ถ้าปั่นจนหัวใจเต้น 200 + บ่อย ๆ เป็นอะไรมั้ย
ผู้ดูแล: Cycling B®y, spinbike, velocity
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 417
- ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ธ.ค. 2010, 19:52
- ติดต่อ:
Re: ถ้าปั่นจนหัวใจเต้น 200 + บ่อย ๆ เป็นอะไรมั้ย
ผมเองอายุ 41 ครับปั่นเดี่ยวความเร็วแช่อยู่ที่36-38 HR.อยู่ประมาณ 160 ไม่เกิน 170 จะมีก็แต่ปั่นกระชากตามกลุ่ม45+อาจขึ้น175 + บ้างแต่ผมเองจะค่อยๆเบาครับปล่อยให้กลุ่มเค้าไปครับแล้วค่อยไปเจอกันที่นัดหมาย บอกตรงๆว่าถ้าHR.เกิน 175 เมื่อไหร่ผมจะไม่ไปต่อแล้วเพราะผมกลัวครับอยากอยู่กับครอบครัวนานๆเวลาที่เห็นข่าวนักปั่นที่เป็นโรควูปแล้วใจคอไม่ดี...555
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 1148
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 เม.ย. 2016, 08:17
- Tel: 0806364263
- team: กาฬสินธุ์
- Bike: Nich
Re: ถ้าปั่นจนหัวใจเต้น 200 + บ่อย ๆ เป็นอะไรมั้ย
อย่ากลัวไปเลยครับ ในชีวิตผมเห็นแค่ครั้งเดียว นักปั่นทีม100 ก.ม สลบคารถจักรยานหลังจากเข้าเส้นพอดีjarun kongnuam เขียน:ผมเองอายุ 41 ครับปั่นเดี่ยวความเร็วแช่อยู่ที่36-38 HR.อยู่ประมาณ 160 ไม่เกิน 170 จะมีก็แต่ปั่นกระชากตามกลุ่ม45+อาจขึ้น175 + บ้างแต่ผมเองจะค่อยๆเบาครับปล่อยให้กลุ่มเค้าไปครับแล้วค่อยไปเจอกันที่นัดหมาย บอกตรงๆว่าถ้าHR.เกิน 175 เมื่อไหร่ผมจะไม่ไปต่อแล้วเพราะผมกลัวครับอยากอยู่กับครอบครัวนานๆเวลาที่เห็นข่าวนักปั่นที่เป็นโรควูปแล้วใจคอไม่ดี...555
ทีมพี่เลี้ยงเอามอไซด์เข้าประคองได้ทันพอดี เพราะหน้าเส้นคนเยอะช่วยกันส่งเสียงเตือนแอะอะโวยวายช่วยกัน
เรียกว่าหน้ามืดสลบคาเส้นชัยกันเลย
ที่ผ่านมาผมเจอพนักงานบ.ผลิตรถยนต์ขนาดยักษ์ใหญ่ของอเมริกา พนักงานระดับ รอง ผจก ขึ้นไป โดนบีบคั้น จนเพี้ยนบ้าง เกิดก่อนเส้นโลหิตในสองแตก ผมจะแนะนำให้รีบลาออก หรือเข้าโครงการสมัครใจลาออก
ผู้ชายเป็นกันเยอะ แต่ผู้หญิงจะมีเซพตี้วาล์วดีกว่า สลบก่อน แต่ถ้าเกิดประมาณ 3 ครั้ง ก็เพี้ยนได้เหมือนกัน
คือหัวใจเต้นผิดปรกติ ต้องลาพักยาว 4-6 เดือน
กลับมาทำงานก็ต้องค่อยๆฟื้นขึ้นได้ บางคนผงาดขึ้นเจ๋งกว่าเดิมอีก
จักรยานผู้ชนะเขาหาวิธีเอาพลังงานสูงสุดของตัวเองออกมาใช้ครับ ไม่ว่าตอนซ้อมหรือตอนแข่ง
คนทำไม่ได้แพ้ตลอดครับ
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 461
- ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ธ.ค. 2011, 09:09
- Bike: หมอบBainchi
- ติดต่อ:
Re: ถ้าปั่นจนหัวใจเต้น 200 + บ่อย ๆ เป็นอะไรมั้ย
ครั้งเดียวที่คุณPiatoon1956เห็น แล้วอีกหลายร้อยครั้งที่คุณไม่ได้เห็นละครับ ถึงแม้ว่าจะเกิดได้น้อยก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่เกิด ยังไงก็เอาแต่พอสมพอควร เราไม่ได้เป็นนักแข่งที่ต้องเอาชีวิตมาเป็นเดิมพัน ถ้าอายุมากแล้วไม่มีภาระ ไม่มีลูกเมียให้ต้องส่งเสียเลี้ยงดู ก็จัดชุดใหญ่ไฟกระพริบให้เต็มที่เลยครับPaitoon1956 เขียน:อย่ากลัวไปเลยครับ ในชีวิตผมเห็นแค่ครั้งเดียว นักปั่นทีม100 ก.ม สลบคารถจักรยานหลังจากเข้าเส้นพอดีjarun kongnuam เขียน:ผมเองอายุ 41 ครับปั่นเดี่ยวความเร็วแช่อยู่ที่36-38 HR.อยู่ประมาณ 160 ไม่เกิน 170 จะมีก็แต่ปั่นกระชากตามกลุ่ม45+อาจขึ้น175 + บ้างแต่ผมเองจะค่อยๆเบาครับปล่อยให้กลุ่มเค้าไปครับแล้วค่อยไปเจอกันที่นัดหมาย บอกตรงๆว่าถ้าHR.เกิน 175 เมื่อไหร่ผมจะไม่ไปต่อแล้วเพราะผมกลัวครับอยากอยู่กับครอบครัวนานๆเวลาที่เห็นข่าวนักปั่นที่เป็นโรควูปแล้วใจคอไม่ดี...555
ทีมพี่เลี้ยงเอามอไซด์เข้าประคองได้ทันพอดี เพราะหน้าเส้นคนเยอะช่วยกันส่งเสียงเตือนแอะอะโวยวายช่วยกัน
เรียกว่าหน้ามืดสลบคาเส้นชัยกันเลย
ที่ผ่านมาผมเจอพนักงานบ.ผลิตรถยนต์ขนาดยักษ์ใหญ่ของอเมริกา พนักงานระดับ รอง ผจก ขึ้นไป โดนบีบคั้น จนเพี้ยนบ้าง เกิดก่อนเส้นโลหิตในสองแตก ผมจะแนะนำให้รีบลาออก หรือเข้าโครงการสมัครใจลาออก
ผู้ชายเป็นกันเยอะ แต่ผู้หญิงจะมีเซพตี้วาล์วดีกว่า สลบก่อน แต่ถ้าเกิดประมาณ 3 ครั้ง ก็เพี้ยนได้เหมือนกัน
คือหัวใจเต้นผิดปรกติ ต้องลาพักยาว 4-6 เดือน
กลับมาทำงานก็ต้องค่อยๆฟื้นขึ้นได้ บางคนผงาดขึ้นเจ๋งกว่าเดิมอีก
จักรยานผู้ชนะเขาหาวิธีเอาพลังงานสูงสุดของตัวเองออกมาใช้ครับ ไม่ว่าตอนซ้อมหรือตอนแข่ง
คนทำไม่ได้แพ้ตลอดครับ
จักรยานคือมายา แรงขาสิของจริง
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 1148
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 เม.ย. 2016, 08:17
- Tel: 0806364263
- team: กาฬสินธุ์
- Bike: Nich
Re: ถ้าปั่นจนหัวใจเต้น 200 + บ่อย ๆ เป็นอะไรมั้ย
ที่ผมเห็นนั้น น้องเขาไม่ได้เป็นอะไรนะครับ แค่เป็นลมสลบไปเดี๋ยวเดียว นวด ดมยาดมก็คืนมาแล้วchalit_lee เขียน:ครั้งเดียวที่คุณPiatoon1956เห็น แล้วอีกหลายร้อยครั้งที่คุณไม่ได้เห็นละครับ ถึงแม้ว่าจะเกิดได้น้อยก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่เกิด ยังไงก็เอาแต่พอสมพอควร เราไม่ได้เป็นนักแข่งที่ต้องเอาชีวิตมาเป็นเดิมพัน ถ้าอายุมากแล้วไม่มีภาระ ไม่มีลูกเมียให้ต้องส่งเสียเลี้ยงดู ก็จัดชุดใหญ่ไฟกระพริบให้เต็มที่เลยครับPaitoon1956 เขียน:อย่ากลัวไปเลยครับ ในชีวิตผมเห็นแค่ครั้งเดียว นักปั่นทีม100 ก.ม สลบคารถจักรยานหลังจากเข้าเส้นพอดีjarun kongnuam เขียน:ผมเองอายุ 41 ครับปั่นเดี่ยวความเร็วแช่อยู่ที่36-38 HR.อยู่ประมาณ 160 ไม่เกิน 170 จะมีก็แต่ปั่นกระชากตามกลุ่ม45+อาจขึ้น175 + บ้างแต่ผมเองจะค่อยๆเบาครับปล่อยให้กลุ่มเค้าไปครับแล้วค่อยไปเจอกันที่นัดหมาย บอกตรงๆว่าถ้าHR.เกิน 175 เมื่อไหร่ผมจะไม่ไปต่อแล้วเพราะผมกลัวครับอยากอยู่กับครอบครัวนานๆเวลาที่เห็นข่าวนักปั่นที่เป็นโรควูปแล้วใจคอไม่ดี...555
ทีมพี่เลี้ยงเอามอไซด์เข้าประคองได้ทันพอดี เพราะหน้าเส้นคนเยอะช่วยกันส่งเสียงเตือนแอะอะโวยวายช่วยกัน
เรียกว่าหน้ามืดสลบคาเส้นชัยกันเลย
ที่ผ่านมาผมเจอพนักงานบ.ผลิตรถยนต์ขนาดยักษ์ใหญ่ของอเมริกา พนักงานระดับ รอง ผจก ขึ้นไป โดนบีบคั้น จนเพี้ยนบ้าง เกิดก่อนเส้นโลหิตในสองแตก ผมจะแนะนำให้รีบลาออก หรือเข้าโครงการสมัครใจลาออก
ผู้ชายเป็นกันเยอะ แต่ผู้หญิงจะมีเซพตี้วาล์วดีกว่า สลบก่อน แต่ถ้าเกิดประมาณ 3 ครั้ง ก็เพี้ยนได้เหมือนกัน
คือหัวใจเต้นผิดปรกติ ต้องลาพักยาว 4-6 เดือน
กลับมาทำงานก็ต้องค่อยๆฟื้นขึ้นได้ บางคนผงาดขึ้นเจ๋งกว่าเดิมอีก
จักรยานผู้ชนะเขาหาวิธีเอาพลังงานสูงสุดของตัวเองออกมาใช้ครับ ไม่ว่าตอนซ้อมหรือตอนแข่ง
คนทำไม่ได้แพ้ตลอดครับ
ในความเป็นจริง การปั่นจักรยานนั้น กล้ามเนื้อร่างกาย กล้ามเนื้อหัวใจถูกพัฒนาไปพร้อมๆกัน
เป็นไปได้ยากมากๆที่จะใช้กล้ามเนื้อส่วนที่ใช้ปั่นจักรยานได้เกิน กล้ามเนื้อหัวใจ ได้เกินการใหลเวียนของอากาศ ของเลือด
ปอดผมแค่ 3,300 เพื่อนบางคน 6,000 ผมยังปั่นทีม 100 ก.ม กับเขาได้
ผมวัดเปอร์ฟอร์แม้นตัวเองด้วยการปั่น เดี่ยว 60 ก.ม ครับ เอวีแค่ 29 เอง
ปั่นไป Weight ไป ไม่ใช่อะไรหรอกครับ
แค่แข็งแรงขึ้น การปั่นง่ายขึ้น
แค่ปั่นได้เร็วขึ้น เวลาการปั่นก็น้อยลง ไม่ต้องตากแดดนาน
รอจังหวะดีๆออกจักรยานคันใหม่ จะได้มันยิ่งขึ้น
เอหรือว่า ความกล้า เป็นสมบัติของ คนเก่ง!
หรือว่า ปลอดภัยใว้ก่อน ดีกว่า!!!็
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 417
- ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ธ.ค. 2010, 19:52
- ติดต่อ:
Re: ถ้าปั่นจนหัวใจเต้น 200 + บ่อย ๆ เป็นอะไรมั้ย
จุดประสงค์ของการปั่นของผมหลักๆคือการออกกำลังกายและรักษาสุขภาพครับเรื่องแข่งขันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวก็มีแค่ไปปั่นงานวัดใจครับถ้าย้อนกลับไปสักอายุ20ผมก็คงนึกถึงการฝึกซ้อมและพัฒนาไปสู่การแข่งขันจริงจังแต่ตอนนี้แค่รักษาสุขภาพและร่างกายให้แข็งแรงไม่เจ็บป่วยก็เพียงพอแล้วครับสำหรับผมchalit_lee เขียน:ครั้งเดียวที่คุณPiatoon1956เห็น แล้วอีกหลายร้อยครั้งที่คุณไม่ได้เห็นละครับ ถึงแม้ว่าจะเกิดได้น้อยก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่เกิด ยังไงก็เอาแต่พอสมพอควร เราไม่ได้เป็นนักแข่งที่ต้องเอาชีวิตมาเป็นเดิมพัน ถ้าอายุมากแล้วไม่มีภาระ ไม่มีลูกเมียให้ต้องส่งเสียเลี้ยงดู ก็จัดชุดใหญ่ไฟกระพริบให้เต็มที่เลยครับPaitoon1956 เขียน:อย่ากลัวไปเลยครับ ในชีวิตผมเห็นแค่ครั้งเดียว นักปั่นทีม100 ก.ม สลบคารถจักรยานหลังจากเข้าเส้นพอดีjarun kongnuam เขียน:ผมเองอายุ 41 ครับปั่นเดี่ยวความเร็วแช่อยู่ที่36-38 HR.อยู่ประมาณ 160 ไม่เกิน 170 จะมีก็แต่ปั่นกระชากตามกลุ่ม45+อาจขึ้น175 + บ้างแต่ผมเองจะค่อยๆเบาครับปล่อยให้กลุ่มเค้าไปครับแล้วค่อยไปเจอกันที่นัดหมาย บอกตรงๆว่าถ้าHR.เกิน 175 เมื่อไหร่ผมจะไม่ไปต่อแล้วเพราะผมกลัวครับอยากอยู่กับครอบครัวนานๆเวลาที่เห็นข่าวนักปั่นที่เป็นโรควูปแล้วใจคอไม่ดี...555
ทีมพี่เลี้ยงเอามอไซด์เข้าประคองได้ทันพอดี เพราะหน้าเส้นคนเยอะช่วยกันส่งเสียงเตือนแอะอะโวยวายช่วยกัน
เรียกว่าหน้ามืดสลบคาเส้นชัยกันเลย
ที่ผ่านมาผมเจอพนักงานบ.ผลิตรถยนต์ขนาดยักษ์ใหญ่ของอเมริกา พนักงานระดับ รอง ผจก ขึ้นไป โดนบีบคั้น จนเพี้ยนบ้าง เกิดก่อนเส้นโลหิตในสองแตก ผมจะแนะนำให้รีบลาออก หรือเข้าโครงการสมัครใจลาออก
ผู้ชายเป็นกันเยอะ แต่ผู้หญิงจะมีเซพตี้วาล์วดีกว่า สลบก่อน แต่ถ้าเกิดประมาณ 3 ครั้ง ก็เพี้ยนได้เหมือนกัน
คือหัวใจเต้นผิดปรกติ ต้องลาพักยาว 4-6 เดือน
กลับมาทำงานก็ต้องค่อยๆฟื้นขึ้นได้ บางคนผงาดขึ้นเจ๋งกว่าเดิมอีก
จักรยานผู้ชนะเขาหาวิธีเอาพลังงานสูงสุดของตัวเองออกมาใช้ครับ ไม่ว่าตอนซ้อมหรือตอนแข่ง
คนทำไม่ได้แพ้ตลอดครับ
- lucifer
- ขาประจำ
- โพสต์: 6413
- ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2010, 14:53
- team: BPMTB , BPRB , Bikeloves
- Bike: Only 2-wheels bike
- ติดต่อ:
Re: ถ้าปั่นจนหัวใจเต้น 200 + บ่อย ๆ เป็นอะไรมั้ย
ขำๆดีกว่ามั๊ยครับ
ภาษิตจีน มีอยู่ข้อความหนึ่ง "ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา" ไม่รู้เหมือนกันว่าพอจะเทียบเคียงสิ่งที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ได้ไหม
หลายปีก่อน หลายปีก่อนมากๆ น่าจะราวๆปี 1999 - 2000 กระมัง จำไม่ได้แล้วหละ
ตอนนั้นเวลาที่ใครบอกว่า "ผมใช้ HRM" ทุกคนจะมองว่า "มันรวยหวะ" เพราะ HRM ตอนนั้นตัวที่คนรู้กัน มันคือ Polar ตัวสายคาดอกเปลี่ยนถ่านไม่ได้ กันน้ำได้100% ทำมาให้สามารถว่ายน้ำ ดำน้ำ วิ่ง จักรยานได้ในชุดเดียว ถ่านหมดก็ต้องเอาแลกซื้อเส้นใหม่กับตัวแทน ถ้ารวมตัวนาฬิกาที่คาดข้อมือด้วย ราคาก็สัก 8 พันบาทได้กระมัง คือ ในยุคนั้น ค่าเงินตอนนั้น มันแพงมากๆเลยนะ แพงจนบางทีมันเกินกว่าความอยากจะมีใช้
จนกระทั่งเริ่มมียี่ห้อที่ผลิตมาแล้วราคาถูกลง แต่มันก็ยังแพง
ผมเป็นคนแรกๆที่พยายามบอกหลายๆคนในเวปนี้ ( ตั้งแต่ยังเป็นเวปหัวแดง ) ว่ามันเป็นสิ่งจำเป็น แล้วก็มีพี่ท่านหนึ่ง (ขอสงวนนาม) ท่านเถียงผมประมาณว่า เกินความจำเป็น แล้วท่านเอ่ยประโยคอมตะว่า "listen your body" คือ ท่านพี่ไม่เคยแข่งกีฬา ไม่เคยทำอะไรที่มันน่าตื่นเต้นมากไปกว่าการนั่งโต๊ะ กับปั่นจักรยานเชิงท่องเที่ยว ท่านพี่ของผมเลยไม่รู้ว่า ภายใต้ภาวะกดดัน คนเราบางครั้งก็ทำอะไรที่เรียกว่า"ลืมตาย"กันได้ไม่ยากนัก
ผมคนหนึ่งหละ ที่เคยจัดหนักระดับ "แช่ที่ Max. HR" เพราะโดนลูกยุของ instructor อาการ"อุกาฟ้าเหลือง" คือ ฟ้ากลางวันแดดเปรี้ยงๆ มันเหลืองจริงๆ กลัวเสียหน้าฝืนใจเดินออกมาจากห้องทดสอบ พอถึงสนามหญ้าแล้วลงไปนอนแผ่เลย ฟ้ายามเที่ยงมันเป็นสีเหลือง เหมือนยามอุกาฟ้าเหลืองก่อนที่พายุใหญ่จะเข้าฝั่งเลยแหละ แล้วก็ยัง ไม่เข็ด จัดหนักแบบนี้ที่หน้าเส้นชัยไม่ว่าจะเป็นวิ่งระยะ 4 ร้อยเมตร หรือ เสือภูเขา 20 กม. ถ้ามีHRMผมก็เชื่อว่านั่นคือ Max HR ที่เราฝืนแช่ค้างเอาไว้
นี่มันเรียกว่า"ลืมตาย"กันได้จริงๆ
โศกนาฏกรรมในสนามแข่งก็ดี แม้แต่สนามเขียว หรือ สนามฟ้าสกายเลน ก็ดี มักจะมาจากพฤติกรรมที่เรียกว่า"ลืมตาย"ทั้งสิ้น
ตัวอย่างจริง ที่สนามนครสวรรค์ นักปั่นเสือภูเขารุ่นอายุ 60 ท่านขาดใจตายคาสนาม ส่วนหนึ่งมาจากอากาศที่ร้อน และถ้าใครเคยแข่งเสือภูเขาทางcross country จริงๆ ก็จะรู้ว่า"มันโคตรเหนื่อย" เพราะมันเป็นการเล่นกันในโซน 4 - 5 จนจบการแข่งขัน
ท่านนั้นเสียชีวิตโดยที่ไม่มีใครสามารถยื้อช่วยชีวิตได้
ทำไมหัวใจเต้นเร็วมากๆแล้วถึงแก่ชีวิตได้
ถ้าเราขับรถแล้วเราลากรอบเครื่องไปสูงๆ แช่รอบไว้นานๆ แล้วดูเข็มน้ำมันดีๆ จะเห็นว่าเข็มน้ำมันมันค่อยๆร่วง ค่อยๆร่วง ก็มันเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นหนะสิครับ ผมเคยแต่งรถเล่นในสมัยวัยหนุ่ม "วิภาวดีเซอร์กิต" หรือ หน้าพาเลซ ผมเองก็เคยเอารถคาร์บูไปแร่ดอัดกับเครื่องหัวฉีดเทอร์โบมาแล้ว ออกตัวนี่ ผมลากสุดขีดแดงทะลุไป 7,500 รอบ กระโดดขึ้นหน้ารถหัวฉีดเทอร์โบไปครึ่งคันรถ ตบลงเกียร์สอง กระโดดนำไปอีกนิด แล้วก็เกิดอาการวูบของเครื่องยนต์ อ้อ ไม่มีอะไรหรอก น้ำมันเชื้อเพลิงเกลี้ยงห้องลูกลอยของคาร์บูหนะ ปั้มติ๊กมันเล็กไป คือ ปกติถ้าไม่ได้ไปทำอะไรกับมันมาก เครื่องยนต์เครื่องนั้น ผมลาก 2 เกียร์ทะลุ 100 กม/ชม. ได้สบายๆ พอดีวันนั้นเตรียมตัวไปแร่ด ก็เลยเปลี่ยนนมหนูน้ำมันใหญ่ขึ้นอีกนิด จูนไฟอีกนิด แรงสาสสสสสสสสส แต่พอลงเกียร์ 2 ยังไม่ถึง 6,000 รอบดี น้ำมันก็หมดห้องลูกลอย เครื่องมันก็วูบ คู่แข่งก็เลยกระโดดพรวดหายไปโดยไม่ต้องตามอีก
ชีวิตจริงก็เช่นนั้น หัวใจที่เต้นเร็วมากๆ ก็ต้องการเลือดมาเลี้ยงมากๆเช่นกัน แล้วไม่ใช่ว่ามันต้องการเพิ่มขึ้นเป็น 1+1 = 2 แต่มันเป็นสัดส่วนที่สูงขึ้น
กลไกในการเอาเลือดมาเลี้ยงหัวใจ ก็คือ ตัวหัวใจเองนั่นแหละ ที่ทำหน้าที่เป็นปั้มติ๊กให้ตัวมันเอง แล้วมันก็ต้องเอาเลือดผ่านทางหลอดเลือดหัวใจไปเลี้ยงกล้ามเนื้อเอง
ปัญหาก็คือ กล้ามเนื้อขาที่แข็งแรงขึ้น ไม่ได้สะท้อนถึงสุขภาพของกล้ามเนื้อหัวใจเลย เพราะหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจมันก็อาจจะไม่เปิดโล่งก็ได้ มันอาจจะฝืด อาจจะตีบ อาจจะคอด เพราะมีหินปูนไปเกาะบ้าง หรือ ถูกกล้ามเนื้อหัวใจบีบอัดมันไว้ ยิ่งเต้นแรง เลือดยิ่งไปได้น้อย
พอเร่งรอบหัวใจให้สูงขึ้น แต่น้ำมันดันส่งไปไม่พอ หัวใจก็สะดุด แต่หัวใจไม่ใช่เครื่องยนต์นะ ที่สะดุดแล้วรอให้น้ำมันกลับมาเข้าห้องลูกลอยแล้วเหยียบคันเร่งส่งต่อได้อีก แต่พอหัวใจมันสะดุดเพราะเลือดไปเลี้ยงไม่พอ กล้ามเนื้อหัวใจมันก็จะบาดเจ็บ แล้วอาจจะตามมาด้วยหัวใจที่เต้นผิดจังหวะชนิดร้ายแรง ( ventricular fibrillation ) ซึ่งทำให้ไม่มีเลือดออกไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายและกล้ามเนื้อหัวใจเองด้วย คราวนี้เครื่องมันก็จะน๊อคแล้วก็ดับ(ดับชีวิตด้วย ถ้าหาคนมาช่วยรีสตาร์ทใหม่ไม่ทัน )
หัวใจดับนะครับ ชีวิตก็ดับ
ทำไมคนหนุ่มสาวไม่เป็นไร แค่หน้ามืดเป็นลม ประเด็นก็คืออย่างที่ผมบอกแล้วว่า ถ้าหัวใจเต้นเร็วกว่า 180/นาที ปริมาณเลือดที่หัวจบีบส่งออกจากหัวใจในแต่ละครั้งจะเริ่มลดลง เพราะเวลาในการรับเลือดเข้าห้องหัวใจมันสั้นลง แต่อาศัยกว่าอัตราการเต้นที่สูงขึ้น เมื่อเอามาคูณกันแล้ว ทำให้ปริมาณเลือดออกจากหัวใจทั้งหมดในเวลา 1 นาที ( พูดง่ายๆ มันคือ flow ) ยังไม่ร่วงลงมา
คนแก่ๆหัวใจมันเต้นเร็วสุดๆได้ไม่เท่าคนหนุ่มสาว ขอเพียงแต่หลอดเลือดหัวใจยังดี ยังโล่ง กล้ามเนื้อหัวใจไม่ผิดปกติ ไม่หนาตัวจนเกินไป ที่ Max HR เลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจก็อาจจะยังพอ แต่ถ้ามันตีบไป ไม่โล่ง หัวใจก็อาจจะได้รับเลือดไม่พอ อันนี้เรื่องใหญ่
แต่คนหนุ่มสาว หลอดเลือดหัวใจมันยังเปิดโล่งกว่า เลือดมันจึงยังคงพอ แต่พอแช่ HR สูงมากๆ เช่น ทะลุ 220 แล้วยังแช่ค้างไว้ รับรองได้เลยว่า ที่ HR 210 ขึ้นไปนี่ ยังไงๆ flow ของเลือดที่ไปเลี่ยงสมองจะต้องลดลงกว่า ที่ HR 170 อย่างแน่นอน แล้วมันก็น้อยลงจนเกิดอาการเสมือนว่า "เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ" ก็เลยวูบหมดสติ แต่หัวใจมันยังได้เลือดพออยู่ มันก็เลยไม่เกิดอะไรมากมายจนร้ายแรง แล้วการที่วูบ ก็ทำให้"ความบ้า"มันยุติลง ทำให้ตัวกระตุ้นที่ให้หัวใจต้องควงรอบทะลุขีดแดงก็จะหมดไป
พูดง่ายๆก็เครื่องสะดุดไปบ้าง แต่ยังไม่ดับ
ยาวหน่อยนะ
อ่านเพิ่มเติมที่ http://cyclingplusthailand.com/other/สูงวัยใจเกินร้อย/
ภาษิตจีน มีอยู่ข้อความหนึ่ง "ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา" ไม่รู้เหมือนกันว่าพอจะเทียบเคียงสิ่งที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ได้ไหม
หลายปีก่อน หลายปีก่อนมากๆ น่าจะราวๆปี 1999 - 2000 กระมัง จำไม่ได้แล้วหละ
ตอนนั้นเวลาที่ใครบอกว่า "ผมใช้ HRM" ทุกคนจะมองว่า "มันรวยหวะ" เพราะ HRM ตอนนั้นตัวที่คนรู้กัน มันคือ Polar ตัวสายคาดอกเปลี่ยนถ่านไม่ได้ กันน้ำได้100% ทำมาให้สามารถว่ายน้ำ ดำน้ำ วิ่ง จักรยานได้ในชุดเดียว ถ่านหมดก็ต้องเอาแลกซื้อเส้นใหม่กับตัวแทน ถ้ารวมตัวนาฬิกาที่คาดข้อมือด้วย ราคาก็สัก 8 พันบาทได้กระมัง คือ ในยุคนั้น ค่าเงินตอนนั้น มันแพงมากๆเลยนะ แพงจนบางทีมันเกินกว่าความอยากจะมีใช้
จนกระทั่งเริ่มมียี่ห้อที่ผลิตมาแล้วราคาถูกลง แต่มันก็ยังแพง
ผมเป็นคนแรกๆที่พยายามบอกหลายๆคนในเวปนี้ ( ตั้งแต่ยังเป็นเวปหัวแดง ) ว่ามันเป็นสิ่งจำเป็น แล้วก็มีพี่ท่านหนึ่ง (ขอสงวนนาม) ท่านเถียงผมประมาณว่า เกินความจำเป็น แล้วท่านเอ่ยประโยคอมตะว่า "listen your body" คือ ท่านพี่ไม่เคยแข่งกีฬา ไม่เคยทำอะไรที่มันน่าตื่นเต้นมากไปกว่าการนั่งโต๊ะ กับปั่นจักรยานเชิงท่องเที่ยว ท่านพี่ของผมเลยไม่รู้ว่า ภายใต้ภาวะกดดัน คนเราบางครั้งก็ทำอะไรที่เรียกว่า"ลืมตาย"กันได้ไม่ยากนัก
ผมคนหนึ่งหละ ที่เคยจัดหนักระดับ "แช่ที่ Max. HR" เพราะโดนลูกยุของ instructor อาการ"อุกาฟ้าเหลือง" คือ ฟ้ากลางวันแดดเปรี้ยงๆ มันเหลืองจริงๆ กลัวเสียหน้าฝืนใจเดินออกมาจากห้องทดสอบ พอถึงสนามหญ้าแล้วลงไปนอนแผ่เลย ฟ้ายามเที่ยงมันเป็นสีเหลือง เหมือนยามอุกาฟ้าเหลืองก่อนที่พายุใหญ่จะเข้าฝั่งเลยแหละ แล้วก็ยัง ไม่เข็ด จัดหนักแบบนี้ที่หน้าเส้นชัยไม่ว่าจะเป็นวิ่งระยะ 4 ร้อยเมตร หรือ เสือภูเขา 20 กม. ถ้ามีHRMผมก็เชื่อว่านั่นคือ Max HR ที่เราฝืนแช่ค้างเอาไว้
นี่มันเรียกว่า"ลืมตาย"กันได้จริงๆ
โศกนาฏกรรมในสนามแข่งก็ดี แม้แต่สนามเขียว หรือ สนามฟ้าสกายเลน ก็ดี มักจะมาจากพฤติกรรมที่เรียกว่า"ลืมตาย"ทั้งสิ้น
ตัวอย่างจริง ที่สนามนครสวรรค์ นักปั่นเสือภูเขารุ่นอายุ 60 ท่านขาดใจตายคาสนาม ส่วนหนึ่งมาจากอากาศที่ร้อน และถ้าใครเคยแข่งเสือภูเขาทางcross country จริงๆ ก็จะรู้ว่า"มันโคตรเหนื่อย" เพราะมันเป็นการเล่นกันในโซน 4 - 5 จนจบการแข่งขัน
ท่านนั้นเสียชีวิตโดยที่ไม่มีใครสามารถยื้อช่วยชีวิตได้
ทำไมหัวใจเต้นเร็วมากๆแล้วถึงแก่ชีวิตได้
ถ้าเราขับรถแล้วเราลากรอบเครื่องไปสูงๆ แช่รอบไว้นานๆ แล้วดูเข็มน้ำมันดีๆ จะเห็นว่าเข็มน้ำมันมันค่อยๆร่วง ค่อยๆร่วง ก็มันเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นหนะสิครับ ผมเคยแต่งรถเล่นในสมัยวัยหนุ่ม "วิภาวดีเซอร์กิต" หรือ หน้าพาเลซ ผมเองก็เคยเอารถคาร์บูไปแร่ดอัดกับเครื่องหัวฉีดเทอร์โบมาแล้ว ออกตัวนี่ ผมลากสุดขีดแดงทะลุไป 7,500 รอบ กระโดดขึ้นหน้ารถหัวฉีดเทอร์โบไปครึ่งคันรถ ตบลงเกียร์สอง กระโดดนำไปอีกนิด แล้วก็เกิดอาการวูบของเครื่องยนต์ อ้อ ไม่มีอะไรหรอก น้ำมันเชื้อเพลิงเกลี้ยงห้องลูกลอยของคาร์บูหนะ ปั้มติ๊กมันเล็กไป คือ ปกติถ้าไม่ได้ไปทำอะไรกับมันมาก เครื่องยนต์เครื่องนั้น ผมลาก 2 เกียร์ทะลุ 100 กม/ชม. ได้สบายๆ พอดีวันนั้นเตรียมตัวไปแร่ด ก็เลยเปลี่ยนนมหนูน้ำมันใหญ่ขึ้นอีกนิด จูนไฟอีกนิด แรงสาสสสสสสสสส แต่พอลงเกียร์ 2 ยังไม่ถึง 6,000 รอบดี น้ำมันก็หมดห้องลูกลอย เครื่องมันก็วูบ คู่แข่งก็เลยกระโดดพรวดหายไปโดยไม่ต้องตามอีก
ชีวิตจริงก็เช่นนั้น หัวใจที่เต้นเร็วมากๆ ก็ต้องการเลือดมาเลี้ยงมากๆเช่นกัน แล้วไม่ใช่ว่ามันต้องการเพิ่มขึ้นเป็น 1+1 = 2 แต่มันเป็นสัดส่วนที่สูงขึ้น
กลไกในการเอาเลือดมาเลี้ยงหัวใจ ก็คือ ตัวหัวใจเองนั่นแหละ ที่ทำหน้าที่เป็นปั้มติ๊กให้ตัวมันเอง แล้วมันก็ต้องเอาเลือดผ่านทางหลอดเลือดหัวใจไปเลี้ยงกล้ามเนื้อเอง
ปัญหาก็คือ กล้ามเนื้อขาที่แข็งแรงขึ้น ไม่ได้สะท้อนถึงสุขภาพของกล้ามเนื้อหัวใจเลย เพราะหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจมันก็อาจจะไม่เปิดโล่งก็ได้ มันอาจจะฝืด อาจจะตีบ อาจจะคอด เพราะมีหินปูนไปเกาะบ้าง หรือ ถูกกล้ามเนื้อหัวใจบีบอัดมันไว้ ยิ่งเต้นแรง เลือดยิ่งไปได้น้อย
พอเร่งรอบหัวใจให้สูงขึ้น แต่น้ำมันดันส่งไปไม่พอ หัวใจก็สะดุด แต่หัวใจไม่ใช่เครื่องยนต์นะ ที่สะดุดแล้วรอให้น้ำมันกลับมาเข้าห้องลูกลอยแล้วเหยียบคันเร่งส่งต่อได้อีก แต่พอหัวใจมันสะดุดเพราะเลือดไปเลี้ยงไม่พอ กล้ามเนื้อหัวใจมันก็จะบาดเจ็บ แล้วอาจจะตามมาด้วยหัวใจที่เต้นผิดจังหวะชนิดร้ายแรง ( ventricular fibrillation ) ซึ่งทำให้ไม่มีเลือดออกไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายและกล้ามเนื้อหัวใจเองด้วย คราวนี้เครื่องมันก็จะน๊อคแล้วก็ดับ(ดับชีวิตด้วย ถ้าหาคนมาช่วยรีสตาร์ทใหม่ไม่ทัน )
หัวใจดับนะครับ ชีวิตก็ดับ
ทำไมคนหนุ่มสาวไม่เป็นไร แค่หน้ามืดเป็นลม ประเด็นก็คืออย่างที่ผมบอกแล้วว่า ถ้าหัวใจเต้นเร็วกว่า 180/นาที ปริมาณเลือดที่หัวจบีบส่งออกจากหัวใจในแต่ละครั้งจะเริ่มลดลง เพราะเวลาในการรับเลือดเข้าห้องหัวใจมันสั้นลง แต่อาศัยกว่าอัตราการเต้นที่สูงขึ้น เมื่อเอามาคูณกันแล้ว ทำให้ปริมาณเลือดออกจากหัวใจทั้งหมดในเวลา 1 นาที ( พูดง่ายๆ มันคือ flow ) ยังไม่ร่วงลงมา
คนแก่ๆหัวใจมันเต้นเร็วสุดๆได้ไม่เท่าคนหนุ่มสาว ขอเพียงแต่หลอดเลือดหัวใจยังดี ยังโล่ง กล้ามเนื้อหัวใจไม่ผิดปกติ ไม่หนาตัวจนเกินไป ที่ Max HR เลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจก็อาจจะยังพอ แต่ถ้ามันตีบไป ไม่โล่ง หัวใจก็อาจจะได้รับเลือดไม่พอ อันนี้เรื่องใหญ่
แต่คนหนุ่มสาว หลอดเลือดหัวใจมันยังเปิดโล่งกว่า เลือดมันจึงยังคงพอ แต่พอแช่ HR สูงมากๆ เช่น ทะลุ 220 แล้วยังแช่ค้างไว้ รับรองได้เลยว่า ที่ HR 210 ขึ้นไปนี่ ยังไงๆ flow ของเลือดที่ไปเลี่ยงสมองจะต้องลดลงกว่า ที่ HR 170 อย่างแน่นอน แล้วมันก็น้อยลงจนเกิดอาการเสมือนว่า "เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ" ก็เลยวูบหมดสติ แต่หัวใจมันยังได้เลือดพออยู่ มันก็เลยไม่เกิดอะไรมากมายจนร้ายแรง แล้วการที่วูบ ก็ทำให้"ความบ้า"มันยุติลง ทำให้ตัวกระตุ้นที่ให้หัวใจต้องควงรอบทะลุขีดแดงก็จะหมดไป
พูดง่ายๆก็เครื่องสะดุดไปบ้าง แต่ยังไม่ดับ
ยาวหน่อยนะ
อ่านเพิ่มเติมที่ http://cyclingplusthailand.com/other/สูงวัยใจเกินร้อย/
ถ้าอ่อนซ้อม อ่อนทักษะ ก็จะพบว่าจักรยานคันไหนๆก็ไม่แตกต่างกันหรอก เพราะปั่นไม่ไปเหมือนๆกัน และบังคับควบคุมได้ห่วยพอๆกัน
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 933
- ลงทะเบียนเมื่อ: 24 มิ.ย. 2013, 11:21
- Tel: 0875576081
- Bike: orbea oiz , cannondale super six , Giant TCR advanced , Giant TCR Composite , swift RS-1 , swift Ti Drapac , Sarto Lampo
- ติดต่อ:
Re: ถ้าปั่นจนหัวใจเต้น 200 + บ่อย ๆ เป็นอะไรมั้ย
ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา จะมาเสี่ยงตายอะไรกับถ้วยพลาสติกในประเทศนี้ ให้อย่าลืมและจดจำคำว่า เรามาปั่นจักรยานเพื่อสุขภาพ
-
- สมาชิก
- โพสต์: 17
- ลงทะเบียนเมื่อ: 16 มี.ค. 2016, 23:04
- ติดต่อ:
Re: ถ้าปั่นจนหัวใจเต้น 200 + บ่อย ๆ เป็นอะไรมั้ย
ส่วนตัวผมอายุ 29 ครับ หัวใจขึ้น 180 ผมก็เริ่มผ่อนแล้วครับ ทั้งๆที่อาจจะไปต่อได้
ข้อแรกคือยังไม่อยากจะต้องมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิต
ข้อสองไม่รู้จะไปเค้นหัวใจทำไม ไม่มีประโยชน์
ข้อสามผมไม่ได้แข่งครับ
ถ้าจะหลุดกลุ่มก็ต้องหลุดครับ กลับไปซ้อมแล้วค่อยมาใหม่ ดีกว่าไปเค้นหนักๆแล้วน็อคขึ้นมา ซึ่งไม่ว่าคุณจะปั่นกับเพื่อนหรือปั่นแข่งมันก็ไม่คุ้มอะครับ (เดี๋ยวล้มแล้วรถเป็นรอย 555) ซ้อมให้หัวใจและร่างกายแข็งแรงปั่นได้ที่ HR ต่ำๆดีกว่าปั่นเร็วแล้ว HR พุ่งเป็นน้ำพุ ส่วนโซนหัวใจอาจจะลองเซ็ตโดยใช้ resting HR ร่วมด้วยก็ได้ครับ
ข้อแรกคือยังไม่อยากจะต้องมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิต
ข้อสองไม่รู้จะไปเค้นหัวใจทำไม ไม่มีประโยชน์
ข้อสามผมไม่ได้แข่งครับ
ถ้าจะหลุดกลุ่มก็ต้องหลุดครับ กลับไปซ้อมแล้วค่อยมาใหม่ ดีกว่าไปเค้นหนักๆแล้วน็อคขึ้นมา ซึ่งไม่ว่าคุณจะปั่นกับเพื่อนหรือปั่นแข่งมันก็ไม่คุ้มอะครับ (เดี๋ยวล้มแล้วรถเป็นรอย 555) ซ้อมให้หัวใจและร่างกายแข็งแรงปั่นได้ที่ HR ต่ำๆดีกว่าปั่นเร็วแล้ว HR พุ่งเป็นน้ำพุ ส่วนโซนหัวใจอาจจะลองเซ็ตโดยใช้ resting HR ร่วมด้วยก็ได้ครับ
- Khunauan
- สมาชิก
- โพสต์: 32
- ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2014, 17:40
- Bike: Fondriest
Re: ถ้าปั่นจนหัวใจเต้น 200 + บ่อย ๆ เป็นอะไรมั้ย
ข่าวหัวใจวายตายคาสนามที่Sky laneก็มีอยู่บ่อยๆ ในทริปแข่งขันก็มีให้เห็น.....
ถนอมชีวิตไว้ขี่จักรยานนานๆดีกว่าครับ...
ถนอมชีวิตไว้ขี่จักรยานนานๆดีกว่าครับ...
- Wimpy
- ขาประจำ
- โพสต์: 300
- ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2015, 19:55
Re: ถ้าปั่นจนหัวใจเต้น 200 + บ่อย ๆ เป็นอะไรมั้ย
ผมเองอายุ 40 ต้นๆ
สมัยปีแรกที่ปั่น วันไหนปั่นเดี่ยว Av ไม่ถึง30 จะค่อนข้างเสียความรู้สึก ตอนนั้นปั่น Z3-Z4 เอาความเร้วเป็นหลัก...
ปัจจุบันเข้าปีที่สอง เริ่มเข้าใจอะไรกับตัวเองมากขึ้น ส่วนมากปั่นเดี่ยวทางราบๆคุมหัวใจไว้ที่ Z2 มีปล่อยขึ้นZ3-4 บ้างแต่ช่วงสั้นๆ... อย่างเช่นเมื่อเช้า ปั่นเดี่ยว 85 กม. Av28-Hrเฉลี่ย121-รอบขาเฉลี่ย88 ไม่บ้าพลังแบบเมื่อก่อน แต่กลับรู้สึกว่าร่างกายดีขึ้นมากๆ ปั่นแบบสบายๆไม่เครียดใครจะแซงก็ปล่อยไปเหนื่อยนักก็ชลอความเร็วลงมีความสุขทุกครั้งหลังปั่น..
ตอนลงแข่ง เวลากระชากกัน 50+ สำหรับผมหัวใจเคยขึ้นไปสูงสุด 186 สูงสุงแล้วที่เคยเจอตั้งแต่ปั่นจักรยานมา ผมว่่าถ้าเกิน 200 นี่มันหนักมากเกินไปแน่นอน ...พี่ๆบางคนที่ผมรู้จักแข่งจักรยานมาหลายปี เวลาแข่งถ้า Hr สูงมากจนถึงระดับหนึ่งเขาจะไม่ฝืนครับทั้งที่พลังขาและแรงยังไปได้อีก คือเซฟตัวเองไว้ก่อนดีกว่า ไม่อยากเอาชีวิตแลกกับถ้วยงานแข่ง
จักรยานสำหรับเราๆหลายๆคนเป็นแค่สันทนาการ จะเอาพวกโปรที่ฝึกกันตั้งแต่เด็กๆแล้วมาปั่นเลียนแบบคงไม่ไหว บางคนที่ผมตามดูใน strava ที่มี Hr ตอนแข่งให้ดู เช่น Winner Anaconna - Andre Amador พวกนี้ปั่นแข่งหนักๆ Av 41-42 ระยะ 180 กม. Hr เฉลี่ย 138-146 Max Hr 180-190 ซึ่งมันเป็นคนละเรื่องและคนละโลกกันเลยกับผม
ทุกวันนี้สำหรับผมขอปั่นพอประมาณๆครับ ไม่ฝืนตัวเองเกินไป ปั่นให้ร่างกายแข้็งแรง และอยากจะมีฐาน Hrเฉลี่ย น้อยลง ถ้าปั่นหนักเกินไม่บันยะบันยังผมเกรงว่าจะเป็นการทำลายร่างกายตัวเองซะมากกว่า
สมัยปีแรกที่ปั่น วันไหนปั่นเดี่ยว Av ไม่ถึง30 จะค่อนข้างเสียความรู้สึก ตอนนั้นปั่น Z3-Z4 เอาความเร้วเป็นหลัก...
ปัจจุบันเข้าปีที่สอง เริ่มเข้าใจอะไรกับตัวเองมากขึ้น ส่วนมากปั่นเดี่ยวทางราบๆคุมหัวใจไว้ที่ Z2 มีปล่อยขึ้นZ3-4 บ้างแต่ช่วงสั้นๆ... อย่างเช่นเมื่อเช้า ปั่นเดี่ยว 85 กม. Av28-Hrเฉลี่ย121-รอบขาเฉลี่ย88 ไม่บ้าพลังแบบเมื่อก่อน แต่กลับรู้สึกว่าร่างกายดีขึ้นมากๆ ปั่นแบบสบายๆไม่เครียดใครจะแซงก็ปล่อยไปเหนื่อยนักก็ชลอความเร็วลงมีความสุขทุกครั้งหลังปั่น..
ตอนลงแข่ง เวลากระชากกัน 50+ สำหรับผมหัวใจเคยขึ้นไปสูงสุด 186 สูงสุงแล้วที่เคยเจอตั้งแต่ปั่นจักรยานมา ผมว่่าถ้าเกิน 200 นี่มันหนักมากเกินไปแน่นอน ...พี่ๆบางคนที่ผมรู้จักแข่งจักรยานมาหลายปี เวลาแข่งถ้า Hr สูงมากจนถึงระดับหนึ่งเขาจะไม่ฝืนครับทั้งที่พลังขาและแรงยังไปได้อีก คือเซฟตัวเองไว้ก่อนดีกว่า ไม่อยากเอาชีวิตแลกกับถ้วยงานแข่ง
จักรยานสำหรับเราๆหลายๆคนเป็นแค่สันทนาการ จะเอาพวกโปรที่ฝึกกันตั้งแต่เด็กๆแล้วมาปั่นเลียนแบบคงไม่ไหว บางคนที่ผมตามดูใน strava ที่มี Hr ตอนแข่งให้ดู เช่น Winner Anaconna - Andre Amador พวกนี้ปั่นแข่งหนักๆ Av 41-42 ระยะ 180 กม. Hr เฉลี่ย 138-146 Max Hr 180-190 ซึ่งมันเป็นคนละเรื่องและคนละโลกกันเลยกับผม
ทุกวันนี้สำหรับผมขอปั่นพอประมาณๆครับ ไม่ฝืนตัวเองเกินไป ปั่นให้ร่างกายแข้็งแรง และอยากจะมีฐาน Hrเฉลี่ย น้อยลง ถ้าปั่นหนักเกินไม่บันยะบันยังผมเกรงว่าจะเป็นการทำลายร่างกายตัวเองซะมากกว่า
- purintorn
- ขาประจำ
- โพสต์: 113
- ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2008, 14:04
- Tel: 0817601143
- team: เสือบ้านกรวด
- Bike: CANNONDALE F29, PRINCIPIA MSL 08,giant defy
- ตำแหน่ง: โรงพยาบาลบ้านกรวด 120 หมู่ 3 ต.ปราสาท อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ 31180
Re: ถ้าปั่นจนหัวใจเต้น 200 + บ่อย ๆ เป็นอะไรมั้ย
ต่างจากผมมากๆเลยเคสนี้ ผมอายุ 38 ปีปั่นให้ขึ้น Z5 นี่ก็ยากแล้ว ค่า max ที่เคยหาได้ 189 Hr แบบฟ้าเหลืองเหมือนที่หมอกล่าวไว้ข้างต้น ปกติHr อยู่ที่ 52 bpm วัดตอนตื่นนอน 40 bpm จึงมีปัญหากับการซ้อม Interval เพราะมันขึ้น Z5 ยากนี่ล่ะครับ หมดแรงก่อน มีวิธีไหนที่จะทำให้ซ้อมไปถึงZ5C ได้บ้างครับ
-
- สมาชิก
- โพสต์: 42
- ลงทะเบียนเมื่อ: 29 เม.ย. 2013, 21:09
- ติดต่อ:
Re: ถ้าปั่นจนหัวใจเต้น 200 + บ่อย ๆ เป็นอะไรมั้ย
ขอแชร์ด้วยครับ
ผมอายุย่าง 53 ไม่กี่วันมานี้ เริ่มสนใจ HR. แบบสนใจ แต่ไม่ค่อยเข้าใจมากนัก เกริ่นกล่าวนิดหน่อย ผมเป็นชอบปั่น จกย มานานแล้วแต่ปั่นทำงาน แต่รวมๆ วันละ 10 โล มาแต่หนุ่ม แต่ปล่อยตัวไม่ค่อยสนใจสุขภาพนัก
จากนั้นรู้สึกว่าร่างกายแย่ จึงเริ่มเข้าสู่วงการ จกย จิงจัง สัก 7 ปีย้อนหลัง ปั่นตามยถากรรมไม่มีความรู้มากนักแต่รู้สึกว่าร่างกายดีขึ้น
ปั่นมากขึ้นชักสนุก จากหัวลากประจำหมู่บ้านกลายเป็นแข่งวัดใจ ก็หลายที่ ที่สนุกและโหดสุดสำหรับผมคือแข่งวัด av.ที่อ่างทอง เข้ารุ่น 35 kmph ผ่าน 38
เข้าเรื่อง HR. ผมใช้ cateye 430 เคยขึ้นสูงสุด 180 bpm.ร้อนมากกว่าเหนื่อยรอบนั้นไปเขื่อนขุนด่าน
แล้วก็ป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆนี้ แต่ระวังตัวแค่แตะนะครับไม่แช่เด็ดขาด
เมื่อสักสามปีย้อนหลังหัดวิ่งบ้าง วิ่งไปวิ่งมา กลับชอบเลยได้สลับ แต่ก็แค่นั้น ไม่จิงจังไม่มีโปรแกรมอะไรกดดัน ว่างก็ทำ ด้านไหนแล้วแต่สะดวก ช่วงกลางปีแล้วมีภาระต้องไปทำงานต่างถิ่นเลยงดปั่นไปนาน ได้แต่วิ่ง กลับมาจับยานใหม่ ขึ้นเขาเขียวเลย เป็นตระคิวที่เนินก่อนผาเดียวดาย จากที่เคยขึ้นสบายๆได้หลายครั้ง เมื่อต้นปีไปดอยอินท เหตุเพราะสมัครไว้แล้วถึงไม่ซ้อมยังไป ผลคือตระคิวมาตามคิวที่เนินพระธาตุ ปีก่อนไปจอดที่เนิน tot ไม่ซ้อมแล้วซ่า แต่ไม่เป็นไร ไม่เข็ด
หลังจากได้ความรู้จากกระทู้ thaimtb มากขึ้น ผมได้ใช้ fitbit ของ samsung มาใช้ ส่วนใหญ่ใส่มากกว่าถอด ชอบเช็คเวลานอนด้วย และ sync เข้ามีเก็บสถิติ
ผมพบว่าเวลาผมวิ่ง max hr.ขึ้นมาแถวๆ 190 บางครั้งแตะที่ 196 bpm. pace 5 ปลายๆ ที่ระยะ 5-8 km.เวลาใส่ปั่น max.180bpm.สรุปจบทริบวิ่งหรือปั่นก็ไม่ล้ามากนัก เวลานอนหลับ ค่า rhr 30 bpm.กว่าๆ ต่ำสุด 31
กลับมาคิดอีกทีทำไมเราจึงเสี่ยงเช่นนี้ ผมเชื่อตามที่หลายๆท่านบอกโดยเฉพาะพี่หมอ แต่ เวลาอยู่ในกิจกรรมนั้น อาการลืมตามมันมาทุกที
จะพยายามดึงสติกลับใหม่ กลัวดับคาสนามครับ
ลูกยังเรียนไม่จบ เมียยังสาว
ฝากไว้กับผู้เริ่ม ส.ว ทุกท่านนะครับ
ผมอายุย่าง 53 ไม่กี่วันมานี้ เริ่มสนใจ HR. แบบสนใจ แต่ไม่ค่อยเข้าใจมากนัก เกริ่นกล่าวนิดหน่อย ผมเป็นชอบปั่น จกย มานานแล้วแต่ปั่นทำงาน แต่รวมๆ วันละ 10 โล มาแต่หนุ่ม แต่ปล่อยตัวไม่ค่อยสนใจสุขภาพนัก
จากนั้นรู้สึกว่าร่างกายแย่ จึงเริ่มเข้าสู่วงการ จกย จิงจัง สัก 7 ปีย้อนหลัง ปั่นตามยถากรรมไม่มีความรู้มากนักแต่รู้สึกว่าร่างกายดีขึ้น
ปั่นมากขึ้นชักสนุก จากหัวลากประจำหมู่บ้านกลายเป็นแข่งวัดใจ ก็หลายที่ ที่สนุกและโหดสุดสำหรับผมคือแข่งวัด av.ที่อ่างทอง เข้ารุ่น 35 kmph ผ่าน 38
เข้าเรื่อง HR. ผมใช้ cateye 430 เคยขึ้นสูงสุด 180 bpm.ร้อนมากกว่าเหนื่อยรอบนั้นไปเขื่อนขุนด่าน
แล้วก็ป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆนี้ แต่ระวังตัวแค่แตะนะครับไม่แช่เด็ดขาด
เมื่อสักสามปีย้อนหลังหัดวิ่งบ้าง วิ่งไปวิ่งมา กลับชอบเลยได้สลับ แต่ก็แค่นั้น ไม่จิงจังไม่มีโปรแกรมอะไรกดดัน ว่างก็ทำ ด้านไหนแล้วแต่สะดวก ช่วงกลางปีแล้วมีภาระต้องไปทำงานต่างถิ่นเลยงดปั่นไปนาน ได้แต่วิ่ง กลับมาจับยานใหม่ ขึ้นเขาเขียวเลย เป็นตระคิวที่เนินก่อนผาเดียวดาย จากที่เคยขึ้นสบายๆได้หลายครั้ง เมื่อต้นปีไปดอยอินท เหตุเพราะสมัครไว้แล้วถึงไม่ซ้อมยังไป ผลคือตระคิวมาตามคิวที่เนินพระธาตุ ปีก่อนไปจอดที่เนิน tot ไม่ซ้อมแล้วซ่า แต่ไม่เป็นไร ไม่เข็ด
หลังจากได้ความรู้จากกระทู้ thaimtb มากขึ้น ผมได้ใช้ fitbit ของ samsung มาใช้ ส่วนใหญ่ใส่มากกว่าถอด ชอบเช็คเวลานอนด้วย และ sync เข้ามีเก็บสถิติ
ผมพบว่าเวลาผมวิ่ง max hr.ขึ้นมาแถวๆ 190 บางครั้งแตะที่ 196 bpm. pace 5 ปลายๆ ที่ระยะ 5-8 km.เวลาใส่ปั่น max.180bpm.สรุปจบทริบวิ่งหรือปั่นก็ไม่ล้ามากนัก เวลานอนหลับ ค่า rhr 30 bpm.กว่าๆ ต่ำสุด 31
กลับมาคิดอีกทีทำไมเราจึงเสี่ยงเช่นนี้ ผมเชื่อตามที่หลายๆท่านบอกโดยเฉพาะพี่หมอ แต่ เวลาอยู่ในกิจกรรมนั้น อาการลืมตามมันมาทุกที
จะพยายามดึงสติกลับใหม่ กลัวดับคาสนามครับ
ลูกยังเรียนไม่จบ เมียยังสาว
ฝากไว้กับผู้เริ่ม ส.ว ทุกท่านนะครับ
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 1356
- ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2014, 11:44
Re: ถ้าปั่นจนหัวใจเต้น 200 + บ่อย ๆ เป็นอะไรมั้ย
สันทนาการ + ลดความอ้วน ขนาดซื้อ power meter มาแท้ๆ ยังรักษาสัญญากับตัวเองไม่ได้
ซื้อมาต้องหนักนะ อย่า ออ๊ดๆแอ๊ดๆ มันก่แค่สันทนาการพี่ ไม่ได้เอาเงินจากการปั่นชนะใครเขา เอามาซื้อข้าวกิน ok
ซื้อมาต้องหนักนะ อย่า ออ๊ดๆแอ๊ดๆ มันก่แค่สันทนาการพี่ ไม่ได้เอาเงินจากการปั่นชนะใครเขา เอามาซื้อข้าวกิน ok
- lucifer
- ขาประจำ
- โพสต์: 6413
- ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2010, 14:53
- team: BPMTB , BPRB , Bikeloves
- Bike: Only 2-wheels bike
- ติดต่อ:
Re: ถ้าปั่นจนหัวใจเต้น 200 + บ่อย ๆ เป็นอะไรมั้ย
ซ้อม interval ด้วย HRM นี่บอกตรงๆว่าฝึกยาก เพราะว่าบางครั้งจะต้องออกแรงมากจนเกินโซน เพื่อโหนให้หัวใจขึ้นมาแตะค่าที่ต้องการ ปัญหามาจากพอฟิตมากๆแล้วมันจะมีเรื่องของ Heart drift มาเกี่ยวข้องด้วยpurintorn เขียน:ต่างจากผมมากๆเลยเคสนี้ ผมอายุ 38 ปีปั่นให้ขึ้น Z5 นี่ก็ยากแล้ว ค่า max ที่เคยหาได้ 189 Hr แบบฟ้าเหลืองเหมือนที่หมอกล่าวไว้ข้างต้น ปกติHr อยู่ที่ 52 bpm วัดตอนตื่นนอน 40 bpm จึงมีปัญหากับการซ้อม Interval เพราะมันขึ้น Z5 ยากนี่ล่ะครับ หมดแรงก่อน มีวิธีไหนที่จะทำให้ซ้อมไปถึงZ5C ได้บ้างครับ
ดูภาพนี้ก็แล้วกัน หยิบยืมมาจาก Cyclingplus Thailand
เส้นสีเหลืองคือ ความหนักของกำลัง ( ฝึกด้วย power meter แบบคุมโซนการฝึก ) ส่วนเส้นสีแดงคือ HR วัดจาก HRM
รูปข้างต้นเป็นการฝึก interval จะเห็นเลยว่า พอเราเพิ่มกำลังแล้วรักษาค่าวัตต์ให้คงที่ เราจะเข้าสู่โซนการฝึกแล้ว แต่พอมาดูHR เราก็จะพบว่า หัวใจมันไม่ได้ขึ้นไปทันที แต่มันค่อยๆไต่ขึ้นไป แล้วพอครบเวลาของช่วงการฝึกนั้น แล้วเราลดกำลังลงมาอยู่ช่วงพัก ระยะแรกก็จะพบว่า หัวใจมันจะยังไม่ลดลงมาในทันที มันจะยังมีขึ้นไปอีกนิดหนึ่งสัก 1-2 ตุ้บ/นาที ก่อนที่มันจะค่อยๆลดลงมาอย่างช้าๆ
เราจะพบได้เลยว่า หากเราจะคบกับ zone HR เราจะใช้มันฝึกกับ zone 2 หรือ 3 ได้ แต่พอขึ้นไปZone 4 ซึ่งจะต้องเป็น zone ที่จะต้องฝึกแบบ interval แล้ว HRM จึงไม่เหมาะสมนัก การมี Power Meter จึงเป็นเรื่องที่ทำให้เราสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการฝึกได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ถ้าอ่อนซ้อม อ่อนทักษะ ก็จะพบว่าจักรยานคันไหนๆก็ไม่แตกต่างกันหรอก เพราะปั่นไม่ไปเหมือนๆกัน และบังคับควบคุมได้ห่วยพอๆกัน
- lucifer
- ขาประจำ
- โพสต์: 6413
- ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2010, 14:53
- team: BPMTB , BPRB , Bikeloves
- Bike: Only 2-wheels bike
- ติดต่อ:
Re: ถ้าปั่นจนหัวใจเต้น 200 + บ่อย ๆ เป็นอะไรมั้ย
ผมเองก็เป็นช่วงๆครับ แล้วแต่การวางเป้าหมาย อย่างจะไปขึ้นดอยอินท์นี่ ต้องเตรียมตัวล่วงหน้ายังไง เตรียมตัวไปทริปยาวๆต้องทำตัวอย่างไรvisual3dmax เขียน: สันทนาการ + ลดความอ้วน ขนาดซื้อ power meter มาแท้ๆ ยังรักษาสัญญากับตัวเองไม่ได้
ซื้อมาต้องหนักนะ อย่า ออ๊ดๆแอ๊ดๆ มันก่แค่สันทนาการพี่ ไม่ได้เอาเงินจากการปั่นชนะใครเขา เอามาซื้อข้าวกิน ok
พอดีผมลงทุนกับ WKO+ ไว้ด้วย มันก็ง่ายสำหรับการวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับตัวของเราเอง
มีpower meter อย่างเดียวยังไม่พอ ต้องมีเครื่องมือในการช่วยวิเคราะห์อีก จริงๆลำพัง Strava premium ก็ช่วยได้บ้าง แต่ไม่มากมายนัก ผิดกับ WKO+ ซึ่งแปลผลอะไรต่อมิอะไรได้มากขึ้น ( แต่ผมเองยังศึกษามันไม่หมดเลย )
ถ้าอ่อนซ้อม อ่อนทักษะ ก็จะพบว่าจักรยานคันไหนๆก็ไม่แตกต่างกันหรอก เพราะปั่นไม่ไปเหมือนๆกัน และบังคับควบคุมได้ห่วยพอๆกัน