ปั่นจักรยานเที่ยวคนเดียวแบบค่ำไหนนอนนั่นจากหนองคาย รู้ตัวอีกทีไปถึงปาย
กฏการใช้บอร์ด
บอร์ดสำหรับ นักปั่นทัวร์ริ่ง นักปั่นระยะทางไกล พูดคุยเรื่องอุปกรณ์ เทคนิตการปั่น ที่พัก หรือการกินอยู่
บอร์ดสำหรับ นักปั่นทัวร์ริ่ง นักปั่นระยะทางไกล พูดคุยเรื่องอุปกรณ์ เทคนิตการปั่น ที่พัก หรือการกินอยู่
-
- สมาชิก
- โพสต์: 87
- ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ธ.ค. 2014, 12:09
- Tel: 0868249596
- Bike: WTC City Bike
ปั่นจักรยานเที่ยวคนเดียวแบบค่ำไหนนอนนั่นจากหนองคาย รู้ตัวอีกทีไปถึงปาย
สวัสดีครับ ชาวทัวร์ริ่ง ออกตัวก่อนว่านี้เป็นทริปปั่นจักรยานเที่ยวแบบทางไกลครั้งแรกในชีวิตแบบค่ำไหนนอนนั้นพกเต็นท์และสัมภาระทุกอย่างไปกับจักรยาน ผมไฝ่ฝันที่จะทำสิ่งนี้มาสักพักใหญ่แล้ว ได้แต่ตามอ่านพวกบล็อกของพวกนักปั่นรอบโลกแล้วอยากมีโอกาสทำแบบนั้นบ้าง ช่วงต้นเดือนตุลาที่ผ่านมามีโอกาสได้หยุดงานเลยไปรับผิดชอบความฝันสักครั้ง เริ่มแรกก่อนเดินทางประมาณห้าวันผมประกาศหาเพื่อนร่วมปั่นด้วยในเฟสบุ๊คเพราะผมก็มีเพื่อนที่ชอบปั่นจักรยานอยู่เยอะเหมือนกัน บอกรายละเอียดคร่าวๆ ว่าจะปั่นจากภาคอีสานไปภาคเหนือเริ่มต้นจากเอาจักรยานขึ้นรถไฟจาก กทม ไปเริ่มต้นทริปที่จังหวัดหนองคายและไปจบทริปที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่สุดท้ายเพื่อนทุกคนล้วนติดงานผมเลยต้องเริ่มต้นทริปนี้คนเดียว เริ่มแรกผมก็เตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างที่คิดว่าจำเป็นในทริปคือจักรยานพร้อมกระเป๋าใส่สัมภาระที่ใส่ เต็นท์ ถุงนอน แผ่นปูนอน อุปกรณ์สำรองของจักรยาน กล้องถ่ายรูป และเสื้อผ้า น้ำหนักบวกรวมกับจักรยานเข้าไปก็ราว 50 กิโลเห็นจะได้ พอถึงวันออกเดินทางผมก็แพ็คของบทุกอย่างติดกับจักรยานหนักโคตรๆ ไม่เคยปั่นจักรยานที่หนักขนาดนี้มาก่อน พร้อมแล้วก็ปั่นไปที่สถานีรถไฟบางซื่อ
ไปถึงสถานี้รถไฟสายเหนือที่บางซื่อก็ทำเรื่องจ่ายเงินค่าจักรยานคันละเก้าสิบบาท แค่จะออกเดินทางก็เจออุปสรรคคือรถไฟมาเลทเกือบสองชั่วโมงตั๋วบอกออกประมาณสองทุ่มครึ่งได้เดินทางจริงเกือบสี่ทุ่มครึ่ง แถมพอรถมาถึงสถานีพนักงานบนรถบอกว่าที่เก็บของเต็มแล้ว ให้ฝากไปกับขบวนอื่นแทน แต่ผมยืนยันว่าช่วยดูที่ให้หน่อยเพราะผมต้องเดินทางด้วยจักรยานทันทีเมื่อถึงหนองคาย และในใจผมไม่ยอมฝากเจ้าอีชมพู่ไปกับขบวนอื่นเด็ดขาดยังไงก็ต้องไปด้วยกันวะ กะว่าถ้าไม่ให้ไปก็จะปั่นไปหนองคายเลย สุดท้ายเจ้าหน้าที่ใจอ่อนยอมหาที่ให้ผมจอดอีชมพู่จนได้ ดีใจสุดๆ ได้ไปขบวนเดียวกันทั้งรถทั้งคน ผมจองตั๋วรถนอนแอร์เตียงบนไว้ ชอบนอนเตียงบนด้วยเหตุผลง่ายๆ มันประหยัดกว่าเตียงล่าง ถูกกว่าเกือบร้อยบาท ฮาๆ ลำบากต้องปีนขึ้นหน่อย อารมณ์เหมือนนอนในแคปซูน แถมแอร์เย็นมากๆ อย่างกะตู้แช่แข็ง
ผมถอดสัมภาระทุกอย่างจากจักรยานมาไว้กับตัวเพราะที่จอดมีจำกัด และกลัวสัมภาระเสียหาย คืนนี้นอนฟังเพลงได้สักพักก็ผลอยหลับไปไม่รู้ตัว ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เกือบถึงหนองคายแล้ว เจ้าหน้าที่มาปลุกให้ลุกเพราะต้องเก็บที่นอน ผมเอากระเป๋ามากองรวมกันไว้เพราะเด่วต้องยกสัมภาระทั้งหมดนี้ไปที่ตู้สินค้าแบบรอบเดียว เหมือนคนย้ายบ้านเลย ตอนรถไฟกำลังจะถึงรู้สึก โอ้ยตื่นเต้นจัง เป็นความรู้สึกเหมือนก่อนออกรบ ฮาๆๆ เราจะมีชีวิตรอดไหมนะคิดในใจ นั่งอีกไม่นาน ก็ถึงแล้ว พอถึงสถานีหนองคายก็ราวแปดโมงกว่า แน่นอนว่าควรจะถึงตั้งแต่หกโมงถ้ารถไม่เลท แต่ก็เอานะ นั่งรถไฟต้องอดทน รักจะเดินทางด้วยวิธีนี้ไม่เคยหลาบจำหรอกรถเลทนะ ถึงปุ๊บผมก็ขนสัมภาระอันพะรุงพะรังของผมมาประกอบเข้ากับอีชมพู่เพื่อรีบเดินทางเพราะอยากปั่นเต็๋มทีแล้ว เอาสัมภาระติดกับรถเสร็จก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกสักหน่อย
เริ่มต้นวันนี้ผมตั้งใจจะปั่นไปนอนที่ไหนสักแห่งบถนนเส้นริมน้ำโขงจากหนองคายที่จะไปเชียงคานจังหวัดเลย เลือกปั่นเส้นทางนี้ก็เพราะว่าอยากชมวิวแม่น้ำโขงให้เต็มตา หลังจากหลายปีก่อนผมเคยไปเฃียงคานและหลงรักแม่น้ำสานนี้เข้าเต็มๆ ชอบตรงที่มันเป็นแม่น้ำที่กว้างและมีเกาะแก่งเยอะสวย แถมยังเหมือนได้เห็นประเทศเพื่อนบ้านไปด้วยในตัว เลยมาปั่นซะให้หายอยากซะเลย เริ่มแรกก็ถามทางคนที่สถานีว่าผมจะไปอำเภอสังคม เอ่อคือแผนที่นะมีแต่ไม่ค่อยดูหรอกดูไม่ค่อยเป็นอาศัยถามเอาตลอดทาง ฮาๆ อย่างน้อยๆ การถามทางมันทำให้การปั่นจักรยานคนเดียวของผมยังพอได้มีเรื่องพูดกับคนอื่นบ้าง ผมชอบสังเกตุสำเนียงภาษาที่แตกต่างกันของคนแต่ละที่ นี้แหละมั้งที่มันเป็นสเน่ของการเดินทางที่ให้เราได้พบเจอผู้คนใหม่ๆ โดยเฉพาะการเดินทางคนเดียว ปั่นออกมาจากสถานีได้ไม่นานแน่นอนว่าหิวเพราะยังไม่ได้กินอะไรเลย ก็เลยแวะกินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านนี้และถือโอกาสเข้าห้องน้ำที่นี้ไปด้วยเลย แน่นอนว่าวันนี้ไม่ได้อาบน้ำ
อิ่มแล้วก็ออกเดินทางต่อปั่นไปสักพักก็เจอท้องนาริมข้างทางสีเขียวสุดลูกหูลูกตาสวยมาก โชคดีที่ผมมาปั่นช่วงนี้ทุ่งนาต่างก็เป็นสีเขียวทุกที่
ปั่นต่อไปอีกนิดก็เป็นเส้นทางเลียบแม่น้ำโขงแล้ว ฝั่งโน้นเป็นประเทศลาว เส้นทางนี้ผมจะปั่นออกจากอำเภอเมืองหนองคายเพื่อไปยังอำเภอศรีเชียงใหม่
ถ่ายรูปเล่นระหว่างทางไปเรื่อยๆ วันนี้อากาศครึ้มๆ บางช่วงฝนตกมาโปรยๆ แต่ไม่มีปัญหากับสัมภาระเพราะกระเป๋าของผมกันน้ำทุกใบ แวะถ่ายรูประหว่างทางจากอำเภอศรีเชียงใหม่ไปอำเภอสังคม ในวันฝนพรำ
ปั่นไปเรื่อยๆ ก็เข้าเขตอำเภอสังคม
หลังๆ มานี้หลายๆ คนคงคุ้นชื่ออำเภอนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ขอบอกว่าวิวแม่น้ำโขงในช่วงอำเภอนี้สวยสุดๆ จริงๆ เสียดายผมไม่ได้จอดจักรยานลงไปถ่ายรูปมากนักเพราะต้องรีบปั่นเพื่อไปหาที่พักซึ่งตั้งใจไว้ว่าจะหาที่กางเต็นท์
ผมปั่นไปเรื่อยๆ จนไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งก่อนจะเข้าเขตจังหวัดเลยเพียงแค่ 2 กิโล ก็พบว่าท้องฟ้าจะมืดแล้วเลยไปถามชาวบ้านแถวนั้นว่าพอจะมีที่ไหนที่ผมพอจะกางเต็นท์ได้บ้าง ชาวบ้านบอกให้ผมปั่นไปบ้านกำนั้นเพื่อไปขออนุญาตก่อน พอผมปั่นไปถึงบ้านกำนัน ลุงกำนันบอกว่าที่หมู่บ้านมีโฮมสเตย์ไม่ต้องไปกางเต็นท์ให้ลำบาก กำนันเลยขับรถกะบะนำผมไปยังบ้านที่เปิดเป็นโฮมสเตย์ แนะนำผมกับเจ้าของบ้านว่าผมปั่นจักรยานมาคนเดียว จะขอพักซักคืนนึง เจ้าของบ้านก็ทำหน้าแปลกใจ มีแนวนี้ด้วย ผมก็สอบถามราคา คุณพี่เจ้าของบ้านก็บอกว่าคิดเฉพาะค่าที่พักคืนละ 200 บาทไม่มีอาหารเพราะไม่ได้จองมาล่วงหน้า ผมก็ตอบตกลงทันที บ้านหลังใหญ่สบายมาก เสร็จแล้วลุงกำนันก็จากไปปล่อยผมไว้ที่บ้านกับคุณพี่โฮสผม ที่บ้านอาศัยกันอยู่สามคนผมจำชือได้แค่สองคนคือพี่ลัดดาและพี่อัคเดช (ขออภัยถ้าจำชื่อผิด) เป็นสามีภรรยากัน ได้ที่พักปุ๊บผมก็ขออนุญาตพี่เขาว่าจะขอเก็บจักรยานไว้ในบ้านได้รึป่าว เพราะผมรักนางและเป็นห่วงมาก แน่หละเกิดหายขึ้นมานี่แย่เลยจบทริปตั้งแต่วันแรก พี่เขาบอกว่าไม่หายหรอกที่นี้พี่จอดรถไม่ถอดกุญแจก็ไม่หาย แต่พี่เขาก็บอกแต่เอาไว้ในบ้านก็ได้จะได้สบายใจ เผื่อโจรมันชอบจักรยาน ผมก็เอาจักรยานเข้าไปไว้ในบ้าน ไปอาบน้ำ เสร็จแล้วพี่ลัดดาบอกว่าจะออกไปกินข้าวด้านนอกหรือกินข้าวกับเขาด้วยก็ได้ เป็นกินง่ายๆ ข้าวเหนียวปลาย่าง และมีน้ำพริกสองอย่างผมจำชื่อได้แต่น้ำพริกจิ้งหรีด พี่เขาบอกว่าเอาจิ้งหรีดที่หาได้มาทอดแล้วเอามาโขลกกับน้ำพริก ขอบอกว่าผมกินข้าวเหนียวไปเยอะมาก เพราะหิวสุดๆ ปั่นมาเกือบร้อยกิโล ขึ้นเขาก็หลายลูก ดูหน้าตาอาหารตอนนี้แล้วน้ำลายยังไหลอยู่เลย มื้อนี้เป็นของแถม
กินๆ อยู่ พี่เขาบอกว่าอยากไปจับจิ้งหรีดกันไหม ผมอุทานในใจ เชี่ย พังค์วะ!! ผมก็ตอบตกลงอยากรู้เหมือนกันว่าจับยังไง กินข้าวเสร็จสักพักพี่อัคเดชก็พาผมออกตามหาจิ้งหรีดตามรู
ตอนไปหาเหมือนจิ้งหรีดจะมุดเข้ารูหมดแล้ว พี่อัคเดชเลยพาผมเดินไปที่ร้านอาหารตรงข้ามบ้าน ที่เขาจับไว้ได้แล้วเมื่อตะกี้ หลังจากนั้นก็กลับมาที่บ้านพี่อัคเดชมาบรรยายเรื่องแหล่งปลาและชนิดปลาในแม่น้ำโขงให้ผมฟัง ผมฟังอย่างสนุกปลาบลางชนิดไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนพี่อัคเดชเล่าว่าปลาในแม่น้ำโขงเดี๋ยวนี้หายากกว่าแต่ก่อน ตั้งแต่มีการสร้างเขื่อนในจีน ทำให้ปลามีราคาแพงมาก ส่วนมากคนหาได้จะเอาไปขายให้พ่อค้าคนกลางไปส่งภัตตาคารหรูๆ ในเมือง บางตัวราคาหลายพันบาทก็มี
เสร็จแล้วก็มานอนที่นอนผมคืนนี้สบายมากๆ จะได้พักแล้วหลังจากเหนื่อยมาทั้งวัน
แต่เด่วก่อนมีตัวป่วนขี้อ้อนมาคลอเคลียผมตลอดคืนเลย ฮาๆๆ มันชื่อเจ้าดอกแก้ว แมวจอมป่วน
ก่อนนอนพี่ลัดดาถามว่าอยากไปล่องเรือแม่น้ำโขงตอนเช้าไหม ผมบอกว่าสนใจมาก พี่ลัดดาจะไปบอกญาติที่มีเรือให้ปกติเขาจะคิดเที่ยวละ 300 บาทนั่งได้ 5 คน แต่เห็นผมมาคนเดียวเลยบอกว่าเดี๋ยวจะลดราคาให้ สุดท้ายพี่ลัดดากลับมาบอกผมว่าพรุ่งนี้ผมจะได้ไปล่องเรือแต่เช้าด้วยราคา 200 บาทเท่านั้น
ตื่นเช้ามาปรากฎว่าพี่ที่จะพาผมไปล่องเรือยังไม่ตื่นผมเลยไปปั่นจักรยานเล่นชมวิวแม่น้ำโขง แต่สักพักพี่เขาก็ตื่นเดินมาหาผมที่ริมโขงพอดี ผมเลยจอดอีชมพู่ไว้ที่กับรถลากเรือแข่ง
ลืมบอกไปว่าช่วงนี้ที่หมู่บ้านนี้เขามีซ้อมเรือแข่งกันและจะแข่งกันในอีกไม่นานหลังจากนี้ในแม่น้ำโขง แต่จะซ้อมกันเฉพาะช่วงเย็นเพราะตอนเช้าฝีพายเขาไปกรีดยางกัน ว่าแล้วไปชมวิวในแม่น้ำโขงกันเลย
จะเห็นว่าเนื่องจากเป็นหน้าฝนน้ำเลยแดงมาก และอาจจะไม่เห็นแก่งชัดเท่ากับหน้าแล้ง แต่แค่นี้ผมก็ประทับใจมากแล้ว ได้ล่องแก่งแบบเงี้ยบๆ ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย ล่องเรือเสร็จกลับมาที่บ้านพี่ลัดดาเตรียมอาหารไว้ให้ผมอีกมื้อทั้งๆ ที่สองร้อยบาทที่ผมจ่ายเป็นแค่ค่าที่พักเท่านั้น กราบขอบพระคุณงามๆ เช้านี้ตื่นมาเจอแต่พี่ลัดดาส่วนคนอื่นๆ คงออกไปทำงานกันหมดแล้ว คงไปอยู่ในสวนกัน พี่ลัดดายังใจดีห่ออาหารไว้ให้ผมกินกลางทางด้วยแน่ะ คงกลัวผมหิวกลางทาง ซึ่งถือว่าโชคดีมากเพราะเส้นทางบางช่วงที่ผมกำลังจะปั่นไม่มีบ้านคนเลย
มื้อเช้าที่อร่อยที่สุดมื้อหนึ่งในชีวิต
ถ่ายภาพพี่ลัดดากับบ้านที่ผมใช้เป็นที่พักอาศัยหนึ่งคืนเต็มๆ แต่อบอุ่นมากมาย แอบเห็นรูปลูกสาวพี่ลัดดาในรูปบนฝาผนังน่ารักมาก ฮาๆๆ หลังจากประกอบสัมภาระเข้ากับรถอีกรอบก็ปั่นออกจากหมู่บ้านที่ผมพักแค่ไม่ถึง 10 นาทีก็เข้าเขตจังหวัดเลย ก่อนเข้าจังหวัดเลยนิดเดียวแวะถ่ายป้ายกับหนองปลาบึก ตรงนี้ว่ากันว่าๆ เป็นที่ๆ ปลาบึกชุกชุมมาก
ปั่นไปตามถนนเส้นเลียบแม่น้โขงไปเรื่อยๆ อากาศดีมาก
ปั่นไปนานๆ ทีก็เจอหมู่บ้านระหว่างไกล้ๆ เที่ยงข้าวเหนียวที่ใส่มาเต็มท้องเริ่มอันตรธานหายไปเพราะต้องใช้แรงในการปั่นจักรยานอันหนักอึ้งของผม ผมจอดจักรยานเอาเสบียงที่พี่ลัดดาฝากมาให้ ฟาดคำใหญ่ๆ หลายคำเอาแรง กินไปก็รับลมจากแม่นฃ้ำโขงไปคลายร้อน ตรงจุดที่ผมหยุดนี้แม่น้ำโขงกว้างมาก
อิ่มแล้วก็ปั่นต่อ เส้นทางวันนี้ยังคงเลียบแม่้น้ำโขงเช่นเคยมันชั่งอลังการจริงๆ บางช่วงก็เจอท้องนาสลับกับสาวนยางแวะถ่ายภาพหลักกิโลเป็นที่ระลึก
ผ่านไปเจอข้างทางเหมือนจะเป็นศาลาหมู่บ้านอะไรสักอย่าง มีธงของสิบประเทศอาเซียนอยู่ด้วย เลยแวะแชะภาพอีชมพู่อีกสักหน่อย ถนนเส้นที่มันเงียบดีจริงๆ รถแทบไม่มี
ปั่นต่อไปแวะที่ร้านกาแฟร้านนึงในอำเภอปากชม จังหวัดเลย แวะพักเอาแรง นี้น่าจะเป็นแค่ร้านกาแฟร้านเดียวที่ผมเจอตลอดเส้นทางวันนี้
มีเรื่องนึงที่ผมเจอคือตั้งแต่เมื่อวานที่บ้านพี่ลัดดาโทรศัพท์ผมไม่มีสัณญานพอมาสังเกตดีๆ ลองโทรดูปรากฎว่าเป็นกลายเป็นสัญญานโทรศัพท์ของฝั่งลาวไปแล้วงงมาก โทรไปคนรับสายเป็นเสียงรับอัตโนมัตลาว พอปั่นผ่านตัวเมืองอำเภอปากชมจึงแวะที่ร้านโทรศัพท์ให้ร้านแก้ให้ ปรากฎว่าผมไปเปิดโรมมิ่งทิ้งไว้ โทรศัพท์ดีแทคของผมก็กลับมาใช้ได้ตามปกติอีกครั้ง ปั่นต่อไปจนเข้าเขตอำเภอเชียงคาน ได้เป๊ปเดียวฝนก็เทลงมาอย่างหนัก โชคดีที่ปั่นมาถึงศาลาวัดข้างทางพอดี จึงแวะหลบฝนและพักเหนื่อย เพื่อรอให้ฝนซาวันนี้ผมตั้งใจจะไปนอนที่เชียงคาน
เหลืออีกราวสามสิบโลเห็นจะได้ พอฝนซาก็ออกปั่นต่อตอนนี้หิวมากเพราะไม่เจอร้านขายของอะไรที่กินได้มาพักใหญ่แล้ว เส้นทางบางช่วงก็เริ่มเป็นหลุมเป็นบ่อ
แต่สุดท้ายนสวรรค์ก็มาโปรดผมปั่นมาเจอหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีร้านอาหารตามสั่งและลูกชิ้นทอดเลยจัดเต็มแบบไม่ยั้ง กินทุกอย่างที่ขวางหน้า ฮาๆๆ
อิ่มท้องแล้วเลยออกปั่นต่อ เหลืออีกไม่ถึง 20 กิโลก็จะถึงอำเภอเชียงคานแล้ว สู้อีกหน่อย สุดท้ายประมาณสี่โมงครึ่งผมก็มาถึงที่จะพักคืนนี้เชียงคาน
อำเภอเชียงคานจังหวัดเลยเป็นจุดสุดท้ายที่แม่น้ำโขงจะหายเข้าสไปในดินแดนประเทศลาว บ๊ายบาย แม่น้ำโขง มาถึงก็แวะพักผ่อน และไปถามหาว่ามีรีสอร์ตไหนบ้างที่พอจะมีที่ว่างให้ผมกางเต็นท์ได้บ้าง เพราะอยากประหยัดและเปลี่ยนบรรยากาศ ผมปั่นไล่ไปจนสุดถนนชุมชนร้อยปีก็ไม่พบที่ไหนที่อนุญาตให้กางเต็นท์ มีบางที่จะเปิดให้กางเฉพาะหลังเดือนพฤศจิกายนเท่านั้น ผมเลยใช้ไม้ตายสุดท้ายคือปั่นไป ตชด ที่ติดกับที่ว่าการอำเภอเพราะมีชาวบ้านบอกว่าที่นั้นกางเต็นท์ได้ ไปถึงปุ๊บก็ขอพี่ ตชด กางเต็นท์ พี่ๆ ที่นี้น่ารักมาก บอกผมตามสบาย ชี้ห้องน้ำให้เสร็จสรรพ แถมบอกผมไม่ต้องกางที่สนามหญ้ามากางใต้อาคารเพราะเดี๋ยวฝนตกจะลำบาก สภาพที่นอนคืนนี้
กางเต็นท์เสร็จอาบน้ำเปลี่ยนชุดให้มันสบายตัว ก็ได้เวลาปั่นไปกชมเมืองเชียงคานยามเย็นหาอะไรอร่อยๆ กิน ไปชมภาพบรรยากาศกันเลย
มีนักเรียนรำถวายอีชมพู่ด้วย ฮาๆ
ถ่ายกับมุมสุดฮิต
ช่วงนี้นักท่องเที่ยวที่เชียงคานยังไม่เยอะเท่าไหร่ ซึ่งผมชอบมาก สักพักผมเลือกปั่นไปทางถนนที่เลียบแม่น้ำโขงไปเจอร้านเล็กๆ ที่บรรยากาศสุดชิล
ไปถึงก็มีกลุ่มลูกค้าที่นั่งอยู่ก่อนทักทายถามถึงจักรยานผม และชวนนั่งด้วย วันมีเพื่อนคุยแล้ว ฮาๆๆ นั่งคุยเลยรู้ว่ากลุ่มนี้เขาก็เพิ่งรู้จักกันบนรถทัวร์ที่นั่งมาเชียงคานจาก กทม เหมือนกัน ผมสั่งเบียร์ลาวกินให้เข้าบรรยากาศแม่น้ำโขงหน่อย
คุยกับคนที่เพิ่งรู้จักทำให้ทราบว่าหนึ่งในนั้นนางเป็นแอดมินเพจท่องเที่ยวใต้หวันเพจนึง ซึ่งเป็นประเทศที่ผมอยากไปปั่นจักรยานมากๆ ด้วย โชคดีจริงๆ นางก็มาเที่ยวเชียงคานคนเดียวเหมือนกัน วันนี้เลยบได้ข้อมูลเพียบ พี่อีกคนก็อาสาเลี้ยงเบียร์ผม โอ้ ชีวิตดี๊ดี ฮาๆๆ
กินกันสักพักจนเริ่มกึ่มๆ ก็หิวอออกจากร้านไปหาอะไรกิน ได้ลองข้าวจี่เชียงคานด้วยไม้มหึมา 10 บาทเองอร่อยอิ่ม
ซื้อของกินเสร็จไปนั่งกินเบียร์ต่ออีกหน่อยที่รีสอร์ตของพี่ที่ผมเพิ่งจะรู้จักที่ร้านเมื่อกี้ ข้อดีของการเที่ยวคนเดียวทำให้เราได้เพื่อนใหม่เต็มไปหมด บางทีสถานที่ๆ เราไปไม่สำคัญเท่ากับผู้คนที่เราได้เจอระหว่างทาง ถ่ายภาพเพื่อนใหม่เป็นที่ระลึก
กินจนเกือบจะเมา ฮาๆๆ ผมก็ปั่นจักรยานกลับมาที่พักคืนนี้หลับสบาย
ตื่นเช้ามาเก็บสัมภาระต่างๆ เสร็จก็ไปบอกลาพี่ๆ ตชด ขอบคุณสำหรับที่พักพร้อมกรอกน้ำจากตู้กดจนเต็มทุกขวดเตรียมพร้อมเดินทางไกลต่อ ปั่นเลียบถนนเลียบโขงจาก ตชด แวะถ่ายภาพกับที่ว่าการอำเภอ
ปั่นต่อมาได้นิดเดียวก็มาเจอลานกิจกรรมที่จะมีขบวนผู้ว่ามาเปิดงานปั่นจักรยานของเชียงคานพอดี ที่นี้เขาส่งเสริมการปั่นจักรยานกันอย่างจริงจัง ผมปั่นผ่านไปจอดดูพี่ๆ ในงานบอกน้องลงมากินน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ก่อน ผมมีหรือจะรอกำลังหิวพอดี
เลยลงไปจัดชุดใหญ่ของฟรี สักพักขบวนจักรยานผู้ว่าก็มา
ผมก็ไปยืนตบมือต้อนรับสักหน่อย ไหนๆ ก็มากินขนมเขาไปแล้ว พี่เขาให้ผมไปลงทะเบียนด้วยร่วมงานฟังผู้ว่าพูดด้วย แต่ผมต้องขอตัวเพราะต้องปั่นอีกไกลวันนี้ ออกจากเชียงคานผมปั่นเข้าอำเภอเมืองเลยเพื่อจะต่อไปภูเรือซึ่งผมตั้งใจจะไปพักที่นั้นคืนนี้ แต่ระหว่างทางฝนตกลงมาอย่างหนักปั่นฝ่าฝนไปสักพักสู้ไม่ไหวเลยแวะข้างทางที่บ้านคน รอไปสักพักก็ปั่นออกไปอีกและฝนก็ถล่มอีก ก็แวะบ้านคนไปเรื่อยๆ
เช็คสภาพอากาศในโทรศัพท์ปรากฎว่าจะมีพายุเข้าที่ภาคอีสานและภาคเหนือในวันที่ 4-6 ตุลา เชี่ย โดนเราเต็มๆ สุดท้ายก็ปั่นลุยฝนต่อไปอีก ปั่นจนมือซีดเลย T T
ก่อนถึงตัวเมืองเลยก็รู้สึกหิวจนตาลายเลยแวะกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อร้อนๆ อร่อยสุดๆ ทั้งเปียกทั้งหนาวได้กินอะไรร้อนๆ แบบนี้ฟิน
คุณป้าที่ขายบอกผมกินเก่งมากเป๊ปเดียวหมดชามจะแถมให้ผมฟรีๆ อีกชามผมบอกไม่เป็นไรครับอิ่มแล้ว น่ารักที่ซู้ดคนที่นี้ ป้าบอกเหห็นคนกินได้แล้วมีความสุข : ) อิ่มแล้วออกปั่นต่อ ผมถามชาวบ้านเขาบอกว่าระยะทางจากอำเภอเมืองเลยไปภูเรือภูเขาเยอะมากให้ปั่นระวังๆ ผมไม่กลัวเขาเท่ากับกลัวมืดระหว่างทาง ช่วงบ่ายฝนหยุดลงไปแล้ว แต่คราวนี้มาสู้กับภูเขาแทน แต่ของบอกว่าถนนสายจากอำเภอเมืองเลยไปภูเรือสวยมาก ส่วนใหญ่เป็นป่า สลับกับทุ่งนา และภูเขา สวรรค์ฃัดๆ แต่ก็เหนื่อยสุดๆ บางลูกนี้หัวใจแทบจะออกมาเต้นข้างนอกเลย ไปชมภาพกันเลยครับ
เข้าเขตอำเภอภูเรือแล้ว และก็ไกล้ค่ำด้วยเช่นกัน เริ่มกังวลแล้วว่า จะถึงก่อนค่ำมั๊ยนะ เพราะเขาเยอะเหลือเกินผมปั่นได้ช้ามากๆ วันนี้
สุดท้ายก็มาถึงตัวอำเภอก่อนค่ำ เกือบไปแล้วถ้ามืดตอนอยู่บนเขานี้เแย่เลย อุณหภูมิที่ภูเรือวันนี้ 20 เอง
มาถึงก็ไปหาของกินหิวมากๆ
ช่วงนี้ภูเรือแทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลยเงียบมาก ผมปั่นจักรยานหาที่พักทุกที่เงียบมาก ผมถามหาที่กางเต็นท์สองสามที่ตัดสินใจเลือกทีนี้เพราะถูกที่สุด
เจ้าของคิดผมแค่ 50 บาทเท่านั้นเจ้าของน่ารักมาก เอาผ้าเช็ดตัวและลางสาดมาให้ผมกินและมานั่งคุยเป็นเพื่อนผมตั้งนาน อย่างกะได้พักฟรี เดินทางเที่ยวนี้ผมได้เจอแต่คนดีๆ เต็มไปหมด ได้ที่พักผมก็จัดการกางเต็นท์
เพราะกลัวฝนจะลงมาอีกเลยเลือกกางในใต้หลังคา อากาศดีสุดๆ ไปเลย ใครมาเที่ยวภูเรือลองพักทีนี้นะครับเจ้าของใจดีมากๆ บรรยากาศตอนเช้าเห็นหมอกและวิวด้วยเพราะที่พักผมอยู่บนเนินตรงทางเข้าอุทยาน
หลังจากนั้นผมเก็บเต็นท์ออกเดินทางต่อวันนี้จะปั่นไปนอนที่จังหวัดพิษณุโลก บ๊ายบ่ายภูเรือ แวะเติมพลังแต่เช้าก่อนลุยต่อ
ออกจากภูเรือได้ไม่นานก็มาเจอถนนที่กำลังปรับปรุงเลยต้องปั่นอย่างระวัง บางช่วงก็หลบให้รถใหญ่เขาไปก่อนเพื่อความปลอดภัย
ผ่านออกมาได้ก็มาเจอภูเขาอีกแล้ว สองวันมานี้เจอแต่เขาๆๆๆ เมื่อไหร่จะมีเรากับเขาบ้างนะ ฮาๆ
สังเกตุว่าข้างๆ ทางแม้จะเป็นภูเขาแต่เป็นภูเขาไร่ข้่าวโพดซะเป็นส่วนใหญ่ แม้วันนี้ภูเขาจะเยอะแต่ไม่ชันเท่ากับเมื่อวานสภาพถนนก็ดีมากด้วยเลยปั่นชิลๆ ฝนก็ไม่ตกแม้แดดจะแรงหน่อยก็เถอะ เส้นทางนี้ผมใช้เพื่อจะปั่นต่อไปยังอำเภอด่านซ้ายจังหวัดเลย ปั่นไปเหนื่อยก็จอดพักถ่ายรูป
เหลืออีก 5 กิโลก็จะถึงอำเภอด่านซ้ายแล้ว ตอนนี้หิวมาก ข้าวที่กินมาเมื่อเช้าหายไปจากท้อวงหมดแล้ว
ในที่สุดก็ถึงอำเภอด่านซ้ายดินแดนแห่งผีตาโขน
เซลฟี่สักรูป แดดแรงมาก หน้าเลยเป็นอย่างที่เห็น ฮาๆๆ
มาถึงตัวอำเภอก็รีบหาร้านข้าวเติมพลังเพราะเส้นทางที่ผ่านมาไม่ค่อยมีร้านอาหารเลย มาได้ข้าวหมูกรอบร้านนี้อร่อยเป็นบ้า หรือเพราะเราหิวก็ไม่รู้จัดการจนเรียบอย่างรวดเร็ว
กินเสร็จผมก็ปั่นไปที่พิพิธภัณฑ์ผีตาโขนเพราะเห็นป้ายบอกทางไม่ไกลเท่าไหร่ ไปถึงปรากฎว่าร้างไฟปิดไม่มีเจ้าหน้าที่เลย เลยผิดหวังกลับมา ตั้งหน้าตั้งตาปั่นต่อ ถามชาวบ้านเส้นทางที่ผมจะไปคืออำเภอนครไทยจังหวัดพิษณุโลกซึ่งจะมีเขาลูกใหญ่หนึ่งลูกตั้งขวางกั้นอยู่ รักจะปั่นอย่าไปกลัวเขา ผมใจดีสู้เสือ ออกจากตัวอำเภอด่านซ้ายลดเกียร์จักรยานจนต่ำสุด ค่อยๆคลานพาอีชมพู่และสัมภาระอีกสามสิบกว่าโลไต่เขาลูกมหึมา ความเร็วตอนนี้ลดเหลือแค่ไม่ถึง 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเรียกว่าเดินยังเร็วกว่าอีก ผมไต่เขามาซักพักต้องจอดพักแทบจะทุกๆ 10 นาที เพาะแดดร้อนและเขาชันแถมยาวมากเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด ตัวผมเต็มไปด้วยเหงื่อเสื้อเปียกเหมือนใครเอาน้ำมาสาด จนสุดท้ายไม่ไหวรู้สึกไม่สบายตัวเพราะทั้งร้อนทั้งชื้นจึงตัดสินใจถอดเสื้อปั่นซะเลย ค่อยทำให้รู้สึกดีขึ้น ยอมรับเลยว่าตอนนี้เป็นช่วงที่ผมเหนื่อยและท้อที่สุดในระยะเวลาสี่วันที่ผ่านมา แค่ร่างกายไม่พอผมยังรู้สึกได้ถึงความเหงาที่เข้ามาห่อหุ้มหัวใจ
สภาพสีหน้าตอนนี้จะไหวไหม ฉันมาทำอะไรที่นี้
ถอดทุกอย่างจนแทบจะแก้ผ้าแล้ว ร้อนโว้ยย
ผมคลานไต่เขาลูกนั้นอยู่เกือบสองชั่วโฒงก็มาจนถึงยอดและเริ่มได้รับรางวัลที่ทำให้หายเหนื่อยนั้นก็คือทางลงอย่างเดียวยาวหลายกิโลบและวิวที่สวยมากๆ เสียดายช่วงลงเขาผมลงด้่วยความทเร็ว 40+ จึงไม่สามารถถ่ายรูปได้ ลงมาจากเขาก็เข้าเขตจังหวัดพิษณุโลกแล้ว ผมแวะหมู่บ้านแรกที่เจอทันที
รีบซื้อสปอนเซอร์มากินเพื่อทดแทนเหงื่อและเกลือแร่ที่สูญเสียไปบนเขาลูกตะกี้ แถมยังรู้สึกหิวมากๆ ข้าวหมูกรอบเมื่อตอนเที่ยงระเหยไปกับเหงื่อหมดแล้ว ปั่นผ่านร้านเหนียวไก่ย่างลงลงไปฟาดแบบไม่ยังราคาถูกมาก แค่ไม้ละ 10 บาท ข้าวเหนียว 5 บาทนี้ก้อนใหญ่กว่ากำปั้นผมอีก
กินเหนียวไก่เสร็จถามชาวบ้านว่าตัวเมืองนครไทยอีกไกลไหมฃาวบ้านบอกอีกราว 10 กิโล ก่อนออกปั่นต่อผมไม่ประมาทเผื่อเจอภูเขาอีกซื้อกล้วยทอดจากร้านเหนียวไก่อีก 20 บาท ถุงบะเร่อ เป็นเสบียงตุนไว้ก่อน ถือคติถ้าจะตายยังไงอย่าตายตอนหิว ฮาๆๆ
กล้วยถอดพลังช้างสาร
ปั่นต่อไปเส้นทางช่วงนี้เป็นทางเรียบสลับเนิน แต่ไม่มีภูเขาลูกใหญ่ๆ อีกแล้ว
ผมปั่นผ่านตัวอำเภอนครไทยซึ่งเป็นอำเภอเล็กๆ ตอนราวสี่โมงกว่าๆ เลยยังจะไม่พักที่นี้จะปั่นต่อไปยังอำเภอชาติตระการ ซึ่งติดกับจังหวัดอุตรดิตถ์ อยู่ห่างจากนครไทยไปอีกราว 30 กิโล เส้นทางช่วงนี้เรียบมากตัดผ่านทุ่งนายาวๆ ฝนยังคงโปรยปรายผมปั่นพาร่างกายอันเหนื่อยล้าไปแบบช้าๆ สุดท้ายก็มาถึงอำเภอชาติตระการตอนราวงหกโมง ผมสอบถามชาวบ้านว่าพอจะมีที่ๆ ผมจะกางเต็นท์นอนได้บ้างไหม คำตอบที่ได้คือผมต้องปั่นเข้าไปในเขตอุทยานที่นำตกชาติตระการอีก 9 กิโล ร่างกายผมตอนนี้อย่าว่าแต่ 9 กิโลเลยแค่สามกิโลก็ยังคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายผมเลยตัดสินใจหาที่พัก อยากนอนเตียงนุ่มๆ พักฟื้นร่างกายหลังจากวันนี้ล้ามาก เลยไปได้ที่พักริมถนนตั้งอยู่ในนาเป็นรีสอร์ตเล็กๆ ราคาห้องพัดลม 250 บาท ไปดูห้องกันเลย คุ้มค่าราคามาก มีน้ำอุ่นด้วยนะ แต่ไม่ได้ถ่ายมา
ทุ่งนาด้านหน้าที่พักวันนี้สวยงามมาก
เดินถ่ายรูปเล่นๆ ก่อนตะวันตกดิน
อาบน้ำเสร็จผมก็ปั่นเข้าไปในตัวอำเภอซึ่งห่างจากที่พักไม่มากเพื่อไปหาของกิน
เซเว่นเพียงแห่งเดียวของที่นี้
ถนนเส้นหลักของอำเภอ
ที่ว่าการอำเภอ
ตลาดเทศบาล
ผมมาซื้อแกงถุงจากที่นี้กลับไปกินที่โรงแรม คืนนี้เหนื่อยมากนอนหลับสบาย สังเกตเห็นสภาพเท้าตัวเอง ที่โดนแดดเผาจนเป็นรูปตามรองเท้า T T
จบไปอีกหนึ่งวัน เป็นวันที่เหนื่อยที่สุดแต่ก็มันสุดๆ เช่นกัน มีครบทุกรสชาติ
เช้าวันที่ห้า ผมตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งเพราะหลับไปตั้งแต่สี่ทุ่ม รีบจัดเก็บสัมภาระและออกเดินทางต่อวันนี้อยากทำระยะทางให้มากๆ เพราะเริ่มรู้สึกเหงาแบบแปลกๆ อยากแวะไปหาเพื่อนที่จังหวัดเชียงใหม่เต็มที ผมปั่นเข้าไปหาอะไรกินในตัวอำเภออีกครั้ง คราวนี้เจอร้านข้าวมันไก่ชื่อ ร้านตี๋เล็ก เลยจัดพิเศษมาหนึ่งจาน
อิ่มแล้วออกเดินทางกันต่อกำลังจะเข้าจังหวัดที่สี่ในทริปนี้ อุตรดิตถ์ ปั่นออกมาได้หน่อยก็มาเจอป้ายนี้
โอ้แม่เจ้า เด็กใต้อย่างผมมาเจอแกงใต้ที่พิษณุโลกแบบนี้อยากกินขึ้นมาทันที ติดตรงที่ว่าผมเพิ่งจะฟาดข้่าวมันไก่ตี๋เล็กพิเศษไปอิ่มแปล้อยู่เลย โถเราเจอกันช้าไป นึกถึงคำหว่องกาไวที่ว่า ความรักมันเป็นเรื่องของเวลา มันจะไม่มีประโยนชน์อะไรเลยถภ้าคนสองคนมาเจอกันเร็วไปหรือช้าไป ข้าวแกงใต้ก็เช่นกัน แต่ปั่นผ่านมาสักพักผมก็หิวอีกแล้ว เจอร้านขายขนมในเพิงเล็กๆ ข้างทางจึงแวะเข้าไปสอบถามปรากฎว่าเป็นขนมหวานน่ากินมาก พี่เขาทำเองด้วย บอกผมตื่นมาทำตั้งแต่ตี 4 ขายทุกวัน เพราะทำนาอย่างเดียวไม่พอกิน ผมอุดหนุนไปสามชิ้น ถูกมาก พี่เขาขายแค่ชิ้นละ 5 บาทเอง หอมนุ่มอร่อยมาก
ปั่นต่อไปอีกรู้สึกสภาพรอบข้างเริ่มกลายเป็นป่าอีกแล้ว ภูเขาก็ลอยอยู่ข้างหน้า แต่สภาพทางและอากาศดีมากๆ วันนี้ ยังไงก็สู้ เพราะเมื่อคืนได้นอนสบายๆ มาเต็มอิ่ม
สภาพถนนตัดผ่านป่าจากอำเภอชาติตระการไปจังหวัดอุตรดิตถ์บรรยากาศเงียบสงบ ร่มรื่น และนานๆ จะมีรถผ่านมาสักคัน
ผมปั่นอย่างเพลิดเพลินไม่นานก็เข้ามาอยู่ในเขตจังหวัดอุตรดิตถ์แล้ว บ๊ายๆ นะพิษณุโลก
ปั่นต่อมาสักพักผมก็มาแวะพักที่ปั๊มน้ำมันเล็กๆ แห่งนึง ระหว่างซื้อโค้กมากกินก็มีกลุ่มบิ๊กไบค์เป็นชาวต่างชาติสามคันเข้ามาเติมน้ำมัน ผมเลยเข้าไปทักทาย เพราะอยากหาใครคุยด้วยแก้เหงา สอบถามจึงทราบว่าขับกันมาจากตราดกำลังไปเชียงใหม่ คนที่ผมคุยด้วยเป็นชาวอเมริกัน มาสอนภาษาอังกฤษอยู่ที่จังหวัดตราด ส่วนเพื่อนนางอีกสองคนเป็นคนอังกฤษและเวลส์ ผมเล่าให้ฟังไปว่าผมปั่นจักรยานมาจากหนองคาย นางก็ทำหน้าตกใจ เดินมาดูจักรยานผมมาถามว่าใช้รถอะไร แล้วอานจักรยานทำให้ปวดก้นไหม ผมตอบไม่ว่าผมไม่รู้ ผมแยกแยะไม่ออก ฮาๆๆ รู้แต่ว่าเฉยๆ ชินไปแล้ว นางขอผมถ่ายรูป ผมก็เลยขอถ่ายด้วยคน
สมาชิกทั้งสามคัน
พักผ่อนพอหายเหนื่อยผมก็ออกเดินทางต่อวันนี้เป้นไปได้อยากไปให้ถึงจังหวัดแพร่เลย ปั่นไปสักพักก็ถึงเวลาเที่ยง ได้เวลากินอีกแล้ว การปั่นจักรยานทางไกลแบบนี้ทำให้ผมสามารถกินได้ตลอดเวลา คราวนี้ได้กินแกงใต้สมใจอยากสักที โชคดีอีกแล้ว
รสชาตืใต้แท้ๆๆ คนชุมพรมาเปิดขายได้แหลงใต้กับพี่เจ้าของร้านพอให้หายคิดถึงบ้าน แม่ครัวและน้องในร้านเข้ามาถามว่าผมปั่นมาจากไหน พอผมบอกไปว่าปั่นมาจากหนองคายเลย มาขอถ่ายรูปผม บอกว่าสุดยอดเลย นี้เป็นครั้งแรกที่มีคนมาขอผมถ่ายรูปด้วย คนอุตรดิตถ์นี้น่ารักอัธยาศัยดีจริงๆ
น้องเขาบอกว่าถ่ายไปให้ผัวเตะเล่น ฮาๆๆ
แม่ครัวก็มาด้วย
อิ่มแล้วออกเดินทางต่อยังต้องไปอีกราว 50 กิโลกว่าจะถึงเด่นชัยจังหวัดแพร่ ผมปั่นใช้เส้นเลี่ยงเมืองอุตรดิตถ์ อากาศวันนี้ร้อนจริงๆ แต่โชคดีช่วงนี้ทางเรียบตลอด ตลอดเส้นทางวจะมีเพิงขายผลไม้ลองกองและลางสาด ของขึ้นชื่อประจำจังหหวัดเขา ราคาก็ถูกมา ห้ากิโลร้อยยังมี ผลไม้สดๆ จากสวน ผมแวะที่นึงคิดว่าจะซื้อไว้กินให้ชื่นใจตอนไต่เขาเข้าจังหวัดแพร่ แม่ค้าเขาใจดีมากแถมให้ผมด้วย ผมซื้อได้แค่กิโลเดียวเพราะไม่อาจแบกน้ำหนักมากกว่านี้ได้ ตอนขึ้นเขา น้องที่ร้านก็ขอผมถ่ายรูปอีกแล้ว บอกว่าจะโพสเฟสบุ๊ค พี่สุดยอดเลยปั่นมาได้ไงจากหนองคาย
ลองกองลางสาดสดๆ จ๊าาา พี่คนนี้แหละใจดีแถมลางสาดให้ผมน่ารักมาก คนที่นี้ใจดีจริงๆ
มัดไว้อย่างแน่ ฮาๆ
ได้เสบียงเพิ่มก็ปั่นต่อไปอีกเหนื่อยก็จอดกินลองกองกับลางสาด ปั่นไปเรื่อยๆ ผ่าเปลาวแดดไปจนเกือบจะถึงเจ้าภูเขาที่กั้นระหว่างอุตรดิตถ์กับจังหวัดแพร่ ผมเหลือไปเห็นไปร้านกาแฟดริฟ ร้านน่านั่งอย่างยิ่งเลยขอแวะทำใจก่อนไต่เขาลูกมหึมาลูกสุดท้ายของวัน
สั่งชาเขียวมีลอกกองแถมมาด้วย หรือลางสาดหว่า ฮาๆ แยกไม่ออก
หลังจากนั้่งพักที่ร้านกาแฟฮิมม่อนซึ่งตั้งอยู่ตรงตีนเขาลูกใหญ่ที่กั้นระหว่างจังหวัดอุตรดิตถ์และอำเภอเด่นชัยจังหวัดแพร่ ผมก็ออกเดินทางต่อค่อยๆ คลานไต่เขาพร้อมสัมภาระอันหนักอึ้ง เหมือนเคย ตอนนี้หนักกว่าเดิมเพราะมีลองกองมาอีกกิโลนึงด้วย ฮาๆ ตอนนั้นแอบกังวัลนิดหน่อยเพราะผมออกเดินทางจากร้านกาแฟราวสี่โมงเย็นแล้ว แม้ระยะทางจะเหลืออีกไม่ไกลแต่ด้วยความที่เส้นทางเป็นภูเขาก็แอบกลัวว่ามันจะชันในระดับไหน แต่พอขึ้นมาก็พบว่าทางไม่ได้ชันมาก ขอบคุณกรมทางหลวงมา ณ ที่นี้ คงเป็นเพราะถนนเส้นนี้มีรถบรรทุกเยอะ เขาเลยทำทางไม่ชันมากนักแต่เป็นเนินยาวๆ แถมวิวก็สวยมากด้วย เริ่มรู้สึกเวลาปั่นเริ่มมีลมเย็นๆ เข้ามาปะทะหน้า ฟินจริงๆ สิ่งที่ผมชอบที่เวลาปั่นจักรยานก็คือการที่มีลมแบบนี้มาลูบไล้ตัวเรา เหนื่อยก็แวะจอดพักถ่ายรูปเหมือนเคย
ยังไหวมั๊ย ไม่เหนื่อยเลยจริงๆ ฮาๆๆ
รางวัลตอบแทนเมื่อขึ้นมาที่สูง จากนี้ไปก็จะลงอย่างเดียวแล้ว พระอาทิตย์อย่าเพิ่งไหนไปไหน ข้าต้องพึ่งเจ้า
จะได้ลงแล้วนะ ดีใจมาก ฮาๆๆ
ถ่ายกับเงา เราไม่เคยเหงา เพราะมีเงาเป็นเพื่อน
สุดท้ายก็เข้าเขตจังหวัดแพร่ มาถึงดินแดนล้านนาอย่างเป็นทางการด้วยจักรยานของผม ดีใจจุง
ผมชอบเส้นทางที่ปั่นวันนี้จริงๆ ผ่านเส้นทางสวยๆ และผู้คนน่ารักตลอดทาง วันนี้รู้สึกสดชื่นมากคงเป็นเพาะเมื่อคืนผมนอนเต็มอิ่ม และเส้นทางวันนี้ก็ไม่โหดมากนัก ไต่เขามาราวสักชั่วโมงนึงก็ถึงทางลงบ้าง มันคือรางวัลตอบแทนการไต่เขาของเรา ทีนี้ก็สบายแล้ว พอลงมาจากภูเขาเข้าตัวอำเภอเด่นชัย ผมใช้เส้นทางเลี้ยงตัวอำเภอเพื่อใช้เส้นทางที่จขะต่อไปจังหวัดลำปาง พอมาถึงถนนเส้นที่จะไปลำปางก็ไกล้มืดแล้ว ผมต้องแก้ปัญหาเดิมๆ ที่เจอทุกวันพอตะวันไกล้ตกดิน คืนนี้กูจะนอนไหนหว่า ฮาๆๆ เพราะเส้นทางที่ผมปั่นอยู่ตอนนี้ดูค่อนข้างเปลี่ยวเป็นป่าไป ตลอดทางจนถึงจังหวังลำปางเลยพอดีเห็นป้ายรีสอร์ตแห่งหนึ่งติดอยู่ข้างท่างบอกว่าข้างหน้าอีก 3 กิโลเมตร มีรีสอร์ตชื่อบ้านสวน สามนรีมีเบอร์โทรติดอยู่ด้วย ผมเลยโทรไปสอบถาม มีเสียงผู้หญิงรับสายผมเลยถามว่าที่รีสอร์ตมีที่ให้กางเต็นท์ไหม คุณป้าที่รับสาย เดาจากเสียงคิดว่าแก่กว่าแม่ผม บอกว่าปกติไม่ได้ให้กางเต็นท์ ถามผมว่าทำไมไม่พักในห้องของรีสอร์ต ผมบอกว่าผมอยากประหยัดและผมก็มีเต็นท์มาเอง ขอแค่ที่กางเต็นท์และใช้ห้องน้ำ คุณป้าคงออกแนวสงสารเลยบอกงั้นไปถึงที่รีสอร์ตแล้วไปบอกยามว่าจะมากางเต็นท์โทรมาบอกป้าเจ้าของแล้ว ผมถามราคาไปคุณป้าบอกผมว่าคิด 150 แล้วกัน ผมตกใจ แพงมาก เคยเจอที่ภูเรือเก็บแค่ 50 บาท ผมเลยต่อบอกว่าผมต้องประหยัดเพาะต้องปั่นอีกหลายวันขอลดหน่อยได้ไหม คุณป้าเลยบอกว่าถ้างั้นขอร้อยนึง ผมเลยโอเคไป ยังไงก็ดีกว่าไม่มีที่นอน มันไกล้มืดแล้วด้วย ปั่นไปถึงรีสอร์ตก็เข้าไปแจ้งคนเฝ้ารีสอร์ต ตามที่คุณป้าบอกมา คุณป้าแม่บ้านอีกคน ตอนที่ผมไปพี่ยามไม่อยู่ ก็พาผมเดินดูในรีสอร์ตว่าอยากกางตรงไหนเลือกเอาเลย สุดท้ายผมเลือกกางใต้ศาลาริมน้ำ เพราะมีหลังคา และปลั๊กไฟให้ผมช๊าตอุปกรณ์ต่างๆ ของผมได้
กว่าจะกางเต็นท์เสร็จก็มืดพอดี
แก้ปัญหาเรื่องที่นอนเสร็จไปได้แล้ว ปัญหาต่อมาคือจัดการกับความหิว ถามที่พักไม่มีอาหารขาย ต้องปั่นจักรยานออกไปด้านหลัง พี่ยามบอกว่ามีร้านอาหารตามสั่งทุกอย่างจานละ 20 บาท โอ้ เข้าทางผม ผมไปอาบน้ำและรีบปั่นจักรยานออกไปร้านที่บอก เพราะหิวมาก ปีนข้ามเขามาหลายลูก ไปถึงก็เหมือนตามที่พี่ยามบอกจริงๆ ทุกอย่าง 20 บาท ผมมาถึงร้่านประมาณทุ่มครึ่ง โชคดีที่มาทัน เพราะร้านเขาปิดสองทุ่ม เลยจัดไปสองจานเลย ข้าวกะเพราะ 20 บาท และราดหน้าอีกหนึ่งจาน 20 บาท อร่อยด้วยนะไม่ใช่ถูกอย่างเดียว
ถูกเหลือเชื่อ
จำไม่ได้แล้วว่ากินข้าวกะเพราะจานละ 20 ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
ราดหน้า 20 บาทบ้าไปแล้ว
อิ่มแล้วก็ปั่นกลับรีสอร์ต ก่อนนอนผมก็เอาลองกองที่ซื้อมาตั้งแต่อุตรดิตถ์ มากินกับพี่ยาม พี่เขาก่อไฟไล่ยุง นั่งคุยกันหลายเรื่อง ผมเล่าถึงการปั่นจักรยานของผมในทริปนี้ให้พี่เขาฟัง พี่เขาบอกว่าพรุ่งนี้จากรีสอร์ตไปลำปางเส้นทางจะเป็นภูเขาไปตลอด และทางแคบด้วยนะ เปลี่ยวด้วย ออกแนวๆ ขู่ผมใหญ่เลย ผมก็ยิ้มอย่างเดียว คือมาถึงจุดนี้เฉยๆ หมดแล้ว จะอะไรก็มาเถอะ ยังไงก็ปั่นไหว ฮาๆๆ พี่เขาเล่าให้ผมฟังว่าเคยขับมอไซจากชลบุรีมาแพร่ เป็นมอไซค์แม่บ้านธรรมดาขับมากับเพื่อนอีกคน มาถึงแพร่นี้หลังแข็งเลย ง่วงก็แวะนอนตามศาลาข้างทางเป็นช่วงๆ ผมคุยกับพี่เขาจนราว 4 ทุ่มก็ขอตัวไปนอนเอาแรง เพราะพรุ่งนี้จะออกแต่เช้า จะได้ไม่ร้อน อยากทำระยะทางช่วงเช้าให้ได้เยอะๆ
ภาพที่พักผมตอนเช้า อากาศดีมากๆ
ภาพด้านหน้ารีสอร์ต ไปแล้วนะ
ออกมาจากรีสอร์ตประมาณ 5 กิโลก็เจอปั๊ม ปตท เลยแวะเติมพลัง ของคนอื่นเขาเติมน้ำมัน แต่ของผมเดินด้วยท้อง
ที่จอด
มื้อเช้าวันนี้ 40 บาท ไม่อร่อยด้วย เมื่อวานราคานี้กินได้ตั้งสองจาน คิดถึงร้านนั้นจัง แต่เขาเปิดแปดโมงเช้า ผมออกเดินทางตั้งแต่เจ็ดโมง
อิ่มแล้วก็ออกเดินทางต่อ ถนนเส้นนี้สภาพดีมาก สองข้างทางมีแต่ป่านานๆ จะมีหมู่บ้านเล็กๆ สักครั้ง และแน่นอนเขาเพียบเลยคร้าาาา ฃีวิตดี๊ดี ฮาๆๆ แต่ก็สวยมากเฃ่นกันไปชมบรรยากาศถนนเส้นเด่นชัย ลำปางกันเลย
บรรยากาศธรรมชาติสุดๆ ปั่นเช้าๆ แบบนี้มีหมอกสดชื่นมาก
โอ้ยสวย
ปั่นไปซักพักเริ่มหิวและน้ำเริ่มพร่อง พอเหก็นป้ายเลี้ยวเข้าไปมีหมู่บ้ายเลยแวะเข้าไปเติมน้ำและหาอะไรรองท้องตอนนั้นน่าจะราวสิบโมง ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะชื่อบ้านแม่ปาน เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ปั่นเข้าไปแวะที่ร้านขายของชำ ซึ่งติดกับศาลาหมู่บ้านเห็นคนเยอะแยะ ชาวบ้านเล่าว่ากำลังจะมีงานศพ มีคนในหมู่บ้านตาย ศพกำลังจะมา ผมเลยรีบกินรีบไปะเลย ฮาๆๆ ไม่อยากเห็นบรรยากาศโศรกเศร้า
เพิ่มพลัง ต้องเจอเขาอีกหลายลูก
ภาพชาวบ้านที่กำลังมารอจัดงานศพ สงสัยไม่มีวัดแน่เลย เลยมาจัดที่ศาลาหมู่บ้าน
ออกเดินทางจากหมู่บ้านไปกันต่อ วันนี้ต้องไปอีกไกล ปั่นมาเรื่อยๆ ก็เจอป้ายคำว่าเชียงใหม่แล้ว ตื่นเต้นๆ
ใจคนและหนทาง เหนื่อยก็หาร่มเงาพัก รักต้นไม้จัง
ทางวันนี้เจฃขามากจริงๆ แต่ก็สวยสุดๆ ปั่นมาเรื่อยๆ ก็เจอเขาลุกใหญ่ลูกสุดท้ายที่กั้นเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างแพร่กับลำปาง
แดดร้อนแล้วไกล้เที่ยง ปีนเขาด้วย
มีแต่เขากับเรานี้แหละ ยังไหวๆ แต่เริ่มหิวอีกแล้ว ฮาๆๆ
ถึงจุดสูงสุดแล้ว จากการปั่นมาหลายวัน ผมเริ่มรู้แล้วว่าจุดสูงสุดของเขาคือจุดแบ่งเขตจังหวัดกัน พอเห็นป้ายนี้ ก็โล่งอกแล้วว่าข้างหน้าคือลงเขาแล้ว เขาลูกนี้มันหนักหนาสาหัสมาก จนผมปั่นเหลือความเร็วแค่ 5 กิโลต่อชั่วโมงและจอดพักแทบจะทุก 5 นาที
สวัสดีลำปาง ลาก่อนเมื่องแป้
ตอนลงเขาลูกนี้ผมทำความเร็วสูงสุดของทริปนี้คือ 63 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และก็มีเหตุการณ์เศร้าคือพอลงมาถึงตืนเขาผมพบเสื้อเจ็คเก็ตกันน้ำสีแดงของผมตัวที่ผมใช้เชือกผูกไว้ หล่นหายไประหว่างช่วงลงเขา คงเป็นเพราะความเร็วขนานนั้นทำให้มันโดนลมพัดหลุดหายไป เสื้อตัวนี้เป็นเสื้อที่แพงที่สุดที่ผมเคยซื้อมาเลย 2700 บาท T T เสียดายมาก แต่ถามว่าจะให้ปั่นกลับขึ้นไปหาไหม คงไม่แล้ว ฮาๆๆ ตัวละหมื่นก็ทิ้งคร้า เขาชันขนาดนั้นไม่ไหว แต่ในความโชคร้ายก็มีโชคดี พอลงมาถึงตีนเขาก็เจอหมู่บ้านเล็กๆ ถ้าจำไม่ผิดชื่อปางมะโอ มีร้านอาหาร โอ้หิวสุดๆ
แวะเข้าไป ลูกค้าที่นัี่งอยู่ในร้านชวนผมคุยเพราะเห็นปั่นจักรยานมา ผมก็เล่าว่ามาจากไหนจะไปไหน คุยไปคยมาปรากฎว่าพี่เขาเป็นคนพัทลุง คนใต้เหมือนกัน มาทำฟาร์มเห็ดหอมอยู่ที่นี้ แถมมีไร่กาแฟที่ปายด้วย เลยแหลงใต้กันชุดใหญ่ พี่เขาเลยบอกว่าเดี๋ยวเลี้ยงเองมื้อนี้ เกือบลืมเล่าถึงอาหารที่นีของขึ้นชื่อคือเห็ดหอม ที่ร้านก็ขายก๋วยเตี๋ยวเห็ดหอม ซึ่งกรอบอร่อยมาก ผมฟาดไปสองชาม แถมขนมหวานอีกถ้วย แถมมีคนเลี้ยงอีก เอานะ ถึงจะโชคร้ายเรื่องเสื้อแต่ก็โชคดีเรื่องการได้เจอแต่คนดีๆ ตลอดเส้นทาง
ถ่ายกับเจ้าภาพอาหารมื้อนี้ ขอบคุณคร้าบบ
อร่อยลืมโลก ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นเห็ดหอม ราคา 30 บาทเอง ถูกมากๆ
อีกชาม 30 บาทเหมือนกัน ชามนี้เป็นเกาเหลา
ขนมหวาน ดับร้อนตอนเที่ยงๆ ชื่นใจยิ่งนัก
อิ่มแล้วออกเดินทางต่อ แดดร้อนมากวันนี้ เส้นทางที่ผมปั่นจะผ่านอำเภอเมืองลำปาง และจะต่อไปลำพูน เส้นทางช่วงนี้เป็นถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ไม่มีภูเขาแล้วส่วนใหญ่เะป็นที่ราบ แต่ก็ไม่มีอะไรน่าดู ไม่มีป่าให้ร่มเงาในวันอากาสร้อนแบบนี้เลย
อีกสิบกิโลถึงตัวเมืองลำปาง ร้อนสุดๆ
ปั่นผ่านตัวเมืองลำปางไปได้สักพักตอนราวสี่โมงเย็นฝนก็เทลงมา ผมต้องรีบหาที่หลบฝน พอดีเห็นร้านส้ำตำข้างทาง เลยถือโอกาสกินข้าวเย็นที่นี้ซะเลย
มื้อนี้ 110 บาท เป็นอาหารมื้อที่แพงที่สุดที่ผมกินนับแต่แต่ปั่นมา อร่อยได้อยู่ อัดข้าวเหนียวเข้าไปหนักๆ เด่วต้องขึ้นดอยขุนตาลอีกราว 30 โล
อิ่มแล้วฝนหยุดพอดี ผมต้องรีบปั่นเพราะไกล้มืดอีกแล้ว ปั่นๆ อยู่ก็มีพี่ปั่นจักรยานคนนึงปั่นมาเทียบแล้วชวนผมคุยถามว่าปั่นมมาจากไหน ผมก็เล่าไป ผมถามพี่เขาว่าบนดอยขุนตาลพอจะมาที่กางเต็นท์ไหม พี่เขาบอกว่าที่จุดบริการทางหลวงขุนตาลน่าจะกางได้ มีห้องน้ำให้ใช้ ผมเลยรีบปั่นไปให้ถึงก่อนมืด
กำลังจะขึ้นดอยขุนตาลถ่ายรูปหน้ากาดทุ่งเกียน อีก 12 กิโลจะถึงจุดบริการทางหลวงที่ๆ ผมตั้งใจจะไปกางเต็นท์ จะถึงก่อนมืดมั๊ยนะตอนนี้ไกล้จะหกโมงแล้ว มันเป็น 12 กิโลแม้วซะด้วย ผมลังเลจะหาที่พักก่อนขึ้นดอยขุนตาลดี หรือจะไปต่อ สุดท้ายไปต่อ ฮาๆ คืดอยู่ห้าวินาที มาถึงขั้นนี้แล้ว สู้สุดใจ
พอเริ่มไต่เขาผมก็ค่อยๆ คลานขึ้นไปอีกแล้ว ปั่นได้ช้ามาก 12 กิโลใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง
อีกกิโลเดียวจะถึงแล้ว แถมเหมือนจะมืดฝนด้วย
พอมาถึงจุดบริการทางหลวงผมก็สำรวจที่ๆ ผมจะกางเต็นท์ ปรากฎว่ามันไม่มีจุดกางเต็นท์ มีแต่ห้องน้ำ ที่ไม่ค่อยโสภาเท่าไหร่ ผมไปถามพี่ตำรวจทางหลวงเรื่องขอกางเต็นท์ว่าจะขอกางได้ไหม พี่เขาบอกตามสบาย แต่ผมดูบรรยากาสรอบๆ แล้วผมไม่ค่อยอยากจะกางเต็นท์แถวนี้เท่าไหร่ ดูวังเวงยังไงไม่รู้ ผมเลยถามด้วยว่าถ้าผมปั่นไปต่ออีกไกลไหมกว่าจะมีที่พักพี่เขาบอกว่าอีกราว 10 กิโลจะถึงอำเภอแม่ทาจังหวัดลำพูน ผมเลยถามว่าเป็นทางขึ้นเขาอีกไกลไหม พี่ตำรวจบอกอีกราว 3 กิโล ตอนนั้นมืดสนิทแล้ว ผมเลยลังเลมาก ว่าจะไปต่อดีไหม หรือจะกางเต็นท์นอนที่นี้ นับได้ว่าวันนี้ปัญหาเรื่องที่นอนเป็นปัญหาที่หนักที่สุดเลยนับตั้งแต่ปั่นมา สุดท้ายผมตัดสินใจขไปต่อ เนื่องด้วยถนนบนดอยขุนตาลไหล่ทางกว้างมาก ผมเลยคิดว่าปลอดภัยพอที่ผมจะปั่นไปตอนมืดได้ จริงๆ ก่อนออกทริปนี้ผมตั้งกฎข้อนึงกับตัวเองคือจะหลีกเลี่ยงการเดินทางกลางคืนให้มากที่สุด แต่วันนี้ยอมแหกแถมเป็นการแหกกฎตอนอยู่บนดอยซะด้วย ออกจากทางหลวงผมก็คลานต่อตอนนั้นทุ่มกว่าแล้ว มืดมาก ไฟข้างทางก็ไม่มี นานๆ จะโผล่มาซักต้น ทางยังคงขึ้นเนินเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด สามกิโลของพี่ตำรวจทำไมไกลนักวะ ที่แย่กว่านั้นคืออยู่ๆ ฝนก็โปรยลงมาอัก โอ้นรกชัดๆ ผมค่อยๆ คลานขึ้นเนินแล้วเนินเล่า ใช้แรงทั้งหมดที่มีเหยียบบันไดจักรยาน โชคดีที่ถนนกว้าง ผมปั่นชิดไหล่ทางซ้ายสุด ผมปั่นนำหน้ารถบรรทุกที่ไฟสว่างๆ ที่กำลังคลานขึ้นดอยเหมือนผมในความเร็วที่สูสีกัน ฮาๆ เลยได้ใช้แสงไฟจากรถบรรทุกคันนี้ช่วย แถมรถบรรทุกคันนั้นยังทำหน้าที่เหมือนรถคุ้มกันผมไปในตัวด้วย จนในที่สุดก็ถึงจุดสูงสุด เห็นป้ายจังหวัดลำพูนแล้ว ต่อจากนี้ก็ได้ลงจากเขา
สวัสดีลำพูน ลาก่อนลำปาง
ตอนลงเขาผมพบว่ามันกลับอันตรายกว่าตอนขึ้น เพราะรถขับเร็ว และผมต้องคอยเบรคไม่ให้รถไหลเร็วจนเกินไป เพราะอาจเสียหลักตกเขาได้ โชคดีที่ไฟที่ผมเตรียมมาทั้งหน้าหลังสว่างมากพอ ที่ทำให้ผมมองเห็นเส้นทางได้ค่อนข้างชัด จนในที่สุดผมก็ลงมาถึงตืนเขา และปั่นต่อไปอีกสักพักก็เริ่มมีชุมชน และแน่นอน เจอที่พักแล้ว โอิ้ วันนี้เป็นวันที่ผมปั่นไกลที่สุดเลย เกือบ 150 กิโล มาถึงที่พักสองทุ่มครรึ่ง ต่อราคาจาก 350 เหลือ 300 ห้องแอร์ด้วย ใจดีสุดๆ คืนนี้ผมหลับเป็นตายเพราะเหนื่อยมาก ห้องพักก็สบายสุดๆ
ผมตื่นตั้งแต่ตีห้า เพราะเมื่อคืนนี้หลับเร็วเพราคววามเพลีย ตื่นรู้สึกสดชื่นมากๆ อาบน้ำเก็บของออกเดินทางต่อกันต่อ
ถ่ายหน้าห้องพัก
ทางเข้าที่พัก
ออกจากที่พักก็มุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงใหม่เหลือระยะทางอีกราว 50 กิโลเท่านั้น เส้นทางก็ยังคงอยู่บนถนนทางหลวงเส้นหลักมาตั้งแต่ลำปาง เห็นวิวภูเขาและหมอกยามเช้ามันสวยจริงๆ
ถ่ายตรงสะพานข้ามแม่น้ำแม่ทา
ปั่นออกมาไม่นานก็ต้องเติมพลังแวะทานข้าวเช้า
เสร็จแล้วออกปั่นต่อเมื่อตืนนี้ผมได้คุยกับเพื่อนที่อยู่เฃียงใหม่ นางแนะนำให้ผมลองใช้เส้นทางเลียบทางรถไฟดู รถไม่เยอะเหมือนถนนเส้นหลัก ผมเลยตดสินใจใช้เส้นทางนี้ ซึ่งถือว่าคิดถูกมากเพราะรถไม่เยอะ และวิวสวยทีเดียว ปั่นเลียบทางรถไฟไปเรื่อยๆ
ถนนเลียบรางรถไฟช่วงที่อยู่ในจังหวัดลำพูนมีการแบ่งพื้นที่ให้เป็นเลนจักรยานด้วย ดีงามมาก
บางช่วงก็มีอุโมงค์ต้นไม้เป็นช่วงสั้นๆ ^^
สะพานเหล็ก
ทุ่งนา
ผ่านแม่น้ำ
ข้ามทางรถไฟ
ปั่นมาเรื่อยๆ สักราวชั่วโมงกว่าๆ ก็เข้าเขตเฃียงใหม่
ปั่นต่อไปเรื่อยๆ ก็ผ่านอำเภอสารภีและเข้าเขตอำเภอเมือง ผมก็รู้สึกหิวอีกแล้ว เลยแวะเซเว่นเติมพลัง
ซื้อเสร็จก็ยืนกินหน้าเซเว่น เสร็จแล้วก็ปั่นเข้าเมืองเชียงใหม่เพื่อจะหาที่พัก เพราะวันนี้จะมีเพื่อนผมบินตามมาปั่นด้วยจาก กทม. เลยมีคนแชร์ค่าที่พัก เลยกะจะไปหาเกสเฮ้าแถวท่าแพพักซักหน่อย จะได้เอาสัมภาระออกจากอีชมพู่เก็บไว้ที่ห้อง และปั่นเที่ยวแถวๆ เมืองเชียงใหม่วันนี้ มาถึงท่าแพก็ต้องถ่ายกับประตูเมืองสักหน่อย ถึงเชียงใหม่แล้วเจ้า ระยะทางสะสมตอนนี้ 795 กิโล วันที่ 7 ของการเดินทาง
หลังจากนั้นก็หาที่พัก ผมได้ที่พักเป็นเกสต์เฮาส์คืนละ 400 บาทมีแอร์และที่สำคัญคือให้ผมสามารถนำอีชมพู่ไปเก็บในห้องได้ เสร็จแล้วก็เช็คอินเอาจักรยานเข้าไปเก็บในห้อง
ต่อด้วยเอาผ้าไปฝากซักที่ร้่าน ทำธุระต่างๆ เสร็จก็เดินออกมานวดผ่อนคลายในระหว่างรอให้เพื่อนจากสนามบินตามมาที่พัก ร้านนี้นวดดีมาก เพราะปีที่แล้วผมก็มาพักแถวนี้ตอนมาเที่ยวเชียงใหม่และได้มานวดครั้งนึงแล้ว ป้าคนเดิมก็ยังอยู่เหมือนเดิม ผมยังจำเรื่องราวที่แกเล่าเกี่ยวกับลูกสาวแกใ้ฟังได้ดี มารอบนี้แกก็เล่าต่อ ฮาๆๆ
นวดได้ไม่นานเพื่อนผมก็มาถึง พอนวดเสร็จผมก็พาเพื่อนไปเดินหาเช่าจักรยาน เพราะพรุ่งนี้ผมมีแผนจะปั่นไปเชียงดาว เพื่อนผมนั้นมาตัวเปล่าไม่มีอะไรมาเลย มีผ้ามาสองชุด สุดท้ายมาได้จักรยานเสือภูเขาค่าเช่าวันละ 200 บาท แต่น้องวางเงินมัดจำไว้ถึง 5000 บาท แต่ก็เอาเพราะไม่มีทางเลือกแล้ว
พอเพื่อนได้จักรยานผมก็เลยชวนเพื่อนปั่นไป มช อยากจะไปย้อนรอยหนังเพื่อนสนิท เพราะช่วงที่ผมถึงเชียงใหม่มันครบรอบ 10 ปีที่หนังเรื่องเพื่อนสนิทออกฉายพอดี เลยปั่นไปดูคณะวิจิตรศิลป์ที่ไข่ย้อยกับดากานดาเรียน
ดากานดา ฉันรักแกวะ
เสร็จแล้วก็ปั่นไปนั่งเล่นที่อ่างแก้ว เจอนักท่องเที่ยวชาวจีนเพียบ เอาจริงๆ เชียงใหม่นี้เป็นเมืองคนจีนไปแล้ว ผมว่ามีคนจีนอยู่ในเมืองเยอะกว่าคนเชียงใหม่อีก
หลังจากนั้นก็ปั่นกลับมาที่พักคืนนี้ผมมีนัดกับเพื่อนที่เชียงใหม่ซึ่งรู้จักกันเมื่อตอนที่ผมมาเที่ยวเชียงหม่คนเดียวปีที่แล้ว วันนี้เลยนัดกินข้าวกัน นางพาผมไปเลี้ยงข้าวที่ร้านต๋อง ตรงถนนนิมมาน เป็นอาหารพื้นเมือง ขอบอกว่าอร่อยจริงๆ และราคาถูกมาก กินกันตั้งเยอะไม่ถึง 500 บาท
กินเสร็จแล้วผมกับเพื่อนก็ไปต่อกันที่ร้านโปรดผมซึ่งก็เป็นร้านที่ผมเจอนางเมื่อปีก่อนนั้นเอง North Gate ที่แถวๆ ประตูช้างเผือก ปีก่อนตอนผมมาเที่ยวเชียงใหม่นั้นผมมาที่ร้านนี้ทุกคืน หลงรักดนตรีสดของร้านนี้ เพราะเล่นเจ๋งมาก ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ บางวันคนล้นออกไปยืนกันบนถนน และเผอิญว่าเพื่อนผมเป็นเพื่อนกับเจ้าของร้านคือพี่ปอซึ่งเป็นมือแซ็กโซโฟนด้วย นางเลยได้เล่าเรื่องที่ผมปั่นจักรยานมาจากหนองคายคนเดียวให้พี่เขาฟังก่อนที่ผมจะมาถึงเชียงใหม่ พอพี่ปอเข้ามาที่ร้านเลยเข้ามาทักทายถามถึงทริปจีักรยานของผม จริงๆ ผมเองก็ปลื้มพี่เขาเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว เพาะพี่เขาก็เป็นนักเดินทางเหมือนกัน และเคยนั่งรถไฟสายทรานไซบีเรียจนเขียนหนังสือออกมาเล่มนึคงชื่อลมใต้ปอด พอพี่เขามาทักทายผมเลยขอถ่ายรูปซะเลย ฮาฮา ผมเล่าว่าพรุ่งนี้ผมจะปั่นไปเชียงดาวต่อ พี่เขาเลยอวยพรให้โชคดี
หน้าตาผู้เขียนหลังจากฟาดเบียร์ไปหลายขวด ฮาๆๆ ดนตรีแจ๊ซมันพาไป
ลองมาดูภาพบรรยากาสในร้าน North Gate กันบ้างที่ดีขอบอกว่าดนตรีสุดตีนจริงๆ คืนนี้ผมถึงกับนั่งเฉยๆ ไม่ได้ ต้องโยกย้ายตามเสียงดนตรีตลอด
กินกันจนเกือบเที่ยงคืนก็ปั่นจักรยานกลับที่พัก พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางไกลกันต่อ
เช้าวันที่แปดวันนี้ผมตื่นสายจากที่ตั้งใจว่าจะออกเดินทางตั้งแต่ 6.30 กับเพื่อน แต่เพราะฤทธิ์เบียร์และเพลงแจ๊ซเมื่อคืนทำให้ขี้เกียจเลยออกเดินทางล่าช้าไป 1 ชั่วโมง เช้านี้ผมมีพวงมาลัยที่ซื้อมาเมื่อคืนด้วยตอนนั่งที่ North Gate มีป้าคนนึคงเดินมาขายจึงซื้ออุดหนุนและให้เพื่อนช่วยอวยพรให้เดินทางปลอดภัย ฮาๆ จักรยานมีพวงมาลัยด้วย ก่อนออกเดินทางถ่ายหน้าที่พักหน่อยผมพักที่แถวท่าแพ DN Guesthouse เจ้าของใจดีให้เก็บจักรยานในห้องได้
พวงมาลัยนำโชค
เสร็จก็ออกเดินทางต่อ ปั่นออกไปหน่อยก็ต้องเติมพลัง เห็นข้างทางมีร้านขายข้าวเนียวมีทั้งหมูและไก่ปิ๊งแค่ไม่ละ 4 บาทเอง เลยจัดกันชุดใหญ่กับเพื่อน อร่อยมาก
ไม่ปั่นคนเดียวอีกแล้ว
มื้อเช้าวันนี้ราคาถูกและอร่อยมาก ทริปนี้เน้นถูกและอร่อย เอาให้อิ่มเข้าว่า
อิ่มแล้วก็ออกเดินทางต่อไปอำเภอเชียงดาวซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปราว 75 กิโล วันนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองปั่นได้เร็วกว่าเดิมพอมีเพื่อนมาปั่นด้วย ทำให้รู้สึกสนุกและกระฉับกระเฉงกว่าปั่นคนเดียว ที่จะไปเรื่อยๆ ที่สำคัญวันนี้จะเป็นครั้งแรกที่ผมจะภาพตัวเองตอนปั่นจักรยาน เพราะมีคนถ่ายให้แล้ว
ระหว่างปั่นออกจากเมืองเชียงใหม่บนนถนนเลียบคลองชลประทานไปอำเภอแม่ริม
ปั่นมาถึงแถวตัวอำเภอแม่ริมก็แวะปั๊มซื้อน้ำเพิ่ม และพักเหนื่อย แดดแรงทีเดียวันนี้
ผมเลยให้เพื่อนผมถ่ายรูปกับอีชมพู่สักหน่อย ส่วนรถที่เพื่อนผมไปเช้ามานั้นเป็นรถเสือภูเขาค่าเช่าวันละ 200 บาท แต่มัดจำ 5000 บาท T T
เส้นทางบางช่วงผ่านทุ่งนาเขียวขจี สบายตาดีมาก
เสร็จแล้วเราก็ออกปั่นก็ต่อผ่านอำเภอแม่แตง ผ่านอำเภอแม่แตงไปยังไม่มันเที่ยง แต่เราหิวกันอีกแล้ว ข้าวเหนียวหมูปิ้งถูกย่อยไปหมดแล้ว โชคดีที่มีร้านข้าวมาโปรดพอดี ถนนช่วงนี้ไม่ค่อยมีร้านอาหารเท่าไหร่ ระหว่างช่วงอำเภอแม่แตงไปเชียงดาว เหลืออีกราวยี่สิบกว่าโลก็จะถึงตัวเชียงดาวแล้ว แต่ทางเริ่มมีเขามาให้เราไต่อีกตามเคย
แวะกินมื้อเที่ยงกันตั้งแต่หัววัน เพราะมันหิว
จัดข้าวขาหมูพิเศษเต็มพิกัด เพราะคิดมีเขาให้ข้ามหลายลูกกว่าจะถึงเชียงดาว
อิ่มแล้วออกเดินทางต่อ ยิ่งใกล้ถึงอำเภอเชียงดาวทางก็เริ่มคดเคี้ยวมากขึ้น พร้อมมีเนินลูกเล็กบ้างใหญ่บ้างให้ไต่เป็นช่วงๆ แต่โดยรวมทางวันนี้ค่อนข้างสบาย และก็สวยมาก
เรามาถึงอำเภอเชียงดาวตอนประมาณช่วงเที่ยง ผมตั้งใจจะแวะไปร้านหนังสือเชียงดาวก่อนอันดับแรกเพราะติดตามร้านหนังสือร้านนี้มาจากเพจในเฟสบุ๊คมาสักพักแล้วว่าเป็นร้านหนังสืออิสระเล็กๆ และขายกาแฟและอาหารด้วย เลยอยากไปเยี่ยม จริงๆ ร้านหนังสือร้านนี้แหละที่ทำให้ผมรู้จักอำเภอเชียงดาว เราแวะจอดถามชาวบ้านตรงหน้าธนาคารกสิการสาขาเชียงดาว ปรากฎว่าพี่เขาไม่รู้จักพี่เขาเลยพาผมเดินเข้าไปในธนาคารไปถามพนักงานแบ็งค์ ปรากฎว่าก็ยังไม่รู้จัก นางเลยบอกว่ามีเบอร์โทร้านไหม จะโทรไปถามทางไปให้ ผมเลยเปิดเพจในเฟสบุ๊คเอาเบอร์โทร ปรากฎโทรไปมีคนรับแต่ข่าวร้ายคือปลายสายแจ้งว่าร้านปิดปรับปรุงมาสองเดือนแล้ว จบกัน พอผิดหวังเรื่องร้านหนังสือ ผมกับเพื่อนเลยปั่นไปหาร้านกาแฟนั่งพักผ่อน เพราะตั้งใจจะปั่นขึ้นดอยหลวงเชียงดาวไปพักที่บ้านระเบียงดาวกันต่อ เราไปแวะที่ร้านอาหารผสมร้านกาแฟร้านหนึ่งจำชื่อไม่ได้ละ ไปถึงสั่งเครื่องดื่มดับกระหาย และสอบถามถึงทางที่จะขึ้นดอยหลวง พนักงานที่ร้านบอกว่าทางชันและแคบพวกพี่จะปั่นขึ้นไปจริงๆ เหรอ มันค่อนข้างอันตราย เราก็บอกว่ามาถึงขนาดนี้แล้วยังไงก็คงลองดู ถ้าไม่ไหวจริงๆ ค่อยกลับลงมา ผมพยายามโทรไปที่บ้านระเบียงดาวแต่ปรากฎว่าไม่มีสัณญาน พนักงานที่ร้านเลยบอกว่าเขามีเบอร์ที่ติดต่อที่นั้นได้หลายเบอร์ พอโทรไปเราได้รับข่าวร้ายที่สองคือบ้านระเบียงดาวเต็มแล้ว แต่มีที่พักที่ติดกันเจ้าของเป็นญาติกับบ้านระเบียงดาว น้องเขาถามว่าจะให้ผมจองให้เลยไหม ผมปรึกษากับเพื่อนเราจะวอคอินไปดีกว่า เพราะเรายังไม่รู้เลยว่าเราจะปั่นขึ้นไปถึงไหม เดี๋ยวจะผิดคำพูด น้องเขาจะเสียด้วย เพราะถามคนกี่คนแถวนี้แต่ละคนบอกว่าทางชันมากทุกคน ระหว่างที่นั่งพักเอาแรงและหาข้อมูลก่อนขึ้นดอย จู่ๆ ก็มีนักท่องเที่ยวหญิงชายสองคนขับมอไซเข้ามานั่งที่โต๊ะข้างๆ เราผมเลยเข้าไปทักทายถามว่าพักที่ไหนกัน เพราะผมกำลังหาที่พักอยู่ เลยทราบว่าพวกเขาพักกันที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งตีนดอยหลวง คนที่เป็นผู้หญิงขอให้ผมสอนภาษาไทยคำง่ายๆ ให้ เพราะกำลังสับสนกับการใช้คำว่า คะ คือนางเข้าใจว่านางจะพูดคะกับผู้หญิง พอคุยกับผู้ชายแล้วนางเปลี่ยนเป็นครับ ผมเลยบอกไปว่าผู้หญิงใช้คะทุกคำไม่ว่าพูดกับเพศไหน นางเลยดีใจใหญ่บอกพูดผิดมาหลายวัน คือพอนางไปพูดกับผู้ชายก้ไปพูดสวัสดีครับ ขอบคุณครับ ขอโทษครับ ฮาๆๆ
นั่งพักที่ร้านกาแฟ แต่เพื่อผมเติมพลังแล้วหนึ่งขวด มันบอกเอาแรงก่อนขึ้นดอย ฮาๆ
ระหว่างสอนภาษา
Devon กับ barbara ตอนที่เขียนอยู่นี้ทั้งสองคนกำลังจะมากรุงเทพในอีกไม่นานแล้วอยากให้ผมพาเดินเที่ยวอีกสักวัน
ออกจากร้านกาแฟผมกับเพื่อออกปั่นกันต่อเพื่อไปลุยขึ้นดอยหลวง ตีนเขาอยู่ห่างไปจากตัวอำเภออีกราว 7-8 กิโล ซึ่งเป็นเส้นทางที่สวยมาก
ปั่นมาจนถึงทางเข้าอุทยานเป็นจุดที่เราต้องซื้อบัตรคนไทยคนละ 20 เป็นค่าธรรมเนียม เลยแวะถ่ายรูปเป็นที่ระลึกก่อนไต่เขา เจ้าหน้าที่ทุกคนพูดกันว่าสู้ๆ นะ บางคนยิ้มกับเราแปลกๆ เรารู้สึกได้ว่าทางขึ้นดอยหลวงนี้มันต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ
พอพ้นจากจุดตรวจแค่ไม่กี่ร้อยเมตรเราก็เจอทางชันระดับ 50 - 60 องศาทันที และทางก็แคบแค่ประมาณ 4 เมตรเท่านั้น ทางเส้นนี้นับว่าเป็นเส้นที่ชันที่สุดในทริปนี้ของผม แถมยังมีโค้งหักสอกอีกด้วย ผมและเพื่อนค่อยๆ ลดเกียร์ต่ำสุดและไต่ขึ้นอย่างช้าๆ บางช่วงชันมากจนต้องเข็นเป็นช่วงๆ นอกจากนี้ยังมีรถยนสวนมาอยู่เรื่อยๆ ซึ่งก็ค่อนข้างอันตรายตามที่หลายคนเตือไว้จริงๆ เราไต่กันได้สักพักก็ยังคงเจอเนินที่ชันมากๆ แบบเดินขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ผมและเพื่อนจอดรถโดยให้เพื่อนจับรถไว้และวิ่งขึ้นไปดูเส้นทางข้างหน้าปรากฎว่ายังคงเป็นเนินขึ้นต่อไปอย่างเดียวและชันมาก เราเลยปรึกษาว่าดูท่าไม่ค่อยดี ก่อนขึ้นเราทราบว่าเราต้องปั่นขึ้นไปราว 12 กิโลกว่าจะถึงที่พัก และถ้าทางชันแบบนี้ไปเรื่อยๆ อาจจะค่ำก่อนที่เราจะไปถึง ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่นอน สุดท้ายเราทั้งสองคนเลยเน้นเรื่องความปลอดภัยไว้ก่อน เลยปั่นลงกลับไปหาที่พักที่ตีนดอย ตอนลงนั้นก็อันตรายยิ่งกว่าตอนขึ้น เราไม่สามารถปล่อยให้รถไหลลงมาได้ เพราะเบรครถอาจจะพัง หรือยางระเบิดเพราะความร้อน เพราะทางชันมาก เราใช้วิธีจูงลงมาพร้อมขยำเบรคเป็นระยะๆ
หอบแฮ่กๆๆๆ
เดินขึ้นไปสำรวจเส้นทางก่อนตัดสินใจว่าจะเอายังไง
สุดท้ายถอยค่อยๆ เข็ญลง ไว้จะมาพิชิตใหม่นะจ๊ะดอยหลวงเชียงดาว วันนี้ไม่พร้อมหลายอย่าง โดยเฉพาะรถและสัมภาระผมที่หนักร่วม 50 กิโล
ปั่นกลับมาถึงจุดตรวจ เนาเขินๆ หันไปบอกเจ้าหน้าที่ว่าขอยอมแพ้ ชันสมคำร่ำลือ ไว้เตรียมตัวและรถให้พร้อมกว่านี้จะมาใหม่ เราปั่นกันไปหาที่พักที่ราคาถูกที่สุด ตามที่คนแถวนี้แนะนำคือ เชียงดาว ฮัท ห้องพัดลมห้องน้ำรวม ราคาอยู่ที่คืนละ 400 บาท
ด้านหน้าที่พัก
ขนาดห้องเป็นกระท่อมเล็กๆ พอให้วางที่นอนได้ แต่สะอาดดี
วิวจากหน้าห้องพัก หันหน้าหาภูเขา not too bad
เช็คอินเข้าที่พักก็จูงจักรยานไปจอดไว้หน้าห้อง อาบน้ำแล้วก็หาข้าวกินตามระเบียบที่ร้านอาหารของรีสอร์ต ซึ่งอยู่ตรงข้ามคนละฝั่งถนน
ร้านอาหารรีสอร์ตบรรยากาศดีทีเดียว
ผมกับเพื่อนสั่งผัดกะเพรากินกัน เพราะเมนูมีอาหารไม่กี่อย่าง ช่วงนี้เชียวดาวยังเงียบอยู่เท่าที่คุยกับคนที่นี้เขาบอกว่าคนจะเริ่มมาเที่ยวช่วงอากาศหนาวหลังเดือนพฤศจิกา กินข้าวเสร็จเราเหลือไปเห็นมีบาร์เล็กๆ แห่งนึงไกล้ๆ กับที่พักเรา เจ้าของกำลังเปิดร้านพอดี เราเลยเปลี่ยนไปนั่งกินเบียร์กันต่อ ร้านน่านั่งมากชื่อ Cave Bar เพียงแต่ช่วงนี้ดูเงียบๆ ไปหน่อย เรามาตั้งแต่เจ้าของร้านยังจัดโต๊ะไม่เสร็จเราเลยเข้าไปช่วยจัดซะเลย โดยขอนั่งข้างนอก ผมนั่งกินกับเพื่อนสองคนพอค่ำๆ ก็มีฝรั่งที่มาอยู่ที่นี้แบบ long stay สองสามคนมานั่งที่ร้านผมเลยชวนคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน มีคนนึงเป็นชาวออสเตรเลียที่มาอยู่เชียงดาวคนเดียวทีละเป็นเดือน โดยเช่าบ้านเป็นเดือนๆ ละ 4000 บาทอยู่ ผมเล่าให้ฟังเรื่องที่ปั่นไปขึ้นดอยหลวงเชียงดาวเมื่อตอนเย็นให้เขาฟัง เขาบอกว่าเขาเคยขับมอไซขึ้นผม และเล่าว่าถ้าผมกัดฟันต่อไปอีกหน่อยทางก็จะไม่ชันมากแล้ว ช่วงแรกคือช่วงที่ชันและอันตรายที่สุด คืนนี้ผมกับเพื่อนซัดเบียร์กันไปเต็มคราบ ฮาๆ เพราะบรรยากาศทั้งเพลงและวงสนทนาที่มีคนอเมริกันอีกคนเข้ามาแจมนั้นสนุกมาก เราคุยกันทุกเรื่องทั้งเรื่องการเดินทาง ยันการเมือง สองคนนี้เขามากินทุกวันจนสนิทกับเจ้าของร้านแล้ว
เสร็จจากร้านราว 4 ทุ่มเราก็กลับห้องมานอนเพราะพรุ่งนี้จะเป็นวันที่โหดที่สุดสำหรับเราเพาะเราจะปั่นจากเชียงดาวไปให้ถึงปายระยะทาง 140 กิโล เป็น 140 กิโลที่เต็มไปด้วยภูเขาและโค้งอีกเกือบพันโค้ง
แก้ไขล่าสุดโดย Isra freeman เมื่อ 15 พ.ย. 2015, 02:15, แก้ไขแล้ว 6 ครั้ง
-
- สมาชิก
- โพสต์: 87
- ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ธ.ค. 2014, 12:09
- Tel: 0868249596
- Bike: WTC City Bike
Re: ปั่นจักรยานเที่ยวคนเดียวแบบค่ำไหนนอนนั่นจากหนองคาย รู้ตัวอีกทีไปถึงปาย
วันที่ 9 ผมกับเพื่อนตื่นกันสายอีกเช่นเคย ตั้งแต่มีเพื่อนร่วมทริปตื่นสายตลอด เพราะดื่มฉลองกันทุกคืน วันนี้เราออกจากที่พักราวเจ็ดโมงกว่าๆ เพื่อจะมุ่งหน้าไปอำเภอปาย เช็คระยะทางจาก Google Map จากที่ๆ เราอยู่วันนี้ ราวๆ 144 กิโลเมตร เราตั้งใจกันว่าจะไปให้ถึงภายในวันเดียว ผมและเพื่อนเคยไปปายกันมาแล้ว แต่นี้เป็นครั้งแรกที่เราจะไปด้วยการปั่นจักรยาน
ลาก่อนดอยหลวง ไว้จะมาพิชิตใหม่
ปั่นต่อกลับเข้ามาในตัวอำเภอมากินข้าวขาหมูที่ขึ้นชื่อของที่นี้ ที่ร้านเดิมที่ผมมาพักเมื่อวาน ขอบอกว่าอร่อยมากจานอย่างใหญ่ หมูอย่างเยอะ 50 บาทเอง
อิ่มแล้วออกเดินทางต่อ ผมและเพื่อนปั่นย้อนเส้นทางเดินที่เรามาเมื่อวานเพื่อจะไปอำเภอแม่แตง ซึ่งจะมีทางแยกเลี้ยวขวาไปอำเภอปาย เช้านี้อากาศดีมาก เราปั่นกันทำความเร็วได้ดี ยังไม่ทันสิบโมงเช้าเราก็มาถึงอำเภอแม่แตงตรงทางแยกที่จะไปอำเภอปาย จากจุดนี้อีกร้อยกิโล
นิดๆ ถึงจะไปถึงอำเภอปาย พอแยกเข้าถนนเส้นปาย ถนนก็เหลือแค่สองเลนเราต้องปั่นกันระมัดระวังมากขึ้น ปั่นไปไม่นานฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา ผมกับเพื่อนเลยถอดเสื้อปั่นกัน เพราะไม่ชอบใส่เสื้อเปียกเวลาปั่นจักรยาน อีกอย่างถึงฝนไม่ตกเสื้อเราก็เปียกไปด้วยเหงื่ออยู่ดี
ปั่นไปอีกสักพักไมล์จักรยานของผมก็โชว์ว่าผมปั่นครบหนึ่งพันกิโลแล้ว เลยจอดแวะถ่ายรูปกับหลักกิโลยักษ์เป็นที่ระลึก
ครบพันกิโลที่นี้พอดี
เฮฮากันสองคน
เราเริ่มเจอเนินเยอะขึ้นเรื่อยๆ แถมแทบตลอดทางยังมีการขยายถนน ทำให้สภาพเป็นดินผสมหินคลุก บวกกับฝนเข้าไป ช่างเป็นส่วนผวมที่เลวร้ายมาก เราปั่นไปจนไกล้เที่ยง ก็รู้สึกหิวพยายามหาร้านอาหารที่ส่วนใหญ่จะปิดหรือไม่ก็เงียบมากๆ บางร้านก็ดูแพง สุดท้ายมาเจอร้านนี้ ดูไม่แพงดี ฮาๆๆ รอดตายแล้ว แวะกินข้าวเที่ยง จัดข้าวไข่เจียว
จัดข้าวไข่เจียว 30 บาท
เติมพลังอิ่มแล้วเราออกเดินทางกันต่อ ตอนกินข้าวแม่ค้าอาหารตามสั่งบอกว่า เขาทำทางจนไปถึงปายเลย ผมกับเพื่อนบอกว่าเอาแล้วไง ทำทาง ฝนตก ยาวเลย นรกชัดๆ แต่มาถึงขนาดนี้จะถอยก็ใช่เรื่อง ปั่นไปเขาและโค้างเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ฝนก็ตกๆ หยุดๆ ไม่หยุดจนเละเทะม็อมแมมกันตามๆ กัน
เพื่อนคู่ยาก จะไหวกันไหมเนี่ย
สู้ๆ
สภาพทางบางช่วง
เละเทะมากดินผสมฝน
อย่างน้อยมีฝนก็ไม่ร้อนมองโลกในแง่ดี
จอดพักหอบ แฮ่กๆๆๆ
พอเลยครึ่งทางประมาณอีก 50 กิโลจะถึงปาย เส้นทางเริ่มชันเนินแล้วเนินเล่า โค้าแล้วโค้งเล่า ภูเขาลูกแล้วลูกเล่า พวกเราค่อยปั่นช้าๆ ค่อยๆ ไต่เนินทีละลูกท่ามกลางสายในไปเรื่อย แต่ทุกครั้งที่ถึงยอดเราก็จะได้รางวัลตอบแทนนั้นคือวิวสวยๆ ระหว่างที่ปั่นเราจะพบนักท่องเที่ยวจีนเป็นคู่ๆ เช่ามอเตอร์ไซค์ขับแซงเราไป สาวที่นั่งกอดแฟนมาตัวกลมบางคนหันมาชูนิ้วโป้งให้เรา ประมาณว่าเยี่ยมมาก สู้ๆ ฮา เสียดายมากับแฟนไม่งั้นจะบอกให้จอดคุยกันหน่อย
ปั่นไปเรื่อยๆ เราไม่เมื่อยเราไม่เหนื่อย สังเกตดูถนนด้านล่าง
โค้งแล้วโค้งเล่า
พอปั่นถึงยอดแต่ละลูกก็จอดพักแล้วตะโกนระบายความเหนื่อยและสะใจ
ฟ้ายังครึ้ม
ป่าสน ความสูงระดับนี้อากาศดีมาก
จอดพักทางเละๆ
ฟ้าครึ้มตลอดทาง
วิวสวยๆ รางวัลตอบแทนความเหนื่อย ข้อดีของจักรยานคืออยากหยุดตรงไหนก็ได้
เราปั่นฝ่าทั้งฝน แดด และทางเละเทะมาจนถึงจุดตรวจห้วยน้ำดัง ตอนนี้ข้างไข่เจียวของพวกเราย่อยสลายหมดไปนานแล้ว เพื่อนผมหิวมากๆ จนเกือยจะเป็นลม เพราะระยะสองชั่วโมงที่ผ่านมาไม่มีร้่านค้าเลย มีแต่ป่าและเราไต่เขาหนักมาก เราเลยแวะที่นี้กินมาม่าคัพกัน ถ้วยละ 20 บาท ผมจัดไปหนึ่งส่วนเพื่อนผมจัดไปสอง ที่กินมาม่าเพราะที่นี้มีแค่ตู้โค้กขายของชำเล็กๆ ไม่มีร้านอาหารขาย แต่แค่นี้ก็อร่อยที่สุดในโลกแล้ว
เติมพลังกันจนอิ่มก็ออกเดินทางต่อตอนนี้สิ่งที่เรากังวลคือเราจะถึงปายก่อนมืดรึเปล่า เพราะเหลือระยะทางอีกสามสิบกว่าโล ใจนึงก็คิดว่าจะนอนที่อุทยานห้วยน้ำดังดีไหม แต่สุดท้ายพวกเราตัดสินใจเสี่ยงปั่นกันต่อ ยังไงก็ต้องลองสักตั้ง หวังว่าหลังจากนี้เขาจะไม่เยอะมาก เลยห้วยน้ำดังมาฝนเร่ิมหยุดและเริ่มมีหมอกเข้ามาแทน ส่วนถนนยังคงเหมือนเดิม
เป็นโชคดีของเราที่เส้นทางหลังเลยห้วยน้ำดังมาเป็นทางลงเขาซะส่วนใหญ่ แต่เรากลับได้ความอันตรายเข้ามาแทน เพราะถนนสภาพแย่มากดินแดงผสมน้ำฝนที่กางอยุ่เป็นหย่อมๆ บนถนนลาดยางและหินคลุกนั้นสามารถทำให้เกิดอุบติเหตุได้ตลอดเวลา เราต้องลงเขาอย่างระวัง เบรคกันจนล้อแทบไหม้ แทนที่ตอนขึ้นมาเหนื่อยแทบตาย ตอนลงจะได้รางวัล เรากลับต้องคอยมาระวังสภาพทางอันเลวร้าย ไม่สามารถปล่อยรถไหลแบบเร็วๆ ได้ โดยเฉพาะรถของผมที่บรรทุกของมาหนักมาก มีช่วงนึงที่ตอนกำลังลงเนินผมตกหลุมใหญ่มากจนกระเป๋าด้านหน้าผมกระเด็นหลุดออกไปจากรถ เพื่อนผมที่ปั่นตามมาด้านหลังเกืดบจะชนเข้า โชคดีที่เราทั้งสองคนมีสติดีพอ ผมก็ไม่ล้ม และเพื่อนผมก็หลบได้ทัน ผมเก็บกระเป๋ามาติดกับรถและปั่นไปต่อ ตรวจสาเหตุพบว่าผมคงลืมติดเจ้าตีนตุ๊กแกเพื่อล็อกกับตะแกรงหน้า ตอนตกหลุมมันเลยกระโดดหลุดไป ถือว่านี้เป็นเหตุการณ์ที่หวาดเสียวที่สุดตั้งแต่ปั่นมา 9วัน
เราปั่นต่อไปอีกไม่นานก็ถึงจุดลงเขาสุดท้ายก่อนเข้าเขตอำเภอปายที่ลงอย่างเดียวเป็นระยะทางราวๆ 6 กิโล ทั้งชันและโค้งหักสอกผมกับการลงเนินห้าสิบองศา เราต้องจอดรถเป็นระยะๆ เพื่อป้องกันยางระเบิดจากขอบล้อที่ร้อน
ถ่ายภาพเล่นระหว่างจอดพักช่วงลงเนินเพื่อให้ขอบล้อหายร้อนจากการเบรค
พ้นจากช่วงลงเขาครั้งใหญ่มาไม่นานเราก็มาเจอป้ายนี้ ถึงแล้ว เกือบมืดพอดี
หลังจากนั้นผมกับเพื่อนรีบปั่นไปเพื่อจะชักภาพกับสะพานประวัติศาสตร์ แต่มาถึงก็มืดซะแล้ว
หลังจากนั้นเราก็ปั่นฝ่าความมืดเพื่อไปให้ถึงตัวอำเภอปายตอนนี้ผมกับเพื่อนล้ามาก เราปั่นไปอีกสิบกิโลเห็นจะได้ก็ไปถึงตัวอำเภอตอนนั้นผมหิวมากๆ เจอร้านส้มตำข้างทาง มีหมูย่างไก่ย่างหน้าร้านส่งกลิ่นมันทะลุเข้าไปตรงที่หัวใจ เลยแวะกินทันที
อิ่มแล้วสิ่งที่อยากทำถัดไปมากๆ คืออาบน้ำ เพราะวันนี้เละมาก ทั้งฝน ฝุ่น แดด เราเลือกที่พักที่ไกล้ที่สุดจากจุดที่เรากินข้าวเสร็จ ต่อรองราคาจาก 600 บาทเหลือ 500 พร้อมเงื่อนไขเดิมคือขอเก็บจักรยานไว่้ในห้อง จะเหนื่อยยังวไงก็ไม่ลืมชมพู่ไว้นอกห้องแน่นอน เจ้าของก็ใจดียอมทุกอย่างทั้งเรื่องราคา และ เรื่องจักรยาน
เป็นห้องที่กว้างที่สุดตั้งแต่นอนมาในทริปนี้
ปลดสัมภาระแล้วไปอาบน้ำอุ่นๆ ในค่ำคืนอันเหนื่อยล้า และวันที่ยาวนาน
อาบน้ำได้ไม่นานผมก็สลบไป ตื่นเช้ามาผมกับเพื่อนก็หิวกันอีกแล้ว ด้วยเพราะสลบไปแต่หัวค่ำ เลยตื่นกันตั้งแต่ตีห้ากว่าๆ เรารอให้ฟ้าสว่างระหว่างนั้นตื่นมาเราก็มานั่งคุยกันถึงทริปที่เราปั่นเมื่อวานว่ามันบ้าชัดๆ พอพระอาทิตย์ขึ้น เราก็ปั่นจักรยานออกไปหาของกินใส่ท้อง แต่สุดท้ายเราก็ผ่านมาได้ พอฟ้าสว่างเราก็ปั่นไปเในตัวเมืองปาย ซึ่งตอนเช้าเงียบสงบดี นักท่องเที่ยวน้อยมารก ปั่นไปเจอร้านน้ำเต้าหู้ร้านหนึ่ง เลยแวะสั่งกิน เพราะยังไม่มีร้านข้าวไหนเปิดเลย เช้าๆ แบบนี้
เช้าๆ ไม่มีคนเลย
พระเดินบาตร
กินเสร็จผมกับเพื่อนก็ออกปั่น ผมตั้งใจว่าคืนนี้ผมจะกางเต็นท์นอนริมแม่น้ำปาย เลยลองปั่นหารีสอร์ตไหนที่พอจะมีจุดกางเต็นท์ เราปั่นข้ามแม่น้ำปายไปอีกฟาก เพื่อสำรวจพื้นที่
ผมปั่นไปถามบางที่เก็บค่ากางเต็นท์แพงมาก เลยถอย ส่วนบางที่ก็บอกว่าจะให้กางเต็นท์หลังเดือนพฤศจิกาไปแล้ว จนมาเจอที่นึงเจ้าของบอกว่าให้กางได้แต่บอกเราว่าฝนอาจตกนะ แต่ผมบอกไม่เป็นไรเต็นท์ผมกันน้ำ หรือถ้าหนักจริงๆ ก็จะย้ายมานอนในห้องที่เพื่อนผมเปิดไว้ แน่นอนว่าเต็นท์ผมเป็นเต็นท์สำหรับคนเดียว ส่วนเพื่อนผมจะเปิดห้องนอน เพื่อนผมจองห้องโดยการจ่ายเงินเรียบร้อย คืนละ 500 บาท แต่เราสามารถมาเช็คอินได้ตอนบ่ายสอง เราเลยปั่นจักรยานไปหาข้าวกินกัน ต่อ ก่อนกลับห้องไปเก็บของ มื้อเช้าวันนี้เราได้กินข้าวแกงใต้กัน พี่เขาเปิดแปดโมง ผมฟาดไปสองจาน
กลับไปห้องอาบน้ำเก็บของเช็คอินตอน 11 โมง ออกจากโรงแรมเพื่อนผมเอาผ้าไปซักที่ร้านซักรีด ระหว่างรอเช็คอินเอาของไปไว้ที่ๆ พักใหม่ริมแม่น้ำปาย เราไปนั่งร้านอาหารกึ่งคาเฟ่กัน
ผมสั่งมะม่วงปั่นกิน ส่วนเพื่อนผมจัดเบียร์ไปสองขวดแล้ว
นั่งไปสักพักก็มีชาวต่างชาติปั่นจักรยานมาจอดหน้าร้าน ยืนมองอีชมพู่ของผมอย่างสนใจ ผมเลยเดินออกไปทักทาย ได้ความว่าปั่นมาจากแม่ฮ่องสอนคนเดียว เพิ่งจะมาถึงปาย กำลังหาที่พัก ผมเลยชวนมานั่งคุยกันในร้าน พี่เขาบอกว่าเป็นคนฮอลแลนด์มาปั่นจักรยานในประเทศแถบนี้บ่อย นอกจากเมืองไทยแล้วก็เคยไปปั่นทั้งพม่า เวียนาม ลาว เขมร มาทีนึงก็หลายเดือน คุยกันเสร็จก็เลยชวนถ่ายรูปกัน
ในระหว่างนั้นพี่ที่ผมรู้จักที่กรุงเทพโทรมาว่าวันนี้จะแวะมาหาที่ปายไปก่อนจะไปปางมะผ้าต่อพอดีพี่เขาพานักศึกษาคณะนิติศาสตร์จากมหาลัยกรุงเทพมาออกค่ายให้ความรู้ในด้านกฎหมายเรื่องสัญญาชาติแก่ชาวเขาที่นั้น เลยขอให้ผมสั่งอาหารไว้คอยทีมงานนักศึกษาที่มากันเกือบ 10 คน พอพี่เขามาถึงก็ช่วยดูรถจักรยานผมว่ายังโอเคอยู่ไหม พี่ข้าวคนนี้แกชอบปั่นจักรยานเหมือนกัน บางทีเราก็ชวนปั่นเล่นกันในกรุงเทพ พี่แกเคยปั่นทัวร์ริ่งตระเวนเที่ยวทั่วสก๊อตแลนด์มาแล้วสมัยไปเรียนที่โน้น พี่ข้าวฃ่วยดูและปรับเบรคหลังให้ผม ก่อนพี่เขาไปพี่ข้าวได้ฝากเครื่องเซรามิคให้ผมเอาไปให้พี่เล็ก แห่งร้านเล็กๆ ปายที่พี่ข้าวรู้จักเมื่อตอนมาเที่ยวปาย ไม่นั่งที่ร้านจนสนิท ผมเลยอาสาว่าจะปั่นเอาไปให้ เสร็จแล้วก็ร่ำลากัน ผมและเพื่อนปั่นออกนอกตัวอำเภอไปไม่ไกลก็ไปถึงร้านเล็กๆ เจอพี่เล็กเจ้าของร้าน เอาของฝากที่พี่ข้าวฝากมาให้ และก็นั่งเล่นที่ร้านพี่เขาซึ่งเป็นแนวชนบทญี่ปุ่น เล่นกับไอโกะลูกสาวตัวน้องลูกครึ่งญี่ปุ่นจอมซนและพูดเก่งมาก ที่ร้านนี้เนื่องจากยังอยู่ในหน้าโล พี่เล็กเลยยังไม่ได้เปิดร้านเต็มที่ช่วงนี้ขายแต่ของที่ระลึก แต่ยังไม่ได้ขายอาหารเครื่องดื่ม เพาะยังหาลูกน้องมาช่วยไม่ได้ เลยทำไม่ไหว ผมกับเพื่อนนั่งในร้านเป็นเพื่อนเล่นไอโกะสักพัก ก็บอกลาพี่เล็ก
ร้านเล็กๆ ของพี่เล็กที่เปิดมาเก้าปีแล้ว
ระหว่างทางปั่นกลับปั่นผ่านทุ่งนาผมเหลือบไปเห็นมีร้านอาหารกึ่งบาร์อยู่ไกลๆ อยู่ในทุ่งนาเลยชวนเพื่อนปั่นแวะเข้าไปนั่งอีกสักหน่อย โดยที่เราไม่รู้เลยว่า สุดท้ายที่นี้จะกลายเป็นที่นอนของเราแทนที่พักที่เพื่อนผมอุตส่าไปจ่ายเงินจองไว้แล้ว ด้วยบรรยากาศที่สุดตรีนมากๆ ไปถึงผมกับเพื่อนเลยไม่รอช้า สั่งเบียร์ทันที เราไปถึงร้านตอนที่ยังไม่มีคนเลย แน่นอนหละ มันพึ่งจะช่วงบ่าย แต่เราสองคนไม่รออะไร มาช่วยพี่เขาเปิดร้านเลย
ที่นี้ใช่เลย
ร้านนี้เป็นส่วนหนึ่งของโฮสเทลชื่อ Spicypai Backpackers มีเจ้าของเดียวกัน และตั้งอยู่ติดกันชื่อ Oasis Bar
มาถึงก็จัดทันที บรรยากาศมันพาไป
กินได้สักพักพอเริ่มตึงๆ ผมเหลือบไปเห็นกีต้าร์ในร้านเลยขอพี่เขาเอามาเล่น แถมพี่เขายังเอากลองมาร่วมแจมกับกีต้าร์ผมด้วย พอสักพักเริ่มเหนื่อยเจ้าของร้านชวนเราเล่นไพ่ ฮาๆๆ ผมกับเพื่อนสอนให้พี่แกเล่นเก้าเก ซึ่งพี่แกเล่นไม่เป็น ระหว่างที่เล่นไพ่และกินเบียร์กันตอนลูกค้าที่ร้านยังไม่มีใครนอกจากผมกับเพื่อนสองคนอผมคุยกับพี่ที่ร้านพี่แกเล่าว่าเป็นคนเชียงใหม่ พี่เขาบอกว่าคนมาปายนี้ส่วนใหญ่มาพักใจกัน (แนวๆ ไม่หนีร้อนก็หนีรัก ฮาๆๆ) พี่ก็มาอยู่หลายเดือนแล้ว ก็ชอบความเงียบสงบของทีนี้ แต่บางคนมาอยู่ได้ไม่นานก็เบื่อ ส่วนพี่เขาบอกว่าอีกไม่นานสักพักก็คงกลับไปตั้งต้นชีวิตใหม่ที่เชียงใหม่
ขอกระโดดสักรูป
พอแดดลมเริ่มตก นักท่องเที่ยวที่มาพักตรงโฮสเทลติดกันก็เริ่มมานั่งที่ร้าน
ผมได้พูดคุยกับนักท่องเที่ยวที่มาพักที่โฮสเทลนี้หลายคน จริงๆ ลุกค้าที่ร้านนี้ก็จะมีเฉพาะแต่คนที่มาพักที่นี้แทบทั้งนั้น เพราะมันอยู่ออกมาจากตัวเมืองพอสมควร ถ้าไม่ตั้งใจมาจริงๆ จะมองไม่เห็น พอเริ่มเมากันได้ที่ก็มีการเล่นเกมส์แข่งกันกินเบียร์กัน ผมก็ไปเล่นกับเขาด้วยสนุกดี ได้กินเบียร์ฟรี พยามยามจะเอาเงินไปช่วยออกค่าเบียร์ก็ไม่ยอมรับกัน ฮาๆ เมาเลยเจอช็อตนี้เข้าไป
พอกินกันจนเต็มที่ก็เริ่มง่วงนอน วันนี้ผมขออนุญติเจ้าของร้านว่าจะขอกางเต็นท์นอนที่ร้านได้ไหม เพราะจะไม่กลับไปโรงแรมที่จองไว้แล้ว ไปไม่ไหว ฮาๆๆ พี่เขาก็บอกตามสบาย เลือกที่กางเลย ส่วนเพื่อนผมก็เสียเงินฟรีไปห้าร้อยบาท เพาะมันจะนอนที่โฮสเทลนี้เหมือนกันเป็นห้อง dorm คิดคนละ 180 บาท ส่วนผมกางเต็นท์ฟรี พี่เจ้าของร้านใจดีมาก
ที่นอนผมคืนนี้
นอนไปสักตีสามผมรู้สึกว่าฝนตกลงมาเลยย้ายเต็นท์มาไว้ใต้ชายคาร้าน
สภาพตื่นมาตอนเช้า
เช็คสภาพอากาศจากโทรศัพท์ปรากฎว่ามีพายุเข้าปาย T T
เช้านี้เปียกแน่นอนเรา ไม่มีวี่แววของแดดเลย
ผมเก็บสัมภาระไปอาบน้ำในห้องน้ำของโฮสเทล และเดินไปปลุกเพื่อนที่ในโฮสเทล เพื่อเดินทางกันต่อ พอเจอเพื่อน เพื่อนผมก็เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกให้ฟังว่าเมื่อเช้าตอนผมโทรมาปลุกเหลือบไปเหฺนคนที่นอนเตียงตรงข้ามนอนแก้ผ้าตอนแรกคิดว่าเป็นผู้ชาย แต่พอมองทะลุมุ้งเข้าไปดีๆ ปรากฎว่าเชี่ย นมใหญ่เป็นลูกๆ ฮาๆ ที่แท้เป็นสาวฝรั่งแก้ผ้านอนนี้เอง คนที่นี้เขาไม่ถือกัน เมื่อคืนผมนอนเต็นท์ก็ได้ยินเสียงฝรั่งมา featuring กันบนชั้นสองของบาร์ ผมแยกออกแล้วว่าฝรั่งแต่ละชาติร้องแบบไหน จากพี่เจ้าของบาร์บอกมา พี่แกบอกได้ยินบ่อยจนแยกออก ฮาๆๆ
ที่นอนในโฮสเทลและสภาพศพเพื่อนผม 555
วันนี้เราตั้งใจจะโบกเรากลับไปแม่แตงและปั่นกลับเข้าเชียงใหม่ เพราะเพื่อนผมต้องกลับกรุงเทพไปทำงานต่อ ก่อนไปก็ร่ำลาพี่เจ้าของร้านผู้ใจดี เมื่อวานเป็นวันที่ผมสนุกมากๆ
ร่ำลาเสร็จผมกับเพื่อนก็ปั่นจักรยานฝ่าฝนกลับเข้าไปในตัวเมือง แวะเอาผ้าที่เพื่อนผมมาซักไว้ที่ร้านซักผ้า และปั่นต่อไปกินข้าวที่ร้านแกงใต้ร้านเดิม พี่ที่ร้านถามว่าจะไปไหนกันต่อ เราว่าจะลองโบกรถกลับเชียงใหม่ดู ตลอดทั้งเช้าฝนตกลงมาไม่หยุดผมใส่เสื้อกันฝน ปั่นออกไปตรงสามแยกก่อนเข้าตัวเมืองปาย ยืนโบกกันสักพักก็ไม่มีรถคันไหนจอดเลย คงเป็นเพาะเราสองคนรวมกับจักรยานอาจจะดูเป็นภาระเกินไปสำหรับคนผ่านไปผ่านมา เราเลยปรึกษากันว่าลองหาเบอร์จากอินเตอร์เนตและลองโทรไปถามรถตู้ดูว่าจะเอาจักรยานขึ้นหลังคาไปได้ไหม โทรไปเช็คปรากฎว่าเราสามารถเอาจักรยานขึ้นหลังคารถตู้ได้ เราเลยปั่นจักรยานฝ่าสายฝนย้อนกลับเข้าไปในตัวเมืองอีกรอบ และไปซื้อตั๋วได้เที่ยวบ่ายสอง เหลือเวลาอีกสามชั่วโมง ผมกับเพื่อนเลยไปนั่งรอที่ร้านหนังสือ Lonely Pai ซึ่งไกล้กับท่ารถตู้
ช่วงที่คอยเลยได้มีโอกาสอ่านหนังสือสองเล่มที่ผมอุตส่าพกติดตัวมาด้วยสักที
ได้เวลาเราก็เข็นจักรยานเอาสัมภาระไปใส่ไว้ท้ายรถ แล้วก็ช่วยยกจักรยานส่งให้พี่โชเฟอร์ เราต้องจ่ายค่าจักรยานเพื่มคันละ 100 บาท
กลับมาถึงเชียงใหม่ก็เย็นแล้วเราปั่นกลับไปที่พักที่เดิมที่ DN guesthouse ที่ท่าแพ และก็พักห้องเดิม โชคดีที่ยังว่าง วันนี้ได้ส่วนลดด้วย เพราะตอนแรกผมกับเพื่อนจะพักห้องพักลม ที่ถูกกว่าแคค่คืนละ 300 บาท เพราะวันนี้ที่เชียงใหม่อยู่ๆ ก็อากาศหนาวขึ้นมาซะงะ้น แต่เจ้าของบอกนอนห้องแอร์นี้แหละคิด 350 บาทพอจากวันก่อนที่ผมมาพัก 400 คืนนี้ผมมีนัดกับเพื่อนรุ่นน้องคนเชียงใหม่อีกคนนึง ที่รู้จักกันระหว่างเดินทางเมื่อหลายปีก่อน นางชวนผมไปเที่ยวร้าน ท่าแพอีสต์ ซึ่งก็เป็นร้านของพี่ปอเจ้าของ North Gate อีกเช่นกัน เพิ่งเปิดไม่นาน คล้ายเป็นชุมชนเปิดให้ศิลปินต่างๆ มาเปิดแสดง จะมีการแสดงแค่บางวันเท่านั้น โชคดีที่วันนี้จะมีการแสดงพอดี
ผมกับเพื่อนเลยปั่นกันไปพบพบนางที่ท่าแพอีสต์ ซึ่งๆ อยู่ไกล้ๆ กับสะพานนวรัตน์
ร้านอยู่ในซอยเล็กๆ
บรรยากาศแนวย้อนยุควันนี้เป็นเพลงโฟล์คซอง ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติมาฟังกัน
แต่สุดท้ายก็มาจบที่ North Gate เหมือนเคย คืนนี้เป็นคืนร็อค มันสุดๆ คนแน่นร้านเหมือนเดิม
คนเยอะเหมือนเดิม มันไม่ง่ายเลยถ้าคุณมานอนที่เชียงใหม่แล้วจะไม่มาร้านนี้ เพลงเขาสุดๆ จริงๆ
นั่งฟังเพลงจนร้านปิดก็แยกย้ายกันกลับผมกับเพื่อนหิวอีกแล้ว เลยถามรุ่นน้องคนเชียงใหมใ่ว่ามีตรงไหนไกลๆ มีของกินบ้าง นางเลยแนะนำข้าวขาหมูประตูช้างเผือก ซึ่งอยู่ไกล้ๆ ผมกับเพื่อนเลยปั่นกันไปกิน ซึ่งอร่อยจริงๆ เสร็จแล้วกัลบไปนอน พรุ่งนี้ผมมีแผนจะปั่นจักรยานขึ้นดยปุยเพื่อไปกางเต็นท์นอนที่ขุนช่างเคี่ยน ส่วนเพื่อนผมต้องกลับ กทม พรุ่งนี้แล้ว แต่ตื่นเช้ามาผมก็พบสภาพอากาศที่มีแต่เมฆเต็มท้องฟ้าและมีฝนโปรยตลอดเวลา ผมเลยคิดว่าจะรอจนเที่ยงถ้าฝนไม่หยุดคิดว่าจะเปลี่ยนแผนไม่ขึ้นดอยปุยและจะตีรถไฟกลับ กทม วันนี้เลยก่อนกำหนดหนึ่งวัน เพราะสภาพอากาศไม่เหมาะแก่การแค็มปิ้งและปั่นจักรยานเลย ระหว่างนี้ผมเลยปั่นจักรยานไปนั่งที่ร้าน 8 days a week ซึ่งเป็นร้านที่เพื่อนแนะนำมา
ผมสั่งโกโก้ร้อนขณะที่เพื่อนผมสังคราฟเบียร์ เห็นขวดเล็กๆ ราคาไม่เบาเลย 150 บาท แต่มันอยากลอง
นั่งสักพักเพื่อนผมก็ต้องลาไปขึ้นเครื่องที่สนามบิน ส่วนผมก็นั่งต่ออีกสักพัก และตัดสินใจว่าจะกลับ กทม วันนี้เลยเช่นกันเพราะดูสภาพอากาศท้องฟ้าไม่น่าไว้วางใจ ตอนเช็คบิลทำให้รู้ว่าที่ร้านนี้มีส่วนลดให้คนปั่นจักรยานมากินด้วย น่ารักจัง
เสร็จแล้วผมก็ปั่นจักรยานไปสถานีรถไฟ ระหว่างทางก็แวะถ่ายรูปกับสะพานเหล็กแห่งนี้ จำได้ไข่ย้อยเคยเดินบนสะพานแห่งนี้ในหนังเพื่อนสนิท
ระหว่างปั่นไปสถานี้เพื่อนผมก็โทรมาบอกว่า มันจองตั๋วเครื่องบินกลับผิดวัน บินพรุ่งนี้ มันเลยกลับรถไฟกับผมวันนี้ ยอมทิ้งตั๋ว ฮาๆ
ลาแล้วนะเฃียงใหม่ จนกว่าเราจะพบกันอีก
ได้เวลารถออก เจ้าหน้าที่ให้เราขึ้นมาผูกจักรยานเอง เอาที่เราสบายใจ
วันนี้เรากลับตั๋วนอนกัน ผมเป็นคนชอบนั่งรถไฟมาก ทุกครั้งที่เดินทางจะพยายามเลือกรถไฟก่อนเป็นอันดับแรกโดยเฉพาะรถนอน ยิ่งรถนอนสายเหนือนี้เป็นรถไฟนอนที่สบายทั้งกว้างขวางและสะอาดที่สุด เข้าใจว่าเป็นตู้มือสองจากญี่ปุ่น เพราะป้ายต่างๆ ในรถไฟยังเป็นภาษาญี่ปุ่นอยู่เลย
ถึงแม้ก่อนขึ้นรถไฟผมกับเพื่อนจะกินข้าวมาก่อนแล้ว แต่นั่งไปสักพักก็รู้สึกหิวอีกเราเลยเดินไปหาของกินที่ตู้สะเบียงกัน
อาหารชุดละร้อยสิบบาท มีข้าว แกงหนึ่งถ้วย น้ำส้มหนึ่งขวด และผลไม้ รสชาติพอแก้ขัดได้อยู่ ยามหิวแบบนี้ เสียดายที่ตู้เสบียงไม่มีเบียร์ขายแล้ว หลังจากที่เคยเกิดคดีดังมาเมื่อสองสามปีก่อน เป็นเมื่อก่อนตู้เสบียงรถไฟคือสถานที่ดื่มเบียร์ที่ชิลที่สุดที่นึงเลย
เสร็จแล้วก็กลับไปนอน พอไกล้รุ่งเช้าเจ้าหน้าที่ก็เดินมาปลุกผู้โดยสาร ผมรู้สึกตัวเมื่อตอนที่รถจอดที่สถานี้รังสิต ตอนใกล้ถึงผมก็นึกถึงวันแรกที่ผมนั่งรถไฟไปหนองคาย ด้วยความตื่นเต้นกับการปั่นจักรยานทางไกลเที่ยวครั้งแรกแถมมาคนเดียวอีก ภาพต่างๆ ตลอด 12 วันค่อยพรั่งพรูมาในความคิดผม นีกนึกย้อนไปได้พบเรื่องราวและผู้คนมากมายจากการยอมออกมาผจญภัย พาตัวเองออกจาก comfort zone สภาพแวดล้อมเดิมๆ ผมสัญญากับตัวเองว่าจะต้องหาโอกาสเดินทางแบบนี้อีก ผมหลงรักการปั่นจักรยานทางไกลเข้าให้แล้ว แล้วพบกันทริปหน้า จนกว่าเราจะพบกันใหม่
สถานีปลายทางบางซื่อ สวัสดี
เพจของผมฝากมาไลค์กันหน่อยนะครับ https://www.facebook.com/Two-Wheeled-An ... 355795532/
กระทู้ล่าสุดของผมครับ ปั่นจักรยานในเกียวโต ฝากด้วยนะครับ
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... &t=1349972
ลาก่อนดอยหลวง ไว้จะมาพิชิตใหม่
ปั่นต่อกลับเข้ามาในตัวอำเภอมากินข้าวขาหมูที่ขึ้นชื่อของที่นี้ ที่ร้านเดิมที่ผมมาพักเมื่อวาน ขอบอกว่าอร่อยมากจานอย่างใหญ่ หมูอย่างเยอะ 50 บาทเอง
อิ่มแล้วออกเดินทางต่อ ผมและเพื่อนปั่นย้อนเส้นทางเดินที่เรามาเมื่อวานเพื่อจะไปอำเภอแม่แตง ซึ่งจะมีทางแยกเลี้ยวขวาไปอำเภอปาย เช้านี้อากาศดีมาก เราปั่นกันทำความเร็วได้ดี ยังไม่ทันสิบโมงเช้าเราก็มาถึงอำเภอแม่แตงตรงทางแยกที่จะไปอำเภอปาย จากจุดนี้อีกร้อยกิโล
นิดๆ ถึงจะไปถึงอำเภอปาย พอแยกเข้าถนนเส้นปาย ถนนก็เหลือแค่สองเลนเราต้องปั่นกันระมัดระวังมากขึ้น ปั่นไปไม่นานฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา ผมกับเพื่อนเลยถอดเสื้อปั่นกัน เพราะไม่ชอบใส่เสื้อเปียกเวลาปั่นจักรยาน อีกอย่างถึงฝนไม่ตกเสื้อเราก็เปียกไปด้วยเหงื่ออยู่ดี
ปั่นไปอีกสักพักไมล์จักรยานของผมก็โชว์ว่าผมปั่นครบหนึ่งพันกิโลแล้ว เลยจอดแวะถ่ายรูปกับหลักกิโลยักษ์เป็นที่ระลึก
ครบพันกิโลที่นี้พอดี
เฮฮากันสองคน
เราเริ่มเจอเนินเยอะขึ้นเรื่อยๆ แถมแทบตลอดทางยังมีการขยายถนน ทำให้สภาพเป็นดินผสมหินคลุก บวกกับฝนเข้าไป ช่างเป็นส่วนผวมที่เลวร้ายมาก เราปั่นไปจนไกล้เที่ยง ก็รู้สึกหิวพยายามหาร้านอาหารที่ส่วนใหญ่จะปิดหรือไม่ก็เงียบมากๆ บางร้านก็ดูแพง สุดท้ายมาเจอร้านนี้ ดูไม่แพงดี ฮาๆๆ รอดตายแล้ว แวะกินข้าวเที่ยง จัดข้าวไข่เจียว
จัดข้าวไข่เจียว 30 บาท
เติมพลังอิ่มแล้วเราออกเดินทางกันต่อ ตอนกินข้าวแม่ค้าอาหารตามสั่งบอกว่า เขาทำทางจนไปถึงปายเลย ผมกับเพื่อนบอกว่าเอาแล้วไง ทำทาง ฝนตก ยาวเลย นรกชัดๆ แต่มาถึงขนาดนี้จะถอยก็ใช่เรื่อง ปั่นไปเขาและโค้างเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ฝนก็ตกๆ หยุดๆ ไม่หยุดจนเละเทะม็อมแมมกันตามๆ กัน
เพื่อนคู่ยาก จะไหวกันไหมเนี่ย
สู้ๆ
สภาพทางบางช่วง
เละเทะมากดินผสมฝน
อย่างน้อยมีฝนก็ไม่ร้อนมองโลกในแง่ดี
จอดพักหอบ แฮ่กๆๆๆ
พอเลยครึ่งทางประมาณอีก 50 กิโลจะถึงปาย เส้นทางเริ่มชันเนินแล้วเนินเล่า โค้าแล้วโค้งเล่า ภูเขาลูกแล้วลูกเล่า พวกเราค่อยปั่นช้าๆ ค่อยๆ ไต่เนินทีละลูกท่ามกลางสายในไปเรื่อย แต่ทุกครั้งที่ถึงยอดเราก็จะได้รางวัลตอบแทนนั้นคือวิวสวยๆ ระหว่างที่ปั่นเราจะพบนักท่องเที่ยวจีนเป็นคู่ๆ เช่ามอเตอร์ไซค์ขับแซงเราไป สาวที่นั่งกอดแฟนมาตัวกลมบางคนหันมาชูนิ้วโป้งให้เรา ประมาณว่าเยี่ยมมาก สู้ๆ ฮา เสียดายมากับแฟนไม่งั้นจะบอกให้จอดคุยกันหน่อย
ปั่นไปเรื่อยๆ เราไม่เมื่อยเราไม่เหนื่อย สังเกตดูถนนด้านล่าง
โค้งแล้วโค้งเล่า
พอปั่นถึงยอดแต่ละลูกก็จอดพักแล้วตะโกนระบายความเหนื่อยและสะใจ
ฟ้ายังครึ้ม
ป่าสน ความสูงระดับนี้อากาศดีมาก
จอดพักทางเละๆ
ฟ้าครึ้มตลอดทาง
วิวสวยๆ รางวัลตอบแทนความเหนื่อย ข้อดีของจักรยานคืออยากหยุดตรงไหนก็ได้
เราปั่นฝ่าทั้งฝน แดด และทางเละเทะมาจนถึงจุดตรวจห้วยน้ำดัง ตอนนี้ข้างไข่เจียวของพวกเราย่อยสลายหมดไปนานแล้ว เพื่อนผมหิวมากๆ จนเกือยจะเป็นลม เพราะระยะสองชั่วโมงที่ผ่านมาไม่มีร้่านค้าเลย มีแต่ป่าและเราไต่เขาหนักมาก เราเลยแวะที่นี้กินมาม่าคัพกัน ถ้วยละ 20 บาท ผมจัดไปหนึ่งส่วนเพื่อนผมจัดไปสอง ที่กินมาม่าเพราะที่นี้มีแค่ตู้โค้กขายของชำเล็กๆ ไม่มีร้านอาหารขาย แต่แค่นี้ก็อร่อยที่สุดในโลกแล้ว
เติมพลังกันจนอิ่มก็ออกเดินทางต่อตอนนี้สิ่งที่เรากังวลคือเราจะถึงปายก่อนมืดรึเปล่า เพราะเหลือระยะทางอีกสามสิบกว่าโล ใจนึงก็คิดว่าจะนอนที่อุทยานห้วยน้ำดังดีไหม แต่สุดท้ายพวกเราตัดสินใจเสี่ยงปั่นกันต่อ ยังไงก็ต้องลองสักตั้ง หวังว่าหลังจากนี้เขาจะไม่เยอะมาก เลยห้วยน้ำดังมาฝนเร่ิมหยุดและเริ่มมีหมอกเข้ามาแทน ส่วนถนนยังคงเหมือนเดิม
เป็นโชคดีของเราที่เส้นทางหลังเลยห้วยน้ำดังมาเป็นทางลงเขาซะส่วนใหญ่ แต่เรากลับได้ความอันตรายเข้ามาแทน เพราะถนนสภาพแย่มากดินแดงผสมน้ำฝนที่กางอยุ่เป็นหย่อมๆ บนถนนลาดยางและหินคลุกนั้นสามารถทำให้เกิดอุบติเหตุได้ตลอดเวลา เราต้องลงเขาอย่างระวัง เบรคกันจนล้อแทบไหม้ แทนที่ตอนขึ้นมาเหนื่อยแทบตาย ตอนลงจะได้รางวัล เรากลับต้องคอยมาระวังสภาพทางอันเลวร้าย ไม่สามารถปล่อยรถไหลแบบเร็วๆ ได้ โดยเฉพาะรถของผมที่บรรทุกของมาหนักมาก มีช่วงนึงที่ตอนกำลังลงเนินผมตกหลุมใหญ่มากจนกระเป๋าด้านหน้าผมกระเด็นหลุดออกไปจากรถ เพื่อนผมที่ปั่นตามมาด้านหลังเกืดบจะชนเข้า โชคดีที่เราทั้งสองคนมีสติดีพอ ผมก็ไม่ล้ม และเพื่อนผมก็หลบได้ทัน ผมเก็บกระเป๋ามาติดกับรถและปั่นไปต่อ ตรวจสาเหตุพบว่าผมคงลืมติดเจ้าตีนตุ๊กแกเพื่อล็อกกับตะแกรงหน้า ตอนตกหลุมมันเลยกระโดดหลุดไป ถือว่านี้เป็นเหตุการณ์ที่หวาดเสียวที่สุดตั้งแต่ปั่นมา 9วัน
เราปั่นต่อไปอีกไม่นานก็ถึงจุดลงเขาสุดท้ายก่อนเข้าเขตอำเภอปายที่ลงอย่างเดียวเป็นระยะทางราวๆ 6 กิโล ทั้งชันและโค้งหักสอกผมกับการลงเนินห้าสิบองศา เราต้องจอดรถเป็นระยะๆ เพื่อป้องกันยางระเบิดจากขอบล้อที่ร้อน
ถ่ายภาพเล่นระหว่างจอดพักช่วงลงเนินเพื่อให้ขอบล้อหายร้อนจากการเบรค
พ้นจากช่วงลงเขาครั้งใหญ่มาไม่นานเราก็มาเจอป้ายนี้ ถึงแล้ว เกือบมืดพอดี
หลังจากนั้นผมกับเพื่อนรีบปั่นไปเพื่อจะชักภาพกับสะพานประวัติศาสตร์ แต่มาถึงก็มืดซะแล้ว
หลังจากนั้นเราก็ปั่นฝ่าความมืดเพื่อไปให้ถึงตัวอำเภอปายตอนนี้ผมกับเพื่อนล้ามาก เราปั่นไปอีกสิบกิโลเห็นจะได้ก็ไปถึงตัวอำเภอตอนนั้นผมหิวมากๆ เจอร้านส้มตำข้างทาง มีหมูย่างไก่ย่างหน้าร้านส่งกลิ่นมันทะลุเข้าไปตรงที่หัวใจ เลยแวะกินทันที
อิ่มแล้วสิ่งที่อยากทำถัดไปมากๆ คืออาบน้ำ เพราะวันนี้เละมาก ทั้งฝน ฝุ่น แดด เราเลือกที่พักที่ไกล้ที่สุดจากจุดที่เรากินข้าวเสร็จ ต่อรองราคาจาก 600 บาทเหลือ 500 พร้อมเงื่อนไขเดิมคือขอเก็บจักรยานไว่้ในห้อง จะเหนื่อยยังวไงก็ไม่ลืมชมพู่ไว้นอกห้องแน่นอน เจ้าของก็ใจดียอมทุกอย่างทั้งเรื่องราคา และ เรื่องจักรยาน
เป็นห้องที่กว้างที่สุดตั้งแต่นอนมาในทริปนี้
ปลดสัมภาระแล้วไปอาบน้ำอุ่นๆ ในค่ำคืนอันเหนื่อยล้า และวันที่ยาวนาน
อาบน้ำได้ไม่นานผมก็สลบไป ตื่นเช้ามาผมกับเพื่อนก็หิวกันอีกแล้ว ด้วยเพราะสลบไปแต่หัวค่ำ เลยตื่นกันตั้งแต่ตีห้ากว่าๆ เรารอให้ฟ้าสว่างระหว่างนั้นตื่นมาเราก็มานั่งคุยกันถึงทริปที่เราปั่นเมื่อวานว่ามันบ้าชัดๆ พอพระอาทิตย์ขึ้น เราก็ปั่นจักรยานออกไปหาของกินใส่ท้อง แต่สุดท้ายเราก็ผ่านมาได้ พอฟ้าสว่างเราก็ปั่นไปเในตัวเมืองปาย ซึ่งตอนเช้าเงียบสงบดี นักท่องเที่ยวน้อยมารก ปั่นไปเจอร้านน้ำเต้าหู้ร้านหนึ่ง เลยแวะสั่งกิน เพราะยังไม่มีร้านข้าวไหนเปิดเลย เช้าๆ แบบนี้
เช้าๆ ไม่มีคนเลย
พระเดินบาตร
กินเสร็จผมกับเพื่อนก็ออกปั่น ผมตั้งใจว่าคืนนี้ผมจะกางเต็นท์นอนริมแม่น้ำปาย เลยลองปั่นหารีสอร์ตไหนที่พอจะมีจุดกางเต็นท์ เราปั่นข้ามแม่น้ำปายไปอีกฟาก เพื่อสำรวจพื้นที่
ผมปั่นไปถามบางที่เก็บค่ากางเต็นท์แพงมาก เลยถอย ส่วนบางที่ก็บอกว่าจะให้กางเต็นท์หลังเดือนพฤศจิกาไปแล้ว จนมาเจอที่นึงเจ้าของบอกว่าให้กางได้แต่บอกเราว่าฝนอาจตกนะ แต่ผมบอกไม่เป็นไรเต็นท์ผมกันน้ำ หรือถ้าหนักจริงๆ ก็จะย้ายมานอนในห้องที่เพื่อนผมเปิดไว้ แน่นอนว่าเต็นท์ผมเป็นเต็นท์สำหรับคนเดียว ส่วนเพื่อนผมจะเปิดห้องนอน เพื่อนผมจองห้องโดยการจ่ายเงินเรียบร้อย คืนละ 500 บาท แต่เราสามารถมาเช็คอินได้ตอนบ่ายสอง เราเลยปั่นจักรยานไปหาข้าวกินกัน ต่อ ก่อนกลับห้องไปเก็บของ มื้อเช้าวันนี้เราได้กินข้าวแกงใต้กัน พี่เขาเปิดแปดโมง ผมฟาดไปสองจาน
กลับไปห้องอาบน้ำเก็บของเช็คอินตอน 11 โมง ออกจากโรงแรมเพื่อนผมเอาผ้าไปซักที่ร้านซักรีด ระหว่างรอเช็คอินเอาของไปไว้ที่ๆ พักใหม่ริมแม่น้ำปาย เราไปนั่งร้านอาหารกึ่งคาเฟ่กัน
ผมสั่งมะม่วงปั่นกิน ส่วนเพื่อนผมจัดเบียร์ไปสองขวดแล้ว
นั่งไปสักพักก็มีชาวต่างชาติปั่นจักรยานมาจอดหน้าร้าน ยืนมองอีชมพู่ของผมอย่างสนใจ ผมเลยเดินออกไปทักทาย ได้ความว่าปั่นมาจากแม่ฮ่องสอนคนเดียว เพิ่งจะมาถึงปาย กำลังหาที่พัก ผมเลยชวนมานั่งคุยกันในร้าน พี่เขาบอกว่าเป็นคนฮอลแลนด์มาปั่นจักรยานในประเทศแถบนี้บ่อย นอกจากเมืองไทยแล้วก็เคยไปปั่นทั้งพม่า เวียนาม ลาว เขมร มาทีนึงก็หลายเดือน คุยกันเสร็จก็เลยชวนถ่ายรูปกัน
ในระหว่างนั้นพี่ที่ผมรู้จักที่กรุงเทพโทรมาว่าวันนี้จะแวะมาหาที่ปายไปก่อนจะไปปางมะผ้าต่อพอดีพี่เขาพานักศึกษาคณะนิติศาสตร์จากมหาลัยกรุงเทพมาออกค่ายให้ความรู้ในด้านกฎหมายเรื่องสัญญาชาติแก่ชาวเขาที่นั้น เลยขอให้ผมสั่งอาหารไว้คอยทีมงานนักศึกษาที่มากันเกือบ 10 คน พอพี่เขามาถึงก็ช่วยดูรถจักรยานผมว่ายังโอเคอยู่ไหม พี่ข้าวคนนี้แกชอบปั่นจักรยานเหมือนกัน บางทีเราก็ชวนปั่นเล่นกันในกรุงเทพ พี่แกเคยปั่นทัวร์ริ่งตระเวนเที่ยวทั่วสก๊อตแลนด์มาแล้วสมัยไปเรียนที่โน้น พี่ข้าวฃ่วยดูและปรับเบรคหลังให้ผม ก่อนพี่เขาไปพี่ข้าวได้ฝากเครื่องเซรามิคให้ผมเอาไปให้พี่เล็ก แห่งร้านเล็กๆ ปายที่พี่ข้าวรู้จักเมื่อตอนมาเที่ยวปาย ไม่นั่งที่ร้านจนสนิท ผมเลยอาสาว่าจะปั่นเอาไปให้ เสร็จแล้วก็ร่ำลากัน ผมและเพื่อนปั่นออกนอกตัวอำเภอไปไม่ไกลก็ไปถึงร้านเล็กๆ เจอพี่เล็กเจ้าของร้าน เอาของฝากที่พี่ข้าวฝากมาให้ และก็นั่งเล่นที่ร้านพี่เขาซึ่งเป็นแนวชนบทญี่ปุ่น เล่นกับไอโกะลูกสาวตัวน้องลูกครึ่งญี่ปุ่นจอมซนและพูดเก่งมาก ที่ร้านนี้เนื่องจากยังอยู่ในหน้าโล พี่เล็กเลยยังไม่ได้เปิดร้านเต็มที่ช่วงนี้ขายแต่ของที่ระลึก แต่ยังไม่ได้ขายอาหารเครื่องดื่ม เพาะยังหาลูกน้องมาช่วยไม่ได้ เลยทำไม่ไหว ผมกับเพื่อนนั่งในร้านเป็นเพื่อนเล่นไอโกะสักพัก ก็บอกลาพี่เล็ก
ร้านเล็กๆ ของพี่เล็กที่เปิดมาเก้าปีแล้ว
ระหว่างทางปั่นกลับปั่นผ่านทุ่งนาผมเหลือบไปเห็นมีร้านอาหารกึ่งบาร์อยู่ไกลๆ อยู่ในทุ่งนาเลยชวนเพื่อนปั่นแวะเข้าไปนั่งอีกสักหน่อย โดยที่เราไม่รู้เลยว่า สุดท้ายที่นี้จะกลายเป็นที่นอนของเราแทนที่พักที่เพื่อนผมอุตส่าไปจ่ายเงินจองไว้แล้ว ด้วยบรรยากาศที่สุดตรีนมากๆ ไปถึงผมกับเพื่อนเลยไม่รอช้า สั่งเบียร์ทันที เราไปถึงร้านตอนที่ยังไม่มีคนเลย แน่นอนหละ มันพึ่งจะช่วงบ่าย แต่เราสองคนไม่รออะไร มาช่วยพี่เขาเปิดร้านเลย
ที่นี้ใช่เลย
ร้านนี้เป็นส่วนหนึ่งของโฮสเทลชื่อ Spicypai Backpackers มีเจ้าของเดียวกัน และตั้งอยู่ติดกันชื่อ Oasis Bar
มาถึงก็จัดทันที บรรยากาศมันพาไป
กินได้สักพักพอเริ่มตึงๆ ผมเหลือบไปเห็นกีต้าร์ในร้านเลยขอพี่เขาเอามาเล่น แถมพี่เขายังเอากลองมาร่วมแจมกับกีต้าร์ผมด้วย พอสักพักเริ่มเหนื่อยเจ้าของร้านชวนเราเล่นไพ่ ฮาๆๆ ผมกับเพื่อนสอนให้พี่แกเล่นเก้าเก ซึ่งพี่แกเล่นไม่เป็น ระหว่างที่เล่นไพ่และกินเบียร์กันตอนลูกค้าที่ร้านยังไม่มีใครนอกจากผมกับเพื่อนสองคนอผมคุยกับพี่ที่ร้านพี่แกเล่าว่าเป็นคนเชียงใหม่ พี่เขาบอกว่าคนมาปายนี้ส่วนใหญ่มาพักใจกัน (แนวๆ ไม่หนีร้อนก็หนีรัก ฮาๆๆ) พี่ก็มาอยู่หลายเดือนแล้ว ก็ชอบความเงียบสงบของทีนี้ แต่บางคนมาอยู่ได้ไม่นานก็เบื่อ ส่วนพี่เขาบอกว่าอีกไม่นานสักพักก็คงกลับไปตั้งต้นชีวิตใหม่ที่เชียงใหม่
ขอกระโดดสักรูป
พอแดดลมเริ่มตก นักท่องเที่ยวที่มาพักตรงโฮสเทลติดกันก็เริ่มมานั่งที่ร้าน
ผมได้พูดคุยกับนักท่องเที่ยวที่มาพักที่โฮสเทลนี้หลายคน จริงๆ ลุกค้าที่ร้านนี้ก็จะมีเฉพาะแต่คนที่มาพักที่นี้แทบทั้งนั้น เพราะมันอยู่ออกมาจากตัวเมืองพอสมควร ถ้าไม่ตั้งใจมาจริงๆ จะมองไม่เห็น พอเริ่มเมากันได้ที่ก็มีการเล่นเกมส์แข่งกันกินเบียร์กัน ผมก็ไปเล่นกับเขาด้วยสนุกดี ได้กินเบียร์ฟรี พยามยามจะเอาเงินไปช่วยออกค่าเบียร์ก็ไม่ยอมรับกัน ฮาๆ เมาเลยเจอช็อตนี้เข้าไป
พอกินกันจนเต็มที่ก็เริ่มง่วงนอน วันนี้ผมขออนุญติเจ้าของร้านว่าจะขอกางเต็นท์นอนที่ร้านได้ไหม เพราะจะไม่กลับไปโรงแรมที่จองไว้แล้ว ไปไม่ไหว ฮาๆๆ พี่เขาก็บอกตามสบาย เลือกที่กางเลย ส่วนเพื่อนผมก็เสียเงินฟรีไปห้าร้อยบาท เพาะมันจะนอนที่โฮสเทลนี้เหมือนกันเป็นห้อง dorm คิดคนละ 180 บาท ส่วนผมกางเต็นท์ฟรี พี่เจ้าของร้านใจดีมาก
ที่นอนผมคืนนี้
นอนไปสักตีสามผมรู้สึกว่าฝนตกลงมาเลยย้ายเต็นท์มาไว้ใต้ชายคาร้าน
สภาพตื่นมาตอนเช้า
เช็คสภาพอากาศจากโทรศัพท์ปรากฎว่ามีพายุเข้าปาย T T
เช้านี้เปียกแน่นอนเรา ไม่มีวี่แววของแดดเลย
ผมเก็บสัมภาระไปอาบน้ำในห้องน้ำของโฮสเทล และเดินไปปลุกเพื่อนที่ในโฮสเทล เพื่อเดินทางกันต่อ พอเจอเพื่อน เพื่อนผมก็เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกให้ฟังว่าเมื่อเช้าตอนผมโทรมาปลุกเหลือบไปเหฺนคนที่นอนเตียงตรงข้ามนอนแก้ผ้าตอนแรกคิดว่าเป็นผู้ชาย แต่พอมองทะลุมุ้งเข้าไปดีๆ ปรากฎว่าเชี่ย นมใหญ่เป็นลูกๆ ฮาๆ ที่แท้เป็นสาวฝรั่งแก้ผ้านอนนี้เอง คนที่นี้เขาไม่ถือกัน เมื่อคืนผมนอนเต็นท์ก็ได้ยินเสียงฝรั่งมา featuring กันบนชั้นสองของบาร์ ผมแยกออกแล้วว่าฝรั่งแต่ละชาติร้องแบบไหน จากพี่เจ้าของบาร์บอกมา พี่แกบอกได้ยินบ่อยจนแยกออก ฮาๆๆ
ที่นอนในโฮสเทลและสภาพศพเพื่อนผม 555
วันนี้เราตั้งใจจะโบกเรากลับไปแม่แตงและปั่นกลับเข้าเชียงใหม่ เพราะเพื่อนผมต้องกลับกรุงเทพไปทำงานต่อ ก่อนไปก็ร่ำลาพี่เจ้าของร้านผู้ใจดี เมื่อวานเป็นวันที่ผมสนุกมากๆ
ร่ำลาเสร็จผมกับเพื่อนก็ปั่นจักรยานฝ่าฝนกลับเข้าไปในตัวเมือง แวะเอาผ้าที่เพื่อนผมมาซักไว้ที่ร้านซักผ้า และปั่นต่อไปกินข้าวที่ร้านแกงใต้ร้านเดิม พี่ที่ร้านถามว่าจะไปไหนกันต่อ เราว่าจะลองโบกรถกลับเชียงใหม่ดู ตลอดทั้งเช้าฝนตกลงมาไม่หยุดผมใส่เสื้อกันฝน ปั่นออกไปตรงสามแยกก่อนเข้าตัวเมืองปาย ยืนโบกกันสักพักก็ไม่มีรถคันไหนจอดเลย คงเป็นเพาะเราสองคนรวมกับจักรยานอาจจะดูเป็นภาระเกินไปสำหรับคนผ่านไปผ่านมา เราเลยปรึกษากันว่าลองหาเบอร์จากอินเตอร์เนตและลองโทรไปถามรถตู้ดูว่าจะเอาจักรยานขึ้นหลังคาไปได้ไหม โทรไปเช็คปรากฎว่าเราสามารถเอาจักรยานขึ้นหลังคารถตู้ได้ เราเลยปั่นจักรยานฝ่าสายฝนย้อนกลับเข้าไปในตัวเมืองอีกรอบ และไปซื้อตั๋วได้เที่ยวบ่ายสอง เหลือเวลาอีกสามชั่วโมง ผมกับเพื่อนเลยไปนั่งรอที่ร้านหนังสือ Lonely Pai ซึ่งไกล้กับท่ารถตู้
ช่วงที่คอยเลยได้มีโอกาสอ่านหนังสือสองเล่มที่ผมอุตส่าพกติดตัวมาด้วยสักที
ได้เวลาเราก็เข็นจักรยานเอาสัมภาระไปใส่ไว้ท้ายรถ แล้วก็ช่วยยกจักรยานส่งให้พี่โชเฟอร์ เราต้องจ่ายค่าจักรยานเพื่มคันละ 100 บาท
กลับมาถึงเชียงใหม่ก็เย็นแล้วเราปั่นกลับไปที่พักที่เดิมที่ DN guesthouse ที่ท่าแพ และก็พักห้องเดิม โชคดีที่ยังว่าง วันนี้ได้ส่วนลดด้วย เพราะตอนแรกผมกับเพื่อนจะพักห้องพักลม ที่ถูกกว่าแคค่คืนละ 300 บาท เพราะวันนี้ที่เชียงใหม่อยู่ๆ ก็อากาศหนาวขึ้นมาซะงะ้น แต่เจ้าของบอกนอนห้องแอร์นี้แหละคิด 350 บาทพอจากวันก่อนที่ผมมาพัก 400 คืนนี้ผมมีนัดกับเพื่อนรุ่นน้องคนเชียงใหม่อีกคนนึง ที่รู้จักกันระหว่างเดินทางเมื่อหลายปีก่อน นางชวนผมไปเที่ยวร้าน ท่าแพอีสต์ ซึ่งก็เป็นร้านของพี่ปอเจ้าของ North Gate อีกเช่นกัน เพิ่งเปิดไม่นาน คล้ายเป็นชุมชนเปิดให้ศิลปินต่างๆ มาเปิดแสดง จะมีการแสดงแค่บางวันเท่านั้น โชคดีที่วันนี้จะมีการแสดงพอดี
ผมกับเพื่อนเลยปั่นกันไปพบพบนางที่ท่าแพอีสต์ ซึ่งๆ อยู่ไกล้ๆ กับสะพานนวรัตน์
ร้านอยู่ในซอยเล็กๆ
บรรยากาศแนวย้อนยุควันนี้เป็นเพลงโฟล์คซอง ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติมาฟังกัน
แต่สุดท้ายก็มาจบที่ North Gate เหมือนเคย คืนนี้เป็นคืนร็อค มันสุดๆ คนแน่นร้านเหมือนเดิม
คนเยอะเหมือนเดิม มันไม่ง่ายเลยถ้าคุณมานอนที่เชียงใหม่แล้วจะไม่มาร้านนี้ เพลงเขาสุดๆ จริงๆ
นั่งฟังเพลงจนร้านปิดก็แยกย้ายกันกลับผมกับเพื่อนหิวอีกแล้ว เลยถามรุ่นน้องคนเชียงใหมใ่ว่ามีตรงไหนไกลๆ มีของกินบ้าง นางเลยแนะนำข้าวขาหมูประตูช้างเผือก ซึ่งอยู่ไกล้ๆ ผมกับเพื่อนเลยปั่นกันไปกิน ซึ่งอร่อยจริงๆ เสร็จแล้วกัลบไปนอน พรุ่งนี้ผมมีแผนจะปั่นจักรยานขึ้นดยปุยเพื่อไปกางเต็นท์นอนที่ขุนช่างเคี่ยน ส่วนเพื่อนผมต้องกลับ กทม พรุ่งนี้แล้ว แต่ตื่นเช้ามาผมก็พบสภาพอากาศที่มีแต่เมฆเต็มท้องฟ้าและมีฝนโปรยตลอดเวลา ผมเลยคิดว่าจะรอจนเที่ยงถ้าฝนไม่หยุดคิดว่าจะเปลี่ยนแผนไม่ขึ้นดอยปุยและจะตีรถไฟกลับ กทม วันนี้เลยก่อนกำหนดหนึ่งวัน เพราะสภาพอากาศไม่เหมาะแก่การแค็มปิ้งและปั่นจักรยานเลย ระหว่างนี้ผมเลยปั่นจักรยานไปนั่งที่ร้าน 8 days a week ซึ่งเป็นร้านที่เพื่อนแนะนำมา
ผมสั่งโกโก้ร้อนขณะที่เพื่อนผมสังคราฟเบียร์ เห็นขวดเล็กๆ ราคาไม่เบาเลย 150 บาท แต่มันอยากลอง
นั่งสักพักเพื่อนผมก็ต้องลาไปขึ้นเครื่องที่สนามบิน ส่วนผมก็นั่งต่ออีกสักพัก และตัดสินใจว่าจะกลับ กทม วันนี้เลยเช่นกันเพราะดูสภาพอากาศท้องฟ้าไม่น่าไว้วางใจ ตอนเช็คบิลทำให้รู้ว่าที่ร้านนี้มีส่วนลดให้คนปั่นจักรยานมากินด้วย น่ารักจัง
เสร็จแล้วผมก็ปั่นจักรยานไปสถานีรถไฟ ระหว่างทางก็แวะถ่ายรูปกับสะพานเหล็กแห่งนี้ จำได้ไข่ย้อยเคยเดินบนสะพานแห่งนี้ในหนังเพื่อนสนิท
ระหว่างปั่นไปสถานี้เพื่อนผมก็โทรมาบอกว่า มันจองตั๋วเครื่องบินกลับผิดวัน บินพรุ่งนี้ มันเลยกลับรถไฟกับผมวันนี้ ยอมทิ้งตั๋ว ฮาๆ
ลาแล้วนะเฃียงใหม่ จนกว่าเราจะพบกันอีก
ได้เวลารถออก เจ้าหน้าที่ให้เราขึ้นมาผูกจักรยานเอง เอาที่เราสบายใจ
วันนี้เรากลับตั๋วนอนกัน ผมเป็นคนชอบนั่งรถไฟมาก ทุกครั้งที่เดินทางจะพยายามเลือกรถไฟก่อนเป็นอันดับแรกโดยเฉพาะรถนอน ยิ่งรถนอนสายเหนือนี้เป็นรถไฟนอนที่สบายทั้งกว้างขวางและสะอาดที่สุด เข้าใจว่าเป็นตู้มือสองจากญี่ปุ่น เพราะป้ายต่างๆ ในรถไฟยังเป็นภาษาญี่ปุ่นอยู่เลย
ถึงแม้ก่อนขึ้นรถไฟผมกับเพื่อนจะกินข้าวมาก่อนแล้ว แต่นั่งไปสักพักก็รู้สึกหิวอีกเราเลยเดินไปหาของกินที่ตู้สะเบียงกัน
อาหารชุดละร้อยสิบบาท มีข้าว แกงหนึ่งถ้วย น้ำส้มหนึ่งขวด และผลไม้ รสชาติพอแก้ขัดได้อยู่ ยามหิวแบบนี้ เสียดายที่ตู้เสบียงไม่มีเบียร์ขายแล้ว หลังจากที่เคยเกิดคดีดังมาเมื่อสองสามปีก่อน เป็นเมื่อก่อนตู้เสบียงรถไฟคือสถานที่ดื่มเบียร์ที่ชิลที่สุดที่นึงเลย
เสร็จแล้วก็กลับไปนอน พอไกล้รุ่งเช้าเจ้าหน้าที่ก็เดินมาปลุกผู้โดยสาร ผมรู้สึกตัวเมื่อตอนที่รถจอดที่สถานี้รังสิต ตอนใกล้ถึงผมก็นึกถึงวันแรกที่ผมนั่งรถไฟไปหนองคาย ด้วยความตื่นเต้นกับการปั่นจักรยานทางไกลเที่ยวครั้งแรกแถมมาคนเดียวอีก ภาพต่างๆ ตลอด 12 วันค่อยพรั่งพรูมาในความคิดผม นีกนึกย้อนไปได้พบเรื่องราวและผู้คนมากมายจากการยอมออกมาผจญภัย พาตัวเองออกจาก comfort zone สภาพแวดล้อมเดิมๆ ผมสัญญากับตัวเองว่าจะต้องหาโอกาสเดินทางแบบนี้อีก ผมหลงรักการปั่นจักรยานทางไกลเข้าให้แล้ว แล้วพบกันทริปหน้า จนกว่าเราจะพบกันใหม่
สถานีปลายทางบางซื่อ สวัสดี
เพจของผมฝากมาไลค์กันหน่อยนะครับ https://www.facebook.com/Two-Wheeled-An ... 355795532/
กระทู้ล่าสุดของผมครับ ปั่นจักรยานในเกียวโต ฝากด้วยนะครับ
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... &t=1349972
แก้ไขล่าสุดโดย Isra freeman เมื่อ 22 พ.ย. 2015, 23:59, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง
- น้องหนึ่ง
- ขาประจำ
- โพสต์: 10797
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 04:07
- Tel: 0891441866
- ตำแหน่ง: http://www.thaimtb.com/forum/viewforum.php?f=528
- ติดต่อ:
Re: ปั่นจักรยานเที่ยวคนเดียวแบบค่ำไหนนอนนั่นจากหนองคาย รู้ตัวอีกทีไปถึงปาย
ขอบคุณครับ อ่านไปครึ่งนึงยังรู้สึกเพลินมากๆ เดี๋ยวไว้ว่างกลับมาอ่านต่ออีกทีน่าจะเพลินกว่านี้
ร้านจักรยานฝีมือดี มาดึกๆได้
www.thaimtb.com/forum/viewforum.php?f=528
www.facebook.com/HomeMadeBicycle
www.thaimtb.com/forum/viewforum.php?f=528
www.facebook.com/HomeMadeBicycle
-
- สมาชิก
- โพสต์: 87
- ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ธ.ค. 2014, 12:09
- Tel: 0868249596
- Bike: WTC City Bike
Re: ปั่นจักรยานเที่ยวคนเดียวแบบค่ำไหนนอนนั่นจากหนองคาย รู้ตัวอีกทีไปถึงปาย
ขอบคุณมากครับ ที่เข้ามาอ่านน้องหนึ่ง เขียน:ขอบคุณครับ อ่านไปครึ่งนึงยังรู้สึกเพลินมากๆ เดี๋ยวไว้ว่างกลับมาอ่านต่ออีกทีน่าจะเพลินกว่านี้
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 1194
- ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 18:36
- ตำแหน่ง: กำแพงเพชร
- ติดต่อ:
Re: ปั่นจักรยานเที่ยวคนเดียวแบบค่ำไหนนอนนั่นจากหนองคาย รู้ตัวอีกทีไปถึงปาย
เป็นการเดินทางที่น่าจดจำจริงๆครับ
คนดีสำคัญกว่าทุกสิ่ง
- nuugoz
- ขาประจำ
- โพสต์: 806
- ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2013, 16:16
- Tel: 0819069801
- team: -
- Bike: Thorn SHERPA
- ตำแหน่ง: ซ.รามอินทรา 65
Re: ปั่นจักรยานเที่ยวคนเดียวแบบค่ำไหนนอนนั่นจากหนองคาย รู้ตัวอีกทีไปถึงปาย
ขอเข้ามาตามอ่านด้วยคน เพราะเรามีกริ๊บมือรุ่นและสีเดียวกัน
ทริปมันส์มากครับพี่ ปั่นยังไงไปโผล่ปายได้ ฮ่าาา
และผมชอบภาพนี้มาก
ทริปมันส์มากครับพี่ ปั่นยังไงไปโผล่ปายได้ ฮ่าาา
และผมชอบภาพนี้มาก
MY THORN SHERPA 530L
---------------------------------
https://www.flickr.com/photos/78231413@ ... 063679404/
https://www.facebook.com/wacharawongse
---------------------------------
https://www.flickr.com/photos/78231413@ ... 063679404/
https://www.facebook.com/wacharawongse
- one2wheel
- ขาประจำ
- โพสต์: 895
- ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ม.ค. 2011, 23:24
- team: changply bike-Chiang mai
- Bike: เปลี่ยนไปเรื่อยครับ
- ตำแหน่ง: hangdong chiangmai
Re: ปั่นจักรยานเที่ยวคนเดียวแบบค่ำไหนนอนนั่นจากหนองคาย รู้ตัวอีกทีไปถึงปาย
ปักไว้อ่านต่อ
ชีวิตต้องปั่น : ทำงาน เก็บเงิน ซื้อจักรยาน เที่ยวรอบโลก
-
- สมาชิก
- โพสต์: 42
- ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2013, 20:20
Re: ปั่นจักรยานเที่ยวคนเดียวแบบค่ำไหนนอนนั่นจากหนองคาย รู้ตัวอีกทีไปถึงปาย
สรุปทริปใน 1 หน้าเยี่ยมครับไม่คาใจ ทริปดีมากครับหันหน้าไปทางใดมีแต่มิตร...ขอให้เป็นอย่างนี้ทุกทริปครับ
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 133
- ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2012, 21:42
- Tel: 0922505196
- Bike: TREK emonda alr
- ตำแหน่ง: บางแค
- theera
- ขาประจำ
- โพสต์: 165
- ลงทะเบียนเมื่อ: 18 มิ.ย. 2011, 23:38
Re: ปั่นจักรยานเที่ยวคนเดียวแบบค่ำไหนนอนนั่นจากหนองคาย รู้ตัวอีกทีไปถึงปาย
สนุกมากๆครับ นั่งอ่านรวดเดียวจนจบ สนุกจริงๆ
- bus 68
- สมาชิก
- โพสต์: 65
- ลงทะเบียนเมื่อ: 20 เม.ย. 2012, 14:20
- Tel: -
- team: ไปไหนไปด้วย
- Bike: Dahon Bw, Bt, Bf, Dhc, F-Frame
Re: ปั่นจักรยานเที่ยวคนเดียวแบบค่ำไหนนอนนั่นจากหนองคาย รู้ตัวอีกทีไปถึงปาย
คุณสุดยอดมากครับ..อ่านรวดเดียวเลย..สนุกมาก
"Steel is Real"
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 192
- ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.ย. 2014, 14:21
Re: ปั่นจักรยานเที่ยวคนเดียวแบบค่ำไหนนอนนั่นจากหนองคาย รู้ตัวอีกทีไปถึงปาย
สุดยอดจริงๆครับคิดดี ทำดีเจอแต่สิ่งทีดีครับ
- karn.su05
- ขาประจำ
- โพสต์: 653
- ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 09:17
- Tel: 0896620077
- Bike: araya
Re: ปั่นจักรยานเที่ยวคนเดียวแบบค่ำไหนนอนนั่นจากหนองคาย รู้ตัวอีกทีไปถึงปาย
สนุกครับ
ขอแค่ผ่านก็พอครับ
bike to work http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 6&t=832568
ไม่ไหวก็เข็น http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... &t=1109071
bike to work http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 6&t=832568
ไม่ไหวก็เข็น http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... &t=1109071
- k-02
- ขาประจำ
- โพสต์: 298
- ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2012, 14:55
- Tel: 0811744299
- Bike: Dahon, Trek, Soma
Re: ปั่นจักรยานเที่ยวคนเดียวแบบค่ำไหนนอนนั่นจากหนองคาย รู้ตัวอีกทีไปถึงปาย
อ่านเพลินเลย... เป็นการเดินทางที่ได้รสชาดจริงๆ
- TOURRIT
- ขาประจำ
- โพสต์: 194
- ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2009, 22:49