หมาป่าเดียวดาย...สวนหลวงร.9-พระธาตุดอยสุเทพ
โพสต์: 20 ส.ค. 2012, 08:15
ลูกผู้ชายต้องเดินทางไกลสักครั้งในชีวิต
ไลน์แบบนี้ประยุกต์ได้กับหลายกิจกรรมครับ บวช ดำน้ำลึก ไปเนปาล เป็นทหาร ฯลฯ เอาไปเติมแทนคำว่าเดินทางไกลก็ดูงามทั้งนั้น
หมาป่าเดียวดายกลับมาหัดขี่จักรยานตอนต้นปี 2554
ขี่มาเรื่อย ขี่จนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ขี่ไปกลับที่ทำงานบนถนนจอแจในกรุงเทพ ขี่ไปเที่ยวต่างจังหวัด ขี่ไปชมวัดชมโบสถ์ รถยนต์ที่บ้านก็ทิ้งไว้จนน้ำมันเครื่องเหนียวหนืด วันไหนต้องขับรถยนต์อาทิเช่นต้องเอาไปเช็คระยะตามเวลาในสมุดรับประกันกลับคิดว่าเป็นภาระ คืนก่อนหน้าจะนอนไม่ค่อยหลับเพราะต้องตื่นมาทำภาระที่ไม่อยากทำ ทำให้ลุล่วง ว่าจั๊งซั่น
ความฝันที่มาทำให้เริ่มหัดขี่จักรยานใหม่ตอนอายุสี่สิบกว่าหลังจากทิ้งไปสิ้นเชิงตอนเรียนมัธยมก็มีแค่สองอย่าง...หนึ่งคือ อยากขี่บนถนนในกรุงเทพ เพราะแม่กับยายห้ามขี่ออกนอกซอยตอนเป็นเด็ก แกกลัวลูกกลัวหลานถูกรถทับ....อันนี้ฝันเป็นจริงเรียบร้อย
แล้วก็เหลือแค่ฝันขี่ทางไกลนั่นแหละครับ
ฝันบรรเจิดตอนไปหลวงพระบางเดือนธันวาคมปี 2553 นั่งรถตู้ไปจากเวียงจันทน์ ตลอดทางขึ้นไปและกลับลงมา เห็นนักจักรยานทั้งไทยและฝรั่งขี่ขึ้นลงเขากันตลอดทาง
หมาป่าก็อยากบ้าง กลับมาก็ซื้อจักรยาน ขี่มันในกรุงเทพฯให้มันสมอยากกับการขจัดความกลัวถูกรถทับ
แต่ขี่บนถนนสาย 13 ในลาวขึ้นไปหลวงพระบางออกจะหวาดๆอยู่ เพราะเขามันชัน
ฝันเลยเป็นทริปง่ายๆ....ขี่จากกรุงเทพขึ้นเชียงใหม่แล้วไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพ
ซื้อจักรยานคันแรก (และยังเป็นคันเดียวอยู่) นั้นไม่ยากเลยครับสำหรับหมาป่า
เข็มทิศในใจตั้งไว้อย่างเดียวว่า ฉันจะเอารถทัวร์ริ่ง
ติดกระเป๋าท้ายได้ เพื่อขี่ไปทำงานโดยเอาคอมพิวเตอร์และเสื้อผ้าติดรถไปด้วยได้ และบรรทุกสัมภาระยามเดินทางไกล
ไม่เคยมองเสือภูเขา หรือเสือหมอบ (รถพับก็ไม่มอง ^^)
นั่งดูเวปอยู่สองวัน ไม่ค่อยรู้เรื่อง มีรุ่นน้องที่ออฟฟิศที่เราไปเล่าให้เขาฟังว่าจะหารถทัวร์ริ่งเขาบอกว่าตอนนี้มีลดราคาอยู่ที่ TCA
ขับรถไปดูที่ตึกตรงข้ามช่องสามถนนพระรามสี่
เขามีลดราคาอยู่สองยี่ห้อ Kona และ Jamis
อันนี้ก็ง่ายอีก Kona ลดแล้วเหลือ 29,000 Jamis ลดแล้วเหลือ 34,000
หมาป่าก็เอา Kona สิครับ ฮ่าฮ่าฮ่า
Kona Sutra Model 2010 ทัวร์ริ่งสัญชาติแคนาดา แต่ปฏิสนธิในไต้หวัน ตัวถังสีเขียว Jolly Green
27 เกียร์ หนักโคตรเพราะใช้เหล็กโครโมลี ไม่มีลูกบันได ... เอิ่มมมม จริงเหรอ!!!!! จ่ายเงินไปแล้วยังขี่ไม่ได้ 55555
ยกรถยัดเข้ารถยนต์ตัวเอง วันรุ่งขึ้นขี่ไปนครไทยลาดพร้าว 101/1
ให้เขาติดลูกบันได และอัฐบริขารอื่นที่จำเป็นเช่น ขาตั้ง ไมล์ ไฟหน้า ไฟท้าย สูบพกพา หมวกกันน๊อค กางเกงขี่จักรยาน(แบบไม่โชว์หำ) เครื่องมือติดรถ สูบแบบมีเกจ์ ฯลฯ
เฮียที่ร้านบอกว่าไม่น่าซื้อมาเลยรุ่นนี้ น่าจะซื้อที่ขี่ง่ายกว่านี้มาลองก่อน
ช่างเป็นคำวิจารณ์ที่ให้กำลังใจมือใหม่มากเลยครับเฮีย
แถมเฮียเชียร์ให้เปลี่ยนเสต็มคอแฮนด์อีกแน่ะ แกบอกอันนี้ขี่แล้วปวดหลัง
เลยบอกเฮีย....เฮ่อออ ซื้อมาจะสามหมื่น ยังไม่ได้ขี่สักฉึก ขอเอาไปลองก่อนเหอะ ถ้าทนเมื่อยทนปวดไม่ไหวจะมาเปลี่ยนนะเฮียนะ
ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนเลยครับ...ใจมันอยากเอาชนะเฮีย ร่างกายมันเลยปรับตัวเข้ากับรถเสียอย่างนั้น
ขาและหลังปวดเมื่อยสักสัปดาห์แรก แล้วก็หาย มือชาอยู่สองสามวัน แล้วก็หายอีก
เรียกรถตัวเองว่า “อีเขียว” สรรพนามเป็นอีแต่ก็เป็นเพื่อนยากตัวจริง
ขี่ไป Century Trip แรก ด้วยกัน
ขี่ไปขึ้นเขาใหญ่เพื่อฝึกขึ้นเขาทางชัน ด้วยกัน
ขี่ไปกลับเมืองกาญจน์เพื่อฝึกเดินทางให้ได้สองร้อยกิโลเมตรต่อวัน...ก็ด้วยกัน
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อฝึกไว้สำหรับทำฝันให้เป็นจริง...ไหว้พระธาตุดอยสุเทพ ขอเอาแรงขาหยาดเหงื่อและผิวเกรียมแดดเป็นพุทธบูชา
หะแรกนั้นอยากขี่ภายในปี 2554 แต่เอาเข้าจริงปรากฏว่าปลายปี job in งานเข้า
ไม่มีช่วงว่างยาวๆเลย ไม่นับว่าน้ำท่วมสกัดทางไว้จนล่วงเข้าเดือนธันวาคมอีกต่างหาก
จนเข้าสัปดาห์แรกของเดือนกุมภาปี 55 นี่แหละครับที่งานการเริ่มเคลียร์ได้ลงตัว
ลูกค้าใหญ่ที่ใช้เวลานำเสนองานติดพันกันมาตั้งแต่ก่อนปีใหม่ต้องไปประชุมเมืองจีนสัปดาห์กว่า
หมาป่าสบช่องก็เลยขอลางานตั้งแต่ 7 กุมภา สั่งความลูกน้อง ลูกค้าท่านอื่น รวมถึงหัวหน้าว่าไปยาวไม่เช็คเมล์ และอาจไม่มีสัญญานมือถือ เพราะฉะนั้นอย่าหงุดหงิดถ้าติดต่อมิได้
การขี่ขึ้นเชียงใหม่นั้นถ้าคิดแบบคนขับรถยนต์ก็คงขึ้นทางรังสิตหรือใช้วงแหวนเส้นตะวันออกจากสวนหลวง ร. 9แถวบ้านหมาป่าเพื่อไปออกถนนสายเอเชียตรงขึ้นอยุธยาแล้วต่อขึ้นนครสวรรค์ไปเรื่อยๆ
ขี่บนถนนสายเอเชียยามแดดจ้าหมาป่าคิดแล้วก็ท้อเหมือนกันครับ ด้วยว่ารถยนต์มันเยอะ และคิดถึงแดด คิดถึงเสียงเครื่องยนต์แล้วก็พาลเหนื่อยล้าตั้งแต่ยังไม่ได้ขี่
เสริชดูกระทู้สรุปทริปเก่าๆของพี่ๆน้องๆใน MTB มาชอบตรงของคุณ wintutor ที่ท่านขี่ขึ้นเชียงใหม่พร้อมกับเพื่อนอีกคน โดยใช้เส้นทางเลียบคลองเปรมฯ ไปออกอยุธยา ต่อเข้าอ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท แล้วค่อยออกนครสวรรค์ ช่วงแรกของการขี่ใช้ ถนนสายรองน่าจะสนุกกว่าซูเปอร์ไฮเวย์แปดเลน หมาป่าจะแกะรอยตามท่านไปบ้างครับ ( กระทู้ของท่านอยู่ตรงนี้เพื่อเป็นเครดิตและให้เกียรติแก่ผู้ถางทางครับ http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 6&t=252216 )
วันจันทร์ที่ 6 เคลียร์งานให้ลุล่วง รีบกลับบ้านเพื่อแพ็คข้าวของ
ปกติหมาป่ามีกระเป๋าติดแรกท้ายอยู่สองใบ เที่ยวนี้ไปหลายวันเลยไปซื้อใบเล็กติดแรกหน้ามาเสริมอีกคู่ รวมเป็นสี่ใบ
เสื้อผ้ามีไม่เยอะครับ มีกางเกงขี่จักรยานสามตัว เสื้อยืดสี่ตัว กางเกงขายาวบางๆเอาติดไปเผื่อต้องกินข้าวนอกห้องพักจะได้ดูสุภาพ กางเกงใน ถุงเท้า ผ้าขาวม้า เสื้อแขนยาวเผื่ออากาศเย็น และกางเกงขาสั้นไว้นุ่งนอนอีกตัว
อ้อมีรองเท้าแตะเผื่อใส่เดินเล่น
คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คไม่ได้เอาติดไป เอาไปแต่แทบเล็ต ลดน้ำหนักได้เยอะ เผื่อไว้เช็คเน็ต กล้องถ่ายรูปคอมแพกต์ดิจิตัล อุปกรณ์ปะยางพร้อมยางในและโซ่สำรองอีกหนึ่งเส้น
แชมพูขวดเล็ก ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ส่วนสบู่นั้นไปหาเอาตามห้องพักโรงแรมเพราะหมาป่าไม่กะกางเต๊นท์อยู่แล้ว
ผงซักฟอกไว้ซักเสื้อผ้าช่วงเย็นหลังจากเข้าห้องพัก ซักทุกวัน
และยาทากันแดด ซึ่งกันความดำไม่ค่อยจะได้ แต่อย่างน้อยผิวก็คงไม่แสบ
ไม่ลืมกิ๊บหนีบผ้า เอาไว้ตากผ้าระหว่างขี่ คราวที่ขี่ไปเขาใหญ่ใช้สายรัดของแบบมอเตอร์ไซค์รัดไว้กับกระเป๋าหลัง แต่มันแนบได้ดีเกินไปผ้าเลยไม่ค่อยแห้งครับ ขอเมีย เธอไปคุ้ยตรงกล่องเก็บอุปกรณ์ซักผ้าแล้วให้มาแผงนึงเป็นพลาสติก เอาถุงตาข่ายแบบถนอมผ้าในเครื่องซักผ้าติดมาด้วย
เสบียงพวกอาหารเพิ่มน้ำตาลในกระแสเลือดนั้นกะไปซื้อระหว่างทาง เพราะว่าเดินทางบนทางหลวง มีปั๊มน้ำมันตลอดทางแน่นอน
ทั้งหมดนี้กระจายใส่ไว้ในกระเป๋าทั้งสี่ใบ สบายๆแต่ละใบไม่ต้องรับน้ำหนักมากเกินไป
เข้านอนตอนสักสี่ทุ่ม ตั้งนาฬิกาปลุกตีสี่ครึ่ง
เช้าวันอังคารที่ 7 กุมภา
ตื่นตามเสียงนาฬิกา อาบน้ำ ชงกาแฟดื่ม อาราธนาคุณพระคุณเจ้าห้อยคอ แล้วก็โอ้เอ้นิดหน่อย เติมน้ำให้เต็มกระติก
จนล่วงตีห้าสี่สิบนั่นแหละครับจึงจ้วงออกจากบ้าน
ขี่ไปแวะปั๊มน้ำมันแถวบ้านเพื่อซื้อน้ำสำรองอีกขวด ลูกอมหวานๆ หมากฝรั่ง
น้องคนขายในมินิมาร์ทถามพี่จะขี่ไปไหนคะ บอกว่าจะไปเชียงใหม่จ้ะ เธอก็ตาลุกวาวบอกพี่ใจถึงมาก โชคดีนะคะพี่
เรื่องคนชมว่าใจถึงในการขี่ขึ้นเชียงใหม่นี้ก็จะมีตลอดเส้นทางนะครับ...สงสัยระยะทางกรุงเทพเชียงใหม่เนี่ยมันเป็นระยะ Ideal ที่คนรู้สึกว่ามันไกล กรุงเทพราชบุรี หรือกรุงเทพกาญจนบุรี คนจะไม่หูวว์และตาโตเท่ากรุงเทพเชียงใหม่ อิอิ
หมาป่าขี่ออกศรีนครินทร์ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพัฒนาการ ขี่ขึ้นไปตามเพชรบุรีตัดใหม่ ไปเลี้ยวเข้ารัชดาภิเษกตรงแยกท้ายซอยอโศก แล้วขี่ตรงขึ้นไปเลี้ยวซ้ายตรงแยกที่ตัดกับพระรามเก้า จะมุ่งขึ้นดินแดง
ตรงเลยแยกไปนิดหมาป่าหยุดที่ระยะ 20 กม.จากบ้านครับ หยุดเพื่อเติมน้ำเติมอาหารซึ่งเป็นขนมปังไส้กรอกที่เมียติดกระเป๋ามาให้
หลักการขี่ 20 กม. หยุดพักดื่มน้ำ 1/3 ของกระติก และพักเดินพักนั่ง 5-10 นาทีนี้ หมาป่าอ่านมาจากกระทู้ของพี่เมธา เปรมแสง เจ้าสำนัก MJ Bike นครปฐม และรวมเลยไปถึงวิธีการใช้เกียร์ยามขึ้นเนินชัน อีกทั้งระยะทางเดินทางไกลต่อวันด้วยครับ หมาป่านับถือพี่เมธาเป็นครูแบบ กศน. ในการขี่จักรยานทางไกล อ่านกระทู้ของพี่แต่ไม่เคยได้เจอตัวกัน แม้ว่าหลักคิดพี่เมธาจะถือว่าเป็นทำนอง Controversial ในเวปนี้ แต่หมาป่าเล็งเห็นว่ามันเหมาะกับตัวหมาป่าครับ ใช้ได้ผลทุกทริปทางไกล รอดมาขี่วันถัดไปตามแผนได้เสมอโดยไม่เสื่อมสภาพ หมาป่าจึงขอมีกฤติกรรมประกาศบูชาครูไว้ ณ ที่นี้....ขอบคุณพี่เมธา เปรมแสงครับ
เส้นทางที่มุ่งหน้าไปนั้นมันเป็นเส้นโลคัลโรดคู่ขนานกับถนนวิภาวดีรังสิต คือถ้าเราขับรถยนต์เราก็มักใช้เส้นวิภาวดีฯขับไปดอนเมือง ต่อไปรังสิตและไปขึ้นสะพานเส้นก๋วยเตี๋ยวเพื่อในที่สุดจะไปอยู่บนสายเอเชียมุ่งขึ้นเหนือผ่านทางเข้าจังหวัดอยุธยา แต่เส้นนี้เป็นเส้นที่ขนานกันไปครับ หมาป่าจะจับเส้นกำแพงเพชร 6 โดยจากดินแดงก็เลี้ยวขวาขึ้นมาตามวิภาวดีรังสิต ขี่ไปเรื่อยเพื่อไปหาเส้นกำแพงเพชร 6 โดยเบี่ยงไปเลี้ยวเข้าตรงเลยวัดเสมียนนารี ขี่ไปสบายๆและเครียดน้อยกว่าการอยู่บนถนนวิภาวดีฯครับ เป็นทางรถวิ่งสวนสองเลนยาวไปไกลครับ
เส้นกำแพงเพชร 6 นี้จะวิ่งขึ้นเหนือทิศเดียวกับวิภาวดีฯ โดยให้นึกว่า ตรงกลางระหว่างกำแพงเพชร 6 และ วิภาวดีฯจะเป็นรางรถไฟ ดังนั้นเราก็วิ่งขนานรางรถไฟไปเช่นกัน อันนี้ช่วยได้เวลาดูแผนที่กูเกิล หมาป่าเปิดแท็บเลตแสตนด์บายไว้ในกระเป๋า คอยดูสถานีรถไฟซึ่งมันจะไล่ขึ้นจากหลักสี่ ดอนเมือง หลักหก คลองรังสิต และรังสิตในที่สุด
แปดโมงสามสิบห้านาทีหมาป่าหยุดพัก 40 กม.ที่สำนักงานเขตดอนเมือง กินหนมปังใส้ไก่ และอาศัยห้องน้ำของสำนักงานเขตทำกิจส่วนตัวบวกล้างหน้าล้างตาล้างข้อพับแขนให้หายเหนียวสดชื่นกันใหม่ เส้นทางที่หมาป่าขี่มานี้ช่วงน้ำท่วมภาคกลางและกรุงเทพก็โดนกันอ่วมครับ คราบน้ำตรงกำแพงเขตนี้ก็พอเห็นร่องรอยได้
พักเสร็จก็จ้วงต่อขนานกับรางรถไฟไป บางช่วงตรงแถวดอนเมืองซึ่งเป็นเขตบ้านพักของทหารอากาศถนนจะถูกแยกจากกันเป็นวันเวย์โดยมีถนนชื่อสกุลของทหารอากาศชั้นผู้ใหญ่ในอดีตเป็นเส้นมุ่งเหนือ และตัวกำแพงเพชร 6 จะกลายเป็นเส้นลงใต้ให้รถวิ่งลงมาฝั่งเดียว ก็ต้องระวังให้ดีครับ ไม่ควรขี่สวนวันเวย์ขึ้นไป แล้วสักพักถนนก็จะกลายเป็นถนนวิ่งสวนบนกำแพงเพชร 6 กันใหม่ ช่วงแถวสถานีรถไปหลักหก คลองรังสิต จะมีร้านรับซื้อขยะและของเก่าอยู่ตลอดเส้นทาง ดูแล้วก็หดหู่นะครับ แดดยามสายร้อนแจ๋แหว คราบน้ำบนกำแพงและบ้านผู้คน ร้านรับซื้อขยะ ถุงปุ๋ย ขวดพลาสติกกองกันเป็นภูเขา แตกต่างจากการขี่ตามป่าเขาเขียวๆในอุทยานแห่งชาติมาก
อีเขียว Kona ของหมาป่าก็ไม่ได้เต็มร้อยแจ๋วแหววเหมือนตอนซื้อมาใหม่เสียทีเดียวหรอกนะครับ ตอนเปิดทริปนี้นั้นวิ่งไปหมื่นกิโลเมตรเศษๆแล้ว ชุดขับเคลื่อนเริ่มสึกหรอ ซึ่งก็จะทำให้โซ่ยืดเร็วกว่าปกติ หมาป่ามีช่างประจำตัวอีเขียวคือช่างน้องหนึ่งผู้อารีย์ในเวป ThaiMTB นี้นั่นแหละครับ น้องหนึ่งเปิดร้านโดยใช้บ้านตนเองอยู่ตรงสุขุมวิท 93 ปากซอย หมาป่าอาศัยแถวอุดมสุขก็เลยผูกปิ่นโตเป็นเจ้าประจำกันไป ความที่หมาป่าขี่ในเมืองเยอะหมาป่าจะใช้จานสองเฟืองเจ็ดเป็นประจำ และมีโรคประจำตัวคือไม่ชอบเปลี่ยนเกียร์ ดังนั้นเฟืองเจ็ดหมาป่าจึงฟันแหลมเป็นฟันหนู แม้ว่าจะสับไปขี่เฟืองหกเฟืองห้าตอนเริ่มออกตัวตามคำแนะนำของน้องหนึ่งบ้าง แต่อาการตอบสนองของเกียร์ก็ไม่ดีเหมือนเดิมแล้ว บางทีสับชิฟเตอร์แต่เกียร์ไม่ยอมเปลี่ยน ต้องสับเลยไปอีกตำแหน่ง แล้วค่อยโยกกลับลงมา หรือบางทีก็เปลี่ยนโดยใช้เวลาร่วมเจ็ดแปดวินาที แบบว่าเกียร์ไม่ให้ความร่วมมือ มีครั้งหนึ่งที่ก้านบันไดมันโยกคลอน ช่างน้องหนึ่งต้องถอดออกมาอัดกระโหลกเข้าไปใหม่ โดยอัดจาระบีให้ด้วยเพราะของเดิมมันแห้งผากด้วยลุยน้ำลุยฝนแล้วไม่เคยถอดเซอร์วิสกันเล๊ย หมาป่าอดใจไม่เปลี่ยนชุดขับเคลื่อน อยากเอามันไปผ่านศึกเชียงใหม่ก่อนแล้วค่อยกลับมายกเครื่องเสียทีเดียว หมาป่าถามน้องหนึ่งว่าด้วยสภาพที่เป็นอยู่นี้น่าจะไปรอดถึงเชียงใหม่ไหม ถามพร้อมจ้องตาเหมือนจะให้น้องหนึ่งตอบว่า “ได้” ดูหน้าน้องหนึ่งแล้วก็ให้นึกถึงตอนเป็นคนไข้ไปถามหมอโรคหัวใจตอนที่ตัวเองมีอาการเจ็บหน้าอกแปล๊บๆ ซึ่งอาจเป็นเพราะนอนน้อย วิ่งสายพานตรวจเส้นกราฟแล้วก็ไม่เจออะไรผิดปกติ คนไข้จะพยายามถามคาดคั้นให้หมอตอบว่าตัวเองจะไม่ตายด้วยโรคหัวใจวายใช่ไหม หน้าหมอกับหน้าน้องหนึ่งอาการคล้ายกันเลยครับ แต่ถ้าเป็นหมอโรคหัวใจนั้นต่อให้คุณเอาปืนจ่อหัว หมอก็จะไม่มีวันตอบว่า “คุณจะไม่ตายด้วยโรคหัวใจวาย” เพราะหมอย่อมรู้ว่ามันมีปัจจัยอื่นอีกตั้งเยอะแยะที่โรคหัวใจจะมาเล่นใครแบบไม่รู้ตัว สำหรับช่างน้องหนึ่งนั้นน้องหนึ่งใจดีกว่าคุณหมอเยอะครับ น้องหนึ่งตอบว่า “ก็น่าจะได้นะครับ” ^^
ย้อนกลับมาขี่กันต่อครับ
หมาป่าขี่ตามถนนกำแพงเพชร 6 ไปจนเห็นสถานีรถไฟรังสิตอยู่ทางขวามือ จากนั้นถนนก็เริ่มสลายตัวกลายเป็นทางโรยกรวด ตอนนี้หมาป่าต้องเริ่มเล็งซ้ายหาทางไปเข้าถนนเลียบคลองเปรมประชากรครับ เห็นมีบ้านคนปลูกในทุ่ง และมีตรอกเล็กๆมีทางยกระดับผ่านบึงน้ำในทุ่งเป็นปูนซีเมนต์ หมาป่าถามคนตรงปากทางว่าเส้นนี้ไปเข้าถนนเลียบคลองเปรมได้ไหม เพื่อยืนยันกับภาพดาวเทียมที่ดูในกูเกิล คุณน้าตอบไปได้จ้า หมาป่าก็ไปครับ ไม่กี่ร้อยเมตรก็มาโผล่หน้าวัดเปรมประชา หักเลี้ยวขวาขี่ขึ้นตามถนนเลียบคลองเปรมประชากร
คลองเปรมประชากรนี้รัชกาลที่ 5 ท่านโปรดเกล้าให้ขุดขึ้นมาเพื่อเชื่อมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นอีกเส้นที่ทำให้ระยะทางระหว่างกรุงเทพและอยุธยาใกล้ขึ้น เพราะคลองมันขุดตรงไม่คดเคี้ยวเหมือนแม่น้ำ และยังช่วยเปิดพื้นที่สองฝั่งคลองเป็นพื้นที่เกษตรเพื่อให้คนทำนาได้อีกด้วย
ถนนเลียบคลองมันก็ตรงเหมือนคลองแหละครับ จะมีโค้งซ้ายโค้งขวาบ้างก็ไม่ฉกรรจ์ จากรังสิตก็ต่อไปเข้าเขตจังหวัดปทุมธานี ถนนสองเลนรถวิ่งสวนแต่รถไม่เยอะ มีบ้านเรือนไร่นาไปตลอดทาง หมาป่ามาหยุดพัก 60 กม. ตรงตำบลบ้านปทุม อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี กินกะเตี๋ยวหมูสองชาม พร้อม RC Cola อีกหนึ่งขวด ร้านเป็นบ้านเปิดเป็นร้านกะเตี๋ยว ตอนนั้นสักสิบโมงเศษๆเห็นจะได้ แต่ก็กินไว้ก่อนล่ะครับ จะได้ไม่หิว กินกะเตี๋ยวคนไทยจะไม่เหมือนกะเตี๋ยวคนจีนที่ขายในเมืองใหญ่ กะเตี๋ยวบ้านๆใส่ลูกชิ้นกับหมูสับมีกุ้งแห้งตัวเล็กๆโรย ชื่นใจไปอีกแบบ ลูกชิ้นไม่เลิศรส แต่โดยรวมก็โอเคครับ รวมถึงตอบคำถามว่าจะขี่ไปไหนและยิ้มรับกับคำชมพร้อมตาโตๆของคนในร้าน
จากร้านกะเตี๋ยวก็ขี่ไปง่ายๆครับ ขี่เลียบคลองไปเรื่อยๆ ไม่มีทางหลง ถนนเลียบคลองเปรมนี้จะผ่านจังหวัดปทุมธานีขึ้นไปจังหวัดอยุธยา ขี่ไปจนสุดถนนก็จะเจอถนนอีกเส้นดูจากแผนที่ดาวเทียมมันจะให้เราเลี้ยวซ้ายไปอ้อมโรงงานกระดาษ หมาป่ามองจากแผนที่แล้วถนนมันเหมือนถุงเท้าเด็กเกิดใหม่เป็นกระเปาะ อ้อมแล้ววกขึ้นเหนือเราจะเห็นถนนสาย 347 อันใหญ่โตอยู่ด้านซ้ายมือ มองขึ้นเหนือเห็นสะพานข้ามแม่น้ำ ความจริงจะเอาจักรยานจูงข้ามถนน 6 เลน ไปตั้งหลักขี่ขึ้นสะพานก็คงได้ แต่ปริมาณรถที่หนาแน่น บวกกับความเร็วเกินร้อยกันเกือบทุกคัน หมาป่าจึงขี่ไปลอดใต้สะพานกลับมาวกเข้า 347 ขาขึ้นแทนครับ ปลอดภัยสบายใจกว่าเยอะ
ขี่ขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำตามสาย 347 คราวนี้อยู่บนซูเปอร์ไฮเวย์สมบูรณ์แบบ รถวิ่งกันเร็ว ขี่ไปจนเข้ากม.ที่ 80 ตรงใกล้ๆกับศูนย์ศิลปาชีพเกาะเกิด ร่องรอยของน้ำท่วมนั้นชวนสลดมากกว่ากรุงเทพเยอะเลยครับ ป้ายบอกระยะทางข้างทางหลวง ป้ายขาวตัวหนังสือสีดำที่บอกว่าอำเภอหรือจังหวัดข้างหน้าอีกกี่กิโลนั้น คราบน้ำมันสูงถึงตัวป้ายนั่นแน่ะครับ ถ้าตอนน้ำท่วมหมาป่าขี่ลุยน้ำได้ลึกขนาดนั้นก็หมายความว่าระดับน้ำบนทางหลวงที่ยกพื้นสูงอยู่แล้วจะมิดหูหมาป่าทีเดียว ต่อให้มีแรงขี่ฝืนน้ำก็ขี่ไม่ได้เพราะมิดหูก็มิดปากมิดจมูกด้วย หายใจไม่ได้ก็ขี่จักรยานไม่ได้
แวะพักตรงร้านขายข้าวผัดริมทางอีกรอบตอนอีกยี่สิบนาทีเที่ยง กินข้าวผัดหมูพร้อมกับคุยเรื่องน้ำท่วมกับแม่ค้า พี่แกบอกว่าน้ำมาเร็วมาก แกเอารถเก๋งหนีขึ้นสาย 347 แต่รถตายแหงกอยู่ตรงหน้าศูนย์ศิลปาชีพ น้ำมาทั้งทุ่ง พี่เขาจมน้ำอยู่ร่วมเดือน มีหมาหลงมาอาศัยอยู่ด้วย ก็อยู่กันไปตามประสายาก น้ำลดก็ต้องเอาเงินเก็บมาซ่อมแซม ประตูเหล็กหน้าร้านโดนคลื่นพัดจนพัง ตู้แช่ตู้โชว์เปลี่ยนใหม่หมด โดนกันถ้วนหน้า
ร่ำลาพี่เขาแล้วขี่ต่อไปสาย 347 ต่อ เส้นนี้มันจะปาดข้างตัวเมืองอยุธยาตรงทิศตะวันตก ในขณะที่สายเอเชียจะปาดข้างทิศตะวันออก หมาป่าจะไปหาทางแยกตัดเข้าถนนสาย 309 ครับ เป็นเส้นที่จะพาสู่จังหวัดอ่างทองผ่านทุ่งนา บ้านคน และโรงงานอุตสาหกรรมเป็นระยะ สองเลนรถวิ่งสวน รถไม่มาก
เรื่องแดดนั้นละไว้เสียก็ได้นะครับ เป็นตัวประกอบร่วมไปตลอดทาง ทั้งทริปนี้ไม่มีวันไหนไม่มีแดดเลย ร้อนกันซะหัวจาย ซันบล๊อกทาแล้วก็ช่วยไม่ให้ผิวแสบ แต่ไม่ช่วยลดความดำ หมาป่าสายตาสั้นแต่ก็ต้องใช้แว่นกันแดดแบบฉาบสีดำ ไม่หาญกล้าขี่แบบไม่ใช้แว่นกันแดด กลัวตาเสียน่ะครับ หมาป่าบางวันใช้เสื้อยืดสีขาวเนื้อไม่หนา เย็นลงถอดเสื้อหลังก็ยังดำด้วยน่ะครับ เพราะรังสีแดดมันทะลุผ่านเนื้อผ้าเข้ามา
ขี่มาถึงแยกตัดระหว่างสาย 309 และ 347 หมาป่าแวะพัก 100 กม.ที่วัดกุฏีลาย วัดอยู่บนสาย 309 ไม่ไกลจากแยกนัก วัดเล็กๆมีศาลาหน้าวัดทรงเก่าสัดส่วนสวย พอให้ได้หลบแดดดื่มน้ำกันครับ แต่ในตัววัดนั้นท่านเจ้าอาวาสท่านเทปูนบนลานจนขาวโพลนสะท้อนแดดได้ดีเหลือเกิน หาร่มไม้แทบไม่มีเลย หมาป่ายังนึกในใจว่าตอนหน้าเกี่ยวนั้นลานวัดจะใช้ตากเมล็ดข้าวเปลือกช่วยชาวบ้านลดความชื้นพืชผลเพื่อให้ได้ราคาดีขึ้นหรือเปล่า กินน้ำกินท่าเสร็จหิวกาแฟสดขี่ต่อมาอีกห้าหกกิโลเจอแผงขายกาแฟสดตรงหน้าร้านเซเว่นอีเลฟเว่นริมทาง ได้กินกาแฟสดเสียที การเดินทางบนถนนเส้นรองนั้นจะมีข้อด้อยตรงที่ว่าไม่มีปั๊มน้ำมันใหญ่ๆแบบที่มีร้านขายกาแฟสดนะครับ ออกจะอัตคัตขาดแคลนอยู่ สั่งแบบคนกรุงเทพว่าอเมริกาโนร้อน น้องคนขายก็เติมนมมาให้เสียอย่างนั้น หมาป่าไม่จู้จี้ก็กินเข้าไปครับ แต่นึกในใจว่าคราวหน้าต้องสั่ง “กาแฟดำร้อน”
ทางเส้น 309 นี้ยามต้นเดือนกุมภาสวยงามครับ นาข้าวสวยบาดใจ ช่วงแถวอำเภอป่าโมกข์มีการทำถนน ถนนต่างจังหวัดมักเป็นยางมะตอย หมาป่าจะสยองขวัญกับยางมะตอยด้วยว่ามีกินใจกันมาตั้งแต่ซ้อมขี่ทางไกลไปกาญจนบุรี ตอนนั้นขี่ไปแถวกำแพงแสน เจอทางที่เขาเตรียมไว้ราดยางมะตอยหมาป่าเห็นว่าตัวพื้นถนนมันไม่ร้อนด้วยตัวยางมะตอยหลักยังไม่ถูกราดแต่เขาจะมีน้ำยาสีน้ำตาลฉาบผิวถนนที่ถูกเกรดปรับทางเป็นลูกรัง หมาป่าก็ขี่ทับเส้นทางราดน้ำยานั่นมาเรื่อย สักพักสังเกตได้ว่าเจ้ายานั่นล่ะตัวดีเพราะมันมีความเหนียวในตัวและมาเกาะที่ตัวยาง แถมยังดึงพวกกรวดมาติดในร่องยางจนเต็มไปหมด ขี่ๆไปกรวดก็จะดีดมาโดนบังโคลนดังแป๊ะๆเหมือนเสียงข้าวโพดคั่ว รองเท้า กระเป๋าข้าง ติดกรวดติดยางเต็มไปหมด หมาป่าต้องขี่ลุยเข้าไปในพงหญ้าข้างทางเพราะหวังจะให้หญ้ามันสีเอากรวดเอาน้ำยาออกไปจากยางให้หมด แต่ไม่ได้ผลครับ กลัวยางเสียจะแย่ มาได้ผลตอนเจอฝนเจอทางเปียก น้ำมันชะน้ำยาและกรวดออกไปหมด รอบนี้เจอกันอีกที่อ่างทองก็ขอห่างครับ ขี่ไปอีกฝั่งไปย้อนศรตรงขอบทางแทน ไม่เอาอีกแล้ว พ้นจุดทำถนนค่อยข้ามมาขี่ฝั่งซ้ายกันใหม่
ขี่ไปครบร้อยยี่สิบกิโลเมตรหมาป่าก็แวะกินข้าวหมูกรอบอีก (สังเกตว่าทริปนี้หยุดไม่ได้ หยุดเป็นกิน กลัวหมดแรง) แล้วก็ขี่ผ่านตัวอ่างทองหาป้ายไปสิงห์บุรี คืนนี้หมาป่ากะจะนอนที่สิงห์บุรีครับ เรายังเกาะเส้น 309 อยู่ แต่พอเลยจากตัวเมืองอ่างทองแล้ว เส้น 309 มันจะตัดมาเลียบกับคลองชลประทาน เลียบไปตลอดทางถึงสิงห์บุรี คลองชลประทานอยู่ด้านซ้ายมือของถนน ส่วนด้านขวามือก็เป็นวัด เป็นหมู่บ้าน แต่ถัดไปจากวัดจากบ้านคนก็คือแม่น้ำเจ้าพระยาที่ขนานอยู่กับคลองชลประทานไหลเรียงตัวกันมาตลอดจากเขื่อนชัยนาทที่อยู่เหนือขึ้นไป หมาป่าจะขี่สวนแนวคลองขนาบแม่น้ำนี้ไปจนถึงสิงห์บุรีครับ ตรงคลองชลประทานนี้จะมีสะพานข้ามคลองเป็นระยะ หมาป่าแวะพัก 140 กม. ถ่ายรูปตรงสะพานข้ามคลองที่อยู่ตรงข้ามทางเข้าวัดละมุดสุทธิยาราม (ชือวัดแปลกดี)
สังเกตว่าป้ายบอกหลักกิโลเมตรตอนออกจากอ่างทองมันจะเพี้ยนนิดหน่อยครับ แบบว่าก่อนถึงอ่างทองจะบอกตัวเลขว่าอีกกี่กม.จึงจะถึงสิงห์บุรีด้วยตัวเลขชุดหนึ่ง แต่พอออกจากอ่างทองก็เหมือนตัวเลขมันถูกบวกไปอีก 20 กม.เสียอย่างนั้น หมาป่าไม่แน่ใจว่าตัวเลขไหนถูก รู้แต่ว่าสำหรับคนที่ขี่รถมาทั้งวันและพอเริ่มเย็นดันเห็นตัวเลขเพิ่มอีก 20 กม.ก็จะใจเสียนิดหน่อยเพราะไม่อยากขี่ตอนที่แสงอาทิตย์ลับฟ้าแล้ว ถึงจะมีไฟติดรถก็รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยครับ
ตอนเย็นอย่างนี้จะพบชมรมนักปั่นจากสิงห์บุรีขี่กันเป็นกลุ่มมาตามถนนเลียบคลอง ส่วนใหญ่เป็นเสือหมอบครับ หมาป่ายกมือตะเบ๊ะทักทายตามธรรมเนียมพึงปฏิบัติ ขี่มาจนเลขไมล์สะสมของทริปขึ้นที่ 160 กม. ตอนห้าโมงห้าสิบนาที แสงเริ่มน้อย แต่ก็อุ่นใจเพราะป้ายบอกกม.บอกว่าอีก 6 กม.ก็จะถึงสิงห์บุรีแล้ว พักกินน้ำแล้วก็ขี่ต่อเพื่อเตรียมหาที่พัก
ทริปนี้หมาป่าตั้งใจว่าจะเลือกพักตามพวกบังกาโลที่ติดพื้นดิน จะไม่พักตามโรงแรมที่เป็นตึกสูงเพราะว่าขี้เกียจหอบรถและสัมภาระขึ้นบันไดไปไว้ในห้องพัก จะให้ทิ้งรถไว้ด้านล่างนั้นไม่เอาแน่นอน เพื่อนกัน...หมาป่านอนไหน อีเขียวก็ต้องนอนนั่นไม่มีทิ้งกัน ขี่เข้าตัวเมืองสิงห์บุรีก็มองหาป้ายพวกบังกาโลหรือโรงแรมม่านรูดแต่หาไม่เจอครับ ไปขี่วนย่านดาวน์ทาวน์ที่เป็นตลาดมีขายอาหารสำเร็จและผลไม้ มองหาคนขายของที่เป็นผู้ชาย แต่ว่าต้องเลือกที่ไม่มีเมียอยู่ด้วย จะได้ถามสะดวกปากว่ามีม่านรูดไหนที่พักได้บ้าง กลัวพี่เขาตอบแล้วจะโดนเมียค้อนน่ะครับ วนไปวนมาเจอรถขายผลไม้มีคนขายที่คุณสมบัติตรงกับที่ตั้งใจไว้เลยถาม พี่เขาบอกให้ขี่ย้อนขึ้นไปทางทิศออกจากเมืองลงไปทางใต้นิดหน่อย จะมีซอยข้างปั๊มน้ำมันให้เลี้ยวเข้าซอย จะมีโรงแรมม่านรูดประจำจังหวัดอยู่ ความจริงแกก็บอกให้เข้าพักที่รีสอร์ทที่เป็นบังกาโลนะครับ แต่มันต้องขี่ออกไปไกล เลยเลือกโรงแรมม่านรูดดีกว่า ซอยมืดมากครับ ขี่ไปก็เสียวไปว่าทำไมมันมืดขนาดนี้ แต่สักพักก็เจอโรงแรม ถัดโรงแรมไปหน่อยก็จะเป็นถนนในย่านชุมชนที่อยู่ ไฟสว่าง ผู้คนคึกคัก ก็เข้าใจว่าม่านรูดมันคงต้อง่หลบๆในซอย โจ่งแจ้งนักเดี๋ยวไม่มีลูกค้า แวะซื้อเบียร์สี่กระป๋องเพื่อฉลองการขี่วันแรก แล้วค่อยเข้าเช็คอิน โรงแรมโทรมมากครับ ค่าห้องค้างคืนราคา 300 บาท กิจการดำเนินโดยคุณลุงคุณป้าที่มีหมาเป็นเพื่อน เดินเข้าไปจ่ายเงินกับรับผ้าเช็ดตัว น้องหมาเห่ากันตรึม แอร์เย็นตามสมควร แต่มุ้งลวดขาดต้องเอาม่านบังไว้กันยุงเข้า
หมาป่าถ่ายรูปมาให้ดูกันกับที่พักคืนแรก ห้องพักและห้องน้ำนั้นสปาตันมากครับ ตัวห้องน้ำฝักบัวไม่มี มีแต่สายยางต่อกับก๊อกน้ำให้นั่งยองๆอาบ ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นรูท่อที่พื้น รูนี้มันต่อกับถังส้วมน่ะครับ คงไว้ใช้ดูดส้วมด้วย กลิ่นไม่แรงนักแต่ที่แย่คือกลางดึกมันจะมีแมงส้วมออกมาเกาะเต็มผนังห้องน้ำไปหมดเลย หยะแหยงพอสมควร ฮ่าฮ่าฮ่า ใช้ห้องน้ำเสร็จก็ต้องปิดประตูไว้ ไม่อยากให้แมงส้วมมันตามเข้าไปตอมหน้าตอมตาในห้องนอน เข้าห้องแกะถุงสัมภาระเปิดแอร์จิบเบียร์เพลินๆ พอครึ้มก็เข้าไปนั่งยองๆอาบน้ำกันไป ดีที่น้ำไม่ค่อยเย็นเท่าไหร่ ขี่มาร่วมร้อยเจ็ดสิบกิโล ลำบากนิดหน่อยหาได้ทำให้หมาป่าท้อได้ไม่ครับ ซักกางเกงขี่จักรยาน (แบบมีสองชั้นไม่โชว์รัดหำ)และเสื้อยืด ผึ่งตากบนจักรยาน กิน เบียร์หมดสี่กระป๋องหมาป่าก็นอน หมาป่าคงทำบุญมาดีในชาติก่อนเพราะว่าเป็นคนหลับง่ายมาก ต่างที่ต่างทางก็ไม่ใช่ปัญหา หลับตาไม่เกินสองนาทีก็หมดสติครับ
เช้าวันที่สองของการเดินทาง หมาป่าตื่นประมาณเจ็ดโมงเศษๆ ไม่รีบร้อนเพราะวันนี้กะไปแค่นครสวรรค์ซึ่งทางไม่ไกลนัก ขี่ไปหาข้าวเช้าและกาแฟกินในตัวเมือง แล้วก็จ้วงต่อเลียบคลองชลประทานเส้นเดิมขึ้นชัยนาทด้วยทางหลวง 309 ยามเช้ารื่นรมย์ แดดยังไม่แรงนัก ขี่ผ่านวัดกระดังงาบุปผารามแล้วอดใจไม่ได้ต้องแวะครับ วัดนี้ยังเก็บต้นยางใหญ่ไว้ด้านหน้าวัดร่มรื่นมาก ต้นยางนานี้เสกลมันสูงใหญ่ให้ความสงบทางจิตใจนะครับ ตัววัดด้านหลังติดแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งสมัยที่ยังไม่มีถนนคนต้องสัญจรมาวัดทางน้ำด้านที่ติดแม่น้ำ ด้านที่เรียกว่าท่าหน้าวัด แต่พอมีการตัดถนนคนเลยใช้ถนนแทนแม่น้ำ ด้านหลังวัดก็เลยกลายเป็นหน้าวัดแทน วัดอื่นๆพอมีถนนเขาจะตัดต้นไม้ที่เคยปลูกหลังวัดเปิดทางให้เห็นตัววัดง่ายขึ้น แต่วัดนี้ไม่ตัดมันก็เลยดึงดูดให้แวะเข้ามาพักใต้ร่มยาง เดาจากวิหารที่กำลังซ่อมหลังคานี่วัดนี้น่าจะมีมาตั้งแต่ครั้งอยุธยานะครับ น่าจะเป็นอยุธยาตอนกลางด้วยซ้ำเพราะผนังข้างวิหารยังเจาะเป็นช่องมะหวดอยู่เลย สมัยนั้นเทคโนโลยีการก่อสร้างยังไม่เอื้อให้เจาะช่องหน้าต่างใหญ่แบบโบสถ์วิหารยุคหลังที่มีพวกฝรั่งเข้ามาสอนวิธีก่อสร้างให้เจาะช่องได้กว้างขึ้นแล้ว
เสร็จจากวัดก็ขี่ต่อไปพักที่ 190 กม. (ไมล์ทริปสะสม) ที่อินทร์บุรีหาน้ำเกลือแร่กินสักประมาณ 10.30 น. ขี่ต่ออีก 20 กม.ไปพักกินข้าวกลางวันที่ตลาดอำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท ก่อนถึงอำเภอนี้จะมีตำบลชื่อโพนางดำตก อ่านผ่านๆแล้วนึกว่าดำดก ชวนจั๊กจี้ มีต้นตาลเยอะจนสังเกตได้เลยครับมีแผงขายลูกตาลถี่เชียว ที่ตลาดสรรพยานี่หมาป่าแวะซื้อกิ๊ปหนีบผ้าแบบโลหะแทนอันพลาสติกที่เมียให้ติดตัวมา เพราะตัวพลาสติกมันเป็นของถูกเฮงซวย หยิบมาสี่ตัว หนีบแล้วมันจะหักติดมือไปสามตัว ของถูกแต่ใช้ไม่ทนนี่พวกพ่อค้าไม่รู้จะผลิตกันมาทำไม...รกโลก ตากผ้าบนรถนี่ห้อยกันตรงคานบนกับผึ่งตรงตะแกรงหลัง เสื้อยืด กางเกง กางเกงใน ถุงเท้า พอบ่ายต้นก็แห้งสนิทครับ หมาป่าซักผ้าทุกวันครับ เข้าโรงแรมก็จิบเบียร์ไปซักผ้าไป
ก่อนเข้าตัวเมืองชัยนาทตามเส้นทาง 309 เราจะถึงเขื่อนเจ้าพระยาก่อนครับ เสียงน้ำไหลผ่านประตูน้ำดังซู่ซ่าตลอดเวลา
ขี่เข้าตัวชัยนาทไมล์ขึ้น 230 กม. หมาป่าไม่ได้พักอะไรมาก แค่หากาแฟสดกิน เติมน้ำในกระติกแล้วก็ขี่ต่อครับ ช่วงบ่ายนี้แดดแรง ลมแรง หมาป่าเลือกใช้เส้นพหลโยธินเก่าจากชัยนาท ยังไม่ตัดตรงไปสายเอเชียแต่ในท้ายสุดมันก็จะไปบรรจบกับสายเอเชียก่อนถึงนครสวรรค์อยู่ดี แดดแจ๋แหว ขี่ตามลมบ้างต้านลมบ้าง ระหว่างทางที่มีแยกตรงอำเภอจอดรถรอไฟแดงมีเด็กนักเรียนนั่งรถบัสไปทัศนศึกษากัน หมาป่าก็ยังถูกทักว่าเป็นชาวต่างชาติทำนองว่าฮัลโหล เฮ้ยูอยู่ สงสัยว่าการขี่จักรยานที่แม้จะมีการขี่กันอย่างแพร่หลายทั่วประเทศ แต่ถ้าขี่แบบทัวริ่งคนเดียวนี้ยังมีภาพลักษณ์ว่าจำกัดที่วงฝรั่ง วงญี่ปุ่นอยู่นะครับ พอหันไปยิ้มบอกหวัดดีจ้า เด็กๆก็หัวเราะยิ้มและโบกมือให้เสียงเซ็งแซ่ ขี่ถนนเส้นใหญ่แต่รถยังไม่เยอะมากนักเพราะคนไปใช้สายเอเชียกันเป็นหลัก ชัยนาทเป็นจังหวัดที่ต้องตั้งใจแวะเข้ามา ซึ่งคนมักไม่ค่อยเข้าหรอกครับ หากจะไปทางเหนือก็ตัดขึ้นนครสวรรค์เร่งขึ้นกำแพงเพชรหรือขึ้นพิจิตรพิษณุโลกแทน
ระหว่างทางวันนี้ออกจะล้านิดหน่อย หมาป่าเชื่อว่าเป็นเพราะถนนใหญ่ลมมันแรง วันก่อนหน้าหมาป่าใช้ถนนเส้นรองขี่ที่จาน 3 เฟือง 7 เป็นหลัก แต่พอเข้าเส้นพหลโยธินต้องเกร็งหน้าท้องมากขึ้นเพื่อส่งแรงไปยังขา มีเนินชันบางช่วงก็เหนื่อย หมาป่าเลยสับลงเฟือง 6 ให้ขาเบาลงนิดนึง พักยี่สิบกม.ก็ควักพวกโอรีโอขึ้นมากินเพิ่มน้ำตาลในเลือด พวกขนมนี้ถ้าให้เลือกหมาป่าชอบกล้วยตากครับ มันไม่หวานเกินไป กินแล้วหนักท้องดีด้วย หมาป่ามักเลือกแบบไม่ฉาบน้ำผึ้ง คือตากกันแห้งๆ ดีที่กินแล้วมันจะไม่เหนียวติดมือน่ะครับ น้ำในกระติกเป็นของมีค่าไม่อยากเจียดมาล้างนิ้วมือ
หมาป่าเคยคิดว่าขี่บนถนนใหญ่จะเสียวรถบรรทุก แต่ซูเปอร์ไฮเวย์ในเมืองไทยนี้มีไหล่ทางใหญ่ดีมากจริงๆนะครับ ขี่ตอนแรกนึกว่าเจ้าไหล่ทางมันคือเลนถนน หมาป่าก็ไปขี่เลาะอยู่ตรงด้านข้างริมๆตั้งเป็นสิบกม. จนมาสังเกตได้ว่าจริงๆมันคือไหล่ทาง ขี่ไปเถอะ รถบรรทุกเขาไม่เข้ามาแน่นอน และรถบรรทุกบางคันยังใจดี เบี่ยงออกจากเลนซ้ายสุดให้อีกแน่ะครับ ถ้าพูดถึงมารยาทการขับรถ รถบรรทุกนั้นมารยาทดีสม่ำเสมอทุกเส้นทางนะครับ สมัยที่ขี่ไปเมืองกาญฯนั้น ครั้งแรกที่เจอรถบรรทุกวิ่งอยู่ข้างๆ หมาป่าก็เกือบซวย รถบรรทุกวิ่งผ่านฟืบไปหมาป่าก็นึกว่าตอนนี้โล่งแล้วก็จะเบี่ยงออกขวาอีกนิดให้สบายตัว แต่รถบรรทุกส่วนใหญ่มักจะมีรถพ่วงตามท้ายมาด้วย รถพ่วงมันเลยผ่านหูไปให้สะดุ้งสุดตัว ตั้งแต่นั้นเห็นรถบรรทุกในกระจกมองข้างก็จะคิดเผื่อไว้ในใจเสมอว่าพี่เขาพ่วงมา เป็นจริงเจ็ดในสิบคันเสมอ
ขี่ไป 270 กม. ก็ไปจอดพักตรงศาลาฝั่งตรงข้ามทางเข้าคลังแสงทหารก่อนถึงนครสวรรค์ จากนั้นอีก 20 กม.ก็จะถึงนครสวรรค์ครับ ตอนนี้ล้าเพิ่มขึ้นเพราะแดดเพราะลมตลอดทั้งบ่าย แถมก่อนถึงสะพานข้ามแม่น้ำเข้าตัวเมืองยังมีเนินชันให้ได้จ้วงขึ้นกันอีก พ้นเนินเฮือกก็เจอสะพาน รถติดยาวเป็นสายดังภาพ ไม่รู้คนอื่นเป็นเหมือนหมาป่าไหมนะครับ หมาป่าไม่เคยนึกชอบจังหวัดนครสวรรค์ (ขอโทษเสือนครสวรรค์ด้วยใจจริง) คือภาพที่นึกในหัวคือจังหวัดที่ร้อนฉิบหาย ไปถึงทีไรก็ต้องเจอรถติด แล้วก็จะนึกถึงถนนที่กำลังก่อสร้างมีฝุ่นคลุ้งอยู่ชั่วนาตาปี มองไปที่ภูเขาในเมืองก็เห็นต้นไม้แห้งๆ ไม่มีความเขียว ไปแล้วก็อยากรีบผ่านไปให้พ้นทุกทีไป....อันนี้เป็นความรู้สึกที่ติดในใจเสมอ ชาวนครสวรรค์คงนึกด่าในใจ อิอิ แต่ความจริงมันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ว่าเสมอไปหรอกครับ เดี๋ยวนี้ถนนก็เสร็จหมดแล้ว จังหวัดไหนๆก็ร้อนนนนนเหมือนกัน แต่รถติดเนี่ยยังไงก็แก้ไม่หายครับ อย่างว่าจังหวัดนี้เป็นชุมทาง รถรามันก็ต้องเยอะเป็นธรรมดา
หมาป่ามาหยุดพักที่รีสอร์ทตรงทางที่จะออกจากเมืองไปทางเส้นกำแพงเพชร ชื่อบ้านสวนรีสอร์ท ราคารวมอาหารเช้า 540 บาท สภาพห้องพักดีกว่าโรงแรมม่านรูดที่สิงห์บุรีมากจริงๆ เหมือนขึ้นสวรรค์กันปานนั้น ไมล์ไปหยุดที่ 290 กม. สรุปวันที่สองนี้ขี่ไปราวๆ 120 กม. น้อยกว่าวันแรกห้าสิบกม. ตอนใกล้ค่ำหมาป่าไปขี่วนตรงชุมชนที่มีแผงขายอาหารกะว่าจะหาข้าวเย็นกิน เห็นแผงขายบะหมี่ก็อยากกินบะหมี่แห้ง แต่ว่าซื้อกลับห้องไม่ได้เพราะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้เอาอุปกรณ์การกินติดตัวมาด้วย จะขอตะเกียบหรือช้อนติดไปเขาก็ไม่มีให้ หมาป่าเลยตัดสินใจไม่กินซะงั้น กะไปกินขนมขบเคี้ยวที่ติดตัวที่ห้องแทน ไม่ยอมนั่งกินที่ร้านด้วย นึกในใจว่าทริปหน้าต้องไม่ลืมพวกช้อนและตะเกียบยัดใส่กระเป๋ามา แวะซื้อเบียร์ซิงฮา 4 กระป๋อง แล้วเข้าห้องซักผ้ากินเบียร์ชื่นใจ กินของจุ๊บจิ๊บ เล่นเนตด้วยแทปเลต สักสี่ทุ่มก็หลับสบายครับ ^^
เช้าวันที่สามของการเดินทาง วันนี้ตั้งใจง่ายๆว่าจะขี่จากนครสวรรค์ทะลวงผ่านไปถึงจังหวัดตาก ค่ำที่ไหนก็นอนที่นั่น ตื่นเช้ากินอาหารเช้าที่รีสอร์ทเสร็จพร้อมออกเดินทางตอน 7.30 น. ขี่ทางราบไปเรื่อยๆ ทางสายเอเชียมีรถวิ่งตลอดเวลาไม่มีเหงาครับ
พัก 310 กม. ที่หน้าโรงเรียนศรีพูลราษฏร์สามัคคี
พัก 330 กม. ที่หน้าภูเขาเลยแยกไปอำเภอบรรพตพิสัย
ช่วงระหว่างทางนี้ขี่ผ่านร้านขายไก่กระบองหลายร้าน เลยคิดว่าซื้อไก่กับข้าวเหนียวติดรถไปเป็นอาหารกลางวันท่าทางจะดี ซื้อมันหนึ่งตัวเลย กินเหลือก็เอาเก็บไว้กินตอนบ่ายๆได้อีก เลยแวะร้านหนึ่งมีแม่ค้าและลูกชายวัยซน ทักทายถามไถ่ร้องอู้หูขี่รถคนเดียวขึ้นเชียงใหม่กันตามสมควร เจ้าหนูเดินไปเล่นที่รถด้วยเพราะธรรมชาติเด็ก ขี่ออกมาพบว่ากระจกมองข้างโดนบิดเสียเบี้ยวมีขี้มือเด็กติดให้มัวอีก ต้องพักจัดกันใหม่นิดหน่อยครับ ขี่รถหมาป่าติดมีกระจกมองข้างน่ะครับ โดยเฉพาะในกรุงเทพถ้าไม่มีเนี่ยไม่กล้าขี่ครับ ไม่มั่นใจ
พอถึง 350 กม. ก็พักกะว่าจะกินไก่ครับ พักตรงศาลารอรถข้างทาง ข้างศาลามีถนนรพช.ตัดเข้าไป ตรงข้างศาลามีแผงขายข้าวโพดต้ม มีแม่ค้าหนึ่งคนกับคุณตาแก่ๆท่าทางเป็นลูกจ้างแม่ค้านั่งอยู่ด้านหลังแผง หมาป่าคาดการณ์ความอร่อยของไก่กระบองผิดไปครับ ไก่กระบองเจ้านี้เนื้อมันจะชุ่มฉ่ำมีน้ำมันมาก ไม่ได้ย่างแห้งๆแบบไก่โคราชหรือไก่ย่างจิระพันธ์ เผลอๆหมาป่าว่าแม่ค้าเอาน้ำมันทาทับตอนย่างเติมเข้าไปอีก บวกกับกลิ่นเครื่องเทศที่หมาป่าไม่ค่อยคุ้น นั่งจกกินสักพักก็อิ่มล้นๆอยู่ตรงคอ ทั้งข้าวเหนียวทั้งไก่เหลืออีกเพียบ หมาป่ากินไปได้สัก ¼ ตัวเท่านั้นล่ะครับ เริ่มคิดว่าถ้าเอาไก่ติดไปกลางทางและมีน้ำมันมันย่องขนาดนี้ เจอแดดมีหวังไก่บูดแน่นอน หมาป่าเสียดายไม่อยากทิ้งของให้เปล่าประโยชน์ เหลือบมองแม่ค้าข้าวโพดต้มก็คิดว่าได้การล่ะ เรามอบไก่ให้แม่ค้ากินน่าจะดีกว่า ก็เลยเดินไปคุยบอกว่าให้ไก่ แม่ค้ามองหน้าหมาป่าดูเนื้อดูตัวแล้วออกอาการเหมือนไม่อยากรับ แกบอกว่าหมอไม่ให้กินของมัน หมาป่าก็แหยๆว่าเอไหงดันมาเจอแม่ค้าโคเลสเตอรอลสูงเสียล่ะนี่ เลยเดินเข้าไปนั่งยองๆคุยกับคุณตาลูกจ้างว่าคุณตาเอาไหม ผมให้ครับ ระหว่างคุณตาอิดออด แม่ค้าก็พูดว่าเอาล่ะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวซื้อไว้ก็ได้ หมาป่าเลยถึงบางอ้อน่ะครับ คือแม่ค้าแกคงคิดว่าคนขี่จักรยานคนนี้พยายามขายไก่ให้แก แกไม่อยากกินเลยบอกว่าหมอให้งดของมัน แต่ความที่แกสงสารเพราะเห็นเข้าไปพยายามจะ (ขาย) ให้คุณตาแกก็เลยออกปากว่าจะซื้อก็ได้ ฮ่าฮ่าฮ่า หน้าตาเนื้อตัวและรถของหมาป่าคงดูซำเหมาสิ้นดี แม่ค้าเลยนึกว่าต้องขายไก่หาเงินเดินทาง ต้องอธิบายกันว่าเปล่าจ้า ไม่ได้ขาย ให้เก็บไว้กินไม่คิดเงินจ้า แม่ค้าก็เลยรับไว้ แกจะให้หมาป่าเอาข้าวโพดไปกินกลางทางอีกแน่ะครับ ต้องบอกว่าอิ่มแล้วจ้า กลัวข้าวโพดบูดด้วย ซึ้งน้ำใจแม่ค้าจ้า ขอไม่เอานะจ๊ะ แล้วก็ร่ำลาอวยชัยให้พรกันออกมาน่ะครับ
อาห์....ใครขี่จักรยานถึงเขตจังหวัดกำแพงเพชรคงต้องถ่ายรูปตรงนี้กันเป็นที่ระลึกเสียหน่อย
พัก 370 กม.ที่ศาลาตรงข้ามโรงเรียนคลองขลุงราษฏร์รังสรรค์ เจอรถสิบล้อทะเบียนเชียงรายจอดอยู่ พี่คนขับรถกับเมียนั่งแกะดอกไม้แดงกันอยู่ สอบถามได้ความว่าดอกที่ว่าคือดอกงิ้ว คือศาลามันอยู่ใต้ต้นงิ้วออกดอกสีแดงออกส้มเต็มเลยครับ พี่เขาเลยเอารถไปจอดใต้ต้นแล้วเก็บดอกมาแกะเอาเกสรจะเอาไปตากแห้ง ดอกงิ้วนี้พอแห้งแล้วเขาเอาไปใส่ในขนมจีนน้ำเงี้ยวครับ ท่าทางจะได้เยอะเพราะแกะกันเป็นอุตสากรรมหนักเลยเชียว
พัก 390 กม. ที่ปั๊มเชลล์ตรงแยกไตรตรึงษ์ แวะซื้อน้ำเกลือแร่ เติมน้ำเย็น ซื้อผ้าเย็น พร้อมกับทายากันแดดรอบสองของวัน เด็กปั๊มเป็นชาวพม่าเพิ่งเข้าทำงานใหม่ พูดไทยไม่ค่อยคล่องเลยต้องจิ้มเครื่องคิดเลขบอกราคากันไป
วันที่สามนี้หมาป่าขี่แบบสบายๆ ไม่เหนื่อยมาก ทางก็ราบเรียบ พอเลยทางแยกเข้าเมืองกำแพงเพชรก็แวะพัก 410 กม. แล้ว มาพักกินข้าวเย็นมื้อหลักก็ตรง 430 กม. ร้านเขาชื่อร้านครัวเห็ดก่อนถึงอำเภอโกสัมพีนครสัก 3-4 กม. อาหารนี้ถ่ายรูปสีน่าจะดีกว่า เป็นต้มยำไก่บ้านใส่เห็ดฟางกับไข่เจียวจานใหญ่ แต่ไม่มีเบียร์ หมาป่าไม่กินเบียร์ตอนขี่ครับ กลัวเครื่องน๊อค มาคนเดียวน๊อคไปเดี๋ยวจะยุ่ง ออกจากร้านตอนห้าโมงเศษดูแผนที่แล้วกำลังจะเข้าเขตจังหวัดตากที่อำเภอวังเจ้า ก็คิดว่าจะพักค้างที่อำเภอล่างสุดที่ต่อกับกำแพงเพชรในคืนนี้แหละ
วันที่สามนี้จบที่ 443 กม. รวมระยะทางประมาณ 150 กม.นับจากรีสอร์ทที่นครสวรรค์ พักที่บังกาโลชื่ออรทัย คืนละ 350 บาท ราคานี้รู้สึกจะเป็นราคามาตรฐานของที่พักริมทางนะครับ แบบมีห้องแอร์ น้ำอุ่น และทีวีให้ดูในห้อง ซักผ้ากินซิงฮาแล้วก็เข้านอนตอนสามทุ่มเศษ
ไลน์แบบนี้ประยุกต์ได้กับหลายกิจกรรมครับ บวช ดำน้ำลึก ไปเนปาล เป็นทหาร ฯลฯ เอาไปเติมแทนคำว่าเดินทางไกลก็ดูงามทั้งนั้น
หมาป่าเดียวดายกลับมาหัดขี่จักรยานตอนต้นปี 2554
ขี่มาเรื่อย ขี่จนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ขี่ไปกลับที่ทำงานบนถนนจอแจในกรุงเทพ ขี่ไปเที่ยวต่างจังหวัด ขี่ไปชมวัดชมโบสถ์ รถยนต์ที่บ้านก็ทิ้งไว้จนน้ำมันเครื่องเหนียวหนืด วันไหนต้องขับรถยนต์อาทิเช่นต้องเอาไปเช็คระยะตามเวลาในสมุดรับประกันกลับคิดว่าเป็นภาระ คืนก่อนหน้าจะนอนไม่ค่อยหลับเพราะต้องตื่นมาทำภาระที่ไม่อยากทำ ทำให้ลุล่วง ว่าจั๊งซั่น
ความฝันที่มาทำให้เริ่มหัดขี่จักรยานใหม่ตอนอายุสี่สิบกว่าหลังจากทิ้งไปสิ้นเชิงตอนเรียนมัธยมก็มีแค่สองอย่าง...หนึ่งคือ อยากขี่บนถนนในกรุงเทพ เพราะแม่กับยายห้ามขี่ออกนอกซอยตอนเป็นเด็ก แกกลัวลูกกลัวหลานถูกรถทับ....อันนี้ฝันเป็นจริงเรียบร้อย
แล้วก็เหลือแค่ฝันขี่ทางไกลนั่นแหละครับ
ฝันบรรเจิดตอนไปหลวงพระบางเดือนธันวาคมปี 2553 นั่งรถตู้ไปจากเวียงจันทน์ ตลอดทางขึ้นไปและกลับลงมา เห็นนักจักรยานทั้งไทยและฝรั่งขี่ขึ้นลงเขากันตลอดทาง
หมาป่าก็อยากบ้าง กลับมาก็ซื้อจักรยาน ขี่มันในกรุงเทพฯให้มันสมอยากกับการขจัดความกลัวถูกรถทับ
แต่ขี่บนถนนสาย 13 ในลาวขึ้นไปหลวงพระบางออกจะหวาดๆอยู่ เพราะเขามันชัน
ฝันเลยเป็นทริปง่ายๆ....ขี่จากกรุงเทพขึ้นเชียงใหม่แล้วไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพ
ซื้อจักรยานคันแรก (และยังเป็นคันเดียวอยู่) นั้นไม่ยากเลยครับสำหรับหมาป่า
เข็มทิศในใจตั้งไว้อย่างเดียวว่า ฉันจะเอารถทัวร์ริ่ง
ติดกระเป๋าท้ายได้ เพื่อขี่ไปทำงานโดยเอาคอมพิวเตอร์และเสื้อผ้าติดรถไปด้วยได้ และบรรทุกสัมภาระยามเดินทางไกล
ไม่เคยมองเสือภูเขา หรือเสือหมอบ (รถพับก็ไม่มอง ^^)
นั่งดูเวปอยู่สองวัน ไม่ค่อยรู้เรื่อง มีรุ่นน้องที่ออฟฟิศที่เราไปเล่าให้เขาฟังว่าจะหารถทัวร์ริ่งเขาบอกว่าตอนนี้มีลดราคาอยู่ที่ TCA
ขับรถไปดูที่ตึกตรงข้ามช่องสามถนนพระรามสี่
เขามีลดราคาอยู่สองยี่ห้อ Kona และ Jamis
อันนี้ก็ง่ายอีก Kona ลดแล้วเหลือ 29,000 Jamis ลดแล้วเหลือ 34,000
หมาป่าก็เอา Kona สิครับ ฮ่าฮ่าฮ่า
Kona Sutra Model 2010 ทัวร์ริ่งสัญชาติแคนาดา แต่ปฏิสนธิในไต้หวัน ตัวถังสีเขียว Jolly Green
27 เกียร์ หนักโคตรเพราะใช้เหล็กโครโมลี ไม่มีลูกบันได ... เอิ่มมมม จริงเหรอ!!!!! จ่ายเงินไปแล้วยังขี่ไม่ได้ 55555
ยกรถยัดเข้ารถยนต์ตัวเอง วันรุ่งขึ้นขี่ไปนครไทยลาดพร้าว 101/1
ให้เขาติดลูกบันได และอัฐบริขารอื่นที่จำเป็นเช่น ขาตั้ง ไมล์ ไฟหน้า ไฟท้าย สูบพกพา หมวกกันน๊อค กางเกงขี่จักรยาน(แบบไม่โชว์หำ) เครื่องมือติดรถ สูบแบบมีเกจ์ ฯลฯ
เฮียที่ร้านบอกว่าไม่น่าซื้อมาเลยรุ่นนี้ น่าจะซื้อที่ขี่ง่ายกว่านี้มาลองก่อน
ช่างเป็นคำวิจารณ์ที่ให้กำลังใจมือใหม่มากเลยครับเฮีย
แถมเฮียเชียร์ให้เปลี่ยนเสต็มคอแฮนด์อีกแน่ะ แกบอกอันนี้ขี่แล้วปวดหลัง
เลยบอกเฮีย....เฮ่อออ ซื้อมาจะสามหมื่น ยังไม่ได้ขี่สักฉึก ขอเอาไปลองก่อนเหอะ ถ้าทนเมื่อยทนปวดไม่ไหวจะมาเปลี่ยนนะเฮียนะ
ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนเลยครับ...ใจมันอยากเอาชนะเฮีย ร่างกายมันเลยปรับตัวเข้ากับรถเสียอย่างนั้น
ขาและหลังปวดเมื่อยสักสัปดาห์แรก แล้วก็หาย มือชาอยู่สองสามวัน แล้วก็หายอีก
เรียกรถตัวเองว่า “อีเขียว” สรรพนามเป็นอีแต่ก็เป็นเพื่อนยากตัวจริง
ขี่ไป Century Trip แรก ด้วยกัน
ขี่ไปขึ้นเขาใหญ่เพื่อฝึกขึ้นเขาทางชัน ด้วยกัน
ขี่ไปกลับเมืองกาญจน์เพื่อฝึกเดินทางให้ได้สองร้อยกิโลเมตรต่อวัน...ก็ด้วยกัน
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อฝึกไว้สำหรับทำฝันให้เป็นจริง...ไหว้พระธาตุดอยสุเทพ ขอเอาแรงขาหยาดเหงื่อและผิวเกรียมแดดเป็นพุทธบูชา
หะแรกนั้นอยากขี่ภายในปี 2554 แต่เอาเข้าจริงปรากฏว่าปลายปี job in งานเข้า
ไม่มีช่วงว่างยาวๆเลย ไม่นับว่าน้ำท่วมสกัดทางไว้จนล่วงเข้าเดือนธันวาคมอีกต่างหาก
จนเข้าสัปดาห์แรกของเดือนกุมภาปี 55 นี่แหละครับที่งานการเริ่มเคลียร์ได้ลงตัว
ลูกค้าใหญ่ที่ใช้เวลานำเสนองานติดพันกันมาตั้งแต่ก่อนปีใหม่ต้องไปประชุมเมืองจีนสัปดาห์กว่า
หมาป่าสบช่องก็เลยขอลางานตั้งแต่ 7 กุมภา สั่งความลูกน้อง ลูกค้าท่านอื่น รวมถึงหัวหน้าว่าไปยาวไม่เช็คเมล์ และอาจไม่มีสัญญานมือถือ เพราะฉะนั้นอย่าหงุดหงิดถ้าติดต่อมิได้
การขี่ขึ้นเชียงใหม่นั้นถ้าคิดแบบคนขับรถยนต์ก็คงขึ้นทางรังสิตหรือใช้วงแหวนเส้นตะวันออกจากสวนหลวง ร. 9แถวบ้านหมาป่าเพื่อไปออกถนนสายเอเชียตรงขึ้นอยุธยาแล้วต่อขึ้นนครสวรรค์ไปเรื่อยๆ
ขี่บนถนนสายเอเชียยามแดดจ้าหมาป่าคิดแล้วก็ท้อเหมือนกันครับ ด้วยว่ารถยนต์มันเยอะ และคิดถึงแดด คิดถึงเสียงเครื่องยนต์แล้วก็พาลเหนื่อยล้าตั้งแต่ยังไม่ได้ขี่
เสริชดูกระทู้สรุปทริปเก่าๆของพี่ๆน้องๆใน MTB มาชอบตรงของคุณ wintutor ที่ท่านขี่ขึ้นเชียงใหม่พร้อมกับเพื่อนอีกคน โดยใช้เส้นทางเลียบคลองเปรมฯ ไปออกอยุธยา ต่อเข้าอ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท แล้วค่อยออกนครสวรรค์ ช่วงแรกของการขี่ใช้ ถนนสายรองน่าจะสนุกกว่าซูเปอร์ไฮเวย์แปดเลน หมาป่าจะแกะรอยตามท่านไปบ้างครับ ( กระทู้ของท่านอยู่ตรงนี้เพื่อเป็นเครดิตและให้เกียรติแก่ผู้ถางทางครับ http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 6&t=252216 )
วันจันทร์ที่ 6 เคลียร์งานให้ลุล่วง รีบกลับบ้านเพื่อแพ็คข้าวของ
ปกติหมาป่ามีกระเป๋าติดแรกท้ายอยู่สองใบ เที่ยวนี้ไปหลายวันเลยไปซื้อใบเล็กติดแรกหน้ามาเสริมอีกคู่ รวมเป็นสี่ใบ
เสื้อผ้ามีไม่เยอะครับ มีกางเกงขี่จักรยานสามตัว เสื้อยืดสี่ตัว กางเกงขายาวบางๆเอาติดไปเผื่อต้องกินข้าวนอกห้องพักจะได้ดูสุภาพ กางเกงใน ถุงเท้า ผ้าขาวม้า เสื้อแขนยาวเผื่ออากาศเย็น และกางเกงขาสั้นไว้นุ่งนอนอีกตัว
อ้อมีรองเท้าแตะเผื่อใส่เดินเล่น
คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คไม่ได้เอาติดไป เอาไปแต่แทบเล็ต ลดน้ำหนักได้เยอะ เผื่อไว้เช็คเน็ต กล้องถ่ายรูปคอมแพกต์ดิจิตัล อุปกรณ์ปะยางพร้อมยางในและโซ่สำรองอีกหนึ่งเส้น
แชมพูขวดเล็ก ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ส่วนสบู่นั้นไปหาเอาตามห้องพักโรงแรมเพราะหมาป่าไม่กะกางเต๊นท์อยู่แล้ว
ผงซักฟอกไว้ซักเสื้อผ้าช่วงเย็นหลังจากเข้าห้องพัก ซักทุกวัน
และยาทากันแดด ซึ่งกันความดำไม่ค่อยจะได้ แต่อย่างน้อยผิวก็คงไม่แสบ
ไม่ลืมกิ๊บหนีบผ้า เอาไว้ตากผ้าระหว่างขี่ คราวที่ขี่ไปเขาใหญ่ใช้สายรัดของแบบมอเตอร์ไซค์รัดไว้กับกระเป๋าหลัง แต่มันแนบได้ดีเกินไปผ้าเลยไม่ค่อยแห้งครับ ขอเมีย เธอไปคุ้ยตรงกล่องเก็บอุปกรณ์ซักผ้าแล้วให้มาแผงนึงเป็นพลาสติก เอาถุงตาข่ายแบบถนอมผ้าในเครื่องซักผ้าติดมาด้วย
เสบียงพวกอาหารเพิ่มน้ำตาลในกระแสเลือดนั้นกะไปซื้อระหว่างทาง เพราะว่าเดินทางบนทางหลวง มีปั๊มน้ำมันตลอดทางแน่นอน
ทั้งหมดนี้กระจายใส่ไว้ในกระเป๋าทั้งสี่ใบ สบายๆแต่ละใบไม่ต้องรับน้ำหนักมากเกินไป
เข้านอนตอนสักสี่ทุ่ม ตั้งนาฬิกาปลุกตีสี่ครึ่ง
เช้าวันอังคารที่ 7 กุมภา
ตื่นตามเสียงนาฬิกา อาบน้ำ ชงกาแฟดื่ม อาราธนาคุณพระคุณเจ้าห้อยคอ แล้วก็โอ้เอ้นิดหน่อย เติมน้ำให้เต็มกระติก
จนล่วงตีห้าสี่สิบนั่นแหละครับจึงจ้วงออกจากบ้าน
ขี่ไปแวะปั๊มน้ำมันแถวบ้านเพื่อซื้อน้ำสำรองอีกขวด ลูกอมหวานๆ หมากฝรั่ง
น้องคนขายในมินิมาร์ทถามพี่จะขี่ไปไหนคะ บอกว่าจะไปเชียงใหม่จ้ะ เธอก็ตาลุกวาวบอกพี่ใจถึงมาก โชคดีนะคะพี่
เรื่องคนชมว่าใจถึงในการขี่ขึ้นเชียงใหม่นี้ก็จะมีตลอดเส้นทางนะครับ...สงสัยระยะทางกรุงเทพเชียงใหม่เนี่ยมันเป็นระยะ Ideal ที่คนรู้สึกว่ามันไกล กรุงเทพราชบุรี หรือกรุงเทพกาญจนบุรี คนจะไม่หูวว์และตาโตเท่ากรุงเทพเชียงใหม่ อิอิ
หมาป่าขี่ออกศรีนครินทร์ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพัฒนาการ ขี่ขึ้นไปตามเพชรบุรีตัดใหม่ ไปเลี้ยวเข้ารัชดาภิเษกตรงแยกท้ายซอยอโศก แล้วขี่ตรงขึ้นไปเลี้ยวซ้ายตรงแยกที่ตัดกับพระรามเก้า จะมุ่งขึ้นดินแดง
ตรงเลยแยกไปนิดหมาป่าหยุดที่ระยะ 20 กม.จากบ้านครับ หยุดเพื่อเติมน้ำเติมอาหารซึ่งเป็นขนมปังไส้กรอกที่เมียติดกระเป๋ามาให้
หลักการขี่ 20 กม. หยุดพักดื่มน้ำ 1/3 ของกระติก และพักเดินพักนั่ง 5-10 นาทีนี้ หมาป่าอ่านมาจากกระทู้ของพี่เมธา เปรมแสง เจ้าสำนัก MJ Bike นครปฐม และรวมเลยไปถึงวิธีการใช้เกียร์ยามขึ้นเนินชัน อีกทั้งระยะทางเดินทางไกลต่อวันด้วยครับ หมาป่านับถือพี่เมธาเป็นครูแบบ กศน. ในการขี่จักรยานทางไกล อ่านกระทู้ของพี่แต่ไม่เคยได้เจอตัวกัน แม้ว่าหลักคิดพี่เมธาจะถือว่าเป็นทำนอง Controversial ในเวปนี้ แต่หมาป่าเล็งเห็นว่ามันเหมาะกับตัวหมาป่าครับ ใช้ได้ผลทุกทริปทางไกล รอดมาขี่วันถัดไปตามแผนได้เสมอโดยไม่เสื่อมสภาพ หมาป่าจึงขอมีกฤติกรรมประกาศบูชาครูไว้ ณ ที่นี้....ขอบคุณพี่เมธา เปรมแสงครับ
เส้นทางที่มุ่งหน้าไปนั้นมันเป็นเส้นโลคัลโรดคู่ขนานกับถนนวิภาวดีรังสิต คือถ้าเราขับรถยนต์เราก็มักใช้เส้นวิภาวดีฯขับไปดอนเมือง ต่อไปรังสิตและไปขึ้นสะพานเส้นก๋วยเตี๋ยวเพื่อในที่สุดจะไปอยู่บนสายเอเชียมุ่งขึ้นเหนือผ่านทางเข้าจังหวัดอยุธยา แต่เส้นนี้เป็นเส้นที่ขนานกันไปครับ หมาป่าจะจับเส้นกำแพงเพชร 6 โดยจากดินแดงก็เลี้ยวขวาขึ้นมาตามวิภาวดีรังสิต ขี่ไปเรื่อยเพื่อไปหาเส้นกำแพงเพชร 6 โดยเบี่ยงไปเลี้ยวเข้าตรงเลยวัดเสมียนนารี ขี่ไปสบายๆและเครียดน้อยกว่าการอยู่บนถนนวิภาวดีฯครับ เป็นทางรถวิ่งสวนสองเลนยาวไปไกลครับ
เส้นกำแพงเพชร 6 นี้จะวิ่งขึ้นเหนือทิศเดียวกับวิภาวดีฯ โดยให้นึกว่า ตรงกลางระหว่างกำแพงเพชร 6 และ วิภาวดีฯจะเป็นรางรถไฟ ดังนั้นเราก็วิ่งขนานรางรถไฟไปเช่นกัน อันนี้ช่วยได้เวลาดูแผนที่กูเกิล หมาป่าเปิดแท็บเลตแสตนด์บายไว้ในกระเป๋า คอยดูสถานีรถไฟซึ่งมันจะไล่ขึ้นจากหลักสี่ ดอนเมือง หลักหก คลองรังสิต และรังสิตในที่สุด
แปดโมงสามสิบห้านาทีหมาป่าหยุดพัก 40 กม.ที่สำนักงานเขตดอนเมือง กินหนมปังใส้ไก่ และอาศัยห้องน้ำของสำนักงานเขตทำกิจส่วนตัวบวกล้างหน้าล้างตาล้างข้อพับแขนให้หายเหนียวสดชื่นกันใหม่ เส้นทางที่หมาป่าขี่มานี้ช่วงน้ำท่วมภาคกลางและกรุงเทพก็โดนกันอ่วมครับ คราบน้ำตรงกำแพงเขตนี้ก็พอเห็นร่องรอยได้
พักเสร็จก็จ้วงต่อขนานกับรางรถไฟไป บางช่วงตรงแถวดอนเมืองซึ่งเป็นเขตบ้านพักของทหารอากาศถนนจะถูกแยกจากกันเป็นวันเวย์โดยมีถนนชื่อสกุลของทหารอากาศชั้นผู้ใหญ่ในอดีตเป็นเส้นมุ่งเหนือ และตัวกำแพงเพชร 6 จะกลายเป็นเส้นลงใต้ให้รถวิ่งลงมาฝั่งเดียว ก็ต้องระวังให้ดีครับ ไม่ควรขี่สวนวันเวย์ขึ้นไป แล้วสักพักถนนก็จะกลายเป็นถนนวิ่งสวนบนกำแพงเพชร 6 กันใหม่ ช่วงแถวสถานีรถไปหลักหก คลองรังสิต จะมีร้านรับซื้อขยะและของเก่าอยู่ตลอดเส้นทาง ดูแล้วก็หดหู่นะครับ แดดยามสายร้อนแจ๋แหว คราบน้ำบนกำแพงและบ้านผู้คน ร้านรับซื้อขยะ ถุงปุ๋ย ขวดพลาสติกกองกันเป็นภูเขา แตกต่างจากการขี่ตามป่าเขาเขียวๆในอุทยานแห่งชาติมาก
อีเขียว Kona ของหมาป่าก็ไม่ได้เต็มร้อยแจ๋วแหววเหมือนตอนซื้อมาใหม่เสียทีเดียวหรอกนะครับ ตอนเปิดทริปนี้นั้นวิ่งไปหมื่นกิโลเมตรเศษๆแล้ว ชุดขับเคลื่อนเริ่มสึกหรอ ซึ่งก็จะทำให้โซ่ยืดเร็วกว่าปกติ หมาป่ามีช่างประจำตัวอีเขียวคือช่างน้องหนึ่งผู้อารีย์ในเวป ThaiMTB นี้นั่นแหละครับ น้องหนึ่งเปิดร้านโดยใช้บ้านตนเองอยู่ตรงสุขุมวิท 93 ปากซอย หมาป่าอาศัยแถวอุดมสุขก็เลยผูกปิ่นโตเป็นเจ้าประจำกันไป ความที่หมาป่าขี่ในเมืองเยอะหมาป่าจะใช้จานสองเฟืองเจ็ดเป็นประจำ และมีโรคประจำตัวคือไม่ชอบเปลี่ยนเกียร์ ดังนั้นเฟืองเจ็ดหมาป่าจึงฟันแหลมเป็นฟันหนู แม้ว่าจะสับไปขี่เฟืองหกเฟืองห้าตอนเริ่มออกตัวตามคำแนะนำของน้องหนึ่งบ้าง แต่อาการตอบสนองของเกียร์ก็ไม่ดีเหมือนเดิมแล้ว บางทีสับชิฟเตอร์แต่เกียร์ไม่ยอมเปลี่ยน ต้องสับเลยไปอีกตำแหน่ง แล้วค่อยโยกกลับลงมา หรือบางทีก็เปลี่ยนโดยใช้เวลาร่วมเจ็ดแปดวินาที แบบว่าเกียร์ไม่ให้ความร่วมมือ มีครั้งหนึ่งที่ก้านบันไดมันโยกคลอน ช่างน้องหนึ่งต้องถอดออกมาอัดกระโหลกเข้าไปใหม่ โดยอัดจาระบีให้ด้วยเพราะของเดิมมันแห้งผากด้วยลุยน้ำลุยฝนแล้วไม่เคยถอดเซอร์วิสกันเล๊ย หมาป่าอดใจไม่เปลี่ยนชุดขับเคลื่อน อยากเอามันไปผ่านศึกเชียงใหม่ก่อนแล้วค่อยกลับมายกเครื่องเสียทีเดียว หมาป่าถามน้องหนึ่งว่าด้วยสภาพที่เป็นอยู่นี้น่าจะไปรอดถึงเชียงใหม่ไหม ถามพร้อมจ้องตาเหมือนจะให้น้องหนึ่งตอบว่า “ได้” ดูหน้าน้องหนึ่งแล้วก็ให้นึกถึงตอนเป็นคนไข้ไปถามหมอโรคหัวใจตอนที่ตัวเองมีอาการเจ็บหน้าอกแปล๊บๆ ซึ่งอาจเป็นเพราะนอนน้อย วิ่งสายพานตรวจเส้นกราฟแล้วก็ไม่เจออะไรผิดปกติ คนไข้จะพยายามถามคาดคั้นให้หมอตอบว่าตัวเองจะไม่ตายด้วยโรคหัวใจวายใช่ไหม หน้าหมอกับหน้าน้องหนึ่งอาการคล้ายกันเลยครับ แต่ถ้าเป็นหมอโรคหัวใจนั้นต่อให้คุณเอาปืนจ่อหัว หมอก็จะไม่มีวันตอบว่า “คุณจะไม่ตายด้วยโรคหัวใจวาย” เพราะหมอย่อมรู้ว่ามันมีปัจจัยอื่นอีกตั้งเยอะแยะที่โรคหัวใจจะมาเล่นใครแบบไม่รู้ตัว สำหรับช่างน้องหนึ่งนั้นน้องหนึ่งใจดีกว่าคุณหมอเยอะครับ น้องหนึ่งตอบว่า “ก็น่าจะได้นะครับ” ^^
ย้อนกลับมาขี่กันต่อครับ
หมาป่าขี่ตามถนนกำแพงเพชร 6 ไปจนเห็นสถานีรถไฟรังสิตอยู่ทางขวามือ จากนั้นถนนก็เริ่มสลายตัวกลายเป็นทางโรยกรวด ตอนนี้หมาป่าต้องเริ่มเล็งซ้ายหาทางไปเข้าถนนเลียบคลองเปรมประชากรครับ เห็นมีบ้านคนปลูกในทุ่ง และมีตรอกเล็กๆมีทางยกระดับผ่านบึงน้ำในทุ่งเป็นปูนซีเมนต์ หมาป่าถามคนตรงปากทางว่าเส้นนี้ไปเข้าถนนเลียบคลองเปรมได้ไหม เพื่อยืนยันกับภาพดาวเทียมที่ดูในกูเกิล คุณน้าตอบไปได้จ้า หมาป่าก็ไปครับ ไม่กี่ร้อยเมตรก็มาโผล่หน้าวัดเปรมประชา หักเลี้ยวขวาขี่ขึ้นตามถนนเลียบคลองเปรมประชากร
คลองเปรมประชากรนี้รัชกาลที่ 5 ท่านโปรดเกล้าให้ขุดขึ้นมาเพื่อเชื่อมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นอีกเส้นที่ทำให้ระยะทางระหว่างกรุงเทพและอยุธยาใกล้ขึ้น เพราะคลองมันขุดตรงไม่คดเคี้ยวเหมือนแม่น้ำ และยังช่วยเปิดพื้นที่สองฝั่งคลองเป็นพื้นที่เกษตรเพื่อให้คนทำนาได้อีกด้วย
ถนนเลียบคลองมันก็ตรงเหมือนคลองแหละครับ จะมีโค้งซ้ายโค้งขวาบ้างก็ไม่ฉกรรจ์ จากรังสิตก็ต่อไปเข้าเขตจังหวัดปทุมธานี ถนนสองเลนรถวิ่งสวนแต่รถไม่เยอะ มีบ้านเรือนไร่นาไปตลอดทาง หมาป่ามาหยุดพัก 60 กม. ตรงตำบลบ้านปทุม อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี กินกะเตี๋ยวหมูสองชาม พร้อม RC Cola อีกหนึ่งขวด ร้านเป็นบ้านเปิดเป็นร้านกะเตี๋ยว ตอนนั้นสักสิบโมงเศษๆเห็นจะได้ แต่ก็กินไว้ก่อนล่ะครับ จะได้ไม่หิว กินกะเตี๋ยวคนไทยจะไม่เหมือนกะเตี๋ยวคนจีนที่ขายในเมืองใหญ่ กะเตี๋ยวบ้านๆใส่ลูกชิ้นกับหมูสับมีกุ้งแห้งตัวเล็กๆโรย ชื่นใจไปอีกแบบ ลูกชิ้นไม่เลิศรส แต่โดยรวมก็โอเคครับ รวมถึงตอบคำถามว่าจะขี่ไปไหนและยิ้มรับกับคำชมพร้อมตาโตๆของคนในร้าน
จากร้านกะเตี๋ยวก็ขี่ไปง่ายๆครับ ขี่เลียบคลองไปเรื่อยๆ ไม่มีทางหลง ถนนเลียบคลองเปรมนี้จะผ่านจังหวัดปทุมธานีขึ้นไปจังหวัดอยุธยา ขี่ไปจนสุดถนนก็จะเจอถนนอีกเส้นดูจากแผนที่ดาวเทียมมันจะให้เราเลี้ยวซ้ายไปอ้อมโรงงานกระดาษ หมาป่ามองจากแผนที่แล้วถนนมันเหมือนถุงเท้าเด็กเกิดใหม่เป็นกระเปาะ อ้อมแล้ววกขึ้นเหนือเราจะเห็นถนนสาย 347 อันใหญ่โตอยู่ด้านซ้ายมือ มองขึ้นเหนือเห็นสะพานข้ามแม่น้ำ ความจริงจะเอาจักรยานจูงข้ามถนน 6 เลน ไปตั้งหลักขี่ขึ้นสะพานก็คงได้ แต่ปริมาณรถที่หนาแน่น บวกกับความเร็วเกินร้อยกันเกือบทุกคัน หมาป่าจึงขี่ไปลอดใต้สะพานกลับมาวกเข้า 347 ขาขึ้นแทนครับ ปลอดภัยสบายใจกว่าเยอะ
ขี่ขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำตามสาย 347 คราวนี้อยู่บนซูเปอร์ไฮเวย์สมบูรณ์แบบ รถวิ่งกันเร็ว ขี่ไปจนเข้ากม.ที่ 80 ตรงใกล้ๆกับศูนย์ศิลปาชีพเกาะเกิด ร่องรอยของน้ำท่วมนั้นชวนสลดมากกว่ากรุงเทพเยอะเลยครับ ป้ายบอกระยะทางข้างทางหลวง ป้ายขาวตัวหนังสือสีดำที่บอกว่าอำเภอหรือจังหวัดข้างหน้าอีกกี่กิโลนั้น คราบน้ำมันสูงถึงตัวป้ายนั่นแน่ะครับ ถ้าตอนน้ำท่วมหมาป่าขี่ลุยน้ำได้ลึกขนาดนั้นก็หมายความว่าระดับน้ำบนทางหลวงที่ยกพื้นสูงอยู่แล้วจะมิดหูหมาป่าทีเดียว ต่อให้มีแรงขี่ฝืนน้ำก็ขี่ไม่ได้เพราะมิดหูก็มิดปากมิดจมูกด้วย หายใจไม่ได้ก็ขี่จักรยานไม่ได้
แวะพักตรงร้านขายข้าวผัดริมทางอีกรอบตอนอีกยี่สิบนาทีเที่ยง กินข้าวผัดหมูพร้อมกับคุยเรื่องน้ำท่วมกับแม่ค้า พี่แกบอกว่าน้ำมาเร็วมาก แกเอารถเก๋งหนีขึ้นสาย 347 แต่รถตายแหงกอยู่ตรงหน้าศูนย์ศิลปาชีพ น้ำมาทั้งทุ่ง พี่เขาจมน้ำอยู่ร่วมเดือน มีหมาหลงมาอาศัยอยู่ด้วย ก็อยู่กันไปตามประสายาก น้ำลดก็ต้องเอาเงินเก็บมาซ่อมแซม ประตูเหล็กหน้าร้านโดนคลื่นพัดจนพัง ตู้แช่ตู้โชว์เปลี่ยนใหม่หมด โดนกันถ้วนหน้า
ร่ำลาพี่เขาแล้วขี่ต่อไปสาย 347 ต่อ เส้นนี้มันจะปาดข้างตัวเมืองอยุธยาตรงทิศตะวันตก ในขณะที่สายเอเชียจะปาดข้างทิศตะวันออก หมาป่าจะไปหาทางแยกตัดเข้าถนนสาย 309 ครับ เป็นเส้นที่จะพาสู่จังหวัดอ่างทองผ่านทุ่งนา บ้านคน และโรงงานอุตสาหกรรมเป็นระยะ สองเลนรถวิ่งสวน รถไม่มาก
เรื่องแดดนั้นละไว้เสียก็ได้นะครับ เป็นตัวประกอบร่วมไปตลอดทาง ทั้งทริปนี้ไม่มีวันไหนไม่มีแดดเลย ร้อนกันซะหัวจาย ซันบล๊อกทาแล้วก็ช่วยไม่ให้ผิวแสบ แต่ไม่ช่วยลดความดำ หมาป่าสายตาสั้นแต่ก็ต้องใช้แว่นกันแดดแบบฉาบสีดำ ไม่หาญกล้าขี่แบบไม่ใช้แว่นกันแดด กลัวตาเสียน่ะครับ หมาป่าบางวันใช้เสื้อยืดสีขาวเนื้อไม่หนา เย็นลงถอดเสื้อหลังก็ยังดำด้วยน่ะครับ เพราะรังสีแดดมันทะลุผ่านเนื้อผ้าเข้ามา
ขี่มาถึงแยกตัดระหว่างสาย 309 และ 347 หมาป่าแวะพัก 100 กม.ที่วัดกุฏีลาย วัดอยู่บนสาย 309 ไม่ไกลจากแยกนัก วัดเล็กๆมีศาลาหน้าวัดทรงเก่าสัดส่วนสวย พอให้ได้หลบแดดดื่มน้ำกันครับ แต่ในตัววัดนั้นท่านเจ้าอาวาสท่านเทปูนบนลานจนขาวโพลนสะท้อนแดดได้ดีเหลือเกิน หาร่มไม้แทบไม่มีเลย หมาป่ายังนึกในใจว่าตอนหน้าเกี่ยวนั้นลานวัดจะใช้ตากเมล็ดข้าวเปลือกช่วยชาวบ้านลดความชื้นพืชผลเพื่อให้ได้ราคาดีขึ้นหรือเปล่า กินน้ำกินท่าเสร็จหิวกาแฟสดขี่ต่อมาอีกห้าหกกิโลเจอแผงขายกาแฟสดตรงหน้าร้านเซเว่นอีเลฟเว่นริมทาง ได้กินกาแฟสดเสียที การเดินทางบนถนนเส้นรองนั้นจะมีข้อด้อยตรงที่ว่าไม่มีปั๊มน้ำมันใหญ่ๆแบบที่มีร้านขายกาแฟสดนะครับ ออกจะอัตคัตขาดแคลนอยู่ สั่งแบบคนกรุงเทพว่าอเมริกาโนร้อน น้องคนขายก็เติมนมมาให้เสียอย่างนั้น หมาป่าไม่จู้จี้ก็กินเข้าไปครับ แต่นึกในใจว่าคราวหน้าต้องสั่ง “กาแฟดำร้อน”
ทางเส้น 309 นี้ยามต้นเดือนกุมภาสวยงามครับ นาข้าวสวยบาดใจ ช่วงแถวอำเภอป่าโมกข์มีการทำถนน ถนนต่างจังหวัดมักเป็นยางมะตอย หมาป่าจะสยองขวัญกับยางมะตอยด้วยว่ามีกินใจกันมาตั้งแต่ซ้อมขี่ทางไกลไปกาญจนบุรี ตอนนั้นขี่ไปแถวกำแพงแสน เจอทางที่เขาเตรียมไว้ราดยางมะตอยหมาป่าเห็นว่าตัวพื้นถนนมันไม่ร้อนด้วยตัวยางมะตอยหลักยังไม่ถูกราดแต่เขาจะมีน้ำยาสีน้ำตาลฉาบผิวถนนที่ถูกเกรดปรับทางเป็นลูกรัง หมาป่าก็ขี่ทับเส้นทางราดน้ำยานั่นมาเรื่อย สักพักสังเกตได้ว่าเจ้ายานั่นล่ะตัวดีเพราะมันมีความเหนียวในตัวและมาเกาะที่ตัวยาง แถมยังดึงพวกกรวดมาติดในร่องยางจนเต็มไปหมด ขี่ๆไปกรวดก็จะดีดมาโดนบังโคลนดังแป๊ะๆเหมือนเสียงข้าวโพดคั่ว รองเท้า กระเป๋าข้าง ติดกรวดติดยางเต็มไปหมด หมาป่าต้องขี่ลุยเข้าไปในพงหญ้าข้างทางเพราะหวังจะให้หญ้ามันสีเอากรวดเอาน้ำยาออกไปจากยางให้หมด แต่ไม่ได้ผลครับ กลัวยางเสียจะแย่ มาได้ผลตอนเจอฝนเจอทางเปียก น้ำมันชะน้ำยาและกรวดออกไปหมด รอบนี้เจอกันอีกที่อ่างทองก็ขอห่างครับ ขี่ไปอีกฝั่งไปย้อนศรตรงขอบทางแทน ไม่เอาอีกแล้ว พ้นจุดทำถนนค่อยข้ามมาขี่ฝั่งซ้ายกันใหม่
ขี่ไปครบร้อยยี่สิบกิโลเมตรหมาป่าก็แวะกินข้าวหมูกรอบอีก (สังเกตว่าทริปนี้หยุดไม่ได้ หยุดเป็นกิน กลัวหมดแรง) แล้วก็ขี่ผ่านตัวอ่างทองหาป้ายไปสิงห์บุรี คืนนี้หมาป่ากะจะนอนที่สิงห์บุรีครับ เรายังเกาะเส้น 309 อยู่ แต่พอเลยจากตัวเมืองอ่างทองแล้ว เส้น 309 มันจะตัดมาเลียบกับคลองชลประทาน เลียบไปตลอดทางถึงสิงห์บุรี คลองชลประทานอยู่ด้านซ้ายมือของถนน ส่วนด้านขวามือก็เป็นวัด เป็นหมู่บ้าน แต่ถัดไปจากวัดจากบ้านคนก็คือแม่น้ำเจ้าพระยาที่ขนานอยู่กับคลองชลประทานไหลเรียงตัวกันมาตลอดจากเขื่อนชัยนาทที่อยู่เหนือขึ้นไป หมาป่าจะขี่สวนแนวคลองขนาบแม่น้ำนี้ไปจนถึงสิงห์บุรีครับ ตรงคลองชลประทานนี้จะมีสะพานข้ามคลองเป็นระยะ หมาป่าแวะพัก 140 กม. ถ่ายรูปตรงสะพานข้ามคลองที่อยู่ตรงข้ามทางเข้าวัดละมุดสุทธิยาราม (ชือวัดแปลกดี)
สังเกตว่าป้ายบอกหลักกิโลเมตรตอนออกจากอ่างทองมันจะเพี้ยนนิดหน่อยครับ แบบว่าก่อนถึงอ่างทองจะบอกตัวเลขว่าอีกกี่กม.จึงจะถึงสิงห์บุรีด้วยตัวเลขชุดหนึ่ง แต่พอออกจากอ่างทองก็เหมือนตัวเลขมันถูกบวกไปอีก 20 กม.เสียอย่างนั้น หมาป่าไม่แน่ใจว่าตัวเลขไหนถูก รู้แต่ว่าสำหรับคนที่ขี่รถมาทั้งวันและพอเริ่มเย็นดันเห็นตัวเลขเพิ่มอีก 20 กม.ก็จะใจเสียนิดหน่อยเพราะไม่อยากขี่ตอนที่แสงอาทิตย์ลับฟ้าแล้ว ถึงจะมีไฟติดรถก็รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยครับ
ตอนเย็นอย่างนี้จะพบชมรมนักปั่นจากสิงห์บุรีขี่กันเป็นกลุ่มมาตามถนนเลียบคลอง ส่วนใหญ่เป็นเสือหมอบครับ หมาป่ายกมือตะเบ๊ะทักทายตามธรรมเนียมพึงปฏิบัติ ขี่มาจนเลขไมล์สะสมของทริปขึ้นที่ 160 กม. ตอนห้าโมงห้าสิบนาที แสงเริ่มน้อย แต่ก็อุ่นใจเพราะป้ายบอกกม.บอกว่าอีก 6 กม.ก็จะถึงสิงห์บุรีแล้ว พักกินน้ำแล้วก็ขี่ต่อเพื่อเตรียมหาที่พัก
ทริปนี้หมาป่าตั้งใจว่าจะเลือกพักตามพวกบังกาโลที่ติดพื้นดิน จะไม่พักตามโรงแรมที่เป็นตึกสูงเพราะว่าขี้เกียจหอบรถและสัมภาระขึ้นบันไดไปไว้ในห้องพัก จะให้ทิ้งรถไว้ด้านล่างนั้นไม่เอาแน่นอน เพื่อนกัน...หมาป่านอนไหน อีเขียวก็ต้องนอนนั่นไม่มีทิ้งกัน ขี่เข้าตัวเมืองสิงห์บุรีก็มองหาป้ายพวกบังกาโลหรือโรงแรมม่านรูดแต่หาไม่เจอครับ ไปขี่วนย่านดาวน์ทาวน์ที่เป็นตลาดมีขายอาหารสำเร็จและผลไม้ มองหาคนขายของที่เป็นผู้ชาย แต่ว่าต้องเลือกที่ไม่มีเมียอยู่ด้วย จะได้ถามสะดวกปากว่ามีม่านรูดไหนที่พักได้บ้าง กลัวพี่เขาตอบแล้วจะโดนเมียค้อนน่ะครับ วนไปวนมาเจอรถขายผลไม้มีคนขายที่คุณสมบัติตรงกับที่ตั้งใจไว้เลยถาม พี่เขาบอกให้ขี่ย้อนขึ้นไปทางทิศออกจากเมืองลงไปทางใต้นิดหน่อย จะมีซอยข้างปั๊มน้ำมันให้เลี้ยวเข้าซอย จะมีโรงแรมม่านรูดประจำจังหวัดอยู่ ความจริงแกก็บอกให้เข้าพักที่รีสอร์ทที่เป็นบังกาโลนะครับ แต่มันต้องขี่ออกไปไกล เลยเลือกโรงแรมม่านรูดดีกว่า ซอยมืดมากครับ ขี่ไปก็เสียวไปว่าทำไมมันมืดขนาดนี้ แต่สักพักก็เจอโรงแรม ถัดโรงแรมไปหน่อยก็จะเป็นถนนในย่านชุมชนที่อยู่ ไฟสว่าง ผู้คนคึกคัก ก็เข้าใจว่าม่านรูดมันคงต้อง่หลบๆในซอย โจ่งแจ้งนักเดี๋ยวไม่มีลูกค้า แวะซื้อเบียร์สี่กระป๋องเพื่อฉลองการขี่วันแรก แล้วค่อยเข้าเช็คอิน โรงแรมโทรมมากครับ ค่าห้องค้างคืนราคา 300 บาท กิจการดำเนินโดยคุณลุงคุณป้าที่มีหมาเป็นเพื่อน เดินเข้าไปจ่ายเงินกับรับผ้าเช็ดตัว น้องหมาเห่ากันตรึม แอร์เย็นตามสมควร แต่มุ้งลวดขาดต้องเอาม่านบังไว้กันยุงเข้า
หมาป่าถ่ายรูปมาให้ดูกันกับที่พักคืนแรก ห้องพักและห้องน้ำนั้นสปาตันมากครับ ตัวห้องน้ำฝักบัวไม่มี มีแต่สายยางต่อกับก๊อกน้ำให้นั่งยองๆอาบ ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นรูท่อที่พื้น รูนี้มันต่อกับถังส้วมน่ะครับ คงไว้ใช้ดูดส้วมด้วย กลิ่นไม่แรงนักแต่ที่แย่คือกลางดึกมันจะมีแมงส้วมออกมาเกาะเต็มผนังห้องน้ำไปหมดเลย หยะแหยงพอสมควร ฮ่าฮ่าฮ่า ใช้ห้องน้ำเสร็จก็ต้องปิดประตูไว้ ไม่อยากให้แมงส้วมมันตามเข้าไปตอมหน้าตอมตาในห้องนอน เข้าห้องแกะถุงสัมภาระเปิดแอร์จิบเบียร์เพลินๆ พอครึ้มก็เข้าไปนั่งยองๆอาบน้ำกันไป ดีที่น้ำไม่ค่อยเย็นเท่าไหร่ ขี่มาร่วมร้อยเจ็ดสิบกิโล ลำบากนิดหน่อยหาได้ทำให้หมาป่าท้อได้ไม่ครับ ซักกางเกงขี่จักรยาน (แบบมีสองชั้นไม่โชว์รัดหำ)และเสื้อยืด ผึ่งตากบนจักรยาน กิน เบียร์หมดสี่กระป๋องหมาป่าก็นอน หมาป่าคงทำบุญมาดีในชาติก่อนเพราะว่าเป็นคนหลับง่ายมาก ต่างที่ต่างทางก็ไม่ใช่ปัญหา หลับตาไม่เกินสองนาทีก็หมดสติครับ
เช้าวันที่สองของการเดินทาง หมาป่าตื่นประมาณเจ็ดโมงเศษๆ ไม่รีบร้อนเพราะวันนี้กะไปแค่นครสวรรค์ซึ่งทางไม่ไกลนัก ขี่ไปหาข้าวเช้าและกาแฟกินในตัวเมือง แล้วก็จ้วงต่อเลียบคลองชลประทานเส้นเดิมขึ้นชัยนาทด้วยทางหลวง 309 ยามเช้ารื่นรมย์ แดดยังไม่แรงนัก ขี่ผ่านวัดกระดังงาบุปผารามแล้วอดใจไม่ได้ต้องแวะครับ วัดนี้ยังเก็บต้นยางใหญ่ไว้ด้านหน้าวัดร่มรื่นมาก ต้นยางนานี้เสกลมันสูงใหญ่ให้ความสงบทางจิตใจนะครับ ตัววัดด้านหลังติดแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งสมัยที่ยังไม่มีถนนคนต้องสัญจรมาวัดทางน้ำด้านที่ติดแม่น้ำ ด้านที่เรียกว่าท่าหน้าวัด แต่พอมีการตัดถนนคนเลยใช้ถนนแทนแม่น้ำ ด้านหลังวัดก็เลยกลายเป็นหน้าวัดแทน วัดอื่นๆพอมีถนนเขาจะตัดต้นไม้ที่เคยปลูกหลังวัดเปิดทางให้เห็นตัววัดง่ายขึ้น แต่วัดนี้ไม่ตัดมันก็เลยดึงดูดให้แวะเข้ามาพักใต้ร่มยาง เดาจากวิหารที่กำลังซ่อมหลังคานี่วัดนี้น่าจะมีมาตั้งแต่ครั้งอยุธยานะครับ น่าจะเป็นอยุธยาตอนกลางด้วยซ้ำเพราะผนังข้างวิหารยังเจาะเป็นช่องมะหวดอยู่เลย สมัยนั้นเทคโนโลยีการก่อสร้างยังไม่เอื้อให้เจาะช่องหน้าต่างใหญ่แบบโบสถ์วิหารยุคหลังที่มีพวกฝรั่งเข้ามาสอนวิธีก่อสร้างให้เจาะช่องได้กว้างขึ้นแล้ว
เสร็จจากวัดก็ขี่ต่อไปพักที่ 190 กม. (ไมล์ทริปสะสม) ที่อินทร์บุรีหาน้ำเกลือแร่กินสักประมาณ 10.30 น. ขี่ต่ออีก 20 กม.ไปพักกินข้าวกลางวันที่ตลาดอำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท ก่อนถึงอำเภอนี้จะมีตำบลชื่อโพนางดำตก อ่านผ่านๆแล้วนึกว่าดำดก ชวนจั๊กจี้ มีต้นตาลเยอะจนสังเกตได้เลยครับมีแผงขายลูกตาลถี่เชียว ที่ตลาดสรรพยานี่หมาป่าแวะซื้อกิ๊ปหนีบผ้าแบบโลหะแทนอันพลาสติกที่เมียให้ติดตัวมา เพราะตัวพลาสติกมันเป็นของถูกเฮงซวย หยิบมาสี่ตัว หนีบแล้วมันจะหักติดมือไปสามตัว ของถูกแต่ใช้ไม่ทนนี่พวกพ่อค้าไม่รู้จะผลิตกันมาทำไม...รกโลก ตากผ้าบนรถนี่ห้อยกันตรงคานบนกับผึ่งตรงตะแกรงหลัง เสื้อยืด กางเกง กางเกงใน ถุงเท้า พอบ่ายต้นก็แห้งสนิทครับ หมาป่าซักผ้าทุกวันครับ เข้าโรงแรมก็จิบเบียร์ไปซักผ้าไป
ก่อนเข้าตัวเมืองชัยนาทตามเส้นทาง 309 เราจะถึงเขื่อนเจ้าพระยาก่อนครับ เสียงน้ำไหลผ่านประตูน้ำดังซู่ซ่าตลอดเวลา
ขี่เข้าตัวชัยนาทไมล์ขึ้น 230 กม. หมาป่าไม่ได้พักอะไรมาก แค่หากาแฟสดกิน เติมน้ำในกระติกแล้วก็ขี่ต่อครับ ช่วงบ่ายนี้แดดแรง ลมแรง หมาป่าเลือกใช้เส้นพหลโยธินเก่าจากชัยนาท ยังไม่ตัดตรงไปสายเอเชียแต่ในท้ายสุดมันก็จะไปบรรจบกับสายเอเชียก่อนถึงนครสวรรค์อยู่ดี แดดแจ๋แหว ขี่ตามลมบ้างต้านลมบ้าง ระหว่างทางที่มีแยกตรงอำเภอจอดรถรอไฟแดงมีเด็กนักเรียนนั่งรถบัสไปทัศนศึกษากัน หมาป่าก็ยังถูกทักว่าเป็นชาวต่างชาติทำนองว่าฮัลโหล เฮ้ยูอยู่ สงสัยว่าการขี่จักรยานที่แม้จะมีการขี่กันอย่างแพร่หลายทั่วประเทศ แต่ถ้าขี่แบบทัวริ่งคนเดียวนี้ยังมีภาพลักษณ์ว่าจำกัดที่วงฝรั่ง วงญี่ปุ่นอยู่นะครับ พอหันไปยิ้มบอกหวัดดีจ้า เด็กๆก็หัวเราะยิ้มและโบกมือให้เสียงเซ็งแซ่ ขี่ถนนเส้นใหญ่แต่รถยังไม่เยอะมากนักเพราะคนไปใช้สายเอเชียกันเป็นหลัก ชัยนาทเป็นจังหวัดที่ต้องตั้งใจแวะเข้ามา ซึ่งคนมักไม่ค่อยเข้าหรอกครับ หากจะไปทางเหนือก็ตัดขึ้นนครสวรรค์เร่งขึ้นกำแพงเพชรหรือขึ้นพิจิตรพิษณุโลกแทน
ระหว่างทางวันนี้ออกจะล้านิดหน่อย หมาป่าเชื่อว่าเป็นเพราะถนนใหญ่ลมมันแรง วันก่อนหน้าหมาป่าใช้ถนนเส้นรองขี่ที่จาน 3 เฟือง 7 เป็นหลัก แต่พอเข้าเส้นพหลโยธินต้องเกร็งหน้าท้องมากขึ้นเพื่อส่งแรงไปยังขา มีเนินชันบางช่วงก็เหนื่อย หมาป่าเลยสับลงเฟือง 6 ให้ขาเบาลงนิดนึง พักยี่สิบกม.ก็ควักพวกโอรีโอขึ้นมากินเพิ่มน้ำตาลในเลือด พวกขนมนี้ถ้าให้เลือกหมาป่าชอบกล้วยตากครับ มันไม่หวานเกินไป กินแล้วหนักท้องดีด้วย หมาป่ามักเลือกแบบไม่ฉาบน้ำผึ้ง คือตากกันแห้งๆ ดีที่กินแล้วมันจะไม่เหนียวติดมือน่ะครับ น้ำในกระติกเป็นของมีค่าไม่อยากเจียดมาล้างนิ้วมือ
หมาป่าเคยคิดว่าขี่บนถนนใหญ่จะเสียวรถบรรทุก แต่ซูเปอร์ไฮเวย์ในเมืองไทยนี้มีไหล่ทางใหญ่ดีมากจริงๆนะครับ ขี่ตอนแรกนึกว่าเจ้าไหล่ทางมันคือเลนถนน หมาป่าก็ไปขี่เลาะอยู่ตรงด้านข้างริมๆตั้งเป็นสิบกม. จนมาสังเกตได้ว่าจริงๆมันคือไหล่ทาง ขี่ไปเถอะ รถบรรทุกเขาไม่เข้ามาแน่นอน และรถบรรทุกบางคันยังใจดี เบี่ยงออกจากเลนซ้ายสุดให้อีกแน่ะครับ ถ้าพูดถึงมารยาทการขับรถ รถบรรทุกนั้นมารยาทดีสม่ำเสมอทุกเส้นทางนะครับ สมัยที่ขี่ไปเมืองกาญฯนั้น ครั้งแรกที่เจอรถบรรทุกวิ่งอยู่ข้างๆ หมาป่าก็เกือบซวย รถบรรทุกวิ่งผ่านฟืบไปหมาป่าก็นึกว่าตอนนี้โล่งแล้วก็จะเบี่ยงออกขวาอีกนิดให้สบายตัว แต่รถบรรทุกส่วนใหญ่มักจะมีรถพ่วงตามท้ายมาด้วย รถพ่วงมันเลยผ่านหูไปให้สะดุ้งสุดตัว ตั้งแต่นั้นเห็นรถบรรทุกในกระจกมองข้างก็จะคิดเผื่อไว้ในใจเสมอว่าพี่เขาพ่วงมา เป็นจริงเจ็ดในสิบคันเสมอ
ขี่ไป 270 กม. ก็ไปจอดพักตรงศาลาฝั่งตรงข้ามทางเข้าคลังแสงทหารก่อนถึงนครสวรรค์ จากนั้นอีก 20 กม.ก็จะถึงนครสวรรค์ครับ ตอนนี้ล้าเพิ่มขึ้นเพราะแดดเพราะลมตลอดทั้งบ่าย แถมก่อนถึงสะพานข้ามแม่น้ำเข้าตัวเมืองยังมีเนินชันให้ได้จ้วงขึ้นกันอีก พ้นเนินเฮือกก็เจอสะพาน รถติดยาวเป็นสายดังภาพ ไม่รู้คนอื่นเป็นเหมือนหมาป่าไหมนะครับ หมาป่าไม่เคยนึกชอบจังหวัดนครสวรรค์ (ขอโทษเสือนครสวรรค์ด้วยใจจริง) คือภาพที่นึกในหัวคือจังหวัดที่ร้อนฉิบหาย ไปถึงทีไรก็ต้องเจอรถติด แล้วก็จะนึกถึงถนนที่กำลังก่อสร้างมีฝุ่นคลุ้งอยู่ชั่วนาตาปี มองไปที่ภูเขาในเมืองก็เห็นต้นไม้แห้งๆ ไม่มีความเขียว ไปแล้วก็อยากรีบผ่านไปให้พ้นทุกทีไป....อันนี้เป็นความรู้สึกที่ติดในใจเสมอ ชาวนครสวรรค์คงนึกด่าในใจ อิอิ แต่ความจริงมันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ว่าเสมอไปหรอกครับ เดี๋ยวนี้ถนนก็เสร็จหมดแล้ว จังหวัดไหนๆก็ร้อนนนนนเหมือนกัน แต่รถติดเนี่ยยังไงก็แก้ไม่หายครับ อย่างว่าจังหวัดนี้เป็นชุมทาง รถรามันก็ต้องเยอะเป็นธรรมดา
หมาป่ามาหยุดพักที่รีสอร์ทตรงทางที่จะออกจากเมืองไปทางเส้นกำแพงเพชร ชื่อบ้านสวนรีสอร์ท ราคารวมอาหารเช้า 540 บาท สภาพห้องพักดีกว่าโรงแรมม่านรูดที่สิงห์บุรีมากจริงๆ เหมือนขึ้นสวรรค์กันปานนั้น ไมล์ไปหยุดที่ 290 กม. สรุปวันที่สองนี้ขี่ไปราวๆ 120 กม. น้อยกว่าวันแรกห้าสิบกม. ตอนใกล้ค่ำหมาป่าไปขี่วนตรงชุมชนที่มีแผงขายอาหารกะว่าจะหาข้าวเย็นกิน เห็นแผงขายบะหมี่ก็อยากกินบะหมี่แห้ง แต่ว่าซื้อกลับห้องไม่ได้เพราะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้เอาอุปกรณ์การกินติดตัวมาด้วย จะขอตะเกียบหรือช้อนติดไปเขาก็ไม่มีให้ หมาป่าเลยตัดสินใจไม่กินซะงั้น กะไปกินขนมขบเคี้ยวที่ติดตัวที่ห้องแทน ไม่ยอมนั่งกินที่ร้านด้วย นึกในใจว่าทริปหน้าต้องไม่ลืมพวกช้อนและตะเกียบยัดใส่กระเป๋ามา แวะซื้อเบียร์ซิงฮา 4 กระป๋อง แล้วเข้าห้องซักผ้ากินเบียร์ชื่นใจ กินของจุ๊บจิ๊บ เล่นเนตด้วยแทปเลต สักสี่ทุ่มก็หลับสบายครับ ^^
เช้าวันที่สามของการเดินทาง วันนี้ตั้งใจง่ายๆว่าจะขี่จากนครสวรรค์ทะลวงผ่านไปถึงจังหวัดตาก ค่ำที่ไหนก็นอนที่นั่น ตื่นเช้ากินอาหารเช้าที่รีสอร์ทเสร็จพร้อมออกเดินทางตอน 7.30 น. ขี่ทางราบไปเรื่อยๆ ทางสายเอเชียมีรถวิ่งตลอดเวลาไม่มีเหงาครับ
พัก 310 กม. ที่หน้าโรงเรียนศรีพูลราษฏร์สามัคคี
พัก 330 กม. ที่หน้าภูเขาเลยแยกไปอำเภอบรรพตพิสัย
ช่วงระหว่างทางนี้ขี่ผ่านร้านขายไก่กระบองหลายร้าน เลยคิดว่าซื้อไก่กับข้าวเหนียวติดรถไปเป็นอาหารกลางวันท่าทางจะดี ซื้อมันหนึ่งตัวเลย กินเหลือก็เอาเก็บไว้กินตอนบ่ายๆได้อีก เลยแวะร้านหนึ่งมีแม่ค้าและลูกชายวัยซน ทักทายถามไถ่ร้องอู้หูขี่รถคนเดียวขึ้นเชียงใหม่กันตามสมควร เจ้าหนูเดินไปเล่นที่รถด้วยเพราะธรรมชาติเด็ก ขี่ออกมาพบว่ากระจกมองข้างโดนบิดเสียเบี้ยวมีขี้มือเด็กติดให้มัวอีก ต้องพักจัดกันใหม่นิดหน่อยครับ ขี่รถหมาป่าติดมีกระจกมองข้างน่ะครับ โดยเฉพาะในกรุงเทพถ้าไม่มีเนี่ยไม่กล้าขี่ครับ ไม่มั่นใจ
พอถึง 350 กม. ก็พักกะว่าจะกินไก่ครับ พักตรงศาลารอรถข้างทาง ข้างศาลามีถนนรพช.ตัดเข้าไป ตรงข้างศาลามีแผงขายข้าวโพดต้ม มีแม่ค้าหนึ่งคนกับคุณตาแก่ๆท่าทางเป็นลูกจ้างแม่ค้านั่งอยู่ด้านหลังแผง หมาป่าคาดการณ์ความอร่อยของไก่กระบองผิดไปครับ ไก่กระบองเจ้านี้เนื้อมันจะชุ่มฉ่ำมีน้ำมันมาก ไม่ได้ย่างแห้งๆแบบไก่โคราชหรือไก่ย่างจิระพันธ์ เผลอๆหมาป่าว่าแม่ค้าเอาน้ำมันทาทับตอนย่างเติมเข้าไปอีก บวกกับกลิ่นเครื่องเทศที่หมาป่าไม่ค่อยคุ้น นั่งจกกินสักพักก็อิ่มล้นๆอยู่ตรงคอ ทั้งข้าวเหนียวทั้งไก่เหลืออีกเพียบ หมาป่ากินไปได้สัก ¼ ตัวเท่านั้นล่ะครับ เริ่มคิดว่าถ้าเอาไก่ติดไปกลางทางและมีน้ำมันมันย่องขนาดนี้ เจอแดดมีหวังไก่บูดแน่นอน หมาป่าเสียดายไม่อยากทิ้งของให้เปล่าประโยชน์ เหลือบมองแม่ค้าข้าวโพดต้มก็คิดว่าได้การล่ะ เรามอบไก่ให้แม่ค้ากินน่าจะดีกว่า ก็เลยเดินไปคุยบอกว่าให้ไก่ แม่ค้ามองหน้าหมาป่าดูเนื้อดูตัวแล้วออกอาการเหมือนไม่อยากรับ แกบอกว่าหมอไม่ให้กินของมัน หมาป่าก็แหยๆว่าเอไหงดันมาเจอแม่ค้าโคเลสเตอรอลสูงเสียล่ะนี่ เลยเดินเข้าไปนั่งยองๆคุยกับคุณตาลูกจ้างว่าคุณตาเอาไหม ผมให้ครับ ระหว่างคุณตาอิดออด แม่ค้าก็พูดว่าเอาล่ะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวซื้อไว้ก็ได้ หมาป่าเลยถึงบางอ้อน่ะครับ คือแม่ค้าแกคงคิดว่าคนขี่จักรยานคนนี้พยายามขายไก่ให้แก แกไม่อยากกินเลยบอกว่าหมอให้งดของมัน แต่ความที่แกสงสารเพราะเห็นเข้าไปพยายามจะ (ขาย) ให้คุณตาแกก็เลยออกปากว่าจะซื้อก็ได้ ฮ่าฮ่าฮ่า หน้าตาเนื้อตัวและรถของหมาป่าคงดูซำเหมาสิ้นดี แม่ค้าเลยนึกว่าต้องขายไก่หาเงินเดินทาง ต้องอธิบายกันว่าเปล่าจ้า ไม่ได้ขาย ให้เก็บไว้กินไม่คิดเงินจ้า แม่ค้าก็เลยรับไว้ แกจะให้หมาป่าเอาข้าวโพดไปกินกลางทางอีกแน่ะครับ ต้องบอกว่าอิ่มแล้วจ้า กลัวข้าวโพดบูดด้วย ซึ้งน้ำใจแม่ค้าจ้า ขอไม่เอานะจ๊ะ แล้วก็ร่ำลาอวยชัยให้พรกันออกมาน่ะครับ
อาห์....ใครขี่จักรยานถึงเขตจังหวัดกำแพงเพชรคงต้องถ่ายรูปตรงนี้กันเป็นที่ระลึกเสียหน่อย
พัก 370 กม.ที่ศาลาตรงข้ามโรงเรียนคลองขลุงราษฏร์รังสรรค์ เจอรถสิบล้อทะเบียนเชียงรายจอดอยู่ พี่คนขับรถกับเมียนั่งแกะดอกไม้แดงกันอยู่ สอบถามได้ความว่าดอกที่ว่าคือดอกงิ้ว คือศาลามันอยู่ใต้ต้นงิ้วออกดอกสีแดงออกส้มเต็มเลยครับ พี่เขาเลยเอารถไปจอดใต้ต้นแล้วเก็บดอกมาแกะเอาเกสรจะเอาไปตากแห้ง ดอกงิ้วนี้พอแห้งแล้วเขาเอาไปใส่ในขนมจีนน้ำเงี้ยวครับ ท่าทางจะได้เยอะเพราะแกะกันเป็นอุตสากรรมหนักเลยเชียว
พัก 390 กม. ที่ปั๊มเชลล์ตรงแยกไตรตรึงษ์ แวะซื้อน้ำเกลือแร่ เติมน้ำเย็น ซื้อผ้าเย็น พร้อมกับทายากันแดดรอบสองของวัน เด็กปั๊มเป็นชาวพม่าเพิ่งเข้าทำงานใหม่ พูดไทยไม่ค่อยคล่องเลยต้องจิ้มเครื่องคิดเลขบอกราคากันไป
วันที่สามนี้หมาป่าขี่แบบสบายๆ ไม่เหนื่อยมาก ทางก็ราบเรียบ พอเลยทางแยกเข้าเมืองกำแพงเพชรก็แวะพัก 410 กม. แล้ว มาพักกินข้าวเย็นมื้อหลักก็ตรง 430 กม. ร้านเขาชื่อร้านครัวเห็ดก่อนถึงอำเภอโกสัมพีนครสัก 3-4 กม. อาหารนี้ถ่ายรูปสีน่าจะดีกว่า เป็นต้มยำไก่บ้านใส่เห็ดฟางกับไข่เจียวจานใหญ่ แต่ไม่มีเบียร์ หมาป่าไม่กินเบียร์ตอนขี่ครับ กลัวเครื่องน๊อค มาคนเดียวน๊อคไปเดี๋ยวจะยุ่ง ออกจากร้านตอนห้าโมงเศษดูแผนที่แล้วกำลังจะเข้าเขตจังหวัดตากที่อำเภอวังเจ้า ก็คิดว่าจะพักค้างที่อำเภอล่างสุดที่ต่อกับกำแพงเพชรในคืนนี้แหละ
วันที่สามนี้จบที่ 443 กม. รวมระยะทางประมาณ 150 กม.นับจากรีสอร์ทที่นครสวรรค์ พักที่บังกาโลชื่ออรทัย คืนละ 350 บาท ราคานี้รู้สึกจะเป็นราคามาตรฐานของที่พักริมทางนะครับ แบบมีห้องแอร์ น้ำอุ่น และทีวีให้ดูในห้อง ซักผ้ากินซิงฮาแล้วก็เข้านอนตอนสามทุ่มเศษ