุงตัวเองให้สมสมัย โดยเขาลืมไปว่า พระบวชใหม่นั้นจะต้องถือนิสัยอย่างน้อย ๕ ปี กล่าวคือ ต้องให้ครูบาอาจารย์กำหนดการประพฤติ การปฏิบัติโดยเจ้าตัวจะแหวกแนวออกไปไม่ได้ แต่สมณะโพธิรักษ์ไม่รับความจริงข้อนี้ และพยายามปรับปรุงธรรมยุติที่สังกัดอยู่ แต่ไม่ได้รับความสำเร็จ <br /><br />เขาจึงบวชใหม่ในคณะมหานิกาย แต่ไม่สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไร . น่าเสียดาย ถ้าเขาเห็นครูบาอาจารย์ที่สำคัญ เช่น พระอาจารย์พุทธทาส ทางปักษ์ใต้ และพระอาจารย์ชา สุภทฺโท ทางอุบลราชธานี เขาก็น่าจะปรับตัวเข้ากับการพระศาสนาได้อย่างสมสมัย . <br /><br />เมื่อเขาขาดครูบาอาจารย์ที่สำคัญ เขาจึงตั้งตัวเป็นครูบาอาจารย์เอง อันตรายก็คือ เขาขาดกัลยาณมิตร จึงคิดเอง ทำเอง บางครั้งก็ทำในสิ่งซึ่งเกินความรู้ความสามารถของเขา เช่น เขาอ้างว่า เขารู้ภาษาบาลีโดยไม่ได้ร่ำเรียนมา เป็นต้น . <br /><br />อย่างไรก็ดี ขบวนการที่เขาจัดตั้งขึ้น เน้นในทางต่อต้านทุนนิยม บริโภคนิยมอย่างควรแก่การยกย่อง และเขาขยายขบวนการนี้ ไปทางจังหวัดต่าง ๆ เช่นนครปฐม ปฐมอโศก เป็นต้น ทุกแห่งผลิตพืชผักปราศจากสารพิษ ผลิตผลต่างๆ ไม่มุ่งผลกำไร มุ่งที่บุญเป็นสำคัญ นับว่าท้าทายทุนนิยม บริโภคนิยมอย่างน่าสังเกต . <br /><br />นี่นับว่าผิดไปจากพระธรรมกายอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะคณะดังกล่าวมุ่งไปในทางสัทธรรมปฏิรูปสอนให้คนงมงายและติดยึดในทางวัตถุ แม้จะอ้างคำสอนพระพุทธเจ้า แต่คณะธรรมกายไม่ถูกเบียดเบียนจากคณะสงฆ์ด้วยประการใดๆ ทั้งนี้ โดยไม่ต้องกล่าวว่า คณะพระธรรมกายติดคณะสงฆ์เป็นจำนวนทีละมากๆ อีกด้วย . <br /><br />ผมได้เตือนท่านโพธิรักษ์แล้วว่าให้ทำกิจกรรมดีไปเรื่อยๆ อย่าไปโจมตีคณะสงฆ์ส่วนใหญ่ ท่านอดไม่ได้ คณะสงฆ์ส่วนใหญ่จึงรวมตัวกันออกประกาศปัพพาชนียกรรม ไม่ยอมรับคณะสันติอโศกว่าเป็นพระภิกษุในพระศาสนา เรื่องนี้ต้องเป็นคดีถึงขึ้นโรงขึ้นศาล และแล้วก็สรุปด้วยการไกล่เกลี่ยว่า ให้สมาชิกเป็นคณะ ไม่ใช่พระภิกษุ เป็นอภิสิทธิ์บางประการดังนักพรตในศาสนาอิสลาม เป็นต้น . <br /><br />แม้สันติอโศกจะเป็นองค์กรอิสระที่ต่อต้านทุนนิยม บริโภคนิยมอย่างน่าจับตามอง แต่เป็นที่น่าเสียดายที่คณะนี้ไม่ได้ดำเนินกิจกรรมตามคณะสงฆ์ กล่าวคือ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับโพธิรักษ์คนเดียว . บัดนี้เขาได้จากไปแล้ว คณะสันติอโศกจะแตกกันหรือดำรงคงอยู่ได้ น่าสงสัย และถ้าสามารถดำเนินกิจกรรมต่อไปได้ในทางต่อต้านทุนนิยม ก็เป็นเรื่องที่น่าศึกษาหาความรู้ . อย่างไรก็ตาม ผมขอยกย่องเชิดชูสมณะโพธิรักษ์ ในฐานะที่มีทัศนะอย่างแหวกออกไป และอุทิศตัวเพื่อสังคมอย่างน่าทึ่ง .<br /><br /> ส. ศิวรักษ์  ๑๑-๔-๖๗ ------------- ภาพ : &quot;งาน ๘๔ ปี ชาตกาลอาจารย์ ส. ศิวรักษ์&quot; เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๙ ณ พุทธสถานสันติอโศก กทม.
ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งและขอกราบรำลึกไว้อาลัยกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของกลุ่มชาวอโศกในครั้งนี้ด้วย เมื่อครั้งที่ผมได้ประกาศตัว ละ เลิก อบายมุขทั้งหมดทั้งสิ้น แต่ ๑ ม.ค.๓๒ เป็นต้นมา และหันมาเป็นมนุษย์กินผัก ผมได้เคยพบกับพ่อท่านหลายครั้งและเคยไปกราบนมัสการที่สันติอโศกก็หลายครา ศรัทธาและชอบแนวทางของพ่อท่าน ตลอดถึงได้ไปร่วมงานต่าง ๆ ที่ทางพ่อท่านจัดขึ้น

เมื่อครั้งที่บ้านเมืองเกิดกลียุคเดินขบวนขับไล่นายกทักษิณปรากฏว่า ทางสันติอโศกออกมาเป็นหัวหอกแม่งานเต็มตัว ทำให้ผมทบทวนการปฏิบัติธรรมที่ผ่านมาในแนวทางสันติเส้นทางธรรมคือการ "ยุติด้วยธรรม" เห็นว่าผมไปด้วยไม่ได้ การเมืองเป็นเรื่องของ "โลก" ทางธรรมพระพุทธองค์บัญญัติไว้ชัดเจนเป็น "ข้อห้าม" จากวันนั้นผมก็เลยถอยออกห่างจากหมู่กลุ่มไปโดยปริยาย แต่สำนึกในบุญคุณของพ่อท่านยังเต็มอกไม่ลืมครับ น่าจะเป็นเช่นที่ อ.ส.ศิวรักษ์ เขียนถึงพ่อท่านดังนี้.....

คำไว้อาลัยของ ส. ศิวรักษ์ ต่อท่านพ่อสมณะโพธิรักษ์เมื่อ ๑๑-๔-๖๗

ผมขอแสดงความเสียใจในการจากไปของสมณะโพธิรักษ์ ซึ่งเมื่อก่อนบวชมีชื่อว่า รัก รักพงษ์ และมีเกียรติคุณพอสมควรในวงการสื่อสารมวลชน แต่เขาเห็นว่า นั่นเป็นของปลอม เขาจึงหันเข้าหาลัทธิศาสนา โดยเริ่มจากสนใจในทางเครื่องรางของขลัง และแล้วในที่สุดก็เห็นว่า การบวชเรียนในพุทธศาสนา คือคำตอบอันประเสริฐสุด เขาจึงขออุปสมบทที่วัดอโศการามในสังกัดธรรมยุติกนิกาย .

เขาเห็นว่า คณะสงฆ์น่าจะปรับปรุงตัวเองให้สมสมัย โดยเขาลืมไปว่า พระบวชใหม่นั้นจะต้องถือนิสัยอย่างน้อย ๕ ปี กล่าวคือ ต้องให้ครูบาอาจารย์กำหนดการประพฤติ การปฏิบัติโดยเจ้าตัวจะแหวกแนวออกไปไม่ได้ แต่สมณะโพธิรักษ์ไม่รับความจริงข้อนี้ และพยายามปรับปรุงธรรมยุติที่สังกัดอยู่ แต่ไม่ได้รับความสำเร็จ

เขาจึงบวชใหม่ในคณะมหานิกาย แต่ไม่สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไร . น่าเสียดาย ถ้าเขาเห็นครูบาอาจารย์ที่สำคัญ เช่น พระอาจารย์พุทธทาส ทางปักษ์ใต้ และพระอาจารย์ชา สุภทฺโท ทางอุบลราชธานี เขาก็น่าจะปรับตัวเข้ากับการพระศาสนาได้อย่างสมสมัย .

เมื่อเขาขาดครูบาอาจารย์ที่สำคัญ เขาจึงตั้งตัวเป็นครูบาอาจารย์เอง อันตรายก็คือ เขาขาดกัลยาณมิตร จึงคิดเอง ทำเอง บางครั้งก็ทำในสิ่งซึ่งเกินความรู้ความสามารถของเขา เช่น เขาอ้างว่า เขารู้ภาษาบาลีโดยไม่ได้ร่ำเรียนมา เป็นต้น .

อย่างไรก็ดี ขบวนการที่เขาจัดตั้งขึ้น เน้นในทางต่อต้านทุนนิยม บริโภคนิยมอย่างควรแก่การยกย่อง และเขาขยายขบวนการนี้ ไปทางจังหวัดต่าง ๆ เช่นนครปฐม ปฐมอโศก เป็นต้น ทุกแห่งผลิตพืชผักปราศจากสารพิษ ผลิตผลต่างๆ ไม่มุ่งผลกำไร มุ่งที่บุญเป็นสำคัญ นับว่าท้าทายทุนนิยม บริโภคนิยมอย่างน่าสังเกต .

นี่นับว่าผิดไปจากพระธรรมกายอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะคณะดังกล่าวมุ่งไปในทางสัทธรรมปฏิรูปสอนให้คนงมงายและติดยึดในทางวัตถุ แม้จะอ้างคำสอนพระพุทธเจ้า แต่คณะธรรมกายไม่ถูกเบียดเบียนจากคณะสงฆ์ด้วยประการใดๆ ทั้งนี้ โดยไม่ต้องกล่าวว่า คณะพระธรรมกายติดคณะสงฆ์เป็นจำนวนทีละมากๆ อีกด้วย .

ผมได้เตือนท่านโพธิรักษ์แล้วว่าให้ทำกิจกรรมดีไปเรื่อยๆ อย่าไปโจมตีคณะสงฆ์ส่วนใหญ่ ท่านอดไม่ได้ คณะสงฆ์ส่วนใหญ่จึงรวมตัวกันออกประกาศปัพพาชนียกรรม ไม่ยอมรับคณะสันติอโศกว่าเป็นพระภิกษุในพระศาสนา เรื่องนี้ต้องเป็นคดีถึงขึ้นโรงขึ้นศาล และแล้วก็สรุปด้วยการไกล่เกลี่ยว่า ให้สมาชิกเป็นคณะ ไม่ใช่พระภิกษุ เป็นอภิสิทธิ์บางประการดังนักพรตในศาสนาอิสลาม เป็นต้น .

แม้สันติอโศกจะเป็นองค์กรอิสระที่ต่อต้านทุนนิยม บริโภคนิยมอย่างน่าจับตามอง แต่เป็นที่น่าเสียดายที่คณะนี้ไม่ได้ดำเนินกิจกรรมตามคณะสงฆ์ กล่าวคือ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับโพธิรักษ์คนเดียว . บัดนี้เขาได้จากไปแล้ว คณะสันติอโศกจะแตกกันหรือดำรงคงอยู่ได้ น่าสงสัย และถ้าสามารถดำเนินกิจกรรมต่อไปได้ในทางต่อต้านทุนนิยม ก็เป็นเรื่องที่น่าศึกษาหาความรู้ . อย่างไรก็ตาม ผมขอยกย่องเชิดชูสมณะโพธิรักษ์ ในฐานะที่มีทัศนะอย่างแหวกออกไป และอุทิศตัวเพื่อสังคมอย่างน่าทึ่ง .

ส. ศิวรักษ์ ๑๑-๔-๖๗ ------------- ภาพ : "งาน ๘๔ ปี ชาตกาลอาจารย์ ส. ศิวรักษ์" เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๙ ณ พุทธสถานสันติอโศก กทม.
434055513_1129824324877838_2997300830770553954_n.jpg (68.14 KiB) เข้าดูแล้ว 125 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
ตอบกลับ

กลับไปยัง “ทัวร์ริ่ง (Touring)”