สอบถามเกี่ยวกับเป้าหมายการปั่นครับ

ถ้าเป็นรถหรืออุปกรณ์ที่ออกแบบมาเป็นของเสือหมอบโดยเฉพาะ เชิญเข้าห้องนี้ครับ

ผู้ดูแล: Cycling B®y, spinbike, velocity

sexton
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 933
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 มิ.ย. 2013, 11:21
Tel: 0875576081
Bike: orbea oiz , cannondale super six , Giant TCR advanced , Giant TCR Composite , swift RS-1 , swift Ti Drapac , Sarto Lampo
ติดต่อ:

Re: สอบถามเกี่ยวกับเป้าหมายการปั่นครับ

โพสต์ โดย sexton »

ไหนๆก็ไหนๆนั่งหน้าคอม ขอเล่าเรื่องของตัวเองเกี่ยวกับเป้าในเรื่องของการขี่จักรยานไว้มั่งล่ะกันครับ.
เริ่มเข้าวงการจักรยานก็วันที่สมัครไทยเอมทีบีนี่แหล่ะครับ
เริ่มต้นด้วย ว่างเว้นการออกกำลังกายมานานนับ 10 ปี ติดเหล้ายาปาร์ตี้มาหมด เริ่มกลัวตายไม่สบาย เห็นคนอื่นปั่นก็เลยเอาด้วยซื้อภูเขามาปั่นแบบจัดเต็มแต่งโง่ๆแบบอาเฮียฟันหัวแบะ ด้วยความคิดที่ว่าอยากออกกำลังและไปได้ทุกที่ในกรุงเทพ ไม่ต้องพะวงอะไร น้ำหนัก 103 พีคสุดมาก ขี่ไปขี่มากินเยอะเหมือนเดิมอ้วนเหมือนเดิมน้ำหนักไม่ลด...

ต่อมาได้รู้จักมาวงการเสือหมอบ ขายภูเขาทิ้งมาลงหมอบ สนุกเลยทีนี้เอาแต่บ้าแต่งหาความรู้เกี่ยวกับดีเทลต่างๆของหมอบ อุปกรณ์มีใหม่มาตลอดลองผิดลองถูก ซื้อ ขาย จนหนี้เยอะ ผบ ด่า แม่บ้านสวด ว่าอะไรกันนักหนา ไม่ได้ใส่ใจการขี่เท่าไหร่แต่ได้ความรู้ในเชิงอุปกรณ์มา...

ต่อมาเริ่มใช้จักรยานมากขึ้นน้ำหนักลงจาก 103 มาที่ 98 ขี่ไปทำงานทุกวันเป็นเวลาปีกว่าๆ ปั่นคนเดียวไม่มีกลุ่ม กลับบ้านปั่นเยอะแค่ไหน กินเยอะเหมือนเดิม อุปกรณ์บ้าน้อยลงแต่ก็ยังมีในระดับที่เบาลงมาก มาใส่ใจพวกเรื่องฟิตติ้ง จีโอเมททรี่ วิธีการปั่นต่างๆที่ลองทำจริงๆจังๆคือไปฟิตติ้ง 3 รอบเพราะชอบเปลี่ยนอุปกรณ์...ดูไร้สาระไปวันๆ ฝ่ามลพิษใน กทม ปาร์ตี้ เหล้ายา ยังมีในเกณฑ์เยอะ เพราะอิสระปั่นไปไหนก็ได้ กลับดึกไม่มีใครสงสัย เมาๆยังเคยปั่นบนถนน ทำไปได้ยังไงไม่รู้ น้ำหนักไม่ลงเท่าเดิม 98 รู้สึกว่ามันใช่หรอว่ะ

ต่อมาหลังจากหมดเงินไปเยอะมากเริ่มจะต้องใช้มันให้คุ้มค่า ไปสกายเลนส์เสาร์อาทิตย์อยู่พักนึงเริ่มสนุกกับการปั่นบ้าๆบอๆตามกลุ่มขาแรงหลุดมั่ง ติดมั่ง คิดว่าตัวเองแรง จนได้เจอโปรวุฒปั่นซ้อมกลุ่มอยู่เคยฟิตติ้งกับแกเลยขอสมัครเรียนด้วย ด้วยใจที่เริ่มจริงจังและคิดว่าจะแรง....

หลังจากนั้นทุกอย่างที่เคยคิด เคยทำมา ความแรงที่เคยอยากได้ทุกอย่างมันเป็นมะโนของไอ้อ้วนคนนึงเท่านั้นเอง คนที่ผมเรียกโค้ชได้เต็มปากสำหรับการปั่นจักรยานของผมปรับวิธีคิดทุกอย่างจนผมคิดว่ามาเจอทางที่สนุกกับมันและการเอาชนะใจตัวเอง ชนะขีดจำกัดตัวเอง เป็นเรื่องที่เป็นแรงผลักดันในการอยากหยิบจักรยานออกไปปั่นมากที่สุด ขอสรุปตอนท้ายโพสต์แบบคร่าวๆล่ะกันว่าผมได้แรงจูงใจ เพราะซ้อมถูกวิธีมีอะไรบ้าง

ขณะนี้ผมอายุกำลังย่างไปที่ 41

1. น้ำหนักจาก 100 เหลือ 75 เป้า 69
2. เบสหัวใจต่ำลง
3. สุขภาพดีขึ้นมาก ไขมันเกาะตับหาย ภาวะตับดีขึ้น
4. แทบจะเลิกอบายมุขขาดมีแล่บๆมาแต่น้อยจนตอนนี้ไม่อยากไปแตะมันเลย
5. ได้ร่วมงานแข่งเพื่อ พิสูจน์ตัวเองมาสองงาน ไม่ได้ชนะอะไรทั้งสองงาน แต่มีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างเห็นชัด
6. ปีที่แล้วปั่นหนึ่งหมื่นโลเศษๆแบบคุณภาพไม่เต็มเปี่ยม แต่ปีนี้ได้ 6 พันโลแบบมีคุณภาพมากๆ ตั้งเป้าไว้สองหมื่นโลแบบมีคุณภาพไม่ได้ไม่เป็นไร คุณภาพสำคัญกว่าปริมาณ
7. น่าดีใจที่สุดคือผมเคยไปเทส vo2max มาไอ้เรื่องค่าอื่นๆผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่แค่ไหนแค่นั้นแต่หมอเคยบอกว่าถ้าผมแช่ฮาร์ทเรทที่ 183 ซึ่งถือว่าเป็นแม๊กของผมตอนที่มันลงจะเกิดอาการหน้ามืดเป็นลมหรือหมดสติได้แต่จากการซ้อมที่ผ่านมาของผมผมสามารถดีดหัวใจออกไปที่ 193 ได้และสามารถแช่ที่ 170-180 ได้อย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน ซึ่งผมจะลองกลับไปเทส vo2max อีกครั้งแล้วจะดูว่าไอ้ค่าที่หมอคอมเม้นท์วอนนิ่งผมมามันจะหายไหม ซึ่งถ้ามันหายไปได้จริง มันคงพิเศษสำหรับผมมาก

แถมท้ายตอนนี้มีแต่คนตกใจว่าอายุเลยเลข 4 เค้านึกว่า 3 ต้นๆถึงกลางๆ อิๆ

เห็นแรงจูงใจในการปั่นของผมไหมครับ ;-)
Paitoon1956
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 1150
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 เม.ย. 2016, 08:17
Tel: 0806364263
team: กาฬสินธุ์
Bike: Nich

Re: สอบถามเกี่ยวกับเป้าหมายการปั่นครับ

โพสต์ โดย Paitoon1956 »

sexton เขียน:ไหนๆก็ไหนๆนั่งหน้าคอม ขอเล่าเรื่องของตัวเองเกี่ยวกับเป้าในเรื่องของการขี่จักรยานไว้มั่งล่ะกันครับ.
เริ่มเข้าวงการจักรยานก็วันที่สมัครไทยเอมทีบีนี่แหล่ะครับ
เริ่มต้นด้วย ว่างเว้นการออกกำลังกายมานานนับ 10 ปี ติดเหล้ายาปาร์ตี้มาหมด เริ่มกลัวตายไม่สบาย เห็นคนอื่นปั่นก็เลยเอาด้วยซื้อภูเขามาปั่นแบบจัดเต็มแต่งโง่ๆแบบอาเฮียฟันหัวแบะ ด้วยความคิดที่ว่าอยากออกกำลังและไปได้ทุกที่ในกรุงเทพ ไม่ต้องพะวงอะไร น้ำหนัก 103 พีคสุดมาก ขี่ไปขี่มากินเยอะเหมือนเดิมอ้วนเหมือนเดิมน้ำหนักไม่ลด...

ต่อมาได้รู้จักมาวงการเสือหมอบ ขายภูเขาทิ้งมาลงหมอบ สนุกเลยทีนี้เอาแต่บ้าแต่งหาความรู้เกี่ยวกับดีเทลต่างๆของหมอบ อุปกรณ์มีใหม่มาตลอดลองผิดลองถูก ซื้อ ขาย จนหนี้เยอะ ผบ ด่า แม่บ้านสวด ว่าอะไรกันนักหนา ไม่ได้ใส่ใจการขี่เท่าไหร่แต่ได้ความรู้ในเชิงอุปกรณ์มา...

ต่อมาเริ่มใช้จักรยานมากขึ้นน้ำหนักลงจาก 103 มาที่ 98 ขี่ไปทำงานทุกวันเป็นเวลาปีกว่าๆ ปั่นคนเดียวไม่มีกลุ่ม กลับบ้านปั่นเยอะแค่ไหน กินเยอะเหมือนเดิม อุปกรณ์บ้าน้อยลงแต่ก็ยังมีในระดับที่เบาลงมาก มาใส่ใจพวกเรื่องฟิตติ้ง จีโอเมททรี่ วิธีการปั่นต่างๆที่ลองทำจริงๆจังๆคือไปฟิตติ้ง 3 รอบเพราะชอบเปลี่ยนอุปกรณ์...ดูไร้สาระไปวันๆ ฝ่ามลพิษใน กทม ปาร์ตี้ เหล้ายา ยังมีในเกณฑ์เยอะ เพราะอิสระปั่นไปไหนก็ได้ กลับดึกไม่มีใครสงสัย เมาๆยังเคยปั่นบนถนน ทำไปได้ยังไงไม่รู้ น้ำหนักไม่ลงเท่าเดิม 98 รู้สึกว่ามันใช่หรอว่ะ

ต่อมาหลังจากหมดเงินไปเยอะมากเริ่มจะต้องใช้มันให้คุ้มค่า ไปสกายเลนส์เสาร์อาทิตย์อยู่พักนึงเริ่มสนุกกับการปั่นบ้าๆบอๆตามกลุ่มขาแรงหลุดมั่ง ติดมั่ง คิดว่าตัวเองแรง จนได้เจอโปรวุฒปั่นซ้อมกลุ่มอยู่เคยฟิตติ้งกับแกเลยขอสมัครเรียนด้วย ด้วยใจที่เริ่มจริงจังและคิดว่าจะแรง....

หลังจากนั้นทุกอย่างที่เคยคิด เคยทำมา ความแรงที่เคยอยากได้ทุกอย่างมันเป็นมะโนของไอ้อ้วนคนนึงเท่านั้นเอง คนที่ผมเรียกโค้ชได้เต็มปากสำหรับการปั่นจักรยานของผมปรับวิธีคิดทุกอย่างจนผมคิดว่ามาเจอทางที่สนุกกับมันและการเอาชนะใจตัวเอง ชนะขีดจำกัดตัวเอง เป็นเรื่องที่เป็นแรงผลักดันในการอยากหยิบจักรยานออกไปปั่นมากที่สุด ขอสรุปตอนท้ายโพสต์แบบคร่าวๆล่ะกันว่าผมได้แรงจูงใจ เพราะซ้อมถูกวิธีมีอะไรบ้าง

ขณะนี้ผมอายุกำลังย่างไปที่ 41

1. น้ำหนักจาก 100 เหลือ 75 เป้า 69
2. เบสหัวใจต่ำลง
3. สุขภาพดีขึ้นมาก ไขมันเกาะตับหาย ภาวะตับดีขึ้น
4. แทบจะเลิกอบายมุขขาดมีแล่บๆมาแต่น้อยจนตอนนี้ไม่อยากไปแตะมันเลย
5. ได้ร่วมงานแข่งเพื่อ พิสูจน์ตัวเองมาสองงาน ไม่ได้ชนะอะไรทั้งสองงาน แต่มีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างเห็นชัด
6. ปีที่แล้วปั่นหนึ่งหมื่นโลเศษๆแบบคุณภาพไม่เต็มเปี่ยม แต่ปีนี้ได้ 6 พันโลแบบมีคุณภาพมากๆ ตั้งเป้าไว้สองหมื่นโลแบบมีคุณภาพไม่ได้ไม่เป็นไร คุณภาพสำคัญกว่าปริมาณ
7. น่าดีใจที่สุดคือผมเคยไปเทส vo2max มาไอ้เรื่องค่าอื่นๆผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่แค่ไหนแค่นั้นแต่หมอเคยบอกว่าถ้าผมแช่ฮาร์ทเรทที่ 183 ซึ่งถือว่าเป็นแม๊กของผมตอนที่มันลงจะเกิดอาการหน้ามืดเป็นลมหรือหมดสติได้แต่จากการซ้อมที่ผ่านมาของผมผมสามารถดีดหัวใจออกไปที่ 193 ได้และสามารถแช่ที่ 170-180 ได้อย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน ซึ่งผมจะลองกลับไปเทส vo2max อีกครั้งแล้วจะดูว่าไอ้ค่าที่หมอคอมเม้นท์วอนนิ่งผมมามันจะหายไหม ซึ่งถ้ามันหายไปได้จริง มันคงพิเศษสำหรับผมมาก

แถมท้ายตอนนี้มีแต่คนตกใจว่าอายุเลยเลข 4 เค้านึกว่า 3 ต้นๆถึงกลางๆ อิๆ

เห็นแรงจูงใจในการปั่นของผมไหมครับ ;-)
ชอบตรงที่วัด Hr นี่ละครับ นักจักรยานอาวุโสเล่าว่า ตอนอายุ 54 ปั่นแข่งในกลุ่มทีมชาติกลุ่มใหญ่ Hr พี่ท่านอยู่แถวๆ 230
ร่างกายนักจักรยานเป็นสิ่งมหัศจรรย์ครับ ปั่นไปพัฒนาไป พวกเชื่อทฤษฎี กลัวแต่ Hr จะสูงเกิน จะพัฒนาไปได้ อย่างไร
ตอนอายุ 20 ผมปั่นปรับรอบขา ล็อกเกียร์ จานหน้า 46 เฟืองหลัง 20 ปั่น 3 ช.ม/ 100 กิโลเมตร
เสียดายสมัยก่อนไม่มี Hr เลยบอกไม่ได้ว่าหัวใจเต้นเท่าไร?

แต่ว่า หัวใจเต้นขีดสุด ตอนซ้อม กับ มอโซด์ วิ่งคงที่ 60 ก.ม/ช.ม ผมปั่นจักรยานแข่งลู่ ผมปั่นแบบจี้ท้าย ตีคู่แซง สลับไปมา กำลังมันๆ พี่ที่ช่วยขับมอไซด์บอกว่า น้ำมันจะหมดแล้ว ก็เลยเลิก จำได้ว่าวันนั้นปั่นได้แค่ 30 ก.ม เอง ผมก็ยังสงสัยจนบัดนี้ว่า Hr เท่าไร?

จักรยานปั่นมันจริงๆครับ 61 แล้วยังมันอยู่เลย
สงสัยต้องอยู่กับมันไปตลอดละครับ
เสือชายกว๊าน
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 864
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 พ.ค. 2011, 09:17
Tel: 084-0766952
team: กว๊านพะเยา road race
Bike: <MADONE 9>
ตำแหน่ง: ถนน ชายกว๊าน พะเยา

Re: สอบถามเกี่ยวกับเป้าหมายการปั่นครับ

โพสต์ โดย เสือชายกว๊าน »

ปั่นปีเเรก2011 ปั่นมา6ปีละครับ ตอนเเรกสุขภาพ-พอเเข็งเเรงเข้ามาหน่อยปั่นกลุ่ม- ปั่นกลุ่มเสร๊จ -เพื่อนชวนเเข่ง-ตอนนี้48ย่าง49ปั่นอยู่ครับซ้อมบ้างเเข่งบ้างเเล้วเเต่โอกาส
<พะเยา เมืองน่าอยู่ เมืองน่าปั่น สุขใดไม่เท่าได้มาอยู่กว๊านพะเยา >
รูปประจำตัวสมาชิก
Supharut
สมาชิก
สมาชิก
โพสต์: 85
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ม.ค. 2012, 01:08
Bike: Merida Scultura 300

Re: สอบถามเกี่ยวกับเป้าหมายการปั่นครับ

โพสต์ โดย Supharut »

Paitoon1956 เขียน:
Supharut เขียน: ของผมตอนนี้

1. อยากปั่น สัปดาห์ละประมาณ 300 km+
2. ลดน้ำหนัก ผมสูง 180 ตอนนี้หนัก 75 อยากหนักประมาณ 70
3. ทุกครั้งที่ปั่น อยากได้รอบขา 80+ ซึ่งตอนนี้ต้องฝึกอีกเยอะ
4. ถ้ามีงานปั่นต่างๆ ถ้ามีโอกาสอยากไปแจมเหมือนกัน

ปล ลดน้ำหนักคงยากสุดละครับ
อยากลด น.น ต้องปั่นไม่ต่ำกว่า วันละ 80 ก.ม เพราะปั่นต่ำกว่านี้ รางกายไม่ได้ดึงเอาสารอาหารสะสมมาใช้ครับ

อยากได้รอบขาเพิ่ม ก็ลดเกียร์ให้เบาลงจากปรกติ อย่างน้อย เพิ่มสองฟันเฟืองหลัง
เพิ่มรอบขาผมล็อกเกียร์ปั่น หน้า 42 หลัง 19/21 ตลอดระยะทาง
ขอบคุณมากครับ
Just Ride.
giro
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 3092
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 15:14
Tel: 0865040751
team: Team Bike And Body Cycoling
Bike: Kemo KE-R5, Giant Propel Advance SL, Specialized Alez E5 Revolution
ตำแหน่ง: ซอยอารีย์ พหลโยธิน กทม.
ติดต่อ:

Re: สอบถามเกี่ยวกับเป้าหมายการปั่นครับ

โพสต์ โดย giro »

เรื่องการปั่นลดน้ำหนัก เป็นสิ่งที่มีข้อถกเถียงและการวิจัยศ฿กษาอย่างต่อเนื่องครับ
แนวความคิดเดิม ย้ำว่าเดิมนะครับ !!

การลดน้ำหนักที่ดีคือการปั่นระยะเวลานาน ที่ความเข้มข้นต่ำ เพื่อให้ร่างกายนำเอาไขมันออกมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพสูงที่สุด เนื่องจากในการออกกำลังกาย 45-60 นาทีแรก ร่างกายจะใช้ไกลโคเจนที่มีสะสมได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเปลี่ยนไปใช้พลังงานที่ช้ากว่าเดิม ซึ่งก็คือคาร์โบไฮเดรทและไขมัน ทว่ากระบวนการเปลี่ยนไขมันเป็นพลังงานจะต้องใช้คาร์โบไฮเดรทมานำอยู่ดี และที่สำคัญ ไขมันจะใช้เป็นจำนวนมากที่ระดับการออกแรงเข้มข้นต่ำครับ กล่าวคือถ้าปั่น 80 กม. แต่ซัดโฮกๆหมดตัวภายใน 2 ชั่วโมงครึ่ง ร่างกายจะใช้ไขมันน้อยมากเพราะที่ระดับนั้น (ประมาณเทมโป้) ร่างกายใช้คาร์โบไฮเดรทเป็นหลัก เพราะสามารถเติมพลังงานได้รวดเร็วกว่ามาก

ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้การปั่นจักรยานเพื่อ "ลดน้ำหนัก" จึงเพ่งไปที่การปั่นระยะยาวและไม่เร็วมาก ซึ่งมีคนที่ทำได้แล้วมากมายลดได้หลายสิบกิโลกรัมในเวลาไม่นานและยั่งยืน

แต่ ย้ำว่า แต่ แต่ แต่
ถามว่าคนทั่วไป มนุษย์ผู้ทำมาหากินจะมีเวลาปั่นกัน 3-4 ชม. บ่อยแค่ไหนกัน?? นั่นสินะครับ วิธีนี้จึงเหมาะสำหรับคนที่มีใจจะปั่นได้อย่างสม่ำเสมอที่รูปแบบนี้ ซึ่งผมได้ทดลองกับตัวเองมาแล้วว่าการปั่น 4 ชม. 3 วันต่อสัปดาห์และควบคุมอาหารนิดหน่อย (นิดหน่อยครับ ผมไม่ใช่คนชอบจำกัดอาหาร ใจยังรักจะกิน) ผมสามารถทำน้ำหนัก 53 กก. ที่ความสูง 165 ซม. ได้ในที่สุด อันเป็นหุ่นในฝันของผม (ทรงนักจักรยานสุดขีด ผอมเพรียว ลีน แทบจะไม่มีไขมันเลย) แต่นั่นหมายถึง ผมปั่นแบบนั้น 3 วันต่อสัปดาห์ และเสาร์อาทิตย์ ยังคงปั่นเร็วแต่สั้นอีก สรุปคือสัปดาห์หนึ่งรวมๆกันแล้วปั่นจักรยานไป 15-20 ชม. !! ระยะทางเท่าไหร่ ไม่ทราบครับ

เอาล่ะครับ ออกมาจากวิธีคิดแบบเก่า ลองมาดูตำราใหม่ ที่เพิ่งมีมาในระยะไม่กี่ปีมานี้ดูครับ และถูกใช้ด้วยโปรนักปั่นอาชีพกันมาแล้วด้วย
เพราะโปรเหล่านี้ เวลาพักฤดูกาลช่วง พฤศจิกายน-ต้นมกราคม บางคนไม่แตะจักรยานเลย กิน นอน เที่ยวแหลก เมาเละก็มี น้ำหนักขึ้นกระฉูด พวกเขาต้องมีคอร์สการปั่นเพื่อลดน้ำหนักกันด้วย ซึ่งนักวิทยาศาสตร์การกีฬากลับค้นพบว่า การเผาผลาญเพื่อลดน้ำหนักที่ดีที่สุดคือการปั่นที่ระดับความเข้มข้นสูง

อ้าว งง เลยครับทีนี้ ผมอ่านพบก็เกิดความสงสัยขึ้นมาทันทีว่ามันค้านกับวิจัยเดิมและพื้นฐานระบบพลังงานของร่างกายเรา แต่ไอเดียง่ายๆมันคือ .... การเผาผลาญให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ จะผลาญอะไรไปก็ตามที แต่อาศัยการควบคุมสิ่งที่กินเข้าไปมาผสมผสานด้วย วิธีนี้ใช้เวลาสั้นกว่า และสามารถทำได้จริงโดยมีความล้าสะสมน้อยกว่ามาก

มาเรื่องความล้าสะสมนะครับ ต้องอธิบายก่อนเลยว่า ความล้านั้น ไม่ใช่ความเหนื่อย แต่เรียกง่ายๆมันคือความกรอบครับ ถ้าปั่น 4 ชม. เบาๆ ร่างกายอาจมีความกรอบสะสม 200 หน่วย แต่ปั่นหนักแต่สั้น 1 ชม. ให้ตายหมดตัวก็จะเกิดความกรอบแค่ 100 หน่วยเท่านั้น !! เรื่องนี้จริงแท้แน่นอนครับ ใครที่ใช้วัตต์ประเมินจะรู้ดี (TSS) และจะรู้เช่นเห็นจริงกันแล้วว่า การปั่นยาวๆนั้น มันทำให้ร่างกายกรอบสะสมได้นานกว่า มากกว่า และส่งผลให้การฝึกไปถึงระดับเข้มข้นได้ยากกว่ามาก พวกโปรสมัยใหม่จึงอาศัยจุดนี้มาปรับรูปแบบการฝึกในช่วงก่อนเปิดฤดูกาลกันนั่นเอง

การปั่นจะเน้นไปที่ช่วงโซน 4 เป็นหลักครับ อาศัยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานด่วนอย่างรวดเร็ว และมีการขึ้นไปเล่นที่ระดับอะแนโรบิค(โซน 5-6) เป็นระยะๆ ที่กระบวนการนี้ ต่อเวลาหนึ่งช่วง จะเผาผลาญพลังงานสูงกว่าโซน 1-2 มากมายหลายเท่า ซึ่งนั่นเองคือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ตั้งเป้าเอาไว้ จากนั้น ทำการคำนวนอาหารและสิ่งที่เอาเข้าปากในแต่ละวัน ให้มีพลังงานพอดี พอเหมาะ ที่ฟื้นตัวได้แต่ไม่เอาไปสะสมเกินเลย ที่จุดนี้ร่างกายจะค่อยๆเอาพลังงานส่วนเกินที่พอกเอาไว้ มาใช้ไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็จะได้น้ำหนักที่เปลี่ยนไป หากแต่วิธีนี้ จะส่งผลระยะแรกช้ามากเพราะน้ำหนักจะไม่ลงอย่างทันทีแต่ได้กล้ามเนื้อมาด้วย แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง ร่างกายจะสามารถใช้พลังงานได้มากขึ้นกว่าเดิมและได้ผลลัพธ์ปลายทางเดียวกัน โดยที่ใช้เวลาต่อสัปดาห์น้อยกว่ามาก เอาเวลาที่เหลือไปเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ความแกร่งของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว ทักษะ และอื่นๆได้มากมาย

ซึ่งวิธีนี้กลับกลายเป็นว่า เหมาะกับมนุษย์เงินเดือน ทำงานทั่วไปมาก เพราะเราๆใครจะมีเวลาปั่นตะบันแหลกกันได้มากมาย วิธีสั้นแต่บ่อยจึงดีกว่า


แต่ แต่ แต่ อีกนั่นแหละครับ .... วิธีใหม่นี้จะได้ผลก็ต่อเมื่อเรากินอย่างถูกต้องด้วย สุดท้ายก็ไม่พ้นพวกกินอาหารแบบไม่อร่อยแต่ก็ต้องกิน กินอาหารนกบ้าง กินผัก กินผลไม้แทนมื้อกันบ้าง บางคน บางช่วงกลางคือซัดแครอทกันเฉยๆก็มี ถ้าทำได้ใจรัก รับรองว่ารุ่ง แต่ในกรณณีที่ .... ชีวิตยังอยากสุข สนุก มันยากมากที่จะลดได้ด้วยแนวคิดใหม่ เพราะผลาญให้ตายอย่างไร ก็ไม่พอกับที่กิน ไขมันที่สะสมมันก็ไม่ได้ใช้เสียที

วิธีที่ผสมผสานซึ่งเป็นทางสายกลางก็คือ... เอามารวมกัน และถูกแนะนำโดยสำนักการโค้ชเจขจ้าพ่อตำราวัตต์
ในวันธรรมดา เน้นอินเทอร์วัลเขมข้น และไปปั่นยาวๆในสุดสัปดาห์แทน ดังนั้นเวลาปั่นต่อสัปดาห์จะอยู่ที่ประมาณ 6-12 ชม. แล้วแต่ช่วงของตารางและแล้วแต่คน โดยทำการควบคุมอาหารบ้างตามสมควร ซึ่งการควบคุมนี้มุ่งไปที่ "กินอะไรเมื่อไหร่" มากกว่าการจำกัดอาหารเฉยๆ(จำกัดไม่ได้แปลว่าอดนะครับ แต่กินจำกัดชนิด)

การกินที่ฉลาดคือการรู้จักกันแป้งและโปรตีนที่เหมาะสม ในช่วงเวลาที่ร่างกายเอาไปใช้ได้ทันที ไม่มีการเหลือสะสม เช่น ภายใน 30 นาทีหลังปั่นมาหมาดๆ กินเลยในเวลานั้น ร่างกายจะเปลี่ยนสิ่งที่ได้ไปเป็นพลังงานด่วนที่ใช้ได้เร็ว กินได้เยอะ แตกต่างจากเวลาปกติที่กระบวนการเปลี่ยนพลังงานไม่ได้ทำงานเต็มที่ พลังงานพวกนี้จะถูกเปลี่ยนไปเป็นถังสะสม ก็...ไขมันนั่นแหละครับ สังเกตุกันง่ายๆว่าหลังปั่นท่านกินให้อิ่มไปเลย อีก 2 ชม. เฮ้ยยย หิวอีกแล้ว นั่นแหละครับมันย่อยและแปลงไปเป็นพลังงานเร็วมาก จากนั้น คำแนะนำนิยมให้กินน้อย บ่อย แทนที่จะกินมื้อหนักๆ พูดง่ายๆคือ รู้ตัวว่าอีก 3 ชม. หิวแน่ๆ อย่าปล่อยให้หิวอดอยากแล้วไปฟาดบุฟเฟ่ต์ แต่เตรียมพร้อมเลยว่า ปั่นเสร็จ กินอาหารให้อิ่มหมีพีมัน จากนั้นอีก 3 ชม. เตรียมอาหารเบาๆรอไว้ กินให้รู้สึกสบายตัว พอมื้อต่อไป ก็กินในปริมาณสมเหตุสมผล

ถ้าทำได้แบบนี้ ลดได้แน่นอนครับ
ไม่ต้องปั่นเยอะ ปั่นมาก ปั่นนาน

ที่สำคัญกระบวนการดังกล่าวในวิถีใหม่ ... ทำให้เป็นขาแรงได้ในเสลาอันสั้น พิกัดระยะทาง 70 กม. จะดีเด่นยอดเยี่ยมได้รวดเร็ว อีกด้วย
ฟังสาระจักรยาน Podcast
https://open.spotify.com/show/76iDUCWXgqqixg1CmoSDIp
ข่าวสารจัรกยาน
https://www.facebook.com/cyclinghubthailand/
รูปประจำตัวสมาชิก
teemai
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 268
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2011, 08:53
Tel: 0891720453
team: กลุ่ม แร้งคอย
Bike: ฟิกเกียร์

Re: สอบถามเกี่ยวกับเป้าหมายการปั่นครับ

โพสต์ โดย teemai »

เป้าหมายผมก็แค่ พัฒนาตัวเองแบบง่ายๆครับ

ผมปั่นวนจากแก่งคอย ขึ้นเขาใหญ่ฝั่งปราจีนจากด่านถึงที่ทำการ
ครั้งแรก ผมใช้เวลา 3ชั่วโมงเต็มๆ (จากเวลาที่อัพ'เตตัสในเฟส)
ครั้งที่สอง ผม(น่าจะ)ใช้เวลา สองชั่วโมงนิดๆ(ไม่น่าจะเกินครึ่ง) (เหตุที่ใช้คำว่าน่าจะ เพราะผมขึ้นเขาเขียวก่อน โดยที่ใช้เวลาจากด่านเนินหอมถึงเเยกเขาเขียว 1:50ชั่วโมงครับ)

ล่าสุดเมื่อวันเสาร์ ผมปั่นด่านชนด่าน โดยเริ่มจากร้านกาแฟเนินหอมตอน6:44(เวลาที่กดเริ่มแอป) แวะถ่ายรูปที่หน้าด่าน กะซื้อบัตรเข้านิดหน่อย
ถึงสามแยกเขาเขียวตอน8:31
ถึงที่ทำการแวะถ่ายรูป อัพ'เตตัส(เวลาที่อัพ)8:47

ซึ่งคิดว่ามันดีขึ้นครับ แค่นี้ก็พอแล้วๆๆๆๆ
รูปประจำตัวสมาชิก
Supharut
สมาชิก
สมาชิก
โพสต์: 85
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ม.ค. 2012, 01:08
Bike: Merida Scultura 300

Re: สอบถามเกี่ยวกับเป้าหมายการปั่นครับ

โพสต์ โดย Supharut »

giro เขียน:เรื่องการปั่นลดน้ำหนัก เป็นสิ่งที่มีข้อถกเถียงและการวิจัยศ฿กษาอย่างต่อเนื่องครับ
แนวความคิดเดิม ย้ำว่าเดิมนะครับ !!

การลดน้ำหนักที่ดีคือการปั่นระยะเวลานาน ที่ความเข้มข้นต่ำ เพื่อให้ร่างกายนำเอาไขมันออกมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพสูงที่สุด เนื่องจากในการออกกำลังกาย 45-60 นาทีแรก ร่างกายจะใช้ไกลโคเจนที่มีสะสมได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเปลี่ยนไปใช้พลังงานที่ช้ากว่าเดิม ซึ่งก็คือคาร์โบไฮเดรทและไขมัน ทว่ากระบวนการเปลี่ยนไขมันเป็นพลังงานจะต้องใช้คาร์โบไฮเดรทมานำอยู่ดี และที่สำคัญ ไขมันจะใช้เป็นจำนวนมากที่ระดับการออกแรงเข้มข้นต่ำครับ กล่าวคือถ้าปั่น 80 กม. แต่ซัดโฮกๆหมดตัวภายใน 2 ชั่วโมงครึ่ง ร่างกายจะใช้ไขมันน้อยมากเพราะที่ระดับนั้น (ประมาณเทมโป้) ร่างกายใช้คาร์โบไฮเดรทเป็นหลัก เพราะสามารถเติมพลังงานได้รวดเร็วกว่ามาก

ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้การปั่นจักรยานเพื่อ "ลดน้ำหนัก" จึงเพ่งไปที่การปั่นระยะยาวและไม่เร็วมาก ซึ่งมีคนที่ทำได้แล้วมากมายลดได้หลายสิบกิโลกรัมในเวลาไม่นานและยั่งยืน

แต่ ย้ำว่า แต่ แต่ แต่
ถามว่าคนทั่วไป มนุษย์ผู้ทำมาหากินจะมีเวลาปั่นกัน 3-4 ชม. บ่อยแค่ไหนกัน?? นั่นสินะครับ วิธีนี้จึงเหมาะสำหรับคนที่มีใจจะปั่นได้อย่างสม่ำเสมอที่รูปแบบนี้ ซึ่งผมได้ทดลองกับตัวเองมาแล้วว่าการปั่น 4 ชม. 3 วันต่อสัปดาห์และควบคุมอาหารนิดหน่อย (นิดหน่อยครับ ผมไม่ใช่คนชอบจำกัดอาหาร ใจยังรักจะกิน) ผมสามารถทำน้ำหนัก 53 กก. ที่ความสูง 165 ซม. ได้ในที่สุด อันเป็นหุ่นในฝันของผม (ทรงนักจักรยานสุดขีด ผอมเพรียว ลีน แทบจะไม่มีไขมันเลย) แต่นั่นหมายถึง ผมปั่นแบบนั้น 3 วันต่อสัปดาห์ และเสาร์อาทิตย์ ยังคงปั่นเร็วแต่สั้นอีก สรุปคือสัปดาห์หนึ่งรวมๆกันแล้วปั่นจักรยานไป 15-20 ชม. !! ระยะทางเท่าไหร่ ไม่ทราบครับ

เอาล่ะครับ ออกมาจากวิธีคิดแบบเก่า ลองมาดูตำราใหม่ ที่เพิ่งมีมาในระยะไม่กี่ปีมานี้ดูครับ และถูกใช้ด้วยโปรนักปั่นอาชีพกันมาแล้วด้วย
เพราะโปรเหล่านี้ เวลาพักฤดูกาลช่วง พฤศจิกายน-ต้นมกราคม บางคนไม่แตะจักรยานเลย กิน นอน เที่ยวแหลก เมาเละก็มี น้ำหนักขึ้นกระฉูด พวกเขาต้องมีคอร์สการปั่นเพื่อลดน้ำหนักกันด้วย ซึ่งนักวิทยาศาสตร์การกีฬากลับค้นพบว่า การเผาผลาญเพื่อลดน้ำหนักที่ดีที่สุดคือการปั่นที่ระดับความเข้มข้นสูง

อ้าว งง เลยครับทีนี้ ผมอ่านพบก็เกิดความสงสัยขึ้นมาทันทีว่ามันค้านกับวิจัยเดิมและพื้นฐานระบบพลังงานของร่างกายเรา แต่ไอเดียง่ายๆมันคือ .... การเผาผลาญให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ จะผลาญอะไรไปก็ตามที แต่อาศัยการควบคุมสิ่งที่กินเข้าไปมาผสมผสานด้วย วิธีนี้ใช้เวลาสั้นกว่า และสามารถทำได้จริงโดยมีความล้าสะสมน้อยกว่ามาก

มาเรื่องความล้าสะสมนะครับ ต้องอธิบายก่อนเลยว่า ความล้านั้น ไม่ใช่ความเหนื่อย แต่เรียกง่ายๆมันคือความกรอบครับ ถ้าปั่น 4 ชม. เบาๆ ร่างกายอาจมีความกรอบสะสม 200 หน่วย แต่ปั่นหนักแต่สั้น 1 ชม. ให้ตายหมดตัวก็จะเกิดความกรอบแค่ 100 หน่วยเท่านั้น !! เรื่องนี้จริงแท้แน่นอนครับ ใครที่ใช้วัตต์ประเมินจะรู้ดี (TSS) และจะรู้เช่นเห็นจริงกันแล้วว่า การปั่นยาวๆนั้น มันทำให้ร่างกายกรอบสะสมได้นานกว่า มากกว่า และส่งผลให้การฝึกไปถึงระดับเข้มข้นได้ยากกว่ามาก พวกโปรสมัยใหม่จึงอาศัยจุดนี้มาปรับรูปแบบการฝึกในช่วงก่อนเปิดฤดูกาลกันนั่นเอง

การปั่นจะเน้นไปที่ช่วงโซน 4 เป็นหลักครับ อาศัยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานด่วนอย่างรวดเร็ว และมีการขึ้นไปเล่นที่ระดับอะแนโรบิค(โซน 5-6) เป็นระยะๆ ที่กระบวนการนี้ ต่อเวลาหนึ่งช่วง จะเผาผลาญพลังงานสูงกว่าโซน 1-2 มากมายหลายเท่า ซึ่งนั่นเองคือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ตั้งเป้าเอาไว้ จากนั้น ทำการคำนวนอาหารและสิ่งที่เอาเข้าปากในแต่ละวัน ให้มีพลังงานพอดี พอเหมาะ ที่ฟื้นตัวได้แต่ไม่เอาไปสะสมเกินเลย ที่จุดนี้ร่างกายจะค่อยๆเอาพลังงานส่วนเกินที่พอกเอาไว้ มาใช้ไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็จะได้น้ำหนักที่เปลี่ยนไป หากแต่วิธีนี้ จะส่งผลระยะแรกช้ามากเพราะน้ำหนักจะไม่ลงอย่างทันทีแต่ได้กล้ามเนื้อมาด้วย แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง ร่างกายจะสามารถใช้พลังงานได้มากขึ้นกว่าเดิมและได้ผลลัพธ์ปลายทางเดียวกัน โดยที่ใช้เวลาต่อสัปดาห์น้อยกว่ามาก เอาเวลาที่เหลือไปเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ความแกร่งของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว ทักษะ และอื่นๆได้มากมาย

ซึ่งวิธีนี้กลับกลายเป็นว่า เหมาะกับมนุษย์เงินเดือน ทำงานทั่วไปมาก เพราะเราๆใครจะมีเวลาปั่นตะบันแหลกกันได้มากมาย วิธีสั้นแต่บ่อยจึงดีกว่า


แต่ แต่ แต่ อีกนั่นแหละครับ .... วิธีใหม่นี้จะได้ผลก็ต่อเมื่อเรากินอย่างถูกต้องด้วย สุดท้ายก็ไม่พ้นพวกกินอาหารแบบไม่อร่อยแต่ก็ต้องกิน กินอาหารนกบ้าง กินผัก กินผลไม้แทนมื้อกันบ้าง บางคน บางช่วงกลางคือซัดแครอทกันเฉยๆก็มี ถ้าทำได้ใจรัก รับรองว่ารุ่ง แต่ในกรณณีที่ .... ชีวิตยังอยากสุข สนุก มันยากมากที่จะลดได้ด้วยแนวคิดใหม่ เพราะผลาญให้ตายอย่างไร ก็ไม่พอกับที่กิน ไขมันที่สะสมมันก็ไม่ได้ใช้เสียที

วิธีที่ผสมผสานซึ่งเป็นทางสายกลางก็คือ... เอามารวมกัน และถูกแนะนำโดยสำนักการโค้ชเจขจ้าพ่อตำราวัตต์
ในวันธรรมดา เน้นอินเทอร์วัลเขมข้น และไปปั่นยาวๆในสุดสัปดาห์แทน ดังนั้นเวลาปั่นต่อสัปดาห์จะอยู่ที่ประมาณ 6-12 ชม. แล้วแต่ช่วงของตารางและแล้วแต่คน โดยทำการควบคุมอาหารบ้างตามสมควร ซึ่งการควบคุมนี้มุ่งไปที่ "กินอะไรเมื่อไหร่" มากกว่าการจำกัดอาหารเฉยๆ(จำกัดไม่ได้แปลว่าอดนะครับ แต่กินจำกัดชนิด)

การกินที่ฉลาดคือการรู้จักกันแป้งและโปรตีนที่เหมาะสม ในช่วงเวลาที่ร่างกายเอาไปใช้ได้ทันที ไม่มีการเหลือสะสม เช่น ภายใน 30 นาทีหลังปั่นมาหมาดๆ กินเลยในเวลานั้น ร่างกายจะเปลี่ยนสิ่งที่ได้ไปเป็นพลังงานด่วนที่ใช้ได้เร็ว กินได้เยอะ แตกต่างจากเวลาปกติที่กระบวนการเปลี่ยนพลังงานไม่ได้ทำงานเต็มที่ พลังงานพวกนี้จะถูกเปลี่ยนไปเป็นถังสะสม ก็...ไขมันนั่นแหละครับ สังเกตุกันง่ายๆว่าหลังปั่นท่านกินให้อิ่มไปเลย อีก 2 ชม. เฮ้ยยย หิวอีกแล้ว นั่นแหละครับมันย่อยและแปลงไปเป็นพลังงานเร็วมาก จากนั้น คำแนะนำนิยมให้กินน้อย บ่อย แทนที่จะกินมื้อหนักๆ พูดง่ายๆคือ รู้ตัวว่าอีก 3 ชม. หิวแน่ๆ อย่าปล่อยให้หิวอดอยากแล้วไปฟาดบุฟเฟ่ต์ แต่เตรียมพร้อมเลยว่า ปั่นเสร็จ กินอาหารให้อิ่มหมีพีมัน จากนั้นอีก 3 ชม. เตรียมอาหารเบาๆรอไว้ กินให้รู้สึกสบายตัว พอมื้อต่อไป ก็กินในปริมาณสมเหตุสมผล

ถ้าทำได้แบบนี้ ลดได้แน่นอนครับ
ไม่ต้องปั่นเยอะ ปั่นมาก ปั่นนาน

ที่สำคัญกระบวนการดังกล่าวในวิถีใหม่ ... ทำให้เป็นขาแรงได้ในเสลาอันสั้น พิกัดระยะทาง 70 กม. จะดีเด่นยอดเยี่ยมได้รวดเร็ว อีกด้วย
ขอบคุณมากครับ
Just Ride.
Paitoon1956
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 1150
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 เม.ย. 2016, 08:17
Tel: 0806364263
team: กาฬสินธุ์
Bike: Nich

Re: สอบถามเกี่ยวกับเป้าหมายการปั่นครับ

โพสต์ โดย Paitoon1956 »

นึกว่ามีวัดด์แล้ว มีHrแล้ว มีโปรแกรมแล้ว
ที่แท้ก็ยังดูมะงุมมะหงา ยังมีจุดบอด ยังมีจุดไม่แน่ใจ
ถ้าเริ่มต้นผิด ก็ผิดไปตลอดเหมือนกัน

ดูๆก็ยังสู้ นักจักรยานผู้คร่ำหวอดอันดับต้นๆของทีมชาติ
ที่มีประสบการอันยาวนาน ที่สะสมประสบการอันเอกอุ
แล้วเอาวัตต์ เอา Hr มาเป็นองค์ประกอบเล็กๆ เพียงเพื่อเป็นแนวทาง รวมกับแนวการฝึกสมัยใหม่

แล้วพวกนักเขียนเรื่องจักรยานที่ว่าแน่นๆเรื่องภาษา ก็บอกออกมาว่า ......(อ่านเอาเอง)

ผมถามโค้ชนักปั้นทีมชาติผู้คร่ำหวอดว่า

ทำใมเลิกปั้นนักจักรยาน?
ท่านตอบว่า กีฬาจักรยานพัฒนาไปจนแพร่หลายกว้างขวางแล้วจนน่าพอใจแล้ว?
และเป็นโค้ชจักรยาน มันไม่ทำเงิน เหมือน เทนนิส เหมือน วอลล์เล่บอล เหมือนกอล์ฟ

ผมถามอีกว่า เสียใจใหมที่ปั้นทีมชาติแล้วลูกศิษย์หายไปเลย
ท่านตอบว่า ท่านเป็นครู มันเป็นเรื่องปรกติอยู่แล้ว ลูกศิษย์เขาก็เดินไปตามทางของเขา

คราวหน้าว่างๆ จะตามไปดู พี่ชูศักดิ์ ศรีพล แห่งทีม ท.อ พาน้องๆไปแข่ง จะได้ไปดู ไปรู้ ไปเห็น จะได้ถามให้จุใจ ที่อยากจะรู้

ใครชอบแบบใหนก็เลือกเอาเอง ทางใครทางมัน

ที่แท้จักรยานก็เหมือนกอล์ฟ ใครเล่น ใครปั่น ก็นึกว่าตัวเองเป็นหนึ่งในตองอู

เอหรือว่า เพราะว่า คน เพราะว่า กิเลสในใจคน

สำหรับผม ซ้อมแบบใหนก็ได้ ปั่นเดี่ยว 100 ก.ม ให้เวลาดีขึ้นๆ เป็นใช้ได้
รูปประจำตัวสมาชิก
Woot Pimpaporn
สมาชิก
สมาชิก
โพสต์: 79
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ค. 2016, 08:21
Bike: Giant tcr adv Pro

Re: สอบถามเกี่ยวกับเป้าหมายการปั่นครับ

โพสต์ โดย Woot Pimpaporn »

ความเดิมช่วงที่ผ่านมา(ตอนนี้ใกล้เลขห้านำหน้าแล่วว)..ชอบออกกำลังกายเป็นประจำอยู่แล้ว..ฟุตบอล วิ่ง..และล่าสุดเลือกทางจักรยาน เนื่องจากผ่าตัดหมอนรองกระดูก หมอแนะนำให้เล่นว่ายน้ำ(ไม่ใช่ทาง) หรือปั่น จกย.(ห้ามโลดโผนโจนทะยาน) จึงเลือกอย่างหลัง..จากนั้นก้อเริ่มจนถึงบัดนี้ได้ปีกว่า ได้รับรู้ว่าร่างกาย+สุขภาพ ดีขึ้นเป็นลำดับ(รับรู้ด้วยตัวเอง เทียบก่อนและหลัง) และผลการของการตรวจสุขภาพประจำปี จากปั่นเพื่อสุขภาพ แปรเปลี่ยนสู่การลงแข่งขัน..บ้าง(ตอบสนองการพัฒนาการของร่างกาย..55) ท้ายสุดแต่คงไม่สุดท้าย..จะคงความต่อเนื่องในการปั่น(แม้สกายเลนจะปิดปรับปรุงยาววว..) และไม่หักโหมจนเกินวัย..กลางคน
giro
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 3092
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 15:14
Tel: 0865040751
team: Team Bike And Body Cycoling
Bike: Kemo KE-R5, Giant Propel Advance SL, Specialized Alez E5 Revolution
ตำแหน่ง: ซอยอารีย์ พหลโยธิน กทม.
ติดต่อ:

Re: สอบถามเกี่ยวกับเป้าหมายการปั่นครับ

โพสต์ โดย giro »

ผมไม่ถกเถียงในเรื่องยิบย่อยแล้วนำไปลากต่อเป็น fact ที่สรุปเอาเองครับ
ซึ่งผมจะขอให้ความเห็นที่ชัดเจนว่า

ผมไม่เห็นด้วยว่าการเอานักกีฬา หรือใช้คำว่า "ทีมชาติ" มาอ้าง จะเ)็นการสนับสนุนข้อมูลใดๆได้เลย
ถ้าท่านอยู่ใกล้กับนักกีฬาเหล่านั้น ท่านจะได้เฆ็นเด็กหลายๆคนที่น่าจะไปถึงฝั่งฝันได้ไกลกว่านี้แต่พับลงเพราะอาการบาดเจ็บเรื้อรังที่เกิดจากการฝึกซ้อมที่ไม่เหมาะสม นั่นเพราะอะไร?? เพราะหัวใจสำคัญบางอย่างที่บอกว่า "ปั่นไปเถอะ ซ้อมมาก ให้หนักไว้ก็เก่ง" อย่าลืมนะครับว่าหลายสิบปีก่อนนี่คือแนวทางที่แนะนำกันในหมู่รุ่นเดอะ

ต่อมาก็เริ่มมีกระบวนการวิทยาศาสตร์เข้ามา และนั่นเองที่เริ่มเปลี่ยน แต่เพราะอะไรก็ไม่รู็ นักกีฬาเก่งๆระดับแนวหน้าของประเทศไทย กลับเป็นกลุ่มที่สองที่เริ่มเปลลี่ยน ย้อนไปง่ายๆสิบกว่าปีก่อน สายฮาร์ทเรท มีนักกีฬาระดับประเทศใช้กันกี่คน?? ในขณะที่เนื้อหาวิชาการการฝึกซ้อมมันมีมาแล้ว

สิ่งหนึ่งที่เป็นจริงและตค้องยอมรับคือ ความไม่เข้าถึงข้อมูลของนักกีฬา ถูกต้องครับเพราะเขาคือ"นักกีฬา" และประเทศนี้ใช้วิธี "เชื่อในผลงาน" มากกว่าเชื่อในการศึกษา ทำไมนะ ในเมื่อคนเขียนตำราการโค้ชที่โปรยุโรปก็ใช้กันเป็นหลัก เขาก็เขียนเอาไว้แล้วแต่คนก็ยังไม่เชื่อกัน อ๋อ เพราะ

1.คนที่เขียนไม่เคยมาปั่นให้เห็นว่าแรงจริงหรือแค่เขียน
2.คนที่เขียนไม่เคยติดธงบนอก และไม่เคยเข้าไปสอนทีมไหนให้ได้เห็น

ปัญหานี้มีกับทุกวงการ เราเลือกคนจากอะไรก็รู็กันดีอยู่
ตอนนีโค้ชทีมชาติปัจจุบันใช้วัตต์เรียบร้อยแล้ว แต่โดยความเคารพเลยครับ ผมก็เชื่อว่าท่านไม่ได้เข้าถึงระดับไปนั่งอ่านไอ้ตำราที่ครูคนแรกมันแต่งมา ที่ดันมีคนอื่นอ่านจะแตกไปหลายคน อย่าว่าแต่นักกีฬาหรือโค้ชหลายๆท่านเลย

แต่อย่าเพิ่งสรุปที่จุดนี้ครับว่ามันผิดหรือถูก
ผมย้ำเสมอว่า ผมเคารพในความรู้ฝังกันมาแต่อ้อนแต่ออก จะเป็นตะบันปั่น จะเป็นจี้สิบล้อ มอไซค์ลาก เอาเข้าจริงก็เคยลองมาแล้ว และได้พบว่า แท้ที่จริง พี่ๆ น้าๆ รุ่นๆนั้นเค้าแค่ไม่สามารถอธิบายมันออกมาเป็นเนื้อหาได้ครับ แต่สิ่งที่ทำนั้น สอดคล้องและใกล้เคียงกับวิชาการยุคใหม่อยู่หลายจุด

นี่คือความเจ๋งของประสบการณ์

แม้แต่สำนักซ้อม ที่ใช้ตำรามาจากต้นกำเนิดยุคใหม่นี้เหมือนกัน ก็ยังมีแนวทางกานำไปพัฒนาที่แตกต่างกัน สิ่งสำคัญคือเราต้องศึกษาความต่างของหลายๆแนวความคิดเพื่อทำความเข้าใจมันครับ
ไม่มีผิด หรือถูกทั้งสิ้น เพียงแต่เลือกใช้ให้เหมาะกับปัจจัยแวดล้อม

ก่อนจากผมขอฝากแนวคิดหนึ่งว่า


ถ้าทำได้เพียงบอกสิ่งที่รู้ ... ก็แค่ที่ปรึกษา
ถ้าทำได้แค่บอกว่าทำอย่างไร ... เป็นได้แค่ผู้ฝึก (เทรนเนอร์)
ถ้าอยากเป็นโค้ช ... ต้องนั่งอยู่ในใจของนักกีฬา และสร้างให้เขาอยากพัฒนาต่อได้ด้วย

ไม่ว่าจะเป็นครู ครูของครู จะใช้วิชา วิทยาใดๆ ทุกอย่างคือปูมความรู้ที่สูงค่าควรเคารพ
แต่การตั้งคำถามและค้นหาคำตอบจตากแหล่งที่มาที่หลากหลาย ... โดยเข้าใจแหล่งที่มา ช่วยให้เราปรับใช้ได้หลากหลายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตำตอบมีอยู่ทุกที่ ไม่ใช่ในเว็บ ในหนังสือ ไม่ใช่จากคน
แต่มันคือ "ทุกอย่าง"

อย่าปิดกั้น ขีดเส้นแบ่ง อย่าเลือกที่ชอบ ที่รัก
เมื่อไร้ คติ ก็จะไม่มี อคติ เราก็จะเป็นภาชนะที่ว่างเปล่า พร้อมจะใส่สิ่งใหม่ได้ไม่จบสิ้น
ฟังสาระจักรยาน Podcast
https://open.spotify.com/show/76iDUCWXgqqixg1CmoSDIp
ข่าวสารจัรกยาน
https://www.facebook.com/cyclinghubthailand/
รูปประจำตัวสมาชิก
teemai
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 268
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2011, 08:53
Tel: 0891720453
team: กลุ่ม แร้งคอย
Bike: ฟิกเกียร์

Re: สอบถามเกี่ยวกับเป้าหมายการปั่นครับ

โพสต์ โดย teemai »

ยุคสมัยเปลี่ยน แนวคิดเปลี่ยน ความเชื่อก็เปลี่ยน

เอาที่เห็นง่ายๆ ก็เรื่องขาจานครับ สมัยก่อนค่อนข้างที่จะยาว(กว่าสมัยนี้) พอมาสมัยนี้ กลับสั้นลง(กว่าสมัยก่อน)

ไม่แน่ในอนาคต ขาจานมาตรฐาน อาจจะยาว190++ รึไม่ก็ สั้นจุ๊ด เป็นbmx เลยก็ได้
รูปประจำตัวสมาชิก
Kittisuk Tessana
สมาชิก
สมาชิก
โพสต์: 31
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2017, 16:35
Tel: 0968744366
team: -
Bike: Daccordi Mitico 1990
ติดต่อ:

Re: สอบถามเกี่ยวกับเป้าหมายการปั่นครับ

โพสต์ โดย Kittisuk Tessana »

ชอบกระทู้นี่จริง
Paitoon1956
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 1150
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 เม.ย. 2016, 08:17
Tel: 0806364263
team: กาฬสินธุ์
Bike: Nich

Re: สอบถามเกี่ยวกับเป้าหมายการปั่นครับ

โพสต์ โดย Paitoon1956 »

teemai เขียน:ยุคสมัยเปลี่ยน แนวคิดเปลี่ยน ความเชื่อก็เปลี่ยนน

เอาที่เห็นง่ายๆ ก็เรื่องขาจานครับ สมัยก่อนค่อนข้างที่จะยาว(กว่าสมัยนี้) พอมาสมัยนี้ กลับสั้นลง(กว่าสมัยก่อน)

ไม่แน่ในอนาคต ขาจานมาตรฐาน อาจจะยาว190++ รึไม่ก็ สั้นจุ๊ด เป็นbmx เลยก็ได้
ยุคสมัยเปลี่ยน แนวคิดเปลี่ยน ความเชื่อก็เปลี่ยน

เห็นคำนี้ทีไร อดนึกถึงธรรมที่คุ้นเคยไม่ได้
ธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ทันสมัยอยู่เสมอ ทุกยุคทุกสมัย
องค์หลวงตามหาบัว ถึงกับยืนยันว่า ธรรมที่องค์ท่านพบ เจอ สำเร็จ

เหมือนกัน อันเดียวกัน กับที่พระพุทธองค์พบเจอ
รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน

พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ รู้ธรรม เห็นธรรมอย่างเดียวกัน ผ่านไปเป็นกัปๆ ก็ยังธรรมอันเดิมๆ

ผมเคยถามเพื่อนที่สมัยนั้นเป็นอดีตทีมชาติเจ้าของสถิติ 1,000 เมตรว่าใช้ขาจานยาวเท่าไร? เขาบอกว่า 175 ออกตัวได้แรง ออกตัวได้เร็ว ตั้งลำได้เร็ว
เขาสปริ้นออกตัวทีจักรยานโยกเอียงซ้ายเอียงขวามากที่สุดเท่าที่เคยเจอ

แต่อีกคน พี่ขำ แชมป์ 1,000 เมตรเขต4 ขอนแก่น กลับใช้ขาจานแค่ 162.5 เพราะเร่งรอบได้เร็วกว่า ได้สูงกว่า ใครชนะเขา พอรอบสอง เขาก็เร่งเอาชนะจนได้

ธรรม กีฬา ก็ไม่ต่างกัน ต้องใช้ปัญญา ต้องใช้การพิจารนาเหมือนๆกัน

เพียงแต่ว่า ใครจะอ่านเอา ใครจะพิจารนาเอา ใครจะรู้แบบผุดขึ้นในจิต

โค๊ชจักรยานยุคเก่านั้น เขาคร่ำหวอด เขาคิด เขาวิเคราะห์ มากเกินกว่าคนยุคหลังจะเข้าใจจะนึกถึงได้

เพราะจักรยานนั้นก็คือ พาหนะสองล้อที่ปั่นโดยคน
ดังนั้น คนจึงสำคัญ

กีฬาความเร็วนั้น มันมีแค่ ความเร็วรอบ กับ แรงม้า/แรงบิด/แรงกด เป็นหลัก

ยิ่งจักรยานก็มีแค่ รอบขา กับ แรงกด+การควงขา
จะเอารอบจัด จะเอาแรงกด จะเอากลางๆ ก็ฝึกเอาเอง

จะเอาทฤษฎีมากมายแบบมหานิกาย หรือจะเอาแบบง่ายๆเพียวๆแบบธรรมยุติ ก็พิจารนากันเอาเอง
ตอบกลับ

กลับไปยัง “เสือหมอบ (roadbike)”