พรีวิว DARE จักรยานที่เป็นได้ตามที่ใจอยาก
โพสต์: 19 ก.ย. 2016, 18:20
DARE BIKE
ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ประเทศผู้ผลิตจักรยานอันดับหนึ่งของโลกอย่างไต้หวัน ซึ่งเต็มไปด้วยโรงงานผลิตจักรยานชั้นนำของโลกมากมาย พูดให้ถูกอีกอย่างต้องบอกว่า จักรยานไม่ว่าจะแบรนด์อะไรก็ตามที สัญชาติของต้นกำเนิดจะมาจากไหน เมื่อสิ้นสุดการออกแบบและพัฒนาจนเป็นผลสำเร็จแล้ว ก็ต่างถูกผลิตออกจากโรงงานในไต้หวันเสียเป็นส่วนมาก บางคนกล่าวกันเลยด้วยซ้ำว่า จักรยานแจ่งขันชั้นดีของโลก ส่วนใหญ่ก็ออกมาจากโรงงานไต้หวันนี่แหละ เพราะมาตรฐานการผลิต ฝีไม้ฝีมือ และวัตถุดิบที่ต้องการ ก็ต่างพร้อมสรรพอยู่ที่ไต้หวัน ดังนั้นก็ไม่ได้เป็นที่แปลกใจอะไรเมื่อบรรดาโรงงานเหล่านั้นจะหันเข้าสู่เส้นทางการเป็นเจ้าของแบรนด์เสียเอง
สองผู้นำแนวทางนี้คงไม่พ้นกับค่าย"ยักษ์" ใหญ่ของไต้หวัน ที่ทำเอาตลาดจักรยานโลกสั่นสะเทือนด้วยการเป็นผู้ผลิตตั้งแต่ขั้นวัตถุดิบไปจนสำเร็จเป็นรถทั้งคัน และพิสูจน์ตัวเองได้ในเวทีการแข่งระดับโลกอย่างไม่อายใคร หรือค่ายที่ขึ้นต้นด้วยตัว M ที่เป็นหนึ่งในโรงงานขนาดใหญ่ มีบริษัทแม่เป็นกลุ่มทุนอุตสาหกรรมขนาดมหึมา มโหฬารขนาดที่แบรนด์นี้อยู๋ภายใต้ชายคาเดียวกับแบรนด์ชั้นนำยอดนิยมแบรนด์หนึ่งของโลก (น้อยคนจะรู้) ซึ่งแนวทางสู่ความสำเร็จของทั้งสองค่ายนี้เองที่เป็นเหมือนแรงบันดาลใจให้กับโรงงานผู้หลิตต่างๆหันมามุ่งพัฒนาออกแบบจักรยานของตนเองบ้าง เป็นที่ฮือฮากันเมื่องานโชว์จักรยานงานใหญ่ของเอเชียอย่างงานไทเปไบค์โชว์เมื่อต้นปี
และ DARE ก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์จากโรงงานผู้หลิตรายใหญ่ ที่เป็นแหล่งคลอดแบรนด์ดังๆของโลกมาเสียนาน ถึงเวลาที่ได้ฟูมฟักเอาบุตรในอุทรออกมาจนได้ โดยเพิ่งแจ้งเกิดในตลาดมาหมาดๆไม่กี่ขวบปีนี้เอง และเล็งเป้าหมายเส้นทางเดินเอาไว้ไปถึงระดับรุ่นพี่ทั้งสองค่ายที่บุกเบิกทางเอาไว้ ดังนั้น การออกแบบและการทำตลาดจึงมุ่งไปในเส้นทางค่อยเป็นค่อยไปแต่เห็นได้ชัดว่าบั้นปลายของ "DARE" มีความกล้าสมชื่อที่จะเดินไปให้ถึงระดับโลกในที่สุด
DARE ไม่ทำจักรยานระดับกลาง
ผมได้พบกับทีมงานจากไต้หวันซึ่งอธิบายวิธีคิดของ DARE ให้ฟังว่า เค้าต้องการสร้างแบรนด์ที่เป็นจักรยานเพื่อการแข่งขัน มีสมรรถนะสูงเป็นตัวนำ สอดคล้องกับแนวคิดทางการตลาดที่จะเดินทางสู่การพิสูจน์ตัวเองในสนามแข่งโปรทีมก่อน ดังนั้น DARE จึงเน้นสร้างจักรยานสำหรับการแข่งขันในระดับสูงสุด ด้วยวัสดุและการผลิตที่สูงที่สุดเท่าที่โรงงานจะสามารถทำได้เท่านั้น อย่าคิดหวังว่าจะได้เห็นรุ่นราคามหาชน หรือถูกจนห้ามใจยากจากแบรนด์นี้ในระยะแรก แบบที่กลยุทธของแบรนด์แดนมังกรเน้นทิศทางกัน เพื่อบุกตลาดประเทศโลกที่สาม
ข้อนี้เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้หลายๆคนคงตั้งกำแพงออกห่างเมื่อได้เห็นราคาอย่างแน่นอน แต่เดี๋ยวมาลองดูกันว่า ราคาที่ไต้หวันตั้งมาขายในประเทศไทย กับวิศวกรรมการออกแบบและวัสดุ เค้าให้อะไรกันมาบ้างก่อนค่อยมาประเมินกันว่าถูกหรือแพง เพราะคำว่า "แพง" เป็นนามธรรมที่ไม่สามารถประเมินออกมาเป็นตัวเลขได้
ก่อนอื่น เรามาดูจุดขายเด่นของเขาก่อนครับ เพราะครั้งนี้ มาในแนวที่แตกต่างจากคู่แข่งมากมายอย่างสิ้นเชิง
สีที่เป็นของคุณ
ในสภาวะที่ตลาดจักรยานโลกกำลังแฟ่บลง จากการอิ่มตัวของตลาดจักรยานอังกฤษ จนตัวเลขถดถอย ประกอบกับตลาดอเมริกาที่ยังไม่เงยหัวขึ้นจากเบื้องล่าง แม้ว่าตลาดเอเชียจะเติบโตอย่างสูงในระยะหลังๆมานี้ แต่ก็ยังเป็นสัดส่วนที่น้อยเกินกว่าจะนำมาเป็นประเด็นในการห้ำหั่นของมหาแบรนด์ของโลก DARE ซึ่งมีจุดเด่นที่ตำแหน่งที่ตั้ง และกลไกการบริหารการบริการ ชูเอาแนวคิด "Customized Color" หรือการสั่งสีตามใจชอบได้ โดยไม่มีจำนวนขั้นต่ำ คล้ายๆกับไอเดียของแบรนด์ใหญ่ตัว T จากเมืองฝรั่ง แต่สะดวกกว่าเพราะค่าขนส่งและระยะเวลาการผลิตไม่นานเกินรอ
ดังนั้นลูกค้าของ DARE กลุ่มแรกๆในเอเชีย และประเทศไทย ต่างก็ได้ยิ้มแย้มกับจักรยานที่เป็นสีพิเศษถูกใจ สมใจอยากกันไปทั้งสิ้น
DARE MRIS
เรือธงของยี่ห้อนี้ ซึ่งสร้างออกมาเป็นรถในแบบ"ออลราวด์" ที่เน้นผสมผสานระหว่างความเบาที่พอดี ความสติฟของระบบส่งกำลังที่พอเพียงสำหรับขานักแข่งโปรทัวร์ และความสบายที่สามารถใช้ได้ในทุกๆสภาพเส้นทาง เป็นเรื่องปกติของแบรนด์ที่ไม่ใหญ่ที่พยายามไม่แตกแนวของจักรยานออกมาให้มากนัก และผสมผสานความลงตัวเอาไว้ในโมเดลเดียว เพื่อความคุ้มค่าของผู้ซื้อ จะนำไปปรุงแต่งออกไปทางไหนก็อยู๋ที่ความชอบในการผสมผสานชิ้นส่วนต่างๆชึ้นมาเป็นจักรยานซักคันของแต่ละคน
น้ำหนักของเฟรมเปล่าที่ทางโรงงานระบุเอาไว้ อยู๋ช่วงราวๆ 8xx กรัม ขึ้นอยู่กับขนาดและสีที่ผู้สั่งเลือก ซึ่งสีที่ทางเราได้มาเป็นตัวอย่างเป็นสีพิเศษแบบ "ทอง" หรือ Metalic Gold ซึ่งมีน้ำหนักค่อนข้างมาก เนื่องจากต้องผ่านกรรมวิธีรองพื้นหลายครั้งและเนื้อสีมีน้ำหนักสูงกว่า เมื่อจับมาชั่งจริงๆ รวมทุกอย่าง (รัดหลักอาน ที่ยึดสับจาน ตัวกันโซ่ตก น็อตทั้งหมด และดร็อปเอาท์) พบว่าทำน้ำหนักของเฟรมชั่งจริงอยู่ที่ราวๆ 940 กรัม ซึ่งไม่ใช่น้ำหนักที่เบาหวิวๆสำหรับเฟรมเสือหมอบแนวไต่เขา แต่เมื่อมองลึกๆลงไปที่การออกแบบ ก็จะพอเดาได้ว่า วิศวกรที่ออกแบบ มีแนวคิดอย่างไร
C+C Technology
เทคโนโลยีแบบ C+C หรือมาจากคำว่า Comfort + Channel มาจากแนวคิดการออกแบบเพื่อสร้างความสบายในการขี่จากการลดแรงสั่นสะเทือนจากถนนที่จะขึ้นมายังหลักอาน และส่งต่อไปยังผู้ขี่โดยตรง ด้วยการออกแบบเฟรมให้ท่อนั่งมีช่องว่างระหว่างจุดเชื่อมต่อท่อนอนและตะเกียบหางด้านหลัง แรงสั่นสะเทือนจากด้านหลังจะถูกส่งผล่านไปยังท่อนอนเพื่อเปลี่ยนทิศทางของแรง ส่วนท่อนั่งและหลักอานสามารถให้ตัวขยับได้ในแนวหน้า-หลัง ด้วยการเลือกใช้วัสดุคาร์บอนตระกูลรหัส M ที่มีคุณสมบัติในการกระจายแรงและให้ตัวได้ในทิศทางที่ต้องการ ดังนั้นแรงสั่นสะเทือนทั้งหมดจึงถูกทอนลงไปไม่ต่างจากค่าการให้ตัวเมื่อได้รับแรงของจักรยานในกลุ่มเอ็นดูแรนซ์เลยทีเดียว
ด้วยเหตุผลในการออกแบบนี้เองที่ทำให้เฟรมไม่ได้ถึงเบาที่สุด เพราะการออกแบบให้เฟรมมี "รู" อย่างนี้ หมายถึงการที่ต้องพิถีพิถันบรรจงเลือกชิ้นและทิศทางของแผ่นคาร์บอนแต่ละชนิด แต่ละแผ่นให้สอดคล้องกันจนได้รูปร่างที่ต้องการ และมีคุณสมบัติในการรับแรงตามที่ตั้งเอาไว้ กว่าจะออกมาเป็นแบบนี้ได้ ผ่านการทดสอบมาอย่างหนักหน่วง จนได้เป็นผลสุดท้าย นี่คือสิ่งที่วิศวกรไต้หวันเล่าให้กับผมมา หากเค้าต้องการทำเฟราให้เบากว่านี้ทำได้หรือไม่? คำตอบคือไม่ยากเลย แต่ DARE ต้องการสร้างเฟรมที่แข่งได้จริง ขี่สบายได้จริง และผู้ซื้อที่เป็นนักปั่นทั่วไปได้เฟรมที่แข็งแรง ทนทาน ไม่มีจุดเปราะบางไปใช้งานจริง ทำไมต้องทำให้เบากว่นี้ ในเมื่อในการแข่งขันสนามอาชีพ ก็มีพิกัดน้ำหนักระบุอยู่ และน้ำหนักของเฟรมดังกล่าว เป็นน้ำหนักปกติที่สามารถสร้างรถแข่งทั้งคันให้ได้น้ำหนักตามที่กติกาสากลตั้งเอาไว้อยู่แล้ว
VETOX BLADE SEAT STAY
หางหลัง (seatstay) ออกแบบด้วยวัสดุคาร์บอนรหัส M ผสมกับรหัส T ที่เราคุ้นเคย เพื่อให้มีความแข็งแกร่งและให้ตัวได้ในแนวที่ต้องการ รูปทรงแบนบางนอกจากเสริมความแอโร่ไดนามิคส์ด้านท้าย ยังช่วยให้หางหลังกลายเป็นส่วนที่สามารถให้ตัวได้เมื่อรับแรงแนวดิ่งจากพื้นขึ้นมา และลดแรงสะเทือนที่จะส่งต่อมายังตัวผู้ขี่ก่อนจะมาถึงจุดหลักอานที่เป็นเทคโนโลยีแบบ C+C ที่กล่าวไปแล้ว เฉพาะ 2 ส่วนนี้ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่เราพอจะอ่านใจนักวิจัยของ DARE ได้แล้วว่า เสือหมอบคันนี้ แม้จะออกแบบมาในลักษณะของการแข่งขันอยู่สุดขีด แต่มีความพยายามอย่างมากที่จุดสร้างสมดุลย์กับการใช้งานในทุกๆพื้นที่ของถนน ร่วมกับคำคอมเม็นท์จากนักแข่งอาชีพที่ได้รับมาเพื่อนำมาพัฒนาการออกแบบจนออกมาเป็น MR1s (ต่อยอดมาจาก MR1)
นอกจากนั้น ยังมีรายละเอียดทางการออกแบบอีกมากมาย ที่เป็นศัพท์ทางการค้า แต่ผมขอสรุสั้นๆเอาไว้ว่าประกอบไปด้วยมาตรฐานการผลิตและการออกแบบของจักรยานแบรนด์ใหญ่ๆแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการรีดควบคุมให้มีฟองอากาศภายในชั้นคาร์บอนน้อยที่สุด เพื่อให้คาร์บอนที่ประกอบกันขึ้นมามีความแข็งแรงที่สุด ใช้เนื้อวัสดุน้อยที่สุด หรือการออกแบบบให้รอยต่อระหว่างชิ้นส่วนทั้งหมด ต่อเนื่องกันอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีรอยต่อ รอยห่างระหว่างชิ้น โดยไม่ต้องทำการปิดผิวในภายหลัง ช่วยลดวัสดุแต่งเติมที่เข้ามาในขั้นการเก็บงาน ส่วนสุดท้ายก็คือการเลือกใช้คาร์บอนในรหัส T ที่แตกต่างกันตั้งแต่ 1000 ไปจนถึง 800 ในส่วนต่างๆตามความเหมาะสม
เรื่อง T นี้เป็นอีกหนึ่ง"คำร่ำลือ" ของตลาดจักรยานบ้านเรา เพราะเฟรมอะไรๆก็อ้างกันท้งนั้นว่าเป็น "ทีนั้น ทีนี้" แต่หากได้พบกับผู้ผลิตเฟรมจักรยานจริงๆ ไม่มีใครจะมากล่าวกันถึงเนื้อคาร์บอนแบบนี้หรอกครับ เพราะกว่าจะได้เฟรมมาหนึ่งเฟรม ประกอบด้วยคาร์บอนหลายชิ้น หลายส่วน แต่ละชิ้นจะใช้ในรูปแบบไหน รหัสอะไร มันอยู่ที่การออกแบบ และเฟรมจักรยานดีๆในโลกนี้ ไม่มีเฟรมไหนที่ใช้คาร์บอนชนิดเดียว ดังนั้น ที่บอกกันว่าเฟรมนั้นดี เฟรมนี้เด่น ใช้ "ทีละพัน" ไม่ใช่เครื่องการันตีแม้แต่น้อยว่าเฟรมนั้นๆจะดีหรือไม่ ยิ่งถ้าได้เจอกับนักออกแบบเฟรมจักรยานบางชาติที่เน้นไปในทางอนุรักษ์นิยมหน่อย จะบอกเลยว่าเจ้ารหัส T ตัวยอดนิยม มันมีข้อเสียที่ทำให้เฟรมใช้งานจริงๆแล้วไม่สมบูรณ์แบบ ใครเอามาทำเฟรมทั้งคันนอกจากจะแพงสุดขีด ยังต้องบอกว่าบ้าสุดโต่งด้วย เรื่องนี้คุยกันยาวมากๆ ผมหาโอกาสจะย่อยออกมาเป็นเรื่องของคาร์บอนหลายรอบแล้ว แต่ยังไม่สบโอกาสเสียที
เอาสรุปง่ายๆในเรื่องของการพรีวิวนี้ก่อนเลยว่า ใน 1 เฟรมของ MR1s ที่กำลังคุยกัน ประกอบด้วยคาร์บอน 2 รหัสได้แก่ T และ M ซึ่งใช้แตกต่างกัน 4 ชนิด ในแต่ละส่วนถูกแยกเป็นชิ้นเล็กๆกว่า 550 ชิ้น ในจุดต่างๆ ทิศทางต่างๆกัน สลับชั้นและทิศทางเพื่อให้ได้เป้าหมายการออกแบบที่ต้องการ จนคลอดออกมาเป็นเฟรมดังที่เห็น
VSR
ยุคนี้ไม่แอโร่ฯ ก็คงไม่ทันสมัย ไม่ดิสค์เบรค ก็คงจะตกยุค แต่ DARE จับเอาทั้งสองอย่างมารวมกันเอาไว้ สำหรับคนที่มองๆหาอนาคตแต่ยังไม่พร้อมไปเต็มตัว ด้วยการออกแบบ VSR ออกมาเป็นเสือหมอบแอโร่ไดนามิคส์ บนฐานของการรองรับทั้งดิสค์เบรคและริมเบรคธรรมดาในคันเดียว หากใครที่มองว่าอนาคตอย่างไรเสียก็ต้องไปหาดิสค์เบรคอย่างแน่นอน แล้วอยากได้ความซิ่งบนทางราบแบบสุดๆ VSR กลายเป็นทางออกที่ทำให้อีก 2 ปีข้างหน้า ไม่ต้องรื้อหาเฟรมใหม่ แค่เปลี่ยนนิดหน่อยก็ได้เสือหมอบดิสค์เบรคแล้ว
ตัวเฟรมออกแบบมารองรับได้ทั้งดิสค์เบรคและเบรคขอบล้อ มีจุดยึดเบรคมาให้ทั้งสองที่ รวมถึงออกแบบความแข็งแรงของจุดรับแรงเบรคมาเผื่อเอาไว้แล้ว โดยที่ในแบบริมเบรคเลือกใช้เบรคแบบใหม่ "Dual Pivot" หรือเบรคแบบ "Direct Mount" ทั้งหน้าและหลัง พร้อมทั้งอะแด็ปเตอร์ที่จะเปลี่ยนดร็อปเอาท์ให้กลายเป็นแบบยุดดิสค์เบรคได้หากต้องการติดตั้งระบบดิสค์เบรค
ความกว้างของแกนดุมหลังรองรับมาตรฐานอยู๋ที่ 130 มม. แต่เมื่อใส่ดร็อปเอาท์แบบดิสค์เบรคที่ให้มาด้วย ก็จะสามารถรองรับแกนล้อหลังแบบ 135 มม. พร้อมติดตั้งดิสค์เบรคได้ทันที สิ่งที่ต้องเปลี่ยนก็คือตะเกียบหน้า (สามารถระบุสั่งได้ว่าต้องการแบบไหน) เท่านั้น
และแน่นอนว่าด้วยความเป็นเฟรมแบบแอโร่ไดนามิคส์ นักออกแบบได้ทดสอบแบบจำลองในระบบคอมพิวเตอร์และอุโมงค์ลมจนได้เฟรมที่เอื้อต่อการเดินทางของกระแสอากาศที่เรียบที่สุดในทุกๆส่วน โดยเน้นที่รอยต่อระหว่างตะเกียบและท่อคอที่ช่วยลดแรงต้านได้มากถึง 30% และช่วงสามเหลี่ยมด้านหลังที่ออกแบบมาลดแรงฉุดออกไปถึง 25% เพื่อให้เฟรม VSR ไม่ใช่เพียงเฟรมที่สวยเพียงรูปร่างแบบแอโร่ฯเท่านั้น แต่ต้องทำหน้าที่ได้จริงๆที่ความเร็วสุงอีกด้วย
RED DOT DESIGN AWARD
ความ"กล้า"ของ DARE ไม่ได้อยู่แค่การออกแบบออกมาเท่านั้น แต่ยังกล้าพอที่จุส่งเอาจักรยานของพวกเขาเข้าสู่การประกวดการออกแบบอุตสาหกรรมระดับโลก ในการประกวดชิงรางวัล Red Dot Design Award รางวัลที่เป็นสุดยอดของนักออกแบบทั้งหลายในโลก ในหมวดต่างๆมากมาย และจักรยาน ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีการประกวดให้รางวัลอย่างเป็นทางการ โดยในอดีตจักรยานยี่ห้อ C ของเยอรมัน ก็เคยคว้ารางวัลนี้มาครองได้ และความสำเร็จของ DARE คือการได้รางวัล Red Dot ในกลุ่ม "การออกแบบจักรยานยอดเยี่ยม" ถึง 2 ปีซ้อนจากปี 2015 และ 2016 ซึ่งถือว่าพลิกโผอย่างมาก เนื่องจากมีจักรยานอีกหลายๆแบรนด์ดังๆที่ถูกส่งเข้าประกวด และเป็นตัวเต็งอยู่ด้วยวิศวกรรมการออกแบบที่ล้ำลึก แต่ DARE สามารถคว้าเอารางวัลการออกแบบไปได้ด้วยการผลิตที่เรียบง่าย แต่ใช้ได้ผลจริง และสอดคล้องกับกระบวนการผลิตจนเกิดเป็นจักรยานที่มีความสมดุลย์ระหว่งาสมรรถนะและมูลค่า
สิ่งหนึ่งที่ Red Dot Design Award แตกต่างจากบรรดารางวัลจักรยานยอดเยี่ยมขวัญใจคอมเม็นเตเตอร์ของสื่อจักรยาน ซึ่งทำให้เป็นโจทย์ที่ยากสำหรับแบรนด์จักรยานตลาดจ๋าๆ จะผ่านไปได้คือ มุมมองของนักออกแบบทางด้านศิลปะและวิทยาศาสตร์ ที่ต้องพ่วงเข้ากับความเหมาะสมของการผลิตด้วยระบบอุตสาหกรรม (ใครเรียนออกแบบอุตสาหกรรมมาจะเข้าใจดีมากครับ) ผมอธิบายง่ายๆว่า ใครจะออกแบบจักรยานมาได้เทพขนาดไหน มันไม่ใช่เรื่องยากมาก แต่ออกแบบมาแล้ว ผลิตออกมาได้หรือไม่ ถ้าผลิตได้จะมีขั้นตอนยุ่งยาก ลำบากต่อการควบคุม หรือทำให้ต้นทุนสูงจนลิ่วหรือเปล่า เกิดหน้าตาที่แปลกประหลาดกระชากคนเกินไป ตลอดจนรูปทรงที่ก่อให้เกิดคำถามและปัญหาอื่นๆตามมาต้องคอยแก้ไข พวกนั้นจะกลายเป็นอุปสรรคต่อการชิงรางวัลสำหรับนักออกแบบในรายการนี้
การที่ DARE ต้องการรางวัลนี้ ก็เพื่อยืนยันกับโลกให้รู็ว่า พวกเขา ตั้งใจมุ่งมั่นในการออกแบบมันอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงผู้ผลิตที่จับเอาเทคโนโลยีของลูกค้ามายำผสมกันจนเกิดเป็นจักรยานของตนเองเท่านั้น
Pro Team
การร่วมมือกับทีมโปรจักรยาน หลายๆท่านคงยังไม่ทราบว่าบรรดาจักรยานทั้งหลาย ต้องพยายามควักเงินเป็นหลักสอบ หลักร้อยล้านบาท เพื่อให้โปรทีมใช้จักรยานของตนเอง ส่วนหนึ่งเพื่อการตลาดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่อีกส่วนหนึ่งซึ่งหลายๆยี่ห้อให้ความสำคัญมากกว่าแค่การโฆษณาคือการได้รับคำแนะนำจากนักแข่งและทีมนั้นๆ เพื่อมาเป็นแนวทางในการพัฒนาการออกแบบต่อไปไม่หยุดยั้ง DARE เองแม้ว่าจะเพิ่งเริ่มก้าวออกมาจากห้องคลอดได้ไม่นานนัก แต่ก็เล็งเห็นความสำคัญของกระบวนการนี้
[imghttp://cdn.cyclist.sanspo.com/photos/2016/02/UK_01-600x400.jpg[/img]
UKYO
"อูเคียว" หรือ "เซ็นริน อุเคียว" เป็นหนึ่งในทีมจักรยานที่มั่นคงที่สุดทีมหนึ่งของญี่ปุ่น จดทะเบียนเป็นทีมจักรยานอาชีพ และมีนักปั่นอาชีพที่ขึ้นทะเบียนกับ UCI สำหรับลงแข่งรายการสำคัญๆในแถบเอเชียมากมาย และเป็นหนึ่งในทีมที่สร้างเลือดใหม่ของนักปั่นแดนซามูไรขึ้นมารับใช้ชาติอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ เป็นก้าวสำคัญของนักแข่งหลายต่อหลายคน ที่จะได้ไปปั่นอาชีพในยุโรป เพราะทีมนี้ ปั้นนักแข่งญี่ปุ่น ที่ไปไกลถึงได้เข้าร่วมทีมยุโรปอย่างเต็มตัว และได้ลงแข่งรายการแกรนด์ทัวร์ อย่าง จิโร่ ดิตาเลีย มาแล้ว
แม้จะมีนักแข่งอยู่ไม่มากเพราะเป็นทีมระดับคอนติเน็นตัล แต่ก็มีคุณภาพเพราะนักแข่งในทีมได้สวมเสื้อลายธงชาติแดนอาทิตย์อุทัยในฐานะของแชมป์ประจำประเทศญี่ปุ่นในปีล่าสุด และแน่นอนว่าได้ร่วมการแข่งสำคัญๆของเอเชียหลายๆรายการ รวมถึง ทัวร์ออฟเจแปน และ ตูร์เดอโอกินาว่า ร่วมกับโปรทีมระดับโลกอีกมากมาย
การทำสีได้ตามที่ต้องการ จุดเด่นที่ไม่พูดก็คงไม่ได้.. เพราะเป็นหนึ่งในจักรยานไม่กี่ยี่ห้อ ที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจเข้าไปลองปรับเลือกแบบสีสันต่างๆตามที่ต้องการ และสั่งผลิตได้โดยไม่มีจำนวนขั้นต่ำ ใครที่สนใจ ลองเข้าไปแต่งภาพสีของ DARE ที่สนใจได้จากหน้าเว็บไซท์ได้โดยตรง ที่
http://dare-bikes.com/customize/
ราคาและความคุ้มค่า
เอาล่ะครับ อ่านมาถึงตรงนี้ อาจมีบางท่านรอคำถามอยู่ว่า "ราคาเท่าไหร่?" ผมบอกเอาไว้ก่อนเลยว่าหากท่านกำลังมองหาจักรยานไต้หวัน ราคาเฟรมคาร์บอนเกรดแข่งขันในงบเบาๆจบทั้งคันครึ่งแสนล่ะก็ DARE ไม่มช่สิ่งที่ท่านกำลังมองหา เพราะด้วยองค์ประกอบทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้ตำแหน่งในการยืนของแบรนด์นี้กล้าก้าวขึ้นไปเทียบชั้นกับแบรนด์ใหญ่ๆของโลก แต่ก็ยังแอบยื่นความคุ้มให้ เพราะกับค่าตัวในราคา 80K มีทอน มาเป็นชุดเฟรมเซ็ท และแฮนด์ (เลือกได้ว่าเอาแบบปกติหรือแบบแอโร่ฯ) ในคุณสมบัติทั้งหมดที่กล่าวมา ถ้าจะเป็นรองก็คงต้องยกธงยอมแพ้แบรนด์ใหญ่ๆที่ผลิตปีละหลายๆหมื่นเฟรมจนต้นทุนต่อเฟรมลดลงเหลือน้อยนิด (แต่ขายราคาพอๆกัน) ปัจจัยที่ทำให้ DARE ทำราคาได้ถูกกว่าแบรนด์อื่นๆในคุณภาพวัสดุและการผลิตเดียวกันก็เพราะ พวกเขาเป็นผู้ผลิตเอง ควบคุมการผลิตและพัฒนาขึ้นมาเองตั้งแต่ต้น แม้จะมีต้นทุนการพัฒนาและการตลาดอยู๋บ้าง แต่ก็ทำให้ราคาของมันไม่ได้กระโดดขึ้นไปสูงมากนัก
สิ่งสำคัญที่น่าจะทดแทนความเสียขวัญด้านราคา ก็คงต้องให้ DARE ปลอบขวัญกันด้วยการแสดงออกว่า แบรนด์นี้ใส่ใจกับผู้บริโภคอย่างสุดๆไปเลย ชนิดที่แทบไม่เห็นจากแบรนด์ใหญ่ๆจะทำกัน เพราะ จากกล่องตัวอย่างที่ส่งมาให้ทำการแกะกล่อง ผมต้องยกนิ้วให้ กดไลค์ ถูกใจกันไปซัก 3 ดอก
ในกล่องนอกจากจะแพ็คเฟรม แฮนด์ และเสต็มมาให้ ยังให้คู่มือของเฟรมนั้นๆมาแบบเต็มพิกัด ข้างในระบุเสป็คของเฟรมอย่างชัดเจน รวมถึงการประกอบและชิ้นส่วนต่างๆ มาในแบบพิมพ์สี กระดาษอย่างดีนะครับ เอาล่ะ อันนี้ไม่ใช่ของแปลกอะไรมาก เพราะเฟรมทั่วๆไปก็มีมาให้ (แต่เราไม่เคยขอจากร้าน) สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ ทุกเฟรม มากับป้ายที่บอกว่าเฟรมนั้นผ่านการทดสอบมาอย่างไรบ้าง มีค่าจากห้องทดลองในการทดสอบต่างๆมาให้เราอย่างละเอียด เรียกว่า DARE ทดสอบ *ทุกเฟรม* ที่จะส่งมอบให้ลูกค้าเต็มสูบ ไม่ใช่การสุ่มทดสอบ ข้อนี้การผลิตไม่มาก และเป็นผู้ผลิตเอง ก็กลายเป็นจุดแข็งที่สามารถเอื้อให้พวกเขาพิถีพิถันได้ขนาดนี้นั่นเอง
สุดท้าย
ในยุคที่จักรยานเกิดการแข่งขันกันอย่างหนักหน่วง มีผู้นำเข้าและแบรนด์ต่างๆเข้ามาในตลาดอย่างมากมาย ทั้งแบรนด์ดังระดับโลก แบรนด์กระแส แบรนด์แฟชั่น ไปจนทางเลือกอีกมากมายจากหลากหลายแหล่งที่มา วินาทีนี้ อำนาจอยู่ในมือของผู้บริโภค เราเลือกสิ่งที่เป็นของเรา เหมาะกับตัวเรา และบ่งบอกความเป็นตัวของเราได้ รักใคร ชอบใคร ไปทางไหน ไม่มีถูกหรือผิดครับ ลองเลือกที่รัก มักที่ชอบกันแต่ตามสุขใจ เพราะจักรยานที่เราถูกใจ คือจักรยานที่ดีที่สุด แล้วเราจะอยากปั่นมันบ่อยที่สุด
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากผุ้นำเข้าโดยตรง
https://www.facebook.com/bikeandbodythailand/?fref=ts[homeimg=300,250]http://www.thaimtb.com/forum/picture_mt ... 027458.jpg[/homeimg]
ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ประเทศผู้ผลิตจักรยานอันดับหนึ่งของโลกอย่างไต้หวัน ซึ่งเต็มไปด้วยโรงงานผลิตจักรยานชั้นนำของโลกมากมาย พูดให้ถูกอีกอย่างต้องบอกว่า จักรยานไม่ว่าจะแบรนด์อะไรก็ตามที สัญชาติของต้นกำเนิดจะมาจากไหน เมื่อสิ้นสุดการออกแบบและพัฒนาจนเป็นผลสำเร็จแล้ว ก็ต่างถูกผลิตออกจากโรงงานในไต้หวันเสียเป็นส่วนมาก บางคนกล่าวกันเลยด้วยซ้ำว่า จักรยานแจ่งขันชั้นดีของโลก ส่วนใหญ่ก็ออกมาจากโรงงานไต้หวันนี่แหละ เพราะมาตรฐานการผลิต ฝีไม้ฝีมือ และวัตถุดิบที่ต้องการ ก็ต่างพร้อมสรรพอยู่ที่ไต้หวัน ดังนั้นก็ไม่ได้เป็นที่แปลกใจอะไรเมื่อบรรดาโรงงานเหล่านั้นจะหันเข้าสู่เส้นทางการเป็นเจ้าของแบรนด์เสียเอง
สองผู้นำแนวทางนี้คงไม่พ้นกับค่าย"ยักษ์" ใหญ่ของไต้หวัน ที่ทำเอาตลาดจักรยานโลกสั่นสะเทือนด้วยการเป็นผู้ผลิตตั้งแต่ขั้นวัตถุดิบไปจนสำเร็จเป็นรถทั้งคัน และพิสูจน์ตัวเองได้ในเวทีการแข่งระดับโลกอย่างไม่อายใคร หรือค่ายที่ขึ้นต้นด้วยตัว M ที่เป็นหนึ่งในโรงงานขนาดใหญ่ มีบริษัทแม่เป็นกลุ่มทุนอุตสาหกรรมขนาดมหึมา มโหฬารขนาดที่แบรนด์นี้อยู๋ภายใต้ชายคาเดียวกับแบรนด์ชั้นนำยอดนิยมแบรนด์หนึ่งของโลก (น้อยคนจะรู้) ซึ่งแนวทางสู่ความสำเร็จของทั้งสองค่ายนี้เองที่เป็นเหมือนแรงบันดาลใจให้กับโรงงานผู้หลิตต่างๆหันมามุ่งพัฒนาออกแบบจักรยานของตนเองบ้าง เป็นที่ฮือฮากันเมื่องานโชว์จักรยานงานใหญ่ของเอเชียอย่างงานไทเปไบค์โชว์เมื่อต้นปี
และ DARE ก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์จากโรงงานผู้หลิตรายใหญ่ ที่เป็นแหล่งคลอดแบรนด์ดังๆของโลกมาเสียนาน ถึงเวลาที่ได้ฟูมฟักเอาบุตรในอุทรออกมาจนได้ โดยเพิ่งแจ้งเกิดในตลาดมาหมาดๆไม่กี่ขวบปีนี้เอง และเล็งเป้าหมายเส้นทางเดินเอาไว้ไปถึงระดับรุ่นพี่ทั้งสองค่ายที่บุกเบิกทางเอาไว้ ดังนั้น การออกแบบและการทำตลาดจึงมุ่งไปในเส้นทางค่อยเป็นค่อยไปแต่เห็นได้ชัดว่าบั้นปลายของ "DARE" มีความกล้าสมชื่อที่จะเดินไปให้ถึงระดับโลกในที่สุด
DARE ไม่ทำจักรยานระดับกลาง
ผมได้พบกับทีมงานจากไต้หวันซึ่งอธิบายวิธีคิดของ DARE ให้ฟังว่า เค้าต้องการสร้างแบรนด์ที่เป็นจักรยานเพื่อการแข่งขัน มีสมรรถนะสูงเป็นตัวนำ สอดคล้องกับแนวคิดทางการตลาดที่จะเดินทางสู่การพิสูจน์ตัวเองในสนามแข่งโปรทีมก่อน ดังนั้น DARE จึงเน้นสร้างจักรยานสำหรับการแข่งขันในระดับสูงสุด ด้วยวัสดุและการผลิตที่สูงที่สุดเท่าที่โรงงานจะสามารถทำได้เท่านั้น อย่าคิดหวังว่าจะได้เห็นรุ่นราคามหาชน หรือถูกจนห้ามใจยากจากแบรนด์นี้ในระยะแรก แบบที่กลยุทธของแบรนด์แดนมังกรเน้นทิศทางกัน เพื่อบุกตลาดประเทศโลกที่สาม
ข้อนี้เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้หลายๆคนคงตั้งกำแพงออกห่างเมื่อได้เห็นราคาอย่างแน่นอน แต่เดี๋ยวมาลองดูกันว่า ราคาที่ไต้หวันตั้งมาขายในประเทศไทย กับวิศวกรรมการออกแบบและวัสดุ เค้าให้อะไรกันมาบ้างก่อนค่อยมาประเมินกันว่าถูกหรือแพง เพราะคำว่า "แพง" เป็นนามธรรมที่ไม่สามารถประเมินออกมาเป็นตัวเลขได้
ก่อนอื่น เรามาดูจุดขายเด่นของเขาก่อนครับ เพราะครั้งนี้ มาในแนวที่แตกต่างจากคู่แข่งมากมายอย่างสิ้นเชิง
สีที่เป็นของคุณ
ในสภาวะที่ตลาดจักรยานโลกกำลังแฟ่บลง จากการอิ่มตัวของตลาดจักรยานอังกฤษ จนตัวเลขถดถอย ประกอบกับตลาดอเมริกาที่ยังไม่เงยหัวขึ้นจากเบื้องล่าง แม้ว่าตลาดเอเชียจะเติบโตอย่างสูงในระยะหลังๆมานี้ แต่ก็ยังเป็นสัดส่วนที่น้อยเกินกว่าจะนำมาเป็นประเด็นในการห้ำหั่นของมหาแบรนด์ของโลก DARE ซึ่งมีจุดเด่นที่ตำแหน่งที่ตั้ง และกลไกการบริหารการบริการ ชูเอาแนวคิด "Customized Color" หรือการสั่งสีตามใจชอบได้ โดยไม่มีจำนวนขั้นต่ำ คล้ายๆกับไอเดียของแบรนด์ใหญ่ตัว T จากเมืองฝรั่ง แต่สะดวกกว่าเพราะค่าขนส่งและระยะเวลาการผลิตไม่นานเกินรอ
ดังนั้นลูกค้าของ DARE กลุ่มแรกๆในเอเชีย และประเทศไทย ต่างก็ได้ยิ้มแย้มกับจักรยานที่เป็นสีพิเศษถูกใจ สมใจอยากกันไปทั้งสิ้น
DARE MRIS
เรือธงของยี่ห้อนี้ ซึ่งสร้างออกมาเป็นรถในแบบ"ออลราวด์" ที่เน้นผสมผสานระหว่างความเบาที่พอดี ความสติฟของระบบส่งกำลังที่พอเพียงสำหรับขานักแข่งโปรทัวร์ และความสบายที่สามารถใช้ได้ในทุกๆสภาพเส้นทาง เป็นเรื่องปกติของแบรนด์ที่ไม่ใหญ่ที่พยายามไม่แตกแนวของจักรยานออกมาให้มากนัก และผสมผสานความลงตัวเอาไว้ในโมเดลเดียว เพื่อความคุ้มค่าของผู้ซื้อ จะนำไปปรุงแต่งออกไปทางไหนก็อยู๋ที่ความชอบในการผสมผสานชิ้นส่วนต่างๆชึ้นมาเป็นจักรยานซักคันของแต่ละคน
น้ำหนักของเฟรมเปล่าที่ทางโรงงานระบุเอาไว้ อยู๋ช่วงราวๆ 8xx กรัม ขึ้นอยู่กับขนาดและสีที่ผู้สั่งเลือก ซึ่งสีที่ทางเราได้มาเป็นตัวอย่างเป็นสีพิเศษแบบ "ทอง" หรือ Metalic Gold ซึ่งมีน้ำหนักค่อนข้างมาก เนื่องจากต้องผ่านกรรมวิธีรองพื้นหลายครั้งและเนื้อสีมีน้ำหนักสูงกว่า เมื่อจับมาชั่งจริงๆ รวมทุกอย่าง (รัดหลักอาน ที่ยึดสับจาน ตัวกันโซ่ตก น็อตทั้งหมด และดร็อปเอาท์) พบว่าทำน้ำหนักของเฟรมชั่งจริงอยู่ที่ราวๆ 940 กรัม ซึ่งไม่ใช่น้ำหนักที่เบาหวิวๆสำหรับเฟรมเสือหมอบแนวไต่เขา แต่เมื่อมองลึกๆลงไปที่การออกแบบ ก็จะพอเดาได้ว่า วิศวกรที่ออกแบบ มีแนวคิดอย่างไร
C+C Technology
เทคโนโลยีแบบ C+C หรือมาจากคำว่า Comfort + Channel มาจากแนวคิดการออกแบบเพื่อสร้างความสบายในการขี่จากการลดแรงสั่นสะเทือนจากถนนที่จะขึ้นมายังหลักอาน และส่งต่อไปยังผู้ขี่โดยตรง ด้วยการออกแบบเฟรมให้ท่อนั่งมีช่องว่างระหว่างจุดเชื่อมต่อท่อนอนและตะเกียบหางด้านหลัง แรงสั่นสะเทือนจากด้านหลังจะถูกส่งผล่านไปยังท่อนอนเพื่อเปลี่ยนทิศทางของแรง ส่วนท่อนั่งและหลักอานสามารถให้ตัวขยับได้ในแนวหน้า-หลัง ด้วยการเลือกใช้วัสดุคาร์บอนตระกูลรหัส M ที่มีคุณสมบัติในการกระจายแรงและให้ตัวได้ในทิศทางที่ต้องการ ดังนั้นแรงสั่นสะเทือนทั้งหมดจึงถูกทอนลงไปไม่ต่างจากค่าการให้ตัวเมื่อได้รับแรงของจักรยานในกลุ่มเอ็นดูแรนซ์เลยทีเดียว
ด้วยเหตุผลในการออกแบบนี้เองที่ทำให้เฟรมไม่ได้ถึงเบาที่สุด เพราะการออกแบบให้เฟรมมี "รู" อย่างนี้ หมายถึงการที่ต้องพิถีพิถันบรรจงเลือกชิ้นและทิศทางของแผ่นคาร์บอนแต่ละชนิด แต่ละแผ่นให้สอดคล้องกันจนได้รูปร่างที่ต้องการ และมีคุณสมบัติในการรับแรงตามที่ตั้งเอาไว้ กว่าจะออกมาเป็นแบบนี้ได้ ผ่านการทดสอบมาอย่างหนักหน่วง จนได้เป็นผลสุดท้าย นี่คือสิ่งที่วิศวกรไต้หวันเล่าให้กับผมมา หากเค้าต้องการทำเฟราให้เบากว่านี้ทำได้หรือไม่? คำตอบคือไม่ยากเลย แต่ DARE ต้องการสร้างเฟรมที่แข่งได้จริง ขี่สบายได้จริง และผู้ซื้อที่เป็นนักปั่นทั่วไปได้เฟรมที่แข็งแรง ทนทาน ไม่มีจุดเปราะบางไปใช้งานจริง ทำไมต้องทำให้เบากว่นี้ ในเมื่อในการแข่งขันสนามอาชีพ ก็มีพิกัดน้ำหนักระบุอยู่ และน้ำหนักของเฟรมดังกล่าว เป็นน้ำหนักปกติที่สามารถสร้างรถแข่งทั้งคันให้ได้น้ำหนักตามที่กติกาสากลตั้งเอาไว้อยู่แล้ว
VETOX BLADE SEAT STAY
หางหลัง (seatstay) ออกแบบด้วยวัสดุคาร์บอนรหัส M ผสมกับรหัส T ที่เราคุ้นเคย เพื่อให้มีความแข็งแกร่งและให้ตัวได้ในแนวที่ต้องการ รูปทรงแบนบางนอกจากเสริมความแอโร่ไดนามิคส์ด้านท้าย ยังช่วยให้หางหลังกลายเป็นส่วนที่สามารถให้ตัวได้เมื่อรับแรงแนวดิ่งจากพื้นขึ้นมา และลดแรงสะเทือนที่จะส่งต่อมายังตัวผู้ขี่ก่อนจะมาถึงจุดหลักอานที่เป็นเทคโนโลยีแบบ C+C ที่กล่าวไปแล้ว เฉพาะ 2 ส่วนนี้ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่เราพอจะอ่านใจนักวิจัยของ DARE ได้แล้วว่า เสือหมอบคันนี้ แม้จะออกแบบมาในลักษณะของการแข่งขันอยู่สุดขีด แต่มีความพยายามอย่างมากที่จุดสร้างสมดุลย์กับการใช้งานในทุกๆพื้นที่ของถนน ร่วมกับคำคอมเม็นท์จากนักแข่งอาชีพที่ได้รับมาเพื่อนำมาพัฒนาการออกแบบจนออกมาเป็น MR1s (ต่อยอดมาจาก MR1)
นอกจากนั้น ยังมีรายละเอียดทางการออกแบบอีกมากมาย ที่เป็นศัพท์ทางการค้า แต่ผมขอสรุสั้นๆเอาไว้ว่าประกอบไปด้วยมาตรฐานการผลิตและการออกแบบของจักรยานแบรนด์ใหญ่ๆแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการรีดควบคุมให้มีฟองอากาศภายในชั้นคาร์บอนน้อยที่สุด เพื่อให้คาร์บอนที่ประกอบกันขึ้นมามีความแข็งแรงที่สุด ใช้เนื้อวัสดุน้อยที่สุด หรือการออกแบบบให้รอยต่อระหว่างชิ้นส่วนทั้งหมด ต่อเนื่องกันอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีรอยต่อ รอยห่างระหว่างชิ้น โดยไม่ต้องทำการปิดผิวในภายหลัง ช่วยลดวัสดุแต่งเติมที่เข้ามาในขั้นการเก็บงาน ส่วนสุดท้ายก็คือการเลือกใช้คาร์บอนในรหัส T ที่แตกต่างกันตั้งแต่ 1000 ไปจนถึง 800 ในส่วนต่างๆตามความเหมาะสม
เรื่อง T นี้เป็นอีกหนึ่ง"คำร่ำลือ" ของตลาดจักรยานบ้านเรา เพราะเฟรมอะไรๆก็อ้างกันท้งนั้นว่าเป็น "ทีนั้น ทีนี้" แต่หากได้พบกับผู้ผลิตเฟรมจักรยานจริงๆ ไม่มีใครจะมากล่าวกันถึงเนื้อคาร์บอนแบบนี้หรอกครับ เพราะกว่าจะได้เฟรมมาหนึ่งเฟรม ประกอบด้วยคาร์บอนหลายชิ้น หลายส่วน แต่ละชิ้นจะใช้ในรูปแบบไหน รหัสอะไร มันอยู่ที่การออกแบบ และเฟรมจักรยานดีๆในโลกนี้ ไม่มีเฟรมไหนที่ใช้คาร์บอนชนิดเดียว ดังนั้น ที่บอกกันว่าเฟรมนั้นดี เฟรมนี้เด่น ใช้ "ทีละพัน" ไม่ใช่เครื่องการันตีแม้แต่น้อยว่าเฟรมนั้นๆจะดีหรือไม่ ยิ่งถ้าได้เจอกับนักออกแบบเฟรมจักรยานบางชาติที่เน้นไปในทางอนุรักษ์นิยมหน่อย จะบอกเลยว่าเจ้ารหัส T ตัวยอดนิยม มันมีข้อเสียที่ทำให้เฟรมใช้งานจริงๆแล้วไม่สมบูรณ์แบบ ใครเอามาทำเฟรมทั้งคันนอกจากจะแพงสุดขีด ยังต้องบอกว่าบ้าสุดโต่งด้วย เรื่องนี้คุยกันยาวมากๆ ผมหาโอกาสจะย่อยออกมาเป็นเรื่องของคาร์บอนหลายรอบแล้ว แต่ยังไม่สบโอกาสเสียที
เอาสรุปง่ายๆในเรื่องของการพรีวิวนี้ก่อนเลยว่า ใน 1 เฟรมของ MR1s ที่กำลังคุยกัน ประกอบด้วยคาร์บอน 2 รหัสได้แก่ T และ M ซึ่งใช้แตกต่างกัน 4 ชนิด ในแต่ละส่วนถูกแยกเป็นชิ้นเล็กๆกว่า 550 ชิ้น ในจุดต่างๆ ทิศทางต่างๆกัน สลับชั้นและทิศทางเพื่อให้ได้เป้าหมายการออกแบบที่ต้องการ จนคลอดออกมาเป็นเฟรมดังที่เห็น
VSR
ยุคนี้ไม่แอโร่ฯ ก็คงไม่ทันสมัย ไม่ดิสค์เบรค ก็คงจะตกยุค แต่ DARE จับเอาทั้งสองอย่างมารวมกันเอาไว้ สำหรับคนที่มองๆหาอนาคตแต่ยังไม่พร้อมไปเต็มตัว ด้วยการออกแบบ VSR ออกมาเป็นเสือหมอบแอโร่ไดนามิคส์ บนฐานของการรองรับทั้งดิสค์เบรคและริมเบรคธรรมดาในคันเดียว หากใครที่มองว่าอนาคตอย่างไรเสียก็ต้องไปหาดิสค์เบรคอย่างแน่นอน แล้วอยากได้ความซิ่งบนทางราบแบบสุดๆ VSR กลายเป็นทางออกที่ทำให้อีก 2 ปีข้างหน้า ไม่ต้องรื้อหาเฟรมใหม่ แค่เปลี่ยนนิดหน่อยก็ได้เสือหมอบดิสค์เบรคแล้ว
ตัวเฟรมออกแบบมารองรับได้ทั้งดิสค์เบรคและเบรคขอบล้อ มีจุดยึดเบรคมาให้ทั้งสองที่ รวมถึงออกแบบความแข็งแรงของจุดรับแรงเบรคมาเผื่อเอาไว้แล้ว โดยที่ในแบบริมเบรคเลือกใช้เบรคแบบใหม่ "Dual Pivot" หรือเบรคแบบ "Direct Mount" ทั้งหน้าและหลัง พร้อมทั้งอะแด็ปเตอร์ที่จะเปลี่ยนดร็อปเอาท์ให้กลายเป็นแบบยุดดิสค์เบรคได้หากต้องการติดตั้งระบบดิสค์เบรค
ความกว้างของแกนดุมหลังรองรับมาตรฐานอยู๋ที่ 130 มม. แต่เมื่อใส่ดร็อปเอาท์แบบดิสค์เบรคที่ให้มาด้วย ก็จะสามารถรองรับแกนล้อหลังแบบ 135 มม. พร้อมติดตั้งดิสค์เบรคได้ทันที สิ่งที่ต้องเปลี่ยนก็คือตะเกียบหน้า (สามารถระบุสั่งได้ว่าต้องการแบบไหน) เท่านั้น
และแน่นอนว่าด้วยความเป็นเฟรมแบบแอโร่ไดนามิคส์ นักออกแบบได้ทดสอบแบบจำลองในระบบคอมพิวเตอร์และอุโมงค์ลมจนได้เฟรมที่เอื้อต่อการเดินทางของกระแสอากาศที่เรียบที่สุดในทุกๆส่วน โดยเน้นที่รอยต่อระหว่างตะเกียบและท่อคอที่ช่วยลดแรงต้านได้มากถึง 30% และช่วงสามเหลี่ยมด้านหลังที่ออกแบบมาลดแรงฉุดออกไปถึง 25% เพื่อให้เฟรม VSR ไม่ใช่เพียงเฟรมที่สวยเพียงรูปร่างแบบแอโร่ฯเท่านั้น แต่ต้องทำหน้าที่ได้จริงๆที่ความเร็วสุงอีกด้วย
RED DOT DESIGN AWARD
ความ"กล้า"ของ DARE ไม่ได้อยู่แค่การออกแบบออกมาเท่านั้น แต่ยังกล้าพอที่จุส่งเอาจักรยานของพวกเขาเข้าสู่การประกวดการออกแบบอุตสาหกรรมระดับโลก ในการประกวดชิงรางวัล Red Dot Design Award รางวัลที่เป็นสุดยอดของนักออกแบบทั้งหลายในโลก ในหมวดต่างๆมากมาย และจักรยาน ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีการประกวดให้รางวัลอย่างเป็นทางการ โดยในอดีตจักรยานยี่ห้อ C ของเยอรมัน ก็เคยคว้ารางวัลนี้มาครองได้ และความสำเร็จของ DARE คือการได้รางวัล Red Dot ในกลุ่ม "การออกแบบจักรยานยอดเยี่ยม" ถึง 2 ปีซ้อนจากปี 2015 และ 2016 ซึ่งถือว่าพลิกโผอย่างมาก เนื่องจากมีจักรยานอีกหลายๆแบรนด์ดังๆที่ถูกส่งเข้าประกวด และเป็นตัวเต็งอยู่ด้วยวิศวกรรมการออกแบบที่ล้ำลึก แต่ DARE สามารถคว้าเอารางวัลการออกแบบไปได้ด้วยการผลิตที่เรียบง่าย แต่ใช้ได้ผลจริง และสอดคล้องกับกระบวนการผลิตจนเกิดเป็นจักรยานที่มีความสมดุลย์ระหว่งาสมรรถนะและมูลค่า
สิ่งหนึ่งที่ Red Dot Design Award แตกต่างจากบรรดารางวัลจักรยานยอดเยี่ยมขวัญใจคอมเม็นเตเตอร์ของสื่อจักรยาน ซึ่งทำให้เป็นโจทย์ที่ยากสำหรับแบรนด์จักรยานตลาดจ๋าๆ จะผ่านไปได้คือ มุมมองของนักออกแบบทางด้านศิลปะและวิทยาศาสตร์ ที่ต้องพ่วงเข้ากับความเหมาะสมของการผลิตด้วยระบบอุตสาหกรรม (ใครเรียนออกแบบอุตสาหกรรมมาจะเข้าใจดีมากครับ) ผมอธิบายง่ายๆว่า ใครจะออกแบบจักรยานมาได้เทพขนาดไหน มันไม่ใช่เรื่องยากมาก แต่ออกแบบมาแล้ว ผลิตออกมาได้หรือไม่ ถ้าผลิตได้จะมีขั้นตอนยุ่งยาก ลำบากต่อการควบคุม หรือทำให้ต้นทุนสูงจนลิ่วหรือเปล่า เกิดหน้าตาที่แปลกประหลาดกระชากคนเกินไป ตลอดจนรูปทรงที่ก่อให้เกิดคำถามและปัญหาอื่นๆตามมาต้องคอยแก้ไข พวกนั้นจะกลายเป็นอุปสรรคต่อการชิงรางวัลสำหรับนักออกแบบในรายการนี้
การที่ DARE ต้องการรางวัลนี้ ก็เพื่อยืนยันกับโลกให้รู็ว่า พวกเขา ตั้งใจมุ่งมั่นในการออกแบบมันอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงผู้ผลิตที่จับเอาเทคโนโลยีของลูกค้ามายำผสมกันจนเกิดเป็นจักรยานของตนเองเท่านั้น
Pro Team
การร่วมมือกับทีมโปรจักรยาน หลายๆท่านคงยังไม่ทราบว่าบรรดาจักรยานทั้งหลาย ต้องพยายามควักเงินเป็นหลักสอบ หลักร้อยล้านบาท เพื่อให้โปรทีมใช้จักรยานของตนเอง ส่วนหนึ่งเพื่อการตลาดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่อีกส่วนหนึ่งซึ่งหลายๆยี่ห้อให้ความสำคัญมากกว่าแค่การโฆษณาคือการได้รับคำแนะนำจากนักแข่งและทีมนั้นๆ เพื่อมาเป็นแนวทางในการพัฒนาการออกแบบต่อไปไม่หยุดยั้ง DARE เองแม้ว่าจะเพิ่งเริ่มก้าวออกมาจากห้องคลอดได้ไม่นานนัก แต่ก็เล็งเห็นความสำคัญของกระบวนการนี้
[imghttp://cdn.cyclist.sanspo.com/photos/2016/02/UK_01-600x400.jpg[/img]
UKYO
"อูเคียว" หรือ "เซ็นริน อุเคียว" เป็นหนึ่งในทีมจักรยานที่มั่นคงที่สุดทีมหนึ่งของญี่ปุ่น จดทะเบียนเป็นทีมจักรยานอาชีพ และมีนักปั่นอาชีพที่ขึ้นทะเบียนกับ UCI สำหรับลงแข่งรายการสำคัญๆในแถบเอเชียมากมาย และเป็นหนึ่งในทีมที่สร้างเลือดใหม่ของนักปั่นแดนซามูไรขึ้นมารับใช้ชาติอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ เป็นก้าวสำคัญของนักแข่งหลายต่อหลายคน ที่จะได้ไปปั่นอาชีพในยุโรป เพราะทีมนี้ ปั้นนักแข่งญี่ปุ่น ที่ไปไกลถึงได้เข้าร่วมทีมยุโรปอย่างเต็มตัว และได้ลงแข่งรายการแกรนด์ทัวร์ อย่าง จิโร่ ดิตาเลีย มาแล้ว
แม้จะมีนักแข่งอยู่ไม่มากเพราะเป็นทีมระดับคอนติเน็นตัล แต่ก็มีคุณภาพเพราะนักแข่งในทีมได้สวมเสื้อลายธงชาติแดนอาทิตย์อุทัยในฐานะของแชมป์ประจำประเทศญี่ปุ่นในปีล่าสุด และแน่นอนว่าได้ร่วมการแข่งสำคัญๆของเอเชียหลายๆรายการ รวมถึง ทัวร์ออฟเจแปน และ ตูร์เดอโอกินาว่า ร่วมกับโปรทีมระดับโลกอีกมากมาย
การทำสีได้ตามที่ต้องการ จุดเด่นที่ไม่พูดก็คงไม่ได้.. เพราะเป็นหนึ่งในจักรยานไม่กี่ยี่ห้อ ที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจเข้าไปลองปรับเลือกแบบสีสันต่างๆตามที่ต้องการ และสั่งผลิตได้โดยไม่มีจำนวนขั้นต่ำ ใครที่สนใจ ลองเข้าไปแต่งภาพสีของ DARE ที่สนใจได้จากหน้าเว็บไซท์ได้โดยตรง ที่
http://dare-bikes.com/customize/
ราคาและความคุ้มค่า
เอาล่ะครับ อ่านมาถึงตรงนี้ อาจมีบางท่านรอคำถามอยู่ว่า "ราคาเท่าไหร่?" ผมบอกเอาไว้ก่อนเลยว่าหากท่านกำลังมองหาจักรยานไต้หวัน ราคาเฟรมคาร์บอนเกรดแข่งขันในงบเบาๆจบทั้งคันครึ่งแสนล่ะก็ DARE ไม่มช่สิ่งที่ท่านกำลังมองหา เพราะด้วยองค์ประกอบทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้ตำแหน่งในการยืนของแบรนด์นี้กล้าก้าวขึ้นไปเทียบชั้นกับแบรนด์ใหญ่ๆของโลก แต่ก็ยังแอบยื่นความคุ้มให้ เพราะกับค่าตัวในราคา 80K มีทอน มาเป็นชุดเฟรมเซ็ท และแฮนด์ (เลือกได้ว่าเอาแบบปกติหรือแบบแอโร่ฯ) ในคุณสมบัติทั้งหมดที่กล่าวมา ถ้าจะเป็นรองก็คงต้องยกธงยอมแพ้แบรนด์ใหญ่ๆที่ผลิตปีละหลายๆหมื่นเฟรมจนต้นทุนต่อเฟรมลดลงเหลือน้อยนิด (แต่ขายราคาพอๆกัน) ปัจจัยที่ทำให้ DARE ทำราคาได้ถูกกว่าแบรนด์อื่นๆในคุณภาพวัสดุและการผลิตเดียวกันก็เพราะ พวกเขาเป็นผู้ผลิตเอง ควบคุมการผลิตและพัฒนาขึ้นมาเองตั้งแต่ต้น แม้จะมีต้นทุนการพัฒนาและการตลาดอยู๋บ้าง แต่ก็ทำให้ราคาของมันไม่ได้กระโดดขึ้นไปสูงมากนัก
สิ่งสำคัญที่น่าจะทดแทนความเสียขวัญด้านราคา ก็คงต้องให้ DARE ปลอบขวัญกันด้วยการแสดงออกว่า แบรนด์นี้ใส่ใจกับผู้บริโภคอย่างสุดๆไปเลย ชนิดที่แทบไม่เห็นจากแบรนด์ใหญ่ๆจะทำกัน เพราะ จากกล่องตัวอย่างที่ส่งมาให้ทำการแกะกล่อง ผมต้องยกนิ้วให้ กดไลค์ ถูกใจกันไปซัก 3 ดอก
ในกล่องนอกจากจะแพ็คเฟรม แฮนด์ และเสต็มมาให้ ยังให้คู่มือของเฟรมนั้นๆมาแบบเต็มพิกัด ข้างในระบุเสป็คของเฟรมอย่างชัดเจน รวมถึงการประกอบและชิ้นส่วนต่างๆ มาในแบบพิมพ์สี กระดาษอย่างดีนะครับ เอาล่ะ อันนี้ไม่ใช่ของแปลกอะไรมาก เพราะเฟรมทั่วๆไปก็มีมาให้ (แต่เราไม่เคยขอจากร้าน) สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ ทุกเฟรม มากับป้ายที่บอกว่าเฟรมนั้นผ่านการทดสอบมาอย่างไรบ้าง มีค่าจากห้องทดลองในการทดสอบต่างๆมาให้เราอย่างละเอียด เรียกว่า DARE ทดสอบ *ทุกเฟรม* ที่จะส่งมอบให้ลูกค้าเต็มสูบ ไม่ใช่การสุ่มทดสอบ ข้อนี้การผลิตไม่มาก และเป็นผู้ผลิตเอง ก็กลายเป็นจุดแข็งที่สามารถเอื้อให้พวกเขาพิถีพิถันได้ขนาดนี้นั่นเอง
สุดท้าย
ในยุคที่จักรยานเกิดการแข่งขันกันอย่างหนักหน่วง มีผู้นำเข้าและแบรนด์ต่างๆเข้ามาในตลาดอย่างมากมาย ทั้งแบรนด์ดังระดับโลก แบรนด์กระแส แบรนด์แฟชั่น ไปจนทางเลือกอีกมากมายจากหลากหลายแหล่งที่มา วินาทีนี้ อำนาจอยู่ในมือของผู้บริโภค เราเลือกสิ่งที่เป็นของเรา เหมาะกับตัวเรา และบ่งบอกความเป็นตัวของเราได้ รักใคร ชอบใคร ไปทางไหน ไม่มีถูกหรือผิดครับ ลองเลือกที่รัก มักที่ชอบกันแต่ตามสุขใจ เพราะจักรยานที่เราถูกใจ คือจักรยานที่ดีที่สุด แล้วเราจะอยากปั่นมันบ่อยที่สุด
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากผุ้นำเข้าโดยตรง
https://www.facebook.com/bikeandbodythailand/?fref=ts[homeimg=300,250]http://www.thaimtb.com/forum/picture_mt ... 027458.jpg[/homeimg]