ตอนที่ 3
สวัสดีครับทุกๆคนเมื่อตอนที่แล้วเราคุยกันถึงว่าโปรตีนคืออะไร มีหน้าที่แบบไหน ต้องกินอย่างไรและเท่าไหร่ คราวนี้มาถึงคิวของคาร์โบไฮเดรตว่า "อะไรคือคาร์โบไฮเดรต" มีคนมากมายที่สับสนเกี่ยวกับว่าอะไรคือคาร์โบไฮเดรต อย่ารอช้าครับมาทำความรู้จักกับเค้ากันเถอะ
- อะไรคือ "คาร์โบไฮเดรต"
คาร์โบไฮเดรตประกอบจาก คาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน โดยที่คาร์โบไฮเดรตจะมีหน้าที่เป็น "พลังงาน" หลักให้แก่ร่างกายของเราเพื่อทำกิจกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เช่น เดิน ขับรถ นั่งทำงาน วิ่ง ยืน หรือแม้กระทั่งการนอนก็จำเป็นต้องใช้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต คาร์โบไฮเดรตมีอยู่ 3 รูปแบบ คือ โมโนและได ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีรสหวาน เช่น น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำผลไม้ ส่วนแบบที่สามคือ โพลี จะมีรสหวานเล็กน้อยหรือแทบไม่มีเลย เช่น แป้ง หรือ ผัก
- ทำไมเราต้องการ "คาร์โบไฮเดรต"
เมื่อเรากินคาร์โบไฮเดรต เช่น แป้ง ผัก ผลไม้ น้ำตาล หรือน้ำผึ้ง ร่างกายจะย่อยและดูดซึมคาร์โบไฮเดรตไปเก็บไว้ในร่างกายที่กล้ามเนื้อและตับ(แสดงว่าคนที่มีกล้ามเนื้อมากก็สามารถกินคาร์โบไฮเดรตได้มากกว่าคนที่มีกล้ามเนื้อน้อย) ในรูปแบบที่เรียกว่า "ไกลโคเจน" แสดงว่าก่อนเข้าร่างกายเรียกว่า คาร์โบไฮเดรต พอเข้าไปแล้วจะถูกย่อยและดูดซึมไปเป็น ไกลโคเจน ขอย้ำตรงนี้อีกรอบครับจะได้ไม่ลืม และไกลโคเจนไปเก็บไว้ที่ "กล้ามเนื้อ" และ "ตับ" การได้รับคาร์โบไฮเดรตเพื่อที่จะให้ร่างกายแน่ใจว่าเค้าจะมีพลังงานให้แก่กล้ามเนื้อที่เพียงพอต่อการออกกำลังกายหรือใช้เพื่อเคลื่อนที่ในชีวิตประจำวัน และยังต้องนำเอาคาร์โบไฮเดรตไปทดแทนของเดิมที่ถูกนำไปใช้เป็นพลังงานในการฝึกแล้วอีกด้วย ไม่อย่างนั้นเราก็จะไม่มีแรงฝึกในวันต่อไป
- ปริมาณเท่าไหร่ที่เราควรได้รับคาร์โบไฮเดรต
ประมาณ 40-60% ของพลังงานที่เราได้รับจากอาหารใน 1 วัน เช่น ผู้หญิงอายุ 35 ปี ควรได้รับพลังงาน 1,600 kcalต่อวัน เป็นส่วนของคาร์โบไฮเดรตประมาณ 640-960 kcalต่อวัน และถ้าเราเพิ่มการออกกำลังกายเข้ามาในชีวิตประจำวันอีก 300 kcal เราก็ควรทานคาร์โบไฮเดรตในปริมาณที่ใช้ไปให้ใกล้เคียงกันเพื่อไปทดแทนในส่วนที่หายไป แต่การกินคาร์โบไฮเดรต 300 kcal ควรกินประเภทที่ต้องใช้เวลาในการย่อยและดูดซึมที่ยาว เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท เป็นต้น
- เมื่อไหร่ที่เราควรได้รับคาร์โบไฮเดรต
คาร์โบไฮเดรตควรมีอยู่ในทุกมื้ออาหารแต่เฉลี่ยให้ครบทั้ง 3 มื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่มีการฝึกอาจแบ่งออกเป็น 3 มื้อหลัก(เช้า กลางวันและเย็น) และ 2 มื้อรอง(ก่อนออกกำลังและภายหลังจากออกกำลังเสร็จทันทีภายใน 45 นาที) พยายามกินคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยยากใช้ระยะเวลาในการดูดซึมยาวนาน เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ขนมปังธัญพืช ผักผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง(ข้าวโพด แครอท ฟักทอง ชมพู่ สับปะรด แอปเปิ้ล สาลี่ แคนตาลูป เป็นต้น ดังนั้นเราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินอาหารและรู้จักเลือกอาหารให้เหมาะสมต่อการฝึก เพราะถ้าเราทานคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยและดูดซึมได้เร็ว เช่น ข้าวขาว ขนมปังนุ่มๆ เค้ก น้ำอัดลม ฝรั่งนิ่มๆ กล้วยหอมสุกๆ คาร์โบไฮเดรตพวกนี้(พวกที่มีไฟเบอร์ต่ำ) จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้เร็วเกินไปทำให้จำเป็นต้องถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันในเซลล์ไขมันแทน เพื่อไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าค่าปกติที่จะเป็นอันตรายต่อร่างกาย
- วิธีการแบ่งประเภทของ คาร์โบไฮเดรตแบบง่ายๆ
1. คาร์โบไฮเดรตที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ขนมปังธัญพืช ผัก เช่น ผักใบเขียวต่างๆ คะน้า ผักบุ้ง แครอท ฟักทอง มันเทศ ผลไม้ เช่น แอปเปิ้ล ชมพู่ สาลี่ สับปะรด
2. คาร์โบไฮเดรตที่มีไฟเบอร์ต่ำ เช่น ข้าวขาว ขนมปังสีขาว เส้นก๋วยเตียว ผัก เช่น ข้าวโพด มันบด ผลไม้ เช่น ฝรั่ง มะม่วง มะละกอ ลำไย ทุเรียน องุ่น
3. คาร์โบไฮเดรตที่ไม่มีไฟเบอร์เลย เช่น น้ำผลไม้ น้ำผัก น้ำอัดลม น้ำผึ้ง เบียร์ กาแฟ
หมายเหตุ ; ผัก และผลไม้เป็น คาร์โบไฮเดรตนะครับ เข้าใจตรงกันนะ