Ridley Fenix SL การันตีว่ารถเอนดูแรนซ์ยุคนี้ ไม่ใช่คำว่า "ชิล" อีกต่อไป
ผู้ดูแล: Cycling B®y, spinbike, velocity
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 3092
- ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 15:14
- Tel: 0865040751
- team: Team Bike And Body Cycoling
- Bike: Kemo KE-R5, Giant Propel Advance SL, Specialized Alez E5 Revolution
- ตำแหน่ง: ซอยอารีย์ พหลโยธิน กทม.
- ติดต่อ:
Ridley Fenix SL การันตีว่ารถเอนดูแรนซ์ยุคนี้ ไม่ใช่คำว่า "ชิล" อีกต่อไป
Ridley Fenix SL
รอบนี้ไม่ใช่รถใหม่เอี่ยมเพิ่งออก แต่เป็นหนึ่งในรถที่ ดูเหมือนว่าจะถูกคนมองข้ามไป ตั้งแต่ที่ออกมาสู่ตลาด จนตอนนี้ กลายเป็นคำถามว่า เพราะอะไร ความนิยมใน Ridley Fenix SL ถึงไปไม่ถึงเป้าที่น่าจะเป็นไปได้ คำตอบน่าจะอยู่ในเนื้อหาบทความนี้มากกว่าการรรีวิวว่ารถคันนี้เป็นอย่างไร เพราะมีรีวิวทั้งไทย และเทศ ออกมามากมายแล้ว หาอ่านกันได้ไม่ยากนัก
"รถเอนดูแรนซ์"
คำนี้ดูเป็นอะไรที่ ... ไม่สูงส่ง ไม่เลอค่าแห่งความคู่ควร ไม่สุด และแน่นอนสำหรับคนไทย มันไม่จบ! เพราะสิ่งที่เราถูกปลูกฝังกันมาตลอดเวลาคือ คำว่า "รถเอนดูแรนซ์" หมายถึง "เสือหมอบที่ปั่นสบายๆ ไกลๆ ไม่ช้ำ" และบางท่านอาจพ่วงไปเลยด้วยว่า "รถนุ่ม" และก็จะพาลถูกตีความไปต่อเลยว่า มันนุ่มใช่มั้ย? ถ้าเช่นนั้น ก็แปลว่าไม่พุ่ง! สรุปได้ว่า นิยามของรถเสือหมอบเอนดูแรนซ์ในความรับรู้ของสังคมนักปั่นทั่วไปได้แก่
รถสบาย
ขี่ชิลๆ
ไม่พุ่ง
ในเมื่อรถอีก 2 แบบหลักๆมันคือรถน้ำหนักเบาสำหรับขึ้นเขาได้ดี และรถสำหรับทำความเร็วสูงบนทางราบหรือรถแบบแอโร่ไดนามิคส์ มันดูอย่างไรก็ แรง เร็ว สุดขีด อยากมันส์แบบสปีดท้านรกก็ไปสายแอโร่ฯให้สุด ถ้าอยากสูดอากาศสดชื่นกระทืบเขาไส้ชาวบ้านทะลักก็ไปสายเขาที่ทั้งเบาและสติฟให้จบ ทั้งสองทางกลายเป็นนิยามของแนวทางเสือหมอบในกระแสหลักไป ทว่า แท้ที่จริง "รถเอนดูแรนซ์" คืออะไร?
ท้าวความกันไปก่อนหน้านี้ราวๆ 10-12 ปี เสือหมอบโดยรวมเปลี่ยนจากอลูมินั่มมาเป็นคาร์บอนไฟเบอร์อย่างสมบูรณ์แบบ รถแข่งเกือบทั้งหมดเป็นคาร์บอนแล้วทั้งสิ้น โดยเฉพาะในการแข่งขันทัวร์ และคลาสสิครายการยาวๆ ซึ่งในยุคนั้นคาร์บอนโมโนค็อกเพิ่งเริ่มป็นกระแสหลัก ต่อเนื่องมาจากระบบคาร์บอนที่เข้าท่อกัน และส่งผลให้เฟรมเริ่มมีความสติฟมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีความสิตฟเฉพาะจุดล้ำหน้าอลูมินั่มไปในที่สุด และไปๆมาๆ ก็มีเฟรมคาร์บอนที่สติฟและ"กระด้าง" จนใกล้เคียงกับอลูมินั่มอยู่ในระดับการแข่งขัน นั่นเพราะการออกแบบเน้นไปที่ความสติฟและน้ำหนักที่ต้องเบามากๆ เลือกใช้คาร์บอนและการออกแบบรูปทรงที่ส่งกำลังได้ดีที่สุดมากกว่า
ผลพวงด้านร้ายก็คือนักแข่งต่างบ่นว่ารถพวกนี้มันใช้แข่งรายการสุดขีดอย่างคลาสสิคทั้งหลายไม่ไหว กระเด้ง กระดอน สั่นไปหมด นอกจากร่างกายจะล้ากรอบไปก่อนแรงหมดแล้ว ยังคุมรถยากมาก ยิ่งคุมรถยาก ก็ยิ่งต้องใช้กำลังในการประคองรถบนพื้นผิวสุดขีดมากตามไปด้วย และกลายเป็นปัญหาที่แบรนด์จักรยานต่างต้องหาทางออก ซึ่งนั่นคือจุดกำเนิดแรกๆของการมาของเสือหมอบสาย "เอนดูแรนซ์" ถ้าแปลสั้นๆจากที่มานี้ มันหมายถึง "เสือหมอบแข่งขันที่ถูกสร้างมาให้แข่งได้บนเส้นทางสุดแสบ" สิ่งสำคัญที่เสือหมอบเอนดูแรนซ์ทุกๆค่ายมี จนเป็นนิยามของเสือหมอบในกลุ่มนี้ได้แก่
1.ท่อคอสูงขึ้น ส่งผลให้ stack (ช่วงก้ม) ของรถสูงขึ้น ท่าขี่ไม่ดุดันมากนักเพราะต้องแข่งกันบนระยะทางยาวๆ การแข่งไสตล์นี้แต่ละคนต้องรับมือเส้นทางและเกมส์การแข่งยาวนานกันเกิน 4-5 ชั่วโมง
2.ช่วงฐานล้อที่กว้าง(ยาว) กว่ารถทั่วไป เพื่อให้รถมีการทรงตัวที่ดีขึ้นเมื่อโดนแรงเด้งเดีดไปมา ลดภาระในการคุมรถของนักปั่นลง
3.มีการออกแบบเพื่อลดแรงสะเทือนจากผิวถนน ไอเดียนี้มีตั้งแต่การกระจายแรงสั่น ไปจนถึงออกแบบระบบซับแรงสะเทือนคล้ายซัสเพ็นชั่นของเสือภูเขา เพื่อลดอาการล้าของร่างกายนักปั่นเกินความจำเป็น
แต่...สิ่งหนึ่งที่(คนขาย)ไม่ค่อยได้บอกกันก็คือ เฟรมเหล่านั้นยังคงต้องคงคุณลักษณะด้านอื่นอยู่ในระดับการแข่งขันหรือรับมือ(เท้า)นักแข่งอาชีพได้ ซึ่งรวมไปถึง 3 ข้อหลักดังต่อไปนี้
-น้ำหนักที่เบาเพียงพอที่จะไต่เขาได้ดี
-ความสติฟของการส่งกำลังที่ดี รองรับแรงสปรินท์ได้
-แอโร่ไดนามิคส์ที่สมเหตุสมผล (แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่คำนึงน้อยที่สุด)
ซึ่งทั้งหมดนี้ มีอยู่ใน Ridley Fenix SL
ยังครับ ยังไม่เข้าเรื่อง Fenix ขออ้อมไปบ่นเรื่องรถเอนดูแรนซ์ต่ออีกหน่อย
ในเมื่อพิจารณาไล่มาตั้งแต่ต้น เราจะพบกับจุดน่าสังเกตุว่า "ค่านิยม" ของการเลือกเสือหมอบกรแสหลักนั้น ปล่อยให้รถเอนดูแรนซ์กลายเป็นช่องโหว่ที่ถูกหมางเมินไป เพราะเป้ามองข้ามสิ่งสำคัญ แม้แต่การขายและการรีวิวที่ต้องพยายามชูจุดเด่นด้านความเป็นรถเอนดูแรนซ์ (ของทุกๆแบรนด์เลยครับ) พร่ำพูดในเรื่องของความสบาย การซับแรงสะเทือน ท่าขี่ที่ผ่อนคลาย จนถูกเข้าใจผิดว่านี่คือ "รถขี่ชิล" ไปในที่สุด ยิ่งถ้าเป็นระบบหมู่บ้าน อบต. ตำบล ที่คุยกันปากต่อปากตคามกลุ่มไลน์ หรือเฟสบุ๊ค ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะเอาตัวหนังสือสั้นๆมาแลกเปลี่ยนกันไม่กี่ตัว ก็ไปจบลงที่ว่า มันนุ่ม สบาย ขี่ไกลๆดีนะ น้อยคนมากๆที่จะบอกว่า มันมีค่า Lateral Stiffness ที่พอๆกับถทั่วไป หรือมันมีน้ำหนักที่ไม่ได้แย่ไปกว่ารถแอโร่ฯด้วยซ้ำ
รถที่นุ่มมักไม่พุ่ง
นี่ก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่กลายเป็นความเชื่อที่ทำให้รถเอนดูแรนซ์ถูกมองข้ามกันไป เพราะในยุคแรกๆของคาร์บอนไฟเบอร์ เฟรมไหนยิ่งกระด้าง ยิ่งแข็ง แปลว่ายิ่งสติฟ เฟรมไหนไม่สติฟมันมักจะย้วยๆ ยวบๆเวลาออกแรง ดังนั้นความสติฟจึงอยู่ตรงกันข้ามกับคำว่านุ่มสบายเป็นทุนเดิม ซึ่งไม่ได้ผิดอะไรครับ เพราะโดยหลักพื้นฐานมันก็เป็นเช่นนั้น หากอยากได้คาร์บอนที่สติฟก็ต้องเลือกใช้รหัสที่แข็งๆ วางทิศทางให้เน้นการรับแรงได้ดี ต้องออกแบบรูปทรงมาให้ดีๆ จะได้ไม่เสียแรงส่ง และกลายเป็นความกระด้างไปในที่สุด
ทว่า...จากวันนั้นถึงวันนี้ ความรู้และการออกแบบคาร์บอนไฟเบอร์ในการผลิตเฟรมจักรยานเปลี่ยนไปจากเดิมเยอะ นักออกแบบเริ่มใช้แผ่นเส้ยใยคาร์บอนรหัสต่างๆกันในส่วนต่างๆ เลือกออกแบบการเรียงตัวของแผ่นที่ต่างจากเดิม มีทิศทางที่ทั้งส่งกำลังและกระจายแรง และยินยอมที่จะให้บางชิ้นส่วนให้ตัวได้ในทิศทางที่ต้องการ ในขณะที่เลือกเพิ่มความสติฟในส่วนส่งกำลังมากขึ้นจนรองรับแรงได้ดีเท่าเดิม ทั้งหมดนี้เองที่เป็นกุญแจสำคัญให้สามารถพัฒนารถเอนดูแรนซ์ออกมาได้ในสมรรถนะที่อยู่ในบริบทของการแข่งขัน
ซึ่งห่างไกลจากแนวคิดความแข็งและความนุ่มเดิม ที่เกิดจากขีดจำกัดของการออกแบบในยุคก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
เอาล่ะครับ..หากใครอ่านมาจนถึงจุดนี้ น่าจะพอได้เค้าลางๆแล้วว่า อะไรที่เป็นรูรั่วของความเข้าใจ ที่ทำให้กระแสความสนใจออกห่างจากเสือหมอบกลุ่มนี้กัน แน่ล่ะ ถ้ามองว่ามันเป็นแค่ของเล่นสำหรับขารักสบาย ไม่ใช่ของแรง ไม่ใช่นักแข่ง มันก็ไม่รู้สึกว่าเฟรมประเภทนี้เป็นตัวสูงสุด และไม่จบตามนิยัยไม่ชอบคาราคาซังของคนไทย
ลองเปิดใจแล้วทำความรู้จักกับมันใหม่กันครับ
Ridley Fenix SL
เข้าเรื่องกันเลย สำหรับ Fenix เป็นสายรถเอนดูแรนซ์ของค่าย Ridley (ริดลีย์ หรือหลายๆท่านอ่านว่า ริดเลย์) ออกแบบมาเพื่อทำการแข่งขันในรายการคลาสสิคเป็นหลัก โดยได้รับความร่วมมือวิจัยและพัฒนาร่วมกับนักแข่งอาชีพของทีม Lotto Soudal จนผลิตออกมาและใช้ในการแข่งขันจริงได้สำเร็จ ซึ่งอยู๋บนฐานของแนวคิดหลักๆ 3 ประการต่อไปนี้
ความสบาย
เฟรมต้องมีมิติที่จัดท่าขี่ให้สบายได้ง่ายโดยไม่ต้องมารองแหวนกันมากจนเสียคุณสมบัติที่ดีด้านหน้า และต้องมีการกระจายและซับแรงสะเทือนจากถนนได้ดี เพื่อลดอาการล้าของร่างกายนักแข่งบนเส้นทางขรุขระ กระเด้งกระดอนจากผิวถนนอิฐได้
มีน้ำหนักเบา
รายการคลาสสิคหลายๆรายการ เช่น ลิเยจ์-บัสตง-ลิเยจ์ หรือช่วงสำคัญของ ฟานเดอเร็น แฟลนเดอร์ มีเส้นทางเป็นเขาที่ชัน ดังนั้นเฟรมนี้ต้องมีน้ำหนักเบาสมเหตุสมผล ไม่ใช่หนักจนเกินไป ขี่แล้วเป็นภาระบนภูเขา ประกอบรถแข่งออกมาได้น้ำหนักตามเกณฑ์การแข่งขันได้ไม่ยาก
เฟรมต้องติฟมาก
นักแข่งคลาสสิคส่วนมาก มีลักษณะคล้ายๆกันอยู๋อย่างหนึ่งคือมีร่างกายที่ใหญ่โต สร้างกำลังได้มาก แข็งแรง เพราะบนเส้นทางกระเด้งกระดอน พวกนักไต่เาร่างเล็กจะถูกแรงเด้งจากถนนดีดไปมา ลดโมเมนตั้มของการเคลื่อนที่ไปมากและหมดแรงไปก่อน ส่วนบรรดาสปรินท์เตอร์ทางราบแท้ๆก็ไม่สามารถระเบิดพลังระยะเวลานานๆแบบเกมส์คลาสสิคได้ ดังนั้น กลุ่มที่ขี่คลาสสิคได้ดีคือพวกสปรินท์เตอร์ทรงพลัง ระเบิดได้นานๆ หรือนักขี่ไทม์ไทรอัลที่ระเบิดพลังได้สั้นๆ ทั้งหมดนี้ ทำให้เฟรมต้องมีความสติฟมากจนไม่ได้แตกต่างอะไรจากเฟรมแข่งประเภทอื่นๆ ถ้าจะพูดกันให้ดีแล้ว เฟรมเอนดูแรนซ์ สติฟกว่าเฟรมไต่เขาเบาๆไซส์เล็กๆหลายๆตัวด้วยซ้ำ
ซึ่งกรอบทั้งหมดนี้ เป็นตัวบังคับการออกแบบของ Fenix SL
เมื่อด้านล่างของเฟรม เป็นชุดส่งกำลังชั้นดี แข็ง และสติฟ รองรับแรงได้ดีตั้งแต่ท่อคอที่แกร่ง คุมรถได้ง่าย ไม่บิดตัวเมื่อเข้าโค้ง องศาท่อคอและตะเกียบวางมาพอดีกันกับเฟรมทั้งหมด ส่งผลให้เฟรมมีศูนย์ถ่วงที่ดี ควบคุมได้ง่ายและมีความเสถียรสูง ในขณะที่ช่วงบนของเฟรม ไล่มาตั้งแต่ดร็อปเอาท์หลัง ขขึ้นมาตามแนวหลาง ผ่านจุดรัดหลักอานไปตลอดท่อบน เป็นชุดโครงสร้างที่เลือกใช้วัสดุคาร์บอนที่กระจายแรงได้ดี และยินยอมให้ท่อนั่งและหลักอานให้ตัวได้ในแนวหน้า-หลังเพื่อลดแรงสะเทือนที่จะขึ้นมายังผู้ขี่ได้มากที่สุด
ถ้าย้อนอดีตไป แนวคิดนี้ถูกสร้างเป็นพื้นฐานมากว่า 40 ปีแล้วครับ เพราะเคยมีเสือหมอบคลาสสิคที่ใช้อลูมินั่ม และโครโมลี่(สตีล)แบ่งครึ่งลักษณะคล้ายๆกัน ต่อยอดมาจนยุคที่เป็นอลูมินั่มกับคาร์บอน และตอนนี้ เป็นคาร์บอนกับคาร์บอน เพียงแต่เป็นการเลือกใช้คาร์บอนที่แตกต่างกัน และออกแบบกระบวนการผลิตในแต่ละจุดที่จำเพาะต่างกันแทน
ผมจะไม่ลงไปรายละเอียดด้านศัพท์เทคนิคการตลาดมากนักครับ เพราะอย่างที่บอกว่ารถออกมาสักพักแล้ว หาดูกันไม่ยากเลย แต่บทความยาวยืดเกินรีวิวปกตินี้เกิดมาจากความรู้สึกจี๊ดใจของผมที่ได้ลองสัมผัสแรกกับเจ้า Fenix SL ส่วนตัวผมเองไม่ได้คาดหวังด้านความ"มันส์"ก ับเจ้านี่เอาไว้มากมายอะไร ก็เหมือนๆกับพวกเรานั่นแหละครับ ผมก็รู้สึกว่ารถเอนดูแรนซ์มันจะสนุกได้อย่างไร ถ้าส่ง Helium มาสิจะสะใจมาก (แอบอ้อนขอผู้นำเข้า)
โดยรวมแล้วรถจัดอยู่ในมาตรฐานของแบรนด์ระดับโลกครับ งานดี รอยต่องดงาม ทรงท่อเข้ากันสวย รอยต่อของท่อคอกับตะเกียบออกแบบมารับกัน ช่วยทั้งแอโร่ไดนามิคส์และความสติฟด้านหน้า และแน่นอนว่ามันสวยจับใจ สัดส่วนดูแล้วไม่สะดุดตานัก บึกบึนแต่ท่อนั่งเรียวเล็ก แต่ถ้าคุ้นชินกับแบรนด์ Ridely เค้าจะมีการออกแบบแนวนี้เป็นเอกลักษณ์ สัดส่วนเฟรมจะหลุดไปจากความ "เซ็กซี่" ตามกระแสนิยมไปบ้าง มองเผินๆไม่ชอบ แต่ มองนานก็ก็สวยแฮะ เหมือนผู้หญิงมีเสน่ห์เมื่อจ้องตากันไปนานๆนั่นแหละครับ
กะโหลกบึกบึนสุดขีด ท่อคอต่อกับท่อบนใหญ่โตมหึมากำยำมาก หางเรียวสลิม ท่อนั่งเล็กบางเฉียบ องศาไปทางเอนดูแรนซ์ตามที่มา ฐานล้อค่อนข้างยยาวเทียบในไซส์ของผม สูง 165 ปกติผมดึงเบาะสูงจากกลางกระโหลกราวๆ 68.7 ซม. มาเซ็ทเจ้า Fenix SL ผมจับเอาแหวนรองคอออกหมดดูซิว่าจะขี่ท่ามันส์ๆได้มั้ย เพราะเห็น stack ค่อนข้างเยอะ กลัวจะก้มไม่มันส์ พบว่าก็ก้มได้กำลังดีครับ ถ้าอยากได้สะใจดิบเถื่อนก็หาเสต็ม 110 มาเปลี่ยนเป็นอันจบ แต่อย่าลืมว่ารถคันนี้เน้นเอนดูแรนซ์ ถ้าจับใส่ 110 มุมซัก -17 ซิ่งก็จริง แต่คงทรมานสังขารน่าดูถ้าต้องปั่น 6 ชม.
เซ็ทรถเสร็จไม่ยากเย็นเลยครับ กระโดขึ้นไปคร่อง นั่งบนนั้น จับวนช้าๆเบาๆในลานจอดดูการทรงตัวของรถ จับยืน บิดไปมา ซ้ายขวา หมุนวงแคบๆ เออ ไม่เลวแฮะ นึกว่ารถพวกนี้จะอืดอาด เอนไม่ไป เลี้ยวไม่ม า ที่ไหนได้ บาลานซ์ร่างกายง่ายมาก วงเลี้ยวทำได้ไม่เลว แสดงว่าจริงๆถึงรถจะวิ่งนิ่ง(ตามที่ออกแบบ) แต่ก็คล่องแคล่วไม่ฝืนไม่ดื้อในโค้ง จับสลาลมสั้นๆเหวี่ยงไปมา ไม่ถึงกับคล่องมาก แต่ก็ไม่แหกไลน์ เรียกว่าต้องโหนกันหน่อยครับ แต่ไปได้แน่ๆ ต้องยกนิ้วให้กับการวางจุดศูนย์ถ่วงเลยทีเดียว
ถามว่านุ่มมั้ย? .... จัดว่านุ่มครับ ขี่สบาย ถนนดุจแพรไหม ฟูกสบายๆสปริงดีๆ ไม่ยวบแบบเตียงม่านรูด (เห็นเค้าบอกมา) และไม่ดึ่งแบบเตียงน้ำ(เค้าก็ว่ามา) ผ่านคอนกรีต ผ่านยางมะตอย กรวดนิดหน่อย ผิวแตกต่างกันพอจะแยกแยะอยู่ได้ แต่ไม่ถึงกับสะท้านต่างกันจนต้องหนาวเมื่อลงผิวมะกรูด ลุยกรวดเข้าไปก็ต้องขอบคุณฐานล้อและองศาท่อคอกับมุมตะเกียบที่คุมรถได้ง่ายจริงๆนั่นแหละครับ
การขี่ไม่มีอะไรมาก เพราะเป็นการทดลองครั้งแรก จับขี่ธรรมดาสบายๆ จับลากสวนลมซักหน่อยความเร็วกลางๆคนทั่วไปปั่นกัน จับกระแทกทำเซ็ทสปรินท์สั้นๆสลับหลายๆรอบดูการตอบสนอง และสุดท้ายลองใส่หมด อัดความเร็วสูงตามลมก่อนจะยกใส่หมดเฟืองกันตอนจบ ผมลองขี่ทั้งหมดแล้วเป็นอย่างไร? ... ขอยังไม่บอกครับ แต่ขอเล่าความรู็สึกตอนปั่นเสร็จ คูลดาวน์ไหลกลับมา ผมถามใจตัวเอง ถามคำถามกับสังคมแทนคนอื่นๆ... รถคันนี้มีอะไรไม่ดี ถึงไม่ได้รับความนิยมสูง และรถกลุ่มนี้ทำไมไม่ค่อยเป็นที่นิยม ??
มันคาใจผมมาตลอดตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ จนไปนั่งลำดับเรียงออกมาเป็นบทความนี้ เพราะเจ้า Ridley Fenix SL กระทืบมันส์เท้าเป็นบ้า กระแทกแล้วไป ใส่เป็นมา เฮ้ยยยย นี่ไม่ใช่หวานเย็นแล้วล่ะครับ บอกตามตรงเลยว่าไม่ต่างจากฟิลลิ่งรถทั่วไป รถแอโร่ฯตัวโหดๆเลยในด้านความสติฟของระบบส่งกำลัง เข้าโค้งก็สนุก เทแล้วไป ชุดขับก็ให้มาแบบคุ้มๆกลางๆ มีก้าวต่อไปให้ได้เล่นอัพกันไม่ยาก ล้อก็มีแบรนด์ใส่มา แม้จะรุ่นเริ่มต้นแต่ก็ถือว่าดีกว่าหลายๆค่ายที่แถมล้อสำเร็จมา โอเคครับ ราคาเต็มๆอาจจะไม่ค่อยเย้ายวนใจมากนักสำหรับเสป็คนี้ แต่ถ้าโจทย์แบบว่า...งบกลางๆ อยากได้ฐานเฟรมจบๆ ยอมลดอะไหล่ ใส่ล้อเริ่มต้น เดี๋ยวโบนัสมาไปสอบล้อดี ล้อหล่อมาเพิ่มบารมี เดี๋ยวเม้มเงินที่บ้านไปจัดชุดขับใหม่ ก็จะได้รถสุดในภายหลัง แบบนี้ Fenix SL 105 คันนี้ใช่เลย
ที่สำคัญ ถ้ามีโปรโมชั่นลดราคาแรงๆแล้วล่ะก็ ... รีบอ่านย้อนเรื่องรถเอนดูแรนซ์อีก 3 รอบเลยครับว่า ที่ผ่านมาท่านรู้จักกับรถเอนดูแรนซ์ดีพอแล้วหรือยัง ถึงบอกว่ารถกลุ่มนี้ไม่สนุก!!
แต่ก็ไม่ใช่ว่ามีแต่ดีนะครับสำหรับ Fenix SL เพราะน้ำหนักทั้งคันราวๆ 8.21 กก. โอเคว่าไม่ได้หนักสำหรับเสป็คนี้ แต่เฟรมไม่ได้จัดว่าเบาหวิวๆ ก็น่าจะเพราะการออกแบบที่ต้องประนีประนอมคุณลักษณะต่างๆกัน ทำเฟรมเบาแบบ "สมเหตุผล" ออกมาได้ก็จริง แต่สำหรับสายบ้าเบา อยากให้รถคันนี้ได้เลข 6 สวยๆ ก็คงต้องลำบากใจครับ หกปลายๆน่ะทำได้ แต่ถ้าจะหกกลางๆ ของแต่งทั้งหลายอาจต้องแพงกว่ารถทั้งคันไปอีกซัก 3 เท่า
ด้านแอโร่ไดนามิคส์ เท่ที่ลองรถคันนี้โมเมนตั้มไหลไปได้ดีเพราะน้ำหนักที่รถมีโดยรวมมากกว่า เพราะเวลาลมกระแทกมา รถออกอาการตื้อหน่วงรู้สึกได้ว่าต้องใส่เพิ่มเพื่อคงความเร็ว พวกรถแอโร่ฯแท้ๆจะได้เปรียบตรงนี้แหละครับ ซึ่งอาการไหลเพราะน้ำหนักนี้เองที่ทำให้มันไม่ได้พุ่งพรวดแบบฟิลลิ่งรถแข่งจัดจ้านทางเรียบกระทืบหน้าเส้นแล้วทะยาน เพราะอย่างผมตัวเท่าเมี่ยงแบบนี้ กว่าจะยัดไปจนถึงเพดานสูงสุดนี่เล่นเอาตาเหลือกแล้ว อย่าหวังจะคงความเร็วได้เลย
ดังนั้นจุดอ่อนที่พบทั้งสองเป็นสิ่งที่ต้องเป็นการบ้านสำหรับอนาคตที่ต้องคอยมาอัพอะไหล่เพื่อแก้ไขกัน แต่ถ้าดูดีๆมันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรครับ ล้องามๆ แจ่มๆ สักชุด สามารถทำให้รถคันนี้ กับทุกอย่างเดิมๆ น้ำหนักเหลือ 7.6-7.8 กก. ได้้สบายๆ จับใส่ยางวิ่งดีๆ หน้าตามสมัยนิยม 25 มิลฯ แรงต้านน้อยๆ ยางในเบาๆ แค่นี้ก็บินฉิวแล้วครับ ถ้าจะเอาให้สุดมันก็จะเหลือแต่เฟรมล่ะครับอย่างที่บอกว่าสุดท้ายเฟรมนี้เป็นตัวสำคัญที่ทำให้มันคุ้มมากๆ
ใครสนใจโปรโมชั่นพิเศษโดนๆ ในงาน International Bangkok Bike วันที่ 6-9 ตุลาคมนี้ ลองติดตามข่าวสารจากผู้นำเข้าได้เลยครับ เพราะเท่าที่ทราบมา ... ได้ยินแล้วต้องถามอีกครั้งว่า "อะไรนะ?" เพราะกลัวฟังผิดครับ[homeimg=300,250]http://www.thaimtb.com/forum/picture_mt ... 039017.jpg[/homeimg]
รอบนี้ไม่ใช่รถใหม่เอี่ยมเพิ่งออก แต่เป็นหนึ่งในรถที่ ดูเหมือนว่าจะถูกคนมองข้ามไป ตั้งแต่ที่ออกมาสู่ตลาด จนตอนนี้ กลายเป็นคำถามว่า เพราะอะไร ความนิยมใน Ridley Fenix SL ถึงไปไม่ถึงเป้าที่น่าจะเป็นไปได้ คำตอบน่าจะอยู่ในเนื้อหาบทความนี้มากกว่าการรรีวิวว่ารถคันนี้เป็นอย่างไร เพราะมีรีวิวทั้งไทย และเทศ ออกมามากมายแล้ว หาอ่านกันได้ไม่ยากนัก
"รถเอนดูแรนซ์"
คำนี้ดูเป็นอะไรที่ ... ไม่สูงส่ง ไม่เลอค่าแห่งความคู่ควร ไม่สุด และแน่นอนสำหรับคนไทย มันไม่จบ! เพราะสิ่งที่เราถูกปลูกฝังกันมาตลอดเวลาคือ คำว่า "รถเอนดูแรนซ์" หมายถึง "เสือหมอบที่ปั่นสบายๆ ไกลๆ ไม่ช้ำ" และบางท่านอาจพ่วงไปเลยด้วยว่า "รถนุ่ม" และก็จะพาลถูกตีความไปต่อเลยว่า มันนุ่มใช่มั้ย? ถ้าเช่นนั้น ก็แปลว่าไม่พุ่ง! สรุปได้ว่า นิยามของรถเสือหมอบเอนดูแรนซ์ในความรับรู้ของสังคมนักปั่นทั่วไปได้แก่
รถสบาย
ขี่ชิลๆ
ไม่พุ่ง
ในเมื่อรถอีก 2 แบบหลักๆมันคือรถน้ำหนักเบาสำหรับขึ้นเขาได้ดี และรถสำหรับทำความเร็วสูงบนทางราบหรือรถแบบแอโร่ไดนามิคส์ มันดูอย่างไรก็ แรง เร็ว สุดขีด อยากมันส์แบบสปีดท้านรกก็ไปสายแอโร่ฯให้สุด ถ้าอยากสูดอากาศสดชื่นกระทืบเขาไส้ชาวบ้านทะลักก็ไปสายเขาที่ทั้งเบาและสติฟให้จบ ทั้งสองทางกลายเป็นนิยามของแนวทางเสือหมอบในกระแสหลักไป ทว่า แท้ที่จริง "รถเอนดูแรนซ์" คืออะไร?
ท้าวความกันไปก่อนหน้านี้ราวๆ 10-12 ปี เสือหมอบโดยรวมเปลี่ยนจากอลูมินั่มมาเป็นคาร์บอนไฟเบอร์อย่างสมบูรณ์แบบ รถแข่งเกือบทั้งหมดเป็นคาร์บอนแล้วทั้งสิ้น โดยเฉพาะในการแข่งขันทัวร์ และคลาสสิครายการยาวๆ ซึ่งในยุคนั้นคาร์บอนโมโนค็อกเพิ่งเริ่มป็นกระแสหลัก ต่อเนื่องมาจากระบบคาร์บอนที่เข้าท่อกัน และส่งผลให้เฟรมเริ่มมีความสติฟมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีความสิตฟเฉพาะจุดล้ำหน้าอลูมินั่มไปในที่สุด และไปๆมาๆ ก็มีเฟรมคาร์บอนที่สติฟและ"กระด้าง" จนใกล้เคียงกับอลูมินั่มอยู่ในระดับการแข่งขัน นั่นเพราะการออกแบบเน้นไปที่ความสติฟและน้ำหนักที่ต้องเบามากๆ เลือกใช้คาร์บอนและการออกแบบรูปทรงที่ส่งกำลังได้ดีที่สุดมากกว่า
ผลพวงด้านร้ายก็คือนักแข่งต่างบ่นว่ารถพวกนี้มันใช้แข่งรายการสุดขีดอย่างคลาสสิคทั้งหลายไม่ไหว กระเด้ง กระดอน สั่นไปหมด นอกจากร่างกายจะล้ากรอบไปก่อนแรงหมดแล้ว ยังคุมรถยากมาก ยิ่งคุมรถยาก ก็ยิ่งต้องใช้กำลังในการประคองรถบนพื้นผิวสุดขีดมากตามไปด้วย และกลายเป็นปัญหาที่แบรนด์จักรยานต่างต้องหาทางออก ซึ่งนั่นคือจุดกำเนิดแรกๆของการมาของเสือหมอบสาย "เอนดูแรนซ์" ถ้าแปลสั้นๆจากที่มานี้ มันหมายถึง "เสือหมอบแข่งขันที่ถูกสร้างมาให้แข่งได้บนเส้นทางสุดแสบ" สิ่งสำคัญที่เสือหมอบเอนดูแรนซ์ทุกๆค่ายมี จนเป็นนิยามของเสือหมอบในกลุ่มนี้ได้แก่
1.ท่อคอสูงขึ้น ส่งผลให้ stack (ช่วงก้ม) ของรถสูงขึ้น ท่าขี่ไม่ดุดันมากนักเพราะต้องแข่งกันบนระยะทางยาวๆ การแข่งไสตล์นี้แต่ละคนต้องรับมือเส้นทางและเกมส์การแข่งยาวนานกันเกิน 4-5 ชั่วโมง
2.ช่วงฐานล้อที่กว้าง(ยาว) กว่ารถทั่วไป เพื่อให้รถมีการทรงตัวที่ดีขึ้นเมื่อโดนแรงเด้งเดีดไปมา ลดภาระในการคุมรถของนักปั่นลง
3.มีการออกแบบเพื่อลดแรงสะเทือนจากผิวถนน ไอเดียนี้มีตั้งแต่การกระจายแรงสั่น ไปจนถึงออกแบบระบบซับแรงสะเทือนคล้ายซัสเพ็นชั่นของเสือภูเขา เพื่อลดอาการล้าของร่างกายนักปั่นเกินความจำเป็น
แต่...สิ่งหนึ่งที่(คนขาย)ไม่ค่อยได้บอกกันก็คือ เฟรมเหล่านั้นยังคงต้องคงคุณลักษณะด้านอื่นอยู่ในระดับการแข่งขันหรือรับมือ(เท้า)นักแข่งอาชีพได้ ซึ่งรวมไปถึง 3 ข้อหลักดังต่อไปนี้
-น้ำหนักที่เบาเพียงพอที่จะไต่เขาได้ดี
-ความสติฟของการส่งกำลังที่ดี รองรับแรงสปรินท์ได้
-แอโร่ไดนามิคส์ที่สมเหตุสมผล (แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่คำนึงน้อยที่สุด)
ซึ่งทั้งหมดนี้ มีอยู่ใน Ridley Fenix SL
ยังครับ ยังไม่เข้าเรื่อง Fenix ขออ้อมไปบ่นเรื่องรถเอนดูแรนซ์ต่ออีกหน่อย
ในเมื่อพิจารณาไล่มาตั้งแต่ต้น เราจะพบกับจุดน่าสังเกตุว่า "ค่านิยม" ของการเลือกเสือหมอบกรแสหลักนั้น ปล่อยให้รถเอนดูแรนซ์กลายเป็นช่องโหว่ที่ถูกหมางเมินไป เพราะเป้ามองข้ามสิ่งสำคัญ แม้แต่การขายและการรีวิวที่ต้องพยายามชูจุดเด่นด้านความเป็นรถเอนดูแรนซ์ (ของทุกๆแบรนด์เลยครับ) พร่ำพูดในเรื่องของความสบาย การซับแรงสะเทือน ท่าขี่ที่ผ่อนคลาย จนถูกเข้าใจผิดว่านี่คือ "รถขี่ชิล" ไปในที่สุด ยิ่งถ้าเป็นระบบหมู่บ้าน อบต. ตำบล ที่คุยกันปากต่อปากตคามกลุ่มไลน์ หรือเฟสบุ๊ค ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะเอาตัวหนังสือสั้นๆมาแลกเปลี่ยนกันไม่กี่ตัว ก็ไปจบลงที่ว่า มันนุ่ม สบาย ขี่ไกลๆดีนะ น้อยคนมากๆที่จะบอกว่า มันมีค่า Lateral Stiffness ที่พอๆกับถทั่วไป หรือมันมีน้ำหนักที่ไม่ได้แย่ไปกว่ารถแอโร่ฯด้วยซ้ำ
รถที่นุ่มมักไม่พุ่ง
นี่ก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่กลายเป็นความเชื่อที่ทำให้รถเอนดูแรนซ์ถูกมองข้ามกันไป เพราะในยุคแรกๆของคาร์บอนไฟเบอร์ เฟรมไหนยิ่งกระด้าง ยิ่งแข็ง แปลว่ายิ่งสติฟ เฟรมไหนไม่สติฟมันมักจะย้วยๆ ยวบๆเวลาออกแรง ดังนั้นความสติฟจึงอยู่ตรงกันข้ามกับคำว่านุ่มสบายเป็นทุนเดิม ซึ่งไม่ได้ผิดอะไรครับ เพราะโดยหลักพื้นฐานมันก็เป็นเช่นนั้น หากอยากได้คาร์บอนที่สติฟก็ต้องเลือกใช้รหัสที่แข็งๆ วางทิศทางให้เน้นการรับแรงได้ดี ต้องออกแบบรูปทรงมาให้ดีๆ จะได้ไม่เสียแรงส่ง และกลายเป็นความกระด้างไปในที่สุด
ทว่า...จากวันนั้นถึงวันนี้ ความรู้และการออกแบบคาร์บอนไฟเบอร์ในการผลิตเฟรมจักรยานเปลี่ยนไปจากเดิมเยอะ นักออกแบบเริ่มใช้แผ่นเส้ยใยคาร์บอนรหัสต่างๆกันในส่วนต่างๆ เลือกออกแบบการเรียงตัวของแผ่นที่ต่างจากเดิม มีทิศทางที่ทั้งส่งกำลังและกระจายแรง และยินยอมที่จะให้บางชิ้นส่วนให้ตัวได้ในทิศทางที่ต้องการ ในขณะที่เลือกเพิ่มความสติฟในส่วนส่งกำลังมากขึ้นจนรองรับแรงได้ดีเท่าเดิม ทั้งหมดนี้เองที่เป็นกุญแจสำคัญให้สามารถพัฒนารถเอนดูแรนซ์ออกมาได้ในสมรรถนะที่อยู่ในบริบทของการแข่งขัน
ซึ่งห่างไกลจากแนวคิดความแข็งและความนุ่มเดิม ที่เกิดจากขีดจำกัดของการออกแบบในยุคก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
เอาล่ะครับ..หากใครอ่านมาจนถึงจุดนี้ น่าจะพอได้เค้าลางๆแล้วว่า อะไรที่เป็นรูรั่วของความเข้าใจ ที่ทำให้กระแสความสนใจออกห่างจากเสือหมอบกลุ่มนี้กัน แน่ล่ะ ถ้ามองว่ามันเป็นแค่ของเล่นสำหรับขารักสบาย ไม่ใช่ของแรง ไม่ใช่นักแข่ง มันก็ไม่รู้สึกว่าเฟรมประเภทนี้เป็นตัวสูงสุด และไม่จบตามนิยัยไม่ชอบคาราคาซังของคนไทย
ลองเปิดใจแล้วทำความรู้จักกับมันใหม่กันครับ
Ridley Fenix SL
เข้าเรื่องกันเลย สำหรับ Fenix เป็นสายรถเอนดูแรนซ์ของค่าย Ridley (ริดลีย์ หรือหลายๆท่านอ่านว่า ริดเลย์) ออกแบบมาเพื่อทำการแข่งขันในรายการคลาสสิคเป็นหลัก โดยได้รับความร่วมมือวิจัยและพัฒนาร่วมกับนักแข่งอาชีพของทีม Lotto Soudal จนผลิตออกมาและใช้ในการแข่งขันจริงได้สำเร็จ ซึ่งอยู๋บนฐานของแนวคิดหลักๆ 3 ประการต่อไปนี้
ความสบาย
เฟรมต้องมีมิติที่จัดท่าขี่ให้สบายได้ง่ายโดยไม่ต้องมารองแหวนกันมากจนเสียคุณสมบัติที่ดีด้านหน้า และต้องมีการกระจายและซับแรงสะเทือนจากถนนได้ดี เพื่อลดอาการล้าของร่างกายนักแข่งบนเส้นทางขรุขระ กระเด้งกระดอนจากผิวถนนอิฐได้
มีน้ำหนักเบา
รายการคลาสสิคหลายๆรายการ เช่น ลิเยจ์-บัสตง-ลิเยจ์ หรือช่วงสำคัญของ ฟานเดอเร็น แฟลนเดอร์ มีเส้นทางเป็นเขาที่ชัน ดังนั้นเฟรมนี้ต้องมีน้ำหนักเบาสมเหตุสมผล ไม่ใช่หนักจนเกินไป ขี่แล้วเป็นภาระบนภูเขา ประกอบรถแข่งออกมาได้น้ำหนักตามเกณฑ์การแข่งขันได้ไม่ยาก
เฟรมต้องติฟมาก
นักแข่งคลาสสิคส่วนมาก มีลักษณะคล้ายๆกันอยู๋อย่างหนึ่งคือมีร่างกายที่ใหญ่โต สร้างกำลังได้มาก แข็งแรง เพราะบนเส้นทางกระเด้งกระดอน พวกนักไต่เาร่างเล็กจะถูกแรงเด้งจากถนนดีดไปมา ลดโมเมนตั้มของการเคลื่อนที่ไปมากและหมดแรงไปก่อน ส่วนบรรดาสปรินท์เตอร์ทางราบแท้ๆก็ไม่สามารถระเบิดพลังระยะเวลานานๆแบบเกมส์คลาสสิคได้ ดังนั้น กลุ่มที่ขี่คลาสสิคได้ดีคือพวกสปรินท์เตอร์ทรงพลัง ระเบิดได้นานๆ หรือนักขี่ไทม์ไทรอัลที่ระเบิดพลังได้สั้นๆ ทั้งหมดนี้ ทำให้เฟรมต้องมีความสติฟมากจนไม่ได้แตกต่างอะไรจากเฟรมแข่งประเภทอื่นๆ ถ้าจะพูดกันให้ดีแล้ว เฟรมเอนดูแรนซ์ สติฟกว่าเฟรมไต่เขาเบาๆไซส์เล็กๆหลายๆตัวด้วยซ้ำ
ซึ่งกรอบทั้งหมดนี้ เป็นตัวบังคับการออกแบบของ Fenix SL
เมื่อด้านล่างของเฟรม เป็นชุดส่งกำลังชั้นดี แข็ง และสติฟ รองรับแรงได้ดีตั้งแต่ท่อคอที่แกร่ง คุมรถได้ง่าย ไม่บิดตัวเมื่อเข้าโค้ง องศาท่อคอและตะเกียบวางมาพอดีกันกับเฟรมทั้งหมด ส่งผลให้เฟรมมีศูนย์ถ่วงที่ดี ควบคุมได้ง่ายและมีความเสถียรสูง ในขณะที่ช่วงบนของเฟรม ไล่มาตั้งแต่ดร็อปเอาท์หลัง ขขึ้นมาตามแนวหลาง ผ่านจุดรัดหลักอานไปตลอดท่อบน เป็นชุดโครงสร้างที่เลือกใช้วัสดุคาร์บอนที่กระจายแรงได้ดี และยินยอมให้ท่อนั่งและหลักอานให้ตัวได้ในแนวหน้า-หลังเพื่อลดแรงสะเทือนที่จะขึ้นมายังผู้ขี่ได้มากที่สุด
ถ้าย้อนอดีตไป แนวคิดนี้ถูกสร้างเป็นพื้นฐานมากว่า 40 ปีแล้วครับ เพราะเคยมีเสือหมอบคลาสสิคที่ใช้อลูมินั่ม และโครโมลี่(สตีล)แบ่งครึ่งลักษณะคล้ายๆกัน ต่อยอดมาจนยุคที่เป็นอลูมินั่มกับคาร์บอน และตอนนี้ เป็นคาร์บอนกับคาร์บอน เพียงแต่เป็นการเลือกใช้คาร์บอนที่แตกต่างกัน และออกแบบกระบวนการผลิตในแต่ละจุดที่จำเพาะต่างกันแทน
ผมจะไม่ลงไปรายละเอียดด้านศัพท์เทคนิคการตลาดมากนักครับ เพราะอย่างที่บอกว่ารถออกมาสักพักแล้ว หาดูกันไม่ยากเลย แต่บทความยาวยืดเกินรีวิวปกตินี้เกิดมาจากความรู้สึกจี๊ดใจของผมที่ได้ลองสัมผัสแรกกับเจ้า Fenix SL ส่วนตัวผมเองไม่ได้คาดหวังด้านความ"มันส์"ก ับเจ้านี่เอาไว้มากมายอะไร ก็เหมือนๆกับพวกเรานั่นแหละครับ ผมก็รู้สึกว่ารถเอนดูแรนซ์มันจะสนุกได้อย่างไร ถ้าส่ง Helium มาสิจะสะใจมาก (แอบอ้อนขอผู้นำเข้า)
โดยรวมแล้วรถจัดอยู่ในมาตรฐานของแบรนด์ระดับโลกครับ งานดี รอยต่องดงาม ทรงท่อเข้ากันสวย รอยต่อของท่อคอกับตะเกียบออกแบบมารับกัน ช่วยทั้งแอโร่ไดนามิคส์และความสติฟด้านหน้า และแน่นอนว่ามันสวยจับใจ สัดส่วนดูแล้วไม่สะดุดตานัก บึกบึนแต่ท่อนั่งเรียวเล็ก แต่ถ้าคุ้นชินกับแบรนด์ Ridely เค้าจะมีการออกแบบแนวนี้เป็นเอกลักษณ์ สัดส่วนเฟรมจะหลุดไปจากความ "เซ็กซี่" ตามกระแสนิยมไปบ้าง มองเผินๆไม่ชอบ แต่ มองนานก็ก็สวยแฮะ เหมือนผู้หญิงมีเสน่ห์เมื่อจ้องตากันไปนานๆนั่นแหละครับ
กะโหลกบึกบึนสุดขีด ท่อคอต่อกับท่อบนใหญ่โตมหึมากำยำมาก หางเรียวสลิม ท่อนั่งเล็กบางเฉียบ องศาไปทางเอนดูแรนซ์ตามที่มา ฐานล้อค่อนข้างยยาวเทียบในไซส์ของผม สูง 165 ปกติผมดึงเบาะสูงจากกลางกระโหลกราวๆ 68.7 ซม. มาเซ็ทเจ้า Fenix SL ผมจับเอาแหวนรองคอออกหมดดูซิว่าจะขี่ท่ามันส์ๆได้มั้ย เพราะเห็น stack ค่อนข้างเยอะ กลัวจะก้มไม่มันส์ พบว่าก็ก้มได้กำลังดีครับ ถ้าอยากได้สะใจดิบเถื่อนก็หาเสต็ม 110 มาเปลี่ยนเป็นอันจบ แต่อย่าลืมว่ารถคันนี้เน้นเอนดูแรนซ์ ถ้าจับใส่ 110 มุมซัก -17 ซิ่งก็จริง แต่คงทรมานสังขารน่าดูถ้าต้องปั่น 6 ชม.
เซ็ทรถเสร็จไม่ยากเย็นเลยครับ กระโดขึ้นไปคร่อง นั่งบนนั้น จับวนช้าๆเบาๆในลานจอดดูการทรงตัวของรถ จับยืน บิดไปมา ซ้ายขวา หมุนวงแคบๆ เออ ไม่เลวแฮะ นึกว่ารถพวกนี้จะอืดอาด เอนไม่ไป เลี้ยวไม่ม า ที่ไหนได้ บาลานซ์ร่างกายง่ายมาก วงเลี้ยวทำได้ไม่เลว แสดงว่าจริงๆถึงรถจะวิ่งนิ่ง(ตามที่ออกแบบ) แต่ก็คล่องแคล่วไม่ฝืนไม่ดื้อในโค้ง จับสลาลมสั้นๆเหวี่ยงไปมา ไม่ถึงกับคล่องมาก แต่ก็ไม่แหกไลน์ เรียกว่าต้องโหนกันหน่อยครับ แต่ไปได้แน่ๆ ต้องยกนิ้วให้กับการวางจุดศูนย์ถ่วงเลยทีเดียว
ถามว่านุ่มมั้ย? .... จัดว่านุ่มครับ ขี่สบาย ถนนดุจแพรไหม ฟูกสบายๆสปริงดีๆ ไม่ยวบแบบเตียงม่านรูด (เห็นเค้าบอกมา) และไม่ดึ่งแบบเตียงน้ำ(เค้าก็ว่ามา) ผ่านคอนกรีต ผ่านยางมะตอย กรวดนิดหน่อย ผิวแตกต่างกันพอจะแยกแยะอยู่ได้ แต่ไม่ถึงกับสะท้านต่างกันจนต้องหนาวเมื่อลงผิวมะกรูด ลุยกรวดเข้าไปก็ต้องขอบคุณฐานล้อและองศาท่อคอกับมุมตะเกียบที่คุมรถได้ง่ายจริงๆนั่นแหละครับ
การขี่ไม่มีอะไรมาก เพราะเป็นการทดลองครั้งแรก จับขี่ธรรมดาสบายๆ จับลากสวนลมซักหน่อยความเร็วกลางๆคนทั่วไปปั่นกัน จับกระแทกทำเซ็ทสปรินท์สั้นๆสลับหลายๆรอบดูการตอบสนอง และสุดท้ายลองใส่หมด อัดความเร็วสูงตามลมก่อนจะยกใส่หมดเฟืองกันตอนจบ ผมลองขี่ทั้งหมดแล้วเป็นอย่างไร? ... ขอยังไม่บอกครับ แต่ขอเล่าความรู็สึกตอนปั่นเสร็จ คูลดาวน์ไหลกลับมา ผมถามใจตัวเอง ถามคำถามกับสังคมแทนคนอื่นๆ... รถคันนี้มีอะไรไม่ดี ถึงไม่ได้รับความนิยมสูง และรถกลุ่มนี้ทำไมไม่ค่อยเป็นที่นิยม ??
มันคาใจผมมาตลอดตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ จนไปนั่งลำดับเรียงออกมาเป็นบทความนี้ เพราะเจ้า Ridley Fenix SL กระทืบมันส์เท้าเป็นบ้า กระแทกแล้วไป ใส่เป็นมา เฮ้ยยยย นี่ไม่ใช่หวานเย็นแล้วล่ะครับ บอกตามตรงเลยว่าไม่ต่างจากฟิลลิ่งรถทั่วไป รถแอโร่ฯตัวโหดๆเลยในด้านความสติฟของระบบส่งกำลัง เข้าโค้งก็สนุก เทแล้วไป ชุดขับก็ให้มาแบบคุ้มๆกลางๆ มีก้าวต่อไปให้ได้เล่นอัพกันไม่ยาก ล้อก็มีแบรนด์ใส่มา แม้จะรุ่นเริ่มต้นแต่ก็ถือว่าดีกว่าหลายๆค่ายที่แถมล้อสำเร็จมา โอเคครับ ราคาเต็มๆอาจจะไม่ค่อยเย้ายวนใจมากนักสำหรับเสป็คนี้ แต่ถ้าโจทย์แบบว่า...งบกลางๆ อยากได้ฐานเฟรมจบๆ ยอมลดอะไหล่ ใส่ล้อเริ่มต้น เดี๋ยวโบนัสมาไปสอบล้อดี ล้อหล่อมาเพิ่มบารมี เดี๋ยวเม้มเงินที่บ้านไปจัดชุดขับใหม่ ก็จะได้รถสุดในภายหลัง แบบนี้ Fenix SL 105 คันนี้ใช่เลย
ที่สำคัญ ถ้ามีโปรโมชั่นลดราคาแรงๆแล้วล่ะก็ ... รีบอ่านย้อนเรื่องรถเอนดูแรนซ์อีก 3 รอบเลยครับว่า ที่ผ่านมาท่านรู้จักกับรถเอนดูแรนซ์ดีพอแล้วหรือยัง ถึงบอกว่ารถกลุ่มนี้ไม่สนุก!!
แต่ก็ไม่ใช่ว่ามีแต่ดีนะครับสำหรับ Fenix SL เพราะน้ำหนักทั้งคันราวๆ 8.21 กก. โอเคว่าไม่ได้หนักสำหรับเสป็คนี้ แต่เฟรมไม่ได้จัดว่าเบาหวิวๆ ก็น่าจะเพราะการออกแบบที่ต้องประนีประนอมคุณลักษณะต่างๆกัน ทำเฟรมเบาแบบ "สมเหตุผล" ออกมาได้ก็จริง แต่สำหรับสายบ้าเบา อยากให้รถคันนี้ได้เลข 6 สวยๆ ก็คงต้องลำบากใจครับ หกปลายๆน่ะทำได้ แต่ถ้าจะหกกลางๆ ของแต่งทั้งหลายอาจต้องแพงกว่ารถทั้งคันไปอีกซัก 3 เท่า
ด้านแอโร่ไดนามิคส์ เท่ที่ลองรถคันนี้โมเมนตั้มไหลไปได้ดีเพราะน้ำหนักที่รถมีโดยรวมมากกว่า เพราะเวลาลมกระแทกมา รถออกอาการตื้อหน่วงรู้สึกได้ว่าต้องใส่เพิ่มเพื่อคงความเร็ว พวกรถแอโร่ฯแท้ๆจะได้เปรียบตรงนี้แหละครับ ซึ่งอาการไหลเพราะน้ำหนักนี้เองที่ทำให้มันไม่ได้พุ่งพรวดแบบฟิลลิ่งรถแข่งจัดจ้านทางเรียบกระทืบหน้าเส้นแล้วทะยาน เพราะอย่างผมตัวเท่าเมี่ยงแบบนี้ กว่าจะยัดไปจนถึงเพดานสูงสุดนี่เล่นเอาตาเหลือกแล้ว อย่าหวังจะคงความเร็วได้เลย
ดังนั้นจุดอ่อนที่พบทั้งสองเป็นสิ่งที่ต้องเป็นการบ้านสำหรับอนาคตที่ต้องคอยมาอัพอะไหล่เพื่อแก้ไขกัน แต่ถ้าดูดีๆมันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรครับ ล้องามๆ แจ่มๆ สักชุด สามารถทำให้รถคันนี้ กับทุกอย่างเดิมๆ น้ำหนักเหลือ 7.6-7.8 กก. ได้้สบายๆ จับใส่ยางวิ่งดีๆ หน้าตามสมัยนิยม 25 มิลฯ แรงต้านน้อยๆ ยางในเบาๆ แค่นี้ก็บินฉิวแล้วครับ ถ้าจะเอาให้สุดมันก็จะเหลือแต่เฟรมล่ะครับอย่างที่บอกว่าสุดท้ายเฟรมนี้เป็นตัวสำคัญที่ทำให้มันคุ้มมากๆ
ใครสนใจโปรโมชั่นพิเศษโดนๆ ในงาน International Bangkok Bike วันที่ 6-9 ตุลาคมนี้ ลองติดตามข่าวสารจากผู้นำเข้าได้เลยครับ เพราะเท่าที่ทราบมา ... ได้ยินแล้วต้องถามอีกครั้งว่า "อะไรนะ?" เพราะกลัวฟังผิดครับ[homeimg=300,250]http://www.thaimtb.com/forum/picture_mt ... 039017.jpg[/homeimg]
ฟังสาระจักรยาน Podcast
https://open.spotify.com/show/76iDUCWXgqqixg1CmoSDIp
ข่าวสารจัรกยาน
https://www.facebook.com/cyclinghubthailand/
https://open.spotify.com/show/76iDUCWXgqqixg1CmoSDIp
ข่าวสารจัรกยาน
https://www.facebook.com/cyclinghubthailand/
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 247
- ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2012, 18:57
- team: Audax Independent
- Bike: BH Quartz 2015
Re: Ridley Fenix SL การันตีว่ารถเอนดูแรนซ์ยุคนี้ ไม่ใช่คำว่า "ชิล" อีกต่อไป
ผมนี่รอ S-work Roubaix 2017 อยู่เลย
- irat
- ขาประจำ
- โพสต์: 879
- ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ธ.ค. 2013, 11:57
- team: 18+
Re: Ridley Fenix SL การันตีว่ารถเอนดูแรนซ์ยุคนี้ ไม่ใช่คำว่า "ชิล" อีกต่อไป
บทความนี่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือตรง เค้าบอกมากับเค้าว่ามาเนี่ยแหล่ะครับ 555
ผมว่ายี่ห้อนี้ออกแบบลายสีไม่ค่อยโดนใจผม แนวๆ Cervelo ผมซื้อรถด้วยเหตุผลเพราะลายกับสีที่ชอบแค่นั้นเองครับ
ผมว่ายี่ห้อนี้ออกแบบลายสีไม่ค่อยโดนใจผม แนวๆ Cervelo ผมซื้อรถด้วยเหตุผลเพราะลายกับสีที่ชอบแค่นั้นเองครับ
สายแฟชั่น ปั่นเรื่อยเปื่อย
- Stormtrack
- ขาประจำ
- โพสต์: 134
- ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.พ. 2012, 15:03
Re: Ridley Fenix SL การันตีว่ารถเอนดูแรนซ์ยุคนี้ ไม่ใช่คำว่า "ชิล" อีกต่อไป
ส่วนตัวเห็นด้วยครับ เรื่องลายเรื่องสี Ridley ปีหลังๆ สีกับลายไม่โดนเลยirat เขียน:บทความนี่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือตรง เค้าบอกมากับเค้าว่ามาเนี่ยแหล่ะครับ 555
ผมว่ายี่ห้อนี้ออกแบบลายสีไม่ค่อยโดนใจผม แนวๆ Cervelo ผมซื้อรถด้วยเหตุผลเพราะลายกับสีที่ชอบแค่นั้นเองครับ
ผมชอบลายคันสีขาวปีเก่า ช่วงปี 13-14 คันที่ประกอบบทความมากกว่าอีกครับ
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 107
- ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ย. 2013, 11:58
- Tel: 0830211144
- ติดต่อ:
Re: Ridley Fenix SL การันตีว่ารถเอนดูแรนซ์ยุคนี้ ไม่ใช่คำว่า "ชิล" อีกต่อไป
ผมสาวก Ridley นะครับ
เรื่องสีต้อง Noah RS ขึ้นครับสีสวยแน่
ส่วนที่ติดใจคือ นุ่มสบายครับ อันนี้จริงหรอ ใช้ Ridley ทั้ง RS SL กระด่างมากครับ แต่ถ้าชินแล้วจะปั่นสนุกครับ
เรื่องสีต้อง Noah RS ขึ้นครับสีสวยแน่
ส่วนที่ติดใจคือ นุ่มสบายครับ อันนี้จริงหรอ ใช้ Ridley ทั้ง RS SL กระด่างมากครับ แต่ถ้าชินแล้วจะปั่นสนุกครับ
- manu2005
- สมาชิก
- โพสต์: 13
- ลงทะเบียนเมื่อ: 15 พ.ค. 2015, 14:57
- Bike: Ridley Fenix SL
Re: Ridley Fenix SL การันตีว่ารถเอนดูแรนซ์ยุคนี้ ไม่ใช่คำว่า "ชิล" อีกต่อไป
Ridley Ridley Ridley Ridley
-
- สมาชิก
- โพสต์: 29
- ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ก.พ. 2016, 17:02
- Tel: 0984314539
- team: CNT
- Bike: Trex1.1
- ติดต่อ:
Re: Ridley Fenix SL การันตีว่ารถเอนดูแรนซ์ยุคนี้ ไม่ใช่คำว่า "ชิล" อีกต่อไป
พอดูรวมๆแล้วมีสเนห์เหลือเกินครับ
-
- สมาชิก
- โพสต์: 18
- ลงทะเบียนเมื่อ: 03 พ.ค. 2014, 11:20
- team: Just Bike Cycling
- Bike: Ridley Fenix C 2014
- ตำแหน่ง: แหลมฉบัง ชลบุรี
-
- สมาชิก
- โพสต์: 53
- ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ย. 2016, 06:17
- Tel: 0841310707
- team: No
- Bike: Chalenger
Re: Ridley Fenix SL การันตีว่ารถเอนดูแรนซ์ยุคนี้ ไม่ใช่คำว่า "ชิล" อีกต่อไป
ขอแสดงความคิดเห็นด้วยคน สำหรับผมขี่แบบสมัครเล่น ต่อให้เอารถของแชมป์โลกมาให้ผมปั่นผมก็ปั่นได้แค่ 22-30 ผมจะเน้นที่ความเบาของรถเป็นอันดับแรก เพาะต้องยกขึ้นรถไปขี่ รองมาก็รูปทรงสวย สีสรรสวย นอกนั้นเฉยๆครับ
- khunpatchara
- สมาชิก
- โพสต์: 29
- ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2015, 23:01
- Tel: 0859429915
- team: SG73
- Bike: Specialized Alley E5
Re: Ridley Fenix SL การันตีว่ารถเอนดูแรนซ์ยุคนี้ ไม่ใช่คำว่า "ชิล" อีกต่อไป
รอเฟรมและสีของปี 2017 ต่อไป
For Love : Falling in love and having a relationship are two different things.
For Sadness : Grief changes shape, but it never ends
For Life : Continue to make progress, day by day and step by step
For Sadness : Grief changes shape, but it never ends
For Life : Continue to make progress, day by day and step by step
-
- สมาชิก
- โพสต์: 30
- ลงทะเบียนเมื่อ: 24 เม.ย. 2011, 15:17
- Tel: .
- team: .
- Bike: giant yukon
- ติดต่อ:
Re: Ridley Fenix SL การันตีว่ารถเอนดูแรนซ์ยุคนี้ ไม่ใช่คำว่า "ชิล" อีกต่อไป
สีกับลวดลายแบบนี้ เชียร์ยังงัยก็ขายยาก
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 125
- ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ย. 2013, 11:43
- Tel: 0813725282
- team: RMUTI Cycling Team
- Bike: Bianchi Impulso , Ridley Fenix , Ridley Noah rs
- ติดต่อ:
Re: Ridley Fenix SL การันตีว่ารถเอนดูแรนซ์ยุคนี้ ไม่ใช่คำว่า "ชิล" อีกต่อไป
เป็นแฟน Ridley ครับ ใช้ปี 2014 เที่ยวทั่วไทยครับ
ส่วนตัวนะครับรถดีแต่ออกแบบไม่สวยครับ รอตัวนี้อยู่ครับ
ส่วนตัวนะครับรถดีแต่ออกแบบไม่สวยครับ รอตัวนี้อยู่ครับ
- flea.exsports
- ขาประจำ
- โพสต์: 295
- ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ค. 2010, 20:08
- team: garmin forrunner 910xt
- Bike: Eastern Mothra 2012(เหลือง), Trek 6000 2012(ฟ้า-ดำ)
- phantom rider
- สมาชิก
- โพสต์: 71
- ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ส.ค. 2014, 16:03
- team: ว่าย-ปั่น-วิ่ง / TRIATHLON
- Bike: Ridley Fenix C - Ridley Dean Fast TT/Tri
Re: Ridley Fenix SL การันตีว่ารถเอนดูแรนซ์ยุคนี้ ไม่ใช่คำว่า "ชิล" อีกต่อไป
เข้าใจอารมณ์...พี่เขาเลย... ไม่ได้เข้าข้างการรีวิวนะครับ...ใช่เลย...จากคนใช่รถ...RIDLEY...ชอบมากแบรนนี้...ถึงเล่นไตรกีฬาใช้รถไตรกีฬา...แต่ถ้า roadbike ไม่ว่ารุ่นไหน ยังไงผมก็...RIDLEYKaning_Daddy เขียน:
เพียรพยายามปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร...
แต่สุดท้ายฉันก็ต้องกลายเป็น...ไรเดอร์...อยู่ดี
แต่สุดท้ายฉันก็ต้องกลายเป็น...ไรเดอร์...อยู่ดี
-
- สมาชิก
- โพสต์: 1
- ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2015, 20:58
- Tel: 0906453864
- team: ชมรมจักรยานคริสเตียนไทย(TC3)
- Bike: เสือหมอบ
- ตำแหน่ง: 25/10 ซ.อาทิตย์ วุฒากาศ บางค้อ จอมทอง กรุงเทพฯ 10150
Re: Ridley Fenix SL การันตีว่ารถเอนดูแรนซ์ยุคนี้ ไม่ใช่คำว่า "ชิล" อีกต่อไป
ผมเป็นคนนึงที่ชอบสีปี 2013-2014 มาก กลับไปทำสีแบบเดิมได้ไหม...