วูบ หัวใจวาย กับนักปั่น เรื่องไกลตัวจริงหรือ?
- พล 347
- ขาประจำ
- โพสต์: 1101
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 20:24
- team: 347 Cycling Team
- Bike: Cannondale EVO
- ติดต่อ:
วูบ หัวใจวาย กับนักปั่น เรื่องไกลตัวจริงหรือ?
ปั่นประเภทจัดหนัก -โหด ไกล และ บ่อย ๆ ทำร้ายหัวใจกันเกินไปมั๊ย???
Are endurance athletes hurting their hearts by repeatedly pushing beyond what is normal?
Words by Chris Case.
บทความนี้เผยแพร่ในวารสาร Velo news กลางปี 2015 ได้รับความสนใจอย่างแพร่หลายท่ามกลางหมู่นักปั่น มีการตื่นตัวให้มีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมมากขึ้น ในเรื่องภาวะคลื่นหัวใจผิดปกติกับนักปั่นจัดหนักโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ผู้สูงวัย
ผมอ่านแล้วแปลเอานะครับ ไม่ได้มีความรู้เรื่องนี้เท่าไร ถูกผิดไม่ว่ากัน อาศัยว่าอยู่ในวัยเสี่ยงเท่านั้นเอง ใครสนใจอ่านต้นฉบับที่นี่เลยครับ
From <http://velonews.competitor.com/cycling-extremes> ยามเช้าที่สดใสสวยงามท่ามกลางฤดูร้อนกลางเดือนกรกฏา ปี 2013 แสงอาทิตย์ส่องสว่างสะท้อนเทือกเขาหินสีแดงเข้มเหนือเมืองโบวเดอร์ โคโลราโด้ เลนนาร์ด ซินน์ กูรูนักปั่นชื่อดัง ผู้ก่อตั้งซินน์ไซคลิ่ง ทีมงานรุ่นเดอะแห่ง Velo News ผู้หลงรักการปั่นประเภทจัดหนักเป็นชีวิตจิตใจ และอดีตนักปั่นสังกัดทีมชาติ USA กำลังก้มหน้าก้มตาปั่นไต่เทือกเขาแฟลกสต๊าฟที่เขาหลงไหล เป็นการไต่เขาธรรมดาที่ทำมาครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นร้อย ๆ ครั้งแล้ว
...เพียงแต่ครั้งนี้...ไม่เหมือนเดิม...
...และหารู้ไม่ ชีวิตของเขากำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล..
...เมื่อเสียงหัวใจเขาเริ่มเต้นดังยังกะเสียงข้าวโพดคั่วแตก ตัวเลขฮาร์ดเรทมันกระโดดโลดเต้นพุ่งพรวดจากปกติ 155 ไปถึง 218 ครั้งต่อนาทีและแช่ยาวอยู่ตรงนั้น แน่นอนเขากลับเมินเฉยและละเลยที่จะตอบสนองต่อสิ่งที่ร่างกายเขาฟ้องมาแต่อย่างใด...
เขารู้สึกตัวอีกครั้งที่ห้องฉุกเฉิน รพ ท้องถิ่นบ่ายวันนั้น ถูกนำเข้าหอพักผู้ป่วยโรคหัวใจทันที แม้ว่าเขารับฟังในคำวินิจฉัยของทั้งหมอห้องฉุกเฉินและหมอโรคหัวใจ แต่ใจเขาก็ยังคงรู้สึกค้านและละเลยคำเตือนของหมอเหล่านั้น
หลังจากยอมพักฟื้นระยะหนึ่งเพื่อเอาใจคำสั่งหมอ เขากลับไปซ้อมปั่นและแข่งต่อเหมือนเดิม เพียงแต่คราวนี้หมอบังคับให้เขาพกสายอิเล็คโตรดและเครื่องวัดคลื่นหัวใจอันพะรุงพะรังติดตัวไปด้วยความหวังว่าอาการหัวใจซึ่งกระโดดโลดเต้นไปที่ 200 กว่าจะเกิดขึ้นอีกครั้งและหมอจะได้วิเคราะห์ได้ดีขึ้น ซึ่งสร้างความรำคาญให้กับเขาพอสมควรเมื่อเริ่มปั่นหนักขึ้นและหนักขึ้น แต่ที่สร้างความอึดอัดหาวเรอมากกว่านั้นก็ตอนที่เขาเริ่มได้รับโทรศัพท์ดึก ๆ บ่อยขึ้นจากพยาบาลที่ได้รับมอบหมายให้เฝ้าดูสัญญาณ EKG ระยะไกลจากเครื่องของเขา
ข่าวร้ายที่เขาได้รับแจ้งเสมอ ๆ คือ เขามีภาวะหัวใจหยุดเต้นชั่วคราวเป็นเวลา 2-3 วินาที 3 เดือนผ่านไป ย่างเดือนตุลาฯ ซินน์ได้รับผลวิเคราะห์อย่างเป็นทางการ ยืนยันว่าเขาเป็น Multifocal Atrial Tachycardia ซึ่งเป็นอาการว่าด้วยหัวใจ คลื่นหัวใจ โหนด คลัสเตอร์ ตัวควบคุมการเต้นหัวใจ อันเป็นภาวะการเต้นหัวใจสับสนประเภทหนึ่ง เอาเป็นว่าผมไม่แปลศัพท์พวกนี้ก็แล้วกัน มันยาก
และนั่นก็เพียงพอที่ทำให้เขาหันมาสนใจคำเตือนของหมออย่างจริงจังมากขึ้นและเริ่มหยุดการแข่งขัน ลดอันดับตัวเองจากนักแข่งล่ารางวัล ยกเลิกการฝึกซ้อมแบบโหด ๆ หันมาเปลี่ยนแปลงชีวิตหลาย ๆ ด้าน เริ่มยอมรับตัวเองว่าเขาจะหันกลับใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ ที่เคยทำมาไม่ได้อีกต่อไป ถ้าคิดยังอยากจะมีชีวิตอยู่
วิถีแห่งจักรยานที่ผ่านมากำลังไล่ล่าชีวิตเขาหรือ?
ซินน์ไม่โดดเดี่ยวโด่เด่ในเรื่องนี้ ในช่วงที่เขากำลังปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอยู่นั้น เขาเริ่มติดต่อเพื่อนฝูงนักปั่นเก่า ๆ ที่เคยแข่งขันด้วยกันสมัยหนุ่ม ๆ ที่ยังคงปั่นกันอยู่อย่างหนักหน่วงและต่อเนื่องในวัยย่าง 50 พบว่าหลายคนรวมทั้งเพื่อนร่วมทีมเขาเองด้วย ส่ออาการคล้าย ๆ กัน บางคนที่เป็นหนักกว่าด้วยก็มี มันไม่ได้เป็นแค่เรื่องบังเอิญเสียแล้ว เขาเป็นหนึ่งในหลาย ๆ คนทีเดียว
ไมค์ เอ็นดิคอต หนึ่งในนั้น เขาเป็นนักปั่นประเภทจัดหนักมาตั้งแต่วัยรุ่น
"โดยนิสัย ผมชอบปั่นจักรยาน และใช้การแข่งเป็นการซ้อม ในขณะหลายคนซ้อมเพื่อแข่ง ผมใช้การแข่งเพื่อจะบอกตัวเองว่าฟิตขนาดไหน แถมยังชอบกิจกรรมกลางแจ้งหลายอย่างมาก" ไมค์เล่าให้ฟัง
ไมค์ใช้เวลา 6 เดือนหน้าหนาวแข่งสกีครอสคันครีและสกีจั๊ม และอีก 6 เดือนแข่งจักรยาน สรุปทั้งปีไม่เคยหยุดและยังทำงานหนักเพื่อเลี้ยงชีพด้วย
มันเหมือนกับจุดไฟเผาเทียนทั้งสองด้านพร้อม ๆ กัน แน่นอนเขามีชีวิตที่ดี๊ดี แต่เขากำลังทำร้ายมันโดยไม่รู้ตัว
และแล้ว วันหนึ่งในปี 2005 ขณะแข่งสกีแถวหุบเขา เฟรเซอ โคโลราโด เรื่องเล่าเดิม ๆ ก็เกิดขึ้น มันเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาตลอดกาล
คืนก่อนแข่ง เขานอนไม่ค่อยหลับเท่าไร ซึ่งเป็นเรื่องปกติ อาจตื่นเต้นมากไปหน่อย ไม่กินมื้อเช้ามากนัก เขาซดกาแฟไปสองแก้วก่อนแข่งชั่วโมงนึง ตามด้วยเจลให้พลังงานประเภทมีคาเฟอิน อุณหภูมิใกล้เคียงศูนย์ ท้องฟ้าไร้แดดโดยสิ้นเชิง หิมะตกเบา ๆ บรรยากาศช่างเป็นใจเหลือเกินสำหรับพายุร้าย ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในชีวิต
มันเป็นการแข่งขันที่สนุกมาก แต่ขณะที่เขากำลังไล่สกีขึ้น ๆ ลง ๆ ในทันใดนั้นเองเริ่มรู้สึกแปลก ๆ บางอย่างไม่ปกติ รู้สึกได้ถึงบางสิ่งเต้นตึงตังภายในทรวงอก ไม่เจ็บ ไม่ปวด แต่เริ่มรู้สึกมึน เวียนหัวตาลาย คล้าย ๆ คนเมาเหล้า พยายามฝืนตัวยืนไว้หรือไม่งั้นอาจล้ม รู้สึกแปลก ๆ ในหัวใจ นักสกีคนอื่นเริ่มแซงไปจนหมด ในที่สุดเขาล้มนอนลงท่ามกลางหิมะ เริ่มไม่รู้สึกตัว หายใจติดขัด พยายามเรียกให้คนช่วย แต่ไม่มีเสียงออกมา ได้แต่ยกมือโบกไปมา เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตาย
โชคเขายังดี เพื่อนสองคนที่คูลดาวน์หลังจากเข้าเส้นชัยไปแล้วหันมาเห็นเข้า ไมค์ถูกตรวจพบมีอาการ ventricular tachycardia (VT) ภาวะหัวใจด้านซ้ายเต้นเร็วผิดปกติ ( fast heart rhythm, that originates in one of the ventricles of the heart) ซึ่งเสี่ยงต่อหัวใจวายและทำให้ตายได้ (potentially life-threatening) ไมค์อายุเพิ่ง 50 เขารอดตายอย่างหวุดหวิด และนั่นเป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปตลอดกาล
เรื่องของหัวใจกับจักรยาน
จักรยานเป็นกีฬาที่ไม่เหมือนกีฬาประเภทอื่นเท่าไรนักก็ตรงที่เรื่องจัดหนักนี่แหละ นอกเหนือการฝึกซ้อมอย่างหนักในวันธรรมดาแล้ว ทริปจัดหนักช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์อย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงหรือปั่นมันทั้งวันยังเป็นเรื่องธรรมดาไป สำหรับนักแข่งแล้วนี่เป็นวิธีเดียว การฝึกซ้อมกันหนัก ๆ เพื่อรับมือกับการแข่งขันที่รออยู่ข้างหน้านั่นเอง แต่ฟิตจัดสำหรับการแข่งขันไม่ได้หมายถึงสุขภาพที่ดีเยี่ยมเสมอไปหรอกหรือ
มีเรื่องราวมากมายที่บ่งชี้ว่านักกีฬาระดับโปรไม่ได้มีสุขภาพที่ดีเสมอไป นักวิ่งมาราธอนระดับโลก อัลเบอโต้ ซัลซาอายุ 48 หัวใจหยุดเต้นไปถึง 14 นาทีก่อนที่เส้นเลือดที่อุดตันถูกทะลวงด้วยแพทย์สามารถช่วยชีวิตเขาไว้ได้ ไมก้า ทรู นักวิ่งไกลกว่ามาราธอนวิ่งได้แค่ 12 ไมล์ในงานแข่งนิวเม็กซิโก ก่อนจะถูกพบตายคาสนามวิ่ง
ย้อนหลังไปนานกว่านี้ 490 ปีก่อนคริสตกาลโน่น นักวิ่งส่งสารอายุ 40 ต้นตำนานวิ่งมาราธอนตายหลังจากส่งสารเรื่องกรีกชนะสงครามมาราธอนกับเอเธน หมอนี่วิ่งสองวันกว่า 240 กม. เพื่อขอความช่วยเหลือจากสปาตา และวิ่งกลับอีก 42 กมและตายทันทีที่ถึงจุดหมาย (นี่เป็นที่มาว่าทำไมวิ่งมาราธอนต้องเป็น42 กม.) น่าเศร้าที่เรากลับรำลึกถึงการตายของเขาด้วยการจัดวิ่งมาราธอนเป็นประเพณี
การตายเหล่านี้ดูน่ากลัวมากขึ้นเมื่อเห็นว่าผู้ตายล้วนแล้วแต่เป็นนักกีฬาที่ฟิตสุดยอด แข็งแรงสุดขีดกันทั้งนั้น แล้วการออกกำลังกายไม่ได้ช่วยให้หัวใจแข็งแรงขึ้นหรอกหรือ???
หลายปีมานี้เหล่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจทำการศึกษาผู้ออกกำลังกายสุดโต่งเหล่านี้และได้สมมุติฐานเบื้องต้นว่าภาวะการตายเหล่านั้นไม่ใช้เรื่องแปลกแต่อย่างใด บางครั้งเรื่องดี ๆ ที่ล้นไปก็ทำให้"สำลัก"ได้หากมันเป็นเรื่องของ "หัวใจ"
หัวใจ ชิ้นส่วนเดียวของคนเราเต้นเป็นจังหวะต่อเนื่องมากกว่า 100,000 ครั้งต่อวันโดยไม่หยุดพัก แม้ขณะนั่งพักหัวใจยังคงปั๊มเลือดมากถึง 5 ลิตรต่อนาทีไปสูบฉีดร่างกาย และอาจสูงถึง 25-30 ลิตรขณะวิ่งหรือปั่นทีเดียว หัวใจมนุษย์ถูกสร้างให้ทำงานหนักสูงขนาดนี้เชียวหรือ หลาย ๆ ชั่วโมงอย่างต่อเนื่องและทุก ๆ วัน โดยเฉพาะนักกีฬาที่ชอบจัดหนักและแข่งขันต่อเนื่องมาหลายปี หัวใจพวกเขาทำงานหนักเลยขีดความสามารถมาตลอด ใช่สิ่งนี้หรือไม่ที่กำลังคร่าชีวิตเขาอยู่
เพื่อให้เข้าใจเรื่องราวเหล่านี้มากขึ้นอีกสักนิด คงหนีไม่พ้นที่ต้องมาทำความรู้จักเจ้าหัวใจน้อย ๆ นี้บ้าง
หัวใจมีการทำงานอยู่สองระบบ ระบบแรกคือระบบลำเลียงเลือด (plumbing)และระบบที่สองที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักเท่าไรคือระบบไฟฟ้าครับ
ระบบลำเลียงเลือดประกอบด้วยเส้นเลือดและสี่ห้องหัวใจที่ทำหน้าที่สูบฉีด เท่าที่เราเรียนกันมาคร่าว ๆ ห้องด้านขวา ฉีดเลือดดำที่ใช้แล้วไปปอด ขณะที่หัวใจฝั่งซ้ายสูบฉีดเลือดแดงรับมาจากปอดไปสู่ร่างกาย ในภาวะปกติ การเต้นของหัวใจในการสูบฉีดของแต่ละห้องเป็นจังหวะจะโคนสอดคล้องกันหมด
หนึ่งในห้าของคนเป็นโรคหัวใจมีโอกาสเกิด ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Sudden cardiac heath) ได้ แต่โอกาสที่จะเกิดขณะกำลังออกกำลังกายอยู่นั้นน้อยมาก ถ้าจะมีบ้างก็เป็นพวกหัวใจวาย ซึ่งก็มักจะมีสาเหตุมาจากภาวะไขมันสะสมในหลอดเลือดซึ่งทำให้หลอดเลือดหนาและตีบตัน (Atherosclerosis) เสียมากกว่า โรคหัวใจอันเกิดจากการเต้นที่ผิดปกตินั้นสลับซับซ้อนขึ้นไปอีก นี่เองที่ระบบไฟฟ้าของหัวใจเข้ามาเกี่ยวข้อง อันว่าสรีระวิทยาของร่างกายคนเรานั้น เมื่อทำงานในภาวะปกติทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประจุไฟฟ้า ซึ่งสามารถตรวจจับได้ หัวใจก็เช่นเดียวกัน ทุกครั้ง ที่หัวใจเต้นจะมีการเปลี่ยนแปลงประจุไฟฟ้าเกิดขึ้น ในคนที่สุขภาพปกติดี รูปร่างของคลื่นประจุไฟฟ้หัวใจมีรูปแบบ แพทเทิร์นที่ชัดเจน และเมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้น ก็สามารถบอกได้จากรูปคลื่นไฟฟ้าได้ โดยทฤษฎีแล้วมันบอกอะไรได้เยอะมาก และใช้กันแพร่หลายในการตรวจสุขภาพหัวใจ
ทีนี้เมื่อเราซ้อมกันหนัก ๆ หัวใจก็มีการปรับตัวตาม ที่เจอบ่อย ๆ คือหัวใจจะเต้นช้าลงขณะพัก ก็เพราะว่ามันแข็งแรงขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่ที่หลายคนเจอเพิ่มก็คือเต้นช้ามาก ๆ เหมือนจะเกิดการเต้นข้ามจังหวะ (skipping a beat) แต่ภาวะพวกนี้ก็ไม่มีอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด
Overdose เมื่ออะไร ๆ มันมากเกินไป?
การเติบโตของวงการออกกำลังกายโดยเฉพาะจักรยานเกิดขึ้นทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย ผมยังจำได้ว่า 10 ปีที่แล้วงานปั่นขึ้นดอยอินทนนท์มีคนขี่ต่ำกว่า 200 คน มาปีนี้ (2016) มียอดผู้ร่วมปั่นมากกว่า 5000 คน โตมากกว่า 25 เท่าในรอบสิบปีทีเดียว ข่าวเรื่องนักปั่น นักวิ่ง นักฟุตบอลระดับโลกล้มตายคาสนามมีให้เห็นอย่างสม่ำเสมอ ทั้งเมืองไทยและเมืองนอก ส่งผลให้มีการศึกษาวิจัยเรื่องผลกระทบข้างเคียงต่อหัวใจของการออกกำลังกายหนัก การใช้งานหัวใจอย่างสุดโต่ง จากต่ำสุดโต่งสู่สูงสุดโต่ง จากต่ำกว่า 60 สู่สูงกว่า 200 ครั้งต่อนาที เริ่มเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น
หัวใจเองก็เริ่มปรับตัวเองให้โตขึ้น ผนังหนาขึ้น แข็งแรงขึ้น และตอบสนองต่ออะดรีนาลีนหลั่งได้รวดเร็วขึ้น เราเรียกเรื่องพวกนี้ว่าความฟิต แต่มันจะเป็นเรื่องสุขภาพที่ดีขึ้นหรือไม่นั้น ยังเป็นที่ถกเถียงกัน
สังคมนักวิทยาศาสตร์การกีฬาเคยมีตำตอบชัดเจนไหม ว่าการออกกำลังกายมากแค่ไหนจึงจะถือว่ามาก ควรใช้เวลากี่ชั่วโมง หรือหนักเบาแค่ไหน ทั้งมือใหม่และโปรทั้งหลาย "แม่รง ไม่มีว่ะ" เป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด มันเป็นคำถามโลกแตกจริง ๆ เพราะสิ่งที่พวกนักปั่นสุดโต่งเหล่านี้ทำหรือซ้อมอยู่ในปัจจุบัน มันโหดมากกว่าสิ่งที่เรียกว่าปกติในอดีตมากนัก ซึ่งน่าเป็นห่วงว่าอาจส่ออาการความเสียหายกับหัวใจ แม้พวกเขาจะสังเกตความผิดปกติหรือสัญญาณเตือนเหล่านี้ได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็มักเพิกเฉยและละเลยที่จะให้ความสนใจกับมัน
Atrial Fibrillation (AF) เป็นภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดหนึ่ง พบในหมู่นักกีฬาประเภทจัดหนักต่อเนื่องและยาวนานสูงถึง 5 เท่าของคนปกติ ข้อสังเกตุที่น่าสนใจอันหนึ่งคือ คนหนุ่มที่ออกกำลังกายน้อยมีความเสี่ยงต่อ AF น้อย คนสูงอายุที่ออกกำลังหนักมากมีความเสี่ยงต่อ AF มากขึ้น
แม้งานวิจัยเหล่านี้จะไม่สมบูรณ์มากนัก มีจุดอ่อนและถูกโจมตี มีข้อโต้แย้งได้ แต่ภาพรวมแล้วก็ยังบ่งชี้ว่าพวกออกกำลังกายหนักมีโอกาสเกิด AF ได้
บางทีกรณีศึกษาที่น่าสนใจกว่า น่าจะเป็นการทดลองกับหนู ตีพิมพ์ในวารสาร Circulation ปี 2010 โดยจับหนูกลุ่มหนึ่งมาวิ่งวันละชั่วโมง 5วันต่อสัปดาห์นาน 16 สัปดาห์ และเปรียบเทียบกับหนูอีกกลุ่มที่ให้นั่งกินนอนกินเฉย ๆ ผลปรากฎว่าหนูกลุ่มออกกำลังกายหนักส่ออาการหัวใจและโครงสร้างภายในเสียหายทุกรูปแบบ เช่น enhanced vagal tone, atrial dilation, atrial fibrosis, and vulnerability to pacing-induced AF (ผมไม่แปลนะครับ ศัพท์แพทย์พวกนี้ ใครสนใจถามอากู๋เอาเอง) เอาเป็นว่า อาการข้างบนนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องที่หัวใจหยุดเต้นได้ และถึงแม้ว่าหลังจากให้หนูทดลองหยุดออกกำลังกายแล้ว อาการบางอย่างหายไป แต่หลายอย่างยังคงอยู่ เป็นไปได้มั๊ยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับหนูทดลองจะเกิดขึ้นกับคนเราได้เช่นกัน เมื่อออกไปปั่นทุก ๆ วันก่อนทำงาน หลังเลิกงานและจัดหนักทุกเสาร์อาทิตย์ ไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สิ่งที่หัวใจต้องเผชิญก็คือเต้นมากขึ้นแรงขึ้น สร้างแรงบีบคลายได้มากขึ้น คลื่นไฟฟ้าไหลผ่านมากขึ้นทำงานในโซนอันคราย ขณะเดียวก็พัฒนาให้เต้นช้าลงเมื่อพัก ดูแล้วเป็นเรื่องที่ดีทั้งนั้น ซึ่งก็คล้าย ๆ กับสิ่งที่ ซินน์ และอีกหลาย ๆ คนเป็น และก็ไม่มีอะไรเลยที่จะเป็นสาเหตุของอาการเหล่านี้ได้ พวกเชาไม่มีโรคความดันโลหิตสูง ไม่เป็นเบาหวาน ไม่อ้วน ไม่มีไขมันเกิน และไม่ดื่มอัลกอฮอล์มากนัก (แค่เบียร์ดำนิดหน่อย อิอิ) โรคส่วนใหญ่ทีรู้กันว่าอาจเป็นสาเหตุของโรคหัวใจได้ พวกเขาไม่มีเลย สิ่งเดียวที่พวกเขาเป็นคือออกกำลังอย่างหนัก โคตรหนัก นานหลายปี
ยิ่งซ้อมปั่นมาก หนักมาก เร็วมากขึ้นเท่าไร พวกเขาก็ปั่นดีขึ้นเท่านั้น ลงสนามแข่งเมื่อไร ยีนโพเดี้ยมเมื่อนั้น ผ่านไปหลาย ๆ ปี เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจที่ทำงานหนักเกินอย่างต่อเนื่องเริ่มเสียหายเอาได้ ในช่วงอายุ 20-30 ปี ความเสียหายชั่วคราวเหล่านี้ ร่างกายสามารถซ่อมแซมเองได้ เมื่อได้รับการพักฟื้นที่ถูกต้อง แต่เมืออายุ 50 ปีขี้นไป ความเสียหายที่เกิดจากกีฬาที่พวกเขารัก การปั่นที่พวกเขาหลงใหล ประกอบกับการพักฟื้นที่ไม่สมบูรณ์อย่างต่อเนื่อง ยาวนาน ทำให้เกิดสภาวะกล้ามเนื้อหัวใจล้า เคลื่อนไหวลำบาก (stiff muscle)
งานวิจัยอีกชิ้นที่น่าสนใจ ตีพิมพ์ในวารสาร Applied Physiology ศึกษาโครงสร้างและการทำงานของหัวใจของนักแข่งตัวยง ช่วงอายุ 50-67 ปี ผลตรวจ MRI บอกว่า 50%พบความบกพร่องของเซลล์กล้ามเนื้อที่อาจเกี่ยวข้องกับภาวะกล้ามเนื้อหัวใจแข็งเป็นพังผืด ในขณะผลจากกลุ่มคนรุ่นเดียวกันที่ไม่ออกกำลังกายหนัก ไม่แข่งขัน และกลุ่มคนหนุ่ม ไม่พบซักคนเดียว รายงานนี้ยังบอกด้วยว่าภาวะการเป็นพังผืดว่าจะมากหรือน้อยนั้นขึ้นกับจำนวนปี และจำนวนครั้งของมาราธอนหรืออุลตร้ามาราธอน ที่พวกเขาทำไว้เลยทีเดียว แต่งานวิจัยบางเรื่องดูเหมือนจะขัดแย้งกัน อย่างนักปั่นตูว์ เดอ ฟร้องค์ และอดีตโปรหลายคนอายุยืนกว่าคนทั่วไปโดยเฉลี่ย และมีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจน้อยมาก แต่แม้ว่าคนพวกนี้จะปั่นเยอะก็จริงสมัยยังเป็นโปร แต่พวกเขาส่วนใหญ่ก็หยุดปั่นเมื่ออายุมากขึ้น และนั่นอาจจะเป็นคำตอบ เมื่อเทียบกับนักปั่นที่ยังคงปั่นสมบุกสมบันตอนอายุเยอะ ด้วยความคิดที่ว่าถ้าพวกเขาซ้อมอย่างคอนทาดอร์แล้วพวกเขาจะปั่นเก่งอย่างเขา ปีแล้วปีเล่า ปัญหามันเลยเหมือนดินพอกหางหมู
แม้ว่าจะไม่มีข้อสงสัยเลยว่าการออกกำลังกายเป็นวิธีเดียวที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการดูแลสุขภาพหัวใจ ทำให้อายุยืนยาว แต่ทุก ๆ ครั้งที่มีหัวข้อว่าด้วยเรื่องการออกกำลังหนัก ๆ ที่ทำร้ายสุขภาพหัวใจ ก็มักจะมีรายงานอย่างน้อยหนึ่งหรือสองชิ้นที่ชี้ไปในทางตรงข้าม ข้อโต้แย้งจะตามมาเสมอ ดราม่าดีมั๊ย
แต่ ถ้าจะเปรียบเทียบการออกกำลังเป็นเหมือนกับให้ยา มากกว่าไม่ได้แปลว่าดีกว่าเสมอไป มันอาจมีช่วงระยะหนึ่งที่เมื่อมากไป ดีกลับเป็นร้าย คุณกลับเป็นโทษ เพียงแต่ระยะที่จะบอกว่าเพียงพอแล้วนั่นมันอยู่ตรงไหนกันแน่ วิทยาศาสตร์เองยังไม่สามารถระบุได้
The perfect storm
ในกรณีของไมค์ ถ้าเขาได้รับการตรวจหัวใจก่อนลงแข่ง ก็คงไม่เจออะไรอยู่ดี ผลการตรวจจะบอกว่าเขาคึกและแข็งแรงยังกะม้าแข่ง ผลคลื่นหัวใจคงจะปกติ ร่างกายทุกระบบทำงานสมบูรณ์ดีเลิศ ซึ่งก็เหมือนกับนักกีฬาทั่วไปในวัยนี้ ตอนนั้นถ้ามีใครไปบอกเขาว่า ไมค์เอ็งซ้อมหนักเกินไปแล้ว พักเสียบ้าง เขาคงไม่เชื่อฟังอยู่ดี ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนกำลังห้าว สนุกสนานกับชีวิตกลางแจ้งเช่นเขา ถึงวันนี้เขาได้แต่คร่ำครวญ why me ทำไมฉัน ทำไมถึงเกิดกับฉัน ทำไมถึงทำกับฉันได้ ไมค์ผ่านกระบวนการรักษาอันยืดยาว และน่าสะพึงกลัว เพื่อจำลองสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับเขา (ภาวะหัวใจหยุดเต้นขั่วคราว) ในห้องแลป เขาถูก อัดฉีด อะดีนารีน คาเฟอิน ช๊อดไฟฟ้า สารพัดวิธี เพื่อกระตุ้นหัวใจเขาให้เต้นไปที่มากกว่า 200 ครั้งต่อนาที เพื่อให้มันหยุดทำงาน ว่าง่าย ๆ เค้นให้เขาตายให้ได้ ว่างั้นเถอะ ได้ผลมั่งไม่ได้ผลมั่ง โดยมีสายเซนเซอร์แปะอยู่รอบตัว ลองคิดดูมันทรมานขนาดไหน
ปี 2009 ห้าปีให้หลัง แล้วความพยายามของบรรดาหมอก็ประสบความสำเร็จ ปัญหาหัวใจของไมค์ไม่ได้อยู่ที่ระบบลำเลียงโลหิต แต่อยู่ที่ระบบไฟฟ้า หลังจากผ่านขั้นตอนหนึ่งซึ่งกระตุ้นหัวใจเขาให้เต้นสูงถึง 300 ครั้งเป็นเวลา 4 ชั่วโมง ก่อนจะตรวจพบอาการผิดปกติ ที่เรียกว่า วงจรไฟฟ้าหัวใจ "ลัดวงจร"
ซินน์เองก็ไม่ได้โชคดีไปกว่าไมค์เท่าไร หลังจากที่พยายามล้มเหลวครั้งแล้วครั้ง บรรดาหมอก็ยังไม่สามารถตรวจพบอาการผิดปกติของวงจรไฟฟ้าหัวใจเขาได้ พวกเขาคล้ายกับหนูทดลองยา ความที่เป็นคนรุ่น สว แรก ๆ ที่ซ้อมกันหนัก
2 ปีผ่านไป ซินน์อายุย่าง 55 แล้ว แน่นอนว่าเขาคิดถึงอดีตอันโลดโผนแต่ทุกวันนี้เขาใช้ชีวิตธรรมดา ทำอาหารเช้า ขับรถ รับส่งภรรยาไปทำงาน แม้จะไม่ฟิตเหมือนเดิม แต่เขาก็ดูสุขภาพดีเหมือนคนทั่วไป
TAKING IT TO HEART
ว่าด้วยเรื่องของหัวใจ
ความสัมพันธ์อันสลับซับซ้อนของหัวใจ ร่างกาย สรีรวิทยา รวมถึงกรรมพันธุ์ ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะวิเคราะว่าเมื่อไรตัวร้ายอันใดบ้างที่อาจเป็นสาเหตุใหัหัวใจหยุดทำงานโดยเฉียบพลันได้ หรือว่ามันอาจเป็นกรรมพันธุ์เป็นหลัก หรือเสี่ยงต่อความดันสูง หรือคอเลสเตอรอล หรือว่าการก่อตัวของ plaque ในเส้นเลือด สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้หรือว่าความเครียด คาเฟอีนหรือ อากาศร้อนไป หรือหนาวไป หรือว่าทุกสิ่งทุกอย่างรวมกัน
50 ปีแห่งงานวิจัยก็ยังไม่คืบหน้ามากนัก บทสรุปของงานวิจัยหลายชิ้น มักลงเอยด้วยคำว่า ต้องการวิจัยเพิ่มเติมเสมอ ยังไงก็ตามแต่ ข้อเท็จจริงก็คือมีนักกีฬาเจ็บ ตาย หรือพิการ เพราะเหตุจากหัวใจผิดปกติ
เราเคยออกกำลังหนักขนาดเหมือนกับได้ยินหัวใจเต้นทะลุออกมาข้างนอกไหม บางทีเราอาจมองข้ามไป เราเป็นนักปั่นขาแรง แข็งแรง ฟิต เรื่องนี้ไม่น่าเกิดกับเราหรอก เราไม่ไม่ใช่คนแรก และไม่ใช่คนสุดท้ายด้วย ที่ละเลยเรื่องพวกนี้ มันอาจไม่่มีอะไรก็ได้ แล้วเท่าไรล่ะจึงจะถือว่ามากเกินไป how much is too much เส้นแบ่งมันอยู่ตรงไหน มันก็ไม่เคยมีคำตอบเรื่องเส้นแบ่งที่ชัดเจน เส้นมันเป็นสีเทาเสมอ แต่ถ้าเรามีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ บางทีเราอาจข้ามเส้นแบ่งไปแล้วก็ได้ ข้อเท็จจริงก็คือการออกกำลังเป็นเรื่องดีเสมอ คนที่มีปัญหามักเป็นคนที่ทำมันมากเกินไป
กรณีของซินน์และไมค์ อาจเป็นแค่ สองในหลายพันคนก็ได้ แต่คนที่ได้รับรู้เรื่องราวของพวกเขามักจะปรับเปลี่ยนวิถีการฝึกซ้อมเสียใหม่ นั่นก็คือให้ความสำคัญกับการพักฟื้นมากขึ้น
เราอาจจะพอรู้บ้างว่าออกกำลังกายแค่ไหนน้อยไป
และเราอาจจะพอมีไอเดียบ้างแหละว่าแค่ไหนมากเกินไป
แม้ว่าเส้นแบ่งกั้นตรงกลางจะกว้างมากก็ตาม
แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยมากเกินไปก็คือ การพักฟื้น ยอมรับซะ
บางครั้งวิถืแห่งจักรยานก็พาเราไปไกลเกิน
We might know what is too little exercise;
we have a good idea what is too much;
but there’s a large space in between.
And you can never rest too much.
Embrace it.
Sometimes, cycling can take us too far.[homeimg=300,250]http://www.thaimtb.com/forum/picture_mt ... 933104.jpg[/homeimg]
Are endurance athletes hurting their hearts by repeatedly pushing beyond what is normal?
Words by Chris Case.
บทความนี้เผยแพร่ในวารสาร Velo news กลางปี 2015 ได้รับความสนใจอย่างแพร่หลายท่ามกลางหมู่นักปั่น มีการตื่นตัวให้มีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมมากขึ้น ในเรื่องภาวะคลื่นหัวใจผิดปกติกับนักปั่นจัดหนักโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ผู้สูงวัย
ผมอ่านแล้วแปลเอานะครับ ไม่ได้มีความรู้เรื่องนี้เท่าไร ถูกผิดไม่ว่ากัน อาศัยว่าอยู่ในวัยเสี่ยงเท่านั้นเอง ใครสนใจอ่านต้นฉบับที่นี่เลยครับ
From <http://velonews.competitor.com/cycling-extremes> ยามเช้าที่สดใสสวยงามท่ามกลางฤดูร้อนกลางเดือนกรกฏา ปี 2013 แสงอาทิตย์ส่องสว่างสะท้อนเทือกเขาหินสีแดงเข้มเหนือเมืองโบวเดอร์ โคโลราโด้ เลนนาร์ด ซินน์ กูรูนักปั่นชื่อดัง ผู้ก่อตั้งซินน์ไซคลิ่ง ทีมงานรุ่นเดอะแห่ง Velo News ผู้หลงรักการปั่นประเภทจัดหนักเป็นชีวิตจิตใจ และอดีตนักปั่นสังกัดทีมชาติ USA กำลังก้มหน้าก้มตาปั่นไต่เทือกเขาแฟลกสต๊าฟที่เขาหลงไหล เป็นการไต่เขาธรรมดาที่ทำมาครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นร้อย ๆ ครั้งแล้ว
...เพียงแต่ครั้งนี้...ไม่เหมือนเดิม...
...และหารู้ไม่ ชีวิตของเขากำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล..
...เมื่อเสียงหัวใจเขาเริ่มเต้นดังยังกะเสียงข้าวโพดคั่วแตก ตัวเลขฮาร์ดเรทมันกระโดดโลดเต้นพุ่งพรวดจากปกติ 155 ไปถึง 218 ครั้งต่อนาทีและแช่ยาวอยู่ตรงนั้น แน่นอนเขากลับเมินเฉยและละเลยที่จะตอบสนองต่อสิ่งที่ร่างกายเขาฟ้องมาแต่อย่างใด...
เขารู้สึกตัวอีกครั้งที่ห้องฉุกเฉิน รพ ท้องถิ่นบ่ายวันนั้น ถูกนำเข้าหอพักผู้ป่วยโรคหัวใจทันที แม้ว่าเขารับฟังในคำวินิจฉัยของทั้งหมอห้องฉุกเฉินและหมอโรคหัวใจ แต่ใจเขาก็ยังคงรู้สึกค้านและละเลยคำเตือนของหมอเหล่านั้น
หลังจากยอมพักฟื้นระยะหนึ่งเพื่อเอาใจคำสั่งหมอ เขากลับไปซ้อมปั่นและแข่งต่อเหมือนเดิม เพียงแต่คราวนี้หมอบังคับให้เขาพกสายอิเล็คโตรดและเครื่องวัดคลื่นหัวใจอันพะรุงพะรังติดตัวไปด้วยความหวังว่าอาการหัวใจซึ่งกระโดดโลดเต้นไปที่ 200 กว่าจะเกิดขึ้นอีกครั้งและหมอจะได้วิเคราะห์ได้ดีขึ้น ซึ่งสร้างความรำคาญให้กับเขาพอสมควรเมื่อเริ่มปั่นหนักขึ้นและหนักขึ้น แต่ที่สร้างความอึดอัดหาวเรอมากกว่านั้นก็ตอนที่เขาเริ่มได้รับโทรศัพท์ดึก ๆ บ่อยขึ้นจากพยาบาลที่ได้รับมอบหมายให้เฝ้าดูสัญญาณ EKG ระยะไกลจากเครื่องของเขา
ข่าวร้ายที่เขาได้รับแจ้งเสมอ ๆ คือ เขามีภาวะหัวใจหยุดเต้นชั่วคราวเป็นเวลา 2-3 วินาที 3 เดือนผ่านไป ย่างเดือนตุลาฯ ซินน์ได้รับผลวิเคราะห์อย่างเป็นทางการ ยืนยันว่าเขาเป็น Multifocal Atrial Tachycardia ซึ่งเป็นอาการว่าด้วยหัวใจ คลื่นหัวใจ โหนด คลัสเตอร์ ตัวควบคุมการเต้นหัวใจ อันเป็นภาวะการเต้นหัวใจสับสนประเภทหนึ่ง เอาเป็นว่าผมไม่แปลศัพท์พวกนี้ก็แล้วกัน มันยาก
และนั่นก็เพียงพอที่ทำให้เขาหันมาสนใจคำเตือนของหมออย่างจริงจังมากขึ้นและเริ่มหยุดการแข่งขัน ลดอันดับตัวเองจากนักแข่งล่ารางวัล ยกเลิกการฝึกซ้อมแบบโหด ๆ หันมาเปลี่ยนแปลงชีวิตหลาย ๆ ด้าน เริ่มยอมรับตัวเองว่าเขาจะหันกลับใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ ที่เคยทำมาไม่ได้อีกต่อไป ถ้าคิดยังอยากจะมีชีวิตอยู่
วิถีแห่งจักรยานที่ผ่านมากำลังไล่ล่าชีวิตเขาหรือ?
ซินน์ไม่โดดเดี่ยวโด่เด่ในเรื่องนี้ ในช่วงที่เขากำลังปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอยู่นั้น เขาเริ่มติดต่อเพื่อนฝูงนักปั่นเก่า ๆ ที่เคยแข่งขันด้วยกันสมัยหนุ่ม ๆ ที่ยังคงปั่นกันอยู่อย่างหนักหน่วงและต่อเนื่องในวัยย่าง 50 พบว่าหลายคนรวมทั้งเพื่อนร่วมทีมเขาเองด้วย ส่ออาการคล้าย ๆ กัน บางคนที่เป็นหนักกว่าด้วยก็มี มันไม่ได้เป็นแค่เรื่องบังเอิญเสียแล้ว เขาเป็นหนึ่งในหลาย ๆ คนทีเดียว
ไมค์ เอ็นดิคอต หนึ่งในนั้น เขาเป็นนักปั่นประเภทจัดหนักมาตั้งแต่วัยรุ่น
"โดยนิสัย ผมชอบปั่นจักรยาน และใช้การแข่งเป็นการซ้อม ในขณะหลายคนซ้อมเพื่อแข่ง ผมใช้การแข่งเพื่อจะบอกตัวเองว่าฟิตขนาดไหน แถมยังชอบกิจกรรมกลางแจ้งหลายอย่างมาก" ไมค์เล่าให้ฟัง
ไมค์ใช้เวลา 6 เดือนหน้าหนาวแข่งสกีครอสคันครีและสกีจั๊ม และอีก 6 เดือนแข่งจักรยาน สรุปทั้งปีไม่เคยหยุดและยังทำงานหนักเพื่อเลี้ยงชีพด้วย
มันเหมือนกับจุดไฟเผาเทียนทั้งสองด้านพร้อม ๆ กัน แน่นอนเขามีชีวิตที่ดี๊ดี แต่เขากำลังทำร้ายมันโดยไม่รู้ตัว
และแล้ว วันหนึ่งในปี 2005 ขณะแข่งสกีแถวหุบเขา เฟรเซอ โคโลราโด เรื่องเล่าเดิม ๆ ก็เกิดขึ้น มันเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาตลอดกาล
คืนก่อนแข่ง เขานอนไม่ค่อยหลับเท่าไร ซึ่งเป็นเรื่องปกติ อาจตื่นเต้นมากไปหน่อย ไม่กินมื้อเช้ามากนัก เขาซดกาแฟไปสองแก้วก่อนแข่งชั่วโมงนึง ตามด้วยเจลให้พลังงานประเภทมีคาเฟอิน อุณหภูมิใกล้เคียงศูนย์ ท้องฟ้าไร้แดดโดยสิ้นเชิง หิมะตกเบา ๆ บรรยากาศช่างเป็นใจเหลือเกินสำหรับพายุร้าย ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในชีวิต
มันเป็นการแข่งขันที่สนุกมาก แต่ขณะที่เขากำลังไล่สกีขึ้น ๆ ลง ๆ ในทันใดนั้นเองเริ่มรู้สึกแปลก ๆ บางอย่างไม่ปกติ รู้สึกได้ถึงบางสิ่งเต้นตึงตังภายในทรวงอก ไม่เจ็บ ไม่ปวด แต่เริ่มรู้สึกมึน เวียนหัวตาลาย คล้าย ๆ คนเมาเหล้า พยายามฝืนตัวยืนไว้หรือไม่งั้นอาจล้ม รู้สึกแปลก ๆ ในหัวใจ นักสกีคนอื่นเริ่มแซงไปจนหมด ในที่สุดเขาล้มนอนลงท่ามกลางหิมะ เริ่มไม่รู้สึกตัว หายใจติดขัด พยายามเรียกให้คนช่วย แต่ไม่มีเสียงออกมา ได้แต่ยกมือโบกไปมา เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตาย
โชคเขายังดี เพื่อนสองคนที่คูลดาวน์หลังจากเข้าเส้นชัยไปแล้วหันมาเห็นเข้า ไมค์ถูกตรวจพบมีอาการ ventricular tachycardia (VT) ภาวะหัวใจด้านซ้ายเต้นเร็วผิดปกติ ( fast heart rhythm, that originates in one of the ventricles of the heart) ซึ่งเสี่ยงต่อหัวใจวายและทำให้ตายได้ (potentially life-threatening) ไมค์อายุเพิ่ง 50 เขารอดตายอย่างหวุดหวิด และนั่นเป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปตลอดกาล
เรื่องของหัวใจกับจักรยาน
จักรยานเป็นกีฬาที่ไม่เหมือนกีฬาประเภทอื่นเท่าไรนักก็ตรงที่เรื่องจัดหนักนี่แหละ นอกเหนือการฝึกซ้อมอย่างหนักในวันธรรมดาแล้ว ทริปจัดหนักช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์อย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงหรือปั่นมันทั้งวันยังเป็นเรื่องธรรมดาไป สำหรับนักแข่งแล้วนี่เป็นวิธีเดียว การฝึกซ้อมกันหนัก ๆ เพื่อรับมือกับการแข่งขันที่รออยู่ข้างหน้านั่นเอง แต่ฟิตจัดสำหรับการแข่งขันไม่ได้หมายถึงสุขภาพที่ดีเยี่ยมเสมอไปหรอกหรือ
มีเรื่องราวมากมายที่บ่งชี้ว่านักกีฬาระดับโปรไม่ได้มีสุขภาพที่ดีเสมอไป นักวิ่งมาราธอนระดับโลก อัลเบอโต้ ซัลซาอายุ 48 หัวใจหยุดเต้นไปถึง 14 นาทีก่อนที่เส้นเลือดที่อุดตันถูกทะลวงด้วยแพทย์สามารถช่วยชีวิตเขาไว้ได้ ไมก้า ทรู นักวิ่งไกลกว่ามาราธอนวิ่งได้แค่ 12 ไมล์ในงานแข่งนิวเม็กซิโก ก่อนจะถูกพบตายคาสนามวิ่ง
ย้อนหลังไปนานกว่านี้ 490 ปีก่อนคริสตกาลโน่น นักวิ่งส่งสารอายุ 40 ต้นตำนานวิ่งมาราธอนตายหลังจากส่งสารเรื่องกรีกชนะสงครามมาราธอนกับเอเธน หมอนี่วิ่งสองวันกว่า 240 กม. เพื่อขอความช่วยเหลือจากสปาตา และวิ่งกลับอีก 42 กมและตายทันทีที่ถึงจุดหมาย (นี่เป็นที่มาว่าทำไมวิ่งมาราธอนต้องเป็น42 กม.) น่าเศร้าที่เรากลับรำลึกถึงการตายของเขาด้วยการจัดวิ่งมาราธอนเป็นประเพณี
การตายเหล่านี้ดูน่ากลัวมากขึ้นเมื่อเห็นว่าผู้ตายล้วนแล้วแต่เป็นนักกีฬาที่ฟิตสุดยอด แข็งแรงสุดขีดกันทั้งนั้น แล้วการออกกำลังกายไม่ได้ช่วยให้หัวใจแข็งแรงขึ้นหรอกหรือ???
หลายปีมานี้เหล่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจทำการศึกษาผู้ออกกำลังกายสุดโต่งเหล่านี้และได้สมมุติฐานเบื้องต้นว่าภาวะการตายเหล่านั้นไม่ใช้เรื่องแปลกแต่อย่างใด บางครั้งเรื่องดี ๆ ที่ล้นไปก็ทำให้"สำลัก"ได้หากมันเป็นเรื่องของ "หัวใจ"
หัวใจ ชิ้นส่วนเดียวของคนเราเต้นเป็นจังหวะต่อเนื่องมากกว่า 100,000 ครั้งต่อวันโดยไม่หยุดพัก แม้ขณะนั่งพักหัวใจยังคงปั๊มเลือดมากถึง 5 ลิตรต่อนาทีไปสูบฉีดร่างกาย และอาจสูงถึง 25-30 ลิตรขณะวิ่งหรือปั่นทีเดียว หัวใจมนุษย์ถูกสร้างให้ทำงานหนักสูงขนาดนี้เชียวหรือ หลาย ๆ ชั่วโมงอย่างต่อเนื่องและทุก ๆ วัน โดยเฉพาะนักกีฬาที่ชอบจัดหนักและแข่งขันต่อเนื่องมาหลายปี หัวใจพวกเขาทำงานหนักเลยขีดความสามารถมาตลอด ใช่สิ่งนี้หรือไม่ที่กำลังคร่าชีวิตเขาอยู่
เพื่อให้เข้าใจเรื่องราวเหล่านี้มากขึ้นอีกสักนิด คงหนีไม่พ้นที่ต้องมาทำความรู้จักเจ้าหัวใจน้อย ๆ นี้บ้าง
หัวใจมีการทำงานอยู่สองระบบ ระบบแรกคือระบบลำเลียงเลือด (plumbing)และระบบที่สองที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักเท่าไรคือระบบไฟฟ้าครับ
ระบบลำเลียงเลือดประกอบด้วยเส้นเลือดและสี่ห้องหัวใจที่ทำหน้าที่สูบฉีด เท่าที่เราเรียนกันมาคร่าว ๆ ห้องด้านขวา ฉีดเลือดดำที่ใช้แล้วไปปอด ขณะที่หัวใจฝั่งซ้ายสูบฉีดเลือดแดงรับมาจากปอดไปสู่ร่างกาย ในภาวะปกติ การเต้นของหัวใจในการสูบฉีดของแต่ละห้องเป็นจังหวะจะโคนสอดคล้องกันหมด
หนึ่งในห้าของคนเป็นโรคหัวใจมีโอกาสเกิด ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Sudden cardiac heath) ได้ แต่โอกาสที่จะเกิดขณะกำลังออกกำลังกายอยู่นั้นน้อยมาก ถ้าจะมีบ้างก็เป็นพวกหัวใจวาย ซึ่งก็มักจะมีสาเหตุมาจากภาวะไขมันสะสมในหลอดเลือดซึ่งทำให้หลอดเลือดหนาและตีบตัน (Atherosclerosis) เสียมากกว่า โรคหัวใจอันเกิดจากการเต้นที่ผิดปกตินั้นสลับซับซ้อนขึ้นไปอีก นี่เองที่ระบบไฟฟ้าของหัวใจเข้ามาเกี่ยวข้อง อันว่าสรีระวิทยาของร่างกายคนเรานั้น เมื่อทำงานในภาวะปกติทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประจุไฟฟ้า ซึ่งสามารถตรวจจับได้ หัวใจก็เช่นเดียวกัน ทุกครั้ง ที่หัวใจเต้นจะมีการเปลี่ยนแปลงประจุไฟฟ้าเกิดขึ้น ในคนที่สุขภาพปกติดี รูปร่างของคลื่นประจุไฟฟ้หัวใจมีรูปแบบ แพทเทิร์นที่ชัดเจน และเมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้น ก็สามารถบอกได้จากรูปคลื่นไฟฟ้าได้ โดยทฤษฎีแล้วมันบอกอะไรได้เยอะมาก และใช้กันแพร่หลายในการตรวจสุขภาพหัวใจ
ทีนี้เมื่อเราซ้อมกันหนัก ๆ หัวใจก็มีการปรับตัวตาม ที่เจอบ่อย ๆ คือหัวใจจะเต้นช้าลงขณะพัก ก็เพราะว่ามันแข็งแรงขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่ที่หลายคนเจอเพิ่มก็คือเต้นช้ามาก ๆ เหมือนจะเกิดการเต้นข้ามจังหวะ (skipping a beat) แต่ภาวะพวกนี้ก็ไม่มีอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด
Overdose เมื่ออะไร ๆ มันมากเกินไป?
การเติบโตของวงการออกกำลังกายโดยเฉพาะจักรยานเกิดขึ้นทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย ผมยังจำได้ว่า 10 ปีที่แล้วงานปั่นขึ้นดอยอินทนนท์มีคนขี่ต่ำกว่า 200 คน มาปีนี้ (2016) มียอดผู้ร่วมปั่นมากกว่า 5000 คน โตมากกว่า 25 เท่าในรอบสิบปีทีเดียว ข่าวเรื่องนักปั่น นักวิ่ง นักฟุตบอลระดับโลกล้มตายคาสนามมีให้เห็นอย่างสม่ำเสมอ ทั้งเมืองไทยและเมืองนอก ส่งผลให้มีการศึกษาวิจัยเรื่องผลกระทบข้างเคียงต่อหัวใจของการออกกำลังกายหนัก การใช้งานหัวใจอย่างสุดโต่ง จากต่ำสุดโต่งสู่สูงสุดโต่ง จากต่ำกว่า 60 สู่สูงกว่า 200 ครั้งต่อนาที เริ่มเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น
หัวใจเองก็เริ่มปรับตัวเองให้โตขึ้น ผนังหนาขึ้น แข็งแรงขึ้น และตอบสนองต่ออะดรีนาลีนหลั่งได้รวดเร็วขึ้น เราเรียกเรื่องพวกนี้ว่าความฟิต แต่มันจะเป็นเรื่องสุขภาพที่ดีขึ้นหรือไม่นั้น ยังเป็นที่ถกเถียงกัน
สังคมนักวิทยาศาสตร์การกีฬาเคยมีตำตอบชัดเจนไหม ว่าการออกกำลังกายมากแค่ไหนจึงจะถือว่ามาก ควรใช้เวลากี่ชั่วโมง หรือหนักเบาแค่ไหน ทั้งมือใหม่และโปรทั้งหลาย "แม่รง ไม่มีว่ะ" เป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด มันเป็นคำถามโลกแตกจริง ๆ เพราะสิ่งที่พวกนักปั่นสุดโต่งเหล่านี้ทำหรือซ้อมอยู่ในปัจจุบัน มันโหดมากกว่าสิ่งที่เรียกว่าปกติในอดีตมากนัก ซึ่งน่าเป็นห่วงว่าอาจส่ออาการความเสียหายกับหัวใจ แม้พวกเขาจะสังเกตความผิดปกติหรือสัญญาณเตือนเหล่านี้ได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็มักเพิกเฉยและละเลยที่จะให้ความสนใจกับมัน
Atrial Fibrillation (AF) เป็นภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดหนึ่ง พบในหมู่นักกีฬาประเภทจัดหนักต่อเนื่องและยาวนานสูงถึง 5 เท่าของคนปกติ ข้อสังเกตุที่น่าสนใจอันหนึ่งคือ คนหนุ่มที่ออกกำลังกายน้อยมีความเสี่ยงต่อ AF น้อย คนสูงอายุที่ออกกำลังหนักมากมีความเสี่ยงต่อ AF มากขึ้น
แม้งานวิจัยเหล่านี้จะไม่สมบูรณ์มากนัก มีจุดอ่อนและถูกโจมตี มีข้อโต้แย้งได้ แต่ภาพรวมแล้วก็ยังบ่งชี้ว่าพวกออกกำลังกายหนักมีโอกาสเกิด AF ได้
บางทีกรณีศึกษาที่น่าสนใจกว่า น่าจะเป็นการทดลองกับหนู ตีพิมพ์ในวารสาร Circulation ปี 2010 โดยจับหนูกลุ่มหนึ่งมาวิ่งวันละชั่วโมง 5วันต่อสัปดาห์นาน 16 สัปดาห์ และเปรียบเทียบกับหนูอีกกลุ่มที่ให้นั่งกินนอนกินเฉย ๆ ผลปรากฎว่าหนูกลุ่มออกกำลังกายหนักส่ออาการหัวใจและโครงสร้างภายในเสียหายทุกรูปแบบ เช่น enhanced vagal tone, atrial dilation, atrial fibrosis, and vulnerability to pacing-induced AF (ผมไม่แปลนะครับ ศัพท์แพทย์พวกนี้ ใครสนใจถามอากู๋เอาเอง) เอาเป็นว่า อาการข้างบนนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องที่หัวใจหยุดเต้นได้ และถึงแม้ว่าหลังจากให้หนูทดลองหยุดออกกำลังกายแล้ว อาการบางอย่างหายไป แต่หลายอย่างยังคงอยู่ เป็นไปได้มั๊ยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับหนูทดลองจะเกิดขึ้นกับคนเราได้เช่นกัน เมื่อออกไปปั่นทุก ๆ วันก่อนทำงาน หลังเลิกงานและจัดหนักทุกเสาร์อาทิตย์ ไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สิ่งที่หัวใจต้องเผชิญก็คือเต้นมากขึ้นแรงขึ้น สร้างแรงบีบคลายได้มากขึ้น คลื่นไฟฟ้าไหลผ่านมากขึ้นทำงานในโซนอันคราย ขณะเดียวก็พัฒนาให้เต้นช้าลงเมื่อพัก ดูแล้วเป็นเรื่องที่ดีทั้งนั้น ซึ่งก็คล้าย ๆ กับสิ่งที่ ซินน์ และอีกหลาย ๆ คนเป็น และก็ไม่มีอะไรเลยที่จะเป็นสาเหตุของอาการเหล่านี้ได้ พวกเชาไม่มีโรคความดันโลหิตสูง ไม่เป็นเบาหวาน ไม่อ้วน ไม่มีไขมันเกิน และไม่ดื่มอัลกอฮอล์มากนัก (แค่เบียร์ดำนิดหน่อย อิอิ) โรคส่วนใหญ่ทีรู้กันว่าอาจเป็นสาเหตุของโรคหัวใจได้ พวกเขาไม่มีเลย สิ่งเดียวที่พวกเขาเป็นคือออกกำลังอย่างหนัก โคตรหนัก นานหลายปี
ยิ่งซ้อมปั่นมาก หนักมาก เร็วมากขึ้นเท่าไร พวกเขาก็ปั่นดีขึ้นเท่านั้น ลงสนามแข่งเมื่อไร ยีนโพเดี้ยมเมื่อนั้น ผ่านไปหลาย ๆ ปี เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจที่ทำงานหนักเกินอย่างต่อเนื่องเริ่มเสียหายเอาได้ ในช่วงอายุ 20-30 ปี ความเสียหายชั่วคราวเหล่านี้ ร่างกายสามารถซ่อมแซมเองได้ เมื่อได้รับการพักฟื้นที่ถูกต้อง แต่เมืออายุ 50 ปีขี้นไป ความเสียหายที่เกิดจากกีฬาที่พวกเขารัก การปั่นที่พวกเขาหลงใหล ประกอบกับการพักฟื้นที่ไม่สมบูรณ์อย่างต่อเนื่อง ยาวนาน ทำให้เกิดสภาวะกล้ามเนื้อหัวใจล้า เคลื่อนไหวลำบาก (stiff muscle)
งานวิจัยอีกชิ้นที่น่าสนใจ ตีพิมพ์ในวารสาร Applied Physiology ศึกษาโครงสร้างและการทำงานของหัวใจของนักแข่งตัวยง ช่วงอายุ 50-67 ปี ผลตรวจ MRI บอกว่า 50%พบความบกพร่องของเซลล์กล้ามเนื้อที่อาจเกี่ยวข้องกับภาวะกล้ามเนื้อหัวใจแข็งเป็นพังผืด ในขณะผลจากกลุ่มคนรุ่นเดียวกันที่ไม่ออกกำลังกายหนัก ไม่แข่งขัน และกลุ่มคนหนุ่ม ไม่พบซักคนเดียว รายงานนี้ยังบอกด้วยว่าภาวะการเป็นพังผืดว่าจะมากหรือน้อยนั้นขึ้นกับจำนวนปี และจำนวนครั้งของมาราธอนหรืออุลตร้ามาราธอน ที่พวกเขาทำไว้เลยทีเดียว แต่งานวิจัยบางเรื่องดูเหมือนจะขัดแย้งกัน อย่างนักปั่นตูว์ เดอ ฟร้องค์ และอดีตโปรหลายคนอายุยืนกว่าคนทั่วไปโดยเฉลี่ย และมีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจน้อยมาก แต่แม้ว่าคนพวกนี้จะปั่นเยอะก็จริงสมัยยังเป็นโปร แต่พวกเขาส่วนใหญ่ก็หยุดปั่นเมื่ออายุมากขึ้น และนั่นอาจจะเป็นคำตอบ เมื่อเทียบกับนักปั่นที่ยังคงปั่นสมบุกสมบันตอนอายุเยอะ ด้วยความคิดที่ว่าถ้าพวกเขาซ้อมอย่างคอนทาดอร์แล้วพวกเขาจะปั่นเก่งอย่างเขา ปีแล้วปีเล่า ปัญหามันเลยเหมือนดินพอกหางหมู
แม้ว่าจะไม่มีข้อสงสัยเลยว่าการออกกำลังกายเป็นวิธีเดียวที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการดูแลสุขภาพหัวใจ ทำให้อายุยืนยาว แต่ทุก ๆ ครั้งที่มีหัวข้อว่าด้วยเรื่องการออกกำลังหนัก ๆ ที่ทำร้ายสุขภาพหัวใจ ก็มักจะมีรายงานอย่างน้อยหนึ่งหรือสองชิ้นที่ชี้ไปในทางตรงข้าม ข้อโต้แย้งจะตามมาเสมอ ดราม่าดีมั๊ย
แต่ ถ้าจะเปรียบเทียบการออกกำลังเป็นเหมือนกับให้ยา มากกว่าไม่ได้แปลว่าดีกว่าเสมอไป มันอาจมีช่วงระยะหนึ่งที่เมื่อมากไป ดีกลับเป็นร้าย คุณกลับเป็นโทษ เพียงแต่ระยะที่จะบอกว่าเพียงพอแล้วนั่นมันอยู่ตรงไหนกันแน่ วิทยาศาสตร์เองยังไม่สามารถระบุได้
The perfect storm
ในกรณีของไมค์ ถ้าเขาได้รับการตรวจหัวใจก่อนลงแข่ง ก็คงไม่เจออะไรอยู่ดี ผลการตรวจจะบอกว่าเขาคึกและแข็งแรงยังกะม้าแข่ง ผลคลื่นหัวใจคงจะปกติ ร่างกายทุกระบบทำงานสมบูรณ์ดีเลิศ ซึ่งก็เหมือนกับนักกีฬาทั่วไปในวัยนี้ ตอนนั้นถ้ามีใครไปบอกเขาว่า ไมค์เอ็งซ้อมหนักเกินไปแล้ว พักเสียบ้าง เขาคงไม่เชื่อฟังอยู่ดี ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนกำลังห้าว สนุกสนานกับชีวิตกลางแจ้งเช่นเขา ถึงวันนี้เขาได้แต่คร่ำครวญ why me ทำไมฉัน ทำไมถึงเกิดกับฉัน ทำไมถึงทำกับฉันได้ ไมค์ผ่านกระบวนการรักษาอันยืดยาว และน่าสะพึงกลัว เพื่อจำลองสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับเขา (ภาวะหัวใจหยุดเต้นขั่วคราว) ในห้องแลป เขาถูก อัดฉีด อะดีนารีน คาเฟอิน ช๊อดไฟฟ้า สารพัดวิธี เพื่อกระตุ้นหัวใจเขาให้เต้นไปที่มากกว่า 200 ครั้งต่อนาที เพื่อให้มันหยุดทำงาน ว่าง่าย ๆ เค้นให้เขาตายให้ได้ ว่างั้นเถอะ ได้ผลมั่งไม่ได้ผลมั่ง โดยมีสายเซนเซอร์แปะอยู่รอบตัว ลองคิดดูมันทรมานขนาดไหน
ปี 2009 ห้าปีให้หลัง แล้วความพยายามของบรรดาหมอก็ประสบความสำเร็จ ปัญหาหัวใจของไมค์ไม่ได้อยู่ที่ระบบลำเลียงโลหิต แต่อยู่ที่ระบบไฟฟ้า หลังจากผ่านขั้นตอนหนึ่งซึ่งกระตุ้นหัวใจเขาให้เต้นสูงถึง 300 ครั้งเป็นเวลา 4 ชั่วโมง ก่อนจะตรวจพบอาการผิดปกติ ที่เรียกว่า วงจรไฟฟ้าหัวใจ "ลัดวงจร"
ซินน์เองก็ไม่ได้โชคดีไปกว่าไมค์เท่าไร หลังจากที่พยายามล้มเหลวครั้งแล้วครั้ง บรรดาหมอก็ยังไม่สามารถตรวจพบอาการผิดปกติของวงจรไฟฟ้าหัวใจเขาได้ พวกเขาคล้ายกับหนูทดลองยา ความที่เป็นคนรุ่น สว แรก ๆ ที่ซ้อมกันหนัก
2 ปีผ่านไป ซินน์อายุย่าง 55 แล้ว แน่นอนว่าเขาคิดถึงอดีตอันโลดโผนแต่ทุกวันนี้เขาใช้ชีวิตธรรมดา ทำอาหารเช้า ขับรถ รับส่งภรรยาไปทำงาน แม้จะไม่ฟิตเหมือนเดิม แต่เขาก็ดูสุขภาพดีเหมือนคนทั่วไป
TAKING IT TO HEART
ว่าด้วยเรื่องของหัวใจ
ความสัมพันธ์อันสลับซับซ้อนของหัวใจ ร่างกาย สรีรวิทยา รวมถึงกรรมพันธุ์ ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะวิเคราะว่าเมื่อไรตัวร้ายอันใดบ้างที่อาจเป็นสาเหตุใหัหัวใจหยุดทำงานโดยเฉียบพลันได้ หรือว่ามันอาจเป็นกรรมพันธุ์เป็นหลัก หรือเสี่ยงต่อความดันสูง หรือคอเลสเตอรอล หรือว่าการก่อตัวของ plaque ในเส้นเลือด สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้หรือว่าความเครียด คาเฟอีนหรือ อากาศร้อนไป หรือหนาวไป หรือว่าทุกสิ่งทุกอย่างรวมกัน
50 ปีแห่งงานวิจัยก็ยังไม่คืบหน้ามากนัก บทสรุปของงานวิจัยหลายชิ้น มักลงเอยด้วยคำว่า ต้องการวิจัยเพิ่มเติมเสมอ ยังไงก็ตามแต่ ข้อเท็จจริงก็คือมีนักกีฬาเจ็บ ตาย หรือพิการ เพราะเหตุจากหัวใจผิดปกติ
เราเคยออกกำลังหนักขนาดเหมือนกับได้ยินหัวใจเต้นทะลุออกมาข้างนอกไหม บางทีเราอาจมองข้ามไป เราเป็นนักปั่นขาแรง แข็งแรง ฟิต เรื่องนี้ไม่น่าเกิดกับเราหรอก เราไม่ไม่ใช่คนแรก และไม่ใช่คนสุดท้ายด้วย ที่ละเลยเรื่องพวกนี้ มันอาจไม่่มีอะไรก็ได้ แล้วเท่าไรล่ะจึงจะถือว่ามากเกินไป how much is too much เส้นแบ่งมันอยู่ตรงไหน มันก็ไม่เคยมีคำตอบเรื่องเส้นแบ่งที่ชัดเจน เส้นมันเป็นสีเทาเสมอ แต่ถ้าเรามีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ บางทีเราอาจข้ามเส้นแบ่งไปแล้วก็ได้ ข้อเท็จจริงก็คือการออกกำลังเป็นเรื่องดีเสมอ คนที่มีปัญหามักเป็นคนที่ทำมันมากเกินไป
กรณีของซินน์และไมค์ อาจเป็นแค่ สองในหลายพันคนก็ได้ แต่คนที่ได้รับรู้เรื่องราวของพวกเขามักจะปรับเปลี่ยนวิถีการฝึกซ้อมเสียใหม่ นั่นก็คือให้ความสำคัญกับการพักฟื้นมากขึ้น
เราอาจจะพอรู้บ้างว่าออกกำลังกายแค่ไหนน้อยไป
และเราอาจจะพอมีไอเดียบ้างแหละว่าแค่ไหนมากเกินไป
แม้ว่าเส้นแบ่งกั้นตรงกลางจะกว้างมากก็ตาม
แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยมากเกินไปก็คือ การพักฟื้น ยอมรับซะ
บางครั้งวิถืแห่งจักรยานก็พาเราไปไกลเกิน
We might know what is too little exercise;
we have a good idea what is too much;
but there’s a large space in between.
And you can never rest too much.
Embrace it.
Sometimes, cycling can take us too far.[homeimg=300,250]http://www.thaimtb.com/forum/picture_mt ... 933104.jpg[/homeimg]
แก้ไขล่าสุดโดย พล 347 เมื่อ 15 ก.ย. 2017, 14:32, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
-
- สมาชิก
- โพสต์: 65
- ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ต.ค. 2015, 11:47
- ติดต่อ:
Re: วูบ หัวใจวาย กับนักปั่น เรื่องไกลตัวจริงหรือ?
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 122
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ค. 2011, 22:45
- Tel: 081 835 8486
- team: Cool70
- Bike: Surly
- ติดต่อ:
-
- สมาชิก
- โพสต์: 22
- ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2014, 10:26
Re: วูบ หัวใจวาย กับนักปั่น เรื่องไกลตัวจริงหรือ?
ดีมากๆ ครับ่
ช่วยเตือนสติได้ดี ผมกำลังเป็นคนหนึ่งล่ะที่ปั่นเยอะขี้นๆ ฟิตขึ้น ปั่นสนุกขึ้น เลยอยากฟิตให้มากกว่านี้อีก
เคยกังวลเรื่องปั่นเยอะเกินไปหรือปล่าว แต่ก็ละเลยมาตลอด
บทความนี้ช่วยกระตุกอีกที
อายุเลยเลขสี่แล้ว สุขภาพสำคัญกว่าความฟิต
ต้องอยู่ในความพอดี
ช่วยเตือนสติได้ดี ผมกำลังเป็นคนหนึ่งล่ะที่ปั่นเยอะขี้นๆ ฟิตขึ้น ปั่นสนุกขึ้น เลยอยากฟิตให้มากกว่านี้อีก
เคยกังวลเรื่องปั่นเยอะเกินไปหรือปล่าว แต่ก็ละเลยมาตลอด
บทความนี้ช่วยกระตุกอีกที
อายุเลยเลขสี่แล้ว สุขภาพสำคัญกว่าความฟิต
ต้องอยู่ในความพอดี
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 1373
- ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2010, 21:20
- Tel: 0819555673
- team: SAHAKIJ JOHO..KORATBIKE... P.C.S.Clycling Team Korat
- Bike: KONA KHS TREK GIANT SCOTT ANCHOR
Re: วูบ หัวใจวาย กับนักปั่น เรื่องไกลตัวจริงหรือ?
ขอบคุณมากมากครับพี่พล ที่ได้นำบทความดีดี มาให้อ่านครับ
- พล 347
- ขาประจำ
- โพสต์: 1101
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 20:24
- team: 347 Cycling Team
- Bike: Cannondale EVO
- ติดต่อ:
Re: วูบ หัวใจวาย กับนักปั่น เรื่องไกลตัวจริงหรือ?
ข้อมูลนีก็น่าสนใจครับ
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia)
https://www.bangkokhospital.com/pacific ... ns-Treated
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia)
https://www.bangkokhospital.com/pacific ... ns-Treated
- dspyrogira
- ขาประจำ
- โพสต์: 294
- ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ก.ย. 2015, 21:28
- team: KKM MkIII - จักรยานกลัวเมีย ที่3
- Bike: Bianchi Kuma / infinite Spad_Comp
- ติดต่อ:
- winhaha
- ขาประจำ
- โพสต์: 544
- ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2014, 21:27
Re: วูบ หัวใจวาย กับนักปั่น เรื่องไกลตัวจริงหรือ?
อ่านแล้วกลัวเลย แต่ไม่รู้จะทำไง หัวใจอยู่โซน 4-5 ตลอดเลย แค่ออกตัวเริ่มปั่นก็ 140 ละ
ขายติมเรื่อย............ไป
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 509
- ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ม.ค. 2016, 08:28
- Bike: Avenger R8
- ตำแหน่ง: Louiaiana
Re: วูบ หัวใจวาย กับนักปั่น เรื่องไกลตัวจริงหรือ?
ผมก็คงต้องลดบ้างแล้วหละ Resting HR=56 แต่ปั่นจักรยานปาไป 190กว่า
แบบนี้นานๆไม่น่าจะดี
แบบนี้นานๆไม่น่าจะดี
ตัวเล็กก็ยอมรับความจริงบ้าง อย่าหลอกตัวเองแล้วใช้อุปกรณ์ไซส์เกินตัวเลย
สูง 169cm, frame size=50, crank length=165mm, bar width=38cm
สูง 169cm, frame size=50, crank length=165mm, bar width=38cm
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 148
- ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2013, 07:48
- Tel: 0818111326
- team: มือใหม่
- Bike: ว่าไปเรื่อย
- ตำแหน่ง: ลาดพร้าว
Re: วูบ หัวใจวาย กับนักปั่น เรื่องไกลตัวจริงหรือ?
ขอขอบคุณสำหรับบทความดีๆ เตือนให้เรา สว.ระวังตัว
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 693
- ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ส.ค. 2008, 13:12
- Tel: 081 910 0287
- team: -
- Bike: สองล้อ
-
- สมาชิก
- โพสต์: 24
- ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ธ.ค. 2015, 17:08
- Tel: 0972973539
- team: NA
- Bike: Bianchi Jab 27.2/CAAD 10
- ตำแหน่ง: Navamin 111 Buengkhum Bangkok
- ติดต่อ:
Re: วูบ หัวใจวาย กับนักปั่น เรื่องไกลตัวจริงหรือ?
ขอบคุณครับ ความรู้ดีๆ แต่สงสัยเครื่องวัดการเต้นของหัวใจที่เรานักปั่นใช้กันเชื่อถือได้ขนาดไหนนะ ผมอายุ 55 ปี บางวัน HR ขึ้นไป 160 ขาก็ยังไหว หายใจก็ยังทัน แต่ต้องเบารอบขาลงเพราะเครื่องเตือนการเต้นของตัวใจนี่แหละครับ
-
- สมาชิก
- โพสต์: 9
- ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2015, 19:37
- Bike: Giant XTC 27.5 2016
- s.sarawut
- สมาชิก
- โพสต์: 72
- ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ส.ค. 2014, 08:28
- Tel: 0632514299
- team: STV แสนราชสีห์ เมืองพล /ทีมจักรยานตำรวจภูธรภาค4
- Bike: Kaze Race Kanon
- ตำแหน่ง: สถานีตำรวจภูธรพล 123/23 อ.พล จ.ขอนแก่น 40120
Re: วูบ หัวใจวาย กับนักปั่น เรื่องไกลตัวจริงหรือ?
ทางสายกลาง
ไม่มาก ไม่น้อย
ไม่ตึงเกิน ไม่ย่อนไป
ขอบคุณครับ
ไม่มาก ไม่น้อย
ไม่ตึงเกิน ไม่ย่อนไป
ขอบคุณครับ
- Korkiert
- สมาชิก
- โพสต์: 86
- ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ส.ค. 2015, 13:14
- Tel: 0894658901
- team: pattani
- Bike: trek alr 5
Re: วูบ หัวใจวาย กับนักปั่น เรื่องไกลตัวจริงหรือ?
สุดยอดครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ