"If you design something beautifully the first time, there is no reason why it shouldn’t last a decade"
Markus Storck
จะมีจักรยานสักกี่ยี่ห้อ ที่ได้รับการทดสอบและโหวตให้เป็น Best Bike in the World จากนิตยสาร Tour ถึง 5 ครั้งใน 7 ปีล่าสุด?
STORCK (สตอร์ค) เป็นหนึ่งในจักรยานที่ได้รับรางวัลการออกแบบและจากการรีวิวโดยนิตยสารจักรยานชั้นนำทั่วโลกมากที่สุดยี่ห้อหนึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เบื้องหลังความสำเร็จคือการออกแบบ และการคิดค้นของ Markus Storck ที่ต้องการให้ได้จักรยานระดับ Super Bike ที่ดีที่สุดโดยไม่คำนึงถึงต้นทุน และต้องสามารถอยู่หัวแถวได้แม้กาลเวลาผ่านไปนานนับ10 ปี
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด เช่น การที่จักรยานรุ่น Fascenario 0.7 สามารถได้คะแนนสูงสุดถึง 3 ปี และได้โหวตเป็น Best Bike in the World ในปี 2007 2010 2011 หรือแม้กระทั่ง Scenero จักรยานรุ่นเริ่มต้นที่เขาออกแบบและได้รางวัล Best Bike of the Year ในปี 2011 ก็กลับมาได้รับรางวัล Best Race Bike of the Year จาก Cycling Plus อีกครั้งในปี 2013 หรือ 2 ปี ถัดมา เป็นข้อพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีถึงความสามารถในการออกแบบที่ท้าทายกาลเวลา
ในหลายครั้ง การออกแบบของ Markus Storck ได้กำหนดมาตรฐานใหม่ของการออกแบบจักรยานในยุคปัจจุบัน และมีการนำไปใช้อย่างแพร่หลาย อาทิ เช่น
- - การใช้ integrated head set และ การใช้ steering fork tube ขนาด 1.125 นิ้ว เพื่อความแกร่งและน้ำหนักที่เบาขึ้น
- การใช้ integrated break ใน road bike เพื่อความ aero dynamic และลดน้ำหนักลง
- การใช้วัสดุ carbon มาทำ ขาจาน ซึ่ง Storck ได้ทำการออกแบบและผลิตขาจาน Power Arm ออกจำหน่ายมาเกินกว่า 10 ปีที่แล้ว และปัจจุบัน Power arm ก็ยังคงเป็นขาจานที่เบาและ stiff ที่สุดจากการทดสอบล่าสุดของ Cycling Plus
- การให้ความสำคัญกับแรงที่มากระทำกับ chain stay ข้างซ้ายและขวาที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดการออกแบบ asymmetric chain stay ตั้งแต่ปี 1998 หรือเมื่อ 15 ปีที่แล้ว (แต่แทนที่จะทำให้เห็นจากภายนอกอย่างเช่นผู้ออกแบบอื่นๆที่ทำขึ้นภายหลัง Markus กลับเลือกที่จะใช้วิธีการวางแผ่น carbon และการใช้ความหนาของ carbon ที่แตกต่างกันระหว่าง chain stay ข้างซ้ายและข้างขวา ซึ่งหากเราผ่าครึ่ง chain stay ของเฟรม STORCK จะสามารถเห็นได้ชัดเจนถึงความแตกต่างระหว่างข้างซ้ายและข้างขวา)
STORCK ยังมีความแตกต่างในด้านเทคโนโลยีการผลิตและการออกแบบในด้านอื่นๆอีกดังนี้
- VVC (Vacumm Void Control) Process โดยการใช้ระบบสุญญากาศในการทำให้เรซิน ซึ่งเป็นตัวผสาน carbon fiber ในเฟรมถูกดูดให้กระจายตัวสม่ำเสมอที่สุด เพื่อลดน้ำหนักของเฟรมลง ในขณะที่ทำให้เฟรมแกร่งตามที่ต้องการ และไม่มีจุดอ่อนที่เกิดจากการกระจายตัวไม่สม่ำเสมอของเรซิน
- Proportional Tube โดยการออกแบบให้เฟรมแต่ละขนาดใช้ท่อที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางและความหนาในแต่ละจุดที่แตกต่างกัน เพื่อให้เฟรมของ Storck ทุกขนาดในรุ่นเดียวกัน สามารถให้ความรู้สึกในการขี่ที่ไม่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเฟรมขนาดเล็กสุด หรือใหญ่สุดก็ตาม แทนที่ปรกติทั่วไป เฟรมขนาดเล็กจะ stiff มากในขณะที่เฟรมขนาดใหญ่จะไม่ stiff
- Rear entry drop out ทำให้ได้น้ำหนักที่เบาลง และให้ล้อสามารถส่งแรงขับเคลื่อนได้ดีกว่า เพราะล้อจะสามารถอยู่ตรงกลางเฟรมเสมอ
- Super sized chain stays ที่ใหญ่และออกแบบองศาให้ได้ทิศทางที่จะให้สามารถถ่ายเทแรงจากโซ่ได้ดีที่สุด ซึ่งในเฟรมหลายๆรุ่นของ STORCK มีต้นทุนในการผลิตส่วนนี้มากยิ่งกว่าการผลิตเฟรมทั้งเฟรมของจักรยานทั่วๆไปด้วยซ้ำ
- Rigid Test โดยเฟรมของ STORCK ทุกเฟรมจะผ่านการทดสอบที่เยอรมันถึง 14 ขั้นตอน ตั้งแต่การทดสอบ alignment ความแข็งแกร่ง ค่าความ stiff ความเรียบร้อยของงานทำสี รวมถึงการทดสอบโดยเครื่อง EFBE (Engineering for bike) ซึ่งปัจจุบันทั่วโลกมีอยู่มีเพียง 7 เครื่องเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดใดๆเกิดขึ้นกับเฟรมของ STORCK
ตัวอย่างของการทดสอบเฟรมจักรยานของ STORCK ที่ทำที่เยอรมันนีทีละเฟรม
Alignment test
Headset test
Out of saddle test
EFBe test
จากทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่า STORCK เป็นจักรยานที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อปฎิวัติการออกแบบจักรยานอย่างแท้จริง
การได้ครอบครอง STORCK จึงเป็นมากกว่าการครอบครองจักรยาน Super Bike คันหนึ่ง