นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

ผู้ดูแล: เสือเพชรบูรณ์, V3 ป่าเลา

กฏการใช้บอร์ด
ที่อยู่ มหาวิทยาลัยราชภัฎเพชรบูรณ์ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ 67000
oui142
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2350
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
Tel: 0832150005
team: เพชรบูรณ์
Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
ติดต่อ:

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย oui142 »

รูปภาพ

รูปภาพ
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน”
รพี พัฒนศักดิ์



"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
oui142
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2350
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
Tel: 0832150005
team: เพชรบูรณ์
Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
ติดต่อ:

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย oui142 »

รูปภาพ

ปวดหลังแบบไหนที่ไม่ธรรมดา.

อาการปวดหลังส่วนใหญ่ไม่ร้ายแรงและหายเองได้ แต่อาการปวดหลังที่เป็นไข้หรือความผิดปกติของระบบปัสสาวะด้วย หรือปวดแบบไม่ทุเลาแม้จะนอนพักแล้วก็ตาม เจ็บปวดแบบเฉียบพลันแบบไม่รู้สาเหตุ อาจเกิดจากสาเหตุอื่นที่ไม่ได้มาจากกล้ามเนื้อและข้อ เช่น

-เนื้องอกของกระดูกสันหลัง หรือมะเร็งที่กระจายมาที่กระดูกสันหลัง
-ความผิดปกติของอวัยวะภายใน แล้วมีอาการปวดร้าวไปถึงหลัง เช่น นิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ
-การอักเสบหรือมีการติดเชื้อ เช่น วัณโรคกระดูกสันหลัง

สิ่งที่คุณต้องบอกแพทย์เมื่อปวดหลัง คือ รูปแบบการปวด ประวัติการปวด ช่วงเวลาการปวด ระยะเวลาปวด เช่นเดียวกับการเช็คอาการปวดหัว รวมทั้ง..

ตำแหน่งที่ปวด - ปวดทั้งแผ่นหลัง - กลางกระดูกสันหลัง - ปวดเอว - กดกล้ามเนื้อแผ่นหลังแล้วเจ็บ - อื่นๆ

อาการ - ปวดเมื่อยตามตัว - ปวดตามกล้ามเนื้อ - ปวดร้าวหลังและไหล่ - อื่นๆ

อาการร่วม - มีไข้ - ถ่ายอุจจาระมีเลือดปน - รู้สึกเหมือนมีอะไรติดคอ - คลื่นไส้อาเจียน - เบื่ออาหาร - ความดันเลือดสูง - อื่นๆ

ข้อสันนิษฐานโรคเบื้องต้น

อาการ : ปวดเมื่อย กล้ามเนื้อตึงตัว เคลื่อนไหวลำบาก หลังยกของหรือทำงานหนัก
โรค : ปวดหลังแบบธรรมดา

อาการ : ปวดเสียว กล้ามเนื้อกระตุก ปวดเหมือนไฟฟ้าช็อต
โรค : เส้นประสาทอักเสบ

อาการ : มีไข้สูงลอย 2-7 วัน ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว คล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่ แต่ไม่มีอาการไอ เจ็บคอ มีจุดแดงขึ้นตามตัว
โรค : ไข้เลือดออก

อาการ : มีไข้สูง หนาวสั่น ปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร เจ็บหน้าอก รู้สึกอ่อนเพลีย
โรค : ไข้หวัดใหญ่

อาการ : ปวดหลัง ปวดเอว มีไข้สูง หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดแสบปวดร้อนขณะถ่ายปัสสาวะ
โรค : ไตและกรวยไตอักเสบ

อาการ : ปวดเหนือบั้นเอวทั้งสองข้าง อาจคลำพบก้อนบริเวณไต มีเลือดปนในปัสสาวะ ความดันโลหิตสูง โลหิตจาง
โรค : ถุงน้ำในไต

อาการ : ครั่นเนื้อครั่นตัว ทางเดินอาหารผิดปกติ มีไข้ ปวดรุนแรงและเรื้อรังตามเส้นประสาท มีผื่นแดงและตุ่มน้ำขนาดเล็ก
โรค : งูสวัด

Via คลังความรู้เรื่อง การรักษาสุขภาพ
ที่มา : health&cruisine/by สาระแห่งสุขภาพ
Cr pic ; lanna-hospital.com
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน”
รพี พัฒนศักดิ์



"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
oui142
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2350
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
Tel: 0832150005
team: เพชรบูรณ์
Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
ติดต่อ:

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย oui142 »

รูปภาพ
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน”
รพี พัฒนศักดิ์



"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
oui142
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2350
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
Tel: 0832150005
team: เพชรบูรณ์
Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
ติดต่อ:

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย oui142 »

'กิน-นอน'ถูกวิธีก็ผอมได้

อาการไขมันเกินและพอกพูนกลายเป็นความอ้วน ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ของคนไทยอีกต่อไป หากย้อนมาแก้ที่ต้นเหตุให้ถูกจุด

อาการไขมันเกินและพอกพูนกลายเป็นความอ้วน ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ของคนไทยอีกต่อไป หากย้อนมาแก้ที่ต้นเหตุให้ถูกจุด สมดุลที่พอดีก็จะคืนหุ่นสวยๆ ได้ไม่ยาก

ร่างกายคนเรามักเกิดการสะสมของไขมันได้ง่ายหลังอายุขึ้นเลข 3 โดยเฉพาะในผู้หญิงจะพบได้มากกว่าผู้ชาย ตรงบริเวณส่วนต้นขา สะโพก ต้นแขน เนื่องจากหลายสาเหตุเกี่ยวโยงกัน ตั้งแต่ตื่นนอนไปจนกระทั่งนอนหลับ

“ร่างกายของคนเราและสิ่งมีชีวิตทั้งหลายล้วนต้องพึ่งพาแสงแดด และแสงจันทร์ในการดำรงชีวิต เห็นชัดๆ จากระบบการผลิตฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกาย จะทำงานตั้งแต่เช้า หากตื่นได้ก่อน 6 โมงเช้า แล้วออกกำลังกายเบาๆ สักครึ่งชั่วโมง ฮอร์โมนคอร์ติซอลที่มีส่วนกระตุ้นให้ระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกายจะทำงานได้ดี และยากที่จะเกิดการสะสมของไขมันที่กินเข้าไป” พญ.มนวรัตน์ พ่อค้า ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและเวชศาสตร์ชะลอวัย คลินิกฮาร์โมนี อธิบาย


ส่วนคนที่ตื่นสายเป็นประจำก็ดูกันไม่ยาก มักมีร่างกายเจ้าเนื้อ เพราะฮอร์โมนดังกล่าวทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร กินเท่าไหร่ก็สะสม ระหว่างวันก็ไม่ค่อยพร้อมที่จะทำกิจกรรมอะไรมากนัก ง่วงนอนง่าย หิวบ่อย ขณะที่คนไหนใช้ชีวิตอย่างเป็นระเบียบกินเป็นเวลา นอนเป็นเวลา ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ร่างกายจะตื่นตัวในการใช้ชีวิตมากกว่าคนที่ไม่ดูแลเลย

ฉะนั้น การปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกายให้ทำงานมีประสิทธิภาพ นอกจากตื่นเช้าแล้ว ช่วง 7-8 โมงเช้าก็ควรรับประทานอาหารมื้อเช้า ซึ่งเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด เนื่องจากจะส่งผลถึงสมองให้ทำงานสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น โดยมื้อหลังเที่ยงไปแล้วก็ให้เลี่ยงเมนูแป้งหรือคาร์โบไฮเดรต แต่เลือกกินโปรตีนเบาๆ แทน จากนั้นมื้อเย็นก็เลือกกินผักผลไม้เพื่อให้ร่างกายขับถ่ายคล่องในตอนเช้า


“คนส่วนใหญ่มักเน้นมื้อเย็นให้หนัก เพื่อให้รางวัลชีวิตหลังเหนื่อยกับงานมาทั้งวัน แต่ไม่ออกกำลังกายเลย แถมถามหมอว่า ทำอย่างไรดีจึงจะผอม? คำถามนี้หมอว่า คนที่ถามน่าจะรู้พฤติกรรมการกินอยู่ของตัวเองดีที่สุดว่า มีการใส่ใจหรือถูกละเลยอย่างไรจึงเกิดผลเช่นนั้น เพราะถ้าเพียงถามแต่ไม่ลงมือทำ อีก 10 ปีก็มีแต่จะน้ำหนักเพิ่มแน่ๆ” คุณหมอกล่าว

อาหารเป็นปัจจัยทำให้อ้วนได้ 70-80% การออกกำลังกายช่วยเผาผลาญพลังงานที่กินเข้าไปได้แค่ 20% เท่านั้น วิธีที่กินแล้วไม่อ้วน ผู้กินก็ต้องจัดสรรเรื่องเวลาให้เหมาะสม ด้วยการทิ้งช่วงห่างกับการนอนอย่างน้อย 3-4 ชั่วโมง เพื่อให้ลำไส้มีเวลาพอที่จะย่อยอาหารได้เสร็จสมบูรณ์และนอนหลับสนิท ไม่ปวดท้องจากการกินมากจนนอนไม่ได้
มื้อเย็นควรกินให้เสร็จก่อน 6 โมงเย็น เพราะขณะที่นอนหลับลำไส้ของเราจะหยุดทำงานไปด้วย คนไหนกินก่อนนอนปริมาณมากๆ ร่างกายจะย่อยไม่ทันและเกิดการหมัก สุดท้ายร่างกายก็ดูดซึมกากอาหารเหล่านั้นกลับเข้ามาหมุนเวียนในร่างกาย จนเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาเรื่องการอุดตันอวัยวะต่างๆ ตามมาในอนาคต

การนอนที่จะได้ประโยชน์นั้น ควรเว้นห่างจากมื้อเย็นไปแล้ว เพื่อให้อวัยวะต่างๆ ได้พักผ่อนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยปิดแสงไฟอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ ให้หมด เพื่อให้เกิดความมืดและสมองสั่งการให้ร่างกายหลับ ซึ่งเวลาที่เหมาะสมควรเป็นช่วงก่อน 4 ทุ่ม เพราะร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนินและโกรทฮอร์โมนออกมาซ่อมแซมร่างกาย คงความเยาว์วัยอยู่กับเรานานๆ


“การนอนทำให้ร่างกายได้รับการซ่อมแซมส่วนต่างๆ ได้ดีที่สุด หมออยากให้ทุกคนหันมาตระหนักเรื่องการใส่ใจสุขภาพให้มากขึ้น ด้วยการปรับไลฟ์สไตล์ ลองตื่นเช้าดู นอนเร็ว ไม่กินดึก เชื่อว่าน้ำหนักของหลายคนที่ทำตามต้องลดแน่ๆ โดยไม่ต้องพึ่งอาหารเสริม หรือคอร์สลดน้ำหนัก ซึ่งระยะยาวหากเจ้าตัวไม่ได้คิดจะปรับพฤติกรรมของตัวเองก็จะกลับมาอ้วนเหมือนเดิม” คำแนะนำจากแพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัย

http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... อมได้.html


รูปภาพ
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน”
รพี พัฒนศักดิ์



"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
oui142
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2350
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
Tel: 0832150005
team: เพชรบูรณ์
Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
ติดต่อ:

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย oui142 »

รูปภาพ
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน”
รพี พัฒนศักดิ์



"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
oui142
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2350
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
Tel: 0832150005
team: เพชรบูรณ์
Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
ติดต่อ:

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย oui142 »

รูปภาพ
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน”
รพี พัฒนศักดิ์



"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
oui142
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2350
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
Tel: 0832150005
team: เพชรบูรณ์
Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
ติดต่อ:

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย oui142 »

รูปภาพ
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน”
รพี พัฒนศักดิ์



"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
oui142
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2350
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
Tel: 0832150005
team: เพชรบูรณ์
Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
ติดต่อ:

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย oui142 »

รูปภาพ

4 ภารกิจสุขภาพสตรี ที่ผู้หญิงต้องตรวจ

ในช่วงเดือนสิงหาคม โรงพยาบาลต่างๆ มักเข็นโปรโมชั่นตรวจสุขภาพหลากหลายมาแข่งขันกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แพกเกจตรวจสุขภาพสตรี

ผู้หญิงเราควรต้องตรวจอะไรกันบ้าง

1. ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก หรือการทำ Pap Test

ผู้หญิงทุกคนที่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาแล้วไม่ว่าอายุเท่าใดต้องตรวจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาววัยรุ่นที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย เคยมีคู่หลายคน และ/หรือปัจจุบันมีคู่ขาหลายคน

สมาคมโรคมะเร็งของอเมริกาได้แนะนำให้เริ่มตรวจ Pap หลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกไปแล้ว 3 ปี หรือมีอายุมากกว่า 21 ปี ถึงไม่มีเพศสัมพันธ์ ก็ควรตรวจคัดกรองหามะเร็งปากมดลูกทุก 1-2 ปี

2. ตรวจภายใน

ผู้หญิงวัยเจริญพันธ์ตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไปควรตรวจภายในประจำปีตรวจทุกปี แม้ไม่เคยผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาก่อน ครั้นอายุขึ้นเลข 3 ปั๊บ ก็ควรไปตรวจภายในได้แล้วค่ะ

และเพื่อความมั่นใจ สะดวก จำง่าย เวลาไปตรวจภายใน ก็ตรวจมะเร็งปากมดลูกทุกปีพร้อมกันไปเลยค่ะ

ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ก่อนการนัดตรวจล่วงหน้า 2 วัน ไม่ควรสวนหรือล้างภายในช่องคลอด ไม่ควรจะเหน็บยา และไม่ควรไปตรวจช่วงมีประจำเดือน ช่วงที่ดีที่สุดคือ หลังมีประจำเดือน 5 วัน

3. ตรวจมะเร็งเต้านม

มี 3 ลำดับขั้นตอน เริ่มจากการตรวจเต้านมด้วยตัวเอง ควรจะตรวจอย่างน้อยเดือนละครั้ง ระยะเวลาที่เหมาะสมในการตรวจคือ หลังจากประจำเดือนหมด

พออายุ 20 ปี ควรไปหาแพทย์ตรวจเต้านมโดยแพทย์ โดยตรวจทุก 3 ปี แต่หากขึ้นเลข 4 แล้วควรจะทำควบคู่กับการทำแมมโมแกรม (Mammogram)

เพราะจัดว่าแมมโมแกรมเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตรวจคัดกรอง สามารถทำให้การวินิจฉัยมะเร็งเต้านมได้เร็วกว่าการคลำถึง 2 ปี

สถาบันมะเร็งแห่งชาติของอเมริกาแนะนำ ให้ประชาชนที่มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม หรือเคยเป็นมะเร็งเต้านมมาก่อนควรจะตรวจแมมโมแกรมก่อนเลย ไม่ต้องรอให้ถึงอายุ 40 ปี

ไม่ควรนัดตรวจเต้านมก่อนมีประจำเดือน เนื่องจากช่วงนั้นเต้านมจะคัดและเจ็บควรจะตรวจหลังจากหมดประจำเดือนไปแล้วหนึ่งสัปดาห์

4. ตรวจความหนาแน่นของกระดูก (Bone density measurement)

สาวคนไหนที่ได้รับการตัดรังไข่ออกทั้ง 2 ข้าง หรือผู้ที่ระดูหมดเร็ว หรือหมดระดูเป็นสาวใหญ่วัยทองแล้ว จะมีภาวะเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุน จึงต้องตรวจความหนาแน่นของกระดูก โดยเฉลี่ยคือ อายุ 45 ปี เวลาไปตรวจสุขภาพประจำปี ก็ควรตรวจไปด้วยเลย

http://www.manager.co.th/celebonline/vi ... 0000100511
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน”
รพี พัฒนศักดิ์



"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
oui142
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2350
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
Tel: 0832150005
team: เพชรบูรณ์
Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
ติดต่อ:

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย oui142 »

รูปภาพ

กินกล้วยแล้วได้อะไร?

สารอาหารที่ได้จากกล้วยได้แก่
1. วิตามินบี1 และบี 2 เร่งการเผาผลาญน้ำตาลและไขมัน ป้องกันตัวบวม และฟื้นฟูร่างกายจากความเหนื่อยล้า
2. เกลือแร่ เช่น โปรแตสเซียม ช่วยในการขับโซเดียมออกทางปัสสาวะ และแมกนีเซียม ช่วยควบคุมความดันเลือด และการทำงานของแคลเซียม
3. มีเส้นใยอาหาร (fiber) บรรเทาอาการท้องผูกได้ดี
4. กล้วยยังมีฤทธิ์ในการขับพิษสูง เพราะแป้งในกล้วยดิบจะช่วยดีท็อกซ์ ส่วนกล้วยสุกช่วยเสริมภูมิต้านทานป้องกันหวัดได้ดี
5. สารโพลีฟินอล มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ทำหน้าที่ชะลอความแก่
6. สารยูจินอล ซึ่งเป็นไฟโตเคมีคัล ที่ช่วยเร่งการพัฒนาสภาพร่างกาย
7. เซโรโทนิน ช่วยลดอาการหงุดหงิด และทำให้ความอยากอาหารลดลง
8. ในเนื้อกล้วยเองมีเอ็นไซม์ช่วยย่อย ก็จะทำให้การย่อยเป็นไปอย่างราบรื่น
9. น้ำตาลในกล้วย ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้มีสมาธิกับการทำงานมากขึ้น และส่งผลให้ความถี่และปริมาณการบริโภคน้ำตาลในระหว่างวันลดลงไปโดยปริยาย
10. มีผลวิจัยว่ากล้วยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ NK ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่จัดการมะเร็งได้ด้วย

ชอบกด Like & Share แบ่งปันสุขภาพที่ดีให้กับคนที่คุณรัก
ฝากกด LIKE หน้าเพจ @Be Healthy เป็นกำลังใจให้ด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ

ที่มา: yenta4.com
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน”
รพี พัฒนศักดิ์



"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
oui142
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2350
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
Tel: 0832150005
team: เพชรบูรณ์
Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
ติดต่อ:

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย oui142 »

รูปภาพ
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน”
รพี พัฒนศักดิ์



"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
oui142
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2350
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
Tel: 0832150005
team: เพชรบูรณ์
Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
ติดต่อ:

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย oui142 »

รูปภาพ

รูปภาพ
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน”
รพี พัฒนศักดิ์



"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
oui142
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2350
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
Tel: 0832150005
team: เพชรบูรณ์
Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
ติดต่อ:

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย oui142 »

รูปภาพ

เทคนิค "ซักเครื่องนอน" ช่วยลดสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น

วันนี้มีบทความดีๆ จาก พญ.สิรินันท์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์
นายแพทย์เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ ผู้เขียนหนังสือ "โรคภูมิแพ้ ตอนแพ้ไรฝุ่น" มาฝากท่านผู้อ่านกันครับ

โดยบทความที่ว่านี้ เป็นการแนะนำวิธีซักเครื่องนอนเพื่อลดปริมาณตัวไรฝุ่น และสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มดังกล่าว (ที่ทีมงานได้รับอนุญาตจากสำนักพิมพ์แล้ว) เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูก หรือใครในบ้านที่แพ้ไรฝุ่นได้ทำความเข้าใจกับวิธีการซักเครื่องนอนอย่างถูกวิธี ส่วนเนื้อหาจะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันได้เลยครับ

การซักผ้าด้วยน้ำเย็น

การซักผ้าด้วยน้ำเย็นสามารถชะล้างสารก่อภูมิจากไรฝุ่นออกได้เพราะสารก่อภูมิแพ้ดังกล่าว สามารถละลายน้ำได้โดยการซักด้วยน้ำเปล่าจะชะล้างสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นออกไปได้ประมาณร้อยละ 85 แต่การซักด้วยน้ำเปล่าฆ่าไรฝุ่นไม่ได้นะคะ คือ ตัวมันไม่ตาย เราเพียงล้างเศษซากต่างๆ และอึของมันออกไปเฉยๆ แต่ตัวไรฝุ่นเป็นๆ ยังเกาะผ้าอยู่ได้

ส่วนการซักผ้าด้วยผงซักฟอกจะชะล้างสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นออกได้ดีกว่าการซักด้วยน้ำเปล่าเฉยๆ โดยการซักในน้ำเย็นผสมผงซักฟอก 5 นาทีที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียสจะชะล้างสารก่อภูมิแพ้ออกได้ร้อยละ 95 แต่ถ้าใส่น้ำยาผ้าขาวลงไปด้วยจะชะล้างสารก่อภูมิแพ้ได้เพิ่มขึ้นอีกหน่อยแต่ก็อย่าลืมว่า ตัวไรฝุ่นที่ไม่ตาย และยังเกาะแน่นอยู่ในเนื้อผ้านี้ สามารถผลิตสารก่อภูมิแพ้ออกมาใหม่ และจะก่อโรคได้อีกเมื่อนำผ้านั้นกลับมาใช้

มีการศึกษาในต่างประเทศ โดยใช้เครื่องซักผ้าตามบ้านมาทำวิจัยพบว่า ถ้าซักผ้าด้วยน้ำเย็นที่อุณหภูมิปกติ แม้จะใส่ผงซักฟอกธรรมดาหรือเติมน้ำยาซักผ้าขาวไปด้วย ก็ไม่สามารถฆ่าตัวไรฝุ่นได้ดีไปกว่าการซักด้วยน้ำเปล่า คือ "ชะล้างได้ แต่ฆ่าตัวไรฝุ่นไม่ได้" แต่ถึงกระนั้นก็ยังดีกว่าไม่ยอมซักเลย

ปัจจุบันนี้คุณแม่บ้านเริ่มมีตัวช่วยใหม่ คือ มีน้ำยาซักผ้าที่ผสมสารฆ่าไรฝุ่น เมื่อนำมาใช้ซักผ้าจะทำให้ไรฝุ่นตาย แล้วซะล้างหลุดออกไป ได้ผลดี ทำให้สะดวกขึ้นมาก

การซักผ้าด้วยน้ำร้อน

การซักผ้าในน้ำร้อน 60 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 20 นาที จะสามารถฆ่าตัวไรฝุ่นที่มีชีวิต ทั้งไข่ ตัวอ่อน และตัวแก่ได้ แต่ที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียสดังกล่าว ไม่สามารถทำลายสภาพสารก่อภูมิแพ้ที่มาจากอึ และเศษซากที่ตายแล้วของไรฝุ่น เพราะบางสารต้องใช้อุณหภูมิสูงถึง 120 องศาเซลเซียส จึงจะทำลายสารก่อภูมิแพ้ให้หมดสภาพได้

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในกรรมวิธีการซักผ้าต้องมีการล้างน้ำอยู่ด้วย การล้างน้ำนี้เองจะสามารถชะล้างสารก่อภูมิแพ้ (ที่แม้เราทำลายไม่ได้) ทิ้งไปได้ถึงร้อยละ 85 ถ้าไม่ได้ใส่ผงซักฟอก และล้างออกได้ถึงร้อยละ 95 ถ้าใส่ผงซักฟอกลงไปด้วย

การซักผ้าด้วยน้ำร้อนจึง "ฆ่าไรฝุ่นได้ และชะล้างสารก่อภูมิแพ้ได้ด้วย"

แนะนำวิธีการซักผ้า

หากเลือกการซักผ้าในน้ำเย็น ต้องใช้น้ำยาซักผ้าที่ฆ่าไรฝุ่นร่วมด้วย เพื่อทำให้ไรฝุ่นตาย แล้วถูกชะล้างออกไปหากเลือกการซักผ้าในน้ำร้อน 60 องศาเซลเซียส ควรระวังข้อผิดพลาดที่พบบ่อยดังนี้ค่ะ

- อุณหภูมิที่เครื่องซักผ้าตั้งไว้ที่ 60 องศาเซลเซียสส่วนใหญ่หมายถึงอุณหภูมิของน้ำตอนที่ผ่านเครื่องทำน้ำร้อนมาใหม่ ๆ ไม่ใช่อุณหภูมิของน้ำในถังขณะซัก ซึ่งมักต่ำลงไปจากความร้อนต้นทาง อุณหภูมิในถังซักจึงอาจต่ำกว่า 60 องศาเซลเซียส ไม่สามารถฆ่าตัวไรฝุ่นได้ หากอยากรู้ให้แน่ต้องนำเทอร์โมมิเตอร์ไปวัดอุณหภูมิน้ำในถังขณะซัก (แต่ถ้าเป็นเครื่องซักแบบฝาหน้า ถ้าเปิดฝา น้ำก็ไหลออกมาสิ)

- การซักผ้าที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียสจะทำให้ตัวไรฝุ่นตายเพียง 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เห็นไหม อุณหภูมิต่ำกว่านิดเดียว ผลต่างกันมากเลย

- เครื่องซักผ้าไม่ได้มีปุ่ม 60 องศาเซลเซียสให้เลือกทุกยี่ห้อ บางยี่ห้อมีแค่ 40 องศาเซลเซียสเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอกับการฆ่าตัวไรฝุ่น

อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ บ้านที่ไม่มีเครื่องซักผ้าแบบมีน้ำร้อน 60 องศาเซลเซียส แต่อยากเลือกวิธีซักน้ำร้อน ให้ปฏิบัติดังนี้

1. นำผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนใส่กะละมัง (ควรเป็นแบบเคลือบ ไม่ควรกะละมังพลาสติก เดี๋ยวจะละลาย)

2. เทน้ำร้อนที่ต้มเดือด 100 องศาเซลเซียส ราดลงไปให้ท่วม แช่ทิ้งไว้จนกว่าจะเย็น เราก็จะได้น้ำอุณหภูมิเกิน 60 องศาเซลเซียส นานเกิน 20 นาที

3. พอน้ำเย็นแล้วให้ขยี้ผ้า แล้วเทน้ำทิ้งไป จะได้เทตัวไรฝุ่น ทั้งตัวอ่อน ตัวแก่ ไข่ที่ตายแล้ว และเศษโปรตีนต่างๆ ทิ้งไปกับน้ำ

4. ซักผ้าต่อด้วยน้ำเย็นผสมผงซักฟอก ตามด้วยการล้างน้ำ 2-3 ครั้ง ซึ่งช่วงหลังนี้จะซักด้วยมือ หรือด้วยเครื่องซักผ้าก็ตามสะดวก

ทำเช่นนี้ก็เท่ากับเป็นการฆ่าไรฝุ่นให้ตายสนิทด้วยวิธีราดน้ำเดือดและแช่น้ำร้อน ตามด้วยการชะล้างสารก่อภูมิแพ้ออกขณะที่ซักน้ำเย็นผสมผงซักฟอก ครบขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์เลย

ทางเลือกอื่นๆ และผลที่ได้

ถ้าวิธีที่แนะนำมายังไม่สะดวก ลองดูวิธีอื่นๆ

1. ซักผ้าด้วยน้ำเย็นผสมผงซักฟอก + ตากแดด + รีด

ซักผ้าด้วยน้ำเย็นผสมผงซักฟอกธรรมดา เพื่อชะล้างเอาสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นออกก่อน แล้วตากแดดให้แห้ง จากนั้นนำผ้ามารีดด้วยเตารีด ตัวไรฝุ่นที่เกาะอยู่กับผ้าจะตายด้วยความร้อนจากเตารีด แต่ซากของมันยังค้างอยู่นะคะ เพราะไม่มีการล้างออกอีกครั้ง ดังนั้น ให้สะบัดๆ อีกนิดหน่อย เผื่อมันจะหลุดออกไปบ้าง

2. รีด + ซักผ้าด้วยน้ำเย็นผสมผงซักฟอก

นำผ้ามารีดด้วยเตารีดก่อนเพื่อให้ตัวไรฝุ่นตาย แล้วค่อยนำไปซักกับผงซักฟอก เพื่อชะล้างเอาตัวที่ตายแล้ว และสารก่อภูมิแพ้ออกไปให้หมด ซึ่งน่าจะเป็นการจำกัดไรฝุ่นที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิธีที่ 1 แต่อาจฝืนความรู้สึกคนทั่วไปที่ต้องนำผ้าไปรีดก่อนซัก แต่ถ้ารีดแล้วไม่นำไปซัก แบบนี้ตัวไรฝุ่นตายจริง แต่สารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นยังคงตกค้างอยู่บนผ้า ก่อให้เกิดโรคได้ต่อไป

3. ซักด้วยน้ำเย็นผสมผงซักฟอก + เครื่องอบผ้า

สำหรับบ้านที่มีเครื่องอบผ้าอยู่แล้ว การนำผ้าที่ซักด้วยผงซักฟอกแล้วมาอบในเครื่องอบผ้าที่อุณหภูมิสูงกว่า 60 องศา นานเกิน 20 นาทีนั้นก็ได้ผลดีพอสมควร ยิ่งถ้าทำประจำทุก 2 สัปดาห์จะยิ่งได้ผลดีใช้ได้เลย เพราะซากไรฝุ่นที่ตายตอนใช้เครื่องอบผ้าคราวก่อน เมื่อเรานำผ้านั้นไปซักครั้งต่อไป การซักจะชะล้างซากต่างๆ ที่ติดอยู่ออกไป หากทำบ่อยๆ (เช่น ทุก 2 สัปดาห์) ร่วมกับการหุ้มที่นอนด้วยผ้ากันไรฝุ่นที่มีประสิทธิภาพด้วยแล้ว ไรฝุ่นจะเกิดขึ้นใหม่ไม่ทัน

4. อบผ้าก่อน + ซักด้วยน้ำเย็นผสมผงซักฟอก + อบผ้าซ้ำอีกครั้ง

ถ้าจะให้ดีกว่าวิธีที่ 3 ต้องอบผ้าก่อน เพื่อใช้ความร้อนฆ่าตัวไรฝุ่นให้ตายแล้วค่อยนำไปซักกับผงซักฟอก แล้วกลับมาอบอีกที แต่ก็ดูยุ่งยากวุ่นวายเหมือนกัน

5. อบผ้าโดยไม่ซัก

นำผ้า หรือผ้านวมมาเข้าเครื่องอบเฉยๆ โดยไม่ซัก ถึงตัวไรฝุ่นจะตายแต่ก็ไม่ลดปริมาณสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นะ คือตัวตาย แต่สารก่อภูมิแพ้ยังอยู่ เพราะไม่ได้ถูกชะล้างออกไป วิธีนี้ไม่อยากให้ทำ

6. การซักแห้ง

ถึงจะฆ่าตัวไรฝุ่นได้ แต่ไม่ลดปริมาณโปรตีนจากไรฝุ่นลงได้ ถือว่าไม่มีประโยชน์

7. ซักผ้าด้วยน้ำเย็นร่วมกับน้ำยาซักผ้าที่ใส่สารฆ่าไรฝุ่น

วิธีนี้ง่าย และได้ผลดี

ความถี่ของการซักเครื่องนอน

ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม ผ้าคลุมเตียง ควรซักทุก 2 สัปดาห์

ผ้ากันไรฝุ่น ควรซักเดือนละ 1 ครั้ง

มุ้ง ควรซักทุก 2 - 4 สัปดาห์

เห็นได้ว่า การซักเครื่องนอน เช่น ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่มของทุกคนในบ้าน ควรซัก และดูแลอย่างถูกวิธีด้วย โดยเฉพาะคนที่ป่วยภูมิแพ้ ยิ่งต้องดูแลเป็นพิเศษครับ

http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/article/23306
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน”
รพี พัฒนศักดิ์



"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
oui142
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2350
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 22:05
Tel: 0832150005
team: เพชรบูรณ์
Bike: Bianchi Sempre, Bianchi Methanol SX2
ตำแหน่ง: แผนกเภสัชกรรม รพ.ค่ายพ่อขุนผาเมือง
ติดต่อ:

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย oui142 »

รูปภาพ

รวมวิธีกำจัดหนู ไล่หนู ได้ผลดีจริง

วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ไปอ่านเจอบทความนี้ แค่หัวข้อเรื่องก็ดูสะดุดตาน่าสนใจมากๆ ครับ สำหรับเพื่อนๆคนไหนที่กำลังหาวิธีกำจัดน้องหนูในบ้านอยู่ วันนี้เลยอยากนำบทความนี้ที่รวบรวมสารพัดวิธีกำจัดหนูมาฝากครับ

1. ลูกเหม็น วิธีนี้อาจเรียกได้ว่า ตั้งแต่เกิดมาจำความได้ก็รู้จักลูกเหม็นแล้วล่ะครับ มีจำหน่ายทั่วไป โดยเฉพาะตลาด มีขายเยอะเลยครับ ไม่น่าเชื่อว่า วิธีดั้งเดิม ที่ใครหลายคนอาจลืมไปแล้วก็ได้ ยังคงได้คุณภาพอย่างดี วิธีการก็เพียงแค่ วางไว้ในตำแหน่งต่างๆ ตามซอก ตามมุม โดยเฉพาะจุดที่หนูวิ่งผ่าน กลิ่นของลูกเหม็น ทำให้หนูไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก ไม่น่านพวกเขาก็จำยอม หนีหายกันไปเอง

2. ไม้ไล่หนู อีกหนึ่งวิธี ที่ใช้หลักการของกลิ่นเช่นเดียวกับลูกเหม็น ตามข้อมูลบอกไว้ว่าเป็นไม้ยี่โถ ซึ่งกลิ่นของไม้ดังกล่าว หนูไม่ปลื้มใจนัก แต่หลายๆ ท่านก็บอกมาว่า ไม้ไล่หนู เมื่อเทียบกับราคาและคุณภาพแล้ว มันไม่ค่อยจะคุ้มกันเพราะต้องใช้ในปริมาณที่เยอะ ถึงจะได้ผล วิธีการใช้งานก็เช่นเดียวกับลูกเหม็นครับ วางไว้ตามจุดต่างๆ

ทริป : ไม้ไล่หนูแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน ปกติแล้ว หนูจะกลัวแมว หากบ้านไหนไม่ชอบเลี้ยงแมว แต่พอจะมีเพื่อนบ้านที่เลี้ยงแมว ให้นำฉี่แมว มาทาไม้ หรือ นำไม้ไปคลุกกับทรายที่แมวฉี่ใส่ เมื่อนำไปวางไว้ หนูจะคิดว่าเป็นกลิ่นของแมว ก็จะไม่กล้าเข้ามา

(คหสต. วิธีนี้ผมขอบายคนนึงครับ ไม่อยากได้กลิ่นฉี่แมวมาคุอยู่ในบ้าน)

3. สมุนไพรไล่หนู หรือที่หลายๆ ท่านรู้จักกันในชื่อ ลีโอแรท ซึ่งเป็นสารสกัดจากสมุนไพรต่างๆ ไล่หนูได้จริง มีให้เลือกทั้งแบบแผ่น วางเป็นจุดๆ และแบบสเปรย์ ก็ขึ้นอยู่กับความถนัดในการใช้งานนะครับ

4. เลี้ยงแมว ขอยกเป็นวิธีต่อเนื่องเลยแล้วกันครับ เป็นอีกวิธีที่ยังคงได้ผลดี หลายท่านการันตีว่า ดีที่สุด เพราะเป็นวิธีตามธรรมชาติ แต่ขอเป็นแมวที่ใจกล้าหน่อยนะครับ โดยเฉพาะแมวบ้าน จะจับหนูได้เก่งกว่าแมวพันธ์อื่นๆ หามาเลี้ยงได้ง่ายด้วยครับ แต่ไม่ขอแนะนำวิธีนี้ สำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้ เพราะขนของแมว สร้างภาระให้พอสมควรครับ และแมวบางตัวก็นิสัยไม่ดี หากไม่ฝึกให้ดี อาจสร้างความรำคาญได้ไม่น้อยเช่นกัน

5. กรงดักหนู วิธีนี้ได้ผลในระยะสั้น เหมาะสำหรับการกำจัดพร้อมทั้งป้องกันไปในตัว หาซื้อได้ตามตลาดทั่วไปเช่นกันครับ หลักการก็คือ นำอาหารมาล่อ เพื่อให้หนูเข้ามากิน จากนั้นกรงดักหนูก็จะปิดอัตโนมัติ แต่ที่สำคัญ ควรหาที่ทิ้งหนูให้ได้ ทิ้งในป่าไกลจากบ้าน ทั้งนี้วิธีดังกล่าว แม้จะไม่ได้ฆ่ามัน แต่ก็เป็นการพรากหนูจากครอบครัว จึงไม่ขอแนะนำเท่าไหร่นัก เพราะหัวข้อนี้ ขอเป็นแบบไม่บาปนะครับ อีกทั้ง หนูส่วนใหญ่จะฉลาดมาก สามารถดักได้ในครั้งแรกๆ เท่านั้น ครั้งหลังๆ หนูจะเริ่มรู้จักกับเครื่องดักหนู ก็จะไม่เข้าไปแล้วครับ

6. เครื่องไล่หนู เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้า แบบเสียบปลั๊กเช่นเดียวกับเครื่องไล่ยุง โดยใช้หลักการของคลื่นความถี่ หลายคอมเม้นยืนยันว่า หนูลดลง แต่ไม่ถึงกับหายไปทั้งหมด

7. คุยกับหนู วิธีนี้อาจดูว่าเหลวไหล แต่หลายๆ บ้านทดสอบแล้ว ใช้ได้จริง อย่างที่บอกไปข้างต้น หนูเป็นสัตว์ที่ฉลาดครับ หลายบ้านจึงลองทดสอบคุยกับหนู โดยวิธีการพูด หรือ เขียน โดยบอกกล่าวให้หนูย้ายไปอยู่ที่อื่น บอกเค้าดีๆ ด้วยจิตใจที่มีเมตตา เค้าก็จะไปเองครับ วิธีนี้ สำหรับแอดมินเอง ได้ยินมานานมากแล้วเหมือนกันครับ ใครยังไม่รู้จะใช้วิธีไหน ลองนำวิธีนี้มาใช้ก่อนเลยครับ

8. ดูแลบ้าน ข้อนี้ อาจเรียกได้ว่า เป็นวิธีที่กำจัดตั้งแต่ต้นตอของปัญหา คือการป้องกันไม่ให้หนูมาอาศัยอยู่ภายในบ้าน ด้วยวิธีการดูแลบ้านให้ถูกสุขลักษณะอยู่เสมอ ไม่มีเศษอาหารสะสม ไม่ตั้งของรกรุงรัง หนูเป็นสัตว์ประเภทที่ต้องอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ หากกำจัดมุมรกๆ มุมอับ หนูก็ไม่ค่อยจะมีเส้นทางเดิน ไม่มีที่อยู่อาศัย และหากกำจัดจำพวกเศษอาหาร หนูก็ย่อมไม่มีอาหาร ไม่สามารถอาศัยในบ้านของเราได้ ลิ้นชัก ตู้ ที่เก็บของใดไม่ค่อยได้เข้าใช้ หมั่นเข้าไปทำความสะอาดอยู่เสมออย่ารอให้หนูมายึดพื้นที่ สรุปโดยรวมแล้ว อาจกล่าวได้ว่า หากเราดูแลบ้านอยู่เสมอ หนูก็ยากที่จะเข้ามารบกวนครับ เป็นเรื่องที่ไม่ยากเกินไปใช่ไหม

สรุปกันสักนิดนะครับ โดยหลักๆ แล้ว วิธีไล่หนู

แนวทางแรกใช้หลักการของกลิ่น ทั้งพืชสมุนไพร ลูกเหม็น กลิ่นแมว สารไล่หนู อันที่จริงยังมีอีกหลายกลิ่นครับ อาทิเช่น น้ำมันก๊าซ แต่กลิ่นบางอย่าง อย่าว่าแต่หนูเลยครับ โดยเฉพาะน้ำมัน คนก็ยังทนอยู่ไม่ค่อยได้

แนวทางที่ 2 เน้นความเป็นธรรมชาติ วงจรชีวิตของสัตว์ โดยให้สัตว์กำจัดกันเอง แมวไล่หนู บางบ้านอาจใช้วิธีนำคราบงู หรืองูยาง มาตั้งไว้ หนูเห็น มันก็จะกลัว เพราะงูบางชนิดเป็นสัตว์กินหนูด้วยครับ ตามธรรมชาติแล้ว หนูจึงกลัวงู

แนวทางที่ 3 เป็นหลักจิตวิทยา ต่อลองเจรจาต่อกัน แม้จะเป็นเรื่องราวที่พิสูจน์ไม่ได้อย่างชัดเจน แต่หลายๆบ้าน ลองใช้หลักเมตตาจิต ก็สามารถบรรเทาปัญหาไปได้ดี

แนวทางที่ 4 คิดว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะเป็นการกำจัดต้นตอของปัญหา เรียกได้ว่าเป็นวิธีป้องกัน ไม่ได้เป็นวิธีไล่ ถนัดวิธีไหน ก็ลองเลือกใช้กันตามสะดวกนะครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก : เว็บไซต์บ้านไอเดีย banidea.com

http://www.oknation.net/blog/MyTonk/2013/09/02/entry-1
“คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไป ถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน”
รพี พัฒนศักดิ์



"พรุ่งนี้...ก็ สายเสียแล้ว" ศ.ศิลป์ พีระศรี
เสือขุนแผน
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 1320
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2010, 21:55
Tel: 0993826888
team: เสือเพชรบูรณ์,PCS.Cannondale Cycling team
Bike: LA Blue Line , Cannondale F3 lefty osho Caad12, LAPIERRE,specialized epic
ตำแหน่ง: เพชรบูรณ์
ติดต่อ:

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย เสือขุนแผน »

แล้ววิธีไล่จับอีหนูละครับ มีปะ :lol: :lol: :lol:
รูปประจำตัวสมาชิก
V3 ป่าเลา
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 8926
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ส.ค. 2008, 22:34
Tel: 0819538554
team: PHETCHABUN TEAM
Bike: Cannondale Taurine SL 09 Super six hi-mod 09 Fash factory team
ตำแหน่ง: 44/2 หมู่ 8 ต.สะเดียง อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ 67000

Re: นานาสาระ...เพื่อ...สุขภาพ

โพสต์ โดย V3 ป่าเลา »

เสือขุนแผน เขียน:แล้ววิธีไล่จับอีหนูละครับ มีปะ :lol: :lol: :lol:
:lol: :lol: :lol:
ชนะอื่นใดไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับชนะใจตนเอง
แม้จะมีเพียงแค่ภาพเดียวแต่สามารถแทนคำพูดได้มากกว่าพันคำ
ตอบกลับ

กลับไปยัง “เสือเพชรบูรณ์”