????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

บอร์ดสำหรับ นักปั่นทัวร์ริ่ง นักปั่นระยะทางไกล พูดคุยเรื่องอุปกรณ์ เทคนิตการปั่น ที่พัก หรือการกินอยู่
กฏการใช้บอร์ด
บอร์ดสำหรับ นักปั่นทัวร์ริ่ง นักปั่นระยะทางไกล พูดคุยเรื่องอุปกรณ์ เทคนิตการปั่น ที่พัก หรือการกินอยู่
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4378
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุง - คุณป้า พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D สายัณห์สวัสดิ์ ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพทุก ๆ ท่าน หลังจากงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป เก็บอัฐิและทำบุญอัฐิหลวงปู่เป็นที่เรียบร้อย เราสองคน ลุง - ป้า ก็ได้วางแผนการเดินทางท่องเที่ยวกันต่อไป ตามเจตนาเดิม เราประมาณกันว่าจะไปตามลำดับตัวอักษร ซึ่งถ้าเป็นไปตามนั้น จ.กระบี่ จะเป็นคิวที่เราต้องไป แต่มีเหตุอันสมควรต้องเปลี่ยนแปลง คือคุณนาย(ป้า) ไปค้นคว้าหนังสือคู่มือต่าง ๆ และไปสดุดใจกับคำว่า ๕๕ จังหวัดที่คนเมินไม่มอง กลายเป็นเมืองรองของการท่องเที่ยวไป เมื่อพิจารณาแล้วเราก็ตระหนักว่าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ และจากการเปรียบเทียบ ระหว่าง กำแพงเพชร กับ กาฬสินธ์ที่เราไปผ่านมาจะเห็นได้ว่า กำแพงเพชรนั้นติดระดับโลก แต่กาฬสินธ์เงียบ No Name พอไปจริง ๆ เราสองคนต้องอุทานว่า...... ว๊าว.......ไม่ธรรมดา กาฬสินธ์มีแหล่งท่องเที่ยวเยอะมาก เมืองสงบ สนุก มีความสุข ความคิดจึงเปลี่ยนทันที เมืองท่องเที่ยวหลักเราสองคนไปกันบ่อยแล้ว ต่อไปนี้เราจะไปเมืองรอง ๕๕ แห่งแทนเมืองหลักเมื่อหมดจากเมืองรองแล้วเราค่อยไปเมืองหลักกันอีกครั้ง :lol: :lol:

:idea: :idea: เมื่อตกผลึกกันเรียบร้อย จ.ยโสธร จึงเป็นเป้าหมายของเราต่อไป จ.ยโสธร คำขวัญประจำจังหวัด: เมืองบั้งไฟโก้ แตงโมหวาน หมอนขวานผ้าขิด แหล่งผลิตข้าวหอมมะลิ

ยโสธร (จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี) เป็นจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างของประเทศไทย เดิมชื่อ บ้านสิงห์ท่า , เมืองยศสุนทร เป็นเมืองเก่าแก่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำชีมีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 200 ปี ในปี 2553 นิตยสารด้านการท่องเที่ยวของประเทศอังกฤษ สำรวจกิจกรรมทั่วโลก ที่ชาวอังกฤษสนใจและอยากเข้าร่วมกิจกรรม โดย คัดเลือก จาก กว่า 20,000 กิจกรรมทั่วโลก และคัดเลือก เหลือ 300 กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด พบว่า ในประเทศไทย ถูกคัดเลือก ลงในนิตยสาร จำนวน 5 กิจกรรม ได้แก่ 1.เทศกาลสงกรานต์ 2.งานประเพณียี่เป็ง จังหวัดเชียงใหม่ 3.งานบั้งไฟพญานาค จังหวัดหนองคาย 4.งานประเพณีบุญบั้งไฟ จังหวัดยโสธร และ 5.งานเทศกาลร่มบ่อสร้าง จังหวัดเชียงใหม่ , ประเพณีแห่มาลัยข้าวตอก ประเพณีหนึ่งเดียวในโลก อีกทั้งยังเป็นเมืองที่น่าอยู่ติดอันดับ 7 ของนานาชาติ One Planet City Challenge (OPCC) และเป็นจังหวัดที่มีความสุขมากที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย

จังหวัดยโสธรถูกจัดตั้งขึ้นโดยคณะปฏิวัติของจอมพลถนอม กิตติขจร ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 70 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2515 อันให้แยกอำเภอยโสธร อำเภอกุดชุม อำเภอเลิงนกทา อำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอมหาชนะชัย และอำเภอป่าติ้ว ออกจากจังหวัดอุบลราชธานี แล้วรวมกันตั้งเป็นจังหวัดยโสธร และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2515 สืบไป โดยมีนายชัยทัต สุนทรพิพิธ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธรคนแรก
:idea: :idea:

:) :D ผมและคุณนายได้ไปท่องเที่ยวเก็บรายละเอียด ได้ประสบการณ์ความรู้ ความเข้าใจ ที่สำคัญได้ไปพบพระเกจิอาจารย์หลายองค์ ท่านได้เมตตาเทศนาอบรมความรู้ ให้ธรรมะเจริญถึงอกถึงใจเรียกว่าไม่เสียเที่ยวที่ตัดใจเลือก ยโสธร เป็นเมืองที่ ๓ ต่อจากกาฬสินธ์ เรียนเชิญทุกท่านท่องเที่ยวไปกับเรา (คุณลุง - คุณป้า) ผมจะพยายามเก็บสิ่งละอันพันละน้อยมาเล่าสู่กันฟัง พร้อมทั้งมีหลาย ๆ สิ่งที่จะนำเสนอ ทั้งดี - ไม่ดี อาจจะแทรกธรรมะเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อเตือนสติเตือนใจ พอหอมปากหอมคอนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ไม่ว่ากันนะครับ(เอาตามกลอนพาไปแก้ขัด ๕๕) พยายามจะให้ได้ทั้งทางโลกและทางธรรม ก่อนจะเริ่มเดินทางผมขอภาพที่ตั้งใจอยากให้ได้ทัศนาก่อนนะครับ :P :P
ไฟล์แนบ
cat 1.jpg
cat 1.jpg (280.63 KiB) เข้าดูแล้ว 1068 ครั้ง
cat 2.jpg
cat 2.jpg (149.68 KiB) เข้าดูแล้ว 1068 ครั้ง
cat 3.jpg
cat 3.jpg (283.71 KiB) เข้าดูแล้ว 1068 ครั้ง
cat 4.jpg
cat 4.jpg (222.92 KiB) เข้าดูแล้ว 1068 ครั้ง
cat 5.jpg
cat 5.jpg (213.66 KiB) เข้าดูแล้ว 1068 ครั้ง
cat 6.jpg
cat 6.jpg (247.1 KiB) เข้าดูแล้ว 1068 ครั้ง
cat 7.jpg
cat 7.jpg (278.48 KiB) เข้าดูแล้ว 1068 ครั้ง
cat 8.jpg
cat 8.jpg (268.66 KiB) เข้าดูแล้ว 1068 ครั้ง
cat 9.jpg
cat 9.jpg (194.75 KiB) เข้าดูแล้ว 1068 ครั้ง
cat 10.jpg
cat 10.jpg (166.73 KiB) เข้าดูแล้ว 1068 ครั้ง
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (136).JPG
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (136).JPG (273.17 KiB) เข้าดูแล้ว 1068 ครั้ง
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (355).JPG
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (355).JPG (257.7 KiB) เข้าดูแล้ว 1068 ครั้ง
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (475).JPG
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (475).JPG (360.7 KiB) เข้าดูแล้ว 1068 ครั้ง
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (495).JPG
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (495).JPG (314.95 KiB) เข้าดูแล้ว 1068 ครั้ง
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (530).JPG
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (530).JPG (203.04 KiB) เข้าดูแล้ว 1068 ครั้ง
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (785).JPG
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (785).JPG (245.44 KiB) เข้าดูแล้ว 1068 ครั้ง
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (802).JPG
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (802).JPG (288.83 KiB) เข้าดูแล้ว 1068 ครั้ง
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (828).JPG
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (828).JPG (373.28 KiB) เข้าดูแล้ว 1068 ครั้ง
cat 11.jpg
cat 11.jpg (141.12 KiB) เข้าดูแล้ว 1068 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4378
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุง - คุณป้า พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D อรุณสวัสดิ์ครับ เช้าวันนี้ผมจะเริ่มพาท่านเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัด ยโสธร กันนะครับ เราเริ่มเดินทางแต่ ๒๔ กุมภาพันธ์ บอกไว้ก่อนแล้วเส้นทางภาคเหนือ ภาคอีสานและภาคกลางเราปั่นกัน เรียกว่าทะลุผ่านไม่จำเป็นต้องเสียเวลามาปั่นเก็บกันอีก อาศัยตัวช่วยเพื่อเก็บเวลาไว้ใช้ในจังหวัดดีกว่า เราปั่นจากบ้านเพื่อไปขึ้นรถทัวร์ที่อาเขต ๓ ใน อ.เมืองเชียงใหม่ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านประมาณ ๑๕ กม.ช่วงที่ออกจากบ้าน ตรงหน้าบ้านจะมีร้านขายอาหารสัตว์"น้องตี" หลาย ๆ คนที่ยืนคุยกันหน้าร้านต่างตะโกนสอบถามไปไหนกันอีก ? ก็บอกเขาจะไปเที่ยวยโสธร เขาก็ยกหัวแม่โป้งให้พร้อมยิ้มสวย ๆ

:idea: :idea: เคยมีคนถามบ่อยครั้งว่า "ไม่ห่วงอะไรเลยหรือ" เป็นคำถามที่ตอบยากมากครับเพราะตอบตามจริงก็ถูกนินทา ตอบไม่จริง(เอาใจ)กลายเป็นมุสา ใหม่ ๆ ก็ตอบแบบเอาใจครับแต่นานไป ๆ ก็ต้องตอบตามความเป็นจริงว่า "ไม่ห่วงอะไรแล้ว" ถ้าเขาสนใจจะได้รายละเอียดเขาก็จะถามต่อด้วยคำถามเยอะแยะมากมาย สรุปว่า "มันเป็นบั้นปลายชีวิตของเราสองคนแล้ว และเราก็ฝึกปฏิบัติธรรมกันมานานมาก ธรรมะได้หลอมใจของเราให้อยู่กับกาย - ใจ เกินกว่าที่จะไปสนใจอะไรอีก ลูกหรือก็โตกันแล้ว หลานก็เป็นหน้าที่ของพ่อแม่เขาที่จะต้องเลี้ยงดู เราเพียงให้การสนับสนุนดูแลอยู่ห่าง ๆ และในการเดินทางของเราแบบที่เป็นอยู่ มันไม่ใช่การท่องเที่ยวแต่มันเป็นการจาริกแสวงบุญเพื่อเป็นเสบียงทุนไว้ไปภายภาคหน้า(ยามลาโลกนี้)" คนโลก ๆ ฟังคำตอบตามจริงเขาก็หาว่า บ้า โง่ ฯ......๕๕๕. :idea: :idea:

ประเทศไทยผมและคุณนายพาลูกตระเวนทั่วทุกภาค เหนือ กลาง อีสาน ใต้ทั้งเครื่องบิน รถยนต์ส่วนตัว ทัวร์ไปกับเพื่อน ๆ จึงเป็นความโชคดีที่ผมและคุณนายไม่ต้องกังวลกับเรื่องลูกอีกแล้ว เพราะถ้าชวนไปด้วยเขาจะตอบเคยไปมาแล้ว พ่อกับแม่ไปเถอะครับ...๕๕๕....เขาจะไปได้อย่างไร "เขาต้องทำงานตามหน้าที่ของเขา" แต่อีกหน่อยเชื่อว่า "เขาต้องเอาแบบเราแน่นอน" การทำให้ดูดีกว่าคำสอนเป็นร้อยเท่าทวีคูณ :lol: :lol:
ไฟล์แนบ
คำสอนของพ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ ถ้าเรานำไปฝึกไปปฏิบัติ ในที่สุดเราจะเป็นอิสระ มีเสรีภาพ มีภราดรภาพ มีความสุขเพราะเราไม่ติดยึดกับสิ่งใด ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ นี่คือคำสอนขององค์สมเด็จพระศาสดา ที่ทรงสอนสานุศิษย์มาเป็นพัน ๆ ปี
คำสอนของพ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ ถ้าเรานำไปฝึกไปปฏิบัติ ในที่สุดเราจะเป็นอิสระ มีเสรีภาพ มีภราดรภาพ มีความสุขเพราะเราไม่ติดยึดกับสิ่งใด ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ นี่คือคำสอนขององค์สมเด็จพระศาสดา ที่ทรงสอนสานุศิษย์มาเป็นพัน ๆ ปี
S__36929552.jpg (88.74 KiB) เข้าดูแล้ว 1059 ครั้ง
ประเทศไทยมี ๗๗ จังหวัด ท่านใดที่เดินทางไปแทบทุกจังหวัดแล้ว โปรดตรึกตรองดูซิครับมีจังหวัดใดบ้างที่ละเลยเรียกว่าไม่ได้ไปเลย แต่ก่อนนั้นผมกับคุณนายจะพากันไปแต่จังหวัดที่ดัง ๆ ตามกระแส บัดนี้ได้เวลาที่จะต้อง Review แต่ละจังหวัดในบั้นปลายชีวิต เราจึงได้ร่วมกันพิจารณา  และตกลงใจสมควรยึด ๕๕ จังหวัดที่เป็นเมืองรองซึ่งต่อแต่นี้ไปเราจะพยายามเที่ยวเมืองรองทั้ง ๕๕ เมืองให้ครบ ไปมาแล้วผมก็จะนำมาเล่าไว้ ณ ที่ตรงนี้ครับ เพื่อไว้เป็นแนวทางให้เยาวชนตลอดจนผู้สนใจ ได้ศึกษาหาข้อมูลเป็นวิทยาทาน ดังนั้นถ้ามีส่วนหนึ่งส่วนใดที่ผิดพลาด อย่ารอช้านะครับขอได้โปรดแจ้ง ส่งคำเตือนทั้งทางสาธารณะและส่วนตัวให้ทราบหรือเข้ามาร่วมแก้ไขอธิบายเพิ่มเติมในกระทู้ได้เลยครับ ส่วนตัวผมเองนั้นก็ยินดีและพร้อมที่จะแก้ไขปรับปรุงให้ถูกต้องต่อไปเช่นกัน ขอขอบพระคุณล่วงหน้ามา ณ ที่นี้ครับ.
ประเทศไทยมี ๗๗ จังหวัด ท่านใดที่เดินทางไปแทบทุกจังหวัดแล้ว โปรดตรึกตรองดูซิครับมีจังหวัดใดบ้างที่ละเลยเรียกว่าไม่ได้ไปเลย แต่ก่อนนั้นผมกับคุณนายจะพากันไปแต่จังหวัดที่ดัง ๆ ตามกระแส บัดนี้ได้เวลาที่จะต้อง Review แต่ละจังหวัดในบั้นปลายชีวิต เราจึงได้ร่วมกันพิจารณา และตกลงใจสมควรยึด ๕๕ จังหวัดที่เป็นเมืองรองซึ่งต่อแต่นี้ไปเราจะพยายามเที่ยวเมืองรองทั้ง ๕๕ เมืองให้ครบ ไปมาแล้วผมก็จะนำมาเล่าไว้ ณ ที่ตรงนี้ครับ เพื่อไว้เป็นแนวทางให้เยาวชนตลอดจนผู้สนใจ ได้ศึกษาหาข้อมูลเป็นวิทยาทาน ดังนั้นถ้ามีส่วนหนึ่งส่วนใดที่ผิดพลาด อย่ารอช้านะครับขอได้โปรดแจ้ง ส่งคำเตือนทั้งทางสาธารณะและส่วนตัวให้ทราบหรือเข้ามาร่วมแก้ไขอธิบายเพิ่มเติมในกระทู้ได้เลยครับ ส่วนตัวผมเองนั้นก็ยินดีและพร้อมที่จะแก้ไขปรับปรุงให้ถูกต้องต่อไปเช่นกัน ขอขอบพระคุณล่วงหน้ามา ณ ที่นี้ครับ.
S__36929551.jpg (158.27 KiB) เข้าดูแล้ว 1059 ครั้ง
เตรียมตัวไว้แต่เนิ่น ๆ เพื่อมีเวลาตรวจสอบว่า"ลืม"สิ่งใดจะได้แก้ไขจัดหาเมื่อเดินทางไปแล้วจะได้ไม่ต้องห่วงกังวล
เตรียมตัวไว้แต่เนิ่น ๆ เพื่อมีเวลาตรวจสอบว่า"ลืม"สิ่งใดจะได้แก้ไขจัดหาเมื่อเดินทางไปแล้วจะได้ไม่ต้องห่วงกังวล
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (2).JPG (287.71 KiB) เข้าดูแล้ว 1059 ครั้ง
ได้เวลาออกเดินทางเพื่อไปขึ้นรถทัวร์ที่อาเขต ๓ ในตัวเมืองเชียงใหม่ ฝากบ้านไว้กับท่านเทวดาอารักษ์ให้ดูแล วันสองวันน้องสาวคุณนายก็จะมารดน้ำต้นไม้ให้สักครั้งหนึ่ง
ได้เวลาออกเดินทางเพื่อไปขึ้นรถทัวร์ที่อาเขต ๓ ในตัวเมืองเชียงใหม่ ฝากบ้านไว้กับท่านเทวดาอารักษ์ให้ดูแล วันสองวันน้องสาวคุณนายก็จะมารดน้ำต้นไม้ให้สักครั้งหนึ่ง
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (4).JPG (315.95 KiB) เข้าดูแล้ว 1059 ครั้ง
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (6).JPG
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (6).JPG (315.29 KiB) เข้าดูแล้ว 1059 ครั้ง
ข้างบ้านจะเป็นร้านขายอาหารสัตว์ ก็จะมีขาประจำมานั่งคุยสนทนาเฮอาตามประสาชาวบ้าน ทุกครั้งที่เห็นเราสองคนจูงจักรยานออกบ้าน คำถามที่เขาตะโกนถาม &quot;ไปไหนแหมเหมาะ&quot;(ไปไหนอีกล่ะ) ซึ่งเป็นที่รู้กันในชุมชนปากกองว่า เราสองคนรัก ชอบปั่นจักรยานท่องเที่ยวหลาย ๆ คนก็คิดและอยากจะเอาอย่าง แต่เวลา โอกาส ความพร้อมต่าง ๆ ไม่มี จึงมีแต่ความอยาก....ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าไม่มีการฝึก ศึกษาโอกาสที่จะประสบผลสำเร็จเป็นไปไม่ได้เลย........ <br /><br />&quot;จักรยานกับธรรมะ ก็ เช่นเดียวกัน ต้องฝึกศึกษาและลงมือปฏิบัติก็จะเห็นผล&quot; จักรยานเห็นผลที่ร่างกายแข็งแรง โรคภัยไม่เบียดเบียน ธรรมะเห็นผลที่ จิตใจมีความสงบ เย็น เป็นสุข อยู่ที่ไหน ๆ ก็มีความสุข เรียกว่า &quot;สุขกายสุขใจไปกับจักรยานครับ ๕๕&quot;
ข้างบ้านจะเป็นร้านขายอาหารสัตว์ ก็จะมีขาประจำมานั่งคุยสนทนาเฮอาตามประสาชาวบ้าน ทุกครั้งที่เห็นเราสองคนจูงจักรยานออกบ้าน คำถามที่เขาตะโกนถาม "ไปไหนแหมเหมาะ"(ไปไหนอีกล่ะ) ซึ่งเป็นที่รู้กันในชุมชนปากกองว่า เราสองคนรัก ชอบปั่นจักรยานท่องเที่ยวหลาย ๆ คนก็คิดและอยากจะเอาอย่าง แต่เวลา โอกาส ความพร้อมต่าง ๆ ไม่มี จึงมีแต่ความอยาก....ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าไม่มีการฝึก ศึกษาโอกาสที่จะประสบผลสำเร็จเป็นไปไม่ได้เลย........

"จักรยานกับธรรมะ ก็ เช่นเดียวกัน ต้องฝึกศึกษาและลงมือปฏิบัติก็จะเห็นผล" จักรยานเห็นผลที่ร่างกายแข็งแรง โรคภัยไม่เบียดเบียน ธรรมะเห็นผลที่ จิตใจมีความสงบ เย็น เป็นสุข อยู่ที่ไหน ๆ ก็มีความสุข เรียกว่า "สุขกายสุขใจไปกับจักรยานครับ ๕๕"
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (7).JPG (366.03 KiB) เข้าดูแล้ว 1059 ครั้ง
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (14).JPG
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (14).JPG (322.4 KiB) เข้าดูแล้ว 1059 ครั้ง
สี่แยกสถานีรถไฟขวามือไปสันกำแพง ซ้ายมือเข้าเมือง ตรงไปเป็นสถานีขนส่งอาเขต เข้าทางด้านหลังครับ
สี่แยกสถานีรถไฟขวามือไปสันกำแพง ซ้ายมือเข้าเมือง ตรงไปเป็นสถานีขนส่งอาเขต เข้าทางด้านหลังครับ
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (17).JPG (309.91 KiB) เข้าดูแล้ว 1059 ครั้ง
ติดต่อบริษัทนครชัยทัวร์ซื้อตั๋วไปลงโคราชจากโคราชพนักงานให้ไปติดต่อกับบริษัทอีกครั้งเพื่อต่อไปยโสธร เกรงว่ารถจะเข้าไม่ทันเวลา
ติดต่อบริษัทนครชัยทัวร์ซื้อตั๋วไปลงโคราชจากโคราชพนักงานให้ไปติดต่อกับบริษัทอีกครั้งเพื่อต่อไปยโสธร เกรงว่ารถจะเข้าไม่ทันเวลา
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (23).JPG (249.41 KiB) เข้าดูแล้ว 1059 ครั้ง
S__36093955.jpg
S__36093955.jpg (232.44 KiB) เข้าดูแล้ว 1059 ครั้ง
S__36093956.jpg
S__36093956.jpg (203.53 KiB) เข้าดูแล้ว 1059 ครั้ง
S__36093957.jpg
S__36093957.jpg (250.08 KiB) เข้าดูแล้ว 1059 ครั้ง
S__36093958.jpg
S__36093958.jpg (220.62 KiB) เข้าดูแล้ว 1059 ครั้ง
S__36093959.jpg
S__36093959.jpg (141.03 KiB) เข้าดูแล้ว 1059 ครั้ง
S__36093960.jpg
S__36093960.jpg (208.5 KiB) เข้าดูแล้ว 1059 ครั้ง
ออกจากเชียงใหม่เวลา ๑๗.๓๐ น. ถึง จ.ยโสธร เวลาเกือบ ๑๑.๐๐ น.รวมเวลาที่นั่งหลังขดหลังแข็งบนรถทัวร์ รวม กว่า ๑๖ ชั่วโมง คิด ๆ แล้วก็คุ้มน๊ะ เพราะยังดีกว่าที่จะเสียเวลาปั่นซึ่งต้องใช้ระยะเวลา ๕-๖ วันกว่าจะถึง เอาเวลา ๕ - ๖ วันมาเที่ยวในจังหวัดจะประหยัดเวลาได้มาก แต่ใครที่ยังไม่เคยปั่นระยะยาวจาก จังหวัด - จังหวัด แนะนำให้ปั่นเสียก่อนครับเพื่อจะได้ Feel บันทึกความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเราเคยปั่นยาวข้ามจังหวัดมาแล้ว
ออกจากเชียงใหม่เวลา ๑๗.๓๐ น. ถึง จ.ยโสธร เวลาเกือบ ๑๑.๐๐ น.รวมเวลาที่นั่งหลังขดหลังแข็งบนรถทัวร์ รวม กว่า ๑๖ ชั่วโมง คิด ๆ แล้วก็คุ้มน๊ะ เพราะยังดีกว่าที่จะเสียเวลาปั่นซึ่งต้องใช้ระยะเวลา ๕-๖ วันกว่าจะถึง เอาเวลา ๕ - ๖ วันมาเที่ยวในจังหวัดจะประหยัดเวลาได้มาก แต่ใครที่ยังไม่เคยปั่นระยะยาวจาก จังหวัด - จังหวัด แนะนำให้ปั่นเสียก่อนครับเพื่อจะได้ Feel บันทึกความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเราเคยปั่นยาวข้ามจังหวัดมาแล้ว
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (34).JPG (238.33 KiB) เข้าดูแล้ว 1059 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
ลุงเนตร
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 19852
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 19:20
Tel: 0898133936
team: อิสระ
Bike: Trek 3900, Dark Rock ทัวร์ริ่ง
ตำแหน่ง: ๔๖๕ ซอยจ่าโสด ถนนทางรถไฟเก่า แขวง,เขตบางนา กทม.๑๐๒๖๐
ติดต่อ:

Re: ????...คุณลุง - คุณป้า พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย ลุงเนตร »

"..สวัสดีครับ ขอบคุณมากที่ไปปั่นออกทริปแล้วนำมาให้ทราบเป็นวิทยาทาน อย่างเป็นระบบเพรียบพร้อมครบถ้วนด้วยเนื้อหาสาระทั้งประวัติของแต่ละสถานที่ สถานที่ท่องเที่ยว ธรรมชาติพร้อมด้วยธรรมะ และภาพถ่ายที่สวยงามทุกขั้นตอนครบถ้วนกระบวนความตามท้องเรื่อง คู่ควรกับการเสียเวลาอ่านติดตามเป็นอย่างยิ่ง อย่างนี้ต้องขออนุญาตบอกต่อให้เกิดประโยชน์กว้างมากยิ่งขึ้นด้วยครับ.." (เป็นวิธีการท่องเที่ยวที่เห็นว่าดีมากๆอีกวิธีหนึ่ง ประหยัดเงิน เวลา ค่าใช้จ่าย)
ไฟล์แนบ
17523716_1398430323548403_1275132374020960334_n.jpg
17523716_1398430323548403_1275132374020960334_n.jpg (19.5 KiB) เข้าดูแล้ว 1048 ครั้ง
*..ยิ่งปั่น..ยิ่งแข็ง..แรงยิ่งดี..โรคไม่ค่อยมี..ไม่ทุกข์..*
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4378
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุง - คุณป้า พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:( :( ไปอยู่ในที่ๆ ไม่มีเน็ต (ไม่เสถียร) ไม่สามารถติดต่ออะไรได้ ต้องกราบขออภัย คงอีกหลายวันจึงจะได้กลับมาเล่าต่อ ขอทุกท่านมีแต่ความสุขทุกคืนวัน จนกว่าจะพบกันนะครับ :( :(
ไฟล์แนบ
464FCEB6-1D04-4038-9A7D-D2950BE90DE0.jpeg
464FCEB6-1D04-4038-9A7D-D2950BE90DE0.jpeg (161.5 KiB) เข้าดูแล้ว 1038 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
ลุงเนตร
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 19852
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 19:20
Tel: 0898133936
team: อิสระ
Bike: Trek 3900, Dark Rock ทัวร์ริ่ง
ตำแหน่ง: ๔๖๕ ซอยจ่าโสด ถนนทางรถไฟเก่า แขวง,เขตบางนา กทม.๑๐๒๖๐
ติดต่อ:

Re: ????...คุณลุง - คุณป้า พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย ลุงเนตร »

"..สาธุ.."
*..ยิ่งปั่น..ยิ่งแข็ง..แรงยิ่งดี..โรคไม่ค่อยมี..ไม่ทุกข์..*
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4378
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุง - คุณป้า พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

ลุงเนตร เขียน:"..สวัสดีครับ ขอบคุณมากที่ไปปั่นออกทริปแล้วนำมาให้ทราบเป็นวิทยาทาน อย่างเป็นระบบเพรียบพร้อมครบถ้วนด้วยเนื้อหาสาระทั้งประวัติของแต่ละสถานที่ สถานที่ท่องเที่ยว ธรรมชาติพร้อมด้วยธรรมะ และภาพถ่ายที่สวยงามทุกขั้นตอนครบถ้วนกระบวนความตามท้องเรื่อง คู่ควรกับการเสียเวลาอ่านติดตามเป็นอย่างยิ่ง อย่างนี้ต้องขออนุญาตบอกต่อให้เกิดประโยชน์กว้างมากยิ่งขึ้นด้วยครับ.." (เป็นวิธีการท่องเที่ยวที่เห็นว่าดีมากๆอีกวิธีหนึ่ง ประหยัดเงิน เวลา ค่าใช้จ่าย)
ลุงเนตร เขียน:"..สาธุ.."
:) :D อรุณสวัสดิ์ครับ พี่เนตรที่เคารพอย่างสูง เอาบุญมาฝากพี่และทุก ๆ ท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมเยี่ยมอ่านกระทู้ ขอให้ได้บุญกุศลร่วมกันทุกท่านทุกคน ผมกลับมาแล้วพร้อมกับข่าวดีที่ตัวผมเองก็ปลื้มใจ เมื่อคืน(๘ มีค.๖๒) ข่าวทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ไปร่วมงานแถลงข่าว เที่ยวเมืองรอง ขนลุกครับแนวคิดที่ผมและคุณนายคิดไว้เรียกว่าไปถูกทิศถูกทางแล้ว เรามาชมข่าวจาก Spring News On Line กันนะครับ :) :D

:idea: :idea: “ทูลกระหม่อมฯ” ชวนเที่ยวเมืองรองพร้อมเป็นเจ้าบ้านที่ดี รับสั่งพระไม่ให้โกรธ-โมโห

เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จเยือนกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ทรงร่วมงานส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก International Tourismos Borse (ITB) 2019 โดยมีนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วยนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นำเสด็จเยือนคูหาประเทศไทย

ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประทานสัมภาษณ์สื่อมวลชนเกี่ยวกับนโยบายการท่องเที่ยวเมืองรอง ใจความว่า เราต้องทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว เพราะนักท่องเที่ยวคือแขกของเรา การที่นักท่องเที่ยวมาเที่ยวเมืองไทยเพราะเขาชอบเรา คนไทยจะต้องมีจิตใจที่เป็นมิตร มีความเต็มใจที่จะบริการ ทำให้ทุกคนสะดวกสบาย และสิ่งที่นักท่องเที่ยวต่างชาติให้ความสำคัญมากที่สุดคือเรื่องความปลอดภัย ต้องช่วยกันดูแลให้อยู่ดีกินดี มีความสุขขณะเดียวกันเราก็ต้องดูแลคนไทยกันเองด้วย เพราะทุกคนคือครอบครัวเดียวกัน ร่วมมือร่วมแรง ในการที่จะโปรโมทแหล่งท่องเที่ยวบ้านเรา วันนี้ทางททท.ได้โปรโมท เมืองรอง 55 จังหวัด พวกเราทุกคนต้องให้โอกาส สามารถมีโอกาสที่จะต้อนรับและเป็นเจ้าของบ้าน สามารถที่จะทำงานร่วมกันได้ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก เราต้องช่วยกัน เพราะการทำงานด้านท่องเที่ยวต้องช่วยกันในหลายๆ ส่วน

ทุกจังหวัดต่างก็มีดี ทั้งเมืองหลักเมืองรอง เพราะเมืองไทยสวยทุกที่ เท่ทุกเวลาไม่ต้องพึ่งยาเสพติด สามารถไปเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะหน้าร้อน ฝน หรือหนาว เมืองไทยมีทั้งภูเขาและทะเล ศิลปวัฒนธรรม วัดวาอารามที่สวยงาม โดยมากเดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าชอบไปวัด ทำบุญ เพื่อทำจิตใจสงบ จะได้ไม่แก่ไม่เป็นอัลไซเมอร์ เพราะโกรธเกรี้ยวโมโหโทโส อารมณ์เสียก็จะเป็นสาเหตุโรงอัลไซเมอร์ และปีนี้พระท่านบอกว่าไม่ให้เราโกรธใคร ซึ่งเราก็จะไม่โกรธ เพราะเราไม่อยากแก่และเป็นอัลไซเมอร์

เดี๋ยวนี้เมื่อไปเที่ยวที่ไหนก็พยายามถ่ายรูปสวยๆ มาลงในไอจี เพื่อเป็นการโปรโมทการท่องเที่ยวว่ามีตรงไหนบ้างที่น่าสน ก็จะพยายามเขียนให้สนุกเพื่อโปรโมทการท่องเที่ยวซึ่งก็ได้ผล เพราะถ้าเขียนแบบวิชาการจะน่าเบื่อ คนก็ไม่อยากเที่ยว ปัจจุบันการใช้สื่อโซเชียลนั้นเป็นเรื่องที่ได้ผลดีเวลาสื่ออะไรออกไป เราจะใช้โซเชียลเป็นหลักคือไอจี เพราะสื่อโซเชียลไปได้รวดเร็วเข้าถึงทุกที่ทุกแห่งได้ผลดีกว่าด้านอื่น และมีโอกาสตอบโต้กัน ซึ่งต้องเปิดใจกว้างเพื่อรับฟังทุกคอมเมนต์แม้ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ทุกคนสามารถคุยกับข้าพเจ้าได้ ถ้ามีเวลาก็จะพยายามตอบ คนมาแสดงความคิดเห็นหลายคนก็ให้กำลังใจมาก ซึ่งเรารู้สึกขอบใจ ซาบซึ้งใจที่พวกเรามาให้กำลังใจทำให้สามารถที่จะกำมีกำลังใจทำงานดีๆ ต่อไป แต่บางครั้งสื่อออนไลน์ก็มีข้อเสียที่ต้องระมัดระวังในการใช้ อย่างบางคนใช้ในการด่ากัน

แต่สำหรับตัวข้าพเจ้าเองก็ไม่ได้โกรธอะไรเพราะมองว่าคนด่าทำให้เราหันมามองตัวเอง ได้ปรับปรุงตัวเองไม่ต้องชมตลอดเวลา อย่างเมื่อก่อนเคยเปิดเฟซบุ๊กสาธารณะก็มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก ก็มันดีสนุกดี แต่ตอนหลังๆ ก็เยอะไปก็เลยปิด และถ้าเป็นเรื่องไม่จริงก็ไม่แคร์ ปีนี้พระท่านบอกว่าไม่ให้โกรธหรือโมโหใคร ตามสุภาษิตที่ว่าโกรธคือโง่โมโหคือบ้า ปีนี้จะไม่โมโหใครเลย เพราะถ้าโกรธและโมโหก็จะทำให้เราแก่เร็วและเป็นอัลไซเมอร์

คนไทยคือจุดแข็งของประเทศไทย ในหลายแง่เพราะคนไทยเป็นคนมีน้ำใจ เมตตา กรุณา ชอบช่วยเหลือ เป็นคนใจดี ซึ่งเป็นนิสัยดั้งเดิมของเรา คนไทยมีทัศนคติเชิงบวก เป็นคนที่ปล่อยวาง เปิดกว้าง ชอบช่วยเหลือเห็นได้จากเหตุการณ์ภัยพิบัติสึนามิปี 2547 คนต่างชาติก็ชื่นชมเรื่องความมีน้ำใจของเรา นี่คือจุดแข็งของประเทศ เป็นเสน่ห์ของเจ้าของบ้านที่ดี นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว เรื่องคนไทยคือนัมเบอร์วันที่ทำให้ประเทศไทย เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวอยากมาเยือน :idea: :idea:
ไฟล์แนบ
S__37462026.jpg
S__37462026.jpg (95.89 KiB) เข้าดูแล้ว 994 ครั้ง
S__37462027.jpg
S__37462027.jpg (125.04 KiB) เข้าดูแล้ว 994 ครั้ง
S__37462028.jpg
S__37462028.jpg (142.21 KiB) เข้าดูแล้ว 994 ครั้ง
S__37462029.jpg
S__37462029.jpg (144.3 KiB) เข้าดูแล้ว 994 ครั้ง
ดีใจครับที่เราสองคนตัดสินใจเที่ยวเมืองรองแทนที่จะไปเที่ยวเมืองเรียงตามตัวอักษร ก-ฮ ดั่งที่คิดไว้แต่หนแรก ๆ  เพราะกว่าจะครบ ๗๗ จังหวัดคงนอนโรงก่อน (๕๕๕) แต่ไม่แน่ ๕๕ จังหวัดนี้จะครบไหม ผมจะพยายามเอาให้ครบก่อน(ตาย)  เรียกว่าไปถูกทิศถูกทาง บางจังหวัดผมอาจจะเว้นก็ได้เพราะเคย Review ไปแล้วในกระทู้ &quot;จักรยานธุดงค์&quot; ดังนั้น ๕๕ จังหวัดก่อนตายเชื่อว่าคงได้ครบครับ <br /><br /> ถือได้ว่าต่อนี้ไปเราก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยรณรงค์ในการท่องเที่ยวทั่วไทยไปยังเมืองรอง สำหรับหนนี้เป็น จ.ยโสธร ขอนำประวัติโดยย่อมานำเสนอก่อนที่เราจะเปิดประตูเมืองครับ<br /><br />&quot; ความเป็นมา   เมือง ยโสธร เป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ริมฝั่งแม่น้ำชี ได้ชื่อว่าเมืองบั้งไฟ เป็นดินแดนที่มีอดีตอันล้ำค่าและยาวนานกว่า 200 ปี ยโสธร มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานเกี่ยวพันกับเมืองหนองบัวลุมภู นครเขื่อนขัณฑ์กาบแก้วบัวบาน และเกี่ยวพันกับเมืองอุบลฯ ในเขตพื้นที่จังหวัดยโสธร ได้พบร่องรอยการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์<br /><br />จากยุคประวัติศาสตร์ต่อเนื่องกันมาจนถึงยุคปัจจุบัน ชุมชนโบราณส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตทุ่งราบโล่ง<br />หรือ บริเวณขอบชายทุ่ง ติดกับพื้นที่โคกและป่า ได้แก่ชุมชนโบราณชายขอบทุ่งกุลาร้องไห้ ในเขตอำเภอมหาชนะชัยและอำเภอค้อวัง เช่น ชุมชนโบราณที่บ้านหัวเมือง บ้านคูเมือง บ้านคูสองชั้น ในเขตอำเภอมหาชนะชัย ชุมชนโบราณบ้านน้ำอ้อม บ้านโพนแพง บ้านหมากมาย บ้านแข้ บ้านโพนเมือง ในเขตอำเภอค้อวัง<br /><br />ประมาณปีพุทธศักราช 2314 พระเจ้าตา เจ้าพระวอ เสนาบดีเก่านครเวียงจันทน์ อพยพครอบครัวและบริวารหนีมาเพื่อตั้งรกรากใหม่ เนื่องจากไม่พอใจเจ้านครคนใหม่ โดยใช้ชื่อเมืองใหม่ว่าเมืองหนองบัวลุมภู ขณะเดียวกัน พระเจ้าศิริบุญสาร ซึ่งเป็นเจ้านครเวียงจันทน์อยู่เกิดหวาดระแวงจึงยกกองทัพจากนครเวียงจันทน์ มาปราบปราม พระเจ้าตาถูกข้าศึกยิงด้วยอาวุธปืน และฟันด้วยดาบจนถึงแก่พิราลัยในที่รบ เจ้าพระวอ เจ้าคำผง และเจ้าฝ่ายหน้าผู้เป็นน้องทั้ง 2 ของเจ้าพระวอ อีกทั้งเจ้าก่ำ เจ้าทิดพรมได้ยกทัพฝ่าหนีออกจากเมืองหนองบัวลุมภูไปพึ่งพาเจ้านครจำปาศักดิ์ ขบวนทัพของเจ้าพระวอได้เดินทางตามลุ่มน้ำชีมาพักกับเจ้าคำสูผู้ปกครองบ้าน สิงห์ท่า (ปัจจุบัน คือ จังหวัดยโสธร ) ภายหลังต่อมาเจ้าพระวอดำริว่าหากอยู่กับเจ้าคำสูแล้ว ถ้าเวียงจันทน์ยกทัพมาก็จะเป็นการลำบาก และจะเกิดศึกสงครามกันต่อไป เมื่อประชุมตกลงกันแล้วจึงได้พาไพร่พลอพยพลงไปตามลำน้ำมูล และสร้างเมืองใหม่ที่ดอนวังกองเขตนครจำปาศักดิ์ ตามรับสั่งของพระเจ้าองค์หลวงเจ้านครจำปาศักดิ์ โดยเจ้าพระวอให้ขุดคูสร้างค่ายขึ้นเรียกว่าค่ายบ้านดู่บ้านแก<br /><br />พ.ศ. 2354 เจ้าพระยาพิชัยราชขัตติยวงศาถึงแก่พิราลัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดให้เจ้าหนู หลานเจ้านครจำปาศักดิ์ ครองนครจำปาศักดิ์สืบไป ฝ่ายเจ้าราชวงศ์สิงห์ บุตรเจ้าพระยาพิชัยราชขัตติยวงศา กลับมาอยู่บ้านเดิมคือบ้านสิงห์ท่า และได้นำเอาอัฐิของเจ้าพระยาพิชัยราชขัตติยวงศา กลับมาด้วย แนะนำมาก่อเจดีย์บรรจุไว้ที่วัดมหาธาตุ ใกล้กับพระธาตุพระอานนท์ซึ่งยังปรากฏอยู่จนปัจจุบัน<br /><br />พ.ศ. 2357 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านสิงห์ท่าขึ้นเป็นเมืองและพระราชทานนามว่า เมืองยศสุนทร ให้เจ้าราชวงศ์สิงห์เป็นเจ้าครองเมืองมีราชทินนามว่า พระสุนทรราชวงศา เป็นเจ้าเมืองคนแรกของเมืองยโสธร<br /><br />(คำว่า ยศสุนทร ต่อมากลายเป็นยะโสธร มีความหมายว่า ทรงไว้ซึ่งยศ แต่การเขียนหรือการเรียกสั้น ๆ ว่า ยะโส ไม่เป็นที่ไพเราะหูและไม่เป็นมงคลนาม ร.ต.ท.พวง ศรีบุญลือ นายอำเภอยะโสธร (พ.ศ. 2500 – 2513) ได้มีหนังสือขอให้เขียนชื่อเสียใหม่เป็น “ยโสธร” และได้รับอนุญาตจากกระทรวงมหาดไทย โดยความเห็นชอบของราชบัณฑิตยสถานให้เปลี่ยนได้ และใช้มาจนบัดนี้<br /><br />ใน รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อเกิดศึกเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ เมืองยโสธรก็ได้รับเกณฑ์เข้าร่วมศึกครั้งนี้ด้วยได้ชัยชนะ ได้รับพระราชทานเชลยเมืองเวียงจันทน์ 500 ครอบครัว และพระราชทานปืนใหญ่ไว้สำหรับเมืองหนึ่งกระบอกชื่อว่า ปืนนางป้อง ยังปรากฏอยู่ที่ศาลหลักเมืองยโสธรมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อพระสุนทรราชวงศาเห็นได้เป็นเจ้าเมืองแล้ว ได้นำศิลาจากบ้านแก้งหินโงมมาสร้างพระพุทธบาทจำลอง แล้วสร้างวัดป่าอัมพวัน และวัดกลางศรีไตรภูมิไว้เป็นวัดคู่เมือง<br /><br />ใน รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2417 ได้เกิดศึกฮ่อยกกำลังมาตีเมืองหนองคาย เมืองยโสธรถูกเกณฑ์ให้ยกกำลังไปสมทบ กองทัพจากกรุงเทพ ฯ เป็นจำนวน 500 คน ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2426 พวกฮ่อได้ยกกำลังมาตั้งอยู่ที่ทุ่งเชียงคำ เมืองยโสธรได้รับเกณฑ์ให้เอากำลังช้างม้าโคต่างๆ ไปเป็นพาหนะบรรทุกเสบียงไปเลี้ยงกองทัพ<br /><br />พ.ศ. 2433 สมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการจัดรูปการปกครองใหม่ หัวเมืองอีสานชั้นเอก โท ตรีและจัตวา ถูกรวมเข้าด้วยกันเรียกว่า กอง สำหรับเมืองยโสธรถูกรวมเข้าอยู่ในหัวเมืองฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ มีข้าหลวงตั้งกองว่าราชการอยู่ที่เมืองอุบล ประกอบด้วยหัวเมือง 12 หัวเมือง คือ อุบลราชธานี กาฬสินธุ์ สุวรรณภูมิ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ภูแล่นช้าง กมลาไสย เขมราฐ นองสองคอนดอนดง ยโสธร และศรีสะเกษ ซึ่งขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ<br /><br />ในปี พ.ศ. 2436 เกิดกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ฝรั่งเศสได้ยกกำลังจากเมืองญวนมาตีเมืองสมโบกของไทย เมืองยโสธรได้ถูกเกณฑ์ให้ไปช่วยรักษาเขตแดน โดยนำกำลังไปสมทบกองทัพจากกรุงเทพ ฯ สามกองทัพ กองทัพละ 1,000 คน<br /><br />พ.ศ. 2443 ได้ยุบเลิกมณฑลอีสาน เมืองยโสธรได้รวมเข้ากับเมืองอุบล โดยแยกออกเป็น 2 อำเภอ คือ อำเภออุทัยยโสธร ภายหลังเป็นอำเภอ คำเขื่อนแก้ว และอำเภอประจิมยโสธร ภายหลังเป็นอำเภอยโสธร<br /><br />ใน ปี พ.ศ. 2456 ได้เปลี่ยนชื่ออำเภออุทัยยโสธร เป็นอำเภอคำเขื่อนแก้ว เปลี่ยนชื่ออำเภอปจิมยโสธร เป็นอำเภอยโสธร เมืองยโสธร จึงลดฐานะจากเมืองมาเป็นอำเภอ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา<br /><br />พ.ศ. 2494 กระทรวงมหาดไทยได้ริเริ่มขอตั้งอำเภอยโสธรขึ้นเป็นจังหวัด จนกระทั่งถึงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2515 จึงได้มีประกาศ คณะปฏิวัติ ฉบับที่ 70 ตั้งอำเภอยโสธรขึ้นเป็นจังหวัดยโสธร โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2515 โดยแยกอำเภอยโสธร อำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอมหาชนะชัย อำเภอป่าติ้ว อำเภอเลิงนกทา และอำเภอกุดชุม ของจังหวัดอุบลราชธานี รวมกันเป็นจังหวัดยโสธร จังหวัดที่ 71 ของประเทศไทย<br /><br />รายการอ้างอิง<br />– สารานุกรมไทย เล่ม ๒๔ แมลง – ราชนีติ ลำดับที่ ๔๕๒๑ – ๔๖๘๖ ๒๔/ ๑๕๒๐๑ – ๑๕๘๔๐
ดีใจครับที่เราสองคนตัดสินใจเที่ยวเมืองรองแทนที่จะไปเที่ยวเมืองเรียงตามตัวอักษร ก-ฮ ดั่งที่คิดไว้แต่หนแรก ๆ เพราะกว่าจะครบ ๗๗ จังหวัดคงนอนโรงก่อน (๕๕๕) แต่ไม่แน่ ๕๕ จังหวัดนี้จะครบไหม ผมจะพยายามเอาให้ครบก่อน(ตาย) เรียกว่าไปถูกทิศถูกทาง บางจังหวัดผมอาจจะเว้นก็ได้เพราะเคย Review ไปแล้วในกระทู้ "จักรยานธุดงค์" ดังนั้น ๕๕ จังหวัดก่อนตายเชื่อว่าคงได้ครบครับ

ถือได้ว่าต่อนี้ไปเราก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยรณรงค์ในการท่องเที่ยวทั่วไทยไปยังเมืองรอง สำหรับหนนี้เป็น จ.ยโสธร ขอนำประวัติโดยย่อมานำเสนอก่อนที่เราจะเปิดประตูเมืองครับ

" ความเป็นมา เมือง ยโสธร เป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ริมฝั่งแม่น้ำชี ได้ชื่อว่าเมืองบั้งไฟ เป็นดินแดนที่มีอดีตอันล้ำค่าและยาวนานกว่า 200 ปี ยโสธร มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานเกี่ยวพันกับเมืองหนองบัวลุมภู นครเขื่อนขัณฑ์กาบแก้วบัวบาน และเกี่ยวพันกับเมืองอุบลฯ ในเขตพื้นที่จังหวัดยโสธร ได้พบร่องรอยการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์

จากยุคประวัติศาสตร์ต่อเนื่องกันมาจนถึงยุคปัจจุบัน ชุมชนโบราณส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตทุ่งราบโล่ง
หรือ บริเวณขอบชายทุ่ง ติดกับพื้นที่โคกและป่า ได้แก่ชุมชนโบราณชายขอบทุ่งกุลาร้องไห้ ในเขตอำเภอมหาชนะชัยและอำเภอค้อวัง เช่น ชุมชนโบราณที่บ้านหัวเมือง บ้านคูเมือง บ้านคูสองชั้น ในเขตอำเภอมหาชนะชัย ชุมชนโบราณบ้านน้ำอ้อม บ้านโพนแพง บ้านหมากมาย บ้านแข้ บ้านโพนเมือง ในเขตอำเภอค้อวัง

ประมาณปีพุทธศักราช 2314 พระเจ้าตา เจ้าพระวอ เสนาบดีเก่านครเวียงจันทน์ อพยพครอบครัวและบริวารหนีมาเพื่อตั้งรกรากใหม่ เนื่องจากไม่พอใจเจ้านครคนใหม่ โดยใช้ชื่อเมืองใหม่ว่าเมืองหนองบัวลุมภู ขณะเดียวกัน พระเจ้าศิริบุญสาร ซึ่งเป็นเจ้านครเวียงจันทน์อยู่เกิดหวาดระแวงจึงยกกองทัพจากนครเวียงจันทน์ มาปราบปราม พระเจ้าตาถูกข้าศึกยิงด้วยอาวุธปืน และฟันด้วยดาบจนถึงแก่พิราลัยในที่รบ เจ้าพระวอ เจ้าคำผง และเจ้าฝ่ายหน้าผู้เป็นน้องทั้ง 2 ของเจ้าพระวอ อีกทั้งเจ้าก่ำ เจ้าทิดพรมได้ยกทัพฝ่าหนีออกจากเมืองหนองบัวลุมภูไปพึ่งพาเจ้านครจำปาศักดิ์ ขบวนทัพของเจ้าพระวอได้เดินทางตามลุ่มน้ำชีมาพักกับเจ้าคำสูผู้ปกครองบ้าน สิงห์ท่า (ปัจจุบัน คือ จังหวัดยโสธร ) ภายหลังต่อมาเจ้าพระวอดำริว่าหากอยู่กับเจ้าคำสูแล้ว ถ้าเวียงจันทน์ยกทัพมาก็จะเป็นการลำบาก และจะเกิดศึกสงครามกันต่อไป เมื่อประชุมตกลงกันแล้วจึงได้พาไพร่พลอพยพลงไปตามลำน้ำมูล และสร้างเมืองใหม่ที่ดอนวังกองเขตนครจำปาศักดิ์ ตามรับสั่งของพระเจ้าองค์หลวงเจ้านครจำปาศักดิ์ โดยเจ้าพระวอให้ขุดคูสร้างค่ายขึ้นเรียกว่าค่ายบ้านดู่บ้านแก

พ.ศ. 2354 เจ้าพระยาพิชัยราชขัตติยวงศาถึงแก่พิราลัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดให้เจ้าหนู หลานเจ้านครจำปาศักดิ์ ครองนครจำปาศักดิ์สืบไป ฝ่ายเจ้าราชวงศ์สิงห์ บุตรเจ้าพระยาพิชัยราชขัตติยวงศา กลับมาอยู่บ้านเดิมคือบ้านสิงห์ท่า และได้นำเอาอัฐิของเจ้าพระยาพิชัยราชขัตติยวงศา กลับมาด้วย แนะนำมาก่อเจดีย์บรรจุไว้ที่วัดมหาธาตุ ใกล้กับพระธาตุพระอานนท์ซึ่งยังปรากฏอยู่จนปัจจุบัน

พ.ศ. 2357 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านสิงห์ท่าขึ้นเป็นเมืองและพระราชทานนามว่า เมืองยศสุนทร ให้เจ้าราชวงศ์สิงห์เป็นเจ้าครองเมืองมีราชทินนามว่า พระสุนทรราชวงศา เป็นเจ้าเมืองคนแรกของเมืองยโสธร

(คำว่า ยศสุนทร ต่อมากลายเป็นยะโสธร มีความหมายว่า ทรงไว้ซึ่งยศ แต่การเขียนหรือการเรียกสั้น ๆ ว่า ยะโส ไม่เป็นที่ไพเราะหูและไม่เป็นมงคลนาม ร.ต.ท.พวง ศรีบุญลือ นายอำเภอยะโสธร (พ.ศ. 2500 – 2513) ได้มีหนังสือขอให้เขียนชื่อเสียใหม่เป็น “ยโสธร” และได้รับอนุญาตจากกระทรวงมหาดไทย โดยความเห็นชอบของราชบัณฑิตยสถานให้เปลี่ยนได้ และใช้มาจนบัดนี้

ใน รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อเกิดศึกเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ เมืองยโสธรก็ได้รับเกณฑ์เข้าร่วมศึกครั้งนี้ด้วยได้ชัยชนะ ได้รับพระราชทานเชลยเมืองเวียงจันทน์ 500 ครอบครัว และพระราชทานปืนใหญ่ไว้สำหรับเมืองหนึ่งกระบอกชื่อว่า ปืนนางป้อง ยังปรากฏอยู่ที่ศาลหลักเมืองยโสธรมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อพระสุนทรราชวงศาเห็นได้เป็นเจ้าเมืองแล้ว ได้นำศิลาจากบ้านแก้งหินโงมมาสร้างพระพุทธบาทจำลอง แล้วสร้างวัดป่าอัมพวัน และวัดกลางศรีไตรภูมิไว้เป็นวัดคู่เมือง

ใน รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2417 ได้เกิดศึกฮ่อยกกำลังมาตีเมืองหนองคาย เมืองยโสธรถูกเกณฑ์ให้ยกกำลังไปสมทบ กองทัพจากกรุงเทพ ฯ เป็นจำนวน 500 คน ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2426 พวกฮ่อได้ยกกำลังมาตั้งอยู่ที่ทุ่งเชียงคำ เมืองยโสธรได้รับเกณฑ์ให้เอากำลังช้างม้าโคต่างๆ ไปเป็นพาหนะบรรทุกเสบียงไปเลี้ยงกองทัพ

พ.ศ. 2433 สมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการจัดรูปการปกครองใหม่ หัวเมืองอีสานชั้นเอก โท ตรีและจัตวา ถูกรวมเข้าด้วยกันเรียกว่า กอง สำหรับเมืองยโสธรถูกรวมเข้าอยู่ในหัวเมืองฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ มีข้าหลวงตั้งกองว่าราชการอยู่ที่เมืองอุบล ประกอบด้วยหัวเมือง 12 หัวเมือง คือ อุบลราชธานี กาฬสินธุ์ สุวรรณภูมิ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ภูแล่นช้าง กมลาไสย เขมราฐ นองสองคอนดอนดง ยโสธร และศรีสะเกษ ซึ่งขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ

ในปี พ.ศ. 2436 เกิดกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ฝรั่งเศสได้ยกกำลังจากเมืองญวนมาตีเมืองสมโบกของไทย เมืองยโสธรได้ถูกเกณฑ์ให้ไปช่วยรักษาเขตแดน โดยนำกำลังไปสมทบกองทัพจากกรุงเทพ ฯ สามกองทัพ กองทัพละ 1,000 คน

พ.ศ. 2443 ได้ยุบเลิกมณฑลอีสาน เมืองยโสธรได้รวมเข้ากับเมืองอุบล โดยแยกออกเป็น 2 อำเภอ คือ อำเภออุทัยยโสธร ภายหลังเป็นอำเภอ คำเขื่อนแก้ว และอำเภอประจิมยโสธร ภายหลังเป็นอำเภอยโสธร

ใน ปี พ.ศ. 2456 ได้เปลี่ยนชื่ออำเภออุทัยยโสธร เป็นอำเภอคำเขื่อนแก้ว เปลี่ยนชื่ออำเภอปจิมยโสธร เป็นอำเภอยโสธร เมืองยโสธร จึงลดฐานะจากเมืองมาเป็นอำเภอ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

พ.ศ. 2494 กระทรวงมหาดไทยได้ริเริ่มขอตั้งอำเภอยโสธรขึ้นเป็นจังหวัด จนกระทั่งถึงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2515 จึงได้มีประกาศ คณะปฏิวัติ ฉบับที่ 70 ตั้งอำเภอยโสธรขึ้นเป็นจังหวัดยโสธร โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2515 โดยแยกอำเภอยโสธร อำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอมหาชนะชัย อำเภอป่าติ้ว อำเภอเลิงนกทา และอำเภอกุดชุม ของจังหวัดอุบลราชธานี รวมกันเป็นจังหวัดยโสธร จังหวัดที่ 71 ของประเทศไทย

รายการอ้างอิง
– สารานุกรมไทย เล่ม ๒๔ แมลง – ราชนีติ ลำดับที่ ๔๕๒๑ – ๔๖๘๖ ๒๔/ ๑๕๒๐๑ – ๑๕๘๔๐
S__36028423.jpg (219.35 KiB) เข้าดูแล้ว 994 ครั้ง
cat 12.jpg
cat 12.jpg (178.21 KiB) เข้าดูแล้ว 994 ครั้ง
cat 13.jpg
cat 13.jpg (727.22 KiB) เข้าดูแล้ว 994 ครั้ง
cat 14.jpg
cat 14.jpg (681.14 KiB) เข้าดูแล้ว 994 ครั้ง
ผลจากการนั่งรถทัวร์ตลอดทั้งคืนวันเป็นเวลาถึง ๑๖ ชั่วโมงเล่นเอาผมและคุณนาย งง เมื่อลงจากรถที่ขนส่ง จ.ยโสธร ไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้ จะไปทางใดดี อันดับแรกเราคิดถึงร้านอาหาร เจ ก่อนเลยเพื่อจะได้เติมพลังให้กับร่างกาย และอาจจะโชคดีจะได้เจอะเจอผู้คนใจดีให้สนทนาสอบถามว่า &quot;เราควจจะไปที่ใด นอนที่ใด เที่ยวอย่างไร ฯ &quot; เราพากันปั่นออกจากสถานีขนส่งยโสธร มุ่งเข้าเมืองแต่ปรากฏไปเจอป้ายแนะนำ รีสอร์ท ดีใจครับเข้ารีสอร์ทก่อนเลยเพื่อจะได้ปลดสัมภารก แต่วาสนาบารมีจะได้บุญกุศล เราไปเจอพระใหญ่ตั้งตระหง่านทางซ้ายมือก่อนจะมุ่งไปยังรีสอร์ท เราสองคนเข้าไปกราบสักการะขอพร (ก่อนเลย) วัดนี้จำได้ว่าชื่อว่า วัดนาคำน้อย (ถ้าผิดต้องขอภัยไม่ได้บันทึกไว้) เมื่อเยี่ยมชมและกราบสักการะเรียบร้อย สติก็กลับมา เราทบทวนที่เราปั่นเข้ามาคงไม่ใช่ไปในตัวเมืองแน่ เราตัดสินใจปั่นย้อนกลับทางเดิม สอบถามคนเดินสวนทางมาว่า &quot;ร้านเจไปทางใด&quot; เขาก็แนะนำให้อย่างดี ต้องขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ ครับ<br /><br />โชคไม่ดีครับวันนั้น ร้านเจสายแล้วอาหารขายเกลี้ยงคนขายตัวจริงก็ไม่อยู่ แต่ก็ยังมีบุญเหลืออาหารที่เขาห่อไว้(เหลือนิดหน่อย)วางขาย เราจึงให้คนเฝ้าช่วยแก้ใส่จาน หลังจากเสร็จจากการรับประทานขอให้คิดค่าเสียหาย ตกใจครับเช้านี้เราทานอาหาร เจ ที่แพงที่สุด พยายามสอบถามแต่ดูเหมือนคนขายจะ งก ๆ เงิ่น ๆ เราจึงคิดว่าอย่าถือสาหาความเลยจ่าย ๆ ไปซะหมดเรื่อง จากความตั้งใจที่จะเจอะเจอญาติธรรม เพื่อสอบถามก็หมดหวังเช่นกันครับ ตลอดเวลาที่อยู่ใน อ.เมืองยโสธร เราไม่กลับไปทานร้านนี้อีกเลย<br /><br />ออกจากร้านเจปั่นไปเรื่อย ๆ ไปเจอซอยตันต้องเลี้ยวซ้ายหรือไม่ก็เลี่ยวขวา ผมเห็นสัญญลักษณ์คางคก ขวางตรงหน้าทำให้ฉุกใจคิดได้ เมืองยโสธรปัจจุบันนี้ได้สร้างคางคกเป็นจุดขายสำหรับการท่องเที่ยว(ความคิดผมนะครับ) เห็นในภาพที่ทำการบ้านไว้แล้วมาเห็นตัวสำรองเล็ก ๆ ขวางทาง ทำให้รำลึกได้ ขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้ไม่ถึงทางตัน คิดได้โดยพลัน เราจึงเดินทางไปชมพญาคางคกกันก่อนเลย เชื่อครับว่าต้องมีหลาย ๆ คนที่ไม่เคยเห็นพญาคางคก ผมจะพาไปเยี่ยมชมตามไปนะครับ.
ผลจากการนั่งรถทัวร์ตลอดทั้งคืนวันเป็นเวลาถึง ๑๖ ชั่วโมงเล่นเอาผมและคุณนาย งง เมื่อลงจากรถที่ขนส่ง จ.ยโสธร ไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้ จะไปทางใดดี อันดับแรกเราคิดถึงร้านอาหาร เจ ก่อนเลยเพื่อจะได้เติมพลังให้กับร่างกาย และอาจจะโชคดีจะได้เจอะเจอผู้คนใจดีให้สนทนาสอบถามว่า "เราควจจะไปที่ใด นอนที่ใด เที่ยวอย่างไร ฯ " เราพากันปั่นออกจากสถานีขนส่งยโสธร มุ่งเข้าเมืองแต่ปรากฏไปเจอป้ายแนะนำ รีสอร์ท ดีใจครับเข้ารีสอร์ทก่อนเลยเพื่อจะได้ปลดสัมภารก แต่วาสนาบารมีจะได้บุญกุศล เราไปเจอพระใหญ่ตั้งตระหง่านทางซ้ายมือก่อนจะมุ่งไปยังรีสอร์ท เราสองคนเข้าไปกราบสักการะขอพร (ก่อนเลย) วัดนี้จำได้ว่าชื่อว่า วัดนาคำน้อย (ถ้าผิดต้องขอภัยไม่ได้บันทึกไว้) เมื่อเยี่ยมชมและกราบสักการะเรียบร้อย สติก็กลับมา เราทบทวนที่เราปั่นเข้ามาคงไม่ใช่ไปในตัวเมืองแน่ เราตัดสินใจปั่นย้อนกลับทางเดิม สอบถามคนเดินสวนทางมาว่า "ร้านเจไปทางใด" เขาก็แนะนำให้อย่างดี ต้องขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ ครับ

โชคไม่ดีครับวันนั้น ร้านเจสายแล้วอาหารขายเกลี้ยงคนขายตัวจริงก็ไม่อยู่ แต่ก็ยังมีบุญเหลืออาหารที่เขาห่อไว้(เหลือนิดหน่อย)วางขาย เราจึงให้คนเฝ้าช่วยแก้ใส่จาน หลังจากเสร็จจากการรับประทานขอให้คิดค่าเสียหาย ตกใจครับเช้านี้เราทานอาหาร เจ ที่แพงที่สุด พยายามสอบถามแต่ดูเหมือนคนขายจะ งก ๆ เงิ่น ๆ เราจึงคิดว่าอย่าถือสาหาความเลยจ่าย ๆ ไปซะหมดเรื่อง จากความตั้งใจที่จะเจอะเจอญาติธรรม เพื่อสอบถามก็หมดหวังเช่นกันครับ ตลอดเวลาที่อยู่ใน อ.เมืองยโสธร เราไม่กลับไปทานร้านนี้อีกเลย

ออกจากร้านเจปั่นไปเรื่อย ๆ ไปเจอซอยตันต้องเลี้ยวซ้ายหรือไม่ก็เลี่ยวขวา ผมเห็นสัญญลักษณ์คางคก ขวางตรงหน้าทำให้ฉุกใจคิดได้ เมืองยโสธรปัจจุบันนี้ได้สร้างคางคกเป็นจุดขายสำหรับการท่องเที่ยว(ความคิดผมนะครับ) เห็นในภาพที่ทำการบ้านไว้แล้วมาเห็นตัวสำรองเล็ก ๆ ขวางทาง ทำให้รำลึกได้ ขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้ไม่ถึงทางตัน คิดได้โดยพลัน เราจึงเดินทางไปชมพญาคางคกกันก่อนเลย เชื่อครับว่าต้องมีหลาย ๆ คนที่ไม่เคยเห็นพญาคางคก ผมจะพาไปเยี่ยมชมตามไปนะครับ.
cat 15.jpg (400.49 KiB) เข้าดูแล้ว 994 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4378
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุง - คุณป้า พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D อรุณสวัสดิ์ครับ เช้าวันนี้ผมจะพาท่านผู้มีเกียรติไปชมพญาคางคก ถือเป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่งที่ไปเรียก "พญาคางคก" ความจริงแล้วคนอีสานเขาเรียก "พญาคันคาก" ซึ่งมีที่มาที่ไปเป็นเรื่องนิทานปรำปราของท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ ณ พิพิธภัณฑ์ได้เล่าให้ฟังอย่างคร่าว ๆ และขอให้เข้าไปศึกษาหาความรู้ในรายละเอียดภายในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งได้กล่าวถึงอย่างละเอียด และภายในนอกจากจะทราบประวัติความเป็นมายังมีชนิดต่าง ๆ และสายพันธ์คางคกซึ่งมีนับร้อยสายพันธ์ ต้องชื่นชมคนคิดสร้างพิพิธภัณฑ์คันคาก ที่เวลานี้ถือเป็น Highlight ของเมืองเป็นจุด จุดท่องเที่ยวที่ใคร ๆ ก็พากันมาเที่ยวชม โดยเฉพาะนักเรีนยนักศึกษามากันแทบทุกวันจากทุกจังหวัด ขอปรบมือให้ครับ เรามาอ่านนิทานอย่างย่นย่อกันสักนิดครับ

:idea: :idea: พญาคันคาก เป็นราชาครองเมืองชมพู บรรดาบ้านเมืองบริวารใหญ่น้อย พร้อมใจกันบังคมก้มให้พญาคันคากถ้วนทั่วทุกหัวระแหง จนลืมส่งสการไหว้สาฟ้าแถนเหมือนแต่ก่อน …ผีฟ้า “พญาแถน” เป็นใหญ่อยู่เมืองแมนแดนสวรรค์ ครั้นเมื่อฝูงคนทั้งหลายไปภักดีต่อ พญาคันคากหมดสิ้น ผีฟ้าพญาแถนเลยโกรธ ก็ไม่ส่งน้ำฟ้าน้ำฝนหล่นลงมาให้บ้านเมืองแว่นแคว้นใหญ่น้อย จนเกิดความแห้งแล้งทุกหย่อมหญ้าสาหัส

พญาคันคากเห็นความทุกข์ยากของไพร่บ้านพลเมือง ก็มุดลงไปเมืองบาดาลนาค แล้วไต่ถามความนัยว่าเหตุไฉนถึงเกิดภัยแล้งแห้งน้ำมานานปี …พญานาคจอมบาดาล จึงบอกเหตุว่าเพราะผีฟ้าพญาแถนไม่ให้นาคทั้งหลายขึ้นไปเล่นน้ำบนสวรรค์เหมือนแต่ก่อน น้ำเลยไม่แตก ฉานซ่านกระเซ็นกระเด็นกระดอนเป็นฝนฝอยหล่นลงมาเลี้ยงโลกมนุษย์ เมืองชมพูและบริวารเลยยากแค้นแสนกันดาร ด้วยแถนฟ้าเคืองรำคาญผู้คนที่ไม่บัตรพลีดีไหว้ มัวแต่ไปบังคมพญาคันคากนั้นแล …

พญาคันคากรู้ความตามจริงก็ยิ่งโกรธพิโรธนัก สั่งให้พญานาคผู้เป็นเมืองบริวารทำทางถนนจากเมืองชมพูขึ้นไปเมืองแถนแดนสวรรค์พญาคันคากมีใจเมตตา แล้วเจรจาว่ากล่าวอบรมบ่มนิสัยพญาแถนให้ประพฤติธรรม ต้องเอาใจใส่ดูแลทั้งชาวแถนและชาวมนุษย์จนสุดใจดินใจฟ้า ด้วยโลกนี้มีทั้ง ดิน หญ้าและฟ้าแถน ต้องพึ่งพาอาศัยกันมั่นคงถึงจะดำรงอยู่ได้ชั่วฟ้าดิน ถึงฤดูเดือนปีที่นาคต้องขึ้นมาเล่นน้ำบนฟ้าก็อย่าห้ามปราม เพราะนาคจะได้พ่นน้ำกระแทกคลื่น ดื่นดกตกเป็นฝอยฝนหล่นไปชุบเลี้ยงเอี้ยงดูหมู่มนุษย์ ทำไร่ไถนา ได้พืชพันธุ์ว่านยาอาหารอุดมสมบูรณ์ ถ้าไม่มีน้ำฟ้าน้ำฝน คนในเมืองมนุษย์สุดลำบาก จะได้ยากโหยหิวชิวหาดังราไฟ เมื่อไม่มีพืชพันธุ์ว่านยาอาหารเลี้ยงชีวังสังขาร แล้วจะเอาอะไรส่งสักการสังเวยให้แถนกินบนฟ้า แถนฟ้าก็ต้องเงือดงดอดตายไ ม่เป็นสุข นอกจากคนทั้งหลายแล้ว ในเมืองมนุษย์ยังมีพืชและสัตว์ ต้องอาศัยน้ำฝนน้ำฟ้าจากเมืองแถน ถ้าอนาถขาดแคลนเสียแ ล้วก็ต้องเดือดร้อนสารพัด ทั้งสัตว์และพืชเป็นล้นพ้น

เราเองพญาคันคาก คือ คางคกสัตว์ไม่มีขน ยังต้องดูแลเผื่อแผ่เกื้อหนุนฝูงม นุษย์ พี่น้องเราทั้งหมดก็ล้วนสัตว์บริสุทธิ์ที่พิทักษ์รักษาผู้คนให้มีความสุขอุดมสมบูรณ์เสมอกัน ท่านซึ่งเป็นพญาแถนควรจดจำเป็นเยี่ยง อย่าง อย่าเบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน แถนฟ้าต้องรักษาหน้าที่ปล่อยน้ำฟ้าน้ำฝนให้ตกต้องตามฤดู ไม่อย่างนั้นจะขึ้นมาลงโทษอีกให้สาสม
:idea: :idea:

จากนิทานพอเป็นคติสอนใจว่า ความเป็นอยู่ของคนอีสาน ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อไป ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นสิ่งที่ไม่ดีจริง ๆ เกิดเป็นมนุษย์ถือเป็นสัตว์ประเสริฐ เพราะมนุษย์ฝึกสอนได้ เราในฐานะหน่อเนื้อนาบุญของพระพุทธศาสนา พึงหันหน้าเข้ามาศึกษาหาความรู้ ประพฤติ ปฏิบัติธรรมตามคำสอนเพื่อความผาสุขของชีวิตกันทุกผู้ทุกคน :idea: :idea:


:idea: :idea: นานพญาคันคาก ต้นกำเนิดบุญบั้งไฟ/จังหวัดยโสธร/รู้ป่ะ :idea: :idea:
ไฟล์แนบ
S__36929554.jpg
S__36929554.jpg (150.08 KiB) เข้าดูแล้ว 974 ครั้ง
cat 33.jpg
cat 33.jpg (521.93 KiB) เข้าดูแล้ว 974 ครั้ง
cat 16.jpg
cat 16.jpg (741.39 KiB) เข้าดูแล้ว 974 ครั้ง
cat 18.jpg
cat 18.jpg (594.55 KiB) เข้าดูแล้ว 974 ครั้ง
ผมชื่นชมตลกหม่ำมาก ๆ ครับ ติดตามมาตลอด ชีวิตเขาน่าสนใจมาก ค้นในกูรูเจอประวัติก็เลยนำมาเล่าสู่ฟังครับ<br /><br />หม่ำ จ๊กมก (จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี) เพ็ชรทาย วงศ์คำเหลา (เกิด 24 มิถุนายน พ.ศ. 2508) ชื่อในการแสดงว่า หม่ำ จ๊กมก นักแสดงตลกชื่อดังจากแก๊งสามช่า ผู้กำกับภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมทั้งในและนอกราชอาณาจักรไทย[1] และประธานสโมสรฟุตบอลยโสธร[2]<br /><br />หม่ำ จ๊กมก เกิดวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2508 ที่อำเภอยโสธร จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบันคือจังหวัดยโสธร) มีชื่อจริงว่า เพ็ชรทาย วงศ์คำเหลา มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน เป็นคนกลาง มีน้องสาวซึ่งเป็นนักแสดงตลกเช่นกันคือ แวว จ๊กมก (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) ออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 16-17 ปี มาทำงานอยู่กับวงดนตรีลูกทุ่งของ สดใส รุ่งโพธิ์ทอง เป็นวงแรก โดยเริ่มทำงานในตำแหน่งคอนวอย (เด็กยกของ) ก่อนจะได้เลื่อนขึ้นมาเป็นหางเครื่อง และตลกตามลำดับ หลังจากนั้น หม่ำ ได้ย้ายไปทำงานกับวงดนตรีลูกทุ่งหลายวง เช่น เกรียงไกร กรุงสยาม, โชคชัย โชคอนันต์, ศิรินทรา นิยากร และ สุพรรณ สันติชัย หลังจากนั้น หม่ำ จ๊กมก ตัดสินใจ รวมตัวกับเพื่อนศิลปินตลก ตั้งตลกคณะเก้ายอดขึ้น ก่อนที่ในที่สุด จะได้รับการชักชวนให้มาเล่นตลกในคณะ เทพ โพธิ์งาม ทำให้หม่ำแสดงตลกร่วมกับคณะเทพ โพธิ์งามมาตลอด โดยใช้ชื่อขณะนั้นว่า &quot;หม่ำ สปาเก็ตตี้&quot; ภายหลังจึงเปลี่ยนชื่อเป็น &quot;หม่ำ จ๊กม๊ก&quot; โดยรับหน้าที่เป็นตัวประกอบรับมุกในคณะของ เทพ โพธิ์งาม จนหม่ำเริ่มดังเป็นที่รู้จัก เทพ โพธิ์งาม เห็นถึงโอกาสของหม่ำที่จะโด่งดังขึ้นในอนาคต จึงแนะนำให้หม่ำออกจากคณะ เพื่อไปตั้งคณะตลกเป็นของตนเอง โดยหม่ำได้ออกไปตั้งคณะให้ชื่อว่า คณะหม่ำ จ๊กมก โดยมีสมาชิกคนสำคัญ เช่น จาตุรงค์ มกจ๊ก , หยอง ลูกหยี , แวววาว จ๊กมก , อาแปะ จ๊กมก , เท่ง เถิดเทิง , โหน่ง ชะชะช่า เป็นต้น<br /><br />ในปี พ.ศ. 2535 หม่ำ จ๊กมก ได้รับการชักชวนจาก ปัญญา นิรันดร์กุล ให้มาร่วมทำงานกับบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ โดยได้มาทำหน้าที่เป็นตัวปริศนาในรายการ ชิงร้อยชิงล้าน ในช่วงชิงบ๊วย ครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 และนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา หม่ำ จ๊กมก ก็ทำงานร่วมกับเวิร์คพอยท์มาตลอดจนถึงปัจจุบัน ผลงานสำคัญของหม่ำ ในฐานะพิธีกรรายการเกมโชว์ต่าง ๆ ของเวิร์คพอยท์ เช่น เวทีทอง, ระเบิดเถิดเทิง เป็นต้น นอกจากนี้ เคยมีผลงานเพลงแนวลูกทุ่งหมอลำมาแล้วด้วยโดยเพลงดังคือเพลง เฮดจังได๋ เพ็ชรทายเพ็ชรทายเพ็ชรทาย<br /><br />ปัจจุบัน หม่ำ จ๊กมก เป็นเจ้าของ บริษัท บั้งไฟ ฟิล์ม จำกัด ผลิตภาพยนตร์ ได้แก่ ภาพยนตร์เรื่องบอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม และ แหยม ยโสธร ที่ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท และเป็นเจ้าของ บริษัท บั้งไฟ สตูดิโอ จำกัด ผลิตรายการโทรทัศน์ ได้แก่ รายการบิ๊กหม่ำ และละคร แฟกทอรีที่รัก พร้อมกับยังรับงานแสดงอยู่และทำธุรกิจร้านอาหารอีสาน<br /><br />ด้านการศึกษา จบการศึกษานอกโรงเรียนพร้อมกับ ธีรเทพ วิโนทัย ที่เรียนสถาบันเดียวกัน และได้ปริญญาโท มหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากคณะมนุษยศาสตร์ สาขาสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยรามคำแหงและขณะนี้กำลังศึกษาปริญญาตรีในคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง<br /><br />ชีวิตส่วนตัว หม่ำได้จดทะเบียนสมรส กับ &quot;มด&quot; เอ็นดู วงศ์คำเหลา หลังใช้ชีวิตคู่มาถึง 22 ปี ก็เพิ่งจะได้จัดงานแต่งงานด้วยกันโดยที่ปัญญา นิรันดร์กุล เป็นผู้จัดให้ในฐานะลูกน้องที่ร่วมงานกันมานาน และมีบุตรด้วยกันสองคนคือ &quot;เอ็ม&quot; นางสาวบุษราคัม วงศ์คำเหลา สมรสกับ กรวัฒน์ สุวรัตนานนท์ (20 พฤศจิกายน 2559) และ &quot;มิกซ์&quot; นายเพทาย วงศ์คำเหลา<br /><br />ล่าสุด หม่ำ จ๊กมก เป็นประธานสโมสรฟุตบอลยโสธร เอฟซี
ผมชื่นชมตลกหม่ำมาก ๆ ครับ ติดตามมาตลอด ชีวิตเขาน่าสนใจมาก ค้นในกูรูเจอประวัติก็เลยนำมาเล่าสู่ฟังครับ

หม่ำ จ๊กมก (จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี) เพ็ชรทาย วงศ์คำเหลา (เกิด 24 มิถุนายน พ.ศ. 2508) ชื่อในการแสดงว่า หม่ำ จ๊กมก นักแสดงตลกชื่อดังจากแก๊งสามช่า ผู้กำกับภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมทั้งในและนอกราชอาณาจักรไทย[1] และประธานสโมสรฟุตบอลยโสธร[2]

หม่ำ จ๊กมก เกิดวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2508 ที่อำเภอยโสธร จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบันคือจังหวัดยโสธร) มีชื่อจริงว่า เพ็ชรทาย วงศ์คำเหลา มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน เป็นคนกลาง มีน้องสาวซึ่งเป็นนักแสดงตลกเช่นกันคือ แวว จ๊กมก (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) ออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 16-17 ปี มาทำงานอยู่กับวงดนตรีลูกทุ่งของ สดใส รุ่งโพธิ์ทอง เป็นวงแรก โดยเริ่มทำงานในตำแหน่งคอนวอย (เด็กยกของ) ก่อนจะได้เลื่อนขึ้นมาเป็นหางเครื่อง และตลกตามลำดับ หลังจากนั้น หม่ำ ได้ย้ายไปทำงานกับวงดนตรีลูกทุ่งหลายวง เช่น เกรียงไกร กรุงสยาม, โชคชัย โชคอนันต์, ศิรินทรา นิยากร และ สุพรรณ สันติชัย หลังจากนั้น หม่ำ จ๊กมก ตัดสินใจ รวมตัวกับเพื่อนศิลปินตลก ตั้งตลกคณะเก้ายอดขึ้น ก่อนที่ในที่สุด จะได้รับการชักชวนให้มาเล่นตลกในคณะ เทพ โพธิ์งาม ทำให้หม่ำแสดงตลกร่วมกับคณะเทพ โพธิ์งามมาตลอด โดยใช้ชื่อขณะนั้นว่า "หม่ำ สปาเก็ตตี้" ภายหลังจึงเปลี่ยนชื่อเป็น "หม่ำ จ๊กม๊ก" โดยรับหน้าที่เป็นตัวประกอบรับมุกในคณะของ เทพ โพธิ์งาม จนหม่ำเริ่มดังเป็นที่รู้จัก เทพ โพธิ์งาม เห็นถึงโอกาสของหม่ำที่จะโด่งดังขึ้นในอนาคต จึงแนะนำให้หม่ำออกจากคณะ เพื่อไปตั้งคณะตลกเป็นของตนเอง โดยหม่ำได้ออกไปตั้งคณะให้ชื่อว่า คณะหม่ำ จ๊กมก โดยมีสมาชิกคนสำคัญ เช่น จาตุรงค์ มกจ๊ก , หยอง ลูกหยี , แวววาว จ๊กมก , อาแปะ จ๊กมก , เท่ง เถิดเทิง , โหน่ง ชะชะช่า เป็นต้น

ในปี พ.ศ. 2535 หม่ำ จ๊กมก ได้รับการชักชวนจาก ปัญญา นิรันดร์กุล ให้มาร่วมทำงานกับบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ โดยได้มาทำหน้าที่เป็นตัวปริศนาในรายการ ชิงร้อยชิงล้าน ในช่วงชิงบ๊วย ครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 และนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา หม่ำ จ๊กมก ก็ทำงานร่วมกับเวิร์คพอยท์มาตลอดจนถึงปัจจุบัน ผลงานสำคัญของหม่ำ ในฐานะพิธีกรรายการเกมโชว์ต่าง ๆ ของเวิร์คพอยท์ เช่น เวทีทอง, ระเบิดเถิดเทิง เป็นต้น นอกจากนี้ เคยมีผลงานเพลงแนวลูกทุ่งหมอลำมาแล้วด้วยโดยเพลงดังคือเพลง เฮดจังได๋ เพ็ชรทายเพ็ชรทายเพ็ชรทาย

ปัจจุบัน หม่ำ จ๊กมก เป็นเจ้าของ บริษัท บั้งไฟ ฟิล์ม จำกัด ผลิตภาพยนตร์ ได้แก่ ภาพยนตร์เรื่องบอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม และ แหยม ยโสธร ที่ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท และเป็นเจ้าของ บริษัท บั้งไฟ สตูดิโอ จำกัด ผลิตรายการโทรทัศน์ ได้แก่ รายการบิ๊กหม่ำ และละคร แฟกทอรีที่รัก พร้อมกับยังรับงานแสดงอยู่และทำธุรกิจร้านอาหารอีสาน

ด้านการศึกษา จบการศึกษานอกโรงเรียนพร้อมกับ ธีรเทพ วิโนทัย ที่เรียนสถาบันเดียวกัน และได้ปริญญาโท มหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากคณะมนุษยศาสตร์ สาขาสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยรามคำแหงและขณะนี้กำลังศึกษาปริญญาตรีในคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

ชีวิตส่วนตัว หม่ำได้จดทะเบียนสมรส กับ "มด" เอ็นดู วงศ์คำเหลา หลังใช้ชีวิตคู่มาถึง 22 ปี ก็เพิ่งจะได้จัดงานแต่งงานด้วยกันโดยที่ปัญญา นิรันดร์กุล เป็นผู้จัดให้ในฐานะลูกน้องที่ร่วมงานกันมานาน และมีบุตรด้วยกันสองคนคือ "เอ็ม" นางสาวบุษราคัม วงศ์คำเหลา สมรสกับ กรวัฒน์ สุวรัตนานนท์ (20 พฤศจิกายน 2559) และ "มิกซ์" นายเพทาย วงศ์คำเหลา

ล่าสุด หม่ำ จ๊กมก เป็นประธานสโมสรฟุตบอลยโสธร เอฟซี
S__37412868.jpg (161.29 KiB) เข้าดูแล้ว 974 ครั้ง
S__37412880.jpg
S__37412880.jpg (65 KiB) เข้าดูแล้ว 974 ครั้ง
cat 17.jpg
cat 17.jpg (220.24 KiB) เข้าดูแล้ว 974 ครั้ง
cat 19.jpg
cat 19.jpg (668.92 KiB) เข้าดูแล้ว 974 ครั้ง
cat 30.jpg
cat 30.jpg (171.04 KiB) เข้าดูแล้ว 974 ครั้ง
cat 34.jpg
cat 34.jpg (418.63 KiB) เข้าดูแล้ว 974 ครั้ง
cat 35.jpg
cat 35.jpg (651.07 KiB) เข้าดูแล้ว 974 ครั้ง
cat 36.jpg
cat 36.jpg (171.66 KiB) เข้าดูแล้ว 974 ครั้ง
ประเพณีบุญบั้งไฟ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า บุญเดือนหก จัดเป็นบุญประจําทุกปีในช่วง เดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะลงมือทํานา โดยมีจุดประสงค์สําคัญ คือ การขอฝน ชาวบ้านในภาคอีสาน ถือว่าบุญบั้งไฟเป็นพิธีกรรมที่มีความสําคัญมาก เพราะเชื่อว่าหากหมู่บ้านใดไม่จัดบุญบั้งไฟก็อาจก่อให้เกิดภัยพิบัติ เช่น โรคภัยไข้เจ็บ หรือทุพภิกขภัยแก่ชุมชนได้ <br /><br />สําหรับการจัดงานและการละเล่นในประเพณีบุญบั้งไฟนั้น ในวันสุกดิบ ซึ่งหมายถึงวันที่ชาวบ้านจะจัดขบวนแห่บั้งไฟไปยังศาลปู่ตาของหมู่บ้านเพื่อทำพิธีเซ่นสรวง มีการจุดบั้งไฟที่ใช้ในการเสี่ยงทาย เพื่อเสี่ยงทายดูความอุดมสมบูรณ์และความสําเร็จในการทํานาของปีนั้น จากนั้นก็พากันดื่มเหล้าฟ้อนรํารอบศาลปู่ตาเป็นที่สนุกสนาน แล้วก็แห่บั้งไฟไปยังสถานที่จัดงานหรือหมู่บ้านที่จัดงานบุญบั้งไฟ เพื่อจุดแข่งขันประกวดประขันกันต่อไป<br /><br />โดยสรุป ประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นงานประเพณีที่สร้างความสนุกสนาน และความสมัครสมานสามัคคี ของประชาชนในชุมชน เป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของชาวอีสานเอาไว้ให้สืบทอดถึงลูกหลาน และสืบสานประเพณีความเชื่อในเรื่องของการขอฝนของชาวอีสาน ที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานอีกทั้งยังเป็นการตักเตือนให้รู้ว่าธรรมชาติเป็นสิ่งไม่แน่นอน เกษตรกรไม่ควรประมาท
ประเพณีบุญบั้งไฟ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า บุญเดือนหก จัดเป็นบุญประจําทุกปีในช่วง เดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะลงมือทํานา โดยมีจุดประสงค์สําคัญ คือ การขอฝน ชาวบ้านในภาคอีสาน ถือว่าบุญบั้งไฟเป็นพิธีกรรมที่มีความสําคัญมาก เพราะเชื่อว่าหากหมู่บ้านใดไม่จัดบุญบั้งไฟก็อาจก่อให้เกิดภัยพิบัติ เช่น โรคภัยไข้เจ็บ หรือทุพภิกขภัยแก่ชุมชนได้

สําหรับการจัดงานและการละเล่นในประเพณีบุญบั้งไฟนั้น ในวันสุกดิบ ซึ่งหมายถึงวันที่ชาวบ้านจะจัดขบวนแห่บั้งไฟไปยังศาลปู่ตาของหมู่บ้านเพื่อทำพิธีเซ่นสรวง มีการจุดบั้งไฟที่ใช้ในการเสี่ยงทาย เพื่อเสี่ยงทายดูความอุดมสมบูรณ์และความสําเร็จในการทํานาของปีนั้น จากนั้นก็พากันดื่มเหล้าฟ้อนรํารอบศาลปู่ตาเป็นที่สนุกสนาน แล้วก็แห่บั้งไฟไปยังสถานที่จัดงานหรือหมู่บ้านที่จัดงานบุญบั้งไฟ เพื่อจุดแข่งขันประกวดประขันกันต่อไป

โดยสรุป ประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นงานประเพณีที่สร้างความสนุกสนาน และความสมัครสมานสามัคคี ของประชาชนในชุมชน เป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของชาวอีสานเอาไว้ให้สืบทอดถึงลูกหลาน และสืบสานประเพณีความเชื่อในเรื่องของการขอฝนของชาวอีสาน ที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานอีกทั้งยังเป็นการตักเตือนให้รู้ว่าธรรมชาติเป็นสิ่งไม่แน่นอน เกษตรกรไม่ควรประมาท
cat 28.jpg (303.34 KiB) เข้าดูแล้ว 974 ครั้ง
cat 23.jpg
cat 23.jpg (176.24 KiB) เข้าดูแล้ว 974 ครั้ง
cat 24.jpg
cat 24.jpg (169.85 KiB) เข้าดูแล้ว 974 ครั้ง
cat 25.jpg
cat 25.jpg (159.37 KiB) เข้าดูแล้ว 974 ครั้ง
cat 26.jpg
cat 26.jpg (176.3 KiB) เข้าดูแล้ว 974 ครั้ง
cat 27.jpg
cat 27.jpg (162.77 KiB) เข้าดูแล้ว 974 ครั้ง
cat 31.jpg
cat 31.jpg (495.42 KiB) เข้าดูแล้ว 974 ครั้ง
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (89).JPG
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (89).JPG (214.41 KiB) เข้าดูแล้ว 974 ครั้ง
แก้ไขล่าสุดโดย Deang-sarapee เมื่อ 15 มี.ค. 2023, 06:02, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4378
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุง - คุณป้า พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D อรุณสวัสดิ์ครับ เช้านี้เรามาต่อกัน ณ จุดพิพิธภัณฑ์พญาคันคาก เมื่อเราเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ต้องบอกว่า สุดยอดจริง ๆ มีเรื่องราวต่าง ๆ ให้ได้ศึกษาภายในตัวอาคาร เมื่อขึ้นไปอยู่ตรงบริเวณปากของพญาคันคาก เราสามารถมองวิวทิวทัศน์ได้เกือบ ๓๖๐ องศา จากที่ลงรถทัวร์ที่สถานีขนส่ง งงเต็ก ไม่รู้ทิศเทวดาพาหลงไปกราบพระอันดับแรกก่อนที่จะย้อนกลับไปหาร้านอาหาร แล้วไปผิดหวัง แล้วบังเอิญมาเจอรูปปั้นพญาคันคากจึงได้เป็นแนวทางให้มา เมื่อถึงก็ไม่ผิดหวังเพราะภายในอาคารได้แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองยโสธร เป็นความประมาทของผมเองที่มาครั้งนี้ไม่ได้ทำการบ้านเท่าท่ีควร หวังไปเจอคนใจดีเหมือน จ.กำแพงเพชรและ จ.กาฬสินธ์

ผมจะเตือนตนเองเสมอ ๆ ไม่ให้อารมณ์ขุ่นมัวเมื่อเจอเหตุการณ์ที่ไม่ถูกใจหรือไม่ประทับใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วมันก็จะดับไป(กฏแห่งพระไตรลักษณ์) อย่าไปอะไร ๆ กับมันปล่อยให้เป็นธรรมไป ก็อีกนั่นแหละกว่ามาถึงจุดนี้ได้ต้องใช้เวลาในการฝึกปฏิบัติ นานมากสุดท้ายไม่เหลือความพยายาม ขันติเป็นยอดแห่งธรรมะ(สำหรับผม) ผมเสียเวลาหาข้อมูลต่าง ๆ ภายในพิพิธภัณฑ์จนอิ่มใจจึงพากันลงจากพิพิธภัณฑ์ ไปต่อกันที่วัดใกล้ ๆ และแวะร้านอาหารไปหากาแฟดื่ม ที่ร้านนี้ชื่อร้านบ้านคุณย่า มีสาขาอยู่ในเมืองด้วยถืือเป็นโชคดีที่ผมไม่ต้องไปเสาะแสวงหาร้านเจให้เสียเวลาอีก ร้านบ้านคุณย่าสามารถทำอาหารเจได้...เยี่ยมครับ

ที่พิพิธภัณฑ์เขาเรียก วังพญาแถน ยังมีสวนพญาแถนอีก เราชมวัดเก็บภาพทานกาแฟเสร็จก็ออกเดินทางเพื่อไปยังสวนพญาแถนและเลยไปหาที่พัก ผ่านเรือนจำก่อนตรงไปสวนพญาแถน เราสองคนปั่นเข้าไปชมในสวนพญาแถนเก็บภาพได้เยอะพอสมควร สวนพญาแถนเป็นจุดพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองยโสฯ เข้าเมืองไปไม่นานเราก็เจอที่พักเยอะแยะเราเลือกที่ถูกใจที่สุดคือ เรือนพัก นัทณิชาเพลส ติดต่อห้องพักขอดูห้องพักสะอาดมีน้ำร้อนน้ำเย็น WiFi Free ราคาคืนละ ๔๐๐ บ. การตัดสินใจเรื่องที่พักเป็นหน้าที่ของคุณนายครับ ผมนั้นอย่างไรก็ได้ชอบที่สุดคือนอนเต้นท์ในป่าครับ :lol: :lol:

สนุกสุด ๆ เมื่อตัดสินใจเข้าพักเพราะหลังจากที่เราเก็บสัมภาระของเราเข้าไว้ในห้องเพื่อไปเที่ยวกันต่อ ผมเข้าไปตรวจดูฝักบัวปรากฏน้ำร้อนไม่ทำงาน เรียกว่างานเข้าคุณนายไม่ยอมต้องเปลี่ยนห้องใหม่ คราวนี้ต้องขึ้นชั้นบนเพราะข้างล่างเต็มหมด ๕๕ ขนของขึ้นชั้นบนอีกดีที่มีพนักงานช่วยขน เราออกจากโรงแรมไปเที่ยวชุมชนบ้านสิงห์เก่า ไปชมเสาหลักเมือง ๓ หลักแห่งเดียวในประเทศไทยครับ :) :)
ไฟล์แนบ
S__36929555.jpg
S__36929555.jpg (139.1 KiB) เข้าดูแล้ว 956 ครั้ง
cat 29.jpg
cat 29.jpg (173 KiB) เข้าดูแล้ว 956 ครั้ง
cat 20.jpg
cat 20.jpg (249.49 KiB) เข้าดูแล้ว 956 ครั้ง
cat 21.jpg
cat 21.jpg (246.88 KiB) เข้าดูแล้ว 956 ครั้ง
cat 22.jpg
cat 22.jpg (272.37 KiB) เข้าดูแล้ว 956 ครั้ง
cat 37.jpg
cat 37.jpg (735.51 KiB) เข้าดูแล้ว 956 ครั้ง
cat 42.jpg
cat 42.jpg (156.97 KiB) เข้าดูแล้ว 956 ครั้ง
cat 38.jpg
cat 38.jpg (670.21 KiB) เข้าดูแล้ว 956 ครั้ง
cat 39.jpg
cat 39.jpg (818.21 KiB) เข้าดูแล้ว 956 ครั้ง
cat 40.jpg
cat 40.jpg (289.94 KiB) เข้าดูแล้ว 956 ครั้ง
cat 41.jpg
cat 41.jpg (862.88 KiB) เข้าดูแล้ว 956 ครั้ง
สวนสาธารณะพญาแถน สถานที่ท่องเที่ยว ยโสธร มีพื้นที่ประมาณ 18 ไร่ 2 งาน กับอีก 57 ตารางวา ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองยโสธร ถนนแจ้งสนิท หรือริมทางหลวงมายเลข 23 สวนสาธารณะพญาแถนมีพื้นที่ ติดกับ อ่างเก็บน้ำลำทวน สถานที่แห่งนี้ ทางจังหวัดยโสธร ได้จัดให้เป็นสวนสาธารณะ สำหรับให้ประชาชน ได้พักผ่อนหย่อนใจ มีเวทีกลางแจ้งสำหรับ ไว้ให้แสดงกิจกรรมกลางแจ้ง มีสนามเด็กเล่น และสวนสุขภาพ ที่สำคัญที่ สวนสาธารณะพญาแถน ยังเป็นสถานที่ จัดงานประจำปีของจังหวัดยโสธร ซึ่งก็คือ การจัดงานบุญบั้งไฟ ที่ชาวบ้าน มีความเชื่อว่าเป็นการถวายพญาแถน เพื่อฝนฟ้าจะได้ตกถูกต้องตามฤดูกาล นอกจากจะใช้เป็นที่จัดงานบุญบั้งไฟแล้ว มีงานแข่งเรือสั้น และงานเทศกาล วันสงกรานต์ ของทางจังหวัดอีกด้วย<br /><br />สวนสาธารณะพญาแถน ลักษณะโดยทั่วไปของ สวนสาธารณะพญาแถน บริเวณรอบๆ สวน ประกอบไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับ ต่างๆ มากมายหลายชนิด อีกทั้งยังมีลำน้ำเล็กๆ ไหลล้อมรอบพื้นที่นับได้ว่าเป็น สถานที่ท่องเที่ยว ยโสธร อีกสถานที่หนึ่ง เป็นสวนสาธารณะตั้งอยู่ในบริเวณ เขตเทศบาลเมืองยโสธร นักท่องเที่ยว ตลอดจนประชาชน นิยมมานั่งพักผ่อนหย่อนใจ เนื่องจาก บริเวณโดยรอบของ สวนสาธารณะพญาแถน มีความร่มรื่น เหมาะสำหรับ พักผ่อนหย่อนใจ ที่สำคัญ สวนสาธารณะพญาแถน ยังเคยได้รับรางวัล สวนสาธารณะดีเด่น ประจำภาค 3 ของสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในปีพุทธศักราช 2525 อีกด้วย<br /><br />จากข้อมูลของทุกปีที่ผ่านมานักท่องเที่ยวที่ได้มาเที่ยวชมประเพณีบุญบั้งไฟปีละหนึ่งครั้ง แล้วนักท่องเที่ยวก็จะเดินทางกลับ ส่วนราชการ เอกชนและประชาชนจึงคิดว่าควรจะได้มีแหล่งท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับบุญบั้งไฟด้วย จึงร่วมกันก่อสร้าง “วิมานพญาแถน อนุสรณ์สถานตำนานบุญบั้งไฟ” ริมฝั่งลำห้วยทวนที่ต่อเชื่อมกับสวนสาธารณะพญาแถน โดยยึดถือตามความเชื่อเรื่อง “พญาคันคาก รบกับพญาแถน” จากตำนานบุญบั้งไฟ “วิมานพญาแถน” จะประกอบด้วยอาคารพญา คันคาก อาคารพญานาค ตลอดจนจะจัดสร้าง อนุสาวรีย์ ของ “พระสุนทรราชวงศา” ผู้สร้างเมืองยโสธรและเป็นเจ้าเมืองคนแรก อนุสรณ์สถานแห่งนี้จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นรวมทั้งเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมประจำท้องถิ่น อีกทั้งยังสามารถรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวต่อปีได้มากขึ้นอีกด้วย (ขอขอบคุณ เวปป์ Amazing ไทยเท่)
สวนสาธารณะพญาแถน สถานที่ท่องเที่ยว ยโสธร มีพื้นที่ประมาณ 18 ไร่ 2 งาน กับอีก 57 ตารางวา ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองยโสธร ถนนแจ้งสนิท หรือริมทางหลวงมายเลข 23 สวนสาธารณะพญาแถนมีพื้นที่ ติดกับ อ่างเก็บน้ำลำทวน สถานที่แห่งนี้ ทางจังหวัดยโสธร ได้จัดให้เป็นสวนสาธารณะ สำหรับให้ประชาชน ได้พักผ่อนหย่อนใจ มีเวทีกลางแจ้งสำหรับ ไว้ให้แสดงกิจกรรมกลางแจ้ง มีสนามเด็กเล่น และสวนสุขภาพ ที่สำคัญที่ สวนสาธารณะพญาแถน ยังเป็นสถานที่ จัดงานประจำปีของจังหวัดยโสธร ซึ่งก็คือ การจัดงานบุญบั้งไฟ ที่ชาวบ้าน มีความเชื่อว่าเป็นการถวายพญาแถน เพื่อฝนฟ้าจะได้ตกถูกต้องตามฤดูกาล นอกจากจะใช้เป็นที่จัดงานบุญบั้งไฟแล้ว มีงานแข่งเรือสั้น และงานเทศกาล วันสงกรานต์ ของทางจังหวัดอีกด้วย

สวนสาธารณะพญาแถน ลักษณะโดยทั่วไปของ สวนสาธารณะพญาแถน บริเวณรอบๆ สวน ประกอบไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับ ต่างๆ มากมายหลายชนิด อีกทั้งยังมีลำน้ำเล็กๆ ไหลล้อมรอบพื้นที่นับได้ว่าเป็น สถานที่ท่องเที่ยว ยโสธร อีกสถานที่หนึ่ง เป็นสวนสาธารณะตั้งอยู่ในบริเวณ เขตเทศบาลเมืองยโสธร นักท่องเที่ยว ตลอดจนประชาชน นิยมมานั่งพักผ่อนหย่อนใจ เนื่องจาก บริเวณโดยรอบของ สวนสาธารณะพญาแถน มีความร่มรื่น เหมาะสำหรับ พักผ่อนหย่อนใจ ที่สำคัญ สวนสาธารณะพญาแถน ยังเคยได้รับรางวัล สวนสาธารณะดีเด่น ประจำภาค 3 ของสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในปีพุทธศักราช 2525 อีกด้วย

จากข้อมูลของทุกปีที่ผ่านมานักท่องเที่ยวที่ได้มาเที่ยวชมประเพณีบุญบั้งไฟปีละหนึ่งครั้ง แล้วนักท่องเที่ยวก็จะเดินทางกลับ ส่วนราชการ เอกชนและประชาชนจึงคิดว่าควรจะได้มีแหล่งท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับบุญบั้งไฟด้วย จึงร่วมกันก่อสร้าง “วิมานพญาแถน อนุสรณ์สถานตำนานบุญบั้งไฟ” ริมฝั่งลำห้วยทวนที่ต่อเชื่อมกับสวนสาธารณะพญาแถน โดยยึดถือตามความเชื่อเรื่อง “พญาคันคาก รบกับพญาแถน” จากตำนานบุญบั้งไฟ “วิมานพญาแถน” จะประกอบด้วยอาคารพญา คันคาก อาคารพญานาค ตลอดจนจะจัดสร้าง อนุสาวรีย์ ของ “พระสุนทรราชวงศา” ผู้สร้างเมืองยโสธรและเป็นเจ้าเมืองคนแรก อนุสรณ์สถานแห่งนี้จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นรวมทั้งเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมประจำท้องถิ่น อีกทั้งยังสามารถรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวต่อปีได้มากขึ้นอีกด้วย (ขอขอบคุณ เวปป์ Amazing ไทยเท่)
cat 43.jpg (798.11 KiB) เข้าดูแล้ว 956 ครั้ง
พูดถึงเรื่องโรงแรมที่พักเราคนไทย(ไม่รู้นะ)จะเจ็บช้ำกันพอสมควร ค่าที่พักแพงเวอร์ครับ ผมอยากจะให้ภาครัฐช่วยเข้าไปบริหารราคาห้องพักในโรงแรมสำหรับคนไทยควรจะเป็นราคาที่พอสมควรไม่ใช่คิดราคาเหมือนชาวฝรั่งต่างชาติ พอเทศกาล Low season ร้องแลกแหกกระเฌอ รณรงค์ให้เที่ยวเมืองไทยยังไม่พอโรงแรม ๕ ดาวยังลดราคาให้อีกมันเลยเป็นคำถาม คาใจ ทำไม ????
พูดถึงเรื่องโรงแรมที่พักเราคนไทย(ไม่รู้นะ)จะเจ็บช้ำกันพอสมควร ค่าที่พักแพงเวอร์ครับ ผมอยากจะให้ภาครัฐช่วยเข้าไปบริหารราคาห้องพักในโรงแรมสำหรับคนไทยควรจะเป็นราคาที่พอสมควรไม่ใช่คิดราคาเหมือนชาวฝรั่งต่างชาติ พอเทศกาล Low season ร้องแลกแหกกระเฌอ รณรงค์ให้เที่ยวเมืองไทยยังไม่พอโรงแรม ๕ ดาวยังลดราคาให้อีกมันเลยเป็นคำถาม คาใจ ทำไม ????
cat 44.jpg (194.84 KiB) เข้าดูแล้ว 956 ครั้ง
cat 45.jpg
cat 45.jpg (153.32 KiB) เข้าดูแล้ว 956 ครั้ง
เป็นชุมชนโบราณอายุ 200 ปีที่ยังคงความโบราณทั้งตัวอาคารและ วัฒนธรรมวิถีชีวิตของผู้คนเป็นชุมชนที่มีความสัมพันธ์กับ แม่น้ำชี เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ห้ามพลาดในการท่องเที่ยวภาคอีสานของอำเภอเมืองจังหวัดยโสธร  บ้านสิงห์ท่า  ตั้งอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดยโสธร เป็นย่านการค้าตั้งแต่สมัยโบราณและได้เจริญขึ้นเมื่อสมัยฝรั่งเศสเข้ามามี อิทธิพลมาก ในภูมิภาคนี้ในช่วงนั้นเองผู้ที่มีฐานะดี มีการนำเข้าช่างฝีมือจากเวียดนามจำนวนมากเข้ามาสร้างบ้านเรือน ทำให้บ้านเรือนมีรูปแบบ ศิลปกรรมแบบจีนผสมยุโรปที่งดงาม ปัจจุบันยังคงเหลือให้เห็นบนสองข้างทาง ถนนศรีสุนทร นครทุม อุทัยรามฤทธิ์ และวิทยะธำรง บางแห่งยังคงความสมบูรณ์อยู่มาก บอกถึงบรรยากาศของความเป็นอดีต ขณะที่อีกหลายแห่งถูกปล่อยให้รกร้าง ขาดคนอาศัย สร้างเสน่ห์ให้บ้านสิงห์ท่าสวยงามมาจนทุกวันนี้  <br /><br />ชาวบ้านในชุมชนล้วนถ้อยทีถ้อยอาศัย อยู่อย่างเรียบง่ายและสงบ มีตึกแถวโบราณงดงามด้วยสถาปัตยกรรมแบบชิโนโปรตุกีสเป็น ศิลปะแบบตะวันตกผสมกับจีน  เป็นกลุ่มอาคารกึ่งไม้กึ่งปูนประตูของบ้านส่วนใหญ่ในย่านนี้เป็นบานเฟี้ยม  สร้างในยุคสมัยเดียวกับ ที่จังหวัดภูเก็ต แต่ตึกแถวเก่าแก่อาจไม่ได้มีให้ชมเยอะเหมือนกับภูเก็ต ตึกที่โดดเด่น คือ ตึกของร้านกาแฟ ที่ตั้งอยู่ติดกับวัดสิงห์ท่า ตรงถนนศรีสุนทร เป็นตึกสไตล์ชิโนโปรตุกิส  สีชมพูอ่อนและสีส้มพาสเทล  ตกแต่งด้วยซุ้มโค้งแบบแบนและเจาะ ช่องแสงด้วย บานเกล็ดไม้ ซึ่งเป็นลักษณะแท้ๆของซุ้มประตู หน้าต่างที่พบเสมอในอาคารแบบชิโน-โปรตุกีส ไม่ลืมที่จะซื้อข้าวจี่ที่มองแล้วอย่างไรเสียต้องกินให้ได้ เขาปั่นเป็นแผ่นกลม ๆ น่ารัก ๆ ชุบไข่ก่อนจะปิ้งย่าง ราคาอันละ ๕ บ.ผมล่อซะ ๓ อัน ๕๕ อร่อยมาก ไม่เคยลิ้มรสข้าวจี่ที่ไหนอร่อยแบบนี้ อย่าลืมครับใครไปยโส ฯ ต้องข้าวจี่นะครับ
เป็นชุมชนโบราณอายุ 200 ปีที่ยังคงความโบราณทั้งตัวอาคารและ วัฒนธรรมวิถีชีวิตของผู้คนเป็นชุมชนที่มีความสัมพันธ์กับ แม่น้ำชี เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ห้ามพลาดในการท่องเที่ยวภาคอีสานของอำเภอเมืองจังหวัดยโสธร บ้านสิงห์ท่า ตั้งอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดยโสธร เป็นย่านการค้าตั้งแต่สมัยโบราณและได้เจริญขึ้นเมื่อสมัยฝรั่งเศสเข้ามามี อิทธิพลมาก ในภูมิภาคนี้ในช่วงนั้นเองผู้ที่มีฐานะดี มีการนำเข้าช่างฝีมือจากเวียดนามจำนวนมากเข้ามาสร้างบ้านเรือน ทำให้บ้านเรือนมีรูปแบบ ศิลปกรรมแบบจีนผสมยุโรปที่งดงาม ปัจจุบันยังคงเหลือให้เห็นบนสองข้างทาง ถนนศรีสุนทร นครทุม อุทัยรามฤทธิ์ และวิทยะธำรง บางแห่งยังคงความสมบูรณ์อยู่มาก บอกถึงบรรยากาศของความเป็นอดีต ขณะที่อีกหลายแห่งถูกปล่อยให้รกร้าง ขาดคนอาศัย สร้างเสน่ห์ให้บ้านสิงห์ท่าสวยงามมาจนทุกวันนี้

ชาวบ้านในชุมชนล้วนถ้อยทีถ้อยอาศัย อยู่อย่างเรียบง่ายและสงบ มีตึกแถวโบราณงดงามด้วยสถาปัตยกรรมแบบชิโนโปรตุกีสเป็น ศิลปะแบบตะวันตกผสมกับจีน เป็นกลุ่มอาคารกึ่งไม้กึ่งปูนประตูของบ้านส่วนใหญ่ในย่านนี้เป็นบานเฟี้ยม สร้างในยุคสมัยเดียวกับ ที่จังหวัดภูเก็ต แต่ตึกแถวเก่าแก่อาจไม่ได้มีให้ชมเยอะเหมือนกับภูเก็ต ตึกที่โดดเด่น คือ ตึกของร้านกาแฟ ที่ตั้งอยู่ติดกับวัดสิงห์ท่า ตรงถนนศรีสุนทร เป็นตึกสไตล์ชิโนโปรตุกิส สีชมพูอ่อนและสีส้มพาสเทล ตกแต่งด้วยซุ้มโค้งแบบแบนและเจาะ ช่องแสงด้วย บานเกล็ดไม้ ซึ่งเป็นลักษณะแท้ๆของซุ้มประตู หน้าต่างที่พบเสมอในอาคารแบบชิโน-โปรตุกีส ไม่ลืมที่จะซื้อข้าวจี่ที่มองแล้วอย่างไรเสียต้องกินให้ได้ เขาปั่นเป็นแผ่นกลม ๆ น่ารัก ๆ ชุบไข่ก่อนจะปิ้งย่าง ราคาอันละ ๕ บ.ผมล่อซะ ๓ อัน ๕๕ อร่อยมาก ไม่เคยลิ้มรสข้าวจี่ที่ไหนอร่อยแบบนี้ อย่าลืมครับใครไปยโส ฯ ต้องข้าวจี่นะครับ
cat 46.jpg (738.17 KiB) เข้าดูแล้ว 956 ครั้ง
cat 47.jpg
cat 47.jpg (721.03 KiB) เข้าดูแล้ว 956 ครั้ง
ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองยโสธร ตั้งอยู่ย่านเมืองเก่าบ้านสิงห์ท่า ซึ่งเป็นย่านการค้าที่สำคัญในอดีตของเมืองยโสธร ศาลหลักเมืองแห่งนี้ เป็นที่เลื่อมใสและเคารพนับถือ ของพ่อค้าชาวไทยเชื้อสายจีนชาวยโสธรที่อาศัยอยู่ในย่านการค้าแห่งนี้  มีความโดดเด่นในเรื่องของ สถาปัตยกรรม โดยผสมผสานศิลปะของ 3 วัฒนธรรม คือ จีน ไทย ลาว โดยตัวอาคารก่อสร้างแบบสถาปัตยกรรมจีน มีภาพเขียน ฝาผนังหินขัดเป็นลวดลายจีน และมีรูปปั้นมังกรขนาดใหญ่ 2 ตัว อยู่หน้าทางเข้า และมีแท่นบูชาฟ้าดินตามความเชื่อของชาวจีน ตั้งอยู่ที่ด้านหน้าของตัวอาคาร ส่วนหลังคาของอาคารเป็นทรงจั่ว มีช่อฟ้า ใบระกา แบบสถาปัตยกรรมไทย และยอดอาคารมีพระธาตุ แบบสถาปัตยกรรมลาวประดิษฐานอยู่  นอกจาก ความพิเศษของสถาปัตยกรรมแล้ว สิ่งที่พิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ยโสธร มีเสาหลักเมืองถึง 3 เสา  ที่เดียวในประเทศไทย เสาต้นใหญ่ตรงกลางคือเสาหลักเมือง ส่วนเสาที่อยู่ซ้ายขวา คือ ที่สิงสถิตย์ของผี พระละงุมและผีพระละงำ ผู้ปกปักษ์รักษาหลักเมืองแห่งนี้  โดยชาวเมืองยโสธร ได้จัดให้มีการสมโภชเจ้าพ่อหลักเมืองทุกปี โดยมี พิธีสักการะเจ้าพ่อหลักเมือง และทำพิธีไปส่งเจ้าท่าเจ้าทุ่งหรือเจ้าโต่งทุกๆ ปี มีการแสดงมหรสภ และอุปรากรจีน โดยพิธีสมโภช จะจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน และมีพิธีสรงน้ำทุกปีในช่วงเดือน 5 ตามที่ทางเทศบาลกำหนดตลอดมาจนปัจจุบันนี้
ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองยโสธร ตั้งอยู่ย่านเมืองเก่าบ้านสิงห์ท่า ซึ่งเป็นย่านการค้าที่สำคัญในอดีตของเมืองยโสธร ศาลหลักเมืองแห่งนี้ เป็นที่เลื่อมใสและเคารพนับถือ ของพ่อค้าชาวไทยเชื้อสายจีนชาวยโสธรที่อาศัยอยู่ในย่านการค้าแห่งนี้ มีความโดดเด่นในเรื่องของ สถาปัตยกรรม โดยผสมผสานศิลปะของ 3 วัฒนธรรม คือ จีน ไทย ลาว โดยตัวอาคารก่อสร้างแบบสถาปัตยกรรมจีน มีภาพเขียน ฝาผนังหินขัดเป็นลวดลายจีน และมีรูปปั้นมังกรขนาดใหญ่ 2 ตัว อยู่หน้าทางเข้า และมีแท่นบูชาฟ้าดินตามความเชื่อของชาวจีน ตั้งอยู่ที่ด้านหน้าของตัวอาคาร ส่วนหลังคาของอาคารเป็นทรงจั่ว มีช่อฟ้า ใบระกา แบบสถาปัตยกรรมไทย และยอดอาคารมีพระธาตุ แบบสถาปัตยกรรมลาวประดิษฐานอยู่ นอกจาก ความพิเศษของสถาปัตยกรรมแล้ว สิ่งที่พิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ยโสธร มีเสาหลักเมืองถึง 3 เสา ที่เดียวในประเทศไทย เสาต้นใหญ่ตรงกลางคือเสาหลักเมือง ส่วนเสาที่อยู่ซ้ายขวา คือ ที่สิงสถิตย์ของผี พระละงุมและผีพระละงำ ผู้ปกปักษ์รักษาหลักเมืองแห่งนี้ โดยชาวเมืองยโสธร ได้จัดให้มีการสมโภชเจ้าพ่อหลักเมืองทุกปี โดยมี พิธีสักการะเจ้าพ่อหลักเมือง และทำพิธีไปส่งเจ้าท่าเจ้าทุ่งหรือเจ้าโต่งทุกๆ ปี มีการแสดงมหรสภ และอุปรากรจีน โดยพิธีสมโภช จะจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน และมีพิธีสรงน้ำทุกปีในช่วงเดือน 5 ตามที่ทางเทศบาลกำหนดตลอดมาจนปัจจุบันนี้
cat 48.jpg (349.64 KiB) เข้าดูแล้ว 956 ครั้ง
cat 49.jpg
cat 49.jpg (509.3 KiB) เข้าดูแล้ว 956 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4378
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุง - คุณป้า พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D อรุณสวัสดิื์ครับเช้าวันนี้ผมก็จะพาท่านไปเที่ยวต่อกันนะครับ เมื่อวานผมพาท่านปั่นไปชมเมืองสิงห์ท่า ซึ่งเป็นชุมชนเก่าแก่ของยโสธร ความรู้สึกแท้จริงทุกท่านต้องไปสัมผัสของจริงครับ ถึงจะซาบซ่าลึกซึ้ง สำหรับผมบอกได้คำเดียวว่า "เยี่ยม" ให้ความสุขกับความคุ้มค่ามาก ๆ โดยเฉพาะศาลหลักเมืองจุดนี้เป็นจุดเปลี่ยนอารมณ์ได้ชงัดนัก

ออกจากเมืองเก่าเราสองคนปั่นออกไปชมสถานที่ ๆ เขาจะจัดงาน วันรำลึกถึงการสถาปนาเมืองยโสธรซึ่งงานจะเริ่มแต่ ๑-๗ มีนาคม เหลือเวลาอีก อีก ๔ วันไม่รู้เราจะได้มีโอกาสมาชมบรรยากาศหรือไม่? ภายในสถานที่จัดงานเริ่มมีการสร้างร้านกันอย่างหนาตา (งานคงสนุก) ได้เห็นอนุเสาวรีย์เจ้าเมืองตั้งเด่นเป็นสง่าให้ชาวบ้านมาสักการะบูชา ด้านหลังติดแม่น้ำมีวัดหลวงพ่อ พวง องค์ที่ดังและเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของคนยโส ฯ เราไม่พลาดครับได้ไปกราบสักการะเช่นกัน ตะวันตกดินที่ลำน้ำเป็นภาพที่สวยงามยิ่ง ออกจากจุดนี้เราปั่นกลับเพื่อไปยังตลาดโต้รุ่งซึ่งอยู่ตรงหน้าที่ทำการเทศบาลเมือง นัยว่าจะหาอะไรทานมื้อเย็นก่อนนอน ปรากฏว่าหมดสิทธิ์ (ไม่มีสักร้าน) เราก็เลยกลับที่พักโชคดีปั่นผ่านร้านบ้านคุณย่า ที่เมือตอนกลางวันเราแวะไปดื่มกาแฟตรงวังพญาแถน เป็นอันว่าไม่ต้องไปหาร้านไหนอีกแล้ว จากนั้นเราก็กลับมาพักผ่อน

ที่โรงแรมคืนนั้นเราได้ยินเสียงสวดมนต์คิดว่าอยู่ใกล้วัด แต่ไม่ใช่ปรากฏเป็นห้องติดกับของเราเด็ก ๆ นักกีฬาไม่ทราบมาจากไหนก่อนนอนเขาสวดมนต์ร่วมกัน เราสองคนก็ถือโอกาสสวดมนต์ในห้องของเราด้วยเลย ช่วงเช้าวันที่ ๒๖ กพ.เป็นวันที่ ๒ ของเราในการมา จ.ยโสธร ซึ่งเช้าวันนั้นเราตกลงกันว่าจะเดินทางไปชมพระธาตุกล่องข้าวน้อย แล้วจะเลยไปทาง อ.คำเขื่อนแก้ว อ.มหาชนะชัย สำหรับพระธาตุกล่องข้าวน้อย สมัยเด็ก ๆ เราได้รับรู้จากครูบาอาจารย์ที่สอนเรา เป็นความใฝ่ฝันเหลือเกินที่จะได้มาเยี่ยมชม แต่ไม่ทราบว่ามีอะไรมาปิดบังทำให้ลืมเสียสนิทใจ ไม่เคยคิดและไม่เคยแวะแม้สักครั้งเดียวเรียกว่าถ้าไม่มาครั้งนี้ ชาตินี้คงไม่ได้เห็นแน่นอน

:idea: :idea: อยากจะฝากทุกท่านให้อบรมสั่งสอนลูก ๆ หลาน ๆ ว่าการทำสิ่งไม่ดีกับ พ่อ - แม่ บาปนั้นทันตาเห็นในชาตินี้แน่นอน ผมเมื่อครั้งเป็นเด็กและช่วงวัยรุ่น ได้ทำกรรมไม่ดีทำให้แม่และพ่อต้องน้ำตาร่วง ในที่สุดเมื่อผมมีลูก มีหลายครั้งหลายคราที่ผมต้องแอบน้ำตาร่วง จากการกระทำของลูก โชคดีที่ผมกลับเนื้อกลับตัวหันหน้าเข้าหาธรรมะ ปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งยวดสามารถแก้ไขวิกฤตการณ์ต่าง ๆ จากร้ายให้กลายเป็นดี วันนี้ เวลานี้ ผมสำนึกในพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่พ่อ-แม่ มีให้กับเรา และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงเมตตาต่อชาวโลก หาทางออกให้กับชีวิตได้ ใครที่มีความทุกข์ใจกับเรื่องลูก ๆ (หรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่) เชื่อผมครับ ขอให้ท่านหันหน้าเข้าวัด สวดมนต์ปฏิบัติธรรมแผ่เมตตาให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย (รวมทั้งลูก) ไม่ช้าครับ สามารถเปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจให้เขากลับมาดีได้ ยืนยัน-ฟันธง ครับ :lol: :lol:
ไฟล์แนบ
cat 50.jpg
cat 50.jpg (283.47 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
cat 51.jpg
cat 51.jpg (674.09 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
cat 52.jpg
cat 52.jpg (605.99 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
cat 53.jpg
cat 53.jpg (547.13 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
cat 54.jpg
cat 54.jpg (561.59 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
cat 55.jpg
cat 55.jpg (474.14 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
cat 56.jpg
cat 56.jpg (641.98 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
เดินเที่ยวเสาะหาร้านเหมาะ ๆ ที่จะนั่งสั่งอาหารมาทาน ปรากฏว่าร้านที่สามารถทำ มังสวิรัติให้ไม่มีเลย เป็นอันว่าอดกัน
เดินเที่ยวเสาะหาร้านเหมาะ ๆ ที่จะนั่งสั่งอาหารมาทาน ปรากฏว่าร้านที่สามารถทำ มังสวิรัติให้ไม่มีเลย เป็นอันว่าอดกัน
cat 57.jpg (619.26 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
ปั่นกลับโรงแรมที่พักผ่านร้านบ้านคุณย่า ถือเป็นโชคดีของเราอีก นึกไว้แล้วแต่ช่วงกลางวันที่เราอยู่วังพญาแถนและแวะไปหากาแฟดื่มได้สอบถาม เด็ก ๆ ของร้านอธิบายให้เราฟังว่ามีร้านอยู่ในเมืองอีกร้านหนึ่งสามารถสั่ง เจ มาทานได้ และเราก็หมายตาไว้แล้วว่าต้องฝากท้องไว้ที่ร้านนี้ ไม่นึกว่าจะผ่านมาเห็นจนได้ ก็ไม่ผิดหวังผมสั่งผัดไทยเจ ทำได้อร่อยมาก
ปั่นกลับโรงแรมที่พักผ่านร้านบ้านคุณย่า ถือเป็นโชคดีของเราอีก นึกไว้แล้วแต่ช่วงกลางวันที่เราอยู่วังพญาแถนและแวะไปหากาแฟดื่มได้สอบถาม เด็ก ๆ ของร้านอธิบายให้เราฟังว่ามีร้านอยู่ในเมืองอีกร้านหนึ่งสามารถสั่ง เจ มาทานได้ และเราก็หมายตาไว้แล้วว่าต้องฝากท้องไว้ที่ร้านนี้ ไม่นึกว่าจะผ่านมาเห็นจนได้ ก็ไม่ผิดหวังผมสั่งผัดไทยเจ ทำได้อร่อยมาก
cat 58.jpg (195.52 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
cat 59.jpg
cat 59.jpg (612.31 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
cat 60.jpg
cat 60.jpg (386.88 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
cat 61.jpg
cat 61.jpg (594.16 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
เรื่อง &quot;วิบากกรรมของพระโมคคัลลานะ&quot;<br /><br />๐ ปิตุฆาตมาตุ ฆ่าบิดามารดาเป็นอนันตริยกรรม<br /><br />เรื่องพระมหาโมคคัลลานเถระ มรณภาพโดยถูกโจร ๕๐๐ ทุบจนร่างกายท่านแหลกเหลว เพราะท่านเคยทำร้าย​บิดามารดาจนเสียชีวิตในอดีตชาติ(ปิตุฆาตมาตุฆาต เป็นอนันตริยกรรม) คนที่เป็นพระอรหันต์แล้ว อาจจะมีเศษของกรรมเหลืออยู่ และจะส่งผลให้ต้องเสวยผลของเศษกรรมนั้น อย่างเช่นในกรณีของพระมหาโมคคัลลานะ พระอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธองค์ แม้ท่านจะมีฤทธิ์มากขนาดไหน แต่ก็ยังต้องพ่ายแพ้แรงแห่งวิกรรมอยู่ดี กรรมประเภทอนันตริยกรรมนี้หนักมากที่สุด<br /><br />กฎแห่งกรรม เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อพระศาสดา ประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภพระมหาโมคคัลลานเถระ ตรัสพระธรรมเทศนาที่ขึ้นต้นด้วยบาทพระคาถานี้ว่า โย ทัณเฑน อทัณเฑสุ เป็นต้น<br /><br />ในอรรถกถาพระธรรมบทเล่าว่า ในสมัยหนึ่ง พวกนิครนถ์ประชุมกันวางแผนสังหารพระมหาโมคคัลลานเถระ เพราะคิดว่าเมื่อกำจัดพระเถระรูปนี้เสียแล้ว ก็จะทำให้ลาภสักการะของพระศาสดาสิ้นสุดลง ด้วยว่าพระเถระท่องไปในเทวโลก สอบถามกรรมที่พวกเทวดกระทำแล้วก็กลับมาบอกกับพวกมนุษย์ว่า ทวยเทพทำกรรมอย่างนี้ ๆแล้วก็ได้ไปเกิ ดในสวรรค์<br /><br />และพระเถระก็ยังได้ไปท่องในนรก และได้ถามพวกสัตว์นรกถึงกรรมที่พวกตนทำไว้แล้วกลับมาบอกพวกมนุษย์ว่า สัตว์นรกทำกรรมอย่างนี้ๆไว้จึงได้ไปเกิดและเสวยทุกข์ในนรกอย่างนี้ ๆ พวกมนุษย์ได้ฟังถ้อยคำของพระเถระนั้นแล้ว ก็ได้นำลาภและสักการะเป็นอันมากมาถวายพระเถระ ถ้าพวกเราสังหารพระเถระนั้นได้ ลาภและสักการะนั้นก็จะเกิดแก่พวกเรา<br /><br />ดังนั้นพวกนิครนถ์จึงได้ไปว่าจ้างพวกโจรไปสังหารพระเถระซึ่งในขณะนั้นพำนักอยู่ที่กาฬสิลา ใกล้กรุงราชคฤห์ แต่ด้วยเหตุที่พระเถระมีฤทธิ์มาก เมื่อถูกพวกโจรเข้าล้อมวัด ในวันแรกพระเถระได้ใช้กำลังแห่งฤทธิ์หลบหนีออกมาผ่านทางช่องลูกกุญแจ ในวันที่สองได้หลบหนีออกมาทางหลังคากุฏิ<br /><br />พระเถระสามารถหลบหนีพวกโจรได้ในช่วงสองเดือนแรก พอถึงเดือนที่สามพระเถระระลึกได้ว่า ท่านเคยประกอบกรรมทำชั่วมาในชาติหนึ่ง ท่านจึงไม่ยอมใช้ฤทธิ์ทำการหลบหนีอีกต่อไป ท่านจึงถูกโจรจับและถูกทุบตีจนกระทั่งกระดูกแตกละเอียด หลังจากนั้นพวกโจรได้นำร่างของท่านไปทิ้งไว้ที่พุ่มไม้เพราะเข้าใจว่าท่านเสียชีวิตแล้ว<br /><br />แต่ท่านยังไม่เสียชีวิต และคิดว่า จะไปเฝ้าพระศาสดาเสียก่อนแล้วจักปรินิพพาน จึงได้ใช้กำลังแห่งฌานประสานกระดูกให้กลับแข็งแรง แล้วไปเหาะสู่สำนักของพระศาสดา ถวายบังคมแล้วกราบทูลอำลา พระศาสดาได้ตรัสบอกให้เถระแสดงธรรมให้พระองค์สดับเสียก่อน พระเถระก็ได้กระทำตามพุทธฎีกา จากนั้นได้ถวายบังคมลา เหาะไปที่ดงกาฬสิลา และได้ปรินิพพาน ณ ที่นั้น<br /><br />เมื่อข่าวการเสียชีวิตของพระเถระได้กระจายไปทั่วชมพูทวีป พระเจ้าอชาตศัตรูก็ได้ใช้สายสืบออกไปสืบข่าวเพื่อตามจับกุมคนร้าย และในที่สุดโจรเหล่านั้นก็ถูกจับกุมและถูกประหารชีวิตด้วยการถูกเผาด้วยไฟ<br /><br />ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า น่าสังเวชจัง พระมหาโมคคัลลานะ มรณภาพแบบนี้ไม่สมควร พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะมรณภาพ ไม่สมควรในชาตินี้ก็จริง แต่เธอถึงมรณภาพ สมควรแก่กรรมที่เธอกระทำไว้ในกาลก่อน”<br /><br />เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลถามถึงบุรพกรรมในอดีตของพระเถระ ได้ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งพระเถระเคยเกิดเป็นชายหนุ่มและได้สังหารบิดามารดาที่ตาบอด ในตอนแรกนั้น ชายหนุ่มผู้นี้ก็เลี้ยงดูบิดามารดาที่ตาบอดเป็นอย่างดี แต่หลังจากแต่งงานแล้วถูกภรรยายุแหย่แนะนำให้ฆ่าบุพพการีตาบอดทั้งสองคนเสีย ชายหนุ่มจึงได้พาบิดามารดาขึ้นเกวียนเข้าไปในป่า แล้วทำการทุบตีบิดามารดาจนถึงแก่ความตายโดยโยนบาปว่าเป็นการกระทำของพวกโจร<br /><br />ด้วยผลกรรมนั้น ทำให้ชายหนุ่มไปตกนรกอยู่หลายแสนปี ด้วยเศษของวิบาก จึงถูกทุบตีกระดูกแตกละเอียด เสียชีวิตแบบนี้อยู่ถึง ๑๐๐ ชาติ และเมื่อมาเกิดเป็นพระมหาโมคคัลลานะ แม้ว่าจะเป็นพระอรหันต์ และเป็นผู้มีฤทธิ์มาก ก็ยังไม่สามารถหลบหนีจากเงื้อมมือของกรรมไปได้<br /><br />ในตอนท้ายของพุทธดำรัสมีข้อความระบุถึง กฎแห่งกรรม ที่ทุกคนซึ่งมีส่วนร่วมย่อมได้รับกันทั่วหน้าว่า “ภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะ ทำกรรมประมาณเท่านี้ ไหม้ในนรกหลายแสนปี ด้วยวิบากที่ยังเหลือ จึงถูกทุบตีอย่างนั้นนั่นแล ละเอียดหมด ถึงมรณะ สิ้น ๑๐๐ อัตภาพ โมคคัลลานะได้มรณะอย่างนี้ ก็พอสมแก่กรรมของตนเองแท้ พวกเดียรถีย์ ๕๐๐ กับโจร ๕๐๐ ประทุษร้ายต่อบุตรของเราผู้ไม่ประทุษร้าย ก็ได้มรณะที่เหมาะ(แก่กรรมของเขา) เหมือนกัน ด้วยว่า บุคคลผู้ประทุษร้ายต่อบุคคลผู้ไม่ประทุษร้าย ย่อมถึงความพินาศฉิบหายด้วยเหตุ ๑๐ ประการเป็นแท้”<br /><br />(ข้อมูลจาก &quot;dhammatharn&quot;)​
เรื่อง "วิบากกรรมของพระโมคคัลลานะ"

๐ ปิตุฆาตมาตุ ฆ่าบิดามารดาเป็นอนันตริยกรรม

เรื่องพระมหาโมคคัลลานเถระ มรณภาพโดยถูกโจร ๕๐๐ ทุบจนร่างกายท่านแหลกเหลว เพราะท่านเคยทำร้าย​บิดามารดาจนเสียชีวิตในอดีตชาติ(ปิตุฆาตมาตุฆาต เป็นอนันตริยกรรม) คนที่เป็นพระอรหันต์แล้ว อาจจะมีเศษของกรรมเหลืออยู่ และจะส่งผลให้ต้องเสวยผลของเศษกรรมนั้น อย่างเช่นในกรณีของพระมหาโมคคัลลานะ พระอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธองค์ แม้ท่านจะมีฤทธิ์มากขนาดไหน แต่ก็ยังต้องพ่ายแพ้แรงแห่งวิกรรมอยู่ดี กรรมประเภทอนันตริยกรรมนี้หนักมากที่สุด

กฎแห่งกรรม เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อพระศาสดา ประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภพระมหาโมคคัลลานเถระ ตรัสพระธรรมเทศนาที่ขึ้นต้นด้วยบาทพระคาถานี้ว่า โย ทัณเฑน อทัณเฑสุ เป็นต้น

ในอรรถกถาพระธรรมบทเล่าว่า ในสมัยหนึ่ง พวกนิครนถ์ประชุมกันวางแผนสังหารพระมหาโมคคัลลานเถระ เพราะคิดว่าเมื่อกำจัดพระเถระรูปนี้เสียแล้ว ก็จะทำให้ลาภสักการะของพระศาสดาสิ้นสุดลง ด้วยว่าพระเถระท่องไปในเทวโลก สอบถามกรรมที่พวกเทวดกระทำแล้วก็กลับมาบอกกับพวกมนุษย์ว่า ทวยเทพทำกรรมอย่างนี้ ๆแล้วก็ได้ไปเกิ ดในสวรรค์

และพระเถระก็ยังได้ไปท่องในนรก และได้ถามพวกสัตว์นรกถึงกรรมที่พวกตนทำไว้แล้วกลับมาบอกพวกมนุษย์ว่า สัตว์นรกทำกรรมอย่างนี้ๆไว้จึงได้ไปเกิดและเสวยทุกข์ในนรกอย่างนี้ ๆ พวกมนุษย์ได้ฟังถ้อยคำของพระเถระนั้นแล้ว ก็ได้นำลาภและสักการะเป็นอันมากมาถวายพระเถระ ถ้าพวกเราสังหารพระเถระนั้นได้ ลาภและสักการะนั้นก็จะเกิดแก่พวกเรา

ดังนั้นพวกนิครนถ์จึงได้ไปว่าจ้างพวกโจรไปสังหารพระเถระซึ่งในขณะนั้นพำนักอยู่ที่กาฬสิลา ใกล้กรุงราชคฤห์ แต่ด้วยเหตุที่พระเถระมีฤทธิ์มาก เมื่อถูกพวกโจรเข้าล้อมวัด ในวันแรกพระเถระได้ใช้กำลังแห่งฤทธิ์หลบหนีออกมาผ่านทางช่องลูกกุญแจ ในวันที่สองได้หลบหนีออกมาทางหลังคากุฏิ

พระเถระสามารถหลบหนีพวกโจรได้ในช่วงสองเดือนแรก พอถึงเดือนที่สามพระเถระระลึกได้ว่า ท่านเคยประกอบกรรมทำชั่วมาในชาติหนึ่ง ท่านจึงไม่ยอมใช้ฤทธิ์ทำการหลบหนีอีกต่อไป ท่านจึงถูกโจรจับและถูกทุบตีจนกระทั่งกระดูกแตกละเอียด หลังจากนั้นพวกโจรได้นำร่างของท่านไปทิ้งไว้ที่พุ่มไม้เพราะเข้าใจว่าท่านเสียชีวิตแล้ว

แต่ท่านยังไม่เสียชีวิต และคิดว่า จะไปเฝ้าพระศาสดาเสียก่อนแล้วจักปรินิพพาน จึงได้ใช้กำลังแห่งฌานประสานกระดูกให้กลับแข็งแรง แล้วไปเหาะสู่สำนักของพระศาสดา ถวายบังคมแล้วกราบทูลอำลา พระศาสดาได้ตรัสบอกให้เถระแสดงธรรมให้พระองค์สดับเสียก่อน พระเถระก็ได้กระทำตามพุทธฎีกา จากนั้นได้ถวายบังคมลา เหาะไปที่ดงกาฬสิลา และได้ปรินิพพาน ณ ที่นั้น

เมื่อข่าวการเสียชีวิตของพระเถระได้กระจายไปทั่วชมพูทวีป พระเจ้าอชาตศัตรูก็ได้ใช้สายสืบออกไปสืบข่าวเพื่อตามจับกุมคนร้าย และในที่สุดโจรเหล่านั้นก็ถูกจับกุมและถูกประหารชีวิตด้วยการถูกเผาด้วยไฟ

ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า น่าสังเวชจัง พระมหาโมคคัลลานะ มรณภาพแบบนี้ไม่สมควร พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะมรณภาพ ไม่สมควรในชาตินี้ก็จริง แต่เธอถึงมรณภาพ สมควรแก่กรรมที่เธอกระทำไว้ในกาลก่อน”

เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลถามถึงบุรพกรรมในอดีตของพระเถระ ได้ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งพระเถระเคยเกิดเป็นชายหนุ่มและได้สังหารบิดามารดาที่ตาบอด ในตอนแรกนั้น ชายหนุ่มผู้นี้ก็เลี้ยงดูบิดามารดาที่ตาบอดเป็นอย่างดี แต่หลังจากแต่งงานแล้วถูกภรรยายุแหย่แนะนำให้ฆ่าบุพพการีตาบอดทั้งสองคนเสีย ชายหนุ่มจึงได้พาบิดามารดาขึ้นเกวียนเข้าไปในป่า แล้วทำการทุบตีบิดามารดาจนถึงแก่ความตายโดยโยนบาปว่าเป็นการกระทำของพวกโจร

ด้วยผลกรรมนั้น ทำให้ชายหนุ่มไปตกนรกอยู่หลายแสนปี ด้วยเศษของวิบาก จึงถูกทุบตีกระดูกแตกละเอียด เสียชีวิตแบบนี้อยู่ถึง ๑๐๐ ชาติ และเมื่อมาเกิดเป็นพระมหาโมคคัลลานะ แม้ว่าจะเป็นพระอรหันต์ และเป็นผู้มีฤทธิ์มาก ก็ยังไม่สามารถหลบหนีจากเงื้อมมือของกรรมไปได้

ในตอนท้ายของพุทธดำรัสมีข้อความระบุถึง กฎแห่งกรรม ที่ทุกคนซึ่งมีส่วนร่วมย่อมได้รับกันทั่วหน้าว่า “ภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะ ทำกรรมประมาณเท่านี้ ไหม้ในนรกหลายแสนปี ด้วยวิบากที่ยังเหลือ จึงถูกทุบตีอย่างนั้นนั่นแล ละเอียดหมด ถึงมรณะ สิ้น ๑๐๐ อัตภาพ โมคคัลลานะได้มรณะอย่างนี้ ก็พอสมแก่กรรมของตนเองแท้ พวกเดียรถีย์ ๕๐๐ กับโจร ๕๐๐ ประทุษร้ายต่อบุตรของเราผู้ไม่ประทุษร้าย ก็ได้มรณะที่เหมาะ(แก่กรรมของเขา) เหมือนกัน ด้วยว่า บุคคลผู้ประทุษร้ายต่อบุคคลผู้ไม่ประทุษร้าย ย่อมถึงความพินาศฉิบหายด้วยเหตุ ๑๐ ประการเป็นแท้”

(ข้อมูลจาก "dhammatharn")​
cat 62.jpg (191.24 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
cat 73jpg.JPG
cat 73jpg.JPG (213.38 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
cat 72.jpg
cat 72.jpg (296.59 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
cat 70.jpg
cat 70.jpg (349.57 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
cat 71.jpg
cat 71.jpg (412.36 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
cat 63.jpg
cat 63.jpg (669.49 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
cat 64.jpg
cat 64.jpg (248.57 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
cat 65.jpg
cat 65.jpg (240.87 KiB) เข้าดูแล้ว 941 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4378
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุง - คุณป้า พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D อรุณสวัสดิ์ครับ ก่อนที่จะไปกันต่อขอได้โปรด Click เข้าไปฟังประวัติการก่อสร้างพระธาตุกล่องข้าวน้อยก่อนนะครับ น่าสนใจครับได้ความรู้มาก แต่ก่อนนั้นเราได้ยินมามันคนละเรื่องเรียกว่าหนังคนละม้วน พูดตามจริงในใจผมนะครับ มีหลาย ๆ ที่ในเมืองไทยยอมรับว่าสับสนมาก ยิ่งเราศึกษาหาความรู้เรายิ่งจะเห็นความวิปริตในประวัตินั้น ๆ และยิ่งถ้าเราได้มีโอกาสศึกษาประวัติศาสตร์จากของเพื่อนบ้าน เรายิ่งจะเห็นได้ว่ามีประวัติศาสตร์ที่ผิดเพี้ยนไปก็มาก (พูดมากเป็นโอษฐภัยไม่ควรพูด) เช่น ถ้าใครได้เคยไปพม่าและไปศึกษาเรื่องการเผากรุง ฯ เขาจะบอกเราเลยว่าไม่จริงเป็นต้น หรือใครไปศึกษาประวัติศาสตร์ชาติลาวมีหลายเรื่องไปคนละเรื่องกับของเรา ฯ (เชื่อใครวะ ๕๕) นับจากนี้ไปอีกสัก ๒๐ - ๓๐,๔๐ ปี....ฯ ประวัติศาสตร์ชาติไทยรุ่นของเราที่กำลังประสบพบเจอ ที่มีทั้งเจ็บปวด เศร้า ฯ คนรุ่นหลาน เหลน ลื้อ...คงจะไม่ได้สัมผัสกับของจริง ๆ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ถูกทำลาย กำลังจะทำลาย และหลักฐานต่าง ๆ เหล่านั้นปล่อยให้สลายหายไป (คนไทยขี้ลืม) แล้วสร้างเรื่องราวใหม่ให้เกิดขึ้น :( :(

เช้าวันนี้ยอมรับว่า "ตื้อ" สมองไม่แล่น มาเรื่องเศร้าก่อน แต่อย่างว่านะครับ ชีวิตจะเอาอะไรอยู่กันไป ปฏิบัติธรรมกันไป ปฏิบัติให้หลุดพ้นจะได้ไม่มาทุกข์กับเรื่องราวต่าง ๆ ที่ทำให้ฉงนสนเท่ห์ งุนงง สงสัย เห็นละยังครับ การเกิดเป็นทุกข์นะครับ สมดังคำที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสั่งสอนไว้


:idea: :idea: ทุกข์ ในทางศาสนาพุทธคือ ไตรลักษณ์(หลักสัจจธรรมของพุทธศาสนา) เป็นลักษณะสภาพพื้นฐานธรรมชาติอย่างหนึ่ง จากทั้งหมด 3 ลักษณะ ที่พุทธศาสนาได้สอนให้เข้าใจถึงเหตุลักษณะแห่งสรรพสิ่งที่เป็นไปภายใต้กฎไตรลักษณ์ อันได้แก่

๑.อนิจจัง (ความไม่เที่ยงแท้)
๒.ทุกขัง (ความทนอยู่อย่างเดิมได้ยาก)
๓.อนัตตา (ความไม่มีแก่นสาระ)

เหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) ได้แก่ ปฏิจจสมุปบาท (หลักศรัทธาของพุทธศาสนา) พุทธศาสนา สอนว่า ความทุกข์ ไม่ได้เกิดจากสิ่งใดดลบันดาล หากเกิดแต่เหตุและปัจจัยต่างๆ มาประชุมพร้อมกัน โดยมีรากเหง้ามาจากความไม่รู้หรือ อวิชชา ทำให้กระบวนการต่างๆ ไม่ขาดตอน เพราะนามธาตุที่เป็นไปตามกฎนิยาม ตามกระบวนการที่เรียกว่ามหาปัฏฐาน ทำให้เกิดสังขาร

เจตสิกกฎเกณฑ์การปรุงแต่งซึ่งเป็นข้อมูลอันเป็นดุจพันธุกรรมของจิต วิวัฒนาการเป็นธรรมธาตุอันเป็นระบบการทำงานของนามขันธ์ที่ประกอบกันเป็นจิต ( อันเป็นสภาวะที่รับรู้และเป็นไปตามเจตสิกของนามธาตุ) และเป็นวิญญาณขันธ์ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นธาตุแสง (รังสิโยธาตุ) อันเกิดจากการทำงานของนามธาตุอย่างเป็นระบบ จนสามารถประสานหรือกำหนดกฎเกณฑ์รูปขันธ์ ของชีวิตินทรีย์ (เช่นไวรัส แบคทีเรีย ต้นไม้ เซลล์ ที่มีชีวิตขึ้นมาเพราะกฎพีชนิยาม) ทำให้เหตุผลของรูปขันธ์เป็นไปตามเหตุผลของนามขันธ์ด้วย (จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว) ทำให้รูปขันธ์ที่เป็นชีวิตินทรีย์พัฒนามีร่างกายที่สลับซับซ้อนมีระบบการทำงานจนเกิดมีปสาทรูป 5 รวมการรับรู้ทางมโนทวารอีก 1 เป็นอายตนะทั้ง 6 เมื่ออายตนะกระทบกับสรรพสิ่งที่มากระทบจนเกิดผัสสะ จนเกิดเวทนา คือ ความสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่สุขไม่ทุกข์บ้าง(อุเบกขา)
:idea: :idea:






ไฟล์แนบ
2923949.jpg
2923949.jpg (67.56 KiB) เข้าดูแล้ว 902 ครั้ง
เช้าวันที่ ๒๖ กพ.๖๒ เป็นวันที่ ๒ ของการมาเยือน จ.ยโสธร ซึ่งเช้านั้นเรามุ่งไปเยือนพระธาตุกล่องข้าวน้อย แล้วจะเลยเที่ยวในเขตฝั่งทางด้านนี้ซึ่งมีที่ท่องเที่ยวอยู่หลายที่
เช้าวันที่ ๒๖ กพ.๖๒ เป็นวันที่ ๒ ของการมาเยือน จ.ยโสธร ซึ่งเช้านั้นเรามุ่งไปเยือนพระธาตุกล่องข้าวน้อย แล้วจะเลยเที่ยวในเขตฝั่งทางด้านนี้ซึ่งมีที่ท่องเที่ยวอยู่หลายที่
cat 67.jpg (248.08 KiB) เข้าดูแล้ว 902 ครั้ง
cat 73jpg.JPG
cat 73jpg.JPG (213.38 KiB) เข้าดูแล้ว 902 ครั้ง
cat 66.jpg
cat 66.jpg (218.75 KiB) เข้าดูแล้ว 902 ครั้ง
cat 68.jpg
cat 68.jpg (309.31 KiB) เข้าดูแล้ว 902 ครั้ง
cat 69.jpg
cat 69.jpg (767.82 KiB) เข้าดูแล้ว 902 ครั้ง
cat 74jpg.JPG
cat 74jpg.JPG (882.9 KiB) เข้าดูแล้ว 902 ครั้ง
cat 75jpg.JPG
cat 75jpg.JPG (607.39 KiB) เข้าดูแล้ว 902 ครั้ง
cat 76jpg.JPG
cat 76jpg.JPG (804.93 KiB) เข้าดูแล้ว 902 ครั้ง
cat 77pg.JPG
cat 77pg.JPG (724.58 KiB) เข้าดูแล้ว 902 ครั้ง
cat 78pg.JPG
cat 78pg.JPG (233.07 KiB) เข้าดูแล้ว 902 ครั้ง
cat 79pg.JPG
cat 79pg.JPG (563.84 KiB) เข้าดูแล้ว 902 ครั้ง
cat 80pg.JPG
cat 80pg.JPG (176.84 KiB) เข้าดูแล้ว 902 ครั้ง
cat 81pg.JPG
cat 81pg.JPG (808.76 KiB) เข้าดูแล้ว 902 ครั้ง
cat 82pg.JPG
cat 82pg.JPG (236.01 KiB) เข้าดูแล้ว 902 ครั้ง
cat 83pg.JPG
cat 83pg.JPG (281.22 KiB) เข้าดูแล้ว 902 ครั้ง
cat 84pg.JPG
cat 84pg.JPG (773.88 KiB) เข้าดูแล้ว 902 ครั้ง
cat 85pg.JPG
cat 85pg.JPG (405.14 KiB) เข้าดูแล้ว 902 ครั้ง
cat 86pg.JPG
cat 86pg.JPG (989.4 KiB) เข้าดูแล้ว 902 ครั้ง
จะกลั้นใจกลั่นกรองย้อนอดีตที่ครั้งหนึ่งในชีวิตผิดหวังมาก ๆ กับการทำงานในระบบราชการ สมัยนั้ผมทำหน้าที่ตำแหน่ง ผู้บังคับหมวดชุดเฝ้าตรวจชายแดน มีฐานปฏิบัติการอยู่ยี่สิบกว่าฐาน รวมมีผู้ใต้บังคับบัญชาหลายร้อยนาย ผมคิดเรื่องของป่าชุมชนและให้แต่ละฐานสร้างป่าประจำหมู่บ้านของตนเอง และให้ดูแลรักษาอย่างน้อยฐานละหนึ่งพื้นที่ (หนึ่งม่อนดอยหรือหนึ่งป่ารอบหมู่บ้าน) ปรากฏถูกเจ้านายระดับบน เรียกไปบริภาษ &quot;มึงทำงานเกินหน้าที่ เรื่องป่าไม่ใช่เรื่องของมึง&quot; เรียกว่าผมทำงานไม่เป็นผมไม่ได้แคร์เลยกับคำบริภาษนั้น คงเดินหน้าต่อสุดท้ายผมก็ถูกเจ้านายเล่นงาน ๕๕๕ เกร็ดชีวิตเล็ก ๆ ของคน &quot;ดื้อ&quot;
จะกลั้นใจกลั่นกรองย้อนอดีตที่ครั้งหนึ่งในชีวิตผิดหวังมาก ๆ กับการทำงานในระบบราชการ สมัยนั้ผมทำหน้าที่ตำแหน่ง ผู้บังคับหมวดชุดเฝ้าตรวจชายแดน มีฐานปฏิบัติการอยู่ยี่สิบกว่าฐาน รวมมีผู้ใต้บังคับบัญชาหลายร้อยนาย ผมคิดเรื่องของป่าชุมชนและให้แต่ละฐานสร้างป่าประจำหมู่บ้านของตนเอง และให้ดูแลรักษาอย่างน้อยฐานละหนึ่งพื้นที่ (หนึ่งม่อนดอยหรือหนึ่งป่ารอบหมู่บ้าน) ปรากฏถูกเจ้านายระดับบน เรียกไปบริภาษ "มึงทำงานเกินหน้าที่ เรื่องป่าไม่ใช่เรื่องของมึง" เรียกว่าผมทำงานไม่เป็นผมไม่ได้แคร์เลยกับคำบริภาษนั้น คงเดินหน้าต่อสุดท้ายผมก็ถูกเจ้านายเล่นงาน ๕๕๕ เกร็ดชีวิตเล็ก ๆ ของคน "ดื้อ"
cat 87pg.JPG (358.95 KiB) เข้าดูแล้ว 902 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4378
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุง - คุณป้า พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D อรุณสวัสดิ์ครับ ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพทุกท่าน ท่านคงได้ยินเสมอ ๆ กับคำว่า มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ และเชื่อจริง ๆ ว่าเป็นเช่นนั้น ถูกต้องไหมครับ ที่เชื่อและเข้าใจอย่างนั้นเพราะท่านกับผมก็คงเข้าใจตรงกันที่ว่า ความเป็นสัตว์ประเสริฐเพราะ มนุษย์นั้นรู้จักฝึกฝนและพัฒนาตนเอง ใช่ไหมครับ นี่คือทัศนะคติของศาสนาพุทธเพียงศาสนาเดียวนะครับที่บัญญัติคำนี้คำว่า "สัตว์ประเสริฐ"

พุทธศาสนาเป็นศาสนาเดียวในโลกอีกเช่นกัน ที่ไม่ง้อ ไม่เชื้อเชิญ ให้ใครผู้ใดมาเคารพกราบไหว้ หรือเข้ามาเป็นสานุศิษย์ นอกจากไม่ง้อไม่เชื้อเชิญแล้ว ยัง กล้าท้าให้มาพิสูจน์ มาทดลองในธรรมคำสั่งสอน สมัยพุทธกาลคนมีบุญวาสนาบารมีกันมาก จึงมีผู้รับคำท้าเข้ามาพิสูจน์หรือทดลองซึ่งผลก็คือ "พ้นทุกข์" จริง ๆ พุทธศาสนาเลยโด่งดังเผยแพร่ขจรขจายไปกว้างใหญ่ไพศาล ให้เป็นที่อิจฉาตาร้อนกับศาสนาอื่น ๆ ตราบถึงทุกวันนี้

คนปัจจุบันบุญวาสนาบารมีมันน้อย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ดีที่สุดในโลก สามารถทำให้คนพ้นทุกข์ได้ และเชื่อแบบสนิทใจทั้งกล้าประกาศตนเป็นชาวพุทธอีกด้วย แต่อยากจะบอกว่าท่านเป็นพุทธแค่เปลือกนอกเท่านั้น คือได้แค่ "ทาน ศีล ภาวนา" ไม่ได้ลงลึกเข้าไปจนถึงขั้น "ศีล สมาธิ ปัญญา" เพราะ มันยาก ดังเช่นชาวพุทธในเมืองสยามที่เป็นพุทธได้แค่เพียงในทะเบียนบ้านคือเอาแค่เปลือกนอก ขนาดว่าเปลือกนอกก็ยังได้แค่ ทาน รักษาศีลนิดหน่อย (แค่ศีล ๕ ยังไม่ครบ) ภาวนาไม่เป็นเลย ดังนี้เป็นต้น ฉะนั้น ผมจึงอยากเชิญชวน เชื้อเชิญให้ชาวพุทธทุก ๆ คนในสยามเมืองยิ้มนี้ได้หันมาสนใจ แก่นของพุทธศาสตร์กันให้มากขึ้น อย่าไปหลงเพียงแค่เปลือกนอกเพราะมันไม่ทำให้พ้นทุกข์ แม้มันจะ ยาก ก็คงไม่พ้นวิสัยของคนที่ตั้งใจและเอาจริงไปได้ครับ มีตัวอย่างให้เห็นเยอะแยะมากมาย ช้าอยู่ใยครับท่าน :) :D
ไฟล์แนบ
cat 91pg.JPG
cat 91pg.JPG (85.82 KiB) เข้าดูแล้ว 887 ครั้ง
cat 88pg.JPG
cat 88pg.JPG (188.76 KiB) เข้าดูแล้ว 887 ครั้ง
ร่าง พ.ร.บ.ป่าชุมชน ผ่านแล้ว ! 10 ความสุขสู่ผืนป่าและประชาชนมีอะไรบ้าง<br /><br />       ...ย้อนไปเมื่อ 50 ปีก่อน ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าไม้มากถึง 171 ล้านไร่ แต่ ณ วันนี้ เราเหลือพื้นที่ป่าไม้ที่สมบูรณ์ราว ๆ 102.4 ล้านไร่เท่านั้น สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผืนป่าลดลงอย่างน่าใจหาย มาจากการบุกรุกทำลายป่า เพื่อขยายเมือง ขยายพื้นที่การเกษตร การถางป่าทำรีสอร์ท อีกทั้งการบังคับใช้กฎหมายก็ยังไม่มีประสิทธิภาพมากพอ...<br /><br />          แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าในช่วง 3-4 ปีหลังมานี้ เจ้าหน้าที่ได้เข้มงวดกวดขันในการปราบปรามการบุกรุกทำลายป่ามากขึ้นเพื่อรักษาป่าไม้ให้คงอยู่ เราจึงเห็นข่าวจับกุมผู้กระทำผิดคดีตัดไม้ คดีสัตว์ป่า คดีบุกรุกพื้นที่ป่าหลายหมื่นคดี <br /> ขณะเดียวกันรัฐบาล พร้อมทั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็เล็งเห็นว่า การออกกฎหมายเพื่อปกป้องและปฏิรูปป่าไม้เป็นเรื่องสำคัญ จึงพยายามผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับป่าไม้ หนึ่งในนั้นก็คือ &quot;กฎหมายป่าชุมชน&quot; ซึ่งหลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า การให้คนอยู่ร่วมกับป่าและบริหารจัดการพื้นที่ป่าไปด้วยกัน เป็นทางออกที่ดีที่จะช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ประเทศได้อย่างยั่งยืน<br /><br />          และหลังจากภาคประชาชนเรียกร้องและรอคอยกฎหมายป่าชุมชนมานานกว่า 2 ทศวรรษ ในที่สุดเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป่าชุมชน พ.ศ.... เพื่อเปิดโอกาสให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมกันดูแลผืนป่าและใช้ประโยชน์จากป่าไม้ที่ร่วมกันอนุรักษ์ได้ นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงและเป็นจุดเริ่มต้นครั้งสำคัญ<br /><br />หลายคนอาจสงสัยว่า พ.ร.บ.ป่าชุมชน ฉบับนี้มีความพิเศษกว่ากฎหมายฉบับเดิมอย่างไร เราจะได้รับประโยชน์อะไรจาก พ.ร.บ.ป่าชุมชน ฉบับนี้ กระปุกดอทคอม ขอแจกแจงให้ทุกคนได้เข้าใจกัน<br /><br />1. คนกับป่าอยู่ร่วมกันได้<br /><br />จากเดิมภาครัฐเป็นกำลังหลักในการดูแลป่าบริเวณใกล้เคียงชุมชน แต่สำหรับ พ.ร.บ.ป่าชุมชน ฉบับนี้ จะแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนเพื่อการอนุรักษ์ และส่วนเพื่อการใช้ประโยชน์ ซึ่งส่วนที่ 2 นี้ จะเน้นให้คนในชุมชนที่อาศัยอยู่ใกล้พื้นที่ป่าเข้ามามีส่วนร่วมบริหารจัดการป่าในพื้นที่ได้มากขึ้นกว่าเดิม ก็จะทำให้ดำเนินการอะไร ๆ ได้คล่องตัวขึ้น และเป็นไปตามความต้องการของชุมชนจริง ๆ ซึ่งเมื่อเกิดความร่วมมือกัน ชุมชนนั้นก็มีความเข้มแข็ง สามัคคี เกิดความสำนึกรักบ้านเกิด ผลักดันให้แรงงานคืนถิ่นกลับไปพัฒนาบ้านเกิด   <br /> <br />2. เป็นซูเปอร์มาร์เกตของหมู่บ้าน<br />ป่าชุมชนเปรียบเหมือน &quot;ซูเปอร์มาร์เกตของหมู่บ้าน&quot; ที่จะช่วยลดรายจ่าย และสร้างรายได้ให้ชาวบ้านเพิ่มขึ้น เพราะชาวบ้านสามารถปลูกต้นไม้ ปลูกป่าในพื้นที่ป่าชุมชน แล้วเก็บพืชผักสมุนไพร ของป่า ออกมาใช้สอยในครัวเรือนได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกจับกุมเหมือนแต่ก่อนที่ยังไม่มีกฎหมายฉบับนี้<br /> <br />3. เก็บของป่าไปขาย ภายใต้กติกาชุมชนและกฎหมาย สร้างรายได้ให้ชุมชน<br />นอกจากชาวบ้านจะสามารถเก็บของป่าออกมาไว้ใช้ในครัวเรือนแล้ว ยังสามารถนำผลผลิตจากป่าไปใช้ประโยชน์เพื่อการค้าได้อีก เช่น เก็บเห็ดไปขาย นำสมุนไพรจากป่ามาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ของชุมชน ต่อยอดพัฒนาเป็นวิสาหกิจชุมชน ส่งขาย สร้างรายได้ให้ชุมชนได้อีกทาง โดยต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและกติกาที่ชุมชนตกลงร่วมกัน<br /> <br />4. ได้ใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำในป่า<br />จากเดิมที่ชาวบ้านต้องขออนุญาตทางการหากจะนำแหล่งน้ำในป่ามาใช้ประโยชน์ แต่กฎหมายฉบับนี้จะเอื้ออำนวยให้ชาวบ้านซึ่งเป็นผู้ดูแลป่าชุมชนมีส่วนร่วมพัฒนาแหล่งน้ำ และนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตรได้ ก็จะช่วยให้ชาวบ้านมีทรัพยากรในการประกอบอาชีพ เช่น ทำเกษตร ทำประมง ฯลฯ เลี้ยงดูครอบครัวและชุมชนได้อย่างยั่งยืน<br /> <br />5. เกิดแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่<br />เมื่อเกิดการอนุรักษ์ก็สามารถพัฒนาป่าชุมชนให้เป็นแหล่งศึกษาธรรมชาติและแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ให้คนทั่วไปรวมถึงนักท่องเที่ยวเข้ามาซึมซับสัมผัสกลิ่นอายของป่า โดยชาวบ้านสามารถดำเนินการได้เองตามแผนบริหารจัดการที่ตกลงร่วมกัน เป็นการกระจายรายได้ ทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชน แล้วคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนจะดียิ่งขึ้น<br /> <br />6. เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ประเทศ<br />เมื่อให้ชาวบ้านเข้าไปดูแลและใช้ประโยชน์จากป่าชุมชน ชาวบ้านก็จะช่วยกันปลูกป่า จัดการ ป้องกัน อนุรักษ์ป่าไม้ไม่ให้ถูกทำลาย พื้นที่สีเขียวของประเทศก็จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นด้วยความร่วมแรงร่วมใจของคนในพื้นที่<br /> <br />7. สัตว์น้อยใหญ่ได้พึ่งพิง<br />        ป่าไม้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้อยใหญ่ หากเราช่วยกันดูแลรักษาทรัพยากรป่าไม้ให้มีความอุดมสมบูรณ์ ก็จะทำให้ระบบนิเวศสมดุล และเกิดความหลากหลายทางชีวภาพตามมา<br /> <br />8. แก้ภัยแล้ง<br />นอกจากป่าจะเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่สำคัญ ป่าไม้ยังช่วยให้เกิดฝนตกตามฤดูกาล เติมน้ำในพื้นที่แห้งแล้ง หล่อเลี้ยงคนทั้งประเทศ ทั้งให้ชาวนาชาวไร่ใช้เพาะปลูก ทำการเกษตร และให้เราทุกคนมีผลผลิตจากการเกษตรและมีน้ำไว้ใช้อุปโภคบริโภคอย่างเพียงพอ ไม่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ<br /> <br />9. ป้องกันน้ำท่วมรุนแรง<br />ภัยธรรมชาติที่เมืองไทยประสบพบเจอทุกปีคือปัญหาน้ำท่วม และนับวันจะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งมาจากการที่ป่าไม้ถูกตัดทำลายไปมาก แต่ป่าชุมชนจะช่วยเพิ่มจำนวนต้นไม้มาช่วยดูดซับน้ำไว้ในผืนดิน จึงชะลอความรุนแรงของน้ำท่วมและลดการพังทลายของหน้าดิน พร้อมกับป้องกันเหตุดินโคลนถล่มจากฝนตกหนัก<br /> <br />10. ลดภาวะโลกร้อน<br /> การปลูกป่าใหม่และอนุรักษ์ฟื้นฟูผืนป่าเดิมตาม พ.ร.บ.ป่าชุมชน จะช่วยลดอุณหภูมิความร้อนของโลกได้ เพราะต้นไม้จะคายก๊าซออกซิเจน และปล่อยไอน้ำเพิ่มความชุ่มชื้นให้ชั้นบรรยากาศ ขณะเดียวกันก็ช่วยดูดซึมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตัวการสำคัญของการเกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อนขึ้น ต้นไม้จึงช่วยเพิ่มอากาศบริสุทธิ์และลดความร้อนให้เราสามารถอาศัยอยู่ได้อย่างสบาย<br /> <br />          จะเห็นได้ว่าการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง หากแต่จะสำเร็จได้ด้วยความร่วมมือร่วมใจกันทุกภาคส่วน โดยเฉพาะชาวบ้านและชุมชนในพื้นที่ที่จะช่วยกันดูแลรักษาสิ่งมีค่าที่ธรรมชาติสรรค์สร้างไว้ และใช้ทรัพยากรอย่างรู้ค่า เพื่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุด<br /><br />          สำหรับโครงการ &quot;ป่าชุมชน&quot; นี้ มีการตั้งเป้าจะเพิ่มพื้นที่ป่าชุมชนใน 21,850 หมู่บ้าน พื้นที่ 19.1 ล้านไร่ โดยขณะนี้ ประกาศพื้นที่ป่าชุมชนไปแล้วตามกฎหมายเก่า 10,795 หมู่บ้าน พื้นที่ 5.98 ล้านไร่ ซึ่งหากทำได้สำเร็จเสร็จสิ้นทุกพื้นที่ ก็จะทำให้พื้นที่ป่าไม้ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล ขณะที่ชาวบ้านก็มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชุมชนที่พวกเขาดูแล
ร่าง พ.ร.บ.ป่าชุมชน ผ่านแล้ว ! 10 ความสุขสู่ผืนป่าและประชาชนมีอะไรบ้าง

...ย้อนไปเมื่อ 50 ปีก่อน ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าไม้มากถึง 171 ล้านไร่ แต่ ณ วันนี้ เราเหลือพื้นที่ป่าไม้ที่สมบูรณ์ราว ๆ 102.4 ล้านไร่เท่านั้น สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผืนป่าลดลงอย่างน่าใจหาย มาจากการบุกรุกทำลายป่า เพื่อขยายเมือง ขยายพื้นที่การเกษตร การถางป่าทำรีสอร์ท อีกทั้งการบังคับใช้กฎหมายก็ยังไม่มีประสิทธิภาพมากพอ...

แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าในช่วง 3-4 ปีหลังมานี้ เจ้าหน้าที่ได้เข้มงวดกวดขันในการปราบปรามการบุกรุกทำลายป่ามากขึ้นเพื่อรักษาป่าไม้ให้คงอยู่ เราจึงเห็นข่าวจับกุมผู้กระทำผิดคดีตัดไม้ คดีสัตว์ป่า คดีบุกรุกพื้นที่ป่าหลายหมื่นคดี
ขณะเดียวกันรัฐบาล พร้อมทั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็เล็งเห็นว่า การออกกฎหมายเพื่อปกป้องและปฏิรูปป่าไม้เป็นเรื่องสำคัญ จึงพยายามผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับป่าไม้ หนึ่งในนั้นก็คือ "กฎหมายป่าชุมชน" ซึ่งหลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า การให้คนอยู่ร่วมกับป่าและบริหารจัดการพื้นที่ป่าไปด้วยกัน เป็นทางออกที่ดีที่จะช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ประเทศได้อย่างยั่งยืน

และหลังจากภาคประชาชนเรียกร้องและรอคอยกฎหมายป่าชุมชนมานานกว่า 2 ทศวรรษ ในที่สุดเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป่าชุมชน พ.ศ.... เพื่อเปิดโอกาสให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมกันดูแลผืนป่าและใช้ประโยชน์จากป่าไม้ที่ร่วมกันอนุรักษ์ได้ นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงและเป็นจุดเริ่มต้นครั้งสำคัญ

หลายคนอาจสงสัยว่า พ.ร.บ.ป่าชุมชน ฉบับนี้มีความพิเศษกว่ากฎหมายฉบับเดิมอย่างไร เราจะได้รับประโยชน์อะไรจาก พ.ร.บ.ป่าชุมชน ฉบับนี้ กระปุกดอทคอม ขอแจกแจงให้ทุกคนได้เข้าใจกัน

1. คนกับป่าอยู่ร่วมกันได้

จากเดิมภาครัฐเป็นกำลังหลักในการดูแลป่าบริเวณใกล้เคียงชุมชน แต่สำหรับ พ.ร.บ.ป่าชุมชน ฉบับนี้ จะแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนเพื่อการอนุรักษ์ และส่วนเพื่อการใช้ประโยชน์ ซึ่งส่วนที่ 2 นี้ จะเน้นให้คนในชุมชนที่อาศัยอยู่ใกล้พื้นที่ป่าเข้ามามีส่วนร่วมบริหารจัดการป่าในพื้นที่ได้มากขึ้นกว่าเดิม ก็จะทำให้ดำเนินการอะไร ๆ ได้คล่องตัวขึ้น และเป็นไปตามความต้องการของชุมชนจริง ๆ ซึ่งเมื่อเกิดความร่วมมือกัน ชุมชนนั้นก็มีความเข้มแข็ง สามัคคี เกิดความสำนึกรักบ้านเกิด ผลักดันให้แรงงานคืนถิ่นกลับไปพัฒนาบ้านเกิด

2. เป็นซูเปอร์มาร์เกตของหมู่บ้าน
ป่าชุมชนเปรียบเหมือน "ซูเปอร์มาร์เกตของหมู่บ้าน" ที่จะช่วยลดรายจ่าย และสร้างรายได้ให้ชาวบ้านเพิ่มขึ้น เพราะชาวบ้านสามารถปลูกต้นไม้ ปลูกป่าในพื้นที่ป่าชุมชน แล้วเก็บพืชผักสมุนไพร ของป่า ออกมาใช้สอยในครัวเรือนได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกจับกุมเหมือนแต่ก่อนที่ยังไม่มีกฎหมายฉบับนี้

3. เก็บของป่าไปขาย ภายใต้กติกาชุมชนและกฎหมาย สร้างรายได้ให้ชุมชน
นอกจากชาวบ้านจะสามารถเก็บของป่าออกมาไว้ใช้ในครัวเรือนแล้ว ยังสามารถนำผลผลิตจากป่าไปใช้ประโยชน์เพื่อการค้าได้อีก เช่น เก็บเห็ดไปขาย นำสมุนไพรจากป่ามาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ของชุมชน ต่อยอดพัฒนาเป็นวิสาหกิจชุมชน ส่งขาย สร้างรายได้ให้ชุมชนได้อีกทาง โดยต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและกติกาที่ชุมชนตกลงร่วมกัน

4. ได้ใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำในป่า
จากเดิมที่ชาวบ้านต้องขออนุญาตทางการหากจะนำแหล่งน้ำในป่ามาใช้ประโยชน์ แต่กฎหมายฉบับนี้จะเอื้ออำนวยให้ชาวบ้านซึ่งเป็นผู้ดูแลป่าชุมชนมีส่วนร่วมพัฒนาแหล่งน้ำ และนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตรได้ ก็จะช่วยให้ชาวบ้านมีทรัพยากรในการประกอบอาชีพ เช่น ทำเกษตร ทำประมง ฯลฯ เลี้ยงดูครอบครัวและชุมชนได้อย่างยั่งยืน

5. เกิดแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่
เมื่อเกิดการอนุรักษ์ก็สามารถพัฒนาป่าชุมชนให้เป็นแหล่งศึกษาธรรมชาติและแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ให้คนทั่วไปรวมถึงนักท่องเที่ยวเข้ามาซึมซับสัมผัสกลิ่นอายของป่า โดยชาวบ้านสามารถดำเนินการได้เองตามแผนบริหารจัดการที่ตกลงร่วมกัน เป็นการกระจายรายได้ ทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชน แล้วคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนจะดียิ่งขึ้น

6. เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ประเทศ
เมื่อให้ชาวบ้านเข้าไปดูแลและใช้ประโยชน์จากป่าชุมชน ชาวบ้านก็จะช่วยกันปลูกป่า จัดการ ป้องกัน อนุรักษ์ป่าไม้ไม่ให้ถูกทำลาย พื้นที่สีเขียวของประเทศก็จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นด้วยความร่วมแรงร่วมใจของคนในพื้นที่

7. สัตว์น้อยใหญ่ได้พึ่งพิง
ป่าไม้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้อยใหญ่ หากเราช่วยกันดูแลรักษาทรัพยากรป่าไม้ให้มีความอุดมสมบูรณ์ ก็จะทำให้ระบบนิเวศสมดุล และเกิดความหลากหลายทางชีวภาพตามมา

8. แก้ภัยแล้ง
นอกจากป่าจะเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่สำคัญ ป่าไม้ยังช่วยให้เกิดฝนตกตามฤดูกาล เติมน้ำในพื้นที่แห้งแล้ง หล่อเลี้ยงคนทั้งประเทศ ทั้งให้ชาวนาชาวไร่ใช้เพาะปลูก ทำการเกษตร และให้เราทุกคนมีผลผลิตจากการเกษตรและมีน้ำไว้ใช้อุปโภคบริโภคอย่างเพียงพอ ไม่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ

9. ป้องกันน้ำท่วมรุนแรง
ภัยธรรมชาติที่เมืองไทยประสบพบเจอทุกปีคือปัญหาน้ำท่วม และนับวันจะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งมาจากการที่ป่าไม้ถูกตัดทำลายไปมาก แต่ป่าชุมชนจะช่วยเพิ่มจำนวนต้นไม้มาช่วยดูดซับน้ำไว้ในผืนดิน จึงชะลอความรุนแรงของน้ำท่วมและลดการพังทลายของหน้าดิน พร้อมกับป้องกันเหตุดินโคลนถล่มจากฝนตกหนัก

10. ลดภาวะโลกร้อน
การปลูกป่าใหม่และอนุรักษ์ฟื้นฟูผืนป่าเดิมตาม พ.ร.บ.ป่าชุมชน จะช่วยลดอุณหภูมิความร้อนของโลกได้ เพราะต้นไม้จะคายก๊าซออกซิเจน และปล่อยไอน้ำเพิ่มความชุ่มชื้นให้ชั้นบรรยากาศ ขณะเดียวกันก็ช่วยดูดซึมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตัวการสำคัญของการเกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อนขึ้น ต้นไม้จึงช่วยเพิ่มอากาศบริสุทธิ์และลดความร้อนให้เราสามารถอาศัยอยู่ได้อย่างสบาย

จะเห็นได้ว่าการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง หากแต่จะสำเร็จได้ด้วยความร่วมมือร่วมใจกันทุกภาคส่วน โดยเฉพาะชาวบ้านและชุมชนในพื้นที่ที่จะช่วยกันดูแลรักษาสิ่งมีค่าที่ธรรมชาติสรรค์สร้างไว้ และใช้ทรัพยากรอย่างรู้ค่า เพื่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุด

สำหรับโครงการ "ป่าชุมชน" นี้ มีการตั้งเป้าจะเพิ่มพื้นที่ป่าชุมชนใน 21,850 หมู่บ้าน พื้นที่ 19.1 ล้านไร่ โดยขณะนี้ ประกาศพื้นที่ป่าชุมชนไปแล้วตามกฎหมายเก่า 10,795 หมู่บ้าน พื้นที่ 5.98 ล้านไร่ ซึ่งหากทำได้สำเร็จเสร็จสิ้นทุกพื้นที่ ก็จะทำให้พื้นที่ป่าไม้ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล ขณะที่ชาวบ้านก็มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชุมชนที่พวกเขาดูแล
cat 89pg.JPG (242.9 KiB) เข้าดูแล้ว 887 ครั้ง
cat 92pg.JPG
cat 92pg.JPG (769.34 KiB) เข้าดูแล้ว 887 ครั้ง
cat 93pg.JPG
cat 93pg.JPG (798.54 KiB) เข้าดูแล้ว 887 ครั้ง
cat 94pg.JPG
cat 94pg.JPG (844.26 KiB) เข้าดูแล้ว 887 ครั้ง
cat 95pg.JPG
cat 95pg.JPG (568.66 KiB) เข้าดูแล้ว 887 ครั้ง
cat 96pg.JPG
cat 96pg.JPG (340 KiB) เข้าดูแล้ว 887 ครั้ง
cat 97pg.JPG
cat 97pg.JPG (254.4 KiB) เข้าดูแล้ว 887 ครั้ง
cat 98pg.JPG
cat 98pg.JPG (246.28 KiB) เข้าดูแล้ว 887 ครั้ง
cat 99pg.JPG
cat 99pg.JPG (327.26 KiB) เข้าดูแล้ว 887 ครั้ง
cat 100pg.JPG
cat 100pg.JPG (698.78 KiB) เข้าดูแล้ว 887 ครั้ง
เราสองคนออกจากพระธาตุกล่องข้าวน้อย มุ่งเข้า อ.คำเขื่อนแก้ว เห็นป้ายบอกทางให้ไปพระธาตุกู่จาน ซึ่งตรงพระธาตุกู่จานนี้ไม่ได้อยู่ในโปรแกรมที่ผมบันทึกไว้ แต่คุณนายอยากไป (อย่าขัดใจครับ) ไปก็ไปไม่เสียหายอันใด เมื่อเราเดินทางเข้าพระธาตุกู่จานก็ต้องบอกว่าผมจะเสียดายมาก ๆ หากมาทราบทีหลังว่าพระธาตุกู่จานนั้นไม่แพ้พระธาตุกล่องข้าวน้อยเลย ลืมเล่าให้ฟังว่าที่พระธาตุกู่จานนั้น ประทับใจครับ หลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านมีเมตตามาก ๆ เล่าประวัติ หาน้ำดื่มเย็น ๆ ตลอดจนผลไม้ต่าง ๆ มาให้ทาน ขอบันทึกไว้ ณ ที่ตรงนี้ละกันนะครับ<br /><br />ออกจากพระธาตุกู่จานเราก็กลับยังตัวอำเภอคำเขื่อนแก้ว เพื่อจะเข้าไปยัง อ.มหาชนะชัย ไปเยี่ยมชมสถานศักดิ์สิทธิ์อีกหลายแห่ง แต่เมื่อคำนวณเวลาแล้ว คาดว่าเราคงกลับไม่ทัน คุณนาย (อีกแล้ว) ไม่สู้ ขอเอาจุดที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา เป็นอันว่าผมต้องพาไป บ.สงเปือย เพื่อไปเยี่ยมชมโบราณสถาน <br /><br />จุดนี้ได้ทราบประวัติความเป็นมาและได้เห็นแผนการขุดค้นโบราณสถานต่าง ๆ แต่เป็นที่น่าเสียดายจุดที่ทำการคุดค้นเขาถมไปหมดแล้ว สาเหตุเกรงว่าจะเกิดอันตราย (โอว...) เสียดายจริง ๆ คิด..คิดนะครับ ทำไมคนยโส ฯ ไม่เอาแบบอย่างคนกาฬสินธ์ ที่เขาอนุลักษณ์จุดขุดค้นไว้ให้คนได้ชม หรือมันอันตรายจริง ๆ (ไม่เข้าใจ) ก่อนอำลาคุณนายไม่ลืมที่จะอุดหนุ่คุณยายสองคนที่นั่งทอผ้าเฝ้าวัด เป็นผ้าพันคอทอมือคนละผืน
เราสองคนออกจากพระธาตุกล่องข้าวน้อย มุ่งเข้า อ.คำเขื่อนแก้ว เห็นป้ายบอกทางให้ไปพระธาตุกู่จาน ซึ่งตรงพระธาตุกู่จานนี้ไม่ได้อยู่ในโปรแกรมที่ผมบันทึกไว้ แต่คุณนายอยากไป (อย่าขัดใจครับ) ไปก็ไปไม่เสียหายอันใด เมื่อเราเดินทางเข้าพระธาตุกู่จานก็ต้องบอกว่าผมจะเสียดายมาก ๆ หากมาทราบทีหลังว่าพระธาตุกู่จานนั้นไม่แพ้พระธาตุกล่องข้าวน้อยเลย ลืมเล่าให้ฟังว่าที่พระธาตุกู่จานนั้น ประทับใจครับ หลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านมีเมตตามาก ๆ เล่าประวัติ หาน้ำดื่มเย็น ๆ ตลอดจนผลไม้ต่าง ๆ มาให้ทาน ขอบันทึกไว้ ณ ที่ตรงนี้ละกันนะครับ

ออกจากพระธาตุกู่จานเราก็กลับยังตัวอำเภอคำเขื่อนแก้ว เพื่อจะเข้าไปยัง อ.มหาชนะชัย ไปเยี่ยมชมสถานศักดิ์สิทธิ์อีกหลายแห่ง แต่เมื่อคำนวณเวลาแล้ว คาดว่าเราคงกลับไม่ทัน คุณนาย (อีกแล้ว) ไม่สู้ ขอเอาจุดที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา เป็นอันว่าผมต้องพาไป บ.สงเปือย เพื่อไปเยี่ยมชมโบราณสถาน

จุดนี้ได้ทราบประวัติความเป็นมาและได้เห็นแผนการขุดค้นโบราณสถานต่าง ๆ แต่เป็นที่น่าเสียดายจุดที่ทำการคุดค้นเขาถมไปหมดแล้ว สาเหตุเกรงว่าจะเกิดอันตราย (โอว...) เสียดายจริง ๆ คิด..คิดนะครับ ทำไมคนยโส ฯ ไม่เอาแบบอย่างคนกาฬสินธ์ ที่เขาอนุลักษณ์จุดขุดค้นไว้ให้คนได้ชม หรือมันอันตรายจริง ๆ (ไม่เข้าใจ) ก่อนอำลาคุณนายไม่ลืมที่จะอุดหนุ่คุณยายสองคนที่นั่งทอผ้าเฝ้าวัด เป็นผ้าพันคอทอมือคนละผืน
cat 101pg.JPG (752.75 KiB) เข้าดูแล้ว 887 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4378
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุง - คุณป้า พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D อรุณสวัสดิ์ท่านที่เคารพทุกท่าน การที่ผมไม่ได้ไป อ.มหาชนะชัย ทำให้พลาดที่จะได้ชมพระพุทธรูปหยกขาวที่วัดพระพุทธบาทยโสธร ซึ่งตั้งใจจริง ๆ ว่าต้องไปชม สุดท้ายคุณนายมาหัก (ถอดใจ) เพราะเราไม่ได้ติดเครื่องนอนไปด้วยเกรงว่าจะมืดก่อนกลับถึงที่พัก พิพิธภัณฑ์มาลัยข้าวตอก ทุ่งบัวแดง วัดถ้ำผาเกิ้ง ก็เลยต้องอดไปด้วย อยากจะบอกกล่าวกันไว้ ณ ที่ตรงนี้การที่เราใช้ชีวิตร่วมกันท่านต้องใช้ "สติ" ให้มากกว่า "อารมณ์" โดยเฉพาะกับผู้หญิง จำให้ขึ้นใจ "ผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย มีข้อจำกัดและมีรายละเอียดมากมาย" สิ่งเดียวที่จะทำให้ไปด้วยกันอย่างมีความสุข คุณต้องโอนอ่อนผ่อนปรนเห็นใจ เข้าใจ ตามใจ พยายามควบคุม สติ อารมณ์ ให้อยู่ในจุดที่พอดี อย่าใช้ความอยากของคุณมาตัดสินเพราะ "พังทุกราย" ผมโชคดีคุณนายผมเขาเป็นคนไม่ถือโกรธ รู้จักปล่อยวาง ที่สำคัญเธอจะอภัยเสมอ ๆ เมื่อผมพลาด ช่วงที่ออกจากสงเปือยผมสปีดล่วงหน้าไปนั่งรอที่ศาลาริมทาง ถนนใหญ่ปากทางเข้าโบราณสถานสงเปือย :lol: :lol:

เชื่อไหมล่ะครับว่าเมื่อคุณนายปั่นมาถึงจุดที่ผมนั่งเก็บภาพ (ศาลาที่พักริมทาง) แทนที่จะหยุดพัก คุณนายกลับปั่นเลยไปเลย ผมรู้ละว่าคงขัดใจอะไรสักอย่าง เมื่อปั่นตามไปจนถึงพิพิธภัณฑ์หนังปะโมทัย ซึ่งอยู่ติดถนน คุณนายก็แวะเข้าไปพัก ผมก็ตามเข้าไปพักและเลยได้เห็น ครั้งแรกนึกว่าเป็นหนังตะลุงของคนใต้ ไม่ใช่ครับเป็นของคนอีสานโดยตรงซึ่งมีประวัติยาวนานพอสมควร เป็นความรู้ใหม่จริง ๆ "หนังตะลุงอีสาน"

ออกจากจุดพิพิธภัณฑ์เรารีบมุ่งตรงไปยังพระธาตุอานนท์ ในใจกลางเมืองเพื่อไปกราบนมัสการก่อนที่วัดจะปิด โชคดีได้เข้าไปเยี่ยมชมและได้เห็นพระหยดน้ำองค์เล็กสุด ๆ สวยด้วย มีศาลากลางน้ำตั้งเด่นเป็นที่เต๊ะตา สำหรับเจดีย์อานนท์นี้ถือได้ว่าเป็นหนึ่งเดียวในประเทศไทยครับ ผมก็พึ่งได้มาชมเป็นครั้งแรกในชีวิตเช่นกัน

เนื่องจากเย็นมากแล้วไม่ได้เจอหรือสนทนากับหลวงพ่อเจ้าอาวาส ท่านติดภาระกิจเทศนาออกอากาศ ได้เณรมาช่วยเปิดห้องให้เข้าชมพระหยดน้ำองค์ที่เล็กที่สุด (เก็บไว้อย่างดี) ออกจากพระธาตุอานนท์เรากลับโรงแรมเพื่อพักผ่อนชำระร่างกาย ประมาณทุ่มกว่า ๆ จึงออกไปหามื้อเย็นเป็นข้าวต้ม กลับมานอนและตกลงวางแผนกันจะเดินทางไปทิศใดทางไหนในวันรุ่งขึ้นต่อไปครับ :) :D




ไฟล์แนบ
S__37969927.jpg
S__37969927.jpg (149.99 KiB) เข้าดูแล้ว 874 ครั้ง
ออกจากโบราณสถาน บ.สงเปือย ถึงปากทาง (ผมปั่นล่วงหน้ามารอที่ปากทาง) นั่งแอบเก็บภาพคุณนาย ดูเวลาประกอบอากาศที่ร้อนมาก ๆ คิดแล้วก็สงสารคุณนายครับ เพราะแกปิดร่างกายมิดชิดกลัวดำ ๕๕ อากาศที่อบอ้าวร้อนด้วยคงทำลายความสุขไปมากโข จากจุดนี้กว่าจะถึง อ.เมืองยโสธร ยังอีกหลายกิโล ภาวนาอย่าให้มืดใช้ได้ละ
ออกจากโบราณสถาน บ.สงเปือย ถึงปากทาง (ผมปั่นล่วงหน้ามารอที่ปากทาง) นั่งแอบเก็บภาพคุณนาย ดูเวลาประกอบอากาศที่ร้อนมาก ๆ คิดแล้วก็สงสารคุณนายครับ เพราะแกปิดร่างกายมิดชิดกลัวดำ ๕๕ อากาศที่อบอ้าวร้อนด้วยคงทำลายความสุขไปมากโข จากจุดนี้กว่าจะถึง อ.เมืองยโสธร ยังอีกหลายกิโล ภาวนาอย่าให้มืดใช้ได้ละ
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (393).JPG (376.8 KiB) เข้าดูแล้ว 874 ครั้ง
พิพิธภัณฑ์หนังประโมทัย จัดสร้างขึ้นโดยองค์การบริหารส่วนตำบลโพนทัน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๑ เพื่อเป็นสถานที่รวบรวมองค์ความรู้ด้านศิลปะการแสดงพื้นบ้านหนังประโมทัย และเป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมที่สำคัญของอำเภอคำเขื่อนแก้ว พิพิธภัณฑ์หนังประโมทัย ตั้งอยู่ หมู่ที่/หมู่บ้าน 1 โพนทัน ถนน แจ้งสนิท ตำบล ลุมพุก อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัด ยโสธร
พิพิธภัณฑ์หนังประโมทัย จัดสร้างขึ้นโดยองค์การบริหารส่วนตำบลโพนทัน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๑ เพื่อเป็นสถานที่รวบรวมองค์ความรู้ด้านศิลปะการแสดงพื้นบ้านหนังประโมทัย และเป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมที่สำคัญของอำเภอคำเขื่อนแก้ว พิพิธภัณฑ์หนังประโมทัย ตั้งอยู่ หมู่ที่/หมู่บ้าน 1 โพนทัน ถนน แจ้งสนิท ตำบล ลุมพุก อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัด ยโสธร
cat 102pg.JPG (635.58 KiB) เข้าดูแล้ว 874 ครั้ง
cat 103pg.JPG
cat 103pg.JPG (528.68 KiB) เข้าดูแล้ว 874 ครั้ง
หนังปราโมทัย (หนังตะลุงอีสาน) อัปเดตล่าสุดเมื่อ: วันพุธ, 13 กุมภาพันธ์ 2562 12:32 | เขียนโดย ครูมนตรี โคตรคันทา <br /><br />หนังประโมทัยอีสาน คือ หนังตะลุงของคนภาคอีสาน มีชื่อเรียกต่างๆ กันไปหลายชื่อ เช่น หนังปราโมทัย หนังประโมทัย หนังบักตื้อ หรือ หนังบักป่องบักแก้ว ซึ่งสองชื่อหลังนี้มาจากชื่อของรูปตัวตลกเอกของเรื่อง การแสดงหนังประโมทัยเกิดขึ้นจาก การแผ่ขยายวัฒนธรรมหนังตะลุงของภาคใต้ มายังยังภาคอีสาน จากการที่คนอีสานเดินทางไปทำงานต่างถิ่น หรือค้าขายยังต่างถิ่น เช่น นายฮ้อยที่นำคณะต้อนวัวควายไปขายยังภาคกลาง และนำแรงงานอีสานไปรับจ้างทั่วไป ได้พบเห็นหนังตะลุงชอบจึงคิดนำมาดัดแปลงให้เข้ากับสิ่งที่ตนชอบคือ &quot;หมอลำ&quot; โดยมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดงจนเป็นที่ยอมรับของคนในพื้นที่ นั่นคือ การนำหมอลำกับหนังตะลุงมารวมกัน<br /><br />องค์ประกอบของการแสดงหนังประโมทัยที่สำคัญคือ ผู้เชิดตัวหนัง โรงและจอหนัง บทพากย์บทเจรจา ดนตรีประกอบ ตลอดจนแสงเสียงที่ใช้ในการแสดง นิยมแสดงเรื่อง รามเกียรติ์ แต่ต่อมาได้มีการนำวรรณกรรมพื้นบ้านอีสานมาแสดงด้วย เช่น สังข์ศิลป์ชัย จำปาสี่ต้น ท้าวก่ำกาดำ ขูลูนางอั้ว การแสดงหนังประโมทัยเรื่องวรรณคดีอีสานนั้น จะแสดงเหมือนหมอลำผสมหนังตะลุง คือ ตัวพระ แม้จะพากย์และเจรจาเป็นภาษาไทยกลาง แต่ก็สามารถร้องหมอลำได้ด้วย ตัวนาง เล่นแบบหมอลำ เจรจาด้วยภาษาอีสาน การเล่นลักษณะนี้พบได้ทางจังหวัดอุดรธานี ขอนแก่น ร้อยเอ็ด ยโสธร และอุบลราชธานี<br /><br />หนังปะโมทัยอีสานนั้น มีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานีเป็นศูนย์กลางแห่งแรก คณะหนังปะโมทัยคณะเก่าแก่ที่สุดคือ คณะฟ้าบ้านทุ่ง ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2469 ซึ่งหนังตะลุงอีสานคณะอื่นๆ ต่างก็ล้วนสืบทอดมาจากคณะนี้ทั้งนั้น (อ้างถึง : วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดอุบลราชธานี. 2542 : 178)   คณะหนังปราโมทัยที่เก่าแก่รองลงมาได้แก่ คณะบุญมี ซึ่งมาจากจังหวัดอุบลราชธานี แต่มาตั้งคณะขึ้นในจังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อปี พ.ศ. 2476   คณะประกาศสามัคคี ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2490   นอกจากนี้ยังมีคณะ ช. ถนอมศิลป์ บ้านโคกไพลี ตำบลโพธิ์ทอง กิ่งอำเภอศรีสมเด็จ คณะ ป. บันเทิงศิลป์ บ้านสีแก้ว ตำบลสีแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด คณะหนังปะโมทัยของผู้ใหญ่ถัง อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น เป็นต้น<br /><br />จากการสำรวจวิจัยพบว่า ยังมีคณะหนังประโมทัยอยู่ใน 13 จังหวัดภาคอีสาน ได้แก่ อุดรธานี มุกดาหาร นครพนม กาฬสินธุ์ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ ยโสธร บุรีรัมย์ และนครราชสีมา (สำรวจปี พ.ศ. 2553) โดย จังหวัดร้อยเอ็ดมีมากที่สุด 13 คณะ ยโสธรมี 7 คณะ ขอนแก่นมี 6 คณะ อุบลราชธานีมี 5 คณะ อุดรธานีและมหาสารคามมีจังหวัดละ 3 คณะ ท่านใดสนใจเข้าไปศึกษาหาความรู้ได้ตามลิงค์ที่แนบมาให้นี้นะครับ<br />   https://www.isangate.com/new/drama-acting/156-pramo-tai.html
หนังปราโมทัย (หนังตะลุงอีสาน) อัปเดตล่าสุดเมื่อ: วันพุธ, 13 กุมภาพันธ์ 2562 12:32 | เขียนโดย ครูมนตรี โคตรคันทา

หนังประโมทัยอีสาน คือ หนังตะลุงของคนภาคอีสาน มีชื่อเรียกต่างๆ กันไปหลายชื่อ เช่น หนังปราโมทัย หนังประโมทัย หนังบักตื้อ หรือ หนังบักป่องบักแก้ว ซึ่งสองชื่อหลังนี้มาจากชื่อของรูปตัวตลกเอกของเรื่อง การแสดงหนังประโมทัยเกิดขึ้นจาก การแผ่ขยายวัฒนธรรมหนังตะลุงของภาคใต้ มายังยังภาคอีสาน จากการที่คนอีสานเดินทางไปทำงานต่างถิ่น หรือค้าขายยังต่างถิ่น เช่น นายฮ้อยที่นำคณะต้อนวัวควายไปขายยังภาคกลาง และนำแรงงานอีสานไปรับจ้างทั่วไป ได้พบเห็นหนังตะลุงชอบจึงคิดนำมาดัดแปลงให้เข้ากับสิ่งที่ตนชอบคือ "หมอลำ" โดยมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดงจนเป็นที่ยอมรับของคนในพื้นที่ นั่นคือ การนำหมอลำกับหนังตะลุงมารวมกัน

องค์ประกอบของการแสดงหนังประโมทัยที่สำคัญคือ ผู้เชิดตัวหนัง โรงและจอหนัง บทพากย์บทเจรจา ดนตรีประกอบ ตลอดจนแสงเสียงที่ใช้ในการแสดง นิยมแสดงเรื่อง รามเกียรติ์ แต่ต่อมาได้มีการนำวรรณกรรมพื้นบ้านอีสานมาแสดงด้วย เช่น สังข์ศิลป์ชัย จำปาสี่ต้น ท้าวก่ำกาดำ ขูลูนางอั้ว การแสดงหนังประโมทัยเรื่องวรรณคดีอีสานนั้น จะแสดงเหมือนหมอลำผสมหนังตะลุง คือ ตัวพระ แม้จะพากย์และเจรจาเป็นภาษาไทยกลาง แต่ก็สามารถร้องหมอลำได้ด้วย ตัวนาง เล่นแบบหมอลำ เจรจาด้วยภาษาอีสาน การเล่นลักษณะนี้พบได้ทางจังหวัดอุดรธานี ขอนแก่น ร้อยเอ็ด ยโสธร และอุบลราชธานี

หนังปะโมทัยอีสานนั้น มีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานีเป็นศูนย์กลางแห่งแรก คณะหนังปะโมทัยคณะเก่าแก่ที่สุดคือ คณะฟ้าบ้านทุ่ง ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2469 ซึ่งหนังตะลุงอีสานคณะอื่นๆ ต่างก็ล้วนสืบทอดมาจากคณะนี้ทั้งนั้น (อ้างถึง : วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดอุบลราชธานี. 2542 : 178) คณะหนังปราโมทัยที่เก่าแก่รองลงมาได้แก่ คณะบุญมี ซึ่งมาจากจังหวัดอุบลราชธานี แต่มาตั้งคณะขึ้นในจังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อปี พ.ศ. 2476 คณะประกาศสามัคคี ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2490 นอกจากนี้ยังมีคณะ ช. ถนอมศิลป์ บ้านโคกไพลี ตำบลโพธิ์ทอง กิ่งอำเภอศรีสมเด็จ คณะ ป. บันเทิงศิลป์ บ้านสีแก้ว ตำบลสีแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด คณะหนังปะโมทัยของผู้ใหญ่ถัง อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น เป็นต้น

จากการสำรวจวิจัยพบว่า ยังมีคณะหนังประโมทัยอยู่ใน 13 จังหวัดภาคอีสาน ได้แก่ อุดรธานี มุกดาหาร นครพนม กาฬสินธุ์ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ ยโสธร บุรีรัมย์ และนครราชสีมา (สำรวจปี พ.ศ. 2553) โดย จังหวัดร้อยเอ็ดมีมากที่สุด 13 คณะ ยโสธรมี 7 คณะ ขอนแก่นมี 6 คณะ อุบลราชธานีมี 5 คณะ อุดรธานีและมหาสารคามมีจังหวัดละ 3 คณะ ท่านใดสนใจเข้าไปศึกษาหาความรู้ได้ตามลิงค์ที่แนบมาให้นี้นะครับ
https://www.isangate.com/new/drama-acting/156-pramo-tai.html
cat 104pg.JPG (590.54 KiB) เข้าดูแล้ว 874 ครั้ง
พระธาตุอานนท์   พระธาตุเก่าแก่ที่สำคัญองค์หนึ่งในภาคอีสาน การก่อสร้างได้รับอิทธิพลศิลปะลาวที่นิยมสร้างขึ้นเมื่อปลายสมัยกรุง ศรีอยุธยาถึง ต้นรัตนโกสินทร์  เจดีย์มีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยม ภายในบรรจุอัฐิของพระอานนท์ ส่วนยอดคล้ายพระธาตุพนม ฐานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยาวด้านละ 8 เมตร ก่อด้วยอิฐถือปูน มีความสูง 25 เมตร 30 เซนติเมตร เบื้องบนสุดเป็นยอดฉัตร และมีธาตุเล็ก อีกองค์อยู่ด้านข้าง ซึ่งเป็นเจดีย์บรรจุอัฐิของเจ้าพระยาวิชัยราชขัตติยวงศา (อดีตเจ้าเมืองสิงห์ท่า)
พระธาตุอานนท์ พระธาตุเก่าแก่ที่สำคัญองค์หนึ่งในภาคอีสาน การก่อสร้างได้รับอิทธิพลศิลปะลาวที่นิยมสร้างขึ้นเมื่อปลายสมัยกรุง ศรีอยุธยาถึง ต้นรัตนโกสินทร์ เจดีย์มีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยม ภายในบรรจุอัฐิของพระอานนท์ ส่วนยอดคล้ายพระธาตุพนม ฐานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยาวด้านละ 8 เมตร ก่อด้วยอิฐถือปูน มีความสูง 25 เมตร 30 เซนติเมตร เบื้องบนสุดเป็นยอดฉัตร และมีธาตุเล็ก อีกองค์อยู่ด้านข้าง ซึ่งเป็นเจดีย์บรรจุอัฐิของเจ้าพระยาวิชัยราชขัตติยวงศา (อดีตเจ้าเมืองสิงห์ท่า)
cat 106pg.JPG (667.43 KiB) เข้าดูแล้ว 874 ครั้ง
cat 107pg.JPG
cat 107pg.JPG (294.71 KiB) เข้าดูแล้ว 874 ครั้ง
cat 108pg.JPG
cat 108pg.JPG (376.5 KiB) เข้าดูแล้ว 874 ครั้ง
พระพุทธปฏิมาบุษยรัตน์ หรือ พระcก้วหยดน้ำค้างหรือพระแก้วขาว  เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ สร้างจากเนื้อแก้วใสสะอาดบริสุทธิ์ ขนาดหน้าตักกว้าง 1.9 นิ้ว ศิลปะเชียงแสน เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง ยโสธร ในจารึกประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 80 เมื่อ พ.ศ.2440 (ร.ศ.115) กล่าวว่า ท้าวพญาเมืองจำปาศักดิ์ได้ถวายพระแก้วขาว แด่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย จึงโปรดให้อัญเชิญลง มากรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ.2355 ต่อมารัชกาลที่ 3 พระราชทานให้ ชาวเมืองยโสธร
พระพุทธปฏิมาบุษยรัตน์ หรือ พระcก้วหยดน้ำค้างหรือพระแก้วขาว เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ สร้างจากเนื้อแก้วใสสะอาดบริสุทธิ์ ขนาดหน้าตักกว้าง 1.9 นิ้ว ศิลปะเชียงแสน เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง ยโสธร ในจารึกประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 80 เมื่อ พ.ศ.2440 (ร.ศ.115) กล่าวว่า ท้าวพญาเมืองจำปาศักดิ์ได้ถวายพระแก้วขาว แด่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย จึงโปรดให้อัญเชิญลง มากรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ.2355 ต่อมารัชกาลที่ 3 พระราชทานให้ ชาวเมืองยโสธร
cat 109pg.JPG (333.07 KiB) เข้าดูแล้ว 874 ครั้ง
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (420).JPG
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (420).JPG (252.97 KiB) เข้าดูแล้ว 874 ครั้ง
หอไตร  อยู่ในบริเวณวัดมหาธาตุ สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2373 โดยพระครูหลักคำ (กุคำ)เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุรูปที่ 3 ตัวอาคารหอไตร สร้างด้วยไม้ตั้งอยู่กลางสระน้ำ เป็นที่เก็บคัมภีร์ใบลาน พร้อมพระไตรปิฏก และตำราต่างๆซึ่งพระครูหลักคำเป็นผู้นำ มาจากเมือง เวียงจันทน์ซุ้มประตูและบานประตูไม้สลักลวดลายเครือเถาลงรักปิดทองอย่างสวยงาม การตกแต่งฝาผนังมีลวดลาย ซึ่งเป็นลักษณะ ผสมแบบภาคกลางสันนิษฐานว่า หอไตรน่าจะสร้างขึ้นประมาณสมัยรัชกาลที่ 4-5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
หอไตร อยู่ในบริเวณวัดมหาธาตุ สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2373 โดยพระครูหลักคำ (กุคำ)เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุรูปที่ 3 ตัวอาคารหอไตร สร้างด้วยไม้ตั้งอยู่กลางสระน้ำ เป็นที่เก็บคัมภีร์ใบลาน พร้อมพระไตรปิฏก และตำราต่างๆซึ่งพระครูหลักคำเป็นผู้นำ มาจากเมือง เวียงจันทน์ซุ้มประตูและบานประตูไม้สลักลวดลายเครือเถาลงรักปิดทองอย่างสวยงาม การตกแต่งฝาผนังมีลวดลาย ซึ่งเป็นลักษณะ ผสมแบบภาคกลางสันนิษฐานว่า หอไตรน่าจะสร้างขึ้นประมาณสมัยรัชกาลที่ 4-5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (422).JPG (236.32 KiB) เข้าดูแล้ว 874 ครั้ง
วันนี้ตลอดทั้งวันในบรรยากาศที่ร้อนอบอ้าว เราปั่นได้ ๙๐ กม.ถือไม่ธรรมดา ขนาดว่าตัวผมเองยังรู้สึกว่าเพลียนิด ๆ สำหรับคุณนายไม่ต้องพูดถึง คุณเธอคงเหนื่อยเป็นสองเท่าที่ผมมี แต่คุณเธอ &quot;อึด&quot; จริง ๆ ไม่เอ่ยปากบ่นเลย ถึงที่พักรีบอาบน้ำอุ่นคลายกล้ามเนื้อจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ตั้งแต่เรากลับจากกาฬสินธ์ก็ไม่ได้ซ้อมกันเลย มาหนักเอาทันทีจึงมีปัญหาบ้าง แต่เราก็ผ่านด้วยดี &quot;ความอดทน ให้อภัย เข้าใจซึ่งกันและกัน&quot; สามารถผ่านวิกฤตไปได้ครับ
วันนี้ตลอดทั้งวันในบรรยากาศที่ร้อนอบอ้าว เราปั่นได้ ๙๐ กม.ถือไม่ธรรมดา ขนาดว่าตัวผมเองยังรู้สึกว่าเพลียนิด ๆ สำหรับคุณนายไม่ต้องพูดถึง คุณเธอคงเหนื่อยเป็นสองเท่าที่ผมมี แต่คุณเธอ "อึด" จริง ๆ ไม่เอ่ยปากบ่นเลย ถึงที่พักรีบอาบน้ำอุ่นคลายกล้ามเนื้อจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ตั้งแต่เรากลับจากกาฬสินธ์ก็ไม่ได้ซ้อมกันเลย มาหนักเอาทันทีจึงมีปัญหาบ้าง แต่เราก็ผ่านด้วยดี "ความอดทน ให้อภัย เข้าใจซึ่งกันและกัน" สามารถผ่านวิกฤตไปได้ครับ
cat 110pg.JPG (113.21 KiB) เข้าดูแล้ว 872 ครั้ง
725528.jpg
725528.jpg (27.1 KiB) เข้าดูแล้ว 872 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4378
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุง - คุณป้า พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:D :) สวัสดียามเช้าครับ วันที่ ๒๗ กพ.๖๒ เป็นวันที่ ๓ ของการท่องเมืองยโสธรของเราสองคน วันนี้เราตกลงกันว่าจะไปดูการผลิตกระติ๊บข้าวที่บ้านนางโอก และไปชมการทำเกวียนจำลองที่บ้านนาสะไมย เป้าหมายเราคาดว่าจะพักนอนที่ อ.กุดชุม
ไฟล์แนบ
725526.jpg
725526.jpg (50.31 KiB) เข้าดูแล้ว 863 ครั้ง
2923948.jpg
2923948.jpg (66.16 KiB) เข้าดูแล้ว 863 ครั้ง
ช่วงเช้าก่อนออกเดินทางเติมพลังเช้าที่เราเตรียมไว้แต่เมือวานตอนเย็น ที่ โรงแรมจะมีบริการเครื่องดื่มเป็นกาแฟ โอวัลติน น้ำ แต่ไม่มีอาหารเช้า หลังจากที่เสร็จจากภาระกิจก่อนออกเดินทางเราได้รับน้ำใจจากพนักงานโรงแรมที่สนใจและให้ความสะดวกตลอดจนเป็นกันเองกับเรา แนะนำเส้นทางต่อเป้าหมายที่เราจะไป สดุดใจนิด ๆ ที่ได้ทราบได้สัมผัสกับผู้คนที่เราได้พูดคุยเจรจาสนทนาด้วย ตลอดชีวิตของคนเหล่านั้น เขาไม่เคยมีความคิด ที่จะท่องเที่ยวเดินทางแบบแบบที่เราไปกัน ถ้าหากมีโอกาสไปเขาจะไปแบบสบาย ๆ เที่ยวที่ ๆ มีคนนิยมไปเช่นห้างใหญ่ ๆ ร้านค้าดัง ๆ การที่เขาเหล่านั้นมีความคิดแบบนี้เลยทำให้ไม่มีโอกาสได้ไปสักครั้ง เพราะปัจจัย เงิน เป็นเรื่องใหญ่ เมื่อเขาเห็นว่า จักรยานก็สามารถไปถึงจุดหมายได้ เขาเปลี่ยนความคิดใหม่ว่าหากรักจะเที่ยวจริง ๆ ก็มีสิทธิ์ที่จะทำได้ อีกประเด็นหนึ่ง ที่น้อง ๆ พนักงานโรงแรม เขาถามกลับว่าจะไปดูทำไม &quot;การสานกระติ๊บข้าว การสร้างเกวียนจำลอง&quot; ตรงนี้ต้องเสียเวลาอธิบายยาวแถมตบท้ายว่า อีกไม่นานหากคนไทยเราไม่ใส่ใจในวิถีชีวิตตลอดจนวัฒนธรรมประเพณี สิ่งเหล่านี้ก็จะสูญหายไป
ช่วงเช้าก่อนออกเดินทางเติมพลังเช้าที่เราเตรียมไว้แต่เมือวานตอนเย็น ที่ โรงแรมจะมีบริการเครื่องดื่มเป็นกาแฟ โอวัลติน น้ำ แต่ไม่มีอาหารเช้า หลังจากที่เสร็จจากภาระกิจก่อนออกเดินทางเราได้รับน้ำใจจากพนักงานโรงแรมที่สนใจและให้ความสะดวกตลอดจนเป็นกันเองกับเรา แนะนำเส้นทางต่อเป้าหมายที่เราจะไป สดุดใจนิด ๆ ที่ได้ทราบได้สัมผัสกับผู้คนที่เราได้พูดคุยเจรจาสนทนาด้วย ตลอดชีวิตของคนเหล่านั้น เขาไม่เคยมีความคิด ที่จะท่องเที่ยวเดินทางแบบแบบที่เราไปกัน ถ้าหากมีโอกาสไปเขาจะไปแบบสบาย ๆ เที่ยวที่ ๆ มีคนนิยมไปเช่นห้างใหญ่ ๆ ร้านค้าดัง ๆ การที่เขาเหล่านั้นมีความคิดแบบนี้เลยทำให้ไม่มีโอกาสได้ไปสักครั้ง เพราะปัจจัย เงิน เป็นเรื่องใหญ่ เมื่อเขาเห็นว่า จักรยานก็สามารถไปถึงจุดหมายได้ เขาเปลี่ยนความคิดใหม่ว่าหากรักจะเที่ยวจริง ๆ ก็มีสิทธิ์ที่จะทำได้ อีกประเด็นหนึ่ง ที่น้อง ๆ พนักงานโรงแรม เขาถามกลับว่าจะไปดูทำไม "การสานกระติ๊บข้าว การสร้างเกวียนจำลอง" ตรงนี้ต้องเสียเวลาอธิบายยาวแถมตบท้ายว่า อีกไม่นานหากคนไทยเราไม่ใส่ใจในวิถีชีวิตตลอดจนวัฒนธรรมประเพณี สิ่งเหล่านี้ก็จะสูญหายไป
cat 111pg.JPG (628.76 KiB) เข้าดูแล้ว 863 ครั้ง
ช่วงนี้เป็นช่วงหาเสียงเลือกตั้งเราเจอะเจอป้ายหาเสียงไปตลอดสองข้างทาง ดูไปคิดไปก็สนุกดี เลือกตั้งหนนี้ เชื่อหรือไม่ประชาธิปไตยจะกลับมา คนไทยเมืองไทย เมืองแห่งที่กำเนิด ศรีธนญชัย น่าเป็นเมืองเดียวในโลกที่มีคนอย่างศรีธนญชัย อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้เสมอ ๆ ในเมืองไทย (สยามเมืองยิ้ม) จงยิ้มไว้ครับอยู่ให้ได้กับสภาพการณ์ต่าง ๆ ที่จะบังเกิด ถูกใจบ้างไม่ถูกใจบ้าง อย่าให้น้ำหนักเพราะเราเพียงคนเดียวแม้ว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรก็ได้ ตามสโลแกนที่เคยได้ยินว่า &quot;หนึ่งเสียงของท่านสามารถเปลี่ยนประเทศได้&quot; ก็อย่าไปใส่ใจมากนัก แต่ต้องไปเลือกตั้งตามหน้าที่ จงเลือกคนดีที่ใช่ในพรรคที่เห็นว่าถูกใจเรา เพราะรํฐธรรมนูญใหม่นี้ ให้เรากาเพียงเบอร์เดียว คือได้ทั้งคนและพรรค ไม่เหมือนแต่ก่อน ๆ ที่ให้ &quot;กาคนที่รักและเลือกพรรคที่ใช่&quot; เมื่อไปทำหน้าที่เรียบร้อยก็กลับบ้าน หันหน้าปฏิบัติธรรม สำนึกสำเนียกเสมอ ๆ ว่า &quot;สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม&quot; ชีวิตของเราก็จะไม่เป็นทุกข์ครับ
ช่วงนี้เป็นช่วงหาเสียงเลือกตั้งเราเจอะเจอป้ายหาเสียงไปตลอดสองข้างทาง ดูไปคิดไปก็สนุกดี เลือกตั้งหนนี้ เชื่อหรือไม่ประชาธิปไตยจะกลับมา คนไทยเมืองไทย เมืองแห่งที่กำเนิด ศรีธนญชัย น่าเป็นเมืองเดียวในโลกที่มีคนอย่างศรีธนญชัย อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้เสมอ ๆ ในเมืองไทย (สยามเมืองยิ้ม) จงยิ้มไว้ครับอยู่ให้ได้กับสภาพการณ์ต่าง ๆ ที่จะบังเกิด ถูกใจบ้างไม่ถูกใจบ้าง อย่าให้น้ำหนักเพราะเราเพียงคนเดียวแม้ว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรก็ได้ ตามสโลแกนที่เคยได้ยินว่า "หนึ่งเสียงของท่านสามารถเปลี่ยนประเทศได้" ก็อย่าไปใส่ใจมากนัก แต่ต้องไปเลือกตั้งตามหน้าที่ จงเลือกคนดีที่ใช่ในพรรคที่เห็นว่าถูกใจเรา เพราะรํฐธรรมนูญใหม่นี้ ให้เรากาเพียงเบอร์เดียว คือได้ทั้งคนและพรรค ไม่เหมือนแต่ก่อน ๆ ที่ให้ "กาคนที่รักและเลือกพรรคที่ใช่" เมื่อไปทำหน้าที่เรียบร้อยก็กลับบ้าน หันหน้าปฏิบัติธรรม สำนึกสำเนียกเสมอ ๆ ว่า "สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม" ชีวิตของเราก็จะไม่เป็นทุกข์ครับ
cat 115pg.JPG (685.78 KiB) เข้าดูแล้ว 863 ครั้ง
ประวัติความเป็นมา  ตำบลทุ่งนางโอกแต่ป้ายที่หน้าวัดเขียนไว้ว่า &quot;บ้านอีโอก&quot; ๕๕๕ อีโอกเป็นตำบลหนึ่งในสิบเจ็ดตำบลของอำเภอเมืองยโสธร ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพในการทำนาเป็นหลัก และมีอาชีพเสริมคือการทำ กระติบข้าว ซึ่งถือว่าเป็นงานหัตถกรรมพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงของตำบลและอีกหนึ่งอย่างที่อีโอกมีคือ มีการอนุรักษ์วัฒนธรรม และงานประเพณีสำคัญ คืองานบุญบั้งไฟ ซึ่งหากมีการส่งเสริมและสนับสนุนอย่างจริงจังก็สามารถพัฒนาตำบลได้อย่างเจริญก้าวหน้า บ้านทุ่งนางโอกหรือทุ่งอีโอก อยู๋ห่างจากตัวเมืองประมาณ 8 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 2169 (ยโสธร-กุดชุม) ย้ำอีกครั้งครับว่า มีชื่อเสียงในการจักสานไม้ไผ่ เพื่อเป็นเครื่องใช้ในครัวเรือนและของที่ระลึก ใครที่ผ่านไปผ่านมาอย่าลืมแวะเข้าไปชมนะครับ
ประวัติความเป็นมา ตำบลทุ่งนางโอกแต่ป้ายที่หน้าวัดเขียนไว้ว่า "บ้านอีโอก" ๕๕๕ อีโอกเป็นตำบลหนึ่งในสิบเจ็ดตำบลของอำเภอเมืองยโสธร ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพในการทำนาเป็นหลัก และมีอาชีพเสริมคือการทำ กระติบข้าว ซึ่งถือว่าเป็นงานหัตถกรรมพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงของตำบลและอีกหนึ่งอย่างที่อีโอกมีคือ มีการอนุรักษ์วัฒนธรรม และงานประเพณีสำคัญ คืองานบุญบั้งไฟ ซึ่งหากมีการส่งเสริมและสนับสนุนอย่างจริงจังก็สามารถพัฒนาตำบลได้อย่างเจริญก้าวหน้า บ้านทุ่งนางโอกหรือทุ่งอีโอก อยู๋ห่างจากตัวเมืองประมาณ 8 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 2169 (ยโสธร-กุดชุม) ย้ำอีกครั้งครับว่า มีชื่อเสียงในการจักสานไม้ไผ่ เพื่อเป็นเครื่องใช้ในครัวเรือนและของที่ระลึก ใครที่ผ่านไปผ่านมาอย่าลืมแวะเข้าไปชมนะครับ
cat 116pg.JPG (779.43 KiB) เข้าดูแล้ว 863 ครั้ง
cat 112pg.JPG
cat 112pg.JPG (485.06 KiB) เข้าดูแล้ว 863 ครั้ง
32162.jpg
32162.jpg (173.67 KiB) เข้าดูแล้ว 863 ครั้ง
32163.jpg
32163.jpg (161.07 KiB) เข้าดูแล้ว 863 ครั้ง
วัดทุ่งอีโอกมีหลวงปู่ที่คนให้ความเคารพนับถือมาก ชาวบ้านให้ไปกราบขอพรนมัสการเพื่อเป็นสิริมงคล ถูกใจเราสองคนครับ
วัดทุ่งอีโอกมีหลวงปู่ที่คนให้ความเคารพนับถือมาก ชาวบ้านให้ไปกราบขอพรนมัสการเพื่อเป็นสิริมงคล ถูกใจเราสองคนครับ
32164.jpg (152.26 KiB) เข้าดูแล้ว 863 ครั้ง
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (444).JPG
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (444).JPG (276.14 KiB) เข้าดูแล้ว 863 ครั้ง
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (445).JPG
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (445).JPG (293.92 KiB) เข้าดูแล้ว 863 ครั้ง
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (446).JPG
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (446).JPG (229.49 KiB) เข้าดูแล้ว 863 ครั้ง
เสียดายเราไม่ได้เห็นกลุ่มที่เขาสร้างเป็นโรงเรือนรวมกลุ่มกันผลิตเหมือนทั่ว ๆ ไป แต่ทราบว่าแต่ละบ้านแต่ละหลังต่างพากันสานเรียกได้ว่าทุกครัวเรือน ต่อเมื่อจะมีผู้มาดูงานหรือมีงานประจำปีใด ๆ จึงจะรวมกลุ่มกันไปนั่งสานให้เห็น สอบถามว่าแล้วขายได้ไหม ก็ได้ทราบว่ามีเท่าไหร่จะมีคนมารับซื้อไปหมด สำหรับสนันราคาก็ไม่ได้แพงอันละ ๑๐๐ บ้าง ๒๐๐ บ้างแล้วแต่แบบและความยากง่าย
เสียดายเราไม่ได้เห็นกลุ่มที่เขาสร้างเป็นโรงเรือนรวมกลุ่มกันผลิตเหมือนทั่ว ๆ ไป แต่ทราบว่าแต่ละบ้านแต่ละหลังต่างพากันสานเรียกได้ว่าทุกครัวเรือน ต่อเมื่อจะมีผู้มาดูงานหรือมีงานประจำปีใด ๆ จึงจะรวมกลุ่มกันไปนั่งสานให้เห็น สอบถามว่าแล้วขายได้ไหม ก็ได้ทราบว่ามีเท่าไหร่จะมีคนมารับซื้อไปหมด สำหรับสนันราคาก็ไม่ได้แพงอันละ ๑๐๐ บ้าง ๒๐๐ บ้างแล้วแต่แบบและความยากง่าย
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (448).JPG (296.68 KiB) เข้าดูแล้ว 863 ครั้ง
ภาพเหล่านี้จะหาดูหาชมได้ยากแล้วนะครับ แม้แต่ที่เชียงใหม่เองต้องออกไปนอก ๆ สุด ๆ จึงจะได้เห็น คนรุ่นใหม่จักสานเหลาตอกเหลาไม้ไม่เป็นแล้วครับ
ภาพเหล่านี้จะหาดูหาชมได้ยากแล้วนะครับ แม้แต่ที่เชียงใหม่เองต้องออกไปนอก ๆ สุด ๆ จึงจะได้เห็น คนรุ่นใหม่จักสานเหลาตอกเหลาไม้ไม่เป็นแล้วครับ
S__36364291.jpg (363.5 KiB) เข้าดูแล้ว 863 ครั้ง
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (467).JPG
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (467).JPG (362.94 KiB) เข้าดูแล้ว 863 ครั้ง
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (468).JPG
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (468).JPG (208.94 KiB) เข้าดูแล้ว 863 ครั้ง
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (469).JPG
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (469).JPG (298.19 KiB) เข้าดูแล้ว 863 ครั้ง
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (470).JPG
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (470).JPG (356.57 KiB) เข้าดูแล้ว 863 ครั้ง
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (471).JPG
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (471).JPG (253.89 KiB) เข้าดูแล้ว 863 ครั้ง
สอบถามชาวบ้านร้านค้าถึงบ้านนาสะไมย ที่เขาสร้างเกวียนจำลอง ก็ได้ทราบว่าปัจจุบันนี้เขาเลิกไปแล้วเพราะไม้หายาก อีกอย่างหมู่บ้านาสะไมยต้องเข้าไปอีกราว ๆ ๙-๑๐ กม.ช่วงนั้นเป็นเวลาเที่ยงแล้วเราสองคนก็เลยหาร้านรับประทานมื้อเที่ยงก่อนที่จะไปต่อกัน
สอบถามชาวบ้านร้านค้าถึงบ้านนาสะไมย ที่เขาสร้างเกวียนจำลอง ก็ได้ทราบว่าปัจจุบันนี้เขาเลิกไปแล้วเพราะไม้หายาก อีกอย่างหมู่บ้านาสะไมยต้องเข้าไปอีกราว ๆ ๙-๑๐ กม.ช่วงนั้นเป็นเวลาเที่ยงแล้วเราสองคนก็เลยหาร้านรับประทานมื้อเที่ยงก่อนที่จะไปต่อกัน
ลุงกะป้าพาเที่ยว ยโสธร ๒๔ กพ.-๒ มีค.๖๒ (473).JPG (237.91 KiB) เข้าดูแล้ว 863 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4378
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุง - คุณป้า พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:| :| สายัณห์สวัสดิ์ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพทุกท่าน วันที่ ๑๖ - ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๒ เป็นช่วงกำหนดกาลของเราที่จะต้องไปชาร์ทแบตเตอรี่ชีวิต (ปฏิบัติธรรม) เราเลือกไปที่วัดห้วยส้มสุกเพราะสัปปายะมาก สัญญาณใด ๆ ก็ไม่มีคือขาดการติดต่อครับ วิเวกสุด ๆ เร่งความเพียรได้ดีมาก ๆ ครับ

คำว่าสัปปายะ คือ ที่ยังให้เกิดความสบาย มีอยู่ด้วยกัน ๔ อย่างหรือที่เราเรียกว่า สัปปายะ ๔ อันได้แก่

๑.อาวาสสัปปายะ = มีที่พักอาศัยสะดวก ที่อยู่เหมาะสม บรรยากาศดี
๒.บุคคลสัปปายะ = มีบุคคลแวดล้อมที่เหมาะสม ที่เกี่ยวข้องทำให้สบายใจ
๓.อาหารสัปปายะ = บริโภคอาหารที่พอเหมาะ มีอาหารการบริโภคสะดวก
๔.ธัมมสัปปายะ = มีหลักปฏิบัติที่ถูกต้องและเหมาะแก่จริตของผู้ปฏิบัติธรรม


มีหลายท่านที่ข้องใจสงสัย อยากรู้และอยากถาม ซึ่งเจอบ่อยครับคือ "ปฏิบัติธรรมอยู่ที่บ้านก็ได้" แล้วก็จะมีคำถามพ่วงท้ายว่า " ไปทำไมที่วัด....? " เรื่องนี้ขอยืนยัน "จริงครับ" แต่ผมและคุณนายในฐานะที่เป็นศิษย์มีครู พ่อแม่ครูบาอาจารย์โดยเฉพาะหลวงพ่อเปลี่ยน จะบอกคุณนายเสมอ ๆ ว่า "ให้สร้างบ้านเป็นวัดให้ได้" แต่หลวงพ่อยังได้กล่าวต่อไปว่า ที่บ้านนั้นแม้จะเป็นเสมือนหนึ่งวัดแล้ว แต่อย่างไรเสียก็ไม่สัปปายะเท่าที่วัด เพราะบ้านมองไปมุมใดทิศใดล้วนแต่ประกอบไปด้วย "กาม" ทั้งนั้น

คำว่า กาม หมายถึงความใคร่, ความอยาก, สิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่ มี ๒ อย่าง คือ

๑. กิเลสกาม กิเลส @ ที่ทำให้ใคร่ ได้แก่ ราคะ โลภะ อิจฉา(ความอยากได้) เป็นต้น

๒.วัตถุกาม วัตถุอันน่าใคร่ ได้แก่ @ กามคุณ ๕ (รูป, เสียง, กลิ่น, รส, โผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย) ที่น่าใคร่ น่าพอใจ (องฺ.ปญฺจก.อ. ๓/๗/๒)

กามที่วัดมีน้อยกว่าบ้าน จึงสัปปายะกว่า เราจึงหาโอกาสเสมอ ๆ ที่จะไปชาร์ทแบต ฯ ดังกล่าวที่วัดเมื่อมีเวลา สำหรับวันนี้เราออกมาซื้ออาหารเพื่อทำถวายพระและเลี้ยงญาติโยมที่ไปนอนวัด คิดถึง FC.ในกระทู้จึงปลีกเวลามาเล่าเรื่องต่อ แล้วก็จะกลับคงเจอกันอีกครั้งในวันที่ ๒๓ มีค.นะครับ เอาบุญมาฝากครับ :) :D
ไฟล์แนบ
S__38453266.jpg
S__38453266.jpg (101.83 KiB) เข้าดูแล้ว 837 ครั้ง
เราปั่นไปยี่ยมชมการสานกระติ๊บข้าวซึ่งผิดหวังไม่ได้เห็นเขารวมกลุ่มกันเหมือนที่อื่น ๆ แต่ยังโชคดีที่ได้เห็นและได้ทราบกิจการดี ๆ ที่ชาวบ้านยึดถือเป็นความหวังในการทำมาหากินได้ <br /><br />สำหรับที่หมู่บ้านนาสะไมย์ ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับบ้านทุ่งนางโอกมีชื่อเสียงในเรื่องการจักสานไม้ไผ่และการแกะสลักเกวียนจำลองที่ปราณีตงดงาม ได้ทราบว่าได้เลิกกิจการไปแล้วนัยว่าไม้หายาก เห็นร้านหมอนขิดข้างทางก็นึกไปถึงหมู่บ้านที่ทำหมอนขิดคือ บ้านศรีฐาน อ.ป่าติ้ว เราก็พลาด น่าเสียดาย<br /><br />ในขณะที่เรานั่งทานอาหารแม่ค้าก็ได้แนะนำให้ไปเยี่ยมชม พระธาตุฝุ่นซึ่งเป็นอีกแห่งหนึ่งที่ชาว อ.ทรายมูล ให้ความเคารพ เสร็จจากมื้อเที่ยงเราจึงไม่พลาดที่จะเดินทางไปยังพระธาตุฝุ่นต่อไป
เราปั่นไปยี่ยมชมการสานกระติ๊บข้าวซึ่งผิดหวังไม่ได้เห็นเขารวมกลุ่มกันเหมือนที่อื่น ๆ แต่ยังโชคดีที่ได้เห็นและได้ทราบกิจการดี ๆ ที่ชาวบ้านยึดถือเป็นความหวังในการทำมาหากินได้

สำหรับที่หมู่บ้านนาสะไมย์ ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับบ้านทุ่งนางโอกมีชื่อเสียงในเรื่องการจักสานไม้ไผ่และการแกะสลักเกวียนจำลองที่ปราณีตงดงาม ได้ทราบว่าได้เลิกกิจการไปแล้วนัยว่าไม้หายาก เห็นร้านหมอนขิดข้างทางก็นึกไปถึงหมู่บ้านที่ทำหมอนขิดคือ บ้านศรีฐาน อ.ป่าติ้ว เราก็พลาด น่าเสียดาย

ในขณะที่เรานั่งทานอาหารแม่ค้าก็ได้แนะนำให้ไปเยี่ยมชม พระธาตุฝุ่นซึ่งเป็นอีกแห่งหนึ่งที่ชาว อ.ทรายมูล ให้ความเคารพ เสร็จจากมื้อเที่ยงเราจึงไม่พลาดที่จะเดินทางไปยังพระธาตุฝุ่นต่อไป
cat 118pg.JPG (302.85 KiB) เข้าดูแล้ว 837 ครั้ง
หมู่บ้านทำหมอนขิด บ้านศรีฐาน เป็นหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาดเมื่อไปเที่ยวจังหวัดยโสธร ที่นี่หลังฤดูทำนา ชาวบ้านทุกครัวเรือนจะทอผ้าและทำหมอนขิด หมอนขิด นั้นถือเป็นผลิตภัณฑ์ OTOP ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ใครที่อยากจะมาเห็นวิธีการทำ กว่าจะเป็นหมอนขิดสวยๆ และอยากจะมาซื้อถึงแหล่งจึงต้องแวะมาที่นี่เลย แต่เราพลาดไปครับเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนมาก และจุดที่เราจะไปห่างไกลกันพอสมควร (ไม่ขัดใจคุณนาย๕๕)
หมู่บ้านทำหมอนขิด บ้านศรีฐาน เป็นหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาดเมื่อไปเที่ยวจังหวัดยโสธร ที่นี่หลังฤดูทำนา ชาวบ้านทุกครัวเรือนจะทอผ้าและทำหมอนขิด หมอนขิด นั้นถือเป็นผลิตภัณฑ์ OTOP ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ใครที่อยากจะมาเห็นวิธีการทำ กว่าจะเป็นหมอนขิดสวยๆ และอยากจะมาซื้อถึงแหล่งจึงต้องแวะมาที่นี่เลย แต่เราพลาดไปครับเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนมาก และจุดที่เราจะไปห่างไกลกันพอสมควร (ไม่ขัดใจคุณนาย๕๕)
cat 124pg.JPG (117.51 KiB) เข้าดูแล้ว 837 ครั้ง
พระธาตุฝุ่น  ตั้งอยู่ที่วัดป่าพระธาตุฝุ่นบ้านทรายมูล หมู่ที่อ 14  ตำบลทรายมูล อำเภอทรายมูล ห่างจากที่ว่าการอำเภอทรายมูลประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นพระธาตุเก่าแก่สร้างปี พ.ศ.ใดไม่มีหลักฐาน องค์พระธาตุเก่าได้ปรักหักพังลงจนเหลือเพียงกองอิฐสูงประมาณ 4 เมตร ฐานกว้าง 4x4 เมตร ชื่อ &quot;พระธาตุฝุ่น&quot; เรียกตามโบราณวัตถุสำคัญที่ค้นพบในองค์พระธาตุซึ่งมีลักษณะเป็นผงฝุ่น ตามคำบอกเล่าสืบต่อกันมาเข้าใจว่าอาจเป็นเถ้าอัฐิ ธาตุของพระอรหันต์รูปใดรูปหนึ่ง ปัจจุบันได้ก่อสร้างพระธาตุองค์ใหม่ขึ้น แทนองค์เดิมโดยใช้แบบแปลนของกรมศิลปากร และงบประมาณก่อสร้างจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธร (เมื่อปี 2538)  ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระธาตุองค์เดิม ฐานกว้าง 4x4 เมตร สูงประมาณ 16 เมตร นับจากฐานราก  ประเพณีการสักการะและสรงน้ำองค์พระธาตุฝุ่นของท้องถิ่นได้กำหนดไว้ในวันเพ็ญ เดือน 6 ตรงกับวันวิสาขบูชา ของทุกปี
พระธาตุฝุ่น ตั้งอยู่ที่วัดป่าพระธาตุฝุ่นบ้านทรายมูล หมู่ที่อ 14 ตำบลทรายมูล อำเภอทรายมูล ห่างจากที่ว่าการอำเภอทรายมูลประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นพระธาตุเก่าแก่สร้างปี พ.ศ.ใดไม่มีหลักฐาน องค์พระธาตุเก่าได้ปรักหักพังลงจนเหลือเพียงกองอิฐสูงประมาณ 4 เมตร ฐานกว้าง 4x4 เมตร ชื่อ "พระธาตุฝุ่น" เรียกตามโบราณวัตถุสำคัญที่ค้นพบในองค์พระธาตุซึ่งมีลักษณะเป็นผงฝุ่น ตามคำบอกเล่าสืบต่อกันมาเข้าใจว่าอาจเป็นเถ้าอัฐิ ธาตุของพระอรหันต์รูปใดรูปหนึ่ง ปัจจุบันได้ก่อสร้างพระธาตุองค์ใหม่ขึ้น แทนองค์เดิมโดยใช้แบบแปลนของกรมศิลปากร และงบประมาณก่อสร้างจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธร (เมื่อปี 2538) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระธาตุองค์เดิม ฐานกว้าง 4x4 เมตร สูงประมาณ 16 เมตร นับจากฐานราก ประเพณีการสักการะและสรงน้ำองค์พระธาตุฝุ่นของท้องถิ่นได้กำหนดไว้ในวันเพ็ญ เดือน 6 ตรงกับวันวิสาขบูชา ของทุกปี
cat 119pg.JPG (269.62 KiB) เข้าดูแล้ว 837 ครั้ง
cat 117pg.JPG
cat 117pg.JPG (758.26 KiB) เข้าดูแล้ว 837 ครั้ง
cat 122pg.JPG
cat 122pg.JPG (794.39 KiB) เข้าดูแล้ว 837 ครั้ง
cat 123pg.JPG
cat 123pg.JPG (522.72 KiB) เข้าดูแล้ว 837 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4378
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุง - คุณป้า พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D อรุณสวัสดิ์ท่านที่เคารพทุก ๆ ท่าน กลับมาจากการไปชาร์จแบตเตอรี่ชีวิตเรียบร้อยแล้วอิ่มบุญ จิตใจสงบ สบาย โล่ง ขออนุญาตุส่งบุญกุศลต่าง ๆ ที่ได้กระทำมาถึง FC ตลอดจนทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมกระทู้ขอให้ได้รับผลบุญร่วมกันจงทุกประการ ความเจ็บอย่าได้ใกล้ ความไข้อย่าได้มี ความยากจนข่นแค้นอย่าได้มากล้ำกราย ขอให้มีแต่ความสุขสบายจงทุกท่านทุกคนเทอญ :) :D

ในการไปปฏิบัติธรรมที่วัดห้วยส้มสุก ทุกคนที่ไป ต้องเป็นผู้ที่เคยได้ปฏิบัติและรู้แนวทางการปฏิบัติก่อนแล้ว และไปต่อยอดจึงจะเกิดประโยชน์สำหรับผู้ที่เริ่มปฏิบัติต้องไปหาประสบการณ์และ กัลญาณมิตรเอาเองเพราะที่นั่นไม่มีครูมีแต่ตัวอย่าง แต่ก็ไม่ต้องกังวลถ้าใจถึง ใจพร้อม กล้าพอ ไปเริ่มที่นั่นก็ได้

สำหรับผมแล้วจะเน้นที่การปฏิบัติและศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม ไปครั้งนี้ได้อะไรติดไม้ติดมือมาเยอะพอสมควร ขอนำมาแบ่งปันพอหอมปากหอมคอ สมควรแก่ธรรมนะครับ
:idea: :idea:
ไฟล์แนบ
S__2973699.jpg
S__2973699.jpg (275.56 KiB) เข้าดูแล้ว 798 ครั้ง
S__2973700.jpg
S__2973700.jpg (244.59 KiB) เข้าดูแล้ว 798 ครั้ง
S__2973701.jpg
S__2973701.jpg (269.46 KiB) เข้าดูแล้ว 798 ครั้ง
S__2973702.jpg
S__2973702.jpg (234.91 KiB) เข้าดูแล้ว 798 ครั้ง
S__3063811.jpg
S__3063811.jpg (359.93 KiB) เข้าดูแล้ว 798 ครั้ง
S__3063812.jpg
S__3063812.jpg (176.49 KiB) เข้าดูแล้ว 798 ครั้ง
S__3063813.jpg
S__3063813.jpg (229.69 KiB) เข้าดูแล้ว 798 ครั้ง
S__3063814.jpg
S__3063814.jpg (220.91 KiB) เข้าดูแล้ว 798 ครั้ง
S__3063815.jpg
S__3063815.jpg (229.84 KiB) เข้าดูแล้ว 798 ครั้ง
S__3063816.jpg
S__3063816.jpg (141.82 KiB) เข้าดูแล้ว 798 ครั้ง
S__3063817.jpg
S__3063817.jpg (268.83 KiB) เข้าดูแล้ว 798 ครั้ง
S__3063818.jpg
S__3063818.jpg (342.08 KiB) เข้าดูแล้ว 798 ครั้ง
S__3063819.jpg
S__3063819.jpg (245.94 KiB) เข้าดูแล้ว 798 ครั้ง
S__3063820.jpg
S__3063820.jpg (312.52 KiB) เข้าดูแล้ว 798 ครั้ง
S__3137554.jpg
S__3137554.jpg (161.08 KiB) เข้าดูแล้ว 798 ครั้ง
S__3137555.jpg
S__3137555.jpg (230.71 KiB) เข้าดูแล้ว 798 ครั้ง
S__3137556.jpg
S__3137556.jpg (164.35 KiB) เข้าดูแล้ว 798 ครั้ง
S__3137557.jpg
S__3137557.jpg (181.96 KiB) เข้าดูแล้ว 798 ครั้ง
S__3137558.jpg
S__3137558.jpg (174.99 KiB) เข้าดูแล้ว 798 ครั้ง
S__3137559.jpg
S__3137559.jpg (191.91 KiB) เข้าดูแล้ว 798 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
ตอบกลับ

กลับไปยัง “ทัวร์ริ่ง (Touring)”