เปรียบเทียบจาน DURA ACE กับ ROTER
ผู้ดูแล: Cycling B®y, spinbike, velocity
- navy32
- ขาประจำ
- โพสต์: 1802
- ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ต.ค. 2010, 10:40
- Tel: 091-0659823
- team: "เทพสำราญ" ร้อยเอ็ด
- Bike: TREK 8500 TANGE slim road SL3 THORN RAVEN
- ติดต่อ:
เปรียบเทียบจาน DURA ACE กับ ROTER
รบกวนผู้ที่มีประสบการณ์ในการใช้จานทั้งสองแบบ หรือใครก็ได้ให้ความรู้ เกี่ยวกับจานทั้งสองหน่อยครับมีข้อดี ข้อด้อยต่างกันยังไง
ทำไมจึงมีคนเชียร์อีกค่าย(ที่กำลังฮิต)จัง คุณภาพ คุณสมบัติ(รวมทั้งราคา ความคงทน ความคุ้มค่า)ต่างกันยังไง อยากรู้มากเพื่อประกอบการตัดสินใจครับ
ทำไมจึงมีคนเชียร์อีกค่าย(ที่กำลังฮิต)จัง คุณภาพ คุณสมบัติ(รวมทั้งราคา ความคงทน ความคุ้มค่า)ต่างกันยังไง อยากรู้มากเพื่อประกอบการตัดสินใจครับ
เดินทางมาไกล 1,500 ไมล์ทะเล กว่าจะได้พบรักแท้
"JOIN "เทพสำราญ" TEAM TO SEE THE WORLD"
"JOIN "เทพสำราญ" TEAM TO SEE THE WORLD"
- lucifer
- ขาประจำ
- โพสต์: 6413
- ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2010, 14:53
- team: BPMTB , BPRB , Bikeloves
- Bike: Only 2-wheels bike
- ติดต่อ:
Re: เปรียบเทียบจาน DURA ACE กับ ROTER
เทียบยังไงดีหละครับ มันก็คือการเอาจานกลมไปเทียบกับจานเบี้ยวที่ออกแบบมาให้สัมพันธ์กับการเรียกใช้กล้ามเนื้อให้เหมาะสมกับงาน ( put the right man to the right job , แนะนำให้ลองหาอ่านดูในกระทู้ที่เกี่ยวกับ rotor นะครับว่ามันดีอย่างไร )
จานdura ace มีดีในเรื่องความเบา ความสวย แต่ไม่เกี่ยวกับความแรงหรือสัมประสิทธิหรือประสิทธิภาพของการออกแรงนะครับ สิ่งที่จานdura ace มีแบบเหลือเฟือคือ ความง่ายในการเปลี่ยนเกียร์ เพราะprofile ของฟันและหมุดวิดโซ่ทำมาได้อย่างยอดเยี่ยม ในขณะที่จานRotor ( Q-Ring ) จะมีข้อยุ่งยากอยู่บ้างในเรื่องการปรับจูนสับจานเพื่อให้มันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
อะไรดีกว่ากัน ??? ผมว่ามันอยู่ที่คนชอบมากกว่านะ
แต่ถ้าเข้าใจเรื่องการปั่นในลักษณะควงบันไดให้เป็นวงกลมได้ การใช้จานQ-ringจะให้ประโยชน์ได้มากกว่า แต่ถ้าเป็นแค่เหยียบย่ำ ดึง แบบนี้จานอะไรก็อาจจะไม่ให้ผลที่แตกต่างกัน
จานdura ace มีดีในเรื่องความเบา ความสวย แต่ไม่เกี่ยวกับความแรงหรือสัมประสิทธิหรือประสิทธิภาพของการออกแรงนะครับ สิ่งที่จานdura ace มีแบบเหลือเฟือคือ ความง่ายในการเปลี่ยนเกียร์ เพราะprofile ของฟันและหมุดวิดโซ่ทำมาได้อย่างยอดเยี่ยม ในขณะที่จานRotor ( Q-Ring ) จะมีข้อยุ่งยากอยู่บ้างในเรื่องการปรับจูนสับจานเพื่อให้มันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
อะไรดีกว่ากัน ??? ผมว่ามันอยู่ที่คนชอบมากกว่านะ
แต่ถ้าเข้าใจเรื่องการปั่นในลักษณะควงบันไดให้เป็นวงกลมได้ การใช้จานQ-ringจะให้ประโยชน์ได้มากกว่า แต่ถ้าเป็นแค่เหยียบย่ำ ดึง แบบนี้จานอะไรก็อาจจะไม่ให้ผลที่แตกต่างกัน
ถ้าอ่อนซ้อม อ่อนทักษะ ก็จะพบว่าจักรยานคันไหนๆก็ไม่แตกต่างกันหรอก เพราะปั่นไม่ไปเหมือนๆกัน และบังคับควบคุมได้ห่วยพอๆกัน
- chinrmon
- ขาประจำ
- โพสต์: 727
- ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2008, 13:11
- Tel: 089-8116909
- team: BKK freeride
- Bike: Spe Roubaix,Spe Bighit,cannondel,Santacruz,Neon Trial
Re: เปรียบเทียบจาน DURA ACE กับ ROTER
ผมได้ลองrotorเเล้วจั๊กจี้ครับขี่เเล้วมันเเปลกๆ เเล้วก็ไม่ประทับใจกับการเปลี่ยนเกียร์เท่าไหร่มันไม่สมูทเหมือนค่ายshimanoที่เน้นความสมูทปรับตั้งต่างๆค่อนข้างง่าย หาอะไหล่ง่ายกว่า ถ้าต้องขี่ในสภาพเส้นทางที่ต้องเปลี่ยนเกียรขึ้นลงบ่อยๆเช่นใต่เขาเป็นช่วงๆ ผมชอบshiมากกว่าครับ เเต่ถ้าทางตรงยาวๆ จานใหญ่ตลอดเปลี่ยนเเค่3-4เกียร์ rotorก็น่าสน เเต่ผมก็เป็นคนปรับร่างกายเข้าหารถมากกว่าจึงนิยมใช้ของshiครับ ผมว่ามันอยู่ที่คนขี่ด้วยมั๊งครับถ้าผมว่าขี่เเค่ไม่กี่กิโล30-40โลผมว่าประสิทธิภาพของrotorก็ยังสำเเดงประสิทธิภาพไม่เต็มที่ ขี่ไกลๆน่าจะช่วยให้กล้ามเนื้อลดการทำงานได้มากขึ้นเเต่จะมากน้อยเท่าไหร่นี่ผมก็วัดไม่ได้ยังไม่ได้ลองขี่ไกลๆด้วยrotorสักที
ส่วนตัวชอบshi มากกว่าตั้งง่าย ไม่จุกจิก สมูทที่เหลือใช้เเรงตะเองก็ได้ฮะ
ส่วนตัวชอบshi มากกว่าตั้งง่าย ไม่จุกจิก สมูทที่เหลือใช้เเรงตะเองก็ได้ฮะ
- lucifer
- ขาประจำ
- โพสต์: 6413
- ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2010, 14:53
- team: BPMTB , BPRB , Bikeloves
- Bike: Only 2-wheels bike
- ติดต่อ:
Re: เปรียบเทียบจาน DURA ACE กับ ROTER
การจูนสับจานใน Rotor มันเป็นเรื่องของศิลปะครับ ต้องมาลองรถผมแล้วจะพบว่ามันsmooth แค่ไหน
งัดเอาข้อความเก่าในกระทู้เก่ามาให้อ่านกันอีกทีก็แล้วกัน ประสพการณ์ของการใช้ Q-ring มาเกิน 1 ปี พอจะสรุปให้ฟังได้ดังนี้ครับ
ไม่จำเป็นต้องเช่ือในสิ่งที่ผมจะอธิบายดังต่อไปนี้ เพราะบางคนมีความสุขในการจะเลือกที่จะไม่เชื่อ
ถ้าไม่เชื่อแล้วมีความสุข ผมก็พร้อมจะมุทิตาให้เสมอ เพราะยินดีในสุขของผู้อื่น ย่อมเป็นเรื่องที่ดี
ต่อไปนี้เป็น ความคิดเห็นส่วนตัว อิงไสยเวทย์นิดๆ อิงวิทยาศาสตร์หน่อย อิงอัตตานิยมน้อยๆ อิงฮาเป็นหลัก
ใครจะได้ประโยชน์จาก Q-ring
ห้ามตอบว่าผู้ผลิต และผู้ขาย เด็ดขาด เพราะไม่เป็นคุณาประโยชน์ต่อสาระ
ก่อนที่จะอ่านต่อ โปรดพิจารณาตัวท่านดังต่อไปนี้
1. ถ้าท่านใส่รองเท้าผ้าใบ ใช้บันไดจักรยานแบบธรรมดา
* * * รสสัมผัสที่แตกต่างไปจากใบกลมธรรมดา ? --> ไม่แตกต่าง
* * * ประโยชน์ที่ได้เทียบเท่าใบจานกลมธรรมดา ? --> ไม่ควรลงทุน
2. ถ้าท่านเพิ่งใช้บันได clipless รู้จักประโยชน์ของclipless ที่เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ทำได้แค่ถีบ คือ ดึงได้ด้วย
* * * รสสัมผัสที่แตกต่างไปจากใบกลมธรรมดา ? --> ไม่แตกต่าง
* * * ประโยชน์ที่ได้เทียบกับใบจานกลมธรรมดา ?--> ไม่ควรลงทุน
3. ถ้าท่านเริ่มเข้าใจเรื่องการควงบันได้ รู้ว่า Cycling แตกต่างจาก Hammering หรือ push and pull อย่างไร
* * * รสสัมผัสที่แตกต่างไปจากใบกลมธรรมดา ? --> อาจจะบอกได้ หรือ ไม่ได้ ขึ้นกับ ความบอบบางแห่งสัมผัสประสาท
* * * ประโยชน์ที่ได้เทียบกับใบจานกลมธรรมดา ? --> อาจจะไม่แตกต่างหรือดีกว่าเพียงเล็กน้อย ไม่ควรลงทุน แต่ฝึกฝนต่อไป
4. ถ้าท่านเข้าใจเรืองการควงบันไดดีพอ เริ่มเสือกไสไล่ป้ายดีขึ้น แต่ยังต้องเตือนสติตัวเองอยู่เป็นระยะๆ
* * * รสสัมผัสที่แตกต่างไปจากใบกลมธรรมดา ? --> บอกได้ถึงความแตกต่างได้ โดยเฉพาะในยามที่มีสติ ที่คอยรำลึกถึงท่่วงท่าในการปั่น
* * * ประโยชน์ที่ได้เทียบกับใบจานกลมธรรมดา ? -->ประโยชน์ที่ได้ดีกว่าใบจานกลมธรรมดาพอสมควร ส่วนจะลงทุนหรือไม่ แล้วแต่ท่าน ก้ำกึ่งก้ำกลาง แล้วแต่กระเป๋า และกิเลสตัณหา
5. แต่ถ้าท่านควงบันไดเป็นวงกลมได้อย่างเป็นธรรมชาติ จนไม่ต้องมาคอยพิจารณาว่าซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอแล้ว ควงจน 100 RPM เป็นเรื่องปกติสามัญ รับรู้ถึงจังหวะการออกแรงได้ในทุกๆองศาที่เท้ากระทำกับลูกบันได
* * * รสสัมผัสที่แตกต่างไปจากใบกลมธรรมดา ? --> บอกถึงความแตกต่างได้อย่างมีนัยสำคัญ
* * * ประโยชน์ที่ได้เทียบกับใบจานกลมธรรมดา ? --> ประโยชน์ที่ได้จะมากกว่าใบจานกลมอย่างมีนัยสำคัญทางไสยศาสตร์ ดังคุณไสยด้านล่างทั้ง 4บทดังต่อไปนี้
คุณไสย บทที่ 1
คิดว่าเราสามารถเทรนให้กล้ามเนื้อทุกๆมัดที่เกี่ยวข้องกับการปั่นจักรยานแข็งแรงได้เท่าๆกันไหม ?
ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องมากมาย แต่สิ่งที่เป็นปัจจัยหลักๆ ได้แก่ หน้าตัดขวางของกล้ามเนื้อ และจำนวนเส้นใยกล้ามเนื้อ
ถ้าเราถามอับดุลว่า
" อับดุล ……. เราสามารถเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้ไหม ? "- -> แน่นอน อับดุลจะต้องตอบว่า
"ได้สินายจ๋า"
งั้นถามต่อ
"อับดุล ……. เราสามารถฝึกให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้นไปอย่างไม่รู้จบได้หรือไม่ ? "--> ผมเชื่อว่าอับดุลจะตอบว่า
" โอวววว นายจ๋าาาาา นายคาดหวังมากเกินไปหรือเปล่า "
อับดุลตอบไม่ผิดหรอกครับ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ก็มีขีดจำกัดอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว เมื่อเราฝึกกล้ามเนื้อไปจนถึงจุดหนึ่ง จนถึงจุดที่มันไม่สามารถออกแรงได้มากกว่านี้อีกแล้ว นั่นก็แปลว่า มันไปถึงขีดจำกัดของมัน
คำถามง่ายๆที่ใครๆก็ตอบได้ว่า ถ้าเราฝึกกล้ามเนื้อมัดใหญ่ กับ กล้ามเนื้อมัดเล็กไปพร้อมๆกัน เราคงจะไม่มีทางทำให้กล้ามเนื้อมัดเล็กแข็งแรงเท่ากล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้
บางคนก็อาจจะคิดแหวกแนวไปอีกว่า งั้นฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กอย่างเดียว แล้วไม่ต้องฝึกกล้ามเนื้อมัดใหญ่ไปด้วย
อืมมมม คิดได้ดี แต่คงจะไม่มีใครเขาทำกันอย่างแน่นอน เพราะกล่้ามเนื้อมัดใหญ่มีความแข็งแรงโดยชาติกำเนิดของมันอยู่แล้ว ฝีกกล้ามเนื้อมัดเล็กอย่างไรก็คงจะยากที่จะทำให้มันแข็งแรงเทียบเท่ากับกล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้ แล้วการฝึกก็คงจะไม่มีใคร ที่จะงดการฝึกกล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่างแน่นอน เพราะมันเป็นกล้ามเนื้อมัดหลัก มัดสำคัญ และสามารถออกแรงและรับภาระได้มากที่สุด , เชื่อได้เลยว่า ไม่ควรจะมีใครคิดจะทำอย่างแน่นอน
เรามาดูกันถึงเรื่องการปั่นจักรยานกันหน่อยไหม กล้ามเนื้อมัดหลัก มัดใหญ่ที่ใช้งานหลักๆในการถีบลูกบันไดให้วิ่งลงไปด้านล่าง หรือ พูดง่ายๆก็คือ การย่ำ จะประกอบด้วยกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ ได้แก่
1. กลุ่ม Quadriceps ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อหลัก 4มัดใหญ่ทางด้านหน้าขาของเรา เมื่อมันหดตัวพร้อมๆกัน มันก็จะทำให้เกิดแรงเหยียดปลายขาในลักษณะถีบออกไป
2. กลุ่มกล้ามเนื้อบริเวณก้น เมื่อมันหดตัว จะทำให้เกิดแรงเหยียดต้นขาออกไป
เมื่อกล้ามเนื้อ 2 กลุ่มนี้ทำงานแบบสามัคคีกัน เราก็จะเกิดแรงถีบได้อย่างมากมาย เห็นไหม เวลาเรากำลังจะหมดแรง แล้วเราลุกยืนย่ำบันไดขึ้นเขา เรี่ยวแรงมันก็เพิ่มพูนขึ้นมาได้ ก็ด้วยพละกำลังอันมหาศาลของกล้ามเนื้อเหล่านี้แล
ส่วนกล้ามเนื้อมัดหลักๆที่ทำหน้าที่ในการดึงลูกบันไดขึ้น ( เมื่อเราใช้บันไดคลิปเลส( clipless pedals ) มัดหลักๆก็คือ กล้ามเนื้อในกลุ่มหลังขาด้านบน หรือ ที่เรียกกันว่า กลุ่ม Hamstrings ซึ่งก็เป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่เช่นกัน
ดังนั้นหากพิจารณาถึงเรื่ยวแรงหลักๆที่ได้ในการดึงและดันนั้น จะเป็นภาระหลักๆของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ทั้งสิ้น
แต่การปั่นจักรยานในลักษณะที่เรียกว่า Cycling นั้น จะเป็นการออกแรงกระทำกับลูกบันไดในลักษณะปั่นวนให้เป็นวงกลม ซึ่งนั่นก็คือจะต้องมีแรงกระทำต่อลูกบันไดในทุกๆองศาของรอบการหมุน
การป้าย หรือ การดึงเท้ากลับมาด้านหลัง ( คล้ายกับเหยียบขี้หมา แล้วเราพยายามลากรองเท้าป้ายไปกับพื้นเพื่อเอาขี้หมาออกจากพื้นรองเท้านั่นแหละ )
การไส หรือ การดันเท้าวิ่งไปด้านหน้า ( คล้ายกับเหยียบขี้หมาเหมือนกัน แต่แทนที่จะลากรองเท้ากลับเข้ามา ก็เสือกไสรองเท้าไปข้างหน้า เพื่อจะเช็ดขี้หมาออกไปจากพื้นรองเท้าอีกเช่นกัน )
ทั้งการป้าย และ การไส นั้น จะเป็นการออกแรงเสริมต่อจากการถีบ และการดึง พูดง่ายๆว่า เมื่อเราปั่นจักรยาน ลูกบันไดด้านหนึ่งจะรับแรงกระทำในลักษณะ ถีบ ป้าย ดึง ไส ถึบ ป้าย ดึง ไส ……… วนไล่กันเป็นวัฏจักรเช่นนี้ไปเรื่อย
พอฝึกไปจนถึงขั้นแตกฉาน ถีบกับป้ายจะกลมเกลียวต่อเนื่อง ป้ายกับดึงก็จะกลมเกลียวต่อเนื่อง ดึงกับไสก็จะกลมเกลียวต่อเนื่อง ไสกับถีบก็จะกลมเกลียวกันต่อเนื่อง กลายเป็นการออกแรงที่ส่งต่อกันได้ทุกๆองศาของรอบการหมุนได้ในที่สุด
แต่!!! ทั้งการป้ายและการไสนั้น เป็นการออกแรงที่ได้มาจากกล้ามเนื้อขามัดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อส่วนบริเวณหน้าแข้ง กล้ามเนื้อน่อง รวมไปถึงกล้ามเนื้อบางส่วนของขาด้านบน แต่ก็ล้วนแล้วแต่เป็นกล้ามเนื้อมัดเล็ก หรือ มีพละกำลังที่อ่อนด้อยกว่ากล้ามเนื้อหลักๆที่ใช้ในการถีบและดึง แถมกระบวนท่าในการเสือกไส ป้ายถูนั้น ก็ไม่ใช่กระบวนท่าที่จะสามารถทำให้กล้ามเนื้อมัดเล็กๆนั้นสามารถออกแรงได้อย่างสะใจ การหดตัวของมันก็เป็นเพียงช่วงสั้นๆ
ดังนั้น รอบในการปั่นลูกบันได จึงเป็นการไล่แรงจากกลุ่มกล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก มัดใหญ่ มัดเล็ก วนเวียนกันจนครบวง
เยิ่นเย้อผ่านไป 1 บท
คุณไสย บทที่ 2
เมื่อการฝึกฝนผ่านไปจนถึงจุดที่ผู้ปั่นสามารถส่งแรงผ่านลูกบันไดเพื่อปั่นขาจานให้หมุนรอบแกนกระโหลกได้อย่างราบรื่น ราบเรียบ ไร้อาการสะดุดดั่งผ้าที่ทอไร้ตะเข็บ นั่นก็แปลว่า ณ เวลานั้น แรงที่กระทำต่อลูกบันไดในแต่ละองศาของรอบการหมุน ควรจะต้องเท่าๆกัน หรือ ใกล้เคียงกัน หรือ นวลเนียน ขา 2ข้างออกแรงเสริมกันได้อย่างลงตัว หมดจด
เป็นไปได้หรือ ที่แรงในแต่ละองศาของรอบการหมุน ที่เกิดจากกล้ามเนื้อมัดเล็กใหญ่ที่แตกต่างกัน มีพื้นฐานของความแข็งแรงที่แตกต่างกัน จะสามารถเกลี่ยแรงได้อย่างเท่าๆกันหรือใกล้เคียงกันได้
ก็ตอบได้ว่า "ทำได้ หรือ ทำได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่ต้องการ" ภายใต้เงื่อนไขดังนี้
1. กล้ามเนื้อทั้งมัดใหญ่และมัดเล็ก ยังออกแรงในระดับเบาๆ หรือ กลางๆ หรือ พูดง่ายๆว่า ออกแรงในระดับที่กล้ามเนื้อมัดเล็กสามารถออกแรงได้ และยังมีแรงอยู่ ( ยังไม่ล้า )
2. ผู้ปั่นผ่านการฝึกซ้อมมาจนเกิดความชำนาญ (ข้อนี้ไม่ต้องกล่าวถึงก็ได้ แต่เพราะมันมีข้อ 1 จึงต้องมีข้อ 2 ไง )
กล้ามเนื้อมัดเล็ก มัดใหญ่ ออกแรงในระดับที่ทำให้เกิดแรงกระทำกับลูกบันไดได้เท่าๆกัน หรือ ใกล้เคียงกัน ----> วงรอบการปั่นก็จะราบรื่น ราบเรียบ ไร้อาการสะดุดดั่งผ้าที่ทอไร้ตะเข็บ จะทำได้ดีและต่อเนื่องนั้น ก็ต่อเมื่อเรายังไม่ได้สั่งให้กล้ามเนื้อทุกมัด รีดแรงทั้งหมดออกมา
เพราะมันก็เหมือนกับเราเอารถยนต์ กับ รถจักรยาน มาวิ่งหน้ากระดานเรียง 1 ด้วยความเร็ว 30 กม.ต่อชม. สั่งให้วิ่งไปเรื่อยๆ ห้ามเร่งไปกว่านี้ เราก็จะเห็นว่าจักรยานก็วิ่งทันรถยนต์
แต่เมื่อเราสั่งให้ทั้งคู่ รีดแรงทั้งหมดเพื่อให้รถกระโจนไปด้านหน้า เมื่อนั้น รถยนต์ก็จะพุ่งทะยานล้ำหน้าจักรยานไปในทันที ต่อให้ป๋าฟาเบียงเป็นคนปั่นจักรยานคันนั้นก็ไม่มีทางที่จะทะยานขึ้นหน้ารถยนต์ที่เหยียบคันเร่งลงไปจนจมมิดได้
นั่นก็คือ เรากำลังสั่งให้กล้ามเนื้อทุกมัด ทั้งมัดเล็กและมัดใหญ่ รีดกำลังออกมาทั้งหมดเท่าที่มันจะมี ประเคนลงไปใส่ลูกบันไดในทุกรอบองศาของการหมุน โดยไม่ต้องกั๊กอีกต่อไป
ผ้านุ่มเนียนมือผืนนั้น ก็ชักจะเริ่มสัมผัสตะเข็บรอยต่อขึ้นมาได้ไม่ยาก
สงสัยไหมว่า เราควงบันไดด้วยรอบขา 100 รอบอยู่ดีๆ แล้วเกิดคึกสับเกียร์หนักขึ้นแล้วไล่รอบขา100รอบไปอีกทีละเกียร์ ทีละเกียร์ เราจะพบว่าจะถึงจุดหนึ่งที่เราไม่สามารถควงรอบขาขึ้นไปได้ถึง 100 รอบได้ แต่เราก็ยังสามารถถีบๆดึงๆรถไปได้อยู่อีก แถมความเร็วก็ไม่ได้ตกลงด้วยซ้ำไป ดูเหมือนจะเร็วขึ้นกว่าเกียร์ที่แล้วเสียอีก แต่ออกแรงหนักขึ้นกว่าเดิม แล้วก็ยังไม่สามารถควงรอบขาขึ้นไปได้อีกเท่าเดิม
เหตุผลหนึ่งก็คือ กล้ามเนื้อมัดเล็กที่เป็นตัวเสริมให้เกิดอาการไสและป้าย มันออกแรงตามกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่ใช้ถีบใช้ดึงไม่ไหว ทำให้วงรอบการหมุนในช่วงการไสและป้ายสะดุดไป ความเร็วรอบจึงสะดุดตามไปด้วย การจะลากขึ้นไปถึง 100รอบ จึงเป็นไปได้ยากขึ้นนั่นเอง
และยิ่งเมื่อเรายังเข่นกระชากลากถูมันอยู่ กล้ามเนื้อแรงน้อย ก็ย่อมจะหมดแรงไปก่อนกล้ามเนื้อแรงมาก , ดูเวลาแข่งทัวร์ช่วงก่อนจะเข้าเส้นสิครับ นักปั่นบางคน ท่วงท่าในการปั่นจะไม่เท่เหมือนกับตอนออกสตาร์ทเลย เพราะการล้าของกล้ามเนื้อที่ไม่เท่ากันในแต่ละมัด และแรงที่เหลืออยู่ที่มีสำรองในกล้ามเนื้อแต่ละมัดที่แตกต่างกัน จึงทำให้ลักษณะการออกแรงของพวกเขาดูผิดไปจากเดิม ( ก็รู้ๆกันนะ กล้ามเนื้อมัดที่แข็งแรงกว่า มันก็คือ The last man standing นั่นเอง )
หากเราพิจารณาจานกลมที่เรารู้จักกันดี จานกลมก็เปรียบได้กับคานงัดอันดับที่ 2 มีจุดหมุนอยู่ที่กระโหลก , มีจุดรับแรงกระทำจากเราที่แกนบันได , จุดส่งต่อแรงออกไปจะอยู่ที่ใบจานตรงตำแหน่งยอดเฟืองแรกที่สัมผัสกับโซ่ด้านบน ( แนวเส้นตั้งฉากบริเวณที่โซ่แรกสัมผัสกับจาน ไปยัง แกนกระโหลก , หรือ จุดที่เป็นตำแหน่งในการลากโซ่ ) อัตราส่วนของการผ่อนแรงจะมีค่าคงที่ เท่ากับ ความยาวขาจาน หาร แนวเส้นตั้งฉากบริเวณที่โซ่แรกสัมผัสกับจาน ไปยัง แกนกระโหลก หรือ รัศมีของใบจานนั่นเอง
ดังนั้นไม่ว่าขาจานจะหมุนไปอยู่ที่องศาใดของรอบการหมุน อัตราส่วนของการผ่อนแรงก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง
คุณไสย บทที่ 3
Put the right man on the right job เลือกคนที่เหมาะสมกับงาน
"เมื่อใช้จานกลม เราจะพบว่ากล้ามเนื้อมัดใหญ่จะออกแรงนิดเดียว แต่กล้ามเนื้อมัดเล็กกลับต้องออกแรงมาก ( น้อย หรือ มาก เป็น การสัมพัทธ์ กับ ขีดความสามารถสูงสุดในการออกแรงของกล้ามเนื้อมัดนั้นๆ ) แล้วทำไมเราไม่ออกแบบใบจานที่เปลี่ยนแปลงรัศมีไปตามรอบองศาของการหมุน เพื่อเปลี่ยนอัตราผ่อนแรงให้เหมาะสมกับกล้ามเนื้อที่แข็งแรงแตกต่างกันหละ " <--------- ผมว่านี่คือ สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวคิดของคนที่เริ่มพัฒนาใบจานเบี้ยว เพราะเท่าที่ผมจำได้ว่า ผู้ที่คิดพัฒนาใบเบี้ยวนี้ ตะแกต้องปั่นจักรยานขึ้นลงทางชันอยู่เป็นประจำ
เมื่อเราเอาจานเบี้ยวขนาด 50T มาวางเทียบกับจานกลม 50T ด้วยกัน จะพบว่า รัศมีที่มากที่สุดของจานเบี้ยวจะมีค่ามากกว่ารัศมีของจานกลม และรัศมีที่น้อยที่สุดของจานเบี้ยวก็ยังมีค่าน้อยกว่ารัศมีของจานกลมอีกเช่นกัน
ถ้าออกแบบการวางจานเบี้ยว ให้จานเบี้ยวมีรัศมีมากที่สุดในช่วงที่กำลังใช้กล้ามเนื้อมัดหลักในการถีบและดึง และให้จานเบี้ยวมีรัศมีน้อยที่สุดในช่วงที่กำลังใช้กล้ามเนื้อมัดเสริมในการไสและป้าย
ผลที่ได้ก็คือ กล้ามเนื้อมัดใหญ่สามารถออกแรงได้มากขึ้น และกล้ามเนื้อมัดเสริมออกแรงลดลง ซึ่งหากคิดสัมพัทธ์กับขีดความสามารถสูงสุดในการออกแรงของกล้ามเนื้อแต่ละมัดแล้ว --- > การออกแบบในลักษณะนี้ก็อาจจะทำให้กล้ามเนื้อทั้งหมด ออกแรงในเปอร์เซนต์ของความสัมพัทธ์ได้ใกล้เคียงกันมากขึ้นกว่าจานกลม
คุณไสย บทที่ 4
โอม มะลึกกึกกึ๋ย ข้าไม่สนใจหรอก เพราะข้าจะฝึกให้กล้ามเนื้อมัดเสริมของข้าแข็งแรงขึ้นมากกว่านี้อีกให้จนได้ เพราะขืนข้าฝึกด้วยจานเบี้ยวแล้ว กล้ามเนื้อมัดเสริมของข้าจะไม่พัฒนาขึ้นอีก
ด้วยภายใต้รูปลักษณ์แห่งนรชาติ ท่านไม่มีทางที่จะฝึกให้กล้ามเนื้อมัดเสริมของท่าน ให้มีความแข็งแกร่งขึ้นไปเทียบเท่ากับกล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้หรอก
ถึงแม้ว่าท่านจะสามารถฝึกใช้แขนให้เดินต่างขาได้ แต่ท่านจะไม่มีทางเลยที่จะกระโดดด้วยแขน ให้สูงได้ทัดเทียมกับการกระโดดด้วยขา
เฉกเช่นเดียวกัน ฉันใดฉันนั้น แต่มิใช่ฉันและเธอ
ในอีกมุมที่มองได้แตกต่างกันออกไปนั้น การฝึกด้วยจานเบี้ยว กลับทำให้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ และมัดเสริม พัฒนาความแข็งแรงขึ้นไปเทียบคู่เคียงกันในลักษณะของการออกแรงในลักษณะสัมพัทธ์กับขีดจำกัดสูงสุดของมันเอง และภายใต้สภาวะที่หนักหนาสาหัสขึ้นกว่าเดิม กล้ามเนื้อทั้งสองกลุ่มก็จะยังถูกรีดความสามารถออกมาได้อย่างกลมกลืน ไม่สะดุดให้เห็น และในมุมมองแบบจานเบี้ยวนั้น กล้ามเนื้อมัดหลักจะได้รับการพัฒนามากกว่าการใช้จานกลมเสียด้วยซ้ำไป
ดังconcept ของการเลือกคนที่เหมาะสมกับงาน
เมื่อมองอีกมุมหนี่ง หากต้องการจะเน้นพัฒนากล้ามเนื้อมัดเสริมขึ้นไปอีก แล้วถ่วงกล้ามเนื้อมัดใหญ่ให้พัฒนาช้าลง ด้วยการใส่ใบจานกลมกลับคืนไป ดังที่ซือเฮียแมวทองกล่าวไว้ในเบื้องต้นนั้น เมื่อฝึกไปสักพัก แล้วกลับมาใช้จานเบี้ยว ก็ย่อมจะทำให้สามารถสัมผัสความแตกต่างอันเกิดจากความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของกล้ามเนื้อมัดเสริมที่เพิ่มขึ้นมาอีกได้อย่างแน่นอน
แต่ตราบใดที่ยังอยู่ภายใต้แห่งรูปลักษณ์นรชาติ มนุษย์จึงยังมีข้อจำกัดของความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อภายใต้เงื่อนไขของพื้นที่หน้าตัดและจำนวนเส้นใยกล้ามเนื้ออยู่ดังเดิม
จึงย่อมไม่สามารถทำให้กล้ามเนื้อมัดเสริมทั้งหลายที่มีเพียงไม่กี่มัด ให้มามีความแข็งแรงเทีียบเท่ากล้ามเนื้อมัดหลัก อันเป็นมัดใหญ่ๆหลายๆมัดได้อย่างแน่นอน
และย่อมไม่มีทางที่กล้ามเนื้อมัดหลักๆจะหมดแรงสิ้นสภาพไปก่อนกล้ามเนื้อเสริมเพียงไม่กี่มัดอย่างแน่นอน
ใบจานเบี้ยวจึงจะยังประโยชน์ให้แก่เฉพาะผู้ที่รู้จักการใช้กล้ามเนื้อมัดเสริมเท่านั้น หากรู้จักเฉพาะกล้ามเนื้อมัดใหญ่ก็จงอย่าสุ่มเสี่ยงทดลองด้วยตนเองเลย เกรงว่าจักต้องขายมันเข้าสู่ตลาดมือสองอย่างแน่นอน
โดนคุณไสยไปแล้ว 4บท หากจะแก้คุณไสยนี้ ก็จงรีบนำเงินที่มีทั้งหมดไปส่งให้ภรรยาเก็บรักษาไว้โดยดี ส่วนผู้ที่ยังมิมีภรรยา หรือเป็นใหญ่เหนือภริยา(อันยากจะพึงพบในหมู่บุรุษที่มิอยากทะเลาะกับนารี) ให้พึงเอาเงินดังกล่าวไปซื้อกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ(RMF)เสียเถิด อย่างน้อยก็ผ่อนเบาภาระภาษีของท่าน แถมยังถอนออกมาไม่ได้จนกว่าจะอายุ 55ปี
อย่าลืม ถ้าท่านยังควงบันไดไม่เป็นที่แจ้งประจักษ์ ตราบนั้นจานเบี้ยวก็จะยังมิแจ้งประโยชน์อันใดให้แก่ท่านเลย
งัดเอาข้อความเก่าในกระทู้เก่ามาให้อ่านกันอีกทีก็แล้วกัน ประสพการณ์ของการใช้ Q-ring มาเกิน 1 ปี พอจะสรุปให้ฟังได้ดังนี้ครับ
ไม่จำเป็นต้องเช่ือในสิ่งที่ผมจะอธิบายดังต่อไปนี้ เพราะบางคนมีความสุขในการจะเลือกที่จะไม่เชื่อ
ถ้าไม่เชื่อแล้วมีความสุข ผมก็พร้อมจะมุทิตาให้เสมอ เพราะยินดีในสุขของผู้อื่น ย่อมเป็นเรื่องที่ดี
ต่อไปนี้เป็น ความคิดเห็นส่วนตัว อิงไสยเวทย์นิดๆ อิงวิทยาศาสตร์หน่อย อิงอัตตานิยมน้อยๆ อิงฮาเป็นหลัก
ใครจะได้ประโยชน์จาก Q-ring
ห้ามตอบว่าผู้ผลิต และผู้ขาย เด็ดขาด เพราะไม่เป็นคุณาประโยชน์ต่อสาระ
ก่อนที่จะอ่านต่อ โปรดพิจารณาตัวท่านดังต่อไปนี้
1. ถ้าท่านใส่รองเท้าผ้าใบ ใช้บันไดจักรยานแบบธรรมดา
* * * รสสัมผัสที่แตกต่างไปจากใบกลมธรรมดา ? --> ไม่แตกต่าง
* * * ประโยชน์ที่ได้เทียบเท่าใบจานกลมธรรมดา ? --> ไม่ควรลงทุน
2. ถ้าท่านเพิ่งใช้บันได clipless รู้จักประโยชน์ของclipless ที่เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ทำได้แค่ถีบ คือ ดึงได้ด้วย
* * * รสสัมผัสที่แตกต่างไปจากใบกลมธรรมดา ? --> ไม่แตกต่าง
* * * ประโยชน์ที่ได้เทียบกับใบจานกลมธรรมดา ?--> ไม่ควรลงทุน
3. ถ้าท่านเริ่มเข้าใจเรื่องการควงบันได้ รู้ว่า Cycling แตกต่างจาก Hammering หรือ push and pull อย่างไร
* * * รสสัมผัสที่แตกต่างไปจากใบกลมธรรมดา ? --> อาจจะบอกได้ หรือ ไม่ได้ ขึ้นกับ ความบอบบางแห่งสัมผัสประสาท
* * * ประโยชน์ที่ได้เทียบกับใบจานกลมธรรมดา ? --> อาจจะไม่แตกต่างหรือดีกว่าเพียงเล็กน้อย ไม่ควรลงทุน แต่ฝึกฝนต่อไป
4. ถ้าท่านเข้าใจเรืองการควงบันไดดีพอ เริ่มเสือกไสไล่ป้ายดีขึ้น แต่ยังต้องเตือนสติตัวเองอยู่เป็นระยะๆ
* * * รสสัมผัสที่แตกต่างไปจากใบกลมธรรมดา ? --> บอกได้ถึงความแตกต่างได้ โดยเฉพาะในยามที่มีสติ ที่คอยรำลึกถึงท่่วงท่าในการปั่น
* * * ประโยชน์ที่ได้เทียบกับใบจานกลมธรรมดา ? -->ประโยชน์ที่ได้ดีกว่าใบจานกลมธรรมดาพอสมควร ส่วนจะลงทุนหรือไม่ แล้วแต่ท่าน ก้ำกึ่งก้ำกลาง แล้วแต่กระเป๋า และกิเลสตัณหา
5. แต่ถ้าท่านควงบันไดเป็นวงกลมได้อย่างเป็นธรรมชาติ จนไม่ต้องมาคอยพิจารณาว่าซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอแล้ว ควงจน 100 RPM เป็นเรื่องปกติสามัญ รับรู้ถึงจังหวะการออกแรงได้ในทุกๆองศาที่เท้ากระทำกับลูกบันได
* * * รสสัมผัสที่แตกต่างไปจากใบกลมธรรมดา ? --> บอกถึงความแตกต่างได้อย่างมีนัยสำคัญ
* * * ประโยชน์ที่ได้เทียบกับใบจานกลมธรรมดา ? --> ประโยชน์ที่ได้จะมากกว่าใบจานกลมอย่างมีนัยสำคัญทางไสยศาสตร์ ดังคุณไสยด้านล่างทั้ง 4บทดังต่อไปนี้
คุณไสย บทที่ 1
คิดว่าเราสามารถเทรนให้กล้ามเนื้อทุกๆมัดที่เกี่ยวข้องกับการปั่นจักรยานแข็งแรงได้เท่าๆกันไหม ?
ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องมากมาย แต่สิ่งที่เป็นปัจจัยหลักๆ ได้แก่ หน้าตัดขวางของกล้ามเนื้อ และจำนวนเส้นใยกล้ามเนื้อ
ถ้าเราถามอับดุลว่า
" อับดุล ……. เราสามารถเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้ไหม ? "- -> แน่นอน อับดุลจะต้องตอบว่า
"ได้สินายจ๋า"
งั้นถามต่อ
"อับดุล ……. เราสามารถฝึกให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้นไปอย่างไม่รู้จบได้หรือไม่ ? "--> ผมเชื่อว่าอับดุลจะตอบว่า
" โอวววว นายจ๋าาาาา นายคาดหวังมากเกินไปหรือเปล่า "
อับดุลตอบไม่ผิดหรอกครับ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ก็มีขีดจำกัดอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว เมื่อเราฝึกกล้ามเนื้อไปจนถึงจุดหนึ่ง จนถึงจุดที่มันไม่สามารถออกแรงได้มากกว่านี้อีกแล้ว นั่นก็แปลว่า มันไปถึงขีดจำกัดของมัน
คำถามง่ายๆที่ใครๆก็ตอบได้ว่า ถ้าเราฝึกกล้ามเนื้อมัดใหญ่ กับ กล้ามเนื้อมัดเล็กไปพร้อมๆกัน เราคงจะไม่มีทางทำให้กล้ามเนื้อมัดเล็กแข็งแรงเท่ากล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้
บางคนก็อาจจะคิดแหวกแนวไปอีกว่า งั้นฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กอย่างเดียว แล้วไม่ต้องฝึกกล้ามเนื้อมัดใหญ่ไปด้วย
อืมมมม คิดได้ดี แต่คงจะไม่มีใครเขาทำกันอย่างแน่นอน เพราะกล่้ามเนื้อมัดใหญ่มีความแข็งแรงโดยชาติกำเนิดของมันอยู่แล้ว ฝีกกล้ามเนื้อมัดเล็กอย่างไรก็คงจะยากที่จะทำให้มันแข็งแรงเทียบเท่ากับกล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้ แล้วการฝึกก็คงจะไม่มีใคร ที่จะงดการฝึกกล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่างแน่นอน เพราะมันเป็นกล้ามเนื้อมัดหลัก มัดสำคัญ และสามารถออกแรงและรับภาระได้มากที่สุด , เชื่อได้เลยว่า ไม่ควรจะมีใครคิดจะทำอย่างแน่นอน
เรามาดูกันถึงเรื่องการปั่นจักรยานกันหน่อยไหม กล้ามเนื้อมัดหลัก มัดใหญ่ที่ใช้งานหลักๆในการถีบลูกบันไดให้วิ่งลงไปด้านล่าง หรือ พูดง่ายๆก็คือ การย่ำ จะประกอบด้วยกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ ได้แก่
1. กลุ่ม Quadriceps ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อหลัก 4มัดใหญ่ทางด้านหน้าขาของเรา เมื่อมันหดตัวพร้อมๆกัน มันก็จะทำให้เกิดแรงเหยียดปลายขาในลักษณะถีบออกไป
2. กลุ่มกล้ามเนื้อบริเวณก้น เมื่อมันหดตัว จะทำให้เกิดแรงเหยียดต้นขาออกไป
เมื่อกล้ามเนื้อ 2 กลุ่มนี้ทำงานแบบสามัคคีกัน เราก็จะเกิดแรงถีบได้อย่างมากมาย เห็นไหม เวลาเรากำลังจะหมดแรง แล้วเราลุกยืนย่ำบันไดขึ้นเขา เรี่ยวแรงมันก็เพิ่มพูนขึ้นมาได้ ก็ด้วยพละกำลังอันมหาศาลของกล้ามเนื้อเหล่านี้แล
ส่วนกล้ามเนื้อมัดหลักๆที่ทำหน้าที่ในการดึงลูกบันไดขึ้น ( เมื่อเราใช้บันไดคลิปเลส( clipless pedals ) มัดหลักๆก็คือ กล้ามเนื้อในกลุ่มหลังขาด้านบน หรือ ที่เรียกกันว่า กลุ่ม Hamstrings ซึ่งก็เป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่เช่นกัน
ดังนั้นหากพิจารณาถึงเรื่ยวแรงหลักๆที่ได้ในการดึงและดันนั้น จะเป็นภาระหลักๆของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ทั้งสิ้น
แต่การปั่นจักรยานในลักษณะที่เรียกว่า Cycling นั้น จะเป็นการออกแรงกระทำกับลูกบันไดในลักษณะปั่นวนให้เป็นวงกลม ซึ่งนั่นก็คือจะต้องมีแรงกระทำต่อลูกบันไดในทุกๆองศาของรอบการหมุน
การป้าย หรือ การดึงเท้ากลับมาด้านหลัง ( คล้ายกับเหยียบขี้หมา แล้วเราพยายามลากรองเท้าป้ายไปกับพื้นเพื่อเอาขี้หมาออกจากพื้นรองเท้านั่นแหละ )
การไส หรือ การดันเท้าวิ่งไปด้านหน้า ( คล้ายกับเหยียบขี้หมาเหมือนกัน แต่แทนที่จะลากรองเท้ากลับเข้ามา ก็เสือกไสรองเท้าไปข้างหน้า เพื่อจะเช็ดขี้หมาออกไปจากพื้นรองเท้าอีกเช่นกัน )
ทั้งการป้าย และ การไส นั้น จะเป็นการออกแรงเสริมต่อจากการถีบ และการดึง พูดง่ายๆว่า เมื่อเราปั่นจักรยาน ลูกบันไดด้านหนึ่งจะรับแรงกระทำในลักษณะ ถีบ ป้าย ดึง ไส ถึบ ป้าย ดึง ไส ……… วนไล่กันเป็นวัฏจักรเช่นนี้ไปเรื่อย
พอฝึกไปจนถึงขั้นแตกฉาน ถีบกับป้ายจะกลมเกลียวต่อเนื่อง ป้ายกับดึงก็จะกลมเกลียวต่อเนื่อง ดึงกับไสก็จะกลมเกลียวต่อเนื่อง ไสกับถีบก็จะกลมเกลียวกันต่อเนื่อง กลายเป็นการออกแรงที่ส่งต่อกันได้ทุกๆองศาของรอบการหมุนได้ในที่สุด
แต่!!! ทั้งการป้ายและการไสนั้น เป็นการออกแรงที่ได้มาจากกล้ามเนื้อขามัดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อส่วนบริเวณหน้าแข้ง กล้ามเนื้อน่อง รวมไปถึงกล้ามเนื้อบางส่วนของขาด้านบน แต่ก็ล้วนแล้วแต่เป็นกล้ามเนื้อมัดเล็ก หรือ มีพละกำลังที่อ่อนด้อยกว่ากล้ามเนื้อหลักๆที่ใช้ในการถีบและดึง แถมกระบวนท่าในการเสือกไส ป้ายถูนั้น ก็ไม่ใช่กระบวนท่าที่จะสามารถทำให้กล้ามเนื้อมัดเล็กๆนั้นสามารถออกแรงได้อย่างสะใจ การหดตัวของมันก็เป็นเพียงช่วงสั้นๆ
ดังนั้น รอบในการปั่นลูกบันได จึงเป็นการไล่แรงจากกลุ่มกล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก มัดใหญ่ มัดเล็ก วนเวียนกันจนครบวง
เยิ่นเย้อผ่านไป 1 บท
คุณไสย บทที่ 2
เมื่อการฝึกฝนผ่านไปจนถึงจุดที่ผู้ปั่นสามารถส่งแรงผ่านลูกบันไดเพื่อปั่นขาจานให้หมุนรอบแกนกระโหลกได้อย่างราบรื่น ราบเรียบ ไร้อาการสะดุดดั่งผ้าที่ทอไร้ตะเข็บ นั่นก็แปลว่า ณ เวลานั้น แรงที่กระทำต่อลูกบันไดในแต่ละองศาของรอบการหมุน ควรจะต้องเท่าๆกัน หรือ ใกล้เคียงกัน หรือ นวลเนียน ขา 2ข้างออกแรงเสริมกันได้อย่างลงตัว หมดจด
เป็นไปได้หรือ ที่แรงในแต่ละองศาของรอบการหมุน ที่เกิดจากกล้ามเนื้อมัดเล็กใหญ่ที่แตกต่างกัน มีพื้นฐานของความแข็งแรงที่แตกต่างกัน จะสามารถเกลี่ยแรงได้อย่างเท่าๆกันหรือใกล้เคียงกันได้
ก็ตอบได้ว่า "ทำได้ หรือ ทำได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่ต้องการ" ภายใต้เงื่อนไขดังนี้
1. กล้ามเนื้อทั้งมัดใหญ่และมัดเล็ก ยังออกแรงในระดับเบาๆ หรือ กลางๆ หรือ พูดง่ายๆว่า ออกแรงในระดับที่กล้ามเนื้อมัดเล็กสามารถออกแรงได้ และยังมีแรงอยู่ ( ยังไม่ล้า )
2. ผู้ปั่นผ่านการฝึกซ้อมมาจนเกิดความชำนาญ (ข้อนี้ไม่ต้องกล่าวถึงก็ได้ แต่เพราะมันมีข้อ 1 จึงต้องมีข้อ 2 ไง )
กล้ามเนื้อมัดเล็ก มัดใหญ่ ออกแรงในระดับที่ทำให้เกิดแรงกระทำกับลูกบันไดได้เท่าๆกัน หรือ ใกล้เคียงกัน ----> วงรอบการปั่นก็จะราบรื่น ราบเรียบ ไร้อาการสะดุดดั่งผ้าที่ทอไร้ตะเข็บ จะทำได้ดีและต่อเนื่องนั้น ก็ต่อเมื่อเรายังไม่ได้สั่งให้กล้ามเนื้อทุกมัด รีดแรงทั้งหมดออกมา
เพราะมันก็เหมือนกับเราเอารถยนต์ กับ รถจักรยาน มาวิ่งหน้ากระดานเรียง 1 ด้วยความเร็ว 30 กม.ต่อชม. สั่งให้วิ่งไปเรื่อยๆ ห้ามเร่งไปกว่านี้ เราก็จะเห็นว่าจักรยานก็วิ่งทันรถยนต์
แต่เมื่อเราสั่งให้ทั้งคู่ รีดแรงทั้งหมดเพื่อให้รถกระโจนไปด้านหน้า เมื่อนั้น รถยนต์ก็จะพุ่งทะยานล้ำหน้าจักรยานไปในทันที ต่อให้ป๋าฟาเบียงเป็นคนปั่นจักรยานคันนั้นก็ไม่มีทางที่จะทะยานขึ้นหน้ารถยนต์ที่เหยียบคันเร่งลงไปจนจมมิดได้
นั่นก็คือ เรากำลังสั่งให้กล้ามเนื้อทุกมัด ทั้งมัดเล็กและมัดใหญ่ รีดกำลังออกมาทั้งหมดเท่าที่มันจะมี ประเคนลงไปใส่ลูกบันไดในทุกรอบองศาของการหมุน โดยไม่ต้องกั๊กอีกต่อไป
ผ้านุ่มเนียนมือผืนนั้น ก็ชักจะเริ่มสัมผัสตะเข็บรอยต่อขึ้นมาได้ไม่ยาก
สงสัยไหมว่า เราควงบันไดด้วยรอบขา 100 รอบอยู่ดีๆ แล้วเกิดคึกสับเกียร์หนักขึ้นแล้วไล่รอบขา100รอบไปอีกทีละเกียร์ ทีละเกียร์ เราจะพบว่าจะถึงจุดหนึ่งที่เราไม่สามารถควงรอบขาขึ้นไปได้ถึง 100 รอบได้ แต่เราก็ยังสามารถถีบๆดึงๆรถไปได้อยู่อีก แถมความเร็วก็ไม่ได้ตกลงด้วยซ้ำไป ดูเหมือนจะเร็วขึ้นกว่าเกียร์ที่แล้วเสียอีก แต่ออกแรงหนักขึ้นกว่าเดิม แล้วก็ยังไม่สามารถควงรอบขาขึ้นไปได้อีกเท่าเดิม
เหตุผลหนึ่งก็คือ กล้ามเนื้อมัดเล็กที่เป็นตัวเสริมให้เกิดอาการไสและป้าย มันออกแรงตามกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่ใช้ถีบใช้ดึงไม่ไหว ทำให้วงรอบการหมุนในช่วงการไสและป้ายสะดุดไป ความเร็วรอบจึงสะดุดตามไปด้วย การจะลากขึ้นไปถึง 100รอบ จึงเป็นไปได้ยากขึ้นนั่นเอง
และยิ่งเมื่อเรายังเข่นกระชากลากถูมันอยู่ กล้ามเนื้อแรงน้อย ก็ย่อมจะหมดแรงไปก่อนกล้ามเนื้อแรงมาก , ดูเวลาแข่งทัวร์ช่วงก่อนจะเข้าเส้นสิครับ นักปั่นบางคน ท่วงท่าในการปั่นจะไม่เท่เหมือนกับตอนออกสตาร์ทเลย เพราะการล้าของกล้ามเนื้อที่ไม่เท่ากันในแต่ละมัด และแรงที่เหลืออยู่ที่มีสำรองในกล้ามเนื้อแต่ละมัดที่แตกต่างกัน จึงทำให้ลักษณะการออกแรงของพวกเขาดูผิดไปจากเดิม ( ก็รู้ๆกันนะ กล้ามเนื้อมัดที่แข็งแรงกว่า มันก็คือ The last man standing นั่นเอง )
หากเราพิจารณาจานกลมที่เรารู้จักกันดี จานกลมก็เปรียบได้กับคานงัดอันดับที่ 2 มีจุดหมุนอยู่ที่กระโหลก , มีจุดรับแรงกระทำจากเราที่แกนบันได , จุดส่งต่อแรงออกไปจะอยู่ที่ใบจานตรงตำแหน่งยอดเฟืองแรกที่สัมผัสกับโซ่ด้านบน ( แนวเส้นตั้งฉากบริเวณที่โซ่แรกสัมผัสกับจาน ไปยัง แกนกระโหลก , หรือ จุดที่เป็นตำแหน่งในการลากโซ่ ) อัตราส่วนของการผ่อนแรงจะมีค่าคงที่ เท่ากับ ความยาวขาจาน หาร แนวเส้นตั้งฉากบริเวณที่โซ่แรกสัมผัสกับจาน ไปยัง แกนกระโหลก หรือ รัศมีของใบจานนั่นเอง
ดังนั้นไม่ว่าขาจานจะหมุนไปอยู่ที่องศาใดของรอบการหมุน อัตราส่วนของการผ่อนแรงก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง
คุณไสย บทที่ 3
Put the right man on the right job เลือกคนที่เหมาะสมกับงาน
"เมื่อใช้จานกลม เราจะพบว่ากล้ามเนื้อมัดใหญ่จะออกแรงนิดเดียว แต่กล้ามเนื้อมัดเล็กกลับต้องออกแรงมาก ( น้อย หรือ มาก เป็น การสัมพัทธ์ กับ ขีดความสามารถสูงสุดในการออกแรงของกล้ามเนื้อมัดนั้นๆ ) แล้วทำไมเราไม่ออกแบบใบจานที่เปลี่ยนแปลงรัศมีไปตามรอบองศาของการหมุน เพื่อเปลี่ยนอัตราผ่อนแรงให้เหมาะสมกับกล้ามเนื้อที่แข็งแรงแตกต่างกันหละ " <--------- ผมว่านี่คือ สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวคิดของคนที่เริ่มพัฒนาใบจานเบี้ยว เพราะเท่าที่ผมจำได้ว่า ผู้ที่คิดพัฒนาใบเบี้ยวนี้ ตะแกต้องปั่นจักรยานขึ้นลงทางชันอยู่เป็นประจำ
เมื่อเราเอาจานเบี้ยวขนาด 50T มาวางเทียบกับจานกลม 50T ด้วยกัน จะพบว่า รัศมีที่มากที่สุดของจานเบี้ยวจะมีค่ามากกว่ารัศมีของจานกลม และรัศมีที่น้อยที่สุดของจานเบี้ยวก็ยังมีค่าน้อยกว่ารัศมีของจานกลมอีกเช่นกัน
ถ้าออกแบบการวางจานเบี้ยว ให้จานเบี้ยวมีรัศมีมากที่สุดในช่วงที่กำลังใช้กล้ามเนื้อมัดหลักในการถีบและดึง และให้จานเบี้ยวมีรัศมีน้อยที่สุดในช่วงที่กำลังใช้กล้ามเนื้อมัดเสริมในการไสและป้าย
ผลที่ได้ก็คือ กล้ามเนื้อมัดใหญ่สามารถออกแรงได้มากขึ้น และกล้ามเนื้อมัดเสริมออกแรงลดลง ซึ่งหากคิดสัมพัทธ์กับขีดความสามารถสูงสุดในการออกแรงของกล้ามเนื้อแต่ละมัดแล้ว --- > การออกแบบในลักษณะนี้ก็อาจจะทำให้กล้ามเนื้อทั้งหมด ออกแรงในเปอร์เซนต์ของความสัมพัทธ์ได้ใกล้เคียงกันมากขึ้นกว่าจานกลม
คุณไสย บทที่ 4
โอม มะลึกกึกกึ๋ย ข้าไม่สนใจหรอก เพราะข้าจะฝึกให้กล้ามเนื้อมัดเสริมของข้าแข็งแรงขึ้นมากกว่านี้อีกให้จนได้ เพราะขืนข้าฝึกด้วยจานเบี้ยวแล้ว กล้ามเนื้อมัดเสริมของข้าจะไม่พัฒนาขึ้นอีก
ด้วยภายใต้รูปลักษณ์แห่งนรชาติ ท่านไม่มีทางที่จะฝึกให้กล้ามเนื้อมัดเสริมของท่าน ให้มีความแข็งแกร่งขึ้นไปเทียบเท่ากับกล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้หรอก
ถึงแม้ว่าท่านจะสามารถฝึกใช้แขนให้เดินต่างขาได้ แต่ท่านจะไม่มีทางเลยที่จะกระโดดด้วยแขน ให้สูงได้ทัดเทียมกับการกระโดดด้วยขา
เฉกเช่นเดียวกัน ฉันใดฉันนั้น แต่มิใช่ฉันและเธอ
ในอีกมุมที่มองได้แตกต่างกันออกไปนั้น การฝึกด้วยจานเบี้ยว กลับทำให้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ และมัดเสริม พัฒนาความแข็งแรงขึ้นไปเทียบคู่เคียงกันในลักษณะของการออกแรงในลักษณะสัมพัทธ์กับขีดจำกัดสูงสุดของมันเอง และภายใต้สภาวะที่หนักหนาสาหัสขึ้นกว่าเดิม กล้ามเนื้อทั้งสองกลุ่มก็จะยังถูกรีดความสามารถออกมาได้อย่างกลมกลืน ไม่สะดุดให้เห็น และในมุมมองแบบจานเบี้ยวนั้น กล้ามเนื้อมัดหลักจะได้รับการพัฒนามากกว่าการใช้จานกลมเสียด้วยซ้ำไป
ดังconcept ของการเลือกคนที่เหมาะสมกับงาน
เมื่อมองอีกมุมหนี่ง หากต้องการจะเน้นพัฒนากล้ามเนื้อมัดเสริมขึ้นไปอีก แล้วถ่วงกล้ามเนื้อมัดใหญ่ให้พัฒนาช้าลง ด้วยการใส่ใบจานกลมกลับคืนไป ดังที่ซือเฮียแมวทองกล่าวไว้ในเบื้องต้นนั้น เมื่อฝึกไปสักพัก แล้วกลับมาใช้จานเบี้ยว ก็ย่อมจะทำให้สามารถสัมผัสความแตกต่างอันเกิดจากความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของกล้ามเนื้อมัดเสริมที่เพิ่มขึ้นมาอีกได้อย่างแน่นอน
แต่ตราบใดที่ยังอยู่ภายใต้แห่งรูปลักษณ์นรชาติ มนุษย์จึงยังมีข้อจำกัดของความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อภายใต้เงื่อนไขของพื้นที่หน้าตัดและจำนวนเส้นใยกล้ามเนื้ออยู่ดังเดิม
จึงย่อมไม่สามารถทำให้กล้ามเนื้อมัดเสริมทั้งหลายที่มีเพียงไม่กี่มัด ให้มามีความแข็งแรงเทีียบเท่ากล้ามเนื้อมัดหลัก อันเป็นมัดใหญ่ๆหลายๆมัดได้อย่างแน่นอน
และย่อมไม่มีทางที่กล้ามเนื้อมัดหลักๆจะหมดแรงสิ้นสภาพไปก่อนกล้ามเนื้อเสริมเพียงไม่กี่มัดอย่างแน่นอน
ใบจานเบี้ยวจึงจะยังประโยชน์ให้แก่เฉพาะผู้ที่รู้จักการใช้กล้ามเนื้อมัดเสริมเท่านั้น หากรู้จักเฉพาะกล้ามเนื้อมัดใหญ่ก็จงอย่าสุ่มเสี่ยงทดลองด้วยตนเองเลย เกรงว่าจักต้องขายมันเข้าสู่ตลาดมือสองอย่างแน่นอน
โดนคุณไสยไปแล้ว 4บท หากจะแก้คุณไสยนี้ ก็จงรีบนำเงินที่มีทั้งหมดไปส่งให้ภรรยาเก็บรักษาไว้โดยดี ส่วนผู้ที่ยังมิมีภรรยา หรือเป็นใหญ่เหนือภริยา(อันยากจะพึงพบในหมู่บุรุษที่มิอยากทะเลาะกับนารี) ให้พึงเอาเงินดังกล่าวไปซื้อกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ(RMF)เสียเถิด อย่างน้อยก็ผ่อนเบาภาระภาษีของท่าน แถมยังถอนออกมาไม่ได้จนกว่าจะอายุ 55ปี
อย่าลืม ถ้าท่านยังควงบันไดไม่เป็นที่แจ้งประจักษ์ ตราบนั้นจานเบี้ยวก็จะยังมิแจ้งประโยชน์อันใดให้แก่ท่านเลย
ถ้าอ่อนซ้อม อ่อนทักษะ ก็จะพบว่าจักรยานคันไหนๆก็ไม่แตกต่างกันหรอก เพราะปั่นไม่ไปเหมือนๆกัน และบังคับควบคุมได้ห่วยพอๆกัน
- MaMiLk
- ขาประจำ
- โพสต์: 2863
- ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ส.ค. 2008, 07:53
- team: เครซี่ ด๊อกซ์ นครหาดใหญ่ กับ Buffalo Upgraded
- Bike: KTM DUKE 390R
Re: เปรียบเทียบจาน DURA ACE กับ ROTER
ชวนให้ติดตามครับป๋าลู
สำหรับผม ควงเป็นหรือไม่ ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่ามันต้องลองดูครับ
สำหรับผม ควงเป็นหรือไม่ ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่ามันต้องลองดูครับ
นั่งทับบนเหล็กร้อน 1 นาที ช่างยาวนานราว 1 ชั่วโมง
แต่นั่งทับบนสาวงาม 1 ชั่วโมง ช่างรวดเร็วราวกับ 1 นาที
แต่นั่งทับบนสาวงาม 1 ชั่วโมง ช่างรวดเร็วราวกับ 1 นาที
- job04
- ขาประจำ
- โพสต์: 857
- ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ต.ค. 2010, 20:11
- Tel: 0897420101
- team: AyutthayaFamily KCC 347Cycling
- Bike: KLEIN Q-Elite S-Works M5
Re: เปรียบเทียบจาน DURA ACE กับ ROTER
อ่านเพลิน..พร้อมความรู้ดีๆครับ
- ปั่น
- ขาประจำ
- โพสต์: 3299
- ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 16:25
- Bike: RB only
Re: เปรียบเทียบจาน DURA ACE กับ ROTER
ลึกล้ำมากครับป๋าฯ
ขอบคุณที่สละเวลาพิมพ์ให้อ่านเพิ่มรอยหยักในสมอง
ขอบคุณที่สละเวลาพิมพ์ให้อ่านเพิ่มรอยหยักในสมอง
โจ๊ก
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 518
- ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2011, 16:42
- Tel: 0801120939
- team: -
- Bike: MTB Bianchi Jab รถพับ BF pocket rocket, dahon horize
- ติดต่อ:
Re: เปรียบเทียบจาน DURA ACE กับ ROTER
เป็นเรื่องน่าสนใจมาก แต่สำหรับผม จานอะไรก็สนุกครับ
- ไฟล์แนบ
-
- 24539290[1].jpg (77.8 KiB) เข้าดูแล้ว 10590 ครั้ง
- Kansai
- ขาประจำ
- โพสต์: 267
- ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 15:19
Re: เปรียบเทียบจาน DURA ACE กับ ROTER
อ่านเก้บความรุ้ครับ
ตามหายาง grand prix 4000s หรือ vittoria open corsa cx มือ 2 สภาพดี PM มาเลยครับ
- tt62
- ขาประจำ
- โพสต์: 675
- ลงทะเบียนเมื่อ: 18 พ.ค. 2011, 23:21
- Tel: 0800628062
- team: ปั่น 25 อยู่ทีมไหนก็ได้ // ได้ข่าวว่าทีมเต่ามาซื้อตัว
- Bike: CAAD10 wsd3 , Eddy Merckx efx 1.0 , GEOX , Turtle Bike
Re: เปรียบเทียบจาน DURA ACE กับ ROTER
อ่านที่ป๋าลูเขียน
แจ่มแจ้งเลยค่ะ
แจ่มแจ้งเลยค่ะ
ฉันอยากจะบอกเธอว่า โชคดีเพียงใดที่เราได้พบกัน โชคดีเพียงใดที่เราได้รู้จักกัน.....
- TIGERTG2
- ขาประจำ
- โพสต์: 142
- ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ก.ย. 2011, 09:18
- Tel: 090-2162642
- team: อิสระ
- Bike: TIGERTG2
Re: เปรียบเทียบจาน DURA ACE กับ ROTER
ขอปักไว้ครับ.....ขอบคุณบทความดีดี....
อาทิตย์ที่ผ่านมามันส์ดีครับป๋าลู
โอกาศหน้าร่วมทริปกันใหม่ครับ
อาทิตย์ที่ผ่านมามันส์ดีครับป๋าลู
โอกาศหน้าร่วมทริปกันใหม่ครับ
มีคนเคยบอกไว้ว่า
"มีเงินเป็นร้อยล้าน ก็ซื้อเมื่อวานไม่ได้...."
"มีเงินเป็นร้อยล้าน ก็ซื้อเมื่อวานไม่ได้...."
- navy32
- ขาประจำ
- โพสต์: 1802
- ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ต.ค. 2010, 10:40
- Tel: 091-0659823
- team: "เทพสำราญ" ร้อยเอ็ด
- Bike: TREK 8500 TANGE slim road SL3 THORN RAVEN
- ติดต่อ:
Re: เปรียบเทียบจาน DURA ACE กับ ROTER
ขอบคุณมากมายครับ มีท่านอื่นที่มีประสบการณ์แตกต่างหรือเปล่าครับ
เดินทางมาไกล 1,500 ไมล์ทะเล กว่าจะได้พบรักแท้
"JOIN "เทพสำราญ" TEAM TO SEE THE WORLD"
"JOIN "เทพสำราญ" TEAM TO SEE THE WORLD"
- Frogman_twin
- ขาประจำ
- โพสต์: 5682
- ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2011, 19:32
- team: KCC, DEEP TEAM
- Bike: Klein
Re: เปรียบเทียบจาน DURA ACE กับ ROTER
ไม่ต้องประสบความสำเร็จทุกอย่าง แต่สิ่งที่เลือกทำขอให้ทำให้เต็มที่น๊ะลูก
- fishy
- ขาประจำ
- โพสต์: 130
- ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2009, 13:33
- Tel: 092-2098445
- team: อิสระ
- Bike: เปลี่ยนไปเรื่อย
Re: เปรียบเทียบจาน DURA ACE กับ ROTER
อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ แต่ที่แน่ๆปั่นไม่แพ้ใคร
- iN2
- ขาประจำ
- โพสต์: 2494
- ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มิ.ย. 2012, 00:12
- Bike: Trek