หน้า 1 จากทั้งหมด 4

หมาป่าเดียวดาย...สวนหลวงร.9-พระธาตุดอยสุเทพ

โพสต์: 20 ส.ค. 2012, 08:15
โดย a lone wolf
ลูกผู้ชายต้องเดินทางไกลสักครั้งในชีวิต
ไลน์แบบนี้ประยุกต์ได้กับหลายกิจกรรมครับ บวช ดำน้ำลึก ไปเนปาล เป็นทหาร ฯลฯ เอาไปเติมแทนคำว่าเดินทางไกลก็ดูงามทั้งนั้น
หมาป่าเดียวดายกลับมาหัดขี่จักรยานตอนต้นปี 2554
ขี่มาเรื่อย ขี่จนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ขี่ไปกลับที่ทำงานบนถนนจอแจในกรุงเทพ ขี่ไปเที่ยวต่างจังหวัด ขี่ไปชมวัดชมโบสถ์ รถยนต์ที่บ้านก็ทิ้งไว้จนน้ำมันเครื่องเหนียวหนืด วันไหนต้องขับรถยนต์อาทิเช่นต้องเอาไปเช็คระยะตามเวลาในสมุดรับประกันกลับคิดว่าเป็นภาระ คืนก่อนหน้าจะนอนไม่ค่อยหลับเพราะต้องตื่นมาทำภาระที่ไม่อยากทำ ทำให้ลุล่วง ว่าจั๊งซั่น


ความฝันที่มาทำให้เริ่มหัดขี่จักรยานใหม่ตอนอายุสี่สิบกว่าหลังจากทิ้งไปสิ้นเชิงตอนเรียนมัธยมก็มีแค่สองอย่าง...หนึ่งคือ อยากขี่บนถนนในกรุงเทพ เพราะแม่กับยายห้ามขี่ออกนอกซอยตอนเป็นเด็ก แกกลัวลูกกลัวหลานถูกรถทับ....อันนี้ฝันเป็นจริงเรียบร้อย
แล้วก็เหลือแค่ฝันขี่ทางไกลนั่นแหละครับ
ฝันบรรเจิดตอนไปหลวงพระบางเดือนธันวาคมปี 2553 นั่งรถตู้ไปจากเวียงจันทน์ ตลอดทางขึ้นไปและกลับลงมา เห็นนักจักรยานทั้งไทยและฝรั่งขี่ขึ้นลงเขากันตลอดทาง
หมาป่าก็อยากบ้าง กลับมาก็ซื้อจักรยาน ขี่มันในกรุงเทพฯให้มันสมอยากกับการขจัดความกลัวถูกรถทับ
แต่ขี่บนถนนสาย 13 ในลาวขึ้นไปหลวงพระบางออกจะหวาดๆอยู่ เพราะเขามันชัน
ฝันเลยเป็นทริปง่ายๆ....ขี่จากกรุงเทพขึ้นเชียงใหม่แล้วไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพ


ซื้อจักรยานคันแรก (และยังเป็นคันเดียวอยู่) นั้นไม่ยากเลยครับสำหรับหมาป่า
เข็มทิศในใจตั้งไว้อย่างเดียวว่า ฉันจะเอารถทัวร์ริ่ง
ติดกระเป๋าท้ายได้ เพื่อขี่ไปทำงานโดยเอาคอมพิวเตอร์และเสื้อผ้าติดรถไปด้วยได้ และบรรทุกสัมภาระยามเดินทางไกล
ไม่เคยมองเสือภูเขา หรือเสือหมอบ (รถพับก็ไม่มอง ^^)
นั่งดูเวปอยู่สองวัน ไม่ค่อยรู้เรื่อง มีรุ่นน้องที่ออฟฟิศที่เราไปเล่าให้เขาฟังว่าจะหารถทัวร์ริ่งเขาบอกว่าตอนนี้มีลดราคาอยู่ที่ TCA
ขับรถไปดูที่ตึกตรงข้ามช่องสามถนนพระรามสี่
เขามีลดราคาอยู่สองยี่ห้อ Kona และ Jamis
อันนี้ก็ง่ายอีก Kona ลดแล้วเหลือ 29,000 Jamis ลดแล้วเหลือ 34,000
หมาป่าก็เอา Kona สิครับ ฮ่าฮ่าฮ่า


Kona Sutra Model 2010 ทัวร์ริ่งสัญชาติแคนาดา แต่ปฏิสนธิในไต้หวัน ตัวถังสีเขียว Jolly Green
27 เกียร์ หนักโคตรเพราะใช้เหล็กโครโมลี ไม่มีลูกบันได ... เอิ่มมมม จริงเหรอ!!!!! จ่ายเงินไปแล้วยังขี่ไม่ได้ 55555
ยกรถยัดเข้ารถยนต์ตัวเอง วันรุ่งขึ้นขี่ไปนครไทยลาดพร้าว 101/1
ให้เขาติดลูกบันได และอัฐบริขารอื่นที่จำเป็นเช่น ขาตั้ง ไมล์ ไฟหน้า ไฟท้าย สูบพกพา หมวกกันน๊อค กางเกงขี่จักรยาน(แบบไม่โชว์หำ) เครื่องมือติดรถ สูบแบบมีเกจ์ ฯลฯ
เฮียที่ร้านบอกว่าไม่น่าซื้อมาเลยรุ่นนี้ น่าจะซื้อที่ขี่ง่ายกว่านี้มาลองก่อน
ช่างเป็นคำวิจารณ์ที่ให้กำลังใจมือใหม่มากเลยครับเฮีย
แถมเฮียเชียร์ให้เปลี่ยนเสต็มคอแฮนด์อีกแน่ะ แกบอกอันนี้ขี่แล้วปวดหลัง
เลยบอกเฮีย....เฮ่อออ ซื้อมาจะสามหมื่น ยังไม่ได้ขี่สักฉึก ขอเอาไปลองก่อนเหอะ ถ้าทนเมื่อยทนปวดไม่ไหวจะมาเปลี่ยนนะเฮียนะ
ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนเลยครับ...ใจมันอยากเอาชนะเฮีย ร่างกายมันเลยปรับตัวเข้ากับรถเสียอย่างนั้น
ขาและหลังปวดเมื่อยสักสัปดาห์แรก แล้วก็หาย มือชาอยู่สองสามวัน แล้วก็หายอีก


เรียกรถตัวเองว่า “อีเขียว” สรรพนามเป็นอีแต่ก็เป็นเพื่อนยากตัวจริง
ขี่ไป Century Trip แรก ด้วยกัน
ขี่ไปขึ้นเขาใหญ่เพื่อฝึกขึ้นเขาทางชัน ด้วยกัน
ขี่ไปกลับเมืองกาญจน์เพื่อฝึกเดินทางให้ได้สองร้อยกิโลเมตรต่อวัน...ก็ด้วยกัน
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อฝึกไว้สำหรับทำฝันให้เป็นจริง...ไหว้พระธาตุดอยสุเทพ ขอเอาแรงขาหยาดเหงื่อและผิวเกรียมแดดเป็นพุทธบูชา
หะแรกนั้นอยากขี่ภายในปี 2554 แต่เอาเข้าจริงปรากฏว่าปลายปี job in งานเข้า
ไม่มีช่วงว่างยาวๆเลย ไม่นับว่าน้ำท่วมสกัดทางไว้จนล่วงเข้าเดือนธันวาคมอีกต่างหาก
จนเข้าสัปดาห์แรกของเดือนกุมภาปี 55 นี่แหละครับที่งานการเริ่มเคลียร์ได้ลงตัว
ลูกค้าใหญ่ที่ใช้เวลานำเสนองานติดพันกันมาตั้งแต่ก่อนปีใหม่ต้องไปประชุมเมืองจีนสัปดาห์กว่า
หมาป่าสบช่องก็เลยขอลางานตั้งแต่ 7 กุมภา สั่งความลูกน้อง ลูกค้าท่านอื่น รวมถึงหัวหน้าว่าไปยาวไม่เช็คเมล์ และอาจไม่มีสัญญานมือถือ เพราะฉะนั้นอย่าหงุดหงิดถ้าติดต่อมิได้


การขี่ขึ้นเชียงใหม่นั้นถ้าคิดแบบคนขับรถยนต์ก็คงขึ้นทางรังสิตหรือใช้วงแหวนเส้นตะวันออกจากสวนหลวง ร. 9แถวบ้านหมาป่าเพื่อไปออกถนนสายเอเชียตรงขึ้นอยุธยาแล้วต่อขึ้นนครสวรรค์ไปเรื่อยๆ
ขี่บนถนนสายเอเชียยามแดดจ้าหมาป่าคิดแล้วก็ท้อเหมือนกันครับ ด้วยว่ารถยนต์มันเยอะ และคิดถึงแดด คิดถึงเสียงเครื่องยนต์แล้วก็พาลเหนื่อยล้าตั้งแต่ยังไม่ได้ขี่
เสริชดูกระทู้สรุปทริปเก่าๆของพี่ๆน้องๆใน MTB มาชอบตรงของคุณ wintutor ที่ท่านขี่ขึ้นเชียงใหม่พร้อมกับเพื่อนอีกคน โดยใช้เส้นทางเลียบคลองเปรมฯ ไปออกอยุธยา ต่อเข้าอ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท แล้วค่อยออกนครสวรรค์ ช่วงแรกของการขี่ใช้ ถนนสายรองน่าจะสนุกกว่าซูเปอร์ไฮเวย์แปดเลน หมาป่าจะแกะรอยตามท่านไปบ้างครับ ( กระทู้ของท่านอยู่ตรงนี้เพื่อเป็นเครดิตและให้เกียรติแก่ผู้ถางทางครับ http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 6&t=252216 )


วันจันทร์ที่ 6 เคลียร์งานให้ลุล่วง รีบกลับบ้านเพื่อแพ็คข้าวของ
ปกติหมาป่ามีกระเป๋าติดแรกท้ายอยู่สองใบ เที่ยวนี้ไปหลายวันเลยไปซื้อใบเล็กติดแรกหน้ามาเสริมอีกคู่ รวมเป็นสี่ใบ
เสื้อผ้ามีไม่เยอะครับ มีกางเกงขี่จักรยานสามตัว เสื้อยืดสี่ตัว กางเกงขายาวบางๆเอาติดไปเผื่อต้องกินข้าวนอกห้องพักจะได้ดูสุภาพ กางเกงใน ถุงเท้า ผ้าขาวม้า เสื้อแขนยาวเผื่ออากาศเย็น และกางเกงขาสั้นไว้นุ่งนอนอีกตัว
อ้อมีรองเท้าแตะเผื่อใส่เดินเล่น
คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คไม่ได้เอาติดไป เอาไปแต่แทบเล็ต ลดน้ำหนักได้เยอะ เผื่อไว้เช็คเน็ต กล้องถ่ายรูปคอมแพกต์ดิจิตัล อุปกรณ์ปะยางพร้อมยางในและโซ่สำรองอีกหนึ่งเส้น
แชมพูขวดเล็ก ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ส่วนสบู่นั้นไปหาเอาตามห้องพักโรงแรมเพราะหมาป่าไม่กะกางเต๊นท์อยู่แล้ว
ผงซักฟอกไว้ซักเสื้อผ้าช่วงเย็นหลังจากเข้าห้องพัก ซักทุกวัน
และยาทากันแดด ซึ่งกันความดำไม่ค่อยจะได้ แต่อย่างน้อยผิวก็คงไม่แสบ
ไม่ลืมกิ๊บหนีบผ้า เอาไว้ตากผ้าระหว่างขี่ คราวที่ขี่ไปเขาใหญ่ใช้สายรัดของแบบมอเตอร์ไซค์รัดไว้กับกระเป๋าหลัง แต่มันแนบได้ดีเกินไปผ้าเลยไม่ค่อยแห้งครับ ขอเมีย เธอไปคุ้ยตรงกล่องเก็บอุปกรณ์ซักผ้าแล้วให้มาแผงนึงเป็นพลาสติก เอาถุงตาข่ายแบบถนอมผ้าในเครื่องซักผ้าติดมาด้วย
เสบียงพวกอาหารเพิ่มน้ำตาลในกระแสเลือดนั้นกะไปซื้อระหว่างทาง เพราะว่าเดินทางบนทางหลวง มีปั๊มน้ำมันตลอดทางแน่นอน
ทั้งหมดนี้กระจายใส่ไว้ในกระเป๋าทั้งสี่ใบ สบายๆแต่ละใบไม่ต้องรับน้ำหนักมากเกินไป
เข้านอนตอนสักสี่ทุ่ม ตั้งนาฬิกาปลุกตีสี่ครึ่ง



เช้าวันอังคารที่ 7 กุมภา
ตื่นตามเสียงนาฬิกา อาบน้ำ ชงกาแฟดื่ม อาราธนาคุณพระคุณเจ้าห้อยคอ แล้วก็โอ้เอ้นิดหน่อย เติมน้ำให้เต็มกระติก
จนล่วงตีห้าสี่สิบนั่นแหละครับจึงจ้วงออกจากบ้าน
ขี่ไปแวะปั๊มน้ำมันแถวบ้านเพื่อซื้อน้ำสำรองอีกขวด ลูกอมหวานๆ หมากฝรั่ง
น้องคนขายในมินิมาร์ทถามพี่จะขี่ไปไหนคะ บอกว่าจะไปเชียงใหม่จ้ะ เธอก็ตาลุกวาวบอกพี่ใจถึงมาก โชคดีนะคะพี่
เรื่องคนชมว่าใจถึงในการขี่ขึ้นเชียงใหม่นี้ก็จะมีตลอดเส้นทางนะครับ...สงสัยระยะทางกรุงเทพเชียงใหม่เนี่ยมันเป็นระยะ Ideal ที่คนรู้สึกว่ามันไกล กรุงเทพราชบุรี หรือกรุงเทพกาญจนบุรี คนจะไม่หูวว์และตาโตเท่ากรุงเทพเชียงใหม่ อิอิ


หมาป่าขี่ออกศรีนครินทร์ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพัฒนาการ ขี่ขึ้นไปตามเพชรบุรีตัดใหม่ ไปเลี้ยวเข้ารัชดาภิเษกตรงแยกท้ายซอยอโศก แล้วขี่ตรงขึ้นไปเลี้ยวซ้ายตรงแยกที่ตัดกับพระรามเก้า จะมุ่งขึ้นดินแดง
ตรงเลยแยกไปนิดหมาป่าหยุดที่ระยะ 20 กม.จากบ้านครับ หยุดเพื่อเติมน้ำเติมอาหารซึ่งเป็นขนมปังไส้กรอกที่เมียติดกระเป๋ามาให้
หลักการขี่ 20 กม. หยุดพักดื่มน้ำ 1/3 ของกระติก และพักเดินพักนั่ง 5-10 นาทีนี้ หมาป่าอ่านมาจากกระทู้ของพี่เมธา เปรมแสง เจ้าสำนัก MJ Bike นครปฐม และรวมเลยไปถึงวิธีการใช้เกียร์ยามขึ้นเนินชัน อีกทั้งระยะทางเดินทางไกลต่อวันด้วยครับ หมาป่านับถือพี่เมธาเป็นครูแบบ กศน. ในการขี่จักรยานทางไกล อ่านกระทู้ของพี่แต่ไม่เคยได้เจอตัวกัน แม้ว่าหลักคิดพี่เมธาจะถือว่าเป็นทำนอง Controversial ในเวปนี้ แต่หมาป่าเล็งเห็นว่ามันเหมาะกับตัวหมาป่าครับ ใช้ได้ผลทุกทริปทางไกล รอดมาขี่วันถัดไปตามแผนได้เสมอโดยไม่เสื่อมสภาพ หมาป่าจึงขอมีกฤติกรรมประกาศบูชาครูไว้ ณ ที่นี้....ขอบคุณพี่เมธา เปรมแสงครับ


เส้นทางที่มุ่งหน้าไปนั้นมันเป็นเส้นโลคัลโรดคู่ขนานกับถนนวิภาวดีรังสิต คือถ้าเราขับรถยนต์เราก็มักใช้เส้นวิภาวดีฯขับไปดอนเมือง ต่อไปรังสิตและไปขึ้นสะพานเส้นก๋วยเตี๋ยวเพื่อในที่สุดจะไปอยู่บนสายเอเชียมุ่งขึ้นเหนือผ่านทางเข้าจังหวัดอยุธยา แต่เส้นนี้เป็นเส้นที่ขนานกันไปครับ หมาป่าจะจับเส้นกำแพงเพชร 6 โดยจากดินแดงก็เลี้ยวขวาขึ้นมาตามวิภาวดีรังสิต ขี่ไปเรื่อยเพื่อไปหาเส้นกำแพงเพชร 6 โดยเบี่ยงไปเลี้ยวเข้าตรงเลยวัดเสมียนนารี ขี่ไปสบายๆและเครียดน้อยกว่าการอยู่บนถนนวิภาวดีฯครับ เป็นทางรถวิ่งสวนสองเลนยาวไปไกลครับ


เส้นกำแพงเพชร 6 นี้จะวิ่งขึ้นเหนือทิศเดียวกับวิภาวดีฯ โดยให้นึกว่า ตรงกลางระหว่างกำแพงเพชร 6 และ วิภาวดีฯจะเป็นรางรถไฟ ดังนั้นเราก็วิ่งขนานรางรถไฟไปเช่นกัน อันนี้ช่วยได้เวลาดูแผนที่กูเกิล หมาป่าเปิดแท็บเลตแสตนด์บายไว้ในกระเป๋า คอยดูสถานีรถไฟซึ่งมันจะไล่ขึ้นจากหลักสี่ ดอนเมือง หลักหก คลองรังสิต และรังสิตในที่สุด


แปดโมงสามสิบห้านาทีหมาป่าหยุดพัก 40 กม.ที่สำนักงานเขตดอนเมือง กินหนมปังใส้ไก่ และอาศัยห้องน้ำของสำนักงานเขตทำกิจส่วนตัวบวกล้างหน้าล้างตาล้างข้อพับแขนให้หายเหนียวสดชื่นกันใหม่ เส้นทางที่หมาป่าขี่มานี้ช่วงน้ำท่วมภาคกลางและกรุงเทพก็โดนกันอ่วมครับ คราบน้ำตรงกำแพงเขตนี้ก็พอเห็นร่องรอยได้

รูปภาพ


พักเสร็จก็จ้วงต่อขนานกับรางรถไฟไป บางช่วงตรงแถวดอนเมืองซึ่งเป็นเขตบ้านพักของทหารอากาศถนนจะถูกแยกจากกันเป็นวันเวย์โดยมีถนนชื่อสกุลของทหารอากาศชั้นผู้ใหญ่ในอดีตเป็นเส้นมุ่งเหนือ และตัวกำแพงเพชร 6 จะกลายเป็นเส้นลงใต้ให้รถวิ่งลงมาฝั่งเดียว ก็ต้องระวังให้ดีครับ ไม่ควรขี่สวนวันเวย์ขึ้นไป แล้วสักพักถนนก็จะกลายเป็นถนนวิ่งสวนบนกำแพงเพชร 6 กันใหม่ ช่วงแถวสถานีรถไปหลักหก คลองรังสิต จะมีร้านรับซื้อขยะและของเก่าอยู่ตลอดเส้นทาง ดูแล้วก็หดหู่นะครับ แดดยามสายร้อนแจ๋แหว คราบน้ำบนกำแพงและบ้านผู้คน ร้านรับซื้อขยะ ถุงปุ๋ย ขวดพลาสติกกองกันเป็นภูเขา แตกต่างจากการขี่ตามป่าเขาเขียวๆในอุทยานแห่งชาติมาก


อีเขียว Kona ของหมาป่าก็ไม่ได้เต็มร้อยแจ๋วแหววเหมือนตอนซื้อมาใหม่เสียทีเดียวหรอกนะครับ ตอนเปิดทริปนี้นั้นวิ่งไปหมื่นกิโลเมตรเศษๆแล้ว ชุดขับเคลื่อนเริ่มสึกหรอ ซึ่งก็จะทำให้โซ่ยืดเร็วกว่าปกติ หมาป่ามีช่างประจำตัวอีเขียวคือช่างน้องหนึ่งผู้อารีย์ในเวป ThaiMTB นี้นั่นแหละครับ น้องหนึ่งเปิดร้านโดยใช้บ้านตนเองอยู่ตรงสุขุมวิท 93 ปากซอย หมาป่าอาศัยแถวอุดมสุขก็เลยผูกปิ่นโตเป็นเจ้าประจำกันไป ความที่หมาป่าขี่ในเมืองเยอะหมาป่าจะใช้จานสองเฟืองเจ็ดเป็นประจำ และมีโรคประจำตัวคือไม่ชอบเปลี่ยนเกียร์ ดังนั้นเฟืองเจ็ดหมาป่าจึงฟันแหลมเป็นฟันหนู แม้ว่าจะสับไปขี่เฟืองหกเฟืองห้าตอนเริ่มออกตัวตามคำแนะนำของน้องหนึ่งบ้าง แต่อาการตอบสนองของเกียร์ก็ไม่ดีเหมือนเดิมแล้ว บางทีสับชิฟเตอร์แต่เกียร์ไม่ยอมเปลี่ยน ต้องสับเลยไปอีกตำแหน่ง แล้วค่อยโยกกลับลงมา หรือบางทีก็เปลี่ยนโดยใช้เวลาร่วมเจ็ดแปดวินาที แบบว่าเกียร์ไม่ให้ความร่วมมือ มีครั้งหนึ่งที่ก้านบันไดมันโยกคลอน ช่างน้องหนึ่งต้องถอดออกมาอัดกระโหลกเข้าไปใหม่ โดยอัดจาระบีให้ด้วยเพราะของเดิมมันแห้งผากด้วยลุยน้ำลุยฝนแล้วไม่เคยถอดเซอร์วิสกันเล๊ย หมาป่าอดใจไม่เปลี่ยนชุดขับเคลื่อน อยากเอามันไปผ่านศึกเชียงใหม่ก่อนแล้วค่อยกลับมายกเครื่องเสียทีเดียว หมาป่าถามน้องหนึ่งว่าด้วยสภาพที่เป็นอยู่นี้น่าจะไปรอดถึงเชียงใหม่ไหม ถามพร้อมจ้องตาเหมือนจะให้น้องหนึ่งตอบว่า “ได้” ดูหน้าน้องหนึ่งแล้วก็ให้นึกถึงตอนเป็นคนไข้ไปถามหมอโรคหัวใจตอนที่ตัวเองมีอาการเจ็บหน้าอกแปล๊บๆ ซึ่งอาจเป็นเพราะนอนน้อย วิ่งสายพานตรวจเส้นกราฟแล้วก็ไม่เจออะไรผิดปกติ คนไข้จะพยายามถามคาดคั้นให้หมอตอบว่าตัวเองจะไม่ตายด้วยโรคหัวใจวายใช่ไหม หน้าหมอกับหน้าน้องหนึ่งอาการคล้ายกันเลยครับ แต่ถ้าเป็นหมอโรคหัวใจนั้นต่อให้คุณเอาปืนจ่อหัว หมอก็จะไม่มีวันตอบว่า “คุณจะไม่ตายด้วยโรคหัวใจวาย” เพราะหมอย่อมรู้ว่ามันมีปัจจัยอื่นอีกตั้งเยอะแยะที่โรคหัวใจจะมาเล่นใครแบบไม่รู้ตัว สำหรับช่างน้องหนึ่งนั้นน้องหนึ่งใจดีกว่าคุณหมอเยอะครับ น้องหนึ่งตอบว่า “ก็น่าจะได้นะครับ” ^^


ย้อนกลับมาขี่กันต่อครับ
หมาป่าขี่ตามถนนกำแพงเพชร 6 ไปจนเห็นสถานีรถไฟรังสิตอยู่ทางขวามือ จากนั้นถนนก็เริ่มสลายตัวกลายเป็นทางโรยกรวด ตอนนี้หมาป่าต้องเริ่มเล็งซ้ายหาทางไปเข้าถนนเลียบคลองเปรมประชากรครับ เห็นมีบ้านคนปลูกในทุ่ง และมีตรอกเล็กๆมีทางยกระดับผ่านบึงน้ำในทุ่งเป็นปูนซีเมนต์ หมาป่าถามคนตรงปากทางว่าเส้นนี้ไปเข้าถนนเลียบคลองเปรมได้ไหม เพื่อยืนยันกับภาพดาวเทียมที่ดูในกูเกิล คุณน้าตอบไปได้จ้า หมาป่าก็ไปครับ ไม่กี่ร้อยเมตรก็มาโผล่หน้าวัดเปรมประชา หักเลี้ยวขวาขี่ขึ้นตามถนนเลียบคลองเปรมประชากร


คลองเปรมประชากรนี้รัชกาลที่ 5 ท่านโปรดเกล้าให้ขุดขึ้นมาเพื่อเชื่อมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นอีกเส้นที่ทำให้ระยะทางระหว่างกรุงเทพและอยุธยาใกล้ขึ้น เพราะคลองมันขุดตรงไม่คดเคี้ยวเหมือนแม่น้ำ และยังช่วยเปิดพื้นที่สองฝั่งคลองเป็นพื้นที่เกษตรเพื่อให้คนทำนาได้อีกด้วย


ถนนเลียบคลองมันก็ตรงเหมือนคลองแหละครับ จะมีโค้งซ้ายโค้งขวาบ้างก็ไม่ฉกรรจ์ จากรังสิตก็ต่อไปเข้าเขตจังหวัดปทุมธานี ถนนสองเลนรถวิ่งสวนแต่รถไม่เยอะ มีบ้านเรือนไร่นาไปตลอดทาง หมาป่ามาหยุดพัก 60 กม. ตรงตำบลบ้านปทุม อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี กินกะเตี๋ยวหมูสองชาม พร้อม RC Cola อีกหนึ่งขวด ร้านเป็นบ้านเปิดเป็นร้านกะเตี๋ยว ตอนนั้นสักสิบโมงเศษๆเห็นจะได้ แต่ก็กินไว้ก่อนล่ะครับ จะได้ไม่หิว กินกะเตี๋ยวคนไทยจะไม่เหมือนกะเตี๋ยวคนจีนที่ขายในเมืองใหญ่ กะเตี๋ยวบ้านๆใส่ลูกชิ้นกับหมูสับมีกุ้งแห้งตัวเล็กๆโรย ชื่นใจไปอีกแบบ ลูกชิ้นไม่เลิศรส แต่โดยรวมก็โอเคครับ รวมถึงตอบคำถามว่าจะขี่ไปไหนและยิ้มรับกับคำชมพร้อมตาโตๆของคนในร้าน


จากร้านกะเตี๋ยวก็ขี่ไปง่ายๆครับ ขี่เลียบคลองไปเรื่อยๆ ไม่มีทางหลง ถนนเลียบคลองเปรมนี้จะผ่านจังหวัดปทุมธานีขึ้นไปจังหวัดอยุธยา ขี่ไปจนสุดถนนก็จะเจอถนนอีกเส้นดูจากแผนที่ดาวเทียมมันจะให้เราเลี้ยวซ้ายไปอ้อมโรงงานกระดาษ หมาป่ามองจากแผนที่แล้วถนนมันเหมือนถุงเท้าเด็กเกิดใหม่เป็นกระเปาะ อ้อมแล้ววกขึ้นเหนือเราจะเห็นถนนสาย 347 อันใหญ่โตอยู่ด้านซ้ายมือ มองขึ้นเหนือเห็นสะพานข้ามแม่น้ำ ความจริงจะเอาจักรยานจูงข้ามถนน 6 เลน ไปตั้งหลักขี่ขึ้นสะพานก็คงได้ แต่ปริมาณรถที่หนาแน่น บวกกับความเร็วเกินร้อยกันเกือบทุกคัน หมาป่าจึงขี่ไปลอดใต้สะพานกลับมาวกเข้า 347 ขาขึ้นแทนครับ ปลอดภัยสบายใจกว่าเยอะ


ขี่ขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำตามสาย 347 คราวนี้อยู่บนซูเปอร์ไฮเวย์สมบูรณ์แบบ รถวิ่งกันเร็ว ขี่ไปจนเข้ากม.ที่ 80 ตรงใกล้ๆกับศูนย์ศิลปาชีพเกาะเกิด ร่องรอยของน้ำท่วมนั้นชวนสลดมากกว่ากรุงเทพเยอะเลยครับ ป้ายบอกระยะทางข้างทางหลวง ป้ายขาวตัวหนังสือสีดำที่บอกว่าอำเภอหรือจังหวัดข้างหน้าอีกกี่กิโลนั้น คราบน้ำมันสูงถึงตัวป้ายนั่นแน่ะครับ ถ้าตอนน้ำท่วมหมาป่าขี่ลุยน้ำได้ลึกขนาดนั้นก็หมายความว่าระดับน้ำบนทางหลวงที่ยกพื้นสูงอยู่แล้วจะมิดหูหมาป่าทีเดียว ต่อให้มีแรงขี่ฝืนน้ำก็ขี่ไม่ได้เพราะมิดหูก็มิดปากมิดจมูกด้วย หายใจไม่ได้ก็ขี่จักรยานไม่ได้


แวะพักตรงร้านขายข้าวผัดริมทางอีกรอบตอนอีกยี่สิบนาทีเที่ยง กินข้าวผัดหมูพร้อมกับคุยเรื่องน้ำท่วมกับแม่ค้า พี่แกบอกว่าน้ำมาเร็วมาก แกเอารถเก๋งหนีขึ้นสาย 347 แต่รถตายแหงกอยู่ตรงหน้าศูนย์ศิลปาชีพ น้ำมาทั้งทุ่ง พี่เขาจมน้ำอยู่ร่วมเดือน มีหมาหลงมาอาศัยอยู่ด้วย ก็อยู่กันไปตามประสายาก น้ำลดก็ต้องเอาเงินเก็บมาซ่อมแซม ประตูเหล็กหน้าร้านโดนคลื่นพัดจนพัง ตู้แช่ตู้โชว์เปลี่ยนใหม่หมด โดนกันถ้วนหน้า


ร่ำลาพี่เขาแล้วขี่ต่อไปสาย 347 ต่อ เส้นนี้มันจะปาดข้างตัวเมืองอยุธยาตรงทิศตะวันตก ในขณะที่สายเอเชียจะปาดข้างทิศตะวันออก หมาป่าจะไปหาทางแยกตัดเข้าถนนสาย 309 ครับ เป็นเส้นที่จะพาสู่จังหวัดอ่างทองผ่านทุ่งนา บ้านคน และโรงงานอุตสาหกรรมเป็นระยะ สองเลนรถวิ่งสวน รถไม่มาก


เรื่องแดดนั้นละไว้เสียก็ได้นะครับ เป็นตัวประกอบร่วมไปตลอดทาง ทั้งทริปนี้ไม่มีวันไหนไม่มีแดดเลย ร้อนกันซะหัวจาย ซันบล๊อกทาแล้วก็ช่วยไม่ให้ผิวแสบ แต่ไม่ช่วยลดความดำ หมาป่าสายตาสั้นแต่ก็ต้องใช้แว่นกันแดดแบบฉาบสีดำ ไม่หาญกล้าขี่แบบไม่ใช้แว่นกันแดด กลัวตาเสียน่ะครับ หมาป่าบางวันใช้เสื้อยืดสีขาวเนื้อไม่หนา เย็นลงถอดเสื้อหลังก็ยังดำด้วยน่ะครับ เพราะรังสีแดดมันทะลุผ่านเนื้อผ้าเข้ามา


ขี่มาถึงแยกตัดระหว่างสาย 309 และ 347 หมาป่าแวะพัก 100 กม.ที่วัดกุฏีลาย วัดอยู่บนสาย 309 ไม่ไกลจากแยกนัก วัดเล็กๆมีศาลาหน้าวัดทรงเก่าสัดส่วนสวย พอให้ได้หลบแดดดื่มน้ำกันครับ แต่ในตัววัดนั้นท่านเจ้าอาวาสท่านเทปูนบนลานจนขาวโพลนสะท้อนแดดได้ดีเหลือเกิน หาร่มไม้แทบไม่มีเลย หมาป่ายังนึกในใจว่าตอนหน้าเกี่ยวนั้นลานวัดจะใช้ตากเมล็ดข้าวเปลือกช่วยชาวบ้านลดความชื้นพืชผลเพื่อให้ได้ราคาดีขึ้นหรือเปล่า กินน้ำกินท่าเสร็จหิวกาแฟสดขี่ต่อมาอีกห้าหกกิโลเจอแผงขายกาแฟสดตรงหน้าร้านเซเว่นอีเลฟเว่นริมทาง ได้กินกาแฟสดเสียที การเดินทางบนถนนเส้นรองนั้นจะมีข้อด้อยตรงที่ว่าไม่มีปั๊มน้ำมันใหญ่ๆแบบที่มีร้านขายกาแฟสดนะครับ ออกจะอัตคัตขาดแคลนอยู่ สั่งแบบคนกรุงเทพว่าอเมริกาโนร้อน น้องคนขายก็เติมนมมาให้เสียอย่างนั้น หมาป่าไม่จู้จี้ก็กินเข้าไปครับ แต่นึกในใจว่าคราวหน้าต้องสั่ง “กาแฟดำร้อน”


ทางเส้น 309 นี้ยามต้นเดือนกุมภาสวยงามครับ นาข้าวสวยบาดใจ ช่วงแถวอำเภอป่าโมกข์มีการทำถนน ถนนต่างจังหวัดมักเป็นยางมะตอย หมาป่าจะสยองขวัญกับยางมะตอยด้วยว่ามีกินใจกันมาตั้งแต่ซ้อมขี่ทางไกลไปกาญจนบุรี ตอนนั้นขี่ไปแถวกำแพงแสน เจอทางที่เขาเตรียมไว้ราดยางมะตอยหมาป่าเห็นว่าตัวพื้นถนนมันไม่ร้อนด้วยตัวยางมะตอยหลักยังไม่ถูกราดแต่เขาจะมีน้ำยาสีน้ำตาลฉาบผิวถนนที่ถูกเกรดปรับทางเป็นลูกรัง หมาป่าก็ขี่ทับเส้นทางราดน้ำยานั่นมาเรื่อย สักพักสังเกตได้ว่าเจ้ายานั่นล่ะตัวดีเพราะมันมีความเหนียวในตัวและมาเกาะที่ตัวยาง แถมยังดึงพวกกรวดมาติดในร่องยางจนเต็มไปหมด ขี่ๆไปกรวดก็จะดีดมาโดนบังโคลนดังแป๊ะๆเหมือนเสียงข้าวโพดคั่ว รองเท้า กระเป๋าข้าง ติดกรวดติดยางเต็มไปหมด หมาป่าต้องขี่ลุยเข้าไปในพงหญ้าข้างทางเพราะหวังจะให้หญ้ามันสีเอากรวดเอาน้ำยาออกไปจากยางให้หมด แต่ไม่ได้ผลครับ กลัวยางเสียจะแย่ มาได้ผลตอนเจอฝนเจอทางเปียก น้ำมันชะน้ำยาและกรวดออกไปหมด รอบนี้เจอกันอีกที่อ่างทองก็ขอห่างครับ ขี่ไปอีกฝั่งไปย้อนศรตรงขอบทางแทน ไม่เอาอีกแล้ว พ้นจุดทำถนนค่อยข้ามมาขี่ฝั่งซ้ายกันใหม่


ขี่ไปครบร้อยยี่สิบกิโลเมตรหมาป่าก็แวะกินข้าวหมูกรอบอีก (สังเกตว่าทริปนี้หยุดไม่ได้ หยุดเป็นกิน กลัวหมดแรง) แล้วก็ขี่ผ่านตัวอ่างทองหาป้ายไปสิงห์บุรี คืนนี้หมาป่ากะจะนอนที่สิงห์บุรีครับ เรายังเกาะเส้น 309 อยู่ แต่พอเลยจากตัวเมืองอ่างทองแล้ว เส้น 309 มันจะตัดมาเลียบกับคลองชลประทาน เลียบไปตลอดทางถึงสิงห์บุรี คลองชลประทานอยู่ด้านซ้ายมือของถนน ส่วนด้านขวามือก็เป็นวัด เป็นหมู่บ้าน แต่ถัดไปจากวัดจากบ้านคนก็คือแม่น้ำเจ้าพระยาที่ขนานอยู่กับคลองชลประทานไหลเรียงตัวกันมาตลอดจากเขื่อนชัยนาทที่อยู่เหนือขึ้นไป หมาป่าจะขี่สวนแนวคลองขนาบแม่น้ำนี้ไปจนถึงสิงห์บุรีครับ ตรงคลองชลประทานนี้จะมีสะพานข้ามคลองเป็นระยะ หมาป่าแวะพัก 140 กม. ถ่ายรูปตรงสะพานข้ามคลองที่อยู่ตรงข้ามทางเข้าวัดละมุดสุทธิยาราม (ชือวัดแปลกดี)

รูปภาพ


สังเกตว่าป้ายบอกหลักกิโลเมตรตอนออกจากอ่างทองมันจะเพี้ยนนิดหน่อยครับ แบบว่าก่อนถึงอ่างทองจะบอกตัวเลขว่าอีกกี่กม.จึงจะถึงสิงห์บุรีด้วยตัวเลขชุดหนึ่ง แต่พอออกจากอ่างทองก็เหมือนตัวเลขมันถูกบวกไปอีก 20 กม.เสียอย่างนั้น หมาป่าไม่แน่ใจว่าตัวเลขไหนถูก รู้แต่ว่าสำหรับคนที่ขี่รถมาทั้งวันและพอเริ่มเย็นดันเห็นตัวเลขเพิ่มอีก 20 กม.ก็จะใจเสียนิดหน่อยเพราะไม่อยากขี่ตอนที่แสงอาทิตย์ลับฟ้าแล้ว ถึงจะมีไฟติดรถก็รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยครับ


ตอนเย็นอย่างนี้จะพบชมรมนักปั่นจากสิงห์บุรีขี่กันเป็นกลุ่มมาตามถนนเลียบคลอง ส่วนใหญ่เป็นเสือหมอบครับ หมาป่ายกมือตะเบ๊ะทักทายตามธรรมเนียมพึงปฏิบัติ ขี่มาจนเลขไมล์สะสมของทริปขึ้นที่ 160 กม. ตอนห้าโมงห้าสิบนาที แสงเริ่มน้อย แต่ก็อุ่นใจเพราะป้ายบอกกม.บอกว่าอีก 6 กม.ก็จะถึงสิงห์บุรีแล้ว พักกินน้ำแล้วก็ขี่ต่อเพื่อเตรียมหาที่พัก


ทริปนี้หมาป่าตั้งใจว่าจะเลือกพักตามพวกบังกาโลที่ติดพื้นดิน จะไม่พักตามโรงแรมที่เป็นตึกสูงเพราะว่าขี้เกียจหอบรถและสัมภาระขึ้นบันไดไปไว้ในห้องพัก จะให้ทิ้งรถไว้ด้านล่างนั้นไม่เอาแน่นอน เพื่อนกัน...หมาป่านอนไหน อีเขียวก็ต้องนอนนั่นไม่มีทิ้งกัน ขี่เข้าตัวเมืองสิงห์บุรีก็มองหาป้ายพวกบังกาโลหรือโรงแรมม่านรูดแต่หาไม่เจอครับ ไปขี่วนย่านดาวน์ทาวน์ที่เป็นตลาดมีขายอาหารสำเร็จและผลไม้ มองหาคนขายของที่เป็นผู้ชาย แต่ว่าต้องเลือกที่ไม่มีเมียอยู่ด้วย จะได้ถามสะดวกปากว่ามีม่านรูดไหนที่พักได้บ้าง กลัวพี่เขาตอบแล้วจะโดนเมียค้อนน่ะครับ วนไปวนมาเจอรถขายผลไม้มีคนขายที่คุณสมบัติตรงกับที่ตั้งใจไว้เลยถาม พี่เขาบอกให้ขี่ย้อนขึ้นไปทางทิศออกจากเมืองลงไปทางใต้นิดหน่อย จะมีซอยข้างปั๊มน้ำมันให้เลี้ยวเข้าซอย จะมีโรงแรมม่านรูดประจำจังหวัดอยู่ ความจริงแกก็บอกให้เข้าพักที่รีสอร์ทที่เป็นบังกาโลนะครับ แต่มันต้องขี่ออกไปไกล เลยเลือกโรงแรมม่านรูดดีกว่า ซอยมืดมากครับ ขี่ไปก็เสียวไปว่าทำไมมันมืดขนาดนี้ แต่สักพักก็เจอโรงแรม ถัดโรงแรมไปหน่อยก็จะเป็นถนนในย่านชุมชนที่อยู่ ไฟสว่าง ผู้คนคึกคัก ก็เข้าใจว่าม่านรูดมันคงต้อง่หลบๆในซอย โจ่งแจ้งนักเดี๋ยวไม่มีลูกค้า แวะซื้อเบียร์สี่กระป๋องเพื่อฉลองการขี่วันแรก แล้วค่อยเข้าเช็คอิน โรงแรมโทรมมากครับ ค่าห้องค้างคืนราคา 300 บาท กิจการดำเนินโดยคุณลุงคุณป้าที่มีหมาเป็นเพื่อน เดินเข้าไปจ่ายเงินกับรับผ้าเช็ดตัว น้องหมาเห่ากันตรึม แอร์เย็นตามสมควร แต่มุ้งลวดขาดต้องเอาม่านบังไว้กันยุงเข้า


หมาป่าถ่ายรูปมาให้ดูกันกับที่พักคืนแรก ห้องพักและห้องน้ำนั้นสปาตันมากครับ ตัวห้องน้ำฝักบัวไม่มี มีแต่สายยางต่อกับก๊อกน้ำให้นั่งยองๆอาบ ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นรูท่อที่พื้น รูนี้มันต่อกับถังส้วมน่ะครับ คงไว้ใช้ดูดส้วมด้วย กลิ่นไม่แรงนักแต่ที่แย่คือกลางดึกมันจะมีแมงส้วมออกมาเกาะเต็มผนังห้องน้ำไปหมดเลย หยะแหยงพอสมควร ฮ่าฮ่าฮ่า ใช้ห้องน้ำเสร็จก็ต้องปิดประตูไว้ ไม่อยากให้แมงส้วมมันตามเข้าไปตอมหน้าตอมตาในห้องนอน เข้าห้องแกะถุงสัมภาระเปิดแอร์จิบเบียร์เพลินๆ พอครึ้มก็เข้าไปนั่งยองๆอาบน้ำกันไป ดีที่น้ำไม่ค่อยเย็นเท่าไหร่ ขี่มาร่วมร้อยเจ็ดสิบกิโล ลำบากนิดหน่อยหาได้ทำให้หมาป่าท้อได้ไม่ครับ ซักกางเกงขี่จักรยาน (แบบมีสองชั้นไม่โชว์รัดหำ)และเสื้อยืด ผึ่งตากบนจักรยาน กิน เบียร์หมดสี่กระป๋องหมาป่าก็นอน หมาป่าคงทำบุญมาดีในชาติก่อนเพราะว่าเป็นคนหลับง่ายมาก ต่างที่ต่างทางก็ไม่ใช่ปัญหา หลับตาไม่เกินสองนาทีก็หมดสติครับ

รูปภาพ

รูปภาพ


เช้าวันที่สองของการเดินทาง หมาป่าตื่นประมาณเจ็ดโมงเศษๆ ไม่รีบร้อนเพราะวันนี้กะไปแค่นครสวรรค์ซึ่งทางไม่ไกลนัก ขี่ไปหาข้าวเช้าและกาแฟกินในตัวเมือง แล้วก็จ้วงต่อเลียบคลองชลประทานเส้นเดิมขึ้นชัยนาทด้วยทางหลวง 309 ยามเช้ารื่นรมย์ แดดยังไม่แรงนัก ขี่ผ่านวัดกระดังงาบุปผารามแล้วอดใจไม่ได้ต้องแวะครับ วัดนี้ยังเก็บต้นยางใหญ่ไว้ด้านหน้าวัดร่มรื่นมาก ต้นยางนานี้เสกลมันสูงใหญ่ให้ความสงบทางจิตใจนะครับ ตัววัดด้านหลังติดแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งสมัยที่ยังไม่มีถนนคนต้องสัญจรมาวัดทางน้ำด้านที่ติดแม่น้ำ ด้านที่เรียกว่าท่าหน้าวัด แต่พอมีการตัดถนนคนเลยใช้ถนนแทนแม่น้ำ ด้านหลังวัดก็เลยกลายเป็นหน้าวัดแทน วัดอื่นๆพอมีถนนเขาจะตัดต้นไม้ที่เคยปลูกหลังวัดเปิดทางให้เห็นตัววัดง่ายขึ้น แต่วัดนี้ไม่ตัดมันก็เลยดึงดูดให้แวะเข้ามาพักใต้ร่มยาง เดาจากวิหารที่กำลังซ่อมหลังคานี่วัดนี้น่าจะมีมาตั้งแต่ครั้งอยุธยานะครับ น่าจะเป็นอยุธยาตอนกลางด้วยซ้ำเพราะผนังข้างวิหารยังเจาะเป็นช่องมะหวดอยู่เลย สมัยนั้นเทคโนโลยีการก่อสร้างยังไม่เอื้อให้เจาะช่องหน้าต่างใหญ่แบบโบสถ์วิหารยุคหลังที่มีพวกฝรั่งเข้ามาสอนวิธีก่อสร้างให้เจาะช่องได้กว้างขึ้นแล้ว

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ


เสร็จจากวัดก็ขี่ต่อไปพักที่ 190 กม. (ไมล์ทริปสะสม) ที่อินทร์บุรีหาน้ำเกลือแร่กินสักประมาณ 10.30 น. ขี่ต่ออีก 20 กม.ไปพักกินข้าวกลางวันที่ตลาดอำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท ก่อนถึงอำเภอนี้จะมีตำบลชื่อโพนางดำตก อ่านผ่านๆแล้วนึกว่าดำดก ชวนจั๊กจี้ มีต้นตาลเยอะจนสังเกตได้เลยครับมีแผงขายลูกตาลถี่เชียว ที่ตลาดสรรพยานี่หมาป่าแวะซื้อกิ๊ปหนีบผ้าแบบโลหะแทนอันพลาสติกที่เมียให้ติดตัวมา เพราะตัวพลาสติกมันเป็นของถูกเฮงซวย หยิบมาสี่ตัว หนีบแล้วมันจะหักติดมือไปสามตัว ของถูกแต่ใช้ไม่ทนนี่พวกพ่อค้าไม่รู้จะผลิตกันมาทำไม...รกโลก ตากผ้าบนรถนี่ห้อยกันตรงคานบนกับผึ่งตรงตะแกรงหลัง เสื้อยืด กางเกง กางเกงใน ถุงเท้า พอบ่ายต้นก็แห้งสนิทครับ หมาป่าซักผ้าทุกวันครับ เข้าโรงแรมก็จิบเบียร์ไปซักผ้าไป


ก่อนเข้าตัวเมืองชัยนาทตามเส้นทาง 309 เราจะถึงเขื่อนเจ้าพระยาก่อนครับ เสียงน้ำไหลผ่านประตูน้ำดังซู่ซ่าตลอดเวลา

รูปภาพ

รูปภาพ


ขี่เข้าตัวชัยนาทไมล์ขึ้น 230 กม. หมาป่าไม่ได้พักอะไรมาก แค่หากาแฟสดกิน เติมน้ำในกระติกแล้วก็ขี่ต่อครับ ช่วงบ่ายนี้แดดแรง ลมแรง หมาป่าเลือกใช้เส้นพหลโยธินเก่าจากชัยนาท ยังไม่ตัดตรงไปสายเอเชียแต่ในท้ายสุดมันก็จะไปบรรจบกับสายเอเชียก่อนถึงนครสวรรค์อยู่ดี แดดแจ๋แหว ขี่ตามลมบ้างต้านลมบ้าง ระหว่างทางที่มีแยกตรงอำเภอจอดรถรอไฟแดงมีเด็กนักเรียนนั่งรถบัสไปทัศนศึกษากัน หมาป่าก็ยังถูกทักว่าเป็นชาวต่างชาติทำนองว่าฮัลโหล เฮ้ยูอยู่ สงสัยว่าการขี่จักรยานที่แม้จะมีการขี่กันอย่างแพร่หลายทั่วประเทศ แต่ถ้าขี่แบบทัวริ่งคนเดียวนี้ยังมีภาพลักษณ์ว่าจำกัดที่วงฝรั่ง วงญี่ปุ่นอยู่นะครับ พอหันไปยิ้มบอกหวัดดีจ้า เด็กๆก็หัวเราะยิ้มและโบกมือให้เสียงเซ็งแซ่ ขี่ถนนเส้นใหญ่แต่รถยังไม่เยอะมากนักเพราะคนไปใช้สายเอเชียกันเป็นหลัก ชัยนาทเป็นจังหวัดที่ต้องตั้งใจแวะเข้ามา ซึ่งคนมักไม่ค่อยเข้าหรอกครับ หากจะไปทางเหนือก็ตัดขึ้นนครสวรรค์เร่งขึ้นกำแพงเพชรหรือขึ้นพิจิตรพิษณุโลกแทน


ระหว่างทางวันนี้ออกจะล้านิดหน่อย หมาป่าเชื่อว่าเป็นเพราะถนนใหญ่ลมมันแรง วันก่อนหน้าหมาป่าใช้ถนนเส้นรองขี่ที่จาน 3 เฟือง 7 เป็นหลัก แต่พอเข้าเส้นพหลโยธินต้องเกร็งหน้าท้องมากขึ้นเพื่อส่งแรงไปยังขา มีเนินชันบางช่วงก็เหนื่อย หมาป่าเลยสับลงเฟือง 6 ให้ขาเบาลงนิดนึง พักยี่สิบกม.ก็ควักพวกโอรีโอขึ้นมากินเพิ่มน้ำตาลในเลือด พวกขนมนี้ถ้าให้เลือกหมาป่าชอบกล้วยตากครับ มันไม่หวานเกินไป กินแล้วหนักท้องดีด้วย หมาป่ามักเลือกแบบไม่ฉาบน้ำผึ้ง คือตากกันแห้งๆ ดีที่กินแล้วมันจะไม่เหนียวติดมือน่ะครับ น้ำในกระติกเป็นของมีค่าไม่อยากเจียดมาล้างนิ้วมือ


หมาป่าเคยคิดว่าขี่บนถนนใหญ่จะเสียวรถบรรทุก แต่ซูเปอร์ไฮเวย์ในเมืองไทยนี้มีไหล่ทางใหญ่ดีมากจริงๆนะครับ ขี่ตอนแรกนึกว่าเจ้าไหล่ทางมันคือเลนถนน หมาป่าก็ไปขี่เลาะอยู่ตรงด้านข้างริมๆตั้งเป็นสิบกม. จนมาสังเกตได้ว่าจริงๆมันคือไหล่ทาง ขี่ไปเถอะ รถบรรทุกเขาไม่เข้ามาแน่นอน และรถบรรทุกบางคันยังใจดี เบี่ยงออกจากเลนซ้ายสุดให้อีกแน่ะครับ ถ้าพูดถึงมารยาทการขับรถ รถบรรทุกนั้นมารยาทดีสม่ำเสมอทุกเส้นทางนะครับ สมัยที่ขี่ไปเมืองกาญฯนั้น ครั้งแรกที่เจอรถบรรทุกวิ่งอยู่ข้างๆ หมาป่าก็เกือบซวย รถบรรทุกวิ่งผ่านฟืบไปหมาป่าก็นึกว่าตอนนี้โล่งแล้วก็จะเบี่ยงออกขวาอีกนิดให้สบายตัว แต่รถบรรทุกส่วนใหญ่มักจะมีรถพ่วงตามท้ายมาด้วย รถพ่วงมันเลยผ่านหูไปให้สะดุ้งสุดตัว ตั้งแต่นั้นเห็นรถบรรทุกในกระจกมองข้างก็จะคิดเผื่อไว้ในใจเสมอว่าพี่เขาพ่วงมา เป็นจริงเจ็ดในสิบคันเสมอ


ขี่ไป 270 กม. ก็ไปจอดพักตรงศาลาฝั่งตรงข้ามทางเข้าคลังแสงทหารก่อนถึงนครสวรรค์ จากนั้นอีก 20 กม.ก็จะถึงนครสวรรค์ครับ ตอนนี้ล้าเพิ่มขึ้นเพราะแดดเพราะลมตลอดทั้งบ่าย แถมก่อนถึงสะพานข้ามแม่น้ำเข้าตัวเมืองยังมีเนินชันให้ได้จ้วงขึ้นกันอีก พ้นเนินเฮือกก็เจอสะพาน รถติดยาวเป็นสายดังภาพ ไม่รู้คนอื่นเป็นเหมือนหมาป่าไหมนะครับ หมาป่าไม่เคยนึกชอบจังหวัดนครสวรรค์ (ขอโทษเสือนครสวรรค์ด้วยใจจริง) คือภาพที่นึกในหัวคือจังหวัดที่ร้อนฉิบหาย ไปถึงทีไรก็ต้องเจอรถติด แล้วก็จะนึกถึงถนนที่กำลังก่อสร้างมีฝุ่นคลุ้งอยู่ชั่วนาตาปี มองไปที่ภูเขาในเมืองก็เห็นต้นไม้แห้งๆ ไม่มีความเขียว ไปแล้วก็อยากรีบผ่านไปให้พ้นทุกทีไป....อันนี้เป็นความรู้สึกที่ติดในใจเสมอ ชาวนครสวรรค์คงนึกด่าในใจ อิอิ แต่ความจริงมันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ว่าเสมอไปหรอกครับ เดี๋ยวนี้ถนนก็เสร็จหมดแล้ว จังหวัดไหนๆก็ร้อนนนนนเหมือนกัน แต่รถติดเนี่ยยังไงก็แก้ไม่หายครับ อย่างว่าจังหวัดนี้เป็นชุมทาง รถรามันก็ต้องเยอะเป็นธรรมดา

รูปภาพ


หมาป่ามาหยุดพักที่รีสอร์ทตรงทางที่จะออกจากเมืองไปทางเส้นกำแพงเพชร ชื่อบ้านสวนรีสอร์ท ราคารวมอาหารเช้า 540 บาท สภาพห้องพักดีกว่าโรงแรมม่านรูดที่สิงห์บุรีมากจริงๆ เหมือนขึ้นสวรรค์กันปานนั้น ไมล์ไปหยุดที่ 290 กม. สรุปวันที่สองนี้ขี่ไปราวๆ 120 กม. น้อยกว่าวันแรกห้าสิบกม. ตอนใกล้ค่ำหมาป่าไปขี่วนตรงชุมชนที่มีแผงขายอาหารกะว่าจะหาข้าวเย็นกิน เห็นแผงขายบะหมี่ก็อยากกินบะหมี่แห้ง แต่ว่าซื้อกลับห้องไม่ได้เพราะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้เอาอุปกรณ์การกินติดตัวมาด้วย จะขอตะเกียบหรือช้อนติดไปเขาก็ไม่มีให้ หมาป่าเลยตัดสินใจไม่กินซะงั้น กะไปกินขนมขบเคี้ยวที่ติดตัวที่ห้องแทน ไม่ยอมนั่งกินที่ร้านด้วย นึกในใจว่าทริปหน้าต้องไม่ลืมพวกช้อนและตะเกียบยัดใส่กระเป๋ามา แวะซื้อเบียร์ซิงฮา 4 กระป๋อง แล้วเข้าห้องซักผ้ากินเบียร์ชื่นใจ กินของจุ๊บจิ๊บ เล่นเนตด้วยแทปเลต สักสี่ทุ่มก็หลับสบายครับ ^^


เช้าวันที่สามของการเดินทาง วันนี้ตั้งใจง่ายๆว่าจะขี่จากนครสวรรค์ทะลวงผ่านไปถึงจังหวัดตาก ค่ำที่ไหนก็นอนที่นั่น ตื่นเช้ากินอาหารเช้าที่รีสอร์ทเสร็จพร้อมออกเดินทางตอน 7.30 น. ขี่ทางราบไปเรื่อยๆ ทางสายเอเชียมีรถวิ่งตลอดเวลาไม่มีเหงาครับ


พัก 310 กม. ที่หน้าโรงเรียนศรีพูลราษฏร์สามัคคี


พัก 330 กม. ที่หน้าภูเขาเลยแยกไปอำเภอบรรพตพิสัย


ช่วงระหว่างทางนี้ขี่ผ่านร้านขายไก่กระบองหลายร้าน เลยคิดว่าซื้อไก่กับข้าวเหนียวติดรถไปเป็นอาหารกลางวันท่าทางจะดี ซื้อมันหนึ่งตัวเลย กินเหลือก็เอาเก็บไว้กินตอนบ่ายๆได้อีก เลยแวะร้านหนึ่งมีแม่ค้าและลูกชายวัยซน ทักทายถามไถ่ร้องอู้หูขี่รถคนเดียวขึ้นเชียงใหม่กันตามสมควร เจ้าหนูเดินไปเล่นที่รถด้วยเพราะธรรมชาติเด็ก ขี่ออกมาพบว่ากระจกมองข้างโดนบิดเสียเบี้ยวมีขี้มือเด็กติดให้มัวอีก ต้องพักจัดกันใหม่นิดหน่อยครับ ขี่รถหมาป่าติดมีกระจกมองข้างน่ะครับ โดยเฉพาะในกรุงเทพถ้าไม่มีเนี่ยไม่กล้าขี่ครับ ไม่มั่นใจ


พอถึง 350 กม. ก็พักกะว่าจะกินไก่ครับ พักตรงศาลารอรถข้างทาง ข้างศาลามีถนนรพช.ตัดเข้าไป ตรงข้างศาลามีแผงขายข้าวโพดต้ม มีแม่ค้าหนึ่งคนกับคุณตาแก่ๆท่าทางเป็นลูกจ้างแม่ค้านั่งอยู่ด้านหลังแผง หมาป่าคาดการณ์ความอร่อยของไก่กระบองผิดไปครับ ไก่กระบองเจ้านี้เนื้อมันจะชุ่มฉ่ำมีน้ำมันมาก ไม่ได้ย่างแห้งๆแบบไก่โคราชหรือไก่ย่างจิระพันธ์ เผลอๆหมาป่าว่าแม่ค้าเอาน้ำมันทาทับตอนย่างเติมเข้าไปอีก บวกกับกลิ่นเครื่องเทศที่หมาป่าไม่ค่อยคุ้น นั่งจกกินสักพักก็อิ่มล้นๆอยู่ตรงคอ ทั้งข้าวเหนียวทั้งไก่เหลืออีกเพียบ หมาป่ากินไปได้สัก ¼ ตัวเท่านั้นล่ะครับ เริ่มคิดว่าถ้าเอาไก่ติดไปกลางทางและมีน้ำมันมันย่องขนาดนี้ เจอแดดมีหวังไก่บูดแน่นอน หมาป่าเสียดายไม่อยากทิ้งของให้เปล่าประโยชน์ เหลือบมองแม่ค้าข้าวโพดต้มก็คิดว่าได้การล่ะ เรามอบไก่ให้แม่ค้ากินน่าจะดีกว่า ก็เลยเดินไปคุยบอกว่าให้ไก่ แม่ค้ามองหน้าหมาป่าดูเนื้อดูตัวแล้วออกอาการเหมือนไม่อยากรับ แกบอกว่าหมอไม่ให้กินของมัน หมาป่าก็แหยๆว่าเอไหงดันมาเจอแม่ค้าโคเลสเตอรอลสูงเสียล่ะนี่ เลยเดินเข้าไปนั่งยองๆคุยกับคุณตาลูกจ้างว่าคุณตาเอาไหม ผมให้ครับ ระหว่างคุณตาอิดออด แม่ค้าก็พูดว่าเอาล่ะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวซื้อไว้ก็ได้ หมาป่าเลยถึงบางอ้อน่ะครับ คือแม่ค้าแกคงคิดว่าคนขี่จักรยานคนนี้พยายามขายไก่ให้แก แกไม่อยากกินเลยบอกว่าหมอให้งดของมัน แต่ความที่แกสงสารเพราะเห็นเข้าไปพยายามจะ (ขาย) ให้คุณตาแกก็เลยออกปากว่าจะซื้อก็ได้ ฮ่าฮ่าฮ่า หน้าตาเนื้อตัวและรถของหมาป่าคงดูซำเหมาสิ้นดี แม่ค้าเลยนึกว่าต้องขายไก่หาเงินเดินทาง ต้องอธิบายกันว่าเปล่าจ้า ไม่ได้ขาย ให้เก็บไว้กินไม่คิดเงินจ้า แม่ค้าก็เลยรับไว้ แกจะให้หมาป่าเอาข้าวโพดไปกินกลางทางอีกแน่ะครับ ต้องบอกว่าอิ่มแล้วจ้า กลัวข้าวโพดบูดด้วย ซึ้งน้ำใจแม่ค้าจ้า ขอไม่เอานะจ๊ะ แล้วก็ร่ำลาอวยชัยให้พรกันออกมาน่ะครับ


อาห์....ใครขี่จักรยานถึงเขตจังหวัดกำแพงเพชรคงต้องถ่ายรูปตรงนี้กันเป็นที่ระลึกเสียหน่อย

รูปภาพ


พัก 370 กม.ที่ศาลาตรงข้ามโรงเรียนคลองขลุงราษฏร์รังสรรค์ เจอรถสิบล้อทะเบียนเชียงรายจอดอยู่ พี่คนขับรถกับเมียนั่งแกะดอกไม้แดงกันอยู่ สอบถามได้ความว่าดอกที่ว่าคือดอกงิ้ว คือศาลามันอยู่ใต้ต้นงิ้วออกดอกสีแดงออกส้มเต็มเลยครับ พี่เขาเลยเอารถไปจอดใต้ต้นแล้วเก็บดอกมาแกะเอาเกสรจะเอาไปตากแห้ง ดอกงิ้วนี้พอแห้งแล้วเขาเอาไปใส่ในขนมจีนน้ำเงี้ยวครับ ท่าทางจะได้เยอะเพราะแกะกันเป็นอุตสากรรมหนักเลยเชียว


พัก 390 กม. ที่ปั๊มเชลล์ตรงแยกไตรตรึงษ์ แวะซื้อน้ำเกลือแร่ เติมน้ำเย็น ซื้อผ้าเย็น พร้อมกับทายากันแดดรอบสองของวัน เด็กปั๊มเป็นชาวพม่าเพิ่งเข้าทำงานใหม่ พูดไทยไม่ค่อยคล่องเลยต้องจิ้มเครื่องคิดเลขบอกราคากันไป


วันที่สามนี้หมาป่าขี่แบบสบายๆ ไม่เหนื่อยมาก ทางก็ราบเรียบ พอเลยทางแยกเข้าเมืองกำแพงเพชรก็แวะพัก 410 กม. แล้ว มาพักกินข้าวเย็นมื้อหลักก็ตรง 430 กม. ร้านเขาชื่อร้านครัวเห็ดก่อนถึงอำเภอโกสัมพีนครสัก 3-4 กม. อาหารนี้ถ่ายรูปสีน่าจะดีกว่า เป็นต้มยำไก่บ้านใส่เห็ดฟางกับไข่เจียวจานใหญ่ แต่ไม่มีเบียร์ หมาป่าไม่กินเบียร์ตอนขี่ครับ กลัวเครื่องน๊อค มาคนเดียวน๊อคไปเดี๋ยวจะยุ่ง ออกจากร้านตอนห้าโมงเศษดูแผนที่แล้วกำลังจะเข้าเขตจังหวัดตากที่อำเภอวังเจ้า ก็คิดว่าจะพักค้างที่อำเภอล่างสุดที่ต่อกับกำแพงเพชรในคืนนี้แหละ

รูปภาพ


วันที่สามนี้จบที่ 443 กม. รวมระยะทางประมาณ 150 กม.นับจากรีสอร์ทที่นครสวรรค์ พักที่บังกาโลชื่ออรทัย คืนละ 350 บาท ราคานี้รู้สึกจะเป็นราคามาตรฐานของที่พักริมทางนะครับ แบบมีห้องแอร์ น้ำอุ่น และทีวีให้ดูในห้อง ซักผ้ากินซิงฮาแล้วก็เข้านอนตอนสามทุ่มเศษ

Re: หมาป่าเดียวดาย...สวนหลวงร.9-พระธาตุดอยสุเทพ

โพสต์: 20 ส.ค. 2012, 08:17
โดย a lone wolf
เช้าวันที่สี่ หมาป่าตื่นนอนตั้งแต่ตีห้าแน่ะครับ อากาศเย็นจนต้องงัดเสื้อแขนยาวมาใส่ทับเสื้อยืดอีกชั้น ขี่เข้าไปที่ตลาดตัวอำเภอกินโจ๊กและกาแฟร้อน ฟ้ามืดไม่ยอมสว่างง่ายๆ มีสิงห์มอเตอร์ไซค์เดินมาคุยเรื่องกระเป๋าข้าง คุยกันพอให้ฟ้าแจ้งคนขับรถยนต์มองเห็นหมาป่าบนถนนแน่นอนหมาป่าก็เริ่มจ้วงครับ วันนี้ใช้หลักเดิมว่าขี่ไปเย็นจวนค่ำที่ไหนก็จะนอนที่นั่นแหละ อากาศยามเช้าดีมาก เย็นสบาย เตรียมใจว่าเข้าจังหวัดตากก็ต้องมีขี่ขึ้นเนินขึ้นเขาขนาดย่อมๆกันแน่นอน หมาป่าจะพักครั้งแรกที่ 460 กม. เพราะเมื่อวานมีเศษติ่งมา 3 กม. จะพักที่ 463 ก็เกรงว่าจะบวกเลขยาก เพราะมันจะมีติ่ง 3 ติดไปเรื่อยๆ พอ 460 เป๊งหยุดทันที ไม่มีศาลา ไม่มีร่มไม้แต่ว่ามันเช้าอยู่แดดไม่แรง in the middle of nowhere ครับ


จากนั้นก็จะเข้าเมืองตากแล้วล่ะครับ ขี่ไปพักจอดถ่ายรูปบนสะพานเป็นที่ระลึก (กางเกงในเนี่ยตากพาดบนคานบนได้ดีนะครับ ฮิฮิ สายๆหน่อยก็แห้ง)


รูปภาพ


แล้วก็ขี่ผ่านเมืองตากไป เมืองนี้มีทางจักรยานที่คนขับรถยนต์ให้ความเคารพขี่สบายมั่นใจในความปลอดภัย หมาป่าสองจิตสองใจว่าจะไปไหว้พระเจ้าตากที่ศาลประจำเมืองดีไหมแต่ก็ตัดสินใจไม่ไปเพราะว่าไม่อยากเสียเวลาเกินไปด้วยมีภูเขาอยู่ข้างหน้า ไม่รู้ว่าแรงจะเหลือพอใกล้ลำปางได้ขนาดไหน ใจนั้นอยากจะไปถึงเชียงใหม่ภายในห้าวันน่ะครับ หมาป่าเหลือแค่สองวันจากวังเจ้า จึงไหว้พระเจ้าตากแค่ในใจ พระเจ้าตากเป็นวีรบุรุษของชาติเรา ท่านไม่นิ่งดูดายให้คนไทยสิ้นชาติ ชาติไทยต้องการคนหัวใจอย่างพระเจ้าตากเยอะๆครับ ถึงไม่ได้ระดับพระเจ้าตากได้หัวใจของทหารพระเจ้าตากสินมหาราชก็ยังดีครับ...หัวใจที่ไม่ดูดาย


ออกจากตากก็มาพักกินข้าวยามสายที่ปั๊มเชลล์นอกเมืองที่ 478.5 กม. กินกันเต็มคราบ แวะซื้อกล้วยตาก (แต่ทำในพิดโลก) แล้วก็ไปหยุดกินกาแฟสดที่ปั๊มแก๊ส LPG ปตท.ที่ตรงเลยอำเภอบ้านตากมาหน่อยจุดนี้ขี่ได้ 500 กม.แล้วครับ เจ้าของปั๊มท่านมีศาลเยอะครับ ทั้งพุทธ พราหมณ์ ผี หมาป่าเลยถ่ายภาพเก็บไว้

รูปภาพ


ตอนนี้เริ่มเจอเนินเจอทางชันเยอะขึ้นมาก และเจอหมาด้วยครับ หมาป่าเล่าเรื่องนี้ไว้ในกระทู้นี้ http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 0&t=465004
ตัดข้อความมาแปะไว้เสียก็ดีนะครับ จะได้ไม่ต้องข้ามไปอ่านกลับไปกลับมา

...... เคยขับรถขึ้นสายเอเชียช่วงจังหวัดตาก ก่อนขึ้นเนินแล้วมีป้ายบอกว่า "ระวังปืนใหญ่" ไหมครับ?
ผมมุ่งหน้าขึ้นเชียงใหม่ เห็นป้ายนี้ก็เตรียมระวังเต็มที่
พ้นเนินก็เจอร้านขายของเก่าชื่อ "จับฉ่ายเมืองฉอด" ขายพวกของเก่าอารมณ์ไม้โบราณ เขามีปืนใหญ่ทรงแบบอยุธยาทำด้วยไม้ตั้งอยู่หน้าร้าน มีหุ่นอินเดียนแดงตั้งอยู่ด้วย
นึกขำว่าเป็นไอเดียในการให้คนสนใจร้านได้ดี
ขี่ผ่านร้านก็ขึ้นเนินอีกครั้ง ข้างหน้ามีอีแต๋นขับช้าๆอยู่ ผมจ้วงขึ้นเนิน เตรียมหาทางแซงอีแต๋น พะวงรถยนต์ที่จะวิ่งตามมาข้างหลังด้วยความเร็วสูงเกินร้อยยี่สิบ
เนินชัน จ้วงได้ความเร็วช้าขาตึงหน่วง
ก็อย่างที่บอก ระวังแต่ปืนใหญ่ ศึกปืนใหญ่หายไปแล้ว ก็ระวังอีแต๋น ระวังรถยนต์ด้านหลัง
แต่ไม่ได้คิดระวังหมา
เห็นตรงหางตาข้างซ้าย หมาไทยพันทางสีน้ำตาล วิ่งควบจี๋มาจากร้านจับฉ่ายเมืองฉอด
มาแบบไม่ได้เตรียมใจไว้ก่อน
มาเร็วเหมือนจรวดเลยครับ
แป๊บเดียวมาจ่ออยู่ตรงใกล้น่องสักครึ่งเมตร
สปรินท์หนีก็ไม่ได้ เพราะเนินชัน แถมมีอีแต๋นขวาง
จะเบี่ยงขวาก็กลัวรถยนต์เสย
ได้แต่ร้องเฮ้ย และทำใจว่ากูโดนแน่เลยเขี้ยวขาวเนี่ย
...แต่หมามันไม่ได้เอาจริงน่ะครับ มันเลยแค่แยกเขี้ยวแล้วก็ปล่อยผมไป
หัวใจหลังจากนั้นเต้นสูงอยู่นานกว่าจะลดระดับลง ตัวสั่นด้วยความตกใจขีดสุด อ่อนไปทั้งตัว
นึกเคืองหมาอยู่ในใจว่า กูไม่ใช่นักบินเครื่องขับไล่กริพเพนของกองทัพอากาศไทยนะโว๊ย จะได้ต่อตีเป้าทีเดียวได้พร้อมกันสี่เป้า (แรงดึงดูดโลกจากเนินชัน/ อีแต๋น/ รถยนต์ และหมา)....


ผ่านหมาก็ขี่ตรงเพื่อผ่านทางเข้าเขื่อนภูมิพล ตรงช่วงขึ้นสะพานข้ามลำน้ำเห็นน้องวัยหนุ่มสองท่านขี่จักรยานสะพายกระเป๋าข้างเหมือนกันเป๊ะราวกับซื้อพร้อมกันจากร้านเดียวกันทำนองทัวริ่งเหมือนกันอยู่ข้างหน้า หมาป่าแซงไปพร้อมกับทักทาย นี้เป็นนักจักรยานทัวริ่งสองในสามคนที่เจอตลอดทริประหว่างการขี่น่ะครับ แซงแล้วสักพักก็ถึงจักรยานยักษ์ใหญ่ตรงทางเข้าเขื่อน แวะถ่ายรูปตามธรรมเนียม คงไม่มีนักจักรยานต่างถิ่นคนไหนขี่ผ่านโดยตัดใจไม่แวะถ่ายรูปได้แน่นอนครับ หมาป่านึกเสียใจที่ไม่ได้ขี่เข้าไปที่ตัวเขื่อนด้วยว่าไม่มีเวลา แต่ไม่เป็นไร วันหนึ่งข้างหน้าต้องขี่เข้าไปแน่นอน สัญญาไว้ตรงนี้แหละครับ

รูปภาพ


พัก 520 กม.กินน้ำกินกล้วยตากที่ร้านชำตรงเลยปากทางเข้าเขื่อนมา 3 กม.
ช่วงขี่จาก 520 กม. หมาป่าเห็นฝรั่งท่านนึงเป็นนักจักรยานเหมือนกันนั่งกินข้าวอยู่ร้านข้างทาง หมาป่าขี่ผ่านเขาก็โบกมือทักทาย พอไปพัก 540 กม. ตรงที่พักทางหลวงก่อนเข้าอำเภอแม่พริก แกก็ขี่ตามมาแวะพักคุยด้วย เป็นฝรั่งสูงอายุครับ ขี่เสือหมอบแต่ติดกระเป๋าสัมภาระด้วย กระเป๋าใบเล็กนิดเดียว ถือเป็นนักจักรยานทัวริ่งคนที่สามที่พบ คุยกันได้ทราบความว่าแกขี่จักรยานมานานมาก ขี่ตั้งแต่หนุ่ม ร่างกายฟิตและเฟิร์มมาก ใส่ชุดนักจักรยานสีแดงขาว เป็นชาวเดนมาร์ก ถามว่าชื่ออะไรแกชี้ไปที่อกมีตัวหนังสือปักว่า Victor ตอนแรกนึงว่ายี่ห้อเสื้อแต่แกบอกว่าชื่อแกเอง แกใส่รองเท้าสานเปิดเห็นนิ้วเท้าแต่มีติดคลิปด้วยนะครับ อายุแกนั้นขัดกับสภาพร่างกายมากเลยครับเพราะแกบอกว่าอายุ 72 ปีแล้ว แกเอาจักรยานขึ้นเครื่องบินจากเดนมาร์กมาขี่ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บ่อยๆ ไปมาทั้งลาว เวียดนาม เขมร และมาเลเชีย ในพม่าแกก็ไปขี่บ้างทางด้านล่างของประเทศที่อยู่ในอิทธิพลของรัฐบาลกลาง ดินแดนที่เป็นเขตอิทธิพลชนกลุ่มน้อยแกยังไม่เคยขี่เพราะดูไม่ค่อยปลอดภัย เสร็จแล้วก็ร่ำลากันแกบอกว่าแกจะขึ้นเชียงใหม่แต่จะไม่ไปทางสายเอเชียทางลำปางแต่จะตัดซ้ายขึ้นไปทางลำพูนซึ่งทางเล็กกว่าชันกว่า แกยังถามเลยว่าพอจะรู้จักที่พักไหม หมาป่าบอกโนไอเดียน่ะคุณลุง แต่เชื่อว่าคงมีทุกอำเภอนั่นแหละ อวยพรกันให้ปลอดภัยแล้วก็แยกจากกันครับ


ช่วงก่อนถึงที่พักทางหลวงและเจอคุณลุงวิคเตอร์ หมาป่าได้บทเรียนการขี่บนเขานิดหน่อยครับ คือมันเป็นทางชันลาดลง คล้ายๆเป็นสันเขากลายๆ หมาป่าขี่ลงมาด้วยความเร็ว 40 กว่ากม.ต่อชม. ปรากฏว่ามีลมตีด้านข้างรถเป๋เลยครับ แถมมีรถบรรทุกวิ่งผ่าน ลมจากรถบรรทุกยิ่งส่งผลบวกกับลมตีข้างทำให้เป๋และส่ายยิ่งขึ้นไปอีก หมาป่ามีเหวอและตกใจพอสมควร ตั้งแต่นั้นมาเจอทางลงยาวทำนองสันเขา หมาป่าจะขี่ต่ำกว่า 40 เสมอครับ ลมพัดข้างนี้น่ากลัวจริง


พักกินน้ำที่ที่พักกรมทางหลวงเสร็จหมาป่าเริ่มต้องการอาหารเที่ยงแล้วล่ะครับ ขี่ไปหวังกินตรงตัวอำเภอแม่พริกที่อยู่ริมทางหลวง ร้านอาหารไม่ค่อยมี แต่เห็นเพิงขายอาหารตามสั่งตรงข้างที่ทำการอำเภอที่อยู่ด้านขวาจึงจูงจักรยานข้ามถนนไปกิน แม่ค้าหน้าตาดูอารมณ์ไม่ค่อยดี หมาป่าก็ไม่กล้าเซ้าซี้มากสั่งคะน้าหมูกรอบราดข้าวมากินคุณน้าแกใส่หัวหอมมาด้วยรสชาติมันแปลกๆเพราะไม่เคยกินคะน้าหมูกรอบใส่หัวหอมมาก่อน ก็กระเดือกๆกินไปไม่บ่นครับ มาบ่นตรงนี้แทน


ขี่ต่อไปพักที่ 560 กม.ตอนบ่ายสอง ตรงศาลาที่พักรอรถริมทางก่อนเข้าอำเภอเถิน เจอพวกพี่ผู้หญิงนั่งรอรถเป็นเพื่อนลูกสาวก็นั่งคุยกัน แกก็โถพ่อคุณอุตส่าห์ขี่รถมาเสียไกลตัวดำ เก่งแท้ หมาป่ายิ้มๆครับ


ขี่ต่อถึงกม. 580 ที่ตำบลแม่กอด อำเภอเถิน เจอปั๊มปตท.มีเซเว่นฯ และมีเคาน์เตอร์เซอร์วิส หมาป่าไปกดตังค์ที่ตู้เอทีเอ็มเพื่อจ่ายค่างวดรถยนต์ด้วยว่าเป็นวันครบรอบส่งค่างวดพอดี กินน้ำกินท่าเสร็จเจอพี่ผู้ชายกับพี่ผู้หญิงเดินมาทัก หน้าตาคุ้นๆแต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน อาจจะเคยเห็นหน้าในรูปถ่ายนักจักรยานในเวปนี้แหละครับ คุณพี่มีจักรยานบรรทุกมาบนรถ SUV สีน้ำเงิน แกถามว่าหมาป่าจะขี่ขึ้นไปเชียงใหม่ไปร่วมเทศกาลคนพันธุ์อึดขึ้นดอยอินทนนท์ที่จัดช่วงวีคเอนต์หรือ? หมาป่าก็เพิ่งรู้จากคุณพี่นี่แหละครับว่าเขากำลังจะมีเทศกาลกัน หมาป่าส่ายหัวบอก ไม่ล่ะจ้ะ อึดไม่พอแน่นอน ข้างหน้ายังมีดอยขุนตาล แถมที่เชียงใหม่ก็ยังมีดอยสุเทพที่ยังลูกผีลูกคนว่าจะขี่ขึ้นไหวหรือเปล่าขวางหน้าอยู่ ดอยอินทนนท์นี้เกินความสามารถขอรับ นับจากที่คุณพี่ๆทักหมาป่าจึงเริ่มสังเกตว่ามีรถบรรทุกจักรยานขี่แซงหมาป่าไปเป็นระยะ เป็นเทศกาลที่รวมผู้คนได้เยอะดีจริงๆนะครับ


ตอนนี้หมาป่าเห็นว่าเย็นแล้วล่ะครับเปิดแผนที่ดูเพื่อตัดสินใจ ข้างหน้านั้นคืออำเภอสบปราบ ถัดไปคือเกาะคา ใจนึงก็อยากจะขี่ไปให้ถึงเกาะคาเพื่อที่ว่าจะได้ใกล้ลำปางมากที่สุด วันพรุ่งนี้วันที่ห้าของการเดินทางจะได้ไม่ต้องขี่ไกลมากเกินไปด้วยต้องเก็บแรงไว้ลุยดอยขุนตาล แต่เกาะคามันก็อีกตั้ง 60 กม.แน่ะครับ วันนี้ขี่จากวังเจ้าจังหวัดตาก เจอเนิน เจอหมา เจอลม เจอแดด สงสัยว่าจะต้องไปมืดกลางทางก่อนถึงเกาะคาแหง หมาป่าจึงปลงใจว่าจะหาที่พักที่สบปราบ


ขี่ออกจากปั๊มปตท. ไปสักพัก ระหว่างที่อยู่บนเนินใดสักเนิน ก็มีรถมาสด้าแฟมิเลียมาขี่ชะลออยู่ด้านหลัง ไม่ยอมแซง หันไปดูเห็นผู้ชายยิ้มเผล่ พี่เขาตะโกนว่าจะติดรถเขาไปลำปางไหม แม๊ใจดีจริงๆ (หรือไม่สภาพหมาป่าตอนจ้วงขึ้นเนินคงดูทุลักทุเลทุเรศตาพี่เขามาก จึงอาสารับขึ้นรถ ฮ่าฮ่าฮ่า) หมาป่าบอกไม่เป็นไรครับ ขี่ไปเรื่อยๆ รถพี่เขาเลขทะเบียนลำปาง ขฉ 8981 บรรทุกเครื่องปั่นไฟขนาดเล็กมา บันทึกไว้เพื่อขอบคุณ ณ ที่นี้ พี่เขาแซงขึ้นไปแล้วยังชะลอจะเอาน้ำขวดใหญ่มาให้หมาป่าอีกด้วยแน่ะครับ ต้องปฏิเสธไปว่าน้ำมีเพียบเติมเต็มมาจากปั๊มน้ำมันแล้ว คนไทยใจดี ช่วงเนินตรงนี้เจอรถบรรทุกวิ่งสวนมาคนขับบีบแตรยกนิ้วโป้งให้จากอีกฝั่งของถนน แม๊ขี่จักรยานทางไกลเนี่ยมันโก้มันยืดก็ตรงนี้แหละคร้าบ


ขี่ไปทางสบปราบ หมาป่าก็พยายามดูข้างทางไปเรื่อยๆว่ามีที่พักทำนองบังกาโลตรงไหน ถ้าเจอก็จะพักเลยน่ะครับ ผ่านอยู่แห่งนึงแต่ไม่ได้หยุดเพราะได้ยินเสียงร้องคาราโอเกะดังลั่นตั้งแต่สักสองร้อยเมตรก่อนถึงเชียว กลัวว่าวงคาราโอเกะจะยืดเยื้อถึงดึกดื่นเดี๋ยวนอนไม่หลับ จนไปเจอฟาร์มเลี้ยงไก่ชนที่มีร้านชำ ถามซื้อเบียร์และขอคำแนะนำที่พัก เขาแนะให้กลับรถวกไปอีกฝั่งมีที่พักชื่อบังกาโลเฟื่องฟ้า ซึ่งน่าจะถือเป็นม่านรูดประจำอำเภอ (แต่ไม่มีม่าน) เพราะว่าแยกห้องใครห้องมัน มีตู้ส่งจานอาหารแบบไม่ต้องเปิดประตูมาเจอหน้าคนส่ง มีความเป็นส่วนตัวสูงมาก คนเฝ้าเป็นผู้หญิงทำกับข้าวอร่อยครับ หมูกะเพรากับไข่ดาวกรอบๆ หมาป่าเห็นว่าบังกาโลมีประตูแน่นหนาจึงนัดหมายกันไว้ก่อนว่าพรุ่งนี้ตีห้ากว่าจะขอตะโกนเรียกให้มาเปิดประตูนะครับ ไม่อยากรอจนสาย แกบอกไม่มีปัญหา


เข้าห้องเอาเบียร์แช่ช่องฟรีซในตู้เย็น กินข้าวเสร็จรอเบียร์เย็นเตรียมจิบเบียร์ (อีกแล้ว) ซิงฮาสามกระป๋องที่ซื้อมาจากร้านชำตรงฟาร์มไก่ชนนี้มันแปลกๆครับ ราคากระป๋องละ 32 บาท เด็กลูกสาวเจ้าของฟาร์มไปคุ้ยมาให้จากหลังร้านไม่ได้เอาจากตู้แช่ ราคาตลาดมันจะตก 35-37 ยังถามเด็กเลยว่าเอ๊ะคิดราคาน้าผิดหรือเปล่า เด็กบอกไม่ผิดค่ะ มีปากกาเมจิคเขียนไว้ชัดเจนว่า 32.- พอจิบเข้าปากก็เลยรู้ว่าเบียร์มันเก่าเกิน เพราะรสชาติแปลกมาก เบียร์หมดอายุครับ รีบบ้วนทิ้งเพราะกลัวอาหารเป็นพิษ พลิกดูตูดกระป๋องมันผลิตมาสองปีกว่าแล้ว เข้าใจว่าคนแถวนี้ไม่ค่อยกินสิงห์กันเบียร์มันเลยค้างสต๊อก มิน่าราคาถูกกว่าปกติ หมาป่าเลยต้องสั่งลีโอจากบังกาโลมาแก้ขัดแทน

หมาป่าเล่นเนตและเข้านอนตอนสามทุ่มกว่าเตรียมรับศึกใหญ่สุดของทริปนี้ในวันรุ่งขึ้น....ขี่ทะลวงขึ้นขุนตาลและทะลุผ่านเข้าเชียงใหม่


เช้าวันที่ห้าของการเดินทาง ตื่นแต่เช้ามืด ตะโกนเรียกคนเฝ้าบังกะโลมาเปิดประตูให้ อากาศเย็นเหมือนที่ตาก ใส่เสื้อแขนยาวกันหนาวรัดกุม ขี่ติดไฟพราวเพราะเสียวรถยนต์บนไฮเวย์ จะไปหาข้าวเช้ากินที่สบปราบ ขี่ไปก็สังหรณ์ว่าถ้าเป็นริมถนนอาจไม่มีร้านค้า เห็นสาวชาวบ้านขี่จักรยานมาก็เลยถามว่าจะหาตลาดได้ตรงไหน น้องสาวบอกเลี้ยวซ้ายขี่ไปตามทางเล็กสักพักจะเจอตลาดนัดข้างวัด วัดเมืองพร้าว พ่อค้าแม่ค้าขายของเยอะครับ ของกินหมาป่าเลือกข้าวเหนียวปื้งใส่ใส้กล้วย กับหมูปิ้ง

รอพอฟ้าแจ้งก็จ้วงมุ่งเกาะคา จากสบปราบไปเกาะคานั้นเหมือนกับสบปราบเป็นที่ราบและเกาะคาก็เป็นที่ราบ ระหว่างกลางคือหมู่ภูเขา หมาป่าเจอเขาชันกว่าช่วงตากเข้าลำปางมากกว่าจนเห็นได้ชัด ทางชันขึ้นแล้วอืดหนืดยาว เริ่มต้องใช้จานหน้าจานหนึ่งกันบ้างแล้ว แดดยามเช้าต่อสาย อากาศเริ่มร้อน เนื้อตัวหมาป่าก็เริ่มร้อนเพราะแรงชันและมีเสื้อแขนยาว มีบางช่วงที่ขี่ผ่านภูเขาแห้งๆ ต้นไม้ทิ้งใบโกร๋น แล้วอยู่ดีๆรถราที่เคยวิ่งแซงวิ่งสวนก็หายไปซะงั้น ทุกอย่างมันเงียบมีแต่เสียงเฟืองจักรยานทำงาน กับเสียงหายใจของตนเอง หมาป่ารู้สึกสงบแบบแปลกๆนะครับ ทิวทัศน์รอบตัวมันทำให้นึกถึงหนังเรื่องพิภพวานร ซีรีย์ฝรั่งที่เคยดูตอนช่องสามสมัยเด็กๆ เงียบสงัดเหมือนอยู่คนเดียวกลางพิภพที่ไร้มนุษย์ แต่ไม่มีลิงเอปโผล่เข้ามา เป็นช่วงสันติที่จำได้ติดใจสำหรับทริปนี้ การขี่จักรยานทางไกลคนเดียวมันมีเสน่ห์ตรงนี้แหละครับ


หลังจากนั้นยวดยานมีเครื่องยนต์ก็เริ่มกลับมา ทางชันยังไม่ลดระดับลง เหนื่อยครับเหนื่อย หมาป่าไปหยุดพัก 620 กม.ตรงศาลาพักริมทางแห่งหนึ่งบนยอดเขา เจอพี่ผู้ชายขี่มอเตอร์ไซค์มาส่งหลานสาวขึ้นรถประจำทางเข้าเมือง ดื่มน้ำดื่มท่าพูดคุยกันและถามพี่เขาว่านี่เขาเรียกดอยอะไร พี่เขาบอก “ดอยตัด” หมาป่าไม่ได้ถามความเป็นมาของชื่อ แต่เดาแบบเสียดสีว่าชื่อนี้น่าจะเกิดจากทีมงานที่เข้ามาทำถนนสายนี้ เพราะว่าจากภูมิประเทศที่เป็นที่ราบของสองอำเภอ สบปราบด้านหลังและเกาะคาที่อยู่ด้านหน้า ทีมงานทำถนนคงพยายามหาทางราบอ้อมทิวเขาให้ได้มากที่สุดแต่คงพบว่าไม่มี ถ้าจะไปเกาะคาก็ต้องขึ้นเขาอยู่ดี สงสัยลูกน้องคงถามนายช่างว่าจะตัดถนนขึ้นเขาตรงดอยไหนดี อารามเหนื่อยที่จะหาทางที่ดีที่สุดจนหมดใจ นายช่างจึงบอกว่า “ตัดขึ้นแม่มตรงนี้แหละ” ดอยนี้จึงชื่อดอยตัด...ตัดขึ้นได้ชันหน่วงหนืดดีเหลือเกิน เฮ้อ หมาป่านึกดีใจที่เมื่อวานเย็นไม่ฝืนขี่ต่อผ่านสบปราบมานอนเกาะคา เพราะถ้าเจอดอยขนาดนี้กลางความมืดสงสัยมีการเครื่องน๊อคหรือต้องนอนที่ศาลาที่พักริมทางกันบ้าง


ลงดอยก็ไปเจอปั๊มเอสโซ่ ที่ไมล์ 638 กม. ข้าวเหนียวปิ้งและหมูย่างที่กินไปย่อยหมดแล้ว แวะเติมข้าวราดแกงปลาดุก ผัดขิงไก่ กับกุนเชียงอีกรอบ ไม่มีกาแฟสดกิน ไปหากินเอาข้างหน้า ตรงช่วงเนินเกาะคานี้ยังมีร้านเก๋ชื่อ ลานลำปางหนาวมาก มีร้านกาแฟเบเกอรี่ให้นักท่องเที่ยวแวะพักถ่ายรูป เห็นตัวหนังสือใหญ่แล้วขำนะครับ มันเกิดจากรายการเล่าข่าวยามเช้าที่จะมีคนคนนึงส่ง sms เข้ามาทุกเช้า เขียนว่า “ลำปางหนาวมาก” หน้าหนาวก็ส่ง หน้าร้อนก็ส่ง หน้าฝนก็ส่ง ส่งจนเป็นวลีฮิต หมาป่าเคยเห็นทำเป็นสติกเกอร์ติดรถยนต์ขายด้วย

รูปภาพ


แล้วก็เข้าเกาะคาต่อไป มีแยกที่มีรถม้าด้วยดังภาพ

รูปภาพ

ถัดจากแยกรถม้านี้มีอนุสาวรีย์ใหญ่มาก เป็นอนุสาวรีย์พระนเรศวรมหาราชผู้กู้ชาติไทย
ท้ายสุดมาได้กินกาแฟที่ร้านเปิดใหม่ชื่อ Coffe@Noon ใหม่มากครับ เด็กชงกาแฟก็ใหม่ ใช้เครื่องยังไม่ค่อยเป็นชงกาแฟดำมาให้ใส่แก้วใส สีกาแฟสีเหมือนชาลดความอ้วน แม้หมาป่าจะเป็นคนขี้เกรงใจคนอื่นมาก แต่งานนี้ต้องขอให้ชงให้ใหม่ ^^


วันนี้หมาป่าไม่ได้ขี่เข้าตัวเมืองลำปางเลยล่ะครับ ตัดผ่านแยกที่จะไปเชียงใหม่ แวะกินน้ำเกลือแร่มาตามทาง พัก 660 กม.ที่ปั๊มน้ำมันร้างมีรถทัวร์กรุงเทพ-ลำปางจอดเป็นอู่อยู่ แล้วก็มุ่งสู่ขุนตาล


หมาป่าตอบตัวเองไม่ถูกครับว่าทริปนี้ตัวเองเกรงดอยไหนมากกว่ากัน ระหว่างดอยขุนตาลกับดอยสุเทพ สมัยเด็กนั่งรถที่พ่อพาขับจากกรุงเทพขึ้นเชียงใหม่ ถนนยังไม่กว้างใหญ่เหมือนสมัยนี้ เราจะมาถึงดอยขุนตาลกันตอนเย็น ร่างกายล้าจากการนั่งรถรถยาวนาน ดอยทะมึนสูงใหญ่และความเข้มขลังตรงศาลเจ้าพ่อขุนตาลที่รถเกือบทุกคันต้องบีบแตรแสดงการคารวะ ยิ่งขับเน้นให้ดอยนี้ยิ่งใหญ่ในความรู้สึกของเด็กที่ติดมาจนถึงแก่หัวหงอกของหมาป่า มันเป็นความใหญ่แบบต้องอาศัยแรงใจเยอะที่จะฝ่าข้ามไป คิดจะไปเชียงใหม่ต้องข้ามขุนตาลเท่านั้น (ข้ามทางอื่นก็คงได้แต่ทางเส้นนั้นคนไม่ค่อยใช้) ในขณะที่ดอยสุเทพก็ใหญ่เหมือนกันแต่ไม่มีเซนส์ของการฝ่าข้ามไป สิ่งน่ากลัวของดอยสุเทพกลับเป็นความชันของโค้งตอนก่อนขึ้นถึงตัววัดพระธาตุ โค้งสุดท้ายโค้งนั้นที่ตีโค้งฉกรรจ์แล้วก็ตัดขึ้นเนินชันทันที สมัยก่อนพ่อขับรถเกียร์ธรรมดาเห็นพ่อเลี้ยงคลัทช์เปลี่ยนเกียร์และเสียงเครื่องยนต์อื้ออึงพร้อมทั้งต้องสาวพวงมาลัยด้วย มันก็ระทึกไปอีกแบบนะครับ หมาป่าเองยังเก็บมาฝันอยู่ทุกๆสองสามปีว่าขับรถไปเครื่องดับอยู่ตรงโค้งนั้นทุกที แม้ว่าตอนนี้จะขับรถเกียร์ออโต้แล้วก็ตาม


พอขี่เลยแขวงการทางห้างฉัตร หมาป่าแวะพักกินข้าวเที่ยงเตรียมขึ้นตียอดขุนตาล ไก่ย่างข้าวเหนียว ไก่ย่างแห้งแบบวิเชียรบุรีครึ่งตัว โปรตีนคาร์โบไฮเดรตพร้อมเต็มที่

รูปภาพ


ขี่ขึ้นขุนตาลนี้หมาป่าว่ามันชันแบบหนักแน่นน่ะครับ ไม่ใช่แบบเขาใหญ่ที่เคยผ่านมา ถนนใหญ่ เนินสูง ถนนออกแบบดีมีส่งมีผ่อน แต่ก็หนักหน่วง ขี่ผ่านร้านค้าของกรมทางที่อยู่ด้านล่าง ผ่านแบบไม่ได้แวะ ทางมันบังคับให้ต้องใช้จานสองเฟืองสี่เฟืองสามเสียเป็นส่วนใหญ่ บางช่วงบางตอนก้มหน้าก้มตาถีบก็มีรถสิบแปดล้อมาวิ่งขนาบข้าง ไอร้อนวาบเข้าร่างกายด้านขวา เสียงเครื่องยนต์คำรามใส่หูเพราะรถบรรทุกก็ต้องรีดแรงบิดจากเครื่องยนต์ของตัวเองเต็มที่เพื่อพาน้ำหนักมหาศาลของตัวรถและสินค้าที่บรรรทุกเอาชนะความชันขึ้นไปเช่นกัน แต่ขาก็ไม่เคยชนะเครื่องดีเซลสักที สักพักเขาก็ตีจากไปและมีคันใหม่มาขนาบข้างหมาป่าเป็นระยะ ทำให้ไม่เหงานักกับการจ้วงขึ้นดอย มีรถปิคอัพบรรทุกจักรยานมุ่งขึ้นเชียงใหม่แซงขึ้นไปหลายคัน หมาป่าไม่ถึงกับต้องใช้เฟืองหลังจนหมดแม็ก ใช้เยอะสุดก็จานหนึ่งเฟืองสาม ขี่ช้าหน่อยแต่ไม่เร่งรอบขา ให้มันขึ้นไปแบบหนืดๆตามเคล็ดวิชาพี่เมธา เจ้าสำนักเอ็มเจนครปฐม _/\_


ในที่สุดก็มาถึงศาลเจ้าพ่อขุนตาลครับ ... หมาป่าน้ำตารื้นมีก้อนสะอื้นจุกคอนิดหน่อย (ออกจะเซนติเมนตัล อิอิ) ดีใจที่ผ่านดอยที่เคยเกรงมาปีกว่าตั้งแต่เริ่มขี่จักรยาน
เชียงใหม่ไม่ได้ไกลเกินฝันแล้ว มันอยู่ข้างหน้าลงดอยไปนี่แหละ

รูปภาพ


หมาป่าแวะกินโค้กตรงร้านค้าถัดศาลเจ้าพ่อฯ พี่คนขายเป็นชาวลำพูน คุยกันย๊าววว ลูกสาวพี่เขาเบื่อเชียงใหม่เลยขอลองสอบไปติดที่ขอนแก่นเรียนเอกอังกฤษ ธุรกิจไม่ค่อยดีเหมือนเมื่อก่อน ก่อนที่จะมีการเปิดร้านค้าของกรมทางหลวงด้านล่างช่วงขึ้นดอย คนน้อยเพราะคนไม่ค่อยแวะพัก ยกเว้นคนที่จะลงมาซื้อดอกไม้ธูปเทียนไหว้เจ้าพ่อ คุยกันเรื่องการเลี้ยงลูก การขับรถจากลำพูนไปเยี่ยมลูก แถมคุยกันเรื่องนครสวรรค์ด้วยครับ พี่แกก็สารภาพว่าแกเป็นโรคเดียวกับหมาป่าคือนั่งรถผ่านนครสวรรค์แล้วร้อนอยากรีบไปให้พ้นๆ ฮ่าฮ่าฮ่า เสือนครสวรรค์ค้อนพร้อมด่าหมาป่าอีกแหละครับ ^^


ลาพี่ผู้หญิงเจ้าของร้านแล้วก็ทิ้งตัวลงสู่พื้นราบ ขึ้นดอยสูงหนักเหนื่อย ตอนขาลงก็ได้สนุกกับความเร็ว หมาป่ายังหวาดกับทางโค้งกับลมตีข้างอยู่ จึงบีบเบรกขืนไว้ตลอดทาง พยายามให้ความเร็วไม่ขึ้นเลขสี่ ยางเส้นหมาป่าใช้เป็นยางที่เปลี่ยนล่วงหน้ามาร่วม 3 เดือน เส้นเดิมที่ติดรถตอนซื้อเป็น Continental รุ่น Contact มันก็แตกบ้างตามประสา เฉลี่ยทุกๆหนึ่งพันกิโลเมตรจะโดนเศษแก้วให้ต้องหยุดเปลี่ยนยางกันสักครั้ง พอครบเจ็ดพันสองร้อยกิโลหมาป่าสั่งซื้อรุ่นที่เกรดเหนือกว่าเดิม เอารุ่นดีที่สุดที่พอจะมีกำลังซื้อมาจากเวปในอังกฤษ แล้วให้น้องสะใภ้ที่เรียนส่งไปรษณีย์ต่อมาให้ เป็น Conti รุ่น Top Contact หมาป่าไม่เคยแต่งรถเลย อาศัยแต่งแต่ยางเพื่อบำเรออีเขียว ขนาดกว้าง 37 มม. ใหญ่สุดเท่าที่วงล้อจะรับได้ ก็คอนโทรลรถได้มั่นใจกว่าเดิม เข้าโค้งดูจะกรึบกว่าเดิม แต่ที่แน่ๆคือทนการแตกได้ดีกว่าเดิมครับ เปลี่ยนมาจนถึงวันที่เขียนบันทึกสรุปทริปนี้ก็ร่วมเจ็ดพันกว่ากิโลเมตรแล้ว ยังไม่เคยแตกเลย นิสัยการขี่เหมือนเดิม ขี่ในถนนทุเรศของกรุงเทพเป็นส่วนใหญ่เหมือนเดิม ก็น่าจะพูดได้ว่ารุ่น Top Contact นี่ทนกว่ารุ่น Contact เฉยๆ อย่างน้อยก็เจ็ดเท่าตัวล่ะครับ แต่ว่าอุปกรณ์การปะการเปลี่ยนยางก็ยังติดรถไว้เสมอนะครับ เพียงแต่เริ่มลืมๆแล้วเหมือนกันว่ามันเปลี่ยนยังไงกันหว่า แตกอีกทีก็คงนั่งคลำอยู่นาน (เคาะไม้ แก้เป็นลางก่อน ก๊อกก๊อกก๊อก)


พอลงจากดอยขุนตาลไม่นานเจอร้านกาแฟที่ออกแบบตกแต่งทำนองบ้านไร่ไวน์ยาร์ดในอิตาลี คล้ายๆกับที่เขาฮิตกันที่เขาใหญ่ อันนี้มาตั้งตรงลำพูน มีแกะสองตัวให้คนถ่ายรูป ร้านเปิดไม่นานเท่าไหร่ ยังชงกาแฟสดไม่ค่อยเข้าที่ครับ แล้วอากาศมันก็ร้อนจนเกินอิตาลีพอสมควร แอร์ทำท่าจะสู้แดดบ่ายไม่ไหว จิบกาแฟร้อนเหงื่อชุ่มหลัง คนที่จอดแวะพักที่อาจจะเคยขี่จักรยานก็มาทักทายอู้หูกับหมาป่าว่าขี่ข้ามขุนตาลมาได้ ช่วงต่อๆมาเวลาแวะพักที่ปั๊มน้ำมันช่วงลำพูนเชียงใหม่ก็เจอเสือหลายท่านครับ พวกท่านบรรทุกจักรยานมาเตรียมขี่ขึ้นเทศกาลดอยอินทนนท์กัน หมาป่ารู้สึกภูมิใจเวลาพี่ๆเขาอู้หูเรื่องการขี่คนเดียว ถึงจะไม่มีปัญญามีเฮี่ยวมีแฮงขี่ขึ้นดอยอินทนนท์ แต่ก็ครึ้มๆที่มีนักจักรยานด้วยกันชมน่ะครับ


หมาป่าเคยนึกว่าลงจากดอยขุนตาลจะเจอแต่ทางราบไปจนถึงเชียงใหม่ แต่ก็ยังมีภูเขาอยู่นะครับ ช่วงอำเภอแม่ทา ดอยก็ยังชันอยู่พอสมควร เหนื่อยยังไงก็ต้องสู้ วันนี้จะต้องนอนเชียงใหม่แล้ว ช่วงขี่ลงเขาหมาป่าสับลงจานสามเฟืองแปดเฟืองเก้าสังเกตว่ามีเสียงแต็กๆแบบโลหะเสียดสี จอดลงดูพบว่าในองศาของจานสามหากสับโซ่ไปที่เฟืองเล็กมากแล้วโซ่มันถูกับตัวสับจาน (ตัวที่เบี่ยงโซ่ให้ตกร่องจานหน้า หมาป่าไม่แน่ใจว่าเรียกถูกหรือเปล่า) แก้เองไม่เป็นครับ ก็ทำได้แต่ใส่ลงมาที่เฟืองเจ็ดไม่เกินนั้น ให้ช่างน้องหนึ่งทำให้เมื่อเข้ากรุงเทพแล้วดีกว่า


แดดเริ่มอ่อน เนินชันเริ่มหายไป พื้นราบเข้ามาแทนที่ รถรา บ้านเรือน นิคมอุตสากรรมเริ่มเยอะขึ้น มีมอเตอร์ไซค์ของชาวลำพูนวิ่งย้อนศรมาตามไฮเวย์เยอะขึ้น คือผู้คนเริ่มออกจากที่ทำงานเตรียมกลับบ้านแล้ว ขี่ต้องคอยเบี่ยงให้มอเตอร์ไซค์ย้อนศร แต่ก่อนเบี่ยงก็ต้องมองกระจกหลังดีๆเพราะอาจมีมอเตอร์ไซค์ตามหลังมาเฉี่ยวชนเราได้เช่นกัน มาไกลขนาดนี้ไม่ควรมาเจ็บตัวกับการจราจร หมาป่าหยุดพัก 717 กม.ที่แยกดอยติ แยกที่จะตัดเข้าเมืองลำพูน กินน้ำแล้วไม่เข้าลำพูนแต่มุ่งเข้าตัวเชียงใหม่เลย

ตั้งขอสังเกตอย่างนึงว่าหมาทางเหนือไม่ดุเท่าแถวภาคกลางหรือเมืองกาญจน์นะครับ มีเจอวิ่งไล่ตัวเดียวก็ตรงช่วงจังหวัดตาก ตอนจะเข้าเชียงใหม่เจออีกตัววิ่งมาแต่พอหมาป่าบีบเบรกมันก็เบรกตัวโก่งเหมือนกันคงคิดว่าหมาป่าเอาจริงแน่ ไม่รู้ว่าเพราะถนนสายเหนือมันเส้นใหญ่มีไหล่ทางและที่ว่างข้างทางหลวงเหลือเฟือหรือเปล่านะครับ ความดุของหมาเลยคลายลง เพราะมันอยู่ห่างจากคนค่อนข้างมาก


หมาป่าขี่ตามซูเปอร์ไฮเวย์แล้วหาทางตัดเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ กะว่าตัดแล้วจะให้ไปใกล้สถานีรถไฟมากที่สุด ก็งงๆอยู่บ้างครับ เปิดแผนที่ถามทางคนกันไป ในตัวเชียงใหม่มันมีวันเวย์เป็นบางจุด หมาป่าไปถึงสถานีรถไฟได้ในที่สุดแบบงงงงนี่แหละ จะมาจองตั๋วรถไฟกลับวันมะรืนน่ะครับ หมาป่าไม่ได้จองมาจากกรุงเทพเพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองจะขี่มาถึงวันไหน ปรากฏตู้นอนตั๋วเต็มเรียบวุธ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเทศกาลดอยอินทนนท์ด้วยหรือเปล่า นักจักรยานคงจองตั๋วกลับรถไฟกันหลายคน ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้นอนขอนั่งก็ยังดี มาได้รถด่วนขบวนที่ออกจากเชียงใหม่ 14.25 ถึง กรุงเทพตีห้าครึ่ง ได้ตั๋วรถนั่งปรับอากาศชั้นสองไว้ในมือให้อุ่นใจ จิบเบียร์ที่สถานีรถไฟฉลองความสำเร็จค่อนตัวไว้ก่อน ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ ผอมหยองกรอดอย่างหมาป่าเนี่ยก็ยังขี่ด๊อกแด็กข้ามดอยมาถึงเชียงใหม่ได้ว๊อยยย์ ครึ้มและเคลิ้มครับ ดอยสุเทพพรุ่งนี้แล้ว วะฮ่าฮ่า (หมาป่ากินแค่ขวดเดียวแหละครับ เพราะต้องตระเวณหาข้าวเย็นและที่พักก่อนนิ)


ขี่จากสถานีรถไฟมาตามถนนรอบคูเมือง แล้วตัดไปนั่งกินกะเตี๋ยวที่ฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาลสวนดอก ซัดเสียสามชามติด โอวเลี้ยงอีกแก้ว อิ่มสบายท้อง โทรถามเพื่อนที่มักมาทำงานเชียงใหม่กับลำปางบ่อยๆว่าพักที่ไหนดี อยากอยู่แถวถนนนิมมานฯ จะได้ขี่ขึ้นดอยสุเทพง่ายๆ เพื่อนแนะให้ไปนอนที่รีสอร์ทหรือเกสต์เฮาส์อะไรสักอย่างนี่แหละ ชื่อบรรทมสถาน ชื่อฟังแล้วท่าทางสบายนะครับ เพื่อนบอกอยู่ซอยนิมมาน 3 หมาป่าขี่เข้าไปซอยมืดและตันหาบรรทมสถานไม่ยักกะเจอ ขี้เกียจโทรไปถามทางกับเพื่อนอีกทีเลยไปหาเกสเฮาส์แถวถนนห้วยแก้วอยู่แทน ตามันจะปิดอยากบรรทมเต็มทีแล้ว วันนี้ทั้งวันน่าจะเรียกได้ว่าเป็นวันที่หนักที่สุดของทั้งทริป ระยะทางอาจไม่เท่าวันแรก แต่ความชันนั้นเจอมาตลอดทาง วันนี้หมาป่าไม่ซักเสื้อแล้วครับ เพราะนั่งนับนิ้วมือดู กางเกงจักรยานและเสื้อยืดมีพอที่จะใส่ได้ถึงวันที่นั่งรถไฟกลับได้แล้ว สระสรงน้ำอุ่นแล้วก็เข้านอนรอจะไปขี่ขึ้นดอยสุเทพในเช้ารุ่งขึ้นด้วยใจระทึกแต่ก็หลับได้อย่างรวดเร็วตามนิสัย


เช้าวันที่หกของการเดินทาง ตื่นตีห้าครึ่ง รอมีแสงรอเรียกกำลังใจและกินข้าวเช้า เลยโอ้เอ้ออกจากที่พักตอน 7.00 น. ขี่ไม่ไกลนักก็ผ่านหน้า มช. ผ่านหน้าสวนสัตว์เชียงใหม่ และถึงอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัยผู้รวบรวมผู้คนทรัพยากรตัดถนนขึ้นสู่พระธาตุ ไหว้สักการะครูบาฯและเดินไปกินน้ำเกลือแร่ที่ค้าใกล้ๆ เติมน้ำเปล่าเต็มกระติกและสำรองอีกหนึ่งขวด

รูปภาพ


ดอยสุเทพนี้มันต่างจากเขาใหญ่ที่ไปฝึกขี่ขึ้นมาพอสมควรนะครับ ระยะทางน้อยกว่าจากด่านเนินหอมฝั่งปราจีนถึงที่ทำการอุทยานเขาใหญ่ แต่ขนาดของดอยที่ตระหง่านอยู่ข้างเมืองเชียงใหม่เห็นวัดพระธาตุสะท้อนแสงวาวๆอยู่ข้างบนเมื่อมองจากตัวเมือง บวกกับที่เคยอ่านประสบการณ์ของคุณบินหลา สันกาลาคีรี ที่แกเคยเขียนเรื่อง “หลังอาน” ลงในมติชนสุดสัปดาห์เมื่อนานมาแล้ว (หมาป่าไม่เคยซื้อเป็นเล่มที่เอามาตีพิมพ์อีกหลายครั้ง) นักปั่นที่ราบภาคกลางอย่างหมาป่ามองดอยสุเทพด้วยความยำเกรง อ่านในไทย MTB เสือชาวเชียงใหม่ขี่ขึ้นดอยแบบรายวัน บางท่านก็เกือบทุกวัน หมาป่ารู้ว่ามันไม่ได้ยากมากนักสำหรับนักจักรยาน...แต่ก็รู้ว่าไม่ใช่หมูแน่นอนกับคนไม่แข็งแรงนักแบบหมาป่า


วันนี้คิดง่ายๆแบบเดียวกับที่ขี่ขึ้นเขาใหญ่ กับภารกิจเดินตามความฝันตั้งแต่เห็นคนขี่จักรยานตามเส้นทางเวียงจันทน์หลวงพระบาง... หมาป่าจะไม่ยอมเข็น


แรงดึงดูดของโลกซื่อสัตย์เหมือนเคยครับ หมาป่าสับจานสองเฟืองสี่ไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ หนืดๆหน่วงๆ อากาศเย็นสบาย รถราก็แซงหมาป่าไปแบบไม่กดดัน กลิ่นใบไม้ใบหญ้า ความเขียวของป่าริมทางทำให้รื่นรมย์ บางช่วงต้องสับจานหนึ่งเฟืองสามบ้าง สับไปสับมา หมาป่าแวะพักครั้งแรกตรงแถวห้วยแก้วแล้วก็ทะยอยพักไปเรื่อย ไม่ยึดหลัก 20 กม.พักที อันนั้นสำหรับทางราบครับ ทางชันนี้พักตามหัวใจอยาก ถ้านับจากที่จดบันทึกไว้รู้สึกหมาป่าจะพักไป 4 ครั้ง บางครั้งก็ถ่ายรูปไว้เช่นตรงทางเข้าวังบัวบาน (ใครเคยฟังเพลงวังบัวบานไหมครับ เพลงที่ขึ้นว่า “น้ำวังนี่หนอ .... เป๋นที่ก่อเหตุการณ์ ที่บัวบานฝังกาย ยึดเอาเป็นหอเรือนตาย...” บัวบานนี้มีตัวตนจริงนะครับ ย่าหมาป่าที่เสียไปหลายปีแล้วเล่าว่าเป็นคนรุ่นเดียวกัน ย่าย้ายจากปายแม่ฮ่องสอนมาทำมาหากินที่เชียงใหม่ บัวบานกระโดดหน้าผาตายสังเวยความผิดหวังจากความรัก)

รูปภาพ


หรือตรงที่พักใหญ่ที่มีจุดชมวิวเป็นเรื่องเป็นราว มีน้ำมีท่าขายมีคนแวะพักถ่ายรูป คนเดินทางบางท่านที่มาแวะพักที่จุดชมวิวก็ขี่จักรยานที่จังหวัดตัวเองท่านก็มาทักทายหมาป่าครับ

รูปภาพ


ช่วงแดดเริ่มแรงขึ้นและสายหน่อย เริ่มมีนักจักรยานพื้นถิ่นขี่สวนลงมา หมาป่าขึ้นดอยสายน่ะครับ เสือเชียงใหม่ขึ้นเช้าก่อนหมาป่า ก็เลยลงมาก่อนเป็นระยะๆ ขึ้นดอยคราวนี้มีคนขี่แซงไปแค่ท่านเดียว ท่านคงออกสายเหมือนกัน ทักทายแล้วท่านก็ตีจากไปแบบเนิบๆ หมาป่าก็ก้มหน้าก้มตาขี่ไปครับ


จะว่าเหนื่อยมันก็เหนื่อยนะครับ แต่ไม่ได้ยากเกินไปนัก เหนื่อยก็สับเกียร์ลงไปให้เบาแรงขึ้น

มีครั้งหนึ่งหมาป่าหยุดตรงเลยทางเข้าหอดูดาวสิรินธร มีเวิ้งที่มองเห็นตัวเมืองด้านล่าง ตอนนั้นเหนื่อยจะแย่เหมือนกัน ฝืนขี่กัดฟันจนต้องร้องว่าหนักขนาด ดังลั่นก่อนจะพ้นเนินขี่เข้าไปพักที่เวิ้ง พอเข้าไปจอด เห็นมีน้องผู้หญิงหน้าตาน่าเอ็นดู หุ่งสูงผอมเหมือนนางแบบ แต่งชุดเสื้อยืดขาสั้นรองเท้ากีฬานั่งพักกินน้ำกับไอ้หนุ่มมอเตอร์ไซค์ท่าทางเป็นเพื่อนหรือแฟน หมาป่ากินน้ำและกินกล้วยตาก น้องสาวเขาก็ลุกขึ้นเดินขึ้นต่อไปทางวัดพระธาตุ ไอ้หนุ่มยังนั่งต่อ หมาป่าถามว่าเอ๊ะอีหนูนั่นเดินทำไรหรือหนุ่ม หนุ่มบอกน้องเขาสอบติดมช. เลยมาเดินขึ้นดอยแก้บน หมาป่าก็ถามแล้วน้องชายมาทำไรด้วยล่ะ ไอ้หนุ่มบอกแม่เขากลัวน้องเขาขี้โกง เรียกรถขึ้นไป เลยให้ผมขี่มาคุมน่ะครับ ก็ดีนะครับ บนว่าติดมช.แล้วจะแก้บนด้วยการเดินขึ้นพระธาตุ ไม่หนักไปไม่เบาไปดี หมาป่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คงจะให้น้องเขาสอบติดตามที่ขอไว้เช่นกัน


โน่นแน่ะครับ...หวดเข้าไปสองชั่วโมงกว่าหมาป่าจึงจะขี่ไปถึงตีนวัดพระธาตุ เสือท่านอื่นอาจใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง แต่หมาป่ามีแรงแค่นี้แหละครับ ตอนจะขึ้นโค้งสุดท้ายที่ชอบเก็บมาฝันว่าขับรถเกียร์ธรรมดาไปเครื่องดับนั้นที่โค้งขุนกันนี้หมาป่าสับเกียร์ลงหมดแม็กครับ จานหนึ่งเฟืองหนึ่ง เพราะจะไม่ยอมพลาดลงเข็นกลางเนินให้เสียสถิติตัวเอง เฮ่อ...พ้นโค้งนี้ถือว่าฝันเป็นจริงแล้วล่ะครับ....สำเร็จในที่สุด


นักท่องเที่ยวที่มาไหว้พระธาตุเยอะมากจริงๆครับ ที่ถ่ายรูปหน้าป้ายได้เนี่ยหมาป่าต้องตะโกนขอร้องอาเฮีย อาเจ้ ทั้งหลายที่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนว่าขอถ่ายหน่อยนะ มันถึงโล่งขนาดนี้ได้

รูปภาพ

รูปภาพ


จักรยานต้องจอดไว้ด้านล่าง หมาป่ากลัวจักรยานหายระหว่างขึ้นไปไหว้ตัวพระธาตุ มองไปก็เห็นป้อมตำรวจอยู่บนเนินมีบันไดขึ้นไป หมาป่าลงทุนแบกจักรยานขึ้นมาผูกโซ่เหล็กไว้ข้างป้อมเลยล่ะครับ เจอดาบตำรวจในป้อมก็ออกปากฝากฝังดาบครับฝากรถหน่อยนะครับ ดาบบอกตามสบาย

รูปภาพ


ร้านค้าขายเยอะจริงเชียว นี่ถ้าไม่ห้ามกันไว้คงตั้งกันข้างหูพญานาคแน่นอน

รูปภาพ

รูปภาพ


หมาป่าขอแอ๊คท่าถ่ายรูปนักปั่นพเนจรผู้เอาแรงกายมาสักการะพระธาตุสักการะความฝันตัวเอง ให้นักท่องเที่ยวคนอื่นถ่ายให้ บอกว่าถ่ายไงก็ได้...ขอให้เห็นพญานาคอยู่ในภาพด้วยน่ะจ้ะ

รูปภาพ


พญานาคดอยสุเทพนี่ดีไซน์สุดยอดนะครับ สัดส่วนสวย กินขาดวัดส่วนใหญ่ในประเทศนี้

รูปภาพ


หมาป่าก็ถ่ายบรรยากาศของตัววัดพระธาตุกับมหาชนนักท่องเที่ยวและนักแสดงมาฝากนะครับ บนตัววัดค่อนข้างเป็นระเบียบกว่าด้านล่าง สะอาดสะอ้านสมกับเป็นวัดหลวง

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ


หมาป่าไหว้พระธาตุ แวะกินไอติม และกินข้าวเที่ยงเป็นขนมจีนน้ำเงี้ยว ไส้อั่ว ข้าวเหนียว โค้ก แล้วก็ขี่ลงดอยมา โอ้ววววสนุกหลายครับ ขาขึ้นจ่ายแพงกับการสู้แรงดึงดูด ขาลงนี่เหนื่อยแค่บีบเบรกอย่างเดียว คอยระวังไม่ให้เกิน 35 ถึง 40 กม.ต่อชม.ตามลิมิตในใจตัวเอง ดีที่เบรกอีเขียวเป็นดิสก์หมาป่าเลยไม่ห่วงเรื่องความร้อนบนวงล้อเท่าไหร่ ตลอดทางจากตีนวัดลงมาตีนดอย หมาป่ามีออกแรงขี่ตรงเลยโค้งหนึ่งเป็นระยะทางแค่สิบกว่าเมตรเองครับ ความจริงก่อนหน้านั้นถ้าปล่อยไหลลงมาเร็วกว่านั้นหน่อย หมาป่ากล้าพูดครับว่า “ขาลงดอยสุเทพ...ไม่ต้องถีบสักฉึกก็ลงมาด้านล่างได้”....


อาห์ความฝันบรรลุแล้วในที่สุด มันไม่ได้ดีใจแบบกระโดดโลดเต้น แค่เป็นยิ้มน้อยๆกับตัวเอง พึงพอใจกับการฝึกฝน ทุกทริปที่ผ่านมาล้วนปูทางให้กับทริปนี้ ขี่ไปหนองจอก ไปราชบุรี ไปเมืองกาญจน์ ไปเขาใหญ่...ล้วนแต่เป็นการสร้างพื้นฐานสร้างบทเรียนให้หมาป่ากล้ามาปฏิบัติภารกิจนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว ความฝันนี้คงไม่ใช่ความฝันสุดท้ายของชีวิตการเป็นนักขี่จักรยานเดินทางท่องเที่ยวแน่นอนแต่มันก็เป็นฝันที่เมื่อบรรลุแล้วทำให้หมาป่ากล้าเรียกตัวเองว่านักขี่จักรยานทางไกลเต็มปาก


ช่วงบ่ายๆหมาป่าก็ไม่มีอะไรทำแล้วล่ะครับ รีบซื้อเบียร์มาตุนก่อนร้านเซเว่นจะงดขายตอนบ่ายสองโมง เข้าที่พักเปิดแอร์ให้ฉ่ำใจ จิบเบียร์ ออกไปหาของเบาๆกิน รอวันรุ่งขึ้นที่จะนั่งรถไฟกลับเชียงใหม่ตอนบ่ายสองกว่าๆ


วันที่เจ็ดของการเดินทาง วันนี้ก็ขี่จักรยานเล่นใกล้ที่พัก หาร้านกาแฟสดนั่งจิบ เช็คเอาท์เที่ยง ขี่ไปหาอาหารกลางวันกินก่อนไปสถานีรถไฟ ถึงสถานีถ่ายรูปไมล์สะสมของทริปตั้งแต่จากบ้านตรงสวนหลวง ร.9 ขี่ผ่านทางเข้าเชียงใหม่ ไต่ดอย และมาถึงจุดนี้ก็ 802 กม.

รูปภาพ

รูปภาพ


อีเขียวถูกถ่ายก่อนนำขึ้นรถขนสัมภาระ

รูปภาพ


ในสถานีมีนักจักรยานหลายท่านครับ ส่วนใหญ่จะเป็นท่านๆที่ไปร่วมเทศกาลคนพันธุ์อึดที่ดอยอินทนนท์ หมาป่าเจอลุงเนตร ท่านก็ขี่ Kona รุ่นเดียวกับอีเขียว

รูปภาพ


เจอเด็กหนุ่มสองท่านที่ขี่เจอกันตรงก่อนถึงทางเข้าเขื่อนภูมิพล น้องเขาก็ขี่ขึ้นมาจากกรุงเทพขึ้นมาเชียงใหม่เช่นกัน ขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก ความจริงถามชื่อมาด้วยนะครับแต่ผ่านมาหลายเดือนและไม่ได้จดไว้เลยลืมเสียสนิท น้องเขาหน้าตาคล้ายๆนักศึกษาแต่ว่าทำงานแล้วทั้งสองท่าน ทริปนี้เป็นทริปทางไกลทริปแรกของน้องเขาเช่นกัน ถ้าอ่าน ThaiMTB แล้วอ่านกระทู้นี้ทักทายกันบ้างนะครับ

รูปภาพ


รถไฟเสียเวลามหาศาลครับ หมาป่าบ่นไว้ในกระทู้สรุปทริปของลุงเนตรตรงนี้ http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 7&start=45


หมาป่าเตร็ดเตร่รอเวลาอยู่ตรงชานชาลา รถเข้าช้า แถมเข้ามาก็เจอแจ็คพอตว่าตั๋วที่หมาป่าซื้อไว้ซึ่งระบุว่าตู้เลขที่นั้นเป็นตู้ปรับอากาศ แต่พอรถเข้าเทียบหมาป่าก็งงงงว่าทำไมมันเป็นพัดลม ถามการ์ดรถเขาบอกว่าตู้นั่งปรับอากาศทั้งประเทศมีเหลือจากที่เสียอยู่แค่สองโบกี้ ถึงขายตั๋วไว้แต่วันจริงหาตู้ปรับอากาศมาพ่วงไม่ได้คนซื้อตั๋วก็จงนั่งตู้พัดลมไปเสียแหละ นายตรวจเขาจะเขียนสลักตั๋วไว้ให้ถึงสถานีปลายทางค่อยไปรับค่าเครื่องปรับอากาศคืน 101 บาท เฮ้อออออ งงครับหมาป่างง แต่เอาเหอะแค่นี้เราทนได้อยู่แล้ว


ดีว่าระหว่างรอ สายตาเหลือบไปเห็นพี่ชายคนหนึ่ง จำได้ว่าเป็นสามีของเพื่อนรุ่นพี่ที่ออฟฟิศ พี่เขาเป็นนักจักรยานทางไกลตัวพ่อเลยล่ะครับ ชื่อพี่เอิ๊ก เคยมีคนโพสต์ภาพและเรื่องราวพี่เขาขี่ไปเที่ยวหลวงพระบางคนเดียวเหมือนกัน หมาป่าจำได้เลยไปแนะนำตัวว่า พี่ไม่รู้จักผมหรอก แต่ผมรู้จักพี่ พี่เป็นผัวพี่จี๊ใช่ไหมครับ พี่เอิ๊กอัธยาศัยดีครับ พี่เขามาขี่ขึ้นดอยอินทนนท์เช่นกัน นัดหมายกันว่ารถออกแล้วเราสองคนจะไปเจอกันที่ตู้เสบียงตอนแดดร่มลมตก หมาป่ารักษาสัญญาแข็งขัน พอแดดหรุบหมาป่าเดินไปกินข้าวที่รถเสบียง อิ่มข้าวก็เริ่มเปิดเบียร์ สักพักพี่เอิ๊กก็มาปรากฏกาย เราก็นั่งดื่มนั่งคุยกันไป คืนนั้นซัดเบียร์กันจนรถเสบียงปิดบริการแล้วก็เดินสะเงาะสะแงะกลับไปนอนตู้ใครตู้มันกัน พี่เอิ๊กชมชอบลีโอ หมาป่าชมชอบซิงฮา ปริมาณออกจะเกินกว่าที่นักจักรยานพึงบริโภคไปหลายขวดอยู่ อิอิ


ลืมตาตื่นตอนเช้าตรู่บนเก้าอี้นั่ง รถไฟซึ่งควรจะถึงกรุงเทพแล้วก็ยังไม่ถึงนครสวรรค์เลยเชียว .... ก็สบายๆล่ะครับ เปิดแทบเล็ตนั่งเล่นเนตกันไปรอเวลาให้รถเข้าเทียบชานตอนเกือบเที่ยงการรถไฟท่านแถมให้ร่วมๆ 6 ชั่วโมง.... เป็นอันว่ากลับถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพปิดภารกิจความฝันได้สมบูรณ์แบบ รอแค่ฝันใหม่ๆให้ได้ออกเดินทางไกลกันอีก


ขอบคุณนะครับที่ติดตามอ่านสรุปทริปอย่างยาวเหยียด....ทริปหน้าหมาป่าอยากไปพัทลุงน่ะครับ หมดฝนแล้วคงได้ออกเดินทางกัน แล้วเจอกันใหม่นะครับ

Re: หมาป่าเดียวดาย...สวนหลวงร.9-พระธาตุดอยสุเทพ

โพสต์: 20 ส.ค. 2012, 11:00
โดย YOYO
ผมชอบสรุปทริปของคุณครับ เล่าเรื่องได้สนุกดี เทคนิคลีลาการเขียนไม่เบา อ่านเพลิดเพลิน รูปถ่ายสวย เรียบง่าย ใส ๆซื่อ ๆ เป็นธรรมชาติ ไม่ต้องประดิษฐ์มุมกล้องให้มาก แต่ชัดเจน ไม่ซ้ำซาก มีศิลปะ
คุณหมาป่าจะเป็นนักปั่นทางไกลที่อนาคตไกลแน่นอน ขออวยชัยให้คุณมีทริปที่ดี

Re: หมาป่าเดียวดาย...สวนหลวงร.9-พระธาตุดอยสุเทพ

โพสต์: 20 ส.ค. 2012, 11:03
โดย HerO No.9
อีกแรงบันดาลใจ.. ขอบคุณครับที่แบ่งปัน :D

Re: หมาป่าเดียวดาย...สวนหลวงร.9-พระธาตุดอยสุเทพ

โพสต์: 20 ส.ค. 2012, 12:01
โดย pyrapong@hotmail.com
ชอบบทความมากครับ
อยากไปออกทริปไกลๆบ้าง
ยังไม่มีทัวริ่งเลย....สงสัยต้องจัดซะแล้ว

Re: หมาป่าเดียวดาย...สวนหลวงร.9-พระธาตุดอยสุเทพ

โพสต์: 20 ส.ค. 2012, 12:26
โดย dekbandon
:P เข้ามาอ่านสรุปทริปของพี่หมาป่าเดียวดาย อย่างตั้งใจอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ คงต้องบอกว่าชอบในสำนวนการเล่าเรื่องของพี่ และขอบคุณนะครับที่เอาทริปดี ๆ มาแบ่งปัน สักวันหนึ่งคงจะมีโอกาสตามรอยพี่บ้างครับ :P

Re: หมาป่าเดียวดาย...สวนหลวงร.9-พระธาตุดอยสุเทพ

โพสต์: 20 ส.ค. 2012, 13:01
โดย s.puwanai
อ่านแล้วชอบมากครับ :P

Re: หมาป่าเดียวดาย...สวนหลวงร.9-พระธาตุดอยสุเทพ

โพสต์: 20 ส.ค. 2012, 13:13
โดย alex.wasan
ชอบมาก....ในอนาคตจะทำบ้าง....กด like 1 ครั้งครับ....

Re: หมาป่าเดียวดาย...สวนหลวงร.9-พระธาตุดอยสุเทพ

โพสต์: 20 ส.ค. 2012, 16:15
โดย ซาเล้งสีแดง
- การที่ผู้บริหารผู้หนึ่ง ที่มีลูกน้องใต้บังคับบัญชามากมาย แบ่งช่วงเอาเวลาที่มีค่า ไปออกปั่น บางกอก-เชียงใหม่ ดูจากประสบการณ์กิโลที่ปั่นผ่าน จากขวบวัยผู้เดินทางและเป็นทริปปั่นเดี่ยว ถือว่าทัวร์ไกลๆมาก หลายๆวัน หัวใจทิ้งความสุขสบายไว้เบื้องหลัง เมียถามคงเงียบ เพื่อนถามคงได้แค่กระซิบ(เดี๋ยวมันหาว่าบ้า :lol: :lol: ) ลูกน้องถามคงโบ้ยว่าไปดูงานต่างประเทศ ผมตามอ่าน ทริปของพี่ หมาป่าเดียวดาย ตั้งแต่เขาใหญ่ ยังนึกว่าแค่อยากลองแค็มปิง วันนี้รู้แล้วว่าในส่วนลึกหัวใจ หมาป่าเดียวดาย คือ ทัวริ่ง ยอดเยี่ยมมากๆๆ แล้วจะรอชมทริปของพี่ต่อไปด้วย ครับ :mrgreen: :mrgreen: :mrgreen:

รูปภาพ

Re: หมาป่าเดียวดาย...สวนหลวงร.9-พระธาตุดอยสุเทพ

โพสต์: 20 ส.ค. 2012, 16:49
โดย sippa
อยากมีโอกาสอย่างนี้บ้าง..เยี่ยมมากครับ

Re: หมาป่าเดียวดาย...สวนหลวงร.9-พระธาตุดอยสุเทพ

โพสต์: 20 ส.ค. 2012, 17:19
โดย phanu phongdee
:D..เปิดมาเจอกระทู้..เห็นชื่อเจ้าของการทู้
รู้แน่ๆว่าต้องมีอะไรมาให้อ่านก็เลย...หยุดเรื่องงาน..ไม่รับโทรศัพท์..ปิดไฟหน้าห้อง(เพื่อบอกให้รู้ว่าไม่รับแขก)
....เพื่ออ่านเรื่องนี้ให้จบ.... :D :D ตอนที่หยุดปั่นไปเกือบยี่สิบปี..
แล้วมาเริ่มปั่นใหม่..เข้าWeb.นี้แล้วเห็นพี่หมาป่าปั่นไปคลองสวนร้อยปี...
เอาวะ.เราก็ปั่นมาเกือบปี..อยู่บนหลักอานได้ครั้งละ1-2ชม.แบบไม่กดดันร่างกาย...
ทริปแรก..ของการกับมาปั่นก็มี..ปั่นตามรอยพี่หมาป่าไปคลองสวนร้อยปี
หยุดแวะดู..หยุดถ่ายภาพ..ตรงจุดที่พี่หมาป่าถ่ายถาพและบรรยายไว้...
...ก็ทำได้เหมือนกัน...แปดสิบกิโลเมตร...หลังจากที่ห่างไปเกือบยี่สิบปี...
ชอบแนวการเขียน..การลงรูปของพี่หมาป่ามากครับ...แต่ผมดื่มช้างเท่านั้น :lol: :lol: :lol: :lol:

Re: หมาป่าเดียวดาย...สวนหลวงร.9-พระธาตุดอยสุเทพ

โพสต์: 20 ส.ค. 2012, 21:09
โดย ford_te
สุดยอดเลยครับ ทีแรกกะแค่อ่านเล่นๆ อ่านไปอ่านมา ปิดทีวีอ่านจริงเลย

ขอบคุณครับที่แชร์แรงบันดาลใจ

Re: หมาป่าเดียวดาย...สวนหลวงร.9-พระธาตุดอยสุเทพ

โพสต์: 20 ส.ค. 2012, 21:35
โดย done007
สุดยอดเลยครับ เรื่องราวเยอะดี รูปโทนขาวดำดูย้อนยุค ยกนิ้วให้เลยครับ :D

Re: หมาป่าเดียวดาย...สวนหลวงร.9-พระธาตุดอยสุเทพ

โพสต์: 20 ส.ค. 2012, 21:57
โดย poonkiat
หมูอ้วนกลางกรุงอยากมีฝันแบบคุณมาป่าบ้าง จะลองทำดู ขอบคุณที่มีคนอย่างคุณ อ่านแล้วอ่านอีกไม่เบื่อ เชื่อว่าฝันนี้วันนึงจะเป็นจริง

Re: หมาป่าเดียวดาย...สวนหลวงร.9-พระธาตุดอยสุเทพ

โพสต์: 21 ส.ค. 2012, 20:34
โดย ronnawee
เป็นอีกหนึ่งแรงใจ ขอบคุณมากๆครับอยากปั่นออกไปให้ได้เหมือนคุณหมาป่าเดียวดายกับหลายๆท่านที่ได้แชร์ประสบการณ์ครับ :mrgreen: ปล.ไม่ชอบก็ตรงเจอแมลงส้วมนี่เหละ :lol: :lol: :lol: