หน้า 1 จากทั้งหมด 3

หมาป่าเดียวดายกับ "ความไม่รู้" เรื่องเขาใหญ่

โพสต์: 05 ก.ย. 2011, 12:56
โดย a lone wolf
มันเหนื่อยครับ เหนื่อยเหมือนที่มีคนหลายคนบอกเอาไว้
หมาป่าเดียวดายต้องรอร่วมสองเดือนนั่นล่ะครับกว่าความเหนื่อยจะคลายแล้วก็สรุปทริปมาสู่กันฟัง....

สองเดือนที่แล้ว วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฏาคม ถ้าจำกันได้ก็วันเลือกตั้งทั่วไปทั้งประเทศเพื่อหาผู้แทนเข้าสภาและหารัฐบาลใหม่กัน
หมาป่าเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำวันเสาร์ กินอาหารแป้งเยอะๆ สัมภาระใส่กระเป๋าข้างเรียบร้อยไว้ตั้งแต่ก่อนนอน
ตื่นเช้าอาบน้ำอาบท่าอาราธนาคุณพระคุณเจ้าแขวนคอ แล้วก็ขี่จักรยานไปโรงเรียนข้างๆบ้านที่เป็นหน่วยเลือกตั้ง
เข้าคิวรอหย่อนบัตรครับทั้งสส.เขตและสส.สัดส่วน ไปถึงแปดโมงสิบห้านาทีนี่ก็คิวยาวพอควรแล้วล่ะครับ
เวลาใส่หมวกกันน๊อคจักรยานยืนรอคิวเลือกตั้งนี่ก็มีคนมองดูเยอะเช่นกัน ดูโดดเด่นกว่าชาวบ้านเขา
แต่ตอนตรวจบัตรประชาชนนั่นก็ถอดนะครับ กลัวเจ้าหน้าที่เขาไม่ยอมให้เลือกตั้งเพราะใส่หมวกแล้วดูเทียบกับบัตรประชาชนลำบาก
หย่อนบัตรเสร็จ ล้อก็เริ่มหมุน แต่หมุนไปร้านข้าวหน้าเป็ดก่อน กินข้าวเช้าเรียกแรงตามธรรมเนียม

ภารกิจขึ้นเขาใหญ่นี้ถือเป็นการฝึกซ้อมเดินทางไกลก่อนจะขี่ขึ้นเชียงใหม่ไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพตามที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำให้สำเร็จในปี 2554 นี้
คนกรุงเทพนั้นหาภูเขาซ้อมไม่ได้ จะขี่ขึ้นที่จอดรถบนตึกออฟฟิศ รปภ.เขาก็ไม่อนุญาตด้วยกลัวว่าจะไปทิ่มกับรถยนต์ที่วิ่งสวนทางลงมา แล้วอีกอย่างมันก็คงไม่เหมือนกับขี่ขึ้นเขาจริงๆ
ช่วงขึ้นดอยขุนตาลตรงลำปาง และสำคัญสุดช่วงขึ้นดอยสุเทพ หมาป่าจึงจำต้องมาขี่ที่เขาใหญ่นี้ก่อน ไม่งั้นคงไม่หาญกล้าขี่ไปเชียงใหม่โดยไม่ซ้อมอย่างแน่นอน

จบข้าวหน้าเป็ดพร้อมกับน้ำมะตูมแช่เย็นหมาป่าปั่นจากถนนเฉลิมกระเกียรติฯแถวสวนหลวง ร.9 ไปเส้นทางคุ้นชินเข้าอ่อนนุชไปทางพระจอมเกล้าลาดกระบัง แล้วยิงยาวไปทางถนนฉลองกรุงมุ่งสู่อำเภอหนองจอกครับ
ทริปนี้หมาป่าอาศัยว่าเป็นคนฝั่งตะวันออกของกรุงเทพอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจะไม่ไปทางรังสิตและนครนายก แต่จะไปที่จังหวัดปราจีนผ่านทางฉะเชิงเทรา
เส้นทางสบายๆที่หนองจอกที่เคยมาขี่ครั้งหนึ่งแล้วและเคยผจญภัยเล็กๆในทริปร้อยกิโลทริปแรกที่เคยเขียนสรุปไว้
หนองจอกตัดเข้าทุ่งมุ่งตะวันออกไปตามถนนเทศบาลเข้าสู่อำเภอบางน้ำเปรี้ยวของจังหวัดฉะเชิงเทรา
ทุ่งนา ทุ่งนา และทุ่งนา สลับด้วยบ้านคน
แดดไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ครับ หมาป่าเลี่ยงสาย 304 ด้วยถนนเทศบาล แล้วไปเข้า 3841 ต่อด้วย 3481(เลขใกล้กันจัง) ช่วงบางน้ำเปรี้ยว จะมุ่งหน้าไปอำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี

ขี่ไปพอเที่ยงปั๊บ ร้านอาหารกลางทุ่งก็โผล่มาทันที เป็นอาหารไทยภาคกลางแนวสวนอาหาร ชื่อร้าน “ลูกทุ่ง”
ความจริงก่อนหน้าที่จะมาเที่ยงที่นี่ก็มีร้านอาหารมาตลอดทาง แต่เกือบทุกร้านจะเป็นอาหารมุสลิมครับ
แถวหนองจอก บางน้ำเปรี้ยว พี่น้องชาวไทยมุสลิมมีเยอะ ร้านอาหารมุสลิมก็เลยเยอะไปด้วย
หมาป่าไม่ถนัดข้าวหมกไก่ หรือซุปหางวัว ด้วยจมูกไม่คุ้นกับรสเครื่องเทศครับ
มื้อเที่ยงนี้ ข้าวสวยร้อนๆ ไข่เจียวหมูสับ กับต้มยำปลาช่อนใส่เห็ดนางฟ้า จิบโค้กอีกขวด เฮ่อ ไปได้อีกยาวล่ะ

ถนนในวันเลือกตั้งนี้รถน้อยดีนะครับ เพราะผู้คนคงไม่ค่อยเดินทางไกลบนถนนข้ามจังหวัดกัน
หมาป่าใช้จาน 3 เฟือง 6 ขี่ไปเรื่อยๆ ยี่สิบกิโลเมตรก็พักเสียที ลมตีบ้างสปีดก็อยู่แถว 20-25 กม.ต่อชม.
ตอนเริ่มเข้าปราจีนบางช่วงจะมีต้นไม้เขียวๆครึ้มอยู่ข้างทาง ไหล่ทางแคบ แต่ก็ขี่ได้สบายดีไม่หวาดเสียวครับ
ถึงอำเภอบ้านสร้างนั้นหมาป่าจำเป็นต้องแวะเข้าไปวนในตลาดในอำเภอครับด้วยว่าหิวกาแฟสดเต็มกำลัง
แต่แปลกครับ ทั้งตลาดบ้านสร้างไม่มีร้านไหนขายกาแฟสดเลย
ไปได้กินกาแฟตรงร้านใกล้แม่น้ำ แต่ก็เป็นเนสกาแฟชงกับน้ำตาล...ดีกว่าไม่มีกินครับ

กินกาแฟเสร็จ หมาป่าก็ยังวนรถในตลาดเพื่อหาเครื่องดื่มเกลือแร่กิน กลัวตะคริวน่ะครับ
เจอร้านตู้แช่ซื้อสปอนเซอร์หนึ่งขวด เจ้าของร้านเขาเปิดทีวีไว้ ตอนนั้นหลังบ่ายสามโมงสักห้านาที
โอววว์แม่เจ้า สรยุทธกำลังสัมภาษณ์อาจารย์สถาบันที่ทำเอ็กซิทโพลล์ และรายงานข่าวเป็นระยะ
โพลล์นั้นก็บอกว่าสามร้อยขึ้น โพลล์นี้ก็บอกว่าสองร้อยเก้าสิบห้า
เฮ่ออออออออออ .....เฮ่ออออออออออออ
ขี่มาเกือบร้อยโลจากสวนหลวงร. 9 อีกแค่ยี่สิบกว่าโลจากบ้านสร้างไปถึงอำเภอเมืองปราจีนเนี่ย หมาป่ารู้สึกว่าช่วงนี้เหนื่อยที่สุด ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ใจทดท้อ กายก็อ่อนเปลี้ย ฮ่าฮ่าฮ่า

ออกเดินทางจากบ้านสร้างด้วยใจที่สลาย มีฝนตกพรำๆเล็กน้อยเพื่อพรางน้ำตาหมาป่า
บางช่วงหยุดพักตรงศาลารอรถหน้าโรงเรียนยังได้ยินเขาขานเสียงนับคะแนนเลือกตั้งกันจ๋อยๆ

ช่วงนี้หมาป่าเริ่มพบหมาเยอะขึ้นครับ หมาไทยเฝ้าบ้านเฝ้าสวนนี่แหละครับ
มันออกมาไล่เห่าไล่กวดหมาป่าหลายช่วงครับ ประมาณว่าขี่ผ่านนี่มันแง่งมันวิ่งใส่กันจัง
ดังนั้นการตรวจการณ์หน้าต้องแม่นยำ
เพราะโดนหมาไล่ขย้ำบนถนนเลนสวนแบบสองเลนนี่เสียวรถที่วิ่งตามมาข้างหลังเป็นที่สุด
พอเห็นหมาหนึ่งหรือสองตัวออกมารับลมหน้าทางเข้าบ้านที่ริมถนน
หมาป่าก็หยุดดูรถหน้ารถหลังและขี่ข้ามไปอีกฝั่งของถนน ไปขี่ย้อนศรตรงนั้นจนกว่าจะผ่านบ้านที่หมาออกมานั่ง หมาป่าจึงจะข้ามถนนกลับมาขี่ชิดด้านซ้ายอีกที
หมามันฉลาดครับ มันจะไม่วิ่งข้ามถนนมาไล่กัดเราเช่นกัน...เพราะมันก็กลัวรถยนต์ที่วิ่งมาด้วยความเร็วร้อยกว่าเหมือนๆกับเรา มันคงคิดว่าเสี่ยงแล้วไม่คุ้ม มัวแต่ไล่ลืมมองรถ ตายฟรี

ขี่ไปเรื่อยๆก็เจอถนนเส้นที่จะเข้าเมืองปราจีน หมาป่าเลี้ยวซ้ายแล้วลอดใต้สะพานรถข้าม ไปเส้นทางข้ามแม่น้ำที่ไม่ต้องขึ้นสะพานรถข้ามดังกล่าว มันมีเส้นเลาะๆไปครับ ไปข้ามแม่น้ำได้เช่นกัน แล้วก็เข้าตัวเมืองปราจีนเลย

ตอนนั้นสี่โมงกว่าแล้วล่ะครับ ฝนพรำ ยังครับหมาป่ายังไม่ขึ้นเขาใหญ่ในวันนี้ดอกครับ
หมาป่าจะไปนอนที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง ที่ขออนุญาตไม่บอกชื่อ ในเวปเขาบอกว่าอยู่ในอำเภอเมือง
ในแผนที่ของรีสอร์ทดูเหมือนไปง๊ายง่าย ขี่สักห้านาทีจากดาว์ทาวน์ของเมืองก็น่าจะถึง
แต่ชีวิตไม่ง่ายเหมือนแผนที่ในเวปนะครับ
หมาป่าถามพี่คนขับวินมอเตอร์ไซค์เขาบอกว่าอยู่นอกเมืองออกไปอีกสิบกว่ากิโล
อยู่แถวถนนที่เขาขายส่งไม้ดอกไม้ประดับกันครับ เมืองปราจีนนี้มีตลาดค้าส่งต้นไม้ยาวเป็นหลายกิโลเมตรครับ
อยู่นอกเมืองออกไปอีก คนปลูกต้นไม้ก็จะปลูกกันแล้วมีหน้าร้านอยู่บนถนนสายนั้นรอให้มีพ่อค้ามารับไปซื้อไปขายปลีกต่ออีกที
หมาป่าก็ขี่อีกแล้วล่ะครับมุ่งไปหารีสอร์ทด้วยใจที่ทดท้อหลังจากพอจะทราบผลเลือกตั้งทั่วไป

โทรไปถามทางคนที่รีสอร์ทด้วยเพราะแผนที่ที่เขาให้นั้นหยาบมาก (ภาษาของยายหมาป่าแบบบ้านบ้าน จะบอกว่า “หยาบเป็นหีเป็ดเชียว”) ดูแล้วถ้าไม่เคยไปมาก่อนนี่จะดูไม่ออกเลยครับ เสกลผิด แทบไม่บอกถนน ไม่บอกทิศทางกันเอาเสียเลย ต้องใช้ปากถามคนครับ ถามไปเรื่อย
มันก็ไปได้นะครับ แดดเริ่มลดความแรงลง ฝนหยุด แต่หมาไม่หยุดครับ
หมาป่ายังคงเจอหมาเป็นระยะ ขี่ไปก็ต้องคอยตรวจการณ์ ชะลอรถ บีบเบรกและตวาดหมา
ไม่หนีไปขี่อีกฝั่งของถนนเพราะคราวนี้ถนนแคบรถใช้ความเร็วไม่เยอะ หมามันคงวิ่งข้ามถนนมาหาแน่
หมาป่าใช้วิธีมองหน้า ถ้ามันยังวิ่งใส่ก็บีบเบรก ตะโกนใส่หน้ามัน ก็รอดมาได้นะครับ แต่เหนื่อยว่าขี่แบบเพลินๆไม่ได้เท่านั้นเอง
ถึงรีสอร์ทตอนสักห้าโมงเย็นเห็นจะได้ มีหมาป่าเป็นแขกรายเดียวของวันนั้น
ห้องนอนราคา 600 บาท มีแอร์ มีโทรทัศน์ แต่ไม่มีน้ำอุ่น สภาพค่อนข้างโทรมน่ะครับ
แอร์ไม่เย็นเอาเสียเลย หมาป่าถึงที่พักเอารถเก็บในห้อง อยากกินข้าวเย็นแต่อย่างที่บอกว่าวันนี้มีหมาป่าเป็นแขกรายเดียวครัวปิด น้องที่รีสอร์ทแนะนำให้ไปหาข้าวกินที่ตลาดนัดที่เพิ่งขี่ผ่านมาสักสามร้อยเมตรก่อนถึงประตูรีสอร์ท
ไปก็ไปครับ ได้ข้าวเหนียวกับไก่ทอดมากินให้หนักท้องเข้าไว้
อยากกินเบียร์เป็นที่สุดเพื่อฉลองว่าขี่มาถึงปราจีน และพรุ่งนี้จะได้ขึ้นเขาใหญ่แล้ว แต่จนใจว่ามันเป็นวันเลือกตั้งน่ะครับ ไม่มีใครขายเบียร์หมาป่าเลย....แต่ในประเทศไทยเรานี้ เรื่องแค่นี้ไม่ใช่อุปสรรคดอกครับ
หมาป่าขี่กลับมารีสอร์ทและกระซิบบอกน้องคนที่เฝ้าห้องรับรองหมาป่าว่า พี่อยากกินเบียร์แต่เขาไม่ขายกัน หนูหาให้พี่ได้ไม๊
น้องเขายิ้มแล้วถามว่าพี่อยากได้กี่ขวดล่ะคะ ลีโอหรือช้าง หมาป่าบอก สิงห์ เอามาสองขวดนะจ๊ะ น้ำแข็งไม่ต้อง หนูมีขายในรีสอร์ทนี้หรือ? น้องบอกไม่มีหรอกคร่า...แต่เดี๋ยวจะลองหาดูแถวๆนี้แหละคร่า
เรื่องราวหลังจากนั้นก็คิดต่อกันเอาเองนะครับ เลยไม่อยากจะบอกชื่อรีสอร์ทน่ะครับ

นอนไม่ค่อยหลับครับ แอร์มันไม่เย็น นึกในใจว่าทำไมแอร์มันเก่านักหว่า
ขี้เกียจเปลี่ยนห้องกลางดึก จนเช้าตื่นมาตอนจะเก็บของออกเดินทางไปตีนเขาใหญ่นั่นแหละครับถึงได้รู้ว่าสวิทช์แอร์มันมีปัญหา มันเปิดแต่พัดลม แต่คอมเพรสเซอร์ไม่ทำงาน พอหมาป่าไปขยับสวิทช์คอมเพรสเซอร์ก็ครางกระหึ่มทำงานขึ้นมา เฮ่อ หลงโง่อยู่ทั้งคืนนิเรา

วันนี้สินะที่จะขี่ขึ้นเขาใหญ่ สัมภาระที่หมาป่าใส่มาในกระเป๋า Pannier ทั้งสองใบนั้นเลียนแบบการขึ้นเชียงใหม่ที่เป็นเป้าหมายใหญ่อันทำให้เกิดมีการฝึกซ้อมในครั้งนี้
เสื้อผ้า เสบียง อุปกรณ์ซ่อมรถเบื้องต้น หนังสือ โซ่หนักสองกิโลพร้อมกุญแจเพื่อล๊อกรถ (โซ่นี้หมาป่าเลือกแบบใหญ่มาก เพื่อให้โขมยหันไปเล็งจักรยานคันอื่นที่โซ่เล็กกว่าแทน มัวมานั่งเลื่อยโซ่ของหมาป่าเนี่ยอาจไม่คุ้ม อิอิ) อีจุ๊กอีจิ๊กทั้งหลายรวมกันแล้วเกินสิบกิโลกรัมครับ รวมทั้งเผื่อที่ไว้ใส่ขวดน้ำสำรองด้วยเพราะว่าลำพังขวดน้ำที่ติดรถหมาป่าเกรงว่าจะไม่พอสำหรับขึ้นเขาใหญ่ซึ่งอาจมีร้านขายน้ำข้างทางขายน้อยในวันจันทร์แบบนี้
หมาป่ามีกางเกงขี่จักรยานแบบบุฟองน้ำรองก้นอยู่แค่สองตัว แบบแบบกางเกงผ้ายืดชั้นในแล้วมีผ้าชั้นนอกเย็บทับเป็นเหมือนกางเกงลำลองอีกชั้น (หมาป่าไม่ชอบกางเกงจักรยานชั้นเดียวแบบรัดและโชว์หำครับ มันระทึกใจเกินไป) เลยต้องมีการซักตอนกลางคืนที่ห้องน้ำในรีสอร์ท ผึ่งไว้พอเช้าก็ยังเปียกอยู่ เอาไปพาดไว้บนตะแกรงหลังรถ พบว่ามันก็ไม่ค่อยแห้งเท่าไรดอกครับ มีชื้นหมาดๆแม้จะขี่ขึ้นเขาใหญ่ทั้งวัน อันนี้เป็นบทเรียนในการเตรียมตัวขึ้นเชียงใหม่เช่นกันว่ามีสองทางเลือกคือ หากางเกงเพิ่ม หรือหาวิธีผึ่งเสื้อให้มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ (ใครมีทิปส์ในการตากผ้าบนจักรยานระหว่างขี่ช่วยแนะนำจักเป็นพระคุณยิ่งครับ)

หมาป่าขี่ออกจากรีสอร์ทแต่ไม่ได้ย้อนกลับเข้าไปทางตัวเมือง
หากมุ่งไปอีกทางสู่วงเวียนทางขึ้นเขาใหญ่ที่มีทางตัดมาจากนครนายก มีศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
อากาศยามเช้าสดใส กลิ่นยางไม้ลอยอวลอยู่ในอากาศบริสุทธิ์สูดได้เต็มปอด
มุ่งมาทางวงเวียนนี่จะมีผ่านค่ายทหาร และมีเนินน้อยๆเป็นระยะ ไม่หนักหนาครับ
หมาป่าขี่มาแวะตรงปั๊มปตท.ใกล้กับวงเวียนเพื่อเรียกความสดชื่นด้วยกาแฟสด หมาป่าตัวนี้วาสนาตัดไม่ขาด นอกจากเสพเบียร์แล้วยังต้องเสพกาแฟสดด้วยครับ เติมด้วยอามาซอนร้อนสักแก้วเพราะรู้ว่าวันนี้โอกาสหากาแฟสดกินบนเขาใหญ่คงใกล้ศูนย์เพราะเป็นวันธรรมดาร้านค้าคงไม่ค่อยเปิดแน่นอน
จากนั้นหมาป่าขี่วนรอบวงเวียนมุ่งขึ้นสู่ด่านเขาใหญ่
รีสอร์ท บ้านเรือนผู้คน ร้านค้าอยู่เต็มสองฝั่งทาง จากนั้นก็ค่อยๆน้อยลงเรื่อยๆ
ถนนสายสวยสายสงบพามุ่งสู่ทิวเขาทะมึนครึ้มเขียวอยู่เบื้องหน้า วันธรรมดานี้สงบจริงๆนะครับ
ทัวร์ริ่งโครโมลี่อีเขียว Kona Sutra ของหมาป่าทำงานไปตามที่ถูกออกแบบมา
น้ำหนักของรถที่ค่อนข้างเยอะบวกกับสัมภาระที่จาน 3 เฟือง 6 ทำให้การ Cruise ยอดเยี่ยมได้ฟีลลิ่งและนำความสงบเข้าสู่จิตใจ
ยามสายลมรำเพยพัดผ่านหูและวงแขน มีมอเตอร์ไซค์ของเด็กนักเรียนอาชีวะชายหญิงที่คงโดดเรียนแซงไปบ้างสองสามคัน ช่างเป็นบรรยากาศแสนสบาย ขี่ไม่เหนื่อยเลยครับ

หมาป่าแวะเข้าเช็คอินที่รีสอร์ทตีนภูเขาใหญ่ชื่อ เขาใหญ่แกรนด์วิวรีสอร์ท สภาพดีกว่ารีสอร์ทเมื่อคืนมากมาย หากนั่งมองจากระเบียงจะเห็นทิวเขาใหญ่เขียวทะมึนเบื้องหน้าสมกับชื่อรีสอร์ทจริงๆครับ
เช็คอินไว้ก่อน แต่ไม่ได้เอาสัมภาระเก็บด้วยต้องการให้ร่างกายรับน้ำหนักใกล้เคียงกับการขึ้นดอยขุนตาล น้ำหนักสัมภาระที่ติดรถนั้นหมาป่าคัดแต่ของจำเป็นเพื่อการฝึกซ้อม น้ำติดรถขวด 800 ซีซี หนึ่งขวด น้ำดื่มสำรองขนาด 500 ซีซีอีกสามขวด ส่วนน้ำหนักความผิดหวังจากผลการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวาน หมาป่าทิ้งไว้เบื้องหลัง..... แล้วก็ขี่ออกมาจากเขาใหญ่แกรนด์วิว


ตอนขี่ออกมาจากเขาใหญ่แกรนด์วิว เลี้ยวขวามุ่งขึ้นประตูด่านเขาใหญ่ฝั่งปราจีน (ด่านเนินหอม) ตอนนั้นประมาณสิบโมงเศษๆครับ แดดเริ่มแรงขึ้น
จ้วงไม่กี่ทีจากปากทางรีสอร์ทก็ถึงด่านครับ
ค่าเข้าอุทยานของผู้ใหญ่ 40 บาท ค่ารถจักรยานอีก 20 บาท พี่คนขายตั๋วฉีกตั๋วให้แบบไม่ต้องถามไถ่เพราะคงคุ้นเคยกับคนขี่จักรยานขึ้นเขาใหญ่เป็นอย่างดี
หมาป่าเริ่มจ้วงขึ้นเนิน โอ้วววววววว์ แม่เจ้า กรมป่าไม้ควรย้ายบู๊ธขายตั๋วมาตั้งตรงพื้นราบก่อนถึงตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบันสักร้อยเมตรจักดีกว่านี้มากเลยครับ จะได้มีแรงส่ง.....
หงษ์ทองไม่เคยรักใครจริง แรงดึงดูดของโลกก็ไม่เคยรักใครจริงเช่นกัน
คนที่ขี่จักรยานพื้นราบมาต่อเนื่องยาวนานเริ่มรับรู้ถึงความทรงพลังของมวลโลก
ความเร็วลดต่ำลงอย่างน่าตกใจ ที่น่าตกใจมากกว่าคือไม่นึกว่ามันจะมาเร็วขนาดนี้
จาน 2 เฟือง 7 เริ่มถูกลดลงมาเหลือเฟือง 4 เสียงดังแต๊กๆๆ เพื่อให้ผ่านเนินแรกนี้ไปได้น่ะครับ ....”ใจต้องนิ่ง” หมาป่าบอกตัวเอง

ถ้าจำกันได้หัวเรื่องของสรุปทริปนี้คือ “ความไม่รู้เรื่องเขาใหญ่” หมาป่าขอเข้าเรื่องครับ
หมาป่าเสริชกระทู้เก่าๆเพื่ออ่านเรื่องเส้นทางสู่ปราจีนและการขี่ขึ้นเขาใหญ่
เสริชมาหลายกระทู้มากครับ จับความได้ว่าส่วนใหญ่นักจักรยานก็ขึ้นถึงเขาใหญ่กันได้ไม่ยากเย็นเกินไป
มีอยู่ท่านหนึ่งเขียนไว้ว่า..... “มันยากสุดก็แค่สองเนินแรกนั่นแหละ และพอเลยน้ำตกเหวนรกไปแล้วก็เริ่มขี่สบายแล้ว”
หมาป่าจำข้อความนี้ได้ติดหัวติดใจ และเก็บไว้บอกตัวเองครับ
ไม่ได้หาข้อมูลอะไรเพิ่มเติมอีก

หมาป่าจ้วงที่จาน 2 เป็นหลัก ความเร็วจะอยู่แถวสิบกว่า พอมันเริ่มลดลงมาถึงประมาณ 5 กม.หรือ 4 กม. ต่อชั่วโมง ตำแหน่งขาขนานพื้นก็จะสับเฟืองลงต่ำมาอีกหนึ่งตำแหน่งเพื่อให้มีกำลังต่อไปได้อีก เพราะความเร็วดังกล่าวรถก็จะเริ่มนิ่ง พยายามไม่กดตอนถีบลูกบันไดกลัวโซ่ขาดแบบที่มีการเตือนเอาไว้
งานนี้ห้ามหยุดกลางเนินเด็ดขาด เพราะหยุดแล้วต้องเข็นอย่างเดียว สตาร์ทต่อตรงกลางเนินด้วยการถีบไม่ไหวแน่นอน
หมาป่าพูดในใจตลอดครับ “มาเพื่อชนะ ไม่ได้มาเพื่อเข็น” “มาเพื่อชนะ ไม่ได้มาเพื่อเข็น” “มาเพื่อชนะ ไม่ได้มาเพื่อเข็น” พูดอยู่เกินยี่สิบครั้งแน่นอนครับ ฮ่าฮ่าฮ่า

หยุดพักครั้งแรกที่ยอดเนินไหนก็ไม่รู้ จอดรถไว้ฝั่งซ้ายของถนน ซึ่งแดดมันร้อน
หมาป่าเดินถือกระติกน้ำมาอีกฝั่งซึ่งร่มกว่า “เอ๊ะ น้ำค้างยอดไม้มันตกหรือไงหว่า ฝนก็ไม่มีนิ” หมาป่าสงสัยบรรยากาศรอบตัวเอง เพราะว่าน้ำมันหยดลงมาโดนแขน หยดแหมะๆลงกางเกง “เอ๊ยย์ นี่มันเหงื่อตูเองนี่หว่า” เหงื่อหยดติ๋งๆแบบนี้น่ะครั้งหลังสุดมันยี่สิบกว่าปีมาแล้วครับ ที่เขาชนไก่ตอนเรียนมหาลัยปีหนึ่ง ตอนที่เขาให้แบก ปลย 88 เอ็มวันกาแรนด์ วิ่งขึ้นตีฐานข้าศึกบนเนินยอดเขาตอนสิบโมงเช้า มันหยดกันระดับนั้นเชียว
กินน้ำเสร็จ ก็จ้วงกันต่อ
รถที่ผ่านทางทั้งขับตามและสวนในช่วงสายวันจันทร์อย่างนี้มีน้อยมากครับ ส่วนใหญ่เป็นรถปิคอัพ
ใจนั้นบอกตัวเองว่าสองเนินเท่านั้นน่า จากนั้นก็จะสบายขึ้น เพราะเพื่อนในเวปเขาบอกไว้อย่างนั้นนิหน่า
ขี่ต่อไปอีก “มาเพื่อชนะ ไม่ได้มาเพื่อเข็น” ก็พร่ำบอกตัวเองในใจกันไป
ขาลงเนินก็ค่อยสบายหน่อย ขาขึ้นก็จ้วงกันไป
บางช่วงถนนลอดใต้ต้นไม้ครึ้ม ความชื้นทำให้ผิวถนนมีตะไคร่ ล้อจักรยานเวลาขี่บนตะไคร่ทางชันเนี่ยมันมีอาการฟรีนิดๆลื่นปื้ดๆพอให้ตกใจครับ
บางช่วงพักนอกจากกินน้ำก็งัดกล้วยตาก และขนมจันอับที่เมียห่อให้ขึ้นมากิน
งานนี้ไม่มีมื้อหนักพวกผัดกระเพราราดข้าวกล่อง เพราะกะว่าจะไปกินที่ที่ทำการ พระเจ้าตากตีเมืองจันทน์ทุบหม้อข้าวก่อนเข้าตีอย่างไร หมาป่าก็กะตีเขาใหญ่แบบนั้นล่ะครับ

มีช่วงหนึ่งพักบนยอดเนินเหมือนเดิม รถปิคอัพทะเบียนปราจีนวิ่งผ่านแล้วเขาคงเห็นอาการถือกระติกน้ำพร้อมยอมรับความเป็นจริงในชีวิตของหมาป่าแล้วตีความผิด พี่เขาชะลอรถเพื่อจะถามว่าโอเคมั๊ย มึงจะให้กูจอดรับไม๊? ก็ได้แต่ยิ้มและโบกมือยกสัญญานว่าโอเคจ้า ไปเหอะพี่ น้องยังไหว
ไหงน้ำตกเหวนรกมันไกลนักน๊อ?? หมาป่ารำพึงในใจ แล้วไอ้ยอดเนินสองเนินที่บอกว่าโหดที่สุดแล้วหลังจากนั้นจะสบายมันผ่านมาอ๊ะยังหว่า??? ไหงตูไม่ค่อยสบายอย่างที่เขาบอกแฮะ นี่มันก็หลายเนินแล้วนา
รถ Kona Sutra อีเขียวของหมาป่ามี 27 เกียร์ครับ มีบางจุดที่สับลงมาถึงจาน 1 เฟือง 2 แล้ว
หมาป่าตั้งสัตย์ปฏิญานตนไว้ในใจครับว่า ให้หนักยังไงก็ตาม จาน 1 เฟือง 1 นั้นจะไม่ยอมใช้เด็ดขาด
เป็นทหารก็จะบอกว่ากระสุนนัดสุดท้ายในแมกกาซีนนี้จะเก็บไว้ยิงตัวเองยามจนตรอก ไม่ยอมให้ข้าศึกจับเป็นเด็ดขาด
มันเป็นเกียร์จิตวิทยาน่ะครับ ..... หลอนจิตตัวเองว่า ยังไงก็ยังมีเกียร์เหลือ สบายใจได้น่ะหมาป่าเอ๊ย

โอว ความพยายามอยู่ที่ไหน น้ำตกเหวนรกก็อยู่ที่นั่นน่ะครับ
ในที่สุดหมาป่าก็มาถึงทางเข้าน้ำตกจนได้ แวะเข้าไปด้วยความสบายใจขึ้นมาเฮีอกหนึ่ง เพราะถึงน้ำตกเหวนรกแล้วอีกไม่นานก็คงถึงที่ทำการ (อย่าเพิ่งหัวเราะครับ หมาป่ารู้ว่าบางท่านเริ่มหัวเราะแล้ว)
หมาป่าเข้าไปเยี่ยว กินน้ำกินท่าอีกครั้ง เดินไปที่ด่านเฝ้าปากทางเดินเท้าเข้าน้ำตก
คุยกับพี่ผู้หญิงที่เฝ้าด่านอยู่ แกะกล้วยตากแบ่งให้พี่เขากิน พี่เขาอิดออดบอกว่าเป็นเบาหวาน
หมาป่าบอก เอาเหอะน่าคุณพี่ กินชิ้นสองชิ้นน้ำตาลมันยังไม่ทันขึ้นดอก พี่เขาเลยสนองอยากให้
พี่แกปอกลูกแก้วมังกรให้กินระหว่างคุยกันด้วยนะครับ หมาป่าก็สนองคุณเช่นกัน
คุยกันจุ๊กจิ๊กบอกว่าเนี่ยจริงๆผมอยากขี่ขึ้นยอดเรดาห์เขาเขียวด้วยน่ะนา แต่ดูสภาพตัวเองกว่าจะมาถึงน้ำตกแล้วก็คิดว่ารอบนี้ต้องปล่อยให้ยอดเขาเขียวรอไปก่อน คงไม่มีปัญญาแน่นอน เพราะคนเขาบอกว่ามันชันกว่าทางขึ้นเขาใหญ่ปกติมากมาย แรงที่เหลือคงไม่พอแล้วล่ะพี่
พี่เขาบอกว่า ต้องแข็งแรงนะคะคุณ เคยมีคนหนุ่มๆขึ้นไปแล้วหัวใจวายตายเลยค่ะ หมาป่าสยองเลยล่ะครับ พี่เขายังบอกต่ออีกว่าตรงปากทางขึ้นเขามีเครื่องวัดหัวใจไว้บริการด้วยนะคะ หมาป่างงงงว่าวัดยังไงหว่าแต่ไม่ได้ถามต่อ แต่เชื่อว่าคงไม่ได้จับวิ่งสายพานอ่านเส้นกราฟประสิทธิภาพของหัวใจแน่นอน

ปล. วันธรรมดาร้านอาหารที่น้ำตกเหวนรกไม่เปิดขายนะครับ จะไปหวังกินข้าวที่นี่เนี่ยไม่มีนะครับ บอกไว้สำหรับท่านที่จะขี่ตามรอยหมาป่ามา

ร่ำลาคุณพี่เฝ้าทางเข้าน้ำตกเสร็จก็ขี่ต่อด้วยใจที่มีเฮี่ยวมีแฮง เพราะนึกว่าเดี๋ยวสักพักก็จะถึงที่ทำการอุทยานแล้ว เออเว๊ยเขาใหญ่มันก็ไม่ได้ยากเกินพิชิตนี่หว่า
ฮ่าฮ่าฮ่า ความไม่รู้บางทีก็ฆ่าคน แต่ความไม่รู้ของหมาป่านี้กลับกระทำคุณให้ครับ
หมาป่าเสริชเน็ตตั้งเยอะ แต่ดันไม่ได้ศึกษาว่าเส้นทางเขาใหญ่จากปราจีนขึ้นไปถึงที่ทำการนั้นมันยาว 33 กิโลเมตร
และน้ำตกเหวนรกนับจากด่านเนินหอมนั้นมันแค่ 9 กิโลเมตร ยังต้องไปต่ออีกยี่สิบกว่ากิโล บนทางขึ้นเขาลงเนินขึ้นเนินลงเขาต่อไปเรื่อยๆ
หมาป่าคิดในใจตลอดว่า สองเนินแรกหินสุด ถึงน้ำตกเหวนรกแล้วสบาย ....เดี๋ยวสักพักก็ถึงที่ทำการ
ถ้าหมาป่ารู้ระยะทางแบบที่เขียนข้างบน บอกตามตรงครับว่าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะทำภารกิจนี้สำเร็จหรือเปล่า?
ขี่รถทางไกล ใจสำคัญที่สุดครับ ใจท้อกายก็ไม่สู้ไปด้วย

เรื่องมันดำเนินต่อไปซ้ำเหมือนที่เล่ามาแหละครับ ท่องบ่นในใจว่าไม่ได้มาเพื่อเข็น ใช้เกียร์ต่ำสลับสูงกันไปเรื่อย
มีบางช่วงหมาป่าเหนื่อยจนตาลายครับ เห็นหมีขออยู่ข้างทางตรงหางตาด้านขวา
ทำไมต้องเป็นหมีขอ ทำไมไม่เป็นหมีควาย หรือเป็นกวางเป็นเก้งเป็นสมเสร็จก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ
ช่วงจ้วงหายใจหอบเหงื่อหยดนั่น เห็นสัตว์ตัวไม่ใหญ่สีดำหางงอๆ อยู่ด้านขวาตรงไหล่ทาง สมองบอกตัวเองว่าเป็นหมีขอ แต่หันไปดูก็ไม่เห็น ก็แน่ชัดว่าตัวเองเหนื่อยจนตาลาย ขำตัวเองได้อีกน่ะครับ
นึกในใจว่าถ้าหมีโผล่มาจริงๆก็คงโดนตะปบตายแน่นอน ไม่มีแรงหนีแน่
ขี้ช้างนั้นก็เห็นตลอดทางแหละครับ ใหม่บ้างเก่าบ้าง นึกในใจว่าถ้าจะมาก็ขอให้เห็นตอนอยู่กันไกลๆนะพ่อช้างจ๋า แต่อย่ามาให้เห็นตัวนั่นน่ะดีที่สุด

ช่วงที่ถึงแอ่งกระทะรูปตัว U นี่ก็มันที่สุดเลยนะครับ
ถึงตอนนั้นน่ะจะกดเบรกชะลอขาลงก็ไม่เอาแล้ว เนื่องจากมันเป็นทางตรงเห็นทางข้างหน้าชัดเจน
ถ้าไม่ปล่อยลงมาเร็วสุด ขึ้นเนินตรงจุดที่แอ่งมันเงยขึ้นคงเป็นนรกของจริง
สับจาน 3 เฟือง 9 ลงมาเต็มที่ล่ะครับ ได้ที่ห้าสิบปลายนะครับ ไม่ถึงหกสิบ (สงสัยมีขืนตัวไว้ปล่อยฟรีขาโดยไม่รู้ตัวเพราะว่ากลัวง่ะ)
สนู๊กสนุกครับแอ่งตัว U เนี่ย

ขี่ไปก็ถึงทางแยกน้ำตกเหวสุวัตและทางขึ้นยอดเรดาห์เขาเขียวในที่สุดครับ
ได้แต่ฝากไว้ในใจว่าสักวันจะมาขี่ขึ้นเขาเขียว ตอนนี้ขอเอาเขาใหญ่ที่ที่ทำการก่อนแล้วกัน
สักพักขี่ผ่านสถานีวิจัยตรง ธนะรัชต์ลอดจ์ แล้วก็มุ่งผ่านทุ่งหญ้าบึงน้ำใหญ่ไปทางป้ายที่เขาบอกว่าไปที่ทำการอุทยาน แยกที่มีทางบอกไปบริเวณกางเต็นท์ผากล้วยไม้ให้แยกไปทางขวา แต่หมาป่าเบี่ยงไปทางซ้าย
บรรยากาศรื่นรมย์จริงๆครับ แดดแรง ลมพัดเย็นสบาย เหมือนขี่จักรยานบนยอดเขาในแคชเมียร์ยังไงยังงั้น (ไม่เคยไปหรอกครับ แต่ความอิ่มใจมันพาให้เพริดไปได้)

เอ๊ะแต่พอขี่ไปเรื่อยๆ ไหงทางมันลงหุบอีกหว่าเนี่ย
เริ่มกลัวครับ กลัวว่าตัวเองขี่ผ่านที่ทำการมาแล้ว (ดันไปสงสัยว่า สถานีวิจัยเป็นที่ทำการ หรือไม่ก็ที่ทำการอยู่ตรงผากล้วยไม้)
กลัวว่าขี่เลยแล้วจะไม่มีแรงย้อนกลับ ไม่ใช่ว่าขี่เพลินแล้วดันไปถึงด่านปากช่องเลย อิอิ
ตรงจุดนี้มีขี่สวนผ่านปิคอัพอยู่คันนึงด้วยนะครับ
รถบรรทุกคนมา คนที่นั่งข้างหลังกระบะเห็นหมาป่าก็ลุกขึ้นยืนชี้ไม้ชี้มือส่งเสียงดังทำนองด่าว่า “ไอ้บ้า”
หมาป่าโกรธวูบขึ้นมาเลยครับว่าทำไมต้องคุกคามกันอย่างนี้ด้วย
กะว่าถ้ามีการเอากระป๋องน้ำเขวี้ยงมาเนี่ย กูจะหยุดเอาเรื่องมึงแน่ๆ คงเป็นเพราะความเหนื่อยทำให้หมาป่าใจน้อยผิดปกติครับ

หมาป่าขี่ย้อนกลับไปที่สถานีวิจัยตรงข้างลานจอดฮ.อีกรอบ ตอนนั้นสักเกือบบ่ายสองได้แล้วมั๊งครับ
เหล่านักวิจัยเขานั่งล้อมวงบนพื้นกันอยู่ที่ชั้นสองมองเห็นชัดผ่านฝากระจก ไม่รู้กำลังวิจัยอะไรกันอยู่ เห็นถือการ์ดแผ่นงานวิจัยกันคนละสามสี่ใบ คลี่เป็นพัดอยู่ในมือ มีการทิ้งการ์ดงานวิจัยเป็นระยะ แถมบางคนมีการจั่วการ์ดงานวิจัยกองกลางขึ้นมาด้วย ^^
หมาป่าตะโกนถามว่าที่ทำการไปทางไหน เขาก็ตะโกนบอกว่าอยู่ทางที่หมาป่าขี่ย้อนกลับมานั่นแหละอีกราวๆกิโลเมตรเศษๆ เฮ่อค่อยอุ่นใจในการไปต่อครับ
จากนั้นหมาป่าก็ขี่ไปถึงที่ทำการ เอารถไปถ่ายรูปหน้าป้ายเป็นที่ระลึกดังแนบนี่แหละครับ

รูปภาพ

แปลกนะครับ เวลาดูรูปเพื่อนๆในเวปที่ขึ้นเขาใหญ่ เขาจะไปถ่ายกันหน้าป้ายที่ใหญ่กว่านี้
หมาป่ามองไม่เห็นป้ายที่ว่า เลยเดาว่ามันอาจจะอยู่ตรงผากล้วยไม้ที่หมาป่าไม่ได้เลี้ยวขวาไปตรงทางแยกก่อนถึงศูนย์วิจัย
บอกแล้วนี่ครับว่าขึ้นเขาใหญ่สำหรับหมาป่านี้มันเหนื่อยจริงๆ หมาป่าถ่ายรูปมาน้อยมากครับ
เลยมีรูปโชว์รูปนี้รูปเดียว....ด้วยว่าเหนื่อยจนไม่มีแรงถ่าย ฮ่าฮ่าฮ่า

ถ่ายเสร็จก็จูงจักรยานข้ามไปหาข้าวกลางวันกินที่โรงอาหารของนักท่องเที่ยว
อยากกินเบียร์สักกระป๋องเพื่อฉลอง แต่ว่าไม่มีเบียร์ขายเพราะเขาห้ามดื่มสุราในอุทยาน
กาแฟสดก็ไม่มีเพราะร้านปิดวันธรรมดาที่ไม่ใช่เสาร์อาทิตย์ที่มีนักท่องเที่ยวชุก
ได้อาศัยข้าวราดแกงและโค้กหนึ่งขวดเรียกแรงกลับคืนก่อนกลับลงมาทางปราจีนอีกรอบ
คนที่เห็นสภาพหมาป่านั่งตักข้าวกลางวันกินก็คงหัวเราะ เพราะกินข้าวแบบทอดอาลัยมาก
นับจากกินข้าวเสร็จก็ไม่มีอะไรต้องเล่าต่อแล้วล่ะครับ หัวเด็ดหัวมันนั้นอยู่ตอนขาขึ้นหมดสิ้น
ไว้รอเล่าต่อทริปหน้านะครับ ขึ้นเชียงใหม่ไปไหว้พระธาตุคงสรุปทริปได้ยาวกว่านี้
อ้อ...มีแถมต่อนิดนึง ตอนลงเขากลับไปที่รีสอร์ทฝั่งปราจีนนั้น หมาป่ารำพึงกับตัวเองครับ
ตอนที่ผ่านทางที่ขึ้นมา หมาป่ารำพึงว่า “กูขึ้นมาได้ไงวะเนี่ย” พร้อมทั้งยิ้มด้วยความอิ่มเอมใจครับ

Re: หมาป่าเดียวดายกับ "ความไม่รู้" เรื่องเขาใหญ่

โพสต์: 05 ก.ย. 2011, 14:56
โดย เสือ Spectrum

หมาป่าขี่มาแวะตรงปั๊มปตท.ใกล้กับวงเวียนเพื่อเรียกความสดชื่นด้วยกาแฟสด หมาป่าตัวนี้วาสนาตัดไม่ขาด นอกจากเสพเบียร์แล้วยังต้องเสพกาแฟสดด้วยครับ

กาแฟสดเป็นอันตรายสำหรับการปั่นฯ ขึ้นเขาครับ ถ้าปั่นฯ บนทางราบ "พอใหว" แต่ทางขึ้นเขานั้นชีพจรมีแต่จะขึ้นสูงตลอดเวลาและกาแฟสดเป็นตัว Booster อย่าง "ดีมาก" สำหรับชีพจรครับ

หมาป่าเริ่มจ้วงขึ้นเนิน โอ้วววววววว์ แม่เจ้า กรมป่าไม้ควรย้ายบู๊ธขายตั๋วมาตั้งตรงพื้นราบก่อนถึงตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบันสักร้อยเมตรจักดีกว่านี้มากเลยครับ จะได้มีแรงส่ง.....

ความเร็วลดต่ำลงอย่างน่าตกใจ ที่น่าตกใจมากกว่าคือไม่นึกว่ามันจะมาเร็วขนาดนี้ จาน 2 เฟือง 7 เริ่มถูกลดลงมาเหลือเฟือง 4 เสียงดังแต๊กๆๆ เพื่อให้ผ่านเนินแรกนี้ไปได้น่ะครับ ....”ใจต้องนิ่ง” หมาป่าบอกตัวเอง..........


สำหรับเสือภูเขา/รถทัวริ่ง พอเริ่มแตะเนินผมว่าควรจะหาเกียร์ที่สามารถใช้รอบขา "ปานกลาง-คงที่" ไว้ก่อนเลยครับมันแทบจะเป็นเกียร์เดียวที่ใช้ขึ้นเขาเลยครับ ถ้าตั้งใจไว้ว่า "ขาไม่แตะพื้น" การเปลี่ยนเกียร์ไปมาเพื่อเรียกพลังหรือความเร็วบนทางขึ้นเขานั้นใช้ได้เฉพาะตอนแข่งขันความเร็วครับ แต่ถ้าเป็นการปั่นฯ ทั่วไปนี่มันเรียกความเหนื่อยถึงระดับ "ลงเข็น" ได้อย่างรวดเร็วครับ

อีกวิธีหนึ่งดูที่ความเร็ว "คงที่" ที่ปั่นฯ แล้วไม่เหนื่อยมากก็ได้ครับ สำหรับเสือภูเขา/ทัวริ่งนี่เป็นความเร็วอะไรก็ได้ที่ "เร็วกว่าเดิน" :lol:

ความเร็วในการเดินนี่อยู่ประมาณ 3 - 4 กม./ชม. เพราะฉะนั้นถ้าเข้าเกียร์ต่ำแล้วปั่นฯ ได้ช้ากว่าความเร็วที่ว่าก็ลงมาเข็นรถเสียดีๆ ดีกว่า :mrgreen:

ความเร็วคงที่สำหรับมือใหม่ปั่นฯ ขึ้นเขานี่น่าจะอยู่ราวๆ 5 - 6 กม./ชม. สำหรับเสือภูเขาครับ ส่วนเสือหมอบจริงๆ ตัวเปล่าๆ นี่ ผมเคยเจอตอนขึ้นเขาใหญ่น่าจะอยู่ราวๆ 10 - 15 กม./ชม. แต่ไปถามเพื่อนผมที่ปั่นฯ เสือหมอบตัวจริงเขาบอกมีหน้าเขียว-หน้าเหลืองนิดหน่อยเหมือนกันครับ :mrgreen:


แปลกนะครับ เวลาดูรูปเพื่อนๆในเวปที่ขึ้นเขาใหญ่ เขาจะไปถ่ายกันหน้าป้ายที่ใหญ่กว่านี้
ป้ายที่ว่าอยู่ตรงหน้าทางเข้า "น้ำตกเหวนรก" ครับ

Re: หมาป่าเดียวดายกับ "ความไม่รู้" เรื่องเขาใหญ่

โพสต์: 05 ก.ย. 2011, 15:06
โดย a lone wolf
:lol:
ฮ่าฮ่าฮ่า หมาป่า "เฉียดหัวใจวายตาย" ไปฉิวเฉียดเลยนะครับ พี่เสือ Spectrum
ขอบพระคุณสำหรับคำชี้แนะครับ
ยินดีอย่างยิ่งที่พี่เข้ามาเจิมกระทู้นี้ให้ครับ

Re: หมาป่าเดียวดายกับ "ความไม่รู้" เรื่องเขาใหญ่

โพสต์: 05 ก.ย. 2011, 16:49
โดย choochoo
ยินดีด้วยครับพี่หมาป่าเดียวดายที่ทำสำเร็จ ผมยังไม่มีโอกาสปั่นยาวๆแบบนี้เลย เนื้อหาเขียนได้สนุกมากครับ วันหลังผมจะขอไปปั่นด้วย ตอนนี้ผมเพิ่งจะประกอบทัวริ่ง ยังลองปั่นได้ไม่เท่าไหร่ครับ :D
เรื่องกาแฟ ผมก็งงๆ เคยอ่านว่านักแข่งก็ใช้เป็นยากระตุ้นหัวใจที่ไม่ผิดกติกา บางสำนักว่ามันไปบล๊อกการดูดซึมน้ำ ผมเลยไม่ค่อยอยากดื่มกาแฟก่อนปั่น แต่เรื่องหัวใจเต้นแรงที่น่าจะเป็นตามที่พี่เสือ Spectrum กรุณาแนะนำไว้ รอบที่แล้วปั่นที่แก่งกระจานขากลับกิน Power Gel double Caffeine อัดขึ้นเนินเพลิน ตอนจบเพิ่งเห็นหัวใจขึ้นไปถึง 215 น่ากลัวจริงๆครับ :D

Re: หมาป่าเดียวดายกับ "ความไม่รู้" เรื่องเขาใหญ่

โพสต์: 05 ก.ย. 2011, 17:30
โดย เสือ Spectrum
กระทู้เล่าได้สนุกสนานเหมือนเดิมครับ เสียดายแต่ว่ารูปน้อยไปหน่อย (สงสัยคงปั่นฯ เพลินไปหน่อย :mrgreen: )

เท่าที่ทราบกาแฟมีผลต่อการเต้นของหัวใจกับหลายๆ คนครับ โดยเฉพาะช่วงออกกำลังกายหนักๆ ถ้าเลี่ยงได้ก็น่าจะเลี่ยงครับเพราะทำให้เสี่ยงกับอาการหัวใจวาย แต่ในประเด็นเป็นยาโด๊ปสำหรับการแข่งขันอาจจะเป็นในปริมาณควบคุมที่ไม่เป็นอันตรายมากก็ได้ครับ

สังเกตุจากตอนซ้อมปั่นฯ บนเทรนเนอร์ช่วง Warmup ถ้ารอกว่าจะเข้า Mode ที่ "เครื่องร้อน" จริงๆ มันนานเกินไปสำหรับเวลาแข่งครับ การกินกาแฟอาจจะช่วยไปกระตุ้นชีพจรให้เข้า Mode "เครื่องร้อน" ได้เร็วกว่านะครับ :D

Re: หมาป่าเดียวดายกับ "ความไม่รู้" เรื่องเขาใหญ่

โพสต์: 05 ก.ย. 2011, 19:10
โดย lex devil
:) ชอบครับ ต่อเร็วๆครับ อยากมีโอกาศแบบนี้บ้าง :P

Re: หมาป่าเดียวดายกับ "ความไม่รู้" เรื่องเขาใหญ่

โพสต์: 05 ก.ย. 2011, 19:46
โดย charliephuket
เห็นชัดว่าพี่เค้าตั้งใจ

Re: หมาป่าเดียวดายกับ "ความไม่รู้" เรื่องเขาใหญ่

โพสต์: 05 ก.ย. 2011, 21:04
โดย rookiesMTB
สวดดยอดดเลย ขึ้นทางปราจีน ขนาดขับรถยนต์ผมก้อว่ามันไกลน่ะครับ พี่นี้สุดยอดทั้งใจและกายเลย

Re: หมาป่าเดียวดายกับ "ความไม่รู้" เรื่องเขาใหญ่

โพสต์: 05 ก.ย. 2011, 22:11
โดย เสือดอนโพธิ์
ยินดีด้วยครับสำหรับครั้งแรก....สำหรับครั้งต่อๆไป เขาเขียว เหวสุวัติ และด่านปากช่องยังรออยู่นะครับ :mrgreen: :mrgreen: มาบ่อยๆเนินมันจะเตี้ยลง ทางมันจะสั้นลง ความสวยงามของสองข้างทางจะค่อยๆโผล่ขึ้นมาให้เราเห็น :mrgreen: :mrgreen: :mrgreen:

Re: หมาป่าเดียวดายกับ "ความไม่รู้" เรื่องเขาใหญ่

โพสต์: 05 ก.ย. 2011, 22:36
โดย แม่บักข้าวเหนียว
เสือดอนโพธิ์ เขียน:ยินดีด้วยครับสำหรับครั้งแรก....สำหรับครั้งต่อๆไป เขาเขียว เหวสุวัติ และด่านปากช่องยังรออยู่นะครับ :mrgreen: :mrgreen: มาบ่อยๆเนินมันจะเตี้ยลง ทางมันจะสั้นลง ความสวยงามของสองข้างทางจะค่อยๆโผล่ขึ้นมาให้เราเห็น :mrgreen: :mrgreen: :mrgreen:
สุดยอด รุ่น พี่...

แอบมา อ่าน เรื่อง..สนุกค่ะ.. เด๋ว ตามไป ติด ติด...

Re: หมาป่าเดียวดายกับ "ความไม่รู้" เรื่องเขาใหญ่

โพสต์: 05 ก.ย. 2011, 22:55
โดย BikeSunday
รู้สึกผิดที่อ่านกระทู้นี้ด้วยความสำราญ :lol:
ไม่เห็นใจในความทุกข์ยากของคุณหมาป่า

ถ้าไม่มีรูปมาโชว์ ไม่เชื่อว่าขึ้นเขาใหญ่มาแล้วนะเนี่ย


เป็นแฟนคลับตามอ่านกระทู้มาตลอดด้วยสองสาเหตุ
1.เขียนหนังสืออ่านสนุก ชวนติดตาม
2.มีความชมชอบบางอย่างที่เหมือนกัน พี่มีรถทัวริ่งที่ตั้งชื่อว่า "Lone Wolf" :D

Re: หมาป่าเดียวดายกับ "ความไม่รู้" เรื่องเขาใหญ่

โพสต์: 06 ก.ย. 2011, 11:45
โดย SART.RED
:D ดีใจ ทำได้ เหนื่อย แต่ก็สนุกมัน ฮา แบบว่าไม่ออก เหงื่อล้วน ฮาๆๆ

ขอให้สนุกกันต่อไป ล้อล้อสร้างโลกยินดี :mrgreen:

นักเขียนสะด้วย ออกสักเล่ม เลยดีหงะ e book ลงทุนไม่ต้องอยากงานดาวน์โหลดเอา
;)

Re: หมาป่าเดียวดายกับ "ความไม่รู้" เรื่องเขาใหญ่

โพสต์: 07 ก.ย. 2011, 14:02
โดย paeng&aty
ผ่านตาชื่อ หมาป่าเดียวดาย หลายครั้งที่ดู Web นี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เข้ามาอ่าน
เขียนได้น่าอ่านและสนุกมากๆเลยค่ะ ขนาดว่ารูปน้อยก็ยังไม่เบื่อ แอบหัวเราะขำเอาเป็นเอาตายกับทีมงานวิจัยที่คุณหมาป่าไปเจอเข้า
เก่งมากค่ะ บางครั้งความไม่รู้ก็ช่วยให้เราประสบความสำเร็จ ความรู้มากไปอาจทำให้กลัวและกังวลจนไม่กล้าออกเดินทางก็ได้นะคะ
ขอให้โชคดีกับการเดินทางไปดอยสุเทพ จะคอยอ่าน Review ค่ะ

Re: หมาป่าเดียวดายกับ "ความไม่รู้" เรื่องเขาใหญ่

โพสต์: 07 ก.ย. 2011, 14:43
โดย tunaja
บรรยายซะเห็นภาพเลยครับ ขนาดนั่งอ่านยังรู้สึกเหนื่อยเป็นพัก ๆ :P
ทีแรกกะว่าจะไปปั่นขึ้นเขาฝั่งปราจีนมั่งเหมือนกัน เห็นทีว่าจะต้องคิดใหม่เสียแล้วครับ :mrgreen:
ขอเตรียมตัวให้ดีกว่าเดิมเสียก่อน เดี๋ยวเสือภูเขา จะกลายเป็นแมวซะก่อน :lol:
ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับที่พิชิตได้สำเร็จดังที่ได้ตั้งใจไว้ครับ :D
รอติดตามชมทริปในครั้งหน้าด้วยนะครับ ;)

Re: หมาป่าเดียวดายกับ "ความไม่รู้" เรื่องเขาใหญ่

โพสต์: 08 ก.ย. 2011, 13:58
โดย somchaitu
เป็นความรู้สำหรับฝึกปั่นขึ้นเขาใหญ่ในอนาคต ไม่รู้อีกกี่ปี ? ? ? ขอเซ็ฟไว้ครับจะอ่านซ้ำๆ สำหรับก้าวแรกของผม -> ขึ้นเขาใหญ๋