แลเขาดูเรา : ระบบการจัดการการแข่งจักรยานเมืองฝรั่ง รากฐานการพัฒนาจากรากสู่จุดสูงสุดแห่งความสำเร็จ
โพสต์: 11 ส.ค. 2015, 16:49
แลเขาดูเรา : ระบบการจัดการการแข่งจักรยานเมืองฝรั่ง รากฐานการพัฒนาจากรากสู่จุดสูงสุดแห่งความสำเร็จ
กระแสจักรยานได้"บูม"สุดขีดในบ้านเรามาได้รวมระยะเวลาถึงวันนี้ก็เกือบๆ 3 ปีแล้ว จากจุดเริ่มต้นของกระแสจักรยานแฟชั่นเมื่อเกือบ 5 ปีก่อน มาสู่กระแสแห่งการออกกำลังกาย จนเกิดเป็น "เสือหมอบฟีเว่อร์" เมื่อยอดขายจักรยานพลิกผันกลับหน้ามือเป็นหลังมือ นอกจากยอดขายพุ่งกระฉูดถึงระดับการเติบโต "เลขสามหลัก" ในหลายๆเจ้า กลายเป็นจุดพลิกของการรับรู้และเลือกซื้อจักรยานซักคันของคนในสังคมไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อ 8 ปีก่อนใครจะมาเลือกซื้อเสือหมอบคงต้องผ่านพ้นกับคำทักท้วงมากมายถึงเหตุอัน"ไม่เหมาะสม" แต่ทุกวันนี้ กระแสสังคมได้พิสูจน์แล้ว่าเสือหมอบกลายเป็นหนึ่งในทางเลือกของการออกกำลังกายอย่างมีประสิทธิภาพในทุกมุมเมือง
และเมื่อการออกกำลังกายเติบโตจากจุดเริ่มต้นของคนรักสุขภาพ ไม่นานสิ่งที่งอกงามตามไปด้วยคือ"การแข่งขัน" ซึ่งอย่าปฏิเสะเลยครับ ในตัวมนุษย์เรามีจีเนติคหรือสายพันธุ์ของการแข่งขันติดมาด้วยตั้งแต่เกิดทุกคน แม้แต่คนที่บอกว่า"ไม่สนใจการแข่งขัน" แต่ผมก็เห็นเวลาปั่นแต่ละครั้งเอา "เอวี" มานั่งดูหลังปั่น หรือคอยดูเวลาที่ปั่นว่าได้เวลาเท่าไหร่ ยังไม่นับความต้องการพิชิตเส้นทางไกลขึ้น ซึ่งในทางกลับกันมันก็คือต้องการไปให้ได้เร็วขึ้นในระยะทางเท่าเดิมนั่นเอง จนเกิดเป็นงานแข่ง"วัดใจ" หรือ "ใจเกินร้อย" กระจายไปทั่วทุกหัวระแหง และมีงานจักรยานระดับยอดนิยม เป็นที่กล่าวขสัญถูกจัดเพื่อรองรับทั้งงานเก่าที่เติบโตจนยิ่งใหญ่อย่าง"ทัวร์ออฟหัวหิน" หรือการเติบโตของงนแข่งจักรยานมหาชน"ทัวร์เดอฟาร์ม" ตลอดจนงานใหญ่ระดับเซเล็บแบบ"เวิลด์เทรเวลจอย อีสท์โคสท์ชาเลนจ์" ยังไม่นับกระแสงานแนวๆที่กำลังเป็นที่สนใจมากๆอีกหลายๆงานอย่าง "บางกอกไครทีเรียม" เรียกว่าถ้านั่งไล่ชื่อการแข่งดังๆร่วมกับงานแข่งสุดท้าทายของ"แอลอาร์ที" รับรองว่าเดือนหนึ่งๆมีงานแข่งให้ลงได้อย่างน้อยเดือนละหนึ่งงาน และอาจต้องทำใจเลือกงานที่รักที่ชอบในบางช่วงของปี
แต่... อะไรคือพัฒนาการที่ยั่งยืน? การมีงานแข่งจัดอย่างมากมายย่อมเป็น"กิจกรรม" ที่กระตุ้นให้นักปั่นต่างๆมีความท้าทายและเป้าหมายในการปั่นจักรยานต่อไป ยิ่งปั่นต่อไปก็ยิ่งมีธุรกิจจักรยานอยู่ต่อไป การซื้อขายยังคงแข่งขัน คนได้เปรียบคือผู้บริโภค คนเข้าถึงได้ง่าย ราคาหลากหลาย เกิดนักปั่นหน้าใหม่ และเป็นตัวเลือกสู่การพัฒฒนากีฬาจักรยานอย่างเป็นระบบต่อไป มันผูกกันมาเป็นลูกโซ่ จะเป็นดอกไม้ประดับเล็กๆ แต่จักรยานทุกชนิดล้วนเป็นหนึ่งในภาพประกอบของสวนพฤษศาสตร์ขนาดใหญ่ของจักรยานไทยนั่นเอง
คำถามที่ยังคาใจก็คือ ... มันยั่งยืนเพียงใด ผมคงไม่สามารถบังอาจมานั่งพูดได้ว่าอะไรคือการเกาะกระแสสร้างกิจกรรมของภาคต่างๆ ผมเชื่อว่า(เชื่อ)ทุกท่านจัดงานต่างๆด้วยใจที่ประสงค์ต่อส่วนรวมไม่มากก็น้อย คงไม่มีใครเริ่มต้นจัดงานด้วยฟันธงว่าข้าจะมาฟันกำไรให้บาน น้ำขึ้นรีบตักเอาไว้ กระแสลงเมื่อไหร่ก็เลิกจัด (เชื่อ) แต่ มีจุดสังเกตุหลายอย่างที่อยากจะนำมาบอกเล่าว่าเมื่อแลบ้าน(นอก)เขา แล้วส่องมามองเรา มีหลายจุดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มันอาจจะดี หรือไม่ดี แต่การมองและศึกษาเอาไว้ ก็ย่อมดีกว่าก้มหน้าก้มตา"มุด"ทำไปแบบไม่มีทิศทางใช่มั้ยครับ ผมขอยกตัวอย่างระบบการจัดการการพัฒนาจักรยานของ"สมาพันธ์จักรยานสหรัฐอเมริกา" เอาเป็นว่าเนื่องจากผมบังเอิญมีโอกาสได้ไปอยู๋เมืองนอกเมืองนามาบ้าง ได้ไปขี่จักรยาน ได้ไปสัมผัสกับมันมานิดๆหน่อยพอเป็นน้ำจิ้มให้ได้เห็นสิ่งดีๆที่น่าจะเอามาทบทวนเรา ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญกีฬาจักรยานหรอกนะครับ ทุกอย่างที่ลงเอาไว้ สามารถดาวน์โหลดได้จากคู่มือการแข่งของทางสหรัฐฯเค้า ที่ทุกคนที่สมัครแข่งสามารถอ่านได้ แค่เอามาแปลเป็นภาษาไทยให้อ่านกันสนุกๆเท่านั้น
เอาล่ะครับมาเริ่มกัน หลังจากร่ายมาเสียยาว ระบบการจำแนกการแข่งขัน
เริ่มต้นมาจำแนกการแข่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆก่อนนะครับ กลุ่มแรกที่จะไม่พูดถึงมากนักคือ"คลับเรซ" หรือการจัดแข่งแบบอิสระไม่มีการเข้ามาจัดการดูแลโดยสมาพันธ์จักรยานสหรัฐฯ อาจขอความร่วมมือในการช่วยเหลือเช่นด้านเทคนิคและการจัดการ แต่ไม่มีผลสะสมในระบบการแข่ง ซึ่งมีน้อยมากครับ ส่วนมากจัดกันเองสนุกๆระหว่างสโมสรต่างๆเป็นงานอุ่นเครื่อง มักเป็นการแข่งแบบไทม์ไทรอัล(จับเวลา) อีกประเภทที่เราเอามาคุยกันวันนี้ได้แก่การแข่งแบบทั่วไปหรือได้รับการรับรองโดยสมาพันธ์จักรยานสหรัฐฯผ่านตัวแทน,สโมสร หรือองค์กรท้องถิ่นที่ขอความร่วมมือมาอย่างเป็นทางการ มีรูปแบบการจัดที่มีมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศและผลการแข่งขันใช้ในกระบวนการพัฒนาระดับการแข่งได้ อ่านมาถึงตรงนี้ใครไม่สนใจการแข่งจักรยานคงเบือนหน้าหนี อย่าเพิ่งครับ ผมขอเล่าก่อนว่า ในบ้านเรานักปั่นหลายแสนคน ...มีกี่คนที่มีบัตรนักกีฬาจักรยาน?? แต่ในสหรัฐอเมริกาที่มีการแข่งจักรยานเยอะแยะมากมายทั้งวันสุดสัปดาห์และวันธรรมดา นักปั่นที่จริงจังมากกว่าปั่นเอาแรงออกเหงื่อเกือบทุกคนคยมีบัตรแข่งขันมาแล้วอย่างน้อยๆหนึ่งครั้งในชีวิต อะไรคือปัจจัยตรงนั้น มาดูกันต่อครับ เมื่อจำเพาะเจาะจงมองกันเฉพาะการแข่งที่รับรองผ่านสมาพันธ์จักรยานสหรัฐฯ มีระบบการจัดการแบ่งระดับการแข่งขันหรือเรียกกันง่ายๆว่า"แคทตากอรี่" (เรียกกันสั้นๆว่า"แคท") ต่างๆดังนี้
การแบ่งระดับการแข่งจักรยานถนนและลู่
ELITE หมายถึงมืออาชีพ, โปรทีม
CAT1 ระดับสูงสุดของมือสมัครเล่น ซึ่งบ่อยครั้งที่มีขึ้นไปกระทบโปรคว้าแชมป์รายการต่างๆเช่นการชิงแชมป์ประจำรัฐ
CAT2 ระดับรองสูงสุดของมือสมัครเล่น มีรูปแบบการแข่งเหมือนกับระดับสูงสุดแต่ความเข้มข้นต่ำกว่า
CAT3 ระดับกลางของมือสมัครเล่นและเป็นระดับเริ่มต้นของการแข่งอย่างจริงจัง
CAT4 ระดับเริ่มต้นการแข่งจักรยานถนน มีการแข่งทุกอย่างยกเว้นการแข่งแบบทัวร์(เสตจเรซ หรือการแข่งหลายวัน)
CAT5 ระดับเริ่มต้นของการแข่งจักรยานถนน ทุกคนต้องเริ่มและผ่านระดับนี้มา ไม่ว่าเก่งแค่ไหนเมื่อเริ่มลงทะเบียนต้องเข้ามาเร่ิมที่ระดับนี้ และถือเป็นบันไดก้าวแรกที่สำคัญ
MASTER สำหรับรุ่นอาวุโส *หมายเหตุ สำหรับรุ่นผู้หญิงแบ่งเป็น 4 ระดับ(ELITE, CAT1-4) ส่วนการแข่งไซโคลครอสแยกเป็น 4 ระดับ และ 3 ระดับสำหรับประเภทเสือภูเขา การแบ่งระดับแบบนี้มันดีอย่างไร? คำถามนี้ผมยังไม่ตอบนะครับ มาดูรายละเอียดกันก่อนว่าแล้วแต่ละระดับมันเลื่อนชั้นกันอย่างไร...
...แน่นอนว่าถ้าเป็นหน้าใหม่ซิงๆไม่ว่าอายุเท่าไหร่ก็ตาม มาถึงก็สมัครแข่ง จะสัมครออนไลน์แล้วจ่ายค่าธรรมเนียมรายปี หรือไปสมัครใบผ่านหน้างานจ่ายเป็นงานๆไปก็ได้(ถ้าจะแข่งบ่อยๆแน่ๆก็จ่ายรายปีคุ้มกว่าเยอะมากครับ ถ้าแข่งสนุกๆไปจ่ายเป็นงานๆไปก็ได้) ก็ต้องเริ่มกันที่"แคทห้า"(CAT5) หรือระดับเริ่มต้นกันก่อน คุณจะเป็นทีมชาติไทยไปอยู่ที่นั่น เริ่มแข่งงานแรกก็ไม่พ้นต้องมาไต่ระดับครับ หลักเกณฑ์การขอเลื่อชั้นจาก CAT5 ขึ้นไป CAT4 ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย ต้องจบการแข่งขันที่รับรองโดยสมาพันธ์จักรยานสหรัฐฯอย่างน้อย 10 รายการ ซึ่งงานเหล่านั้นต้องมีระยะทางอย่างน้อย 24 กม. สำหรับการแข่งแบบแมสสตาร์ท และ 16 กม.สำหรับการแข่งแบบไครทีเรียม 24 กม.แข่งแมสสตาร์ท, 16 กม.ไครทีเรียม ...ขี่สนามเขียวหนึ่งรอบ!? ถูกแล้วครับอ่านไม่ผิดและผมไม่ได้แปลผิดด้วย เพราะ ระยะทางการแข่ง CAT5 ส่วนมากถูกออกแบบมาเท่านั้นจริงๆ จุดประสงค์ของระดับนี้คือการเป็นระดับเริ่มต้นของมือใหม่ ที่มีเวลาในการซ้อมจักรยานแค่สัปดาห์ละ 1 ชม.ก็มาแข่งได้แล้ว เค้าให้ความสำคัญกับก้าวแรกเสียยิ่งกว่าสิ่งอื่น ก้าวแรกที่ดี มีคุณภาพ คือก้าวที่จะสร้างนักปั่นอาชีพอย่าง ทีเจย์ แวนเกรเดร็น ไปแข่งตูร์เดอฟร็องซ์ไงครับ ที่สำคัญอีกอย่างก็คือในงานแข่งเกือบทุกงานที่จัดภายใต้การดูแลและร่วมมือของสมาพันธ์จักรยานสหรัฐฯ จะต้องมี CAT5 ทุกงาน ทุกที่ รวมไปถึงงานแข่งไครทีเรียมแบบ"ซีรีส์" (เช่นแข่งทุกสัปดาห์ มีการเก็บคะแนนสะสมเพื่อชิงแชมป์รวมของทั้งซีรีส์) สัปดาห์หนึ่งมีกันตั้งแต่ 1-3 งาน นั่นแปลว่า ขอให้คุณเริ่มต้นแข่งจักรยานกับระบบนี้ แข่งไปราวๆเดือนกว่าๆ ก็จะไต่ขึ้น CAT4 ได้แล้วนั่นเอง (จะไม่ขึ้นก็แล้วแต่คุณครับ นั่งกวาดถ้วยแม้วเหมียวไป แข่งครั้งละชั่วโมง แต่ผู้จัดส่วนมากจะมีระบบการจัดการเช่นถ้าได้แชมป์ CAT5 ติดกัน 3 รายการ จะเตะบังคับให้ลง CAT4 ครับ กฏแบบนี้ผู้จัดสามารถใส่เข้าไปได้เองไม่เกี่ยวกับสมาพันธ์จักรยานสหรัฐฯ) คุณพระ... CAT5 ระยะสั้นยิ่งกว่าถ้วยวัดใตบ้านเราเสียอีก(ผมคิดในใจ) ความท้าทายมันอยู่ที่ CAT4 ครับ เมื่อผ่านการเป็น"มือใหม่หัดแข่ง" มาแล้ว ระยะทางจะยาวขึ้น ความท้าทายจะมากขึ้น(เส้นทาง CAT5 ส่วนมากตัดเส้นทางยากๆทิ้งไปหมด ภูเขานี่แทบไม่ต้องพบเจอ ทางตรงๆยาวๆเสียเป็นส่วนใหญ่ หรือวนรอบเล็กๆแค่ 2-3 รอบก็จบแล้ว) ความสนุกของการแข่งจริงๆมาอยู่ที่ CAT4 นี่แหละครับ เมื่อเกณฑ์ในการเลื่อนชั้นไปสู่ CAT3 บังคับให้นักปั่นต้องพัฒนาตัวเองกันอย่างสนุกสนาน มีข้อกำหนดในการเลื่อนชั้นดังนี้ การเลื่อนชั้นจาก CAT4 ไปสู่ CAT3 (ข้อใดข้อหนึ่ง หรือหลายข้อรวมกันก็ได้)
-จบการแข่งขันในระดับ CAT4 อย่างน้อย 25 สนามที่มีจำนวนผู้ร่วมแข่งอย่างน้อย 10 คน
-จบการแข่งขันพร้อมกลุ่มเปโลตอง CAT4 ที่มีผู้แข่งขันมากกว่า 30 คนอย่างน้อง 10 รายการ
-จบการแข่งขันพร้อมกลุ่มเปโลตอง CAT4 ที่มีผู้แข่งขันมากกว่า 50 คน อย่างน้อย 20 รายการ
-สะสมแต้มแข่งขันอย่างน้อย 30 แต้ม โดยแต้มการแข่งขันได้จากอันดับในการแข่งรายการต่างๆ และการเข้าร่วมอบรมกับหน่วยงานที่ได้รับความร่วมมือจากสมาพันธ์จักรยานสหรัฐฯ ภายใน 12 เดือน
มาแปลกันง่ายๆก็คือถ้าแข่งงานเล็กๆคนแข่งในรุ่นมี 10 คนขึ้นไปก็แข่งสะสมไป 25 สนาม หรือถ้างานใหญ่หน่อย มากกว่า 30 คนก็จบพร้อมกับกลุ่มใหญ่(อย่าหลุดกลุ่ม)ให้ได้ 10 สนาม และงานใหญ่ๆดังมากๆที่แข่งกันมากกว่า 50 คน ก็หมกกลุ่มไปให้ได้ 20 สนามก็เป็นอันว่าผ่านเกฑ์ให้เลื่อนไปสู่ระดับ CAT3 เพื่อแข่งทัวร์หรือรายการที่ยากขึ้นได้แล้ว ก็เช่นเดียวกับ CAT5 ครับ รายการสำคัญหลักๆแทบทุกรายการจะมีระดับ CAT4 และมีให้ลงกันได้เต็มที่เดือนๆนึงลงกันได้ 10-15 งาน ก็มี ดังนั้นขอเพียงมาแข่งและรักษาระดับเอาไว้ได้อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยๆก็มีโอกาสเลื่อนชั้นได้ไม่ยาก ถ้าเป็นขาแรงหน่อย หรือสมมุติระดับทีมชาติไทยบังเอิญย้ายบ้านไปอเมริกา ขาขนาดกระทืบ CAT4 เล่นสบายๆ ก็สะสมแต้มอันดับไปเรื่อยๆ ตามตารางดังนี้
แต้มสะสมรายการแข่งขันแมสสตาร์ท แต้มสะสมรายการแข่งขันไครทีเรียม จากตารางการให้คะแนนของการแข่งขัน สมมัติว่าได้แชมป์ CAT4 รายการใหญ่ๆมา 3 รายการก็สามารถขยับขึ้นไปเล่น CAT3 ได้แล้ว หรือในอีกทางหนึ่ง ก็เป็นทางเลือกทั้งการวางแผนแข่งและซ้อมของแต่ละคนได้ว่าจะเน้นไปเก็บแต้มรายการไหนบ้าง (สำหรับขาแรง) ก็ได้ ซึ่งแน่นอนว่าหากสะสมแต้มเหล่านี้ได้ ก็มีโอกาสได้เลื่อนชขั้นเร็วกว่าแค่สะสมผลงานการแข่งให้จบตามเกณฑ์เฉยๆอย่างแน่นอน
การอบรมต่างๆ หรือแม้แต่พวกแคมป์ฝึกสอนที่คิดเงิน หลายๆสำนักมีการผูกเชื่อมกับสมาพันธ์จักรยานสหรัฐฯ สามารถนำเอา"หน่วยกิต"ของการอบรมนั้นๆไปสะสมแต้มเพื่อเลื่นชั้นได้เช่นกัน เนื้อหาการอบรมของระดับ CAT4 ส่วนมากก็คือการ"แข่งให้ปลอดภัย" และกติกาสำคัญต่างๆที่นักแข่งควรรู้ รวมถึงข้อปฏิบัติเพื่อเป็นนักจักรยานที่ดี เพราะเมื่อขึ้นไป CAT3 การแข่งขันจะเริ่มร้อนแรงขึ้น อันตรายขึ้น การอบรมต่างๆเหล่านี้เป็นตัวช่วยคัดกรองและเตรียมความพร้อมนักจักรยานได้เป็นอย่างดี ที่ระดับ CAT3 การแข่งขันจะเริ่มเข้มข้นมากขึ้น มีเส้นทางที่ท้าทายและระยะทางที่ยาวขึ้น ให้สอดคล้องกับระดับความสามารถของคนที่ก้าวขึ้นมาสู่ชั้นนี้ได้ ที่สำคัญ มีรายการทัวร์สมัครเล่นให้ได้ลงแข่งกันอีกด้วย ดังนั้นเกณฑ์ในการผ่าน CAT3 ไปสู่ CAT2 เริ่มที่จะยากขึ้นกว่า สองระดับแรกแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงเชิงปฏิบัติที่ระดับ CAT3 ถือเป็นระดับยอดนิยมของนักแข่งสมัครเล่นส่วนใหญ่ ที่มักจะมาตันหรือคงอันดับเอาไว้ที่ระดับนี้ เพราะหากต้องการก้าวผ่านระดับนี้ขึ้นไป หมายถึงทั้งวินัยการซ้อมและรูปแบบการพัฒนาต้องจริงจังมากกว่าแค่ขี่วันหยุดสุดสัปดาห์ อีกทั้งต้องเร่ิมมีการทำงานระบบทีมเวิร์คเข้ามาเกี่ยยวข้อง เป็นที่น่าสังเกตุว่าทีมระดับ"กึ่งสมัครเล่น" หรือสโมสรกึ่งสมัครเล่นที่เริ่มให้การสนับสนุนทีมและนักแข่งก็จะเริ่มที่ CAT3 นี้เอง ทีมที่จริงจังบางทีมระบุเอาไว้เลยว่าผู้มารับสมัครทดสอบร่วมทีมต้องผ่านการแข่ง CAT3 มาอย่างน้อย 2 ปีเพื่อยืนยันว่ามีพื้นฐานการแข่งที่ดีพอ ดังนั้นในมุมกลับ CAT3 คือระดับของการแข่งขันที่เป็นบันไดส่งต่อไปสู่การพัฒนาอย่างจริงจังนั่นเอง เกณฑ์ในการเลื่อนจาก CAT3 ไปสู่ CAT2
-สะสมแต้ม 40 แต้มภายในเวลา 12 เดือนนับตั้งแต่เร่ิมนับแต้ม (อาจแข่ง CAT3 มานานเท่าไหร่ก็ตามแต่หากย้อนหลังไป 12 เดือนมีคะแนนสะสมมากกว่า 40 แต้ม สามารถสมัครเลื่อนชั้นไป CAT2 ได้)
เกณฑ์ในการเลื่อนจาก CAT2 ไปสู่ CAT1
-สะสมแต้ม 50 แต้มภายในเวลา 12 เดือนนับตั้งแต่เร่ิมนับแต้ม จะสังเกตุได้ว่าการเลื่อนช้ันจาก CAT3 ขึ้นไปชั้นสูงขึ้นอย่าง CAT2 และ CAT1 ต้องทำผ่านการสะสมแต้มเท่านั้น แปลว่าผู้เข้าแข่งขันต้องเน้นการพัฒนาเพื่อสร้างผลงานการแข่งขันและอันดับที่ดีในการแข่งขันด้วย เพราะมีเวลาสะสมแต้มเพียง 12 เดือน หากพ้น 12 เดือนไปแล้วก็ต้อง ที่สำคัญฤดูกาลแข่งขันของสหรัฐอเมริกาไม่ได้มีแบบต่อเนื่องตลอดทั้งปี ในบางรัฐจะหยุดการแข่งประเภทถนนทุกอย่างระหว่างเดือน กันยายน-มกราคม (หายไป 5 เดือน) มีเวลาสะสมแต้มของการทำอันดับการแข่งขันเพียงแค่ 8 เดือนเท่านั้น และช่วงที่มีการแข่งคึกคักอาจอยู๋ในช่วงเวลาเพียง 4 เดือนที่อากาศอบอุ่นแสงแดดดีแบบหน้าร้อนฝรั่ง ต้องบอกไว้เลยว่าการก้าวจากระดับ CAT3 ขึ้นไปอยู๋ที่สองระดับบน ไม่ใช่ของง่ายสำหรับนักแข่งแบบ"จอมยุทธสุดสัปดาห์" แต่ต้องเป็นนักปั่นที่ขยัน มีวินัย อยู๋ในทีมที่พร้อมและมีแผนการแข่งที่ชขัดเจน ส่วนระดับ CAT1 นั้นถือว่าเป็นน้องๆโปรมืออาชีพแล้ว บ่อยครั้งที่ทีมสมัครเล่นระดับ CAT1 ได้รับเชิญเข้าแข่งรายการอาชีพสำคัญๆกระทบไหล่กับโปรของแท้ และเป็นโอกาสให้ถูกดึงตัวไปมีสัญญาจ้างเป็นนักจักรยานอาชีพได้ต่อไป ซึ่งโปรสัญชาติมะกันบางคนเริ่มต้นเส้นทางสายนักปั่นอาชีพเอาตอนอายุ 26-27 ปีแล้วด้วยซ้ำ เพราะผ่านเส้นทางวิบากกรรม ทำงานหาเลี้ยงตัวเองไป ไล่แข่งเก็บเกี่ยวจนได้ผลงานโดดเด่นจนได้เป็นโปรของแท้ในที่สุด ใครอดทนอ่านมาถึงจุดนี้ได้ คงได้คำตอบว่า "บ้านเขามาถึงจัดๆนี้ได้อย่างไร" เพราะกระบวนการทั้งหมดถ้าวิเคราะห์กันให้ดีๆมันคือการ"สร้าง"ฐานของกีฬาจักรยานให้แน่นแบบเป็นระบบใหญ่ พัฒนาให้เกิดกลุ่มคนเล่นกีฬาจักรยานอย่างจริงจัง จากนี้ไปผมจะวิเคราะห์ผลทางอ้อมให้ได้ดูกันพอเป็นแนวทางว่ามันสะท้อนอะไรได้บ้าง ผลทางตรงผมว่าเดากันไม่ยากอยู๋แล้วครับ จัดระบบมาเป็นพรวนแบบนี้ มันสร้างนักปั่นมืออาชีพจากเวทีสนามแข่งเจียระนัยมาตลอดทุกก้าวเดิน ผลพวงที่ระบบสร้างต่อสังคมจักรยานบ้านเขา
1.สร้างกลุ่มคนสนใจกีฬาจักรยาน
งานแข่งไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ที่มีเยอะแยะทุกมุมเมืงของบ้านเขา เต็มไปด้วย"คนบ้าจักรยาน" ในงานมีทั้งนักแข่ง เพื่อน ครอบครัว กองเชียร์ ที่ไปเชียร์นักแข่งในแต่ละระดับชั้นการแข่ง การจัดแข่งทำง่ายๆ แต่มีมาตรฐาน เส้นทางไม่ได้ต้องปิดมากมายแต่ควบคุมดูแลอย่างเป็นระบบ ไครทีเรียมบางงานจัดในที่จอดรถห้างสรรพสินค้าที่เป็นลานขนาดใหญ่ รอบละ 2-3 กม. ก็แข่งได้แล้ว มีตั้งเต็นท์ตลาดนัดจักรยาน ขายของมือสอง แลกเปลี่ยน สิ่งต่างๆเหล่านี้คือสังคมกีฬาจักรยานที่เป็นฐานส่งต่อไปให้เกิด"มูลค่า"การตลาด ที่ส่งผลให้เกิดข้อ 2 ตามมาติดๆ 2.เกิดทีมจักรยานสมัครเล่น
บ้านเรานึกถึงทีมจัรกยานสมัครเล่นคิดถึงทีมอะไรบ้าง? ไม่ต้องคิดเยอะครับ"ทุกทีม"คือทีมสมัครเล่น เพราะในบ้านเขาทีมสมัครเล่นที่มาแข่งก็มาด้วยการ"สปอนเซอร์" ทั้งสิ้น ไม่ต้องไกลเลยครับ สมมุุติว่าฝรั่งแห่งบ้านโคกปลาไหลมาแข่ง สปอนเซอร์บนเสื้อก็มาจากคนในทีมนั่นแหละครับ ใครทำร้านทองจ่ายเยอะหน่อย ใครทำขนมอบขายก็ช่วยลงขัน มันก็เกิดทีมขึ้นมา ทีมไหนใหญ่และมีผลงานอยู่ CAT สูงก็มีการสนับสนุนจากแหล่งอื่นๆ ทีมระดับ CAT3 ขึ้นไปเกือบทุกทีมได้รับการสนับสนุนจากร้านจักรยานจริงจัง อย่างน้อยๆสมาชิกได้ส่วนลด(เยอะด้วย)ในการซื้อ ยิ่งถ้าระดับ CAT1 แทบจะเป็นทีมอาชีพแล้ว เพราะบางคนได้เงินให้ซ้อม มีค่าแข่ง ค่าของให้ใช้ฟรีๆ สิ่งที่ต่างก็แค่ทีมยังอยู๋ในระบบที่ไม่ได้จดทะเบียน ซึ่งทั้งปวงมันก็คือฐานการส่งต่อไปหา"กีฬาอาชีพ" นั่นเอง 3.สร้างเยาวชนหน้าใหม่เข้ามาในกีฬานี้
เนื่องจากการเข้าถึงการแข่งทำได้ง่ายมากๆ การแข่งถูกออกแบบมาให้เหมาะกับทุกระดับ ดังนั้นในสโมสรเล็กๆที่อาจจะไม่ได้ดัง แข่งกันขำๆใน CAT4-5 อาจสร้าง"ไอ้หนู" ขึ้นมาคนนึง(หรือฝูงนึง) ที่แข่งๆไปค่อยๆไต่ขึ้นไปสู่การย้ายไปร่วมทีมอื่นๆที่โตกว่า ได้ลงแข่งในรายการที่ใหญ่กว่าได้ ถ้าใครได้ไปเห็นการแข่งของบ้านเขาอย่างงนะครับที่บางทีมมีนักปั่น 2 รุ่น ... รุ่นหลาน กับรุ่นลง ... คือเด็กวัยรุ่นกับลุงวัยเลยกลางคน เพราะลุงๆพวกนี้มี "เงิน" และเวลามาทำทีม เด็กพวกนี้ก็ลูกหลานคนในละแวกใกล้ชิดกันที่ชื่นชอบมาขี่กับผู้ใหญ่ ส่วนไอ้หนุ่มๆแรงๆ มันไปอยู่ CAT บนๆครับ มีคำถามหนึ่งที่ผมได้รับจากหลายๆคนเมื่อสนทนาเรื่องนี้ ... "คนไทยไม่สนใจระดับหรอกเค้าสนใจถ้วย" หรือพูดง่ายๆว่า ก็แข่งเพื่อสะสมถ้วย ไม่ใช่จะแข่งเพื่อพัฒนา งานไหนจัดได้ถ้วยก็ไปแข่ง งานไหนไม่ได้ก็ไม่ไป ดังนั้น ต้องมีคนที่คิดว่าจะสะสมถ้วย CAT5 เอาไว้เชิดชูวงศ์ตระกูลแน่นอน ไม่มีคนเลื่อนไปให้เค้ายำเล่นที่ CAT4 หรอก
...ก่อนจะคิดแบบนั้นลองดูตารางนี้ก่อนครับ ใครดูตารางนี้แล้วรบกวนตอบผมหน่อยว่า ถ้วยวัดใจบ้านเรามันอยู่ในระดับขั้นไหนครับ?
ผมเคยสอบถามด้านเทคนิคการจัดแข่งของสโมสรที่จัดแข่งของเค้า ว่าบ้านเราเริ่มแข่งกันก็ระยะ 60-80 กม. แล้ว รายการสมัครเล่นซัดกัน 280 กม. ก็มีมาแล้ว ทำไมระบบประเทศคุณดูแล้วจิ๊บจ๊อยมาก ซึ่งเค้าให้เหตุผลมาดังนี้
"การแข่งในแต่ละดิวิชั่นถูกสร้างมาให้เหมาะสมกับคนแข่งแต่ละคน ไม่ใช่เพื่อสร้างนักจักรยานอาชีพอย่างเดียว คนที่มีเวลาขี่จักรยานแค่สัปดาห์ละ 1-2 ชม. ก็มาแข่งได้ ซึ่งสามารถออกแรงและทำเกมส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณเอาคนที่ซ้อมแค่นั้นไปแข่งบนระยะทาง 60 กม. เค้าแข่งจบแต่ไม่ได้อะไรเลย เป็นการทำร้ายมากกว่าการสนับสนุน ด้วยระบบนี้ประเทศเรา(สหรัฐอเมริกา)จึงสามารถพัฒนานักจักรยานไปจนถึงขั้นสุดยอดได้"
ตอบคำถามได้มั้ยครับ? ถ้าการออกแบบการแข่งมันออกมาสมเหตุสมผลจริงๆไม่มีใครบ้าสะสมถ้วยแมวเหมียวน้อยแคทห้าหรอกครับ ปัญหาคือการแข่งของเรา สร้างมาโดยไม่ได้มองโครงสร้างคนขี่จักรยาน ขาแรงจัดก็จัดเอาใจขาแรง อย่าแปลกใจที่ทำไมถึงสร้าง new entry racer หรือนักแข่งหน้าใหม่ได้ยาก เพราะเราขาดบันไดก้าวแรก ที่เหมาะสม ไม่เพียงเท่านั้น หลายๆคนที่แข่งจักรยานแล้วหายหน้าหายตาไปเรื่อยๆเพราะแข่งไปก็ไม่รู้เพื่ออะไร(ถ้าใจไม่รักจริงๆ) แข่งกี่ทีรุ่นอายุนี้ก็เห็นหน้ากันหมดว่าใครจะได้ในวันนี้ อย่าว่าแต่รุ่นเดียวกันเลย ... ไปแข่งรุ่นแก่กว่าก็ยังไม่รู็จะรอดมั้ย ถ้าถามคนจัดแข่งหรือนักแข่งขาแรงก็จะได้รับคำตอบว่า "ยังไม่แข็งพอ ยังไม่พร้อมจะแข่ง" ลองดู CAT3 ครับ ... มันคือระยะแข่งทั่วไปของคนปั่นจักรยานเริ่มจริงจัง ำถามกลับกันที่บอกว่าคนมาแข่งยังไม่พร้อม ... ถามกลับไปว่า แล้วงานแข่งเคยสร้างมาบนฐานเพื่อตอบโจทย์ของคนเข้าแข่งหรือยัง
ผมไม่ได้หยิบเอากรณีนี้มาเพื่อบอกว่ามันดีที่สุดและบ้านเราเหมาะจะทำได้แบบนี้ มันมีปัจจัยตัวแปรเยอะครับ อย่างน้อยๆอเมริกาก็ไม่มี"สมาคมจักรยานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถันมภ์" ซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญทีเดียว แต่ผมอยากชี้ให้เห็นจุดต่างของการคิดอะไรเป็นระบบ และตอบสนองกับการนำไปใช้จริงอย่างมีประสิทธิผล บางทีเราคิดอะไรกันไม่ใหญ่ ก็เล็กเกินไป (จริงๆแล้วผมเคยนั่งคุยกับเคานานมากๆ มีมุมมองหลายอย่างที่คงอธิบายให้จบไม่ได้ในโอกาสนี้) ฝากมาเป็นประเด็นให้ลองคิดมองในมุมที่แตกต่างจากอีกฝั่งหนึ่งของโลกกลมๆใบนี้ครับ ทางฝั่งอังกฤษเองก็มีระบบการแบ่งชั้นเหมือนกัน แต่มีรายละเอียดแตกต่างออกไป ทว่าโดยรวมแล้วมีแนวทางไม่ต่างกัน
พี่ๆทย ใจเกินร้อย วัดใจ มุ่งสู่ไต่ระห่ำ คนพันธุ์อึด เลียบอ่าวไทย ไปคลาสสิคให้เอ็กซ์ตร้า กันต่อไป .....
ปล.CAT5 หลายๆงานไม่มีถ้วยรางวัลนะครับ มีเหรียญอันดับให้เท่านั้น
ปล2.ผมไม่ได้ต่อต้านการจัดแข่งรายการใดๆทั้งสิ้นครับ แค่มีมุมมองในช่องว่างบางอย่างที่ต้องการสื่อสาร และเชื่อว่าหากใครทำระบบการแข่งได้แบบนี้จริงๆระบรองไปไกลแน่นอน (และอาจโดนเตะขาคู่สกัดร่วงนอนเล่นริมทาง) [homeimg=300,250]http://www.thaimtb.com/forum/picture_mt ... 199731.jpg[/homeimg]
คำถามที่ยังคาใจก็คือ ... มันยั่งยืนเพียงใด ผมคงไม่สามารถบังอาจมานั่งพูดได้ว่าอะไรคือการเกาะกระแสสร้างกิจกรรมของภาคต่างๆ ผมเชื่อว่า(เชื่อ)ทุกท่านจัดงานต่างๆด้วยใจที่ประสงค์ต่อส่วนรวมไม่มากก็น้อย คงไม่มีใครเริ่มต้นจัดงานด้วยฟันธงว่าข้าจะมาฟันกำไรให้บาน น้ำขึ้นรีบตักเอาไว้ กระแสลงเมื่อไหร่ก็เลิกจัด (เชื่อ) แต่ มีจุดสังเกตุหลายอย่างที่อยากจะนำมาบอกเล่าว่าเมื่อแลบ้าน(นอก)เขา แล้วส่องมามองเรา มีหลายจุดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มันอาจจะดี หรือไม่ดี แต่การมองและศึกษาเอาไว้ ก็ย่อมดีกว่าก้มหน้าก้มตา"มุด"ทำไปแบบไม่มีทิศทางใช่มั้ยครับ ผมขอยกตัวอย่างระบบการจัดการการพัฒนาจักรยานของ"สมาพันธ์จักรยานสหรัฐอเมริกา" เอาเป็นว่าเนื่องจากผมบังเอิญมีโอกาสได้ไปอยู๋เมืองนอกเมืองนามาบ้าง ได้ไปขี่จักรยาน ได้ไปสัมผัสกับมันมานิดๆหน่อยพอเป็นน้ำจิ้มให้ได้เห็นสิ่งดีๆที่น่าจะเอามาทบทวนเรา ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญกีฬาจักรยานหรอกนะครับ ทุกอย่างที่ลงเอาไว้ สามารถดาวน์โหลดได้จากคู่มือการแข่งของทางสหรัฐฯเค้า ที่ทุกคนที่สมัครแข่งสามารถอ่านได้ แค่เอามาแปลเป็นภาษาไทยให้อ่านกันสนุกๆเท่านั้น
เอาล่ะครับมาเริ่มกัน หลังจากร่ายมาเสียยาว ระบบการจำแนกการแข่งขัน
เริ่มต้นมาจำแนกการแข่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆก่อนนะครับ กลุ่มแรกที่จะไม่พูดถึงมากนักคือ"คลับเรซ" หรือการจัดแข่งแบบอิสระไม่มีการเข้ามาจัดการดูแลโดยสมาพันธ์จักรยานสหรัฐฯ อาจขอความร่วมมือในการช่วยเหลือเช่นด้านเทคนิคและการจัดการ แต่ไม่มีผลสะสมในระบบการแข่ง ซึ่งมีน้อยมากครับ ส่วนมากจัดกันเองสนุกๆระหว่างสโมสรต่างๆเป็นงานอุ่นเครื่อง มักเป็นการแข่งแบบไทม์ไทรอัล(จับเวลา) อีกประเภทที่เราเอามาคุยกันวันนี้ได้แก่การแข่งแบบทั่วไปหรือได้รับการรับรองโดยสมาพันธ์จักรยานสหรัฐฯผ่านตัวแทน,สโมสร หรือองค์กรท้องถิ่นที่ขอความร่วมมือมาอย่างเป็นทางการ มีรูปแบบการจัดที่มีมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศและผลการแข่งขันใช้ในกระบวนการพัฒนาระดับการแข่งได้ อ่านมาถึงตรงนี้ใครไม่สนใจการแข่งจักรยานคงเบือนหน้าหนี อย่าเพิ่งครับ ผมขอเล่าก่อนว่า ในบ้านเรานักปั่นหลายแสนคน ...มีกี่คนที่มีบัตรนักกีฬาจักรยาน?? แต่ในสหรัฐอเมริกาที่มีการแข่งจักรยานเยอะแยะมากมายทั้งวันสุดสัปดาห์และวันธรรมดา นักปั่นที่จริงจังมากกว่าปั่นเอาแรงออกเหงื่อเกือบทุกคนคยมีบัตรแข่งขันมาแล้วอย่างน้อยๆหนึ่งครั้งในชีวิต อะไรคือปัจจัยตรงนั้น มาดูกันต่อครับ เมื่อจำเพาะเจาะจงมองกันเฉพาะการแข่งที่รับรองผ่านสมาพันธ์จักรยานสหรัฐฯ มีระบบการจัดการแบ่งระดับการแข่งขันหรือเรียกกันง่ายๆว่า"แคทตากอรี่" (เรียกกันสั้นๆว่า"แคท") ต่างๆดังนี้
การแบ่งระดับการแข่งจักรยานถนนและลู่
ELITE หมายถึงมืออาชีพ, โปรทีม
CAT1 ระดับสูงสุดของมือสมัครเล่น ซึ่งบ่อยครั้งที่มีขึ้นไปกระทบโปรคว้าแชมป์รายการต่างๆเช่นการชิงแชมป์ประจำรัฐ
CAT2 ระดับรองสูงสุดของมือสมัครเล่น มีรูปแบบการแข่งเหมือนกับระดับสูงสุดแต่ความเข้มข้นต่ำกว่า
CAT3 ระดับกลางของมือสมัครเล่นและเป็นระดับเริ่มต้นของการแข่งอย่างจริงจัง
CAT4 ระดับเริ่มต้นการแข่งจักรยานถนน มีการแข่งทุกอย่างยกเว้นการแข่งแบบทัวร์(เสตจเรซ หรือการแข่งหลายวัน)
CAT5 ระดับเริ่มต้นของการแข่งจักรยานถนน ทุกคนต้องเริ่มและผ่านระดับนี้มา ไม่ว่าเก่งแค่ไหนเมื่อเริ่มลงทะเบียนต้องเข้ามาเร่ิมที่ระดับนี้ และถือเป็นบันไดก้าวแรกที่สำคัญ
MASTER สำหรับรุ่นอาวุโส *หมายเหตุ สำหรับรุ่นผู้หญิงแบ่งเป็น 4 ระดับ(ELITE, CAT1-4) ส่วนการแข่งไซโคลครอสแยกเป็น 4 ระดับ และ 3 ระดับสำหรับประเภทเสือภูเขา การแบ่งระดับแบบนี้มันดีอย่างไร? คำถามนี้ผมยังไม่ตอบนะครับ มาดูรายละเอียดกันก่อนว่าแล้วแต่ละระดับมันเลื่อนชั้นกันอย่างไร...
...แน่นอนว่าถ้าเป็นหน้าใหม่ซิงๆไม่ว่าอายุเท่าไหร่ก็ตาม มาถึงก็สมัครแข่ง จะสัมครออนไลน์แล้วจ่ายค่าธรรมเนียมรายปี หรือไปสมัครใบผ่านหน้างานจ่ายเป็นงานๆไปก็ได้(ถ้าจะแข่งบ่อยๆแน่ๆก็จ่ายรายปีคุ้มกว่าเยอะมากครับ ถ้าแข่งสนุกๆไปจ่ายเป็นงานๆไปก็ได้) ก็ต้องเริ่มกันที่"แคทห้า"(CAT5) หรือระดับเริ่มต้นกันก่อน คุณจะเป็นทีมชาติไทยไปอยู่ที่นั่น เริ่มแข่งงานแรกก็ไม่พ้นต้องมาไต่ระดับครับ หลักเกณฑ์การขอเลื่อชั้นจาก CAT5 ขึ้นไป CAT4 ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย ต้องจบการแข่งขันที่รับรองโดยสมาพันธ์จักรยานสหรัฐฯอย่างน้อย 10 รายการ ซึ่งงานเหล่านั้นต้องมีระยะทางอย่างน้อย 24 กม. สำหรับการแข่งแบบแมสสตาร์ท และ 16 กม.สำหรับการแข่งแบบไครทีเรียม 24 กม.แข่งแมสสตาร์ท, 16 กม.ไครทีเรียม ...ขี่สนามเขียวหนึ่งรอบ!? ถูกแล้วครับอ่านไม่ผิดและผมไม่ได้แปลผิดด้วย เพราะ ระยะทางการแข่ง CAT5 ส่วนมากถูกออกแบบมาเท่านั้นจริงๆ จุดประสงค์ของระดับนี้คือการเป็นระดับเริ่มต้นของมือใหม่ ที่มีเวลาในการซ้อมจักรยานแค่สัปดาห์ละ 1 ชม.ก็มาแข่งได้แล้ว เค้าให้ความสำคัญกับก้าวแรกเสียยิ่งกว่าสิ่งอื่น ก้าวแรกที่ดี มีคุณภาพ คือก้าวที่จะสร้างนักปั่นอาชีพอย่าง ทีเจย์ แวนเกรเดร็น ไปแข่งตูร์เดอฟร็องซ์ไงครับ ที่สำคัญอีกอย่างก็คือในงานแข่งเกือบทุกงานที่จัดภายใต้การดูแลและร่วมมือของสมาพันธ์จักรยานสหรัฐฯ จะต้องมี CAT5 ทุกงาน ทุกที่ รวมไปถึงงานแข่งไครทีเรียมแบบ"ซีรีส์" (เช่นแข่งทุกสัปดาห์ มีการเก็บคะแนนสะสมเพื่อชิงแชมป์รวมของทั้งซีรีส์) สัปดาห์หนึ่งมีกันตั้งแต่ 1-3 งาน นั่นแปลว่า ขอให้คุณเริ่มต้นแข่งจักรยานกับระบบนี้ แข่งไปราวๆเดือนกว่าๆ ก็จะไต่ขึ้น CAT4 ได้แล้วนั่นเอง (จะไม่ขึ้นก็แล้วแต่คุณครับ นั่งกวาดถ้วยแม้วเหมียวไป แข่งครั้งละชั่วโมง แต่ผู้จัดส่วนมากจะมีระบบการจัดการเช่นถ้าได้แชมป์ CAT5 ติดกัน 3 รายการ จะเตะบังคับให้ลง CAT4 ครับ กฏแบบนี้ผู้จัดสามารถใส่เข้าไปได้เองไม่เกี่ยวกับสมาพันธ์จักรยานสหรัฐฯ) คุณพระ... CAT5 ระยะสั้นยิ่งกว่าถ้วยวัดใตบ้านเราเสียอีก(ผมคิดในใจ) ความท้าทายมันอยู่ที่ CAT4 ครับ เมื่อผ่านการเป็น"มือใหม่หัดแข่ง" มาแล้ว ระยะทางจะยาวขึ้น ความท้าทายจะมากขึ้น(เส้นทาง CAT5 ส่วนมากตัดเส้นทางยากๆทิ้งไปหมด ภูเขานี่แทบไม่ต้องพบเจอ ทางตรงๆยาวๆเสียเป็นส่วนใหญ่ หรือวนรอบเล็กๆแค่ 2-3 รอบก็จบแล้ว) ความสนุกของการแข่งจริงๆมาอยู่ที่ CAT4 นี่แหละครับ เมื่อเกณฑ์ในการเลื่อนชั้นไปสู่ CAT3 บังคับให้นักปั่นต้องพัฒนาตัวเองกันอย่างสนุกสนาน มีข้อกำหนดในการเลื่อนชั้นดังนี้ การเลื่อนชั้นจาก CAT4 ไปสู่ CAT3 (ข้อใดข้อหนึ่ง หรือหลายข้อรวมกันก็ได้)
-จบการแข่งขันในระดับ CAT4 อย่างน้อย 25 สนามที่มีจำนวนผู้ร่วมแข่งอย่างน้อย 10 คน
-จบการแข่งขันพร้อมกลุ่มเปโลตอง CAT4 ที่มีผู้แข่งขันมากกว่า 30 คนอย่างน้อง 10 รายการ
-จบการแข่งขันพร้อมกลุ่มเปโลตอง CAT4 ที่มีผู้แข่งขันมากกว่า 50 คน อย่างน้อย 20 รายการ
-สะสมแต้มแข่งขันอย่างน้อย 30 แต้ม โดยแต้มการแข่งขันได้จากอันดับในการแข่งรายการต่างๆ และการเข้าร่วมอบรมกับหน่วยงานที่ได้รับความร่วมมือจากสมาพันธ์จักรยานสหรัฐฯ ภายใน 12 เดือน
มาแปลกันง่ายๆก็คือถ้าแข่งงานเล็กๆคนแข่งในรุ่นมี 10 คนขึ้นไปก็แข่งสะสมไป 25 สนาม หรือถ้างานใหญ่หน่อย มากกว่า 30 คนก็จบพร้อมกับกลุ่มใหญ่(อย่าหลุดกลุ่ม)ให้ได้ 10 สนาม และงานใหญ่ๆดังมากๆที่แข่งกันมากกว่า 50 คน ก็หมกกลุ่มไปให้ได้ 20 สนามก็เป็นอันว่าผ่านเกฑ์ให้เลื่อนไปสู่ระดับ CAT3 เพื่อแข่งทัวร์หรือรายการที่ยากขึ้นได้แล้ว ก็เช่นเดียวกับ CAT5 ครับ รายการสำคัญหลักๆแทบทุกรายการจะมีระดับ CAT4 และมีให้ลงกันได้เต็มที่เดือนๆนึงลงกันได้ 10-15 งาน ก็มี ดังนั้นขอเพียงมาแข่งและรักษาระดับเอาไว้ได้อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยๆก็มีโอกาสเลื่อนชั้นได้ไม่ยาก ถ้าเป็นขาแรงหน่อย หรือสมมุติระดับทีมชาติไทยบังเอิญย้ายบ้านไปอเมริกา ขาขนาดกระทืบ CAT4 เล่นสบายๆ ก็สะสมแต้มอันดับไปเรื่อยๆ ตามตารางดังนี้
แต้มสะสมรายการแข่งขันแมสสตาร์ท แต้มสะสมรายการแข่งขันไครทีเรียม จากตารางการให้คะแนนของการแข่งขัน สมมัติว่าได้แชมป์ CAT4 รายการใหญ่ๆมา 3 รายการก็สามารถขยับขึ้นไปเล่น CAT3 ได้แล้ว หรือในอีกทางหนึ่ง ก็เป็นทางเลือกทั้งการวางแผนแข่งและซ้อมของแต่ละคนได้ว่าจะเน้นไปเก็บแต้มรายการไหนบ้าง (สำหรับขาแรง) ก็ได้ ซึ่งแน่นอนว่าหากสะสมแต้มเหล่านี้ได้ ก็มีโอกาสได้เลื่อนชขั้นเร็วกว่าแค่สะสมผลงานการแข่งให้จบตามเกณฑ์เฉยๆอย่างแน่นอน
การอบรมต่างๆ หรือแม้แต่พวกแคมป์ฝึกสอนที่คิดเงิน หลายๆสำนักมีการผูกเชื่อมกับสมาพันธ์จักรยานสหรัฐฯ สามารถนำเอา"หน่วยกิต"ของการอบรมนั้นๆไปสะสมแต้มเพื่อเลื่นชั้นได้เช่นกัน เนื้อหาการอบรมของระดับ CAT4 ส่วนมากก็คือการ"แข่งให้ปลอดภัย" และกติกาสำคัญต่างๆที่นักแข่งควรรู้ รวมถึงข้อปฏิบัติเพื่อเป็นนักจักรยานที่ดี เพราะเมื่อขึ้นไป CAT3 การแข่งขันจะเริ่มร้อนแรงขึ้น อันตรายขึ้น การอบรมต่างๆเหล่านี้เป็นตัวช่วยคัดกรองและเตรียมความพร้อมนักจักรยานได้เป็นอย่างดี ที่ระดับ CAT3 การแข่งขันจะเริ่มเข้มข้นมากขึ้น มีเส้นทางที่ท้าทายและระยะทางที่ยาวขึ้น ให้สอดคล้องกับระดับความสามารถของคนที่ก้าวขึ้นมาสู่ชั้นนี้ได้ ที่สำคัญ มีรายการทัวร์สมัครเล่นให้ได้ลงแข่งกันอีกด้วย ดังนั้นเกณฑ์ในการผ่าน CAT3 ไปสู่ CAT2 เริ่มที่จะยากขึ้นกว่า สองระดับแรกแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงเชิงปฏิบัติที่ระดับ CAT3 ถือเป็นระดับยอดนิยมของนักแข่งสมัครเล่นส่วนใหญ่ ที่มักจะมาตันหรือคงอันดับเอาไว้ที่ระดับนี้ เพราะหากต้องการก้าวผ่านระดับนี้ขึ้นไป หมายถึงทั้งวินัยการซ้อมและรูปแบบการพัฒนาต้องจริงจังมากกว่าแค่ขี่วันหยุดสุดสัปดาห์ อีกทั้งต้องเร่ิมมีการทำงานระบบทีมเวิร์คเข้ามาเกี่ยยวข้อง เป็นที่น่าสังเกตุว่าทีมระดับ"กึ่งสมัครเล่น" หรือสโมสรกึ่งสมัครเล่นที่เริ่มให้การสนับสนุนทีมและนักแข่งก็จะเริ่มที่ CAT3 นี้เอง ทีมที่จริงจังบางทีมระบุเอาไว้เลยว่าผู้มารับสมัครทดสอบร่วมทีมต้องผ่านการแข่ง CAT3 มาอย่างน้อย 2 ปีเพื่อยืนยันว่ามีพื้นฐานการแข่งที่ดีพอ ดังนั้นในมุมกลับ CAT3 คือระดับของการแข่งขันที่เป็นบันไดส่งต่อไปสู่การพัฒนาอย่างจริงจังนั่นเอง เกณฑ์ในการเลื่อนจาก CAT3 ไปสู่ CAT2
-สะสมแต้ม 40 แต้มภายในเวลา 12 เดือนนับตั้งแต่เร่ิมนับแต้ม (อาจแข่ง CAT3 มานานเท่าไหร่ก็ตามแต่หากย้อนหลังไป 12 เดือนมีคะแนนสะสมมากกว่า 40 แต้ม สามารถสมัครเลื่อนชั้นไป CAT2 ได้)
เกณฑ์ในการเลื่อนจาก CAT2 ไปสู่ CAT1
-สะสมแต้ม 50 แต้มภายในเวลา 12 เดือนนับตั้งแต่เร่ิมนับแต้ม จะสังเกตุได้ว่าการเลื่อนช้ันจาก CAT3 ขึ้นไปชั้นสูงขึ้นอย่าง CAT2 และ CAT1 ต้องทำผ่านการสะสมแต้มเท่านั้น แปลว่าผู้เข้าแข่งขันต้องเน้นการพัฒนาเพื่อสร้างผลงานการแข่งขันและอันดับที่ดีในการแข่งขันด้วย เพราะมีเวลาสะสมแต้มเพียง 12 เดือน หากพ้น 12 เดือนไปแล้วก็ต้อง ที่สำคัญฤดูกาลแข่งขันของสหรัฐอเมริกาไม่ได้มีแบบต่อเนื่องตลอดทั้งปี ในบางรัฐจะหยุดการแข่งประเภทถนนทุกอย่างระหว่างเดือน กันยายน-มกราคม (หายไป 5 เดือน) มีเวลาสะสมแต้มของการทำอันดับการแข่งขันเพียงแค่ 8 เดือนเท่านั้น และช่วงที่มีการแข่งคึกคักอาจอยู๋ในช่วงเวลาเพียง 4 เดือนที่อากาศอบอุ่นแสงแดดดีแบบหน้าร้อนฝรั่ง ต้องบอกไว้เลยว่าการก้าวจากระดับ CAT3 ขึ้นไปอยู๋ที่สองระดับบน ไม่ใช่ของง่ายสำหรับนักแข่งแบบ"จอมยุทธสุดสัปดาห์" แต่ต้องเป็นนักปั่นที่ขยัน มีวินัย อยู๋ในทีมที่พร้อมและมีแผนการแข่งที่ชขัดเจน ส่วนระดับ CAT1 นั้นถือว่าเป็นน้องๆโปรมืออาชีพแล้ว บ่อยครั้งที่ทีมสมัครเล่นระดับ CAT1 ได้รับเชิญเข้าแข่งรายการอาชีพสำคัญๆกระทบไหล่กับโปรของแท้ และเป็นโอกาสให้ถูกดึงตัวไปมีสัญญาจ้างเป็นนักจักรยานอาชีพได้ต่อไป ซึ่งโปรสัญชาติมะกันบางคนเริ่มต้นเส้นทางสายนักปั่นอาชีพเอาตอนอายุ 26-27 ปีแล้วด้วยซ้ำ เพราะผ่านเส้นทางวิบากกรรม ทำงานหาเลี้ยงตัวเองไป ไล่แข่งเก็บเกี่ยวจนได้ผลงานโดดเด่นจนได้เป็นโปรของแท้ในที่สุด ใครอดทนอ่านมาถึงจุดนี้ได้ คงได้คำตอบว่า "บ้านเขามาถึงจัดๆนี้ได้อย่างไร" เพราะกระบวนการทั้งหมดถ้าวิเคราะห์กันให้ดีๆมันคือการ"สร้าง"ฐานของกีฬาจักรยานให้แน่นแบบเป็นระบบใหญ่ พัฒนาให้เกิดกลุ่มคนเล่นกีฬาจักรยานอย่างจริงจัง จากนี้ไปผมจะวิเคราะห์ผลทางอ้อมให้ได้ดูกันพอเป็นแนวทางว่ามันสะท้อนอะไรได้บ้าง ผลทางตรงผมว่าเดากันไม่ยากอยู๋แล้วครับ จัดระบบมาเป็นพรวนแบบนี้ มันสร้างนักปั่นมืออาชีพจากเวทีสนามแข่งเจียระนัยมาตลอดทุกก้าวเดิน ผลพวงที่ระบบสร้างต่อสังคมจักรยานบ้านเขา
1.สร้างกลุ่มคนสนใจกีฬาจักรยาน
งานแข่งไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ที่มีเยอะแยะทุกมุมเมืงของบ้านเขา เต็มไปด้วย"คนบ้าจักรยาน" ในงานมีทั้งนักแข่ง เพื่อน ครอบครัว กองเชียร์ ที่ไปเชียร์นักแข่งในแต่ละระดับชั้นการแข่ง การจัดแข่งทำง่ายๆ แต่มีมาตรฐาน เส้นทางไม่ได้ต้องปิดมากมายแต่ควบคุมดูแลอย่างเป็นระบบ ไครทีเรียมบางงานจัดในที่จอดรถห้างสรรพสินค้าที่เป็นลานขนาดใหญ่ รอบละ 2-3 กม. ก็แข่งได้แล้ว มีตั้งเต็นท์ตลาดนัดจักรยาน ขายของมือสอง แลกเปลี่ยน สิ่งต่างๆเหล่านี้คือสังคมกีฬาจักรยานที่เป็นฐานส่งต่อไปให้เกิด"มูลค่า"การตลาด ที่ส่งผลให้เกิดข้อ 2 ตามมาติดๆ 2.เกิดทีมจักรยานสมัครเล่น
บ้านเรานึกถึงทีมจัรกยานสมัครเล่นคิดถึงทีมอะไรบ้าง? ไม่ต้องคิดเยอะครับ"ทุกทีม"คือทีมสมัครเล่น เพราะในบ้านเขาทีมสมัครเล่นที่มาแข่งก็มาด้วยการ"สปอนเซอร์" ทั้งสิ้น ไม่ต้องไกลเลยครับ สมมุุติว่าฝรั่งแห่งบ้านโคกปลาไหลมาแข่ง สปอนเซอร์บนเสื้อก็มาจากคนในทีมนั่นแหละครับ ใครทำร้านทองจ่ายเยอะหน่อย ใครทำขนมอบขายก็ช่วยลงขัน มันก็เกิดทีมขึ้นมา ทีมไหนใหญ่และมีผลงานอยู่ CAT สูงก็มีการสนับสนุนจากแหล่งอื่นๆ ทีมระดับ CAT3 ขึ้นไปเกือบทุกทีมได้รับการสนับสนุนจากร้านจักรยานจริงจัง อย่างน้อยๆสมาชิกได้ส่วนลด(เยอะด้วย)ในการซื้อ ยิ่งถ้าระดับ CAT1 แทบจะเป็นทีมอาชีพแล้ว เพราะบางคนได้เงินให้ซ้อม มีค่าแข่ง ค่าของให้ใช้ฟรีๆ สิ่งที่ต่างก็แค่ทีมยังอยู๋ในระบบที่ไม่ได้จดทะเบียน ซึ่งทั้งปวงมันก็คือฐานการส่งต่อไปหา"กีฬาอาชีพ" นั่นเอง 3.สร้างเยาวชนหน้าใหม่เข้ามาในกีฬานี้
เนื่องจากการเข้าถึงการแข่งทำได้ง่ายมากๆ การแข่งถูกออกแบบมาให้เหมาะกับทุกระดับ ดังนั้นในสโมสรเล็กๆที่อาจจะไม่ได้ดัง แข่งกันขำๆใน CAT4-5 อาจสร้าง"ไอ้หนู" ขึ้นมาคนนึง(หรือฝูงนึง) ที่แข่งๆไปค่อยๆไต่ขึ้นไปสู่การย้ายไปร่วมทีมอื่นๆที่โตกว่า ได้ลงแข่งในรายการที่ใหญ่กว่าได้ ถ้าใครได้ไปเห็นการแข่งของบ้านเขาอย่างงนะครับที่บางทีมมีนักปั่น 2 รุ่น ... รุ่นหลาน กับรุ่นลง ... คือเด็กวัยรุ่นกับลุงวัยเลยกลางคน เพราะลุงๆพวกนี้มี "เงิน" และเวลามาทำทีม เด็กพวกนี้ก็ลูกหลานคนในละแวกใกล้ชิดกันที่ชื่นชอบมาขี่กับผู้ใหญ่ ส่วนไอ้หนุ่มๆแรงๆ มันไปอยู่ CAT บนๆครับ มีคำถามหนึ่งที่ผมได้รับจากหลายๆคนเมื่อสนทนาเรื่องนี้ ... "คนไทยไม่สนใจระดับหรอกเค้าสนใจถ้วย" หรือพูดง่ายๆว่า ก็แข่งเพื่อสะสมถ้วย ไม่ใช่จะแข่งเพื่อพัฒนา งานไหนจัดได้ถ้วยก็ไปแข่ง งานไหนไม่ได้ก็ไม่ไป ดังนั้น ต้องมีคนที่คิดว่าจะสะสมถ้วย CAT5 เอาไว้เชิดชูวงศ์ตระกูลแน่นอน ไม่มีคนเลื่อนไปให้เค้ายำเล่นที่ CAT4 หรอก
...ก่อนจะคิดแบบนั้นลองดูตารางนี้ก่อนครับ ใครดูตารางนี้แล้วรบกวนตอบผมหน่อยว่า ถ้วยวัดใจบ้านเรามันอยู่ในระดับขั้นไหนครับ?
ผมเคยสอบถามด้านเทคนิคการจัดแข่งของสโมสรที่จัดแข่งของเค้า ว่าบ้านเราเริ่มแข่งกันก็ระยะ 60-80 กม. แล้ว รายการสมัครเล่นซัดกัน 280 กม. ก็มีมาแล้ว ทำไมระบบประเทศคุณดูแล้วจิ๊บจ๊อยมาก ซึ่งเค้าให้เหตุผลมาดังนี้
"การแข่งในแต่ละดิวิชั่นถูกสร้างมาให้เหมาะสมกับคนแข่งแต่ละคน ไม่ใช่เพื่อสร้างนักจักรยานอาชีพอย่างเดียว คนที่มีเวลาขี่จักรยานแค่สัปดาห์ละ 1-2 ชม. ก็มาแข่งได้ ซึ่งสามารถออกแรงและทำเกมส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณเอาคนที่ซ้อมแค่นั้นไปแข่งบนระยะทาง 60 กม. เค้าแข่งจบแต่ไม่ได้อะไรเลย เป็นการทำร้ายมากกว่าการสนับสนุน ด้วยระบบนี้ประเทศเรา(สหรัฐอเมริกา)จึงสามารถพัฒนานักจักรยานไปจนถึงขั้นสุดยอดได้"
ตอบคำถามได้มั้ยครับ? ถ้าการออกแบบการแข่งมันออกมาสมเหตุสมผลจริงๆไม่มีใครบ้าสะสมถ้วยแมวเหมียวน้อยแคทห้าหรอกครับ ปัญหาคือการแข่งของเรา สร้างมาโดยไม่ได้มองโครงสร้างคนขี่จักรยาน ขาแรงจัดก็จัดเอาใจขาแรง อย่าแปลกใจที่ทำไมถึงสร้าง new entry racer หรือนักแข่งหน้าใหม่ได้ยาก เพราะเราขาดบันไดก้าวแรก ที่เหมาะสม ไม่เพียงเท่านั้น หลายๆคนที่แข่งจักรยานแล้วหายหน้าหายตาไปเรื่อยๆเพราะแข่งไปก็ไม่รู้เพื่ออะไร(ถ้าใจไม่รักจริงๆ) แข่งกี่ทีรุ่นอายุนี้ก็เห็นหน้ากันหมดว่าใครจะได้ในวันนี้ อย่าว่าแต่รุ่นเดียวกันเลย ... ไปแข่งรุ่นแก่กว่าก็ยังไม่รู็จะรอดมั้ย ถ้าถามคนจัดแข่งหรือนักแข่งขาแรงก็จะได้รับคำตอบว่า "ยังไม่แข็งพอ ยังไม่พร้อมจะแข่ง" ลองดู CAT3 ครับ ... มันคือระยะแข่งทั่วไปของคนปั่นจักรยานเริ่มจริงจัง ำถามกลับกันที่บอกว่าคนมาแข่งยังไม่พร้อม ... ถามกลับไปว่า แล้วงานแข่งเคยสร้างมาบนฐานเพื่อตอบโจทย์ของคนเข้าแข่งหรือยัง
ผมไม่ได้หยิบเอากรณีนี้มาเพื่อบอกว่ามันดีที่สุดและบ้านเราเหมาะจะทำได้แบบนี้ มันมีปัจจัยตัวแปรเยอะครับ อย่างน้อยๆอเมริกาก็ไม่มี"สมาคมจักรยานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถันมภ์" ซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญทีเดียว แต่ผมอยากชี้ให้เห็นจุดต่างของการคิดอะไรเป็นระบบ และตอบสนองกับการนำไปใช้จริงอย่างมีประสิทธิผล บางทีเราคิดอะไรกันไม่ใหญ่ ก็เล็กเกินไป (จริงๆแล้วผมเคยนั่งคุยกับเคานานมากๆ มีมุมมองหลายอย่างที่คงอธิบายให้จบไม่ได้ในโอกาสนี้) ฝากมาเป็นประเด็นให้ลองคิดมองในมุมที่แตกต่างจากอีกฝั่งหนึ่งของโลกกลมๆใบนี้ครับ ทางฝั่งอังกฤษเองก็มีระบบการแบ่งชั้นเหมือนกัน แต่มีรายละเอียดแตกต่างออกไป ทว่าโดยรวมแล้วมีแนวทางไม่ต่างกัน
พี่ๆทย ใจเกินร้อย วัดใจ มุ่งสู่ไต่ระห่ำ คนพันธุ์อึด เลียบอ่าวไทย ไปคลาสสิคให้เอ็กซ์ตร้า กันต่อไป .....
ปล.CAT5 หลายๆงานไม่มีถ้วยรางวัลนะครับ มีเหรียญอันดับให้เท่านั้น
ปล2.ผมไม่ได้ต่อต้านการจัดแข่งรายการใดๆทั้งสิ้นครับ แค่มีมุมมองในช่องว่างบางอย่างที่ต้องการสื่อสาร และเชื่อว่าหากใครทำระบบการแข่งได้แบบนี้จริงๆระบรองไปไกลแน่นอน (และอาจโดนเตะขาคู่สกัดร่วงนอนเล่นริมทาง) [homeimg=300,250]http://www.thaimtb.com/forum/picture_mt ... 199731.jpg[/homeimg]