บันทึกการเดินทาง เชียงใหม่ ไป สิบสองปันนา (จิงหง) ประเทศจีน

รายงาน/รูป "สรุปทริป" จากที่ได้ปั่นมา
ตอบกลับ
รูปประจำตัวสมาชิก
jackal2008
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 1388
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 14:23
Tel: 087.198.0944
team: none
Bike: Fuji Touring 2016

บันทึกการเดินทาง เชียงใหม่ ไป สิบสองปันนา (จิงหง) ประเทศจีน

โพสต์ โดย jackal2008 »

วันแรก อำเภอเมืองเชียงใหม่ ไป อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่

รูปภาพ

การเดินทางในวันแรกของจุดเริ่มต้นทริปนี้ก็คือการเดินทางไปยังอำเภอเชียงดาว โดยทั่วไป หากเป็นทางรถยนต์ ก็จะเดินทางไปทางเส้นอำเภอดอยสะเก็ด ผ่านดอยนางแก้ว เข้า แม่ขะจาน เวียงป่าเป้า และแม่สรวยตามลำดับ แต่ที่ผมเลือกเดินทางเส้นนี้เพราะดูแล้วเส้นทางขึ้นและลงของดอยนางแก้ว ไม่ค่อยจะปลอดภัยมากพอสำหรับการปั่นจักรยานเสียแล้ว อีกทั้งเส้นทางที่มาทางอำเภอเชียงดาว จะได้เห็นธรรมชาติมากกว่า (ถึงเส้นทางจะยากกว่าเส้นทางแรกก็ตาม)

เส้นทางนี้จะต้องผจญแดดร้อนแรงในช่วงแรกครับ เพราะตลอดเส้นทางที่ออกจากอำเภอเมืองเชียงใหม่ จนมาถึงแยกแม่มาลัย ทั้งสองข้างทางจะไม่มีต้นไม้ใหญ่ให้หลบแดดเลย ยิ่งเป็นช่วงเวลานี้ด้วยแล้ว ความร้อนแรงของแดดนั้นเกินที่จะห้ามใจจริงๆ

วันนี้สบายๆ ครับเหมือนกับเป็นการเตรียมกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆ ให้พร้อมสำหรับที่จะเดินทางในวันต่อไป ส่วนที่พักในเชียงดาวนั้น ไม่ต้องเป็นห่วงครับ มีที่พักสำหรับนักเดินทางอย่างพวกเราอยู่สองถึงสามที่ ราคาคืนละ 200 บาท ซึ่งผิดกับแต่ก่อน ที่พักในเชียงดาวหาค่อนข้างยาก

วันที่สอง อำเภอเชียงดาว ไป บ้านท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่

รูปภาพ

วันนี้ที่สองนี่ถือว่าเริ่มดุดันทีละนิดแล้วครับ เริ่มมีเนินเขาชันๆ ยาวๆ ให้ได้ปั่นไต่กันแล้ว แต่ถึงจะชันและแดดจะร้อน ก็ยังถือว่าไม่โหดร้ายเกินไปนักสำหรับนักเดินทาง เพราะสองข้างทางยังพอมีร่มไม้ใหญ่ๆ ให้ได้หลบพัก และ ดื่มน้ำเป็นจุดๆ การไต่เขาขึ้นๆ ลงๆ ตั้งแต่ออกมาจากอำเภอเชียงดาว มาจนถึง อำเภอไชยปราการ จากนั้นก็ถือได้ว่าเป็นทางค่อนข้างจะเรียบๆ ดอยใหญ่ๆ ชันๆ ยาวๆ ไม่มีให้ได้ไต่กันแล้ว

ระยะทางในวันนี้ถึงจะอยู่ในระดับ ร้อยกิโลนิดๆ แต่ก็ถือว่าไม่เหนื่อยมากนัก ที่พักในสำหรับนักเดินทางมีให้เห็นอยู่ตลอดการเดินทาง ราคาก็ไม่แพงมากนักประมาณ 300-350 บาทก็สามารถพักห้องแอร์ และมีไวไฟ ให้ใช้ได้แล้ว

วันที่สาม อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย

รูปภาพ

วันนี้ละครับ ถือว่าเป็นการเดินทางผ่านเส้นทางแห่งภูเขาอย่างแท้จริง ระยะทางไม่ไกลมากนัก เพียงแค่ 60-70 กิโลเมตร ดอยก็ไม่ชันมากนัก แต่มันยาวครับ ระดับความชันนี่เต็มสิบเอาไปซะเจ็ด แต่ความยาวของเส้นทาง บวกกับแดดที่ร้อนในฤดูร้อนเช่นนี้ เล่นเอานักเดินทางอย่างพวกเราหมดเรี่ยวหมดแรงเอาง่ายๆ เลยทีเดียว จากท่าตอนจนถึงทางแยกป้อมตำรวจที่จะเลี้ยวซ้ายไปดอยแม่สลอง ถือว่าเป็นเส้นทางที่ทดสอบความแข็งแกร่งและจิตใจของนักเดินทางอย่างพวกเราได้ดีทีเดียว แต่พอถึงตรงจุดที่เขาเรียกว่า "กิ่วสะไต" ก็จะเป็นทางลงเขายาวจนไปถึงแม่จันโน่นละครับ

รูปภาพ

ผมกับพี่ดิลก ปั่นกันมาเส้นทางที่จะไปอำเภอเมืองเชียงราย เพราะจะมีแยกทางซ้าย เพื่อเข้าไปยังอำเภอดอยหลวง จากนั้นก็จะไปเชียงของ

ที่พักดีกว่าที่เราพักที่ท่าตอนเมื่อวานนี้มาก ราคา 400 บาท เป็นห้องแอร์ ได้พักกันอย่างเต็มที่เพื่อที่จะเตรียมขึ้นเขาไปเชียงของในวันพรุ่งนี้

วันที่สี่ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย

รูปภาพ

วันนี้เป้าหมายเราอยู่ที่เชียงของ เพื่อจะรอคณะเดินทางมาสมทบและข้ามฝั่งไปยังประเทศลาวด้วยกัน วันนี้เราทานข้าวเช้าเสร็จก็ออกเดินทางกันทันที เพราะรู้ว่าวันนี้จะต้องมีการขึ้นเขาค่อนข้างเยอะ

แต่ถึงแม้ว่าเราจะทราบว่าการเดินทางในวันนี้จะยาก แต่ก็ไม่นึกว่าจะยากถึงขนาดนี้ ช่วงแรกของการเดินทาง เป็นที่โล่งหมด ไม่มีที่ให้ได้หลบแดดเลย ต้องปั่นจักรยานฝ่าแสงแดดที่แรงกล้า แถมระหว่างทาง แต่ละจุดทีี่มีเครื่องดื่มเย็นๆ และ อาหารก็อยู่ห่างกันมาก

รูปภาพ

แดดช่วงแรกๆ ยังพอทนครับ เพราะยังไม่ร้อนแรงเท่าไหร่ แต่พอเริ่มสิบเอ็ดโมงเช้าแล้วเท่านั้นละ ทั้งความร้อนจากแสงแดด ความร้อนจากไอแดดที่สะท้อนมาจากผิวถนน ทั้งสองสิ่งรวมพลังกระหน่ำพวกเราอย่างพร้อมเพรียง แถมที่จะหลบแดด ลืมไปได้เลย ไม่มีให้ได้เห็น

รูปภาพ

หลังจากตั้งแต่สิบเอ็ดโมงจนถึงบ่ายสี่โมงเย็น ที่เจอแดดกระหน่า พอเริ่มจะเย็น แดดเริ่มคล้อย ก็เป็นการอภิมหาไต่ภูเขา เพื่อจะไปเชียงของครับ ลองนึกภาพเอาแล้วกันครับ ว่าแทบจะหมดเรี่ยวหมดแรง อีก 25 กิโลเมตรสุดท้ายเพื่อจะถึงเชียงของ ต้องปั่นจักรยานผ่านภูเขาลูกโตๆ อีกถึง 3 ลูก งานช้างซิครับ แต่ถ้าไม่อยากจะเจอเขาแบบที่ผมเจอ ก็สามารถจะเลี่ยงได้ด้วยการปั่นเลียบลำน้ำโขง แต่ก็จะอ้อม และ ระยะทางจะเพิ่มอีกประมาณ 15 – 20 กิโลเมตร (ผมแนะว่าปั่นเลียบริมน้ำโขงจะดีกว่า ไอ้เจ้าเขาลูกนี้ดุจริงๆ ครับ อีกอย่างได้ชมวิวตามลำน้ำโขงด้วย)

รูปภาพ

เราได้ที่พักที่ในตัวอำเภอเชียงของเลยครับ ราคาไม่แพงด้วย ห้องละ 200 บาท นอนได้สองคน ก็ตกคนละ 100 บาท แถมยังมีสระว่ายน้ำให้เล่นด้วย (ต้องจ่ายเพิ่มอีก 50 บาท) ใครมาเชียงของขอแนะนำให้พักที่นี่เลยครับ แม่โขง รีสอร์ท การหาก็ไม่ยาก หาธนาคารกสิกรไทยให้เจอ แล้วก็จะเจอร้าน เซเว่นฯ ฝั่งตรงข้ามจะมีร้านขายยาใหญ่ ตรงข้างๆ ร้านขายยานั่นละครับ ทางเข้าที่พัก

วันนี้กระปลกกระเปลี้ยเต็มทน ทั้งแดด ทั้งการปั่นไต่ภูเขา ครบทุกรสชาติจริงๆ ดีว่าพรุ่งนี้จะได้พัก 1 วันเพื่อรอคณะเดินทางที่จะมาสมทบ ถ้าไม่ได้พักนี่สงสัยจะแย่

ขอนอนพักก่อนครับ เพราะต่อไปต้องไปปั่นในดินแดนประเทศเพื่อนบ้านเราแล้ว

วันที่ห้า พักที่เชียงของ รอคณะเดินทางมาสมทบเพื่อเดินทางไปสิบสองปันนา

รูปภาพ

ตามนัดหมายการเดินทางเราจะมาพบกันที่เชียงของในเย็นวันที่ 8 เมษายน จากนั้นก็จะข้ามสะพานมิตรภาพเพื่อเดินทางต่อในประเทศ สปป.ลาว

ผมกับพี่ดิลกเดินทางมาถึงก่อนเพื่อจะได้จัดการเรื่องเอกสารอะไรต่างๆ รวมถึงป้องกันการผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งหากมีจะได้ทำการแก้ไขได้ทันท่วงทีก่อนที่จะเดินทางในวันพรุ่งนี้

คณะร่วมเดินทางได้ทยอยเดินทางจากที่ต่างๆ มาถึงเชียงของกันเรื่อยๆ ครับ รวมทั้งหมด 8 คน ได้แก่ ผม ซึ่งเป็นผู้จัดทริปการเดินทางครั้งนี้ พี่ดิลก น้องไก่ พี่สงกรานต์ พี่พิฑูร พี่พงศ์ คุณเม้ง อาแม็ก รวมทั้งหมด 8 คน

ผมเองวันนี้จะหนักไปทางพักผ่อน เพราะเจออาการฮีทสโตรค (Heat Stroke) เล่นงานตั้งแต่เมื่อวานตอนดึก ต้องคอยตื่นมาเอาน้ำลูบตัวเพื่อให้อุณหภูมิลดลงเป็นระยะๆ มาถึงตอนเช้าก็ยังไม่หายไปหมด เลยไม่กล้าออกไปไหน เพราะอยากให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่สามารถเดินทางได้ เนื่องจากการเดินทางต่อจากช่วงนี้เป็นการเดินทางต่างบ้านต่างเมือง ไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไรบ้าง ต้องรักษาร่างกายให้แข็งแรงที่สุด

วันนี้พวกเรานอนกันแต่หัวค่ำครับ เพราะต้องการเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางที่จะมีในพรุ่งนี้ เรื่องเอกสารต่างๆ ก็จัดการเป็นที่เรียบร้อยหมดแล้ว พรุ่งนี้ป่ะกันจ้า สปป.ลาว

วันที่ 6 เข้าสู่ สปป.ลาว เดินทางไปบ้านดอนไชย

วันนี้พวกเราตื่นกันมาแต่เช้า (สงสัยตื่นเต้นว่าวันนี้จะได้ไปปั่นจักรยานต่างบ้านต่างเมืองแล้วเว้ย) อาการ ฮีทสโตรค ของผมเมื่อวานก็เบาบางลงไปเยอะ ไม่จำเป็นต้องเอาน้ำลูบตามตัวเพื่อลดความร้อนเหมือนเมื่อวานแล้ว

ที่เชียงของ หากจะทานอาหารเช้า ที่ขึ้นชื่อของที่นี่ก็คือข้าวมันไก่ไหหลำ ซึ่งได้รับป้ายรับประกันคุณภาพและอร่อยจาก “แม่ช้อยนางรำ” ด้วย

ตอนแรกเราตั้งใจว่าจะรีบเดินทางไปยังสะพานมิตรภาพแต่เช้าตรู่เลย เพื่อทำการข้ามแดนแต่เช้า จะได้มีเวลาในการเดินทางก่อนมืด แต่ว่าทางเจ้าหน้าที่และคนในท้องที่บอกว่า หากไปแต่เช้าก็ใช่ว่าจะได้เร็ว เพราะตอนเช้าจะมีรถยนต์ รถโดยสาร และ รถบรรทุก ที่รอจะข้ามแดนเยอะมาก ดังนั้นเจ้าหน้าที่ของด่านฯ จะยุ่งมาก ถ้าไปสักสายหน่อย ประมาณ 9.00-9.30 น่าจะดีกว่า เพราะรถต่างๆ รวมถึงคนที่ต้องการจะข้ามแดนจะเบาบางลงแล้ว

รูปภาพ

พูดถึงการข้ามแดนไป สปป.ลาว ให้ทราบสักนิดครับ คือการข้ามแดนจากประเทศไปยัง สปป.ลาว มี 2 แบบ นั่นคือ

1) การข้ามแดนทางสะพานมิตรภาพ จะเป็นข้ามแดนโดยใช้ “หนังสือเดินทาง” เท่านั้น ซึ่งจะเป็นข้ามแดนที่ถือว่าเป็นไปตามปรกติและนิยมมากที่สุด
2) การข้ามแดนผ่านท่าเรือบั๊ค จะเป็นข้ามแดนโดยใช้ “บัตรผ่านแดน” เท่านั้น และผู้ที่ข้ามแดนโดยวิธีนี้จะสามารถอยู่ใน สปป.ลาว 3 วันเท่านั้น ถ้าเกินกว่านั้น จะต้องผ่านแดนโดยใช้หนังสือเดินทางเท่านั้น

และเพราะจากกฎเกณฑ์การข้ามพรมแดนในข้อ 1 ส่งผลให้อำเภอเชียงของ จากที่เคยเป็นอำเภอเงียบๆ เล็กๆ กลายเป็นอำเภอที่มีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจทันที ตัวอำเภอขยับขยายไปอย่างรวดเร็ว

มาต่อที่การเดินทางของพวกเราต่อเลยครับ การข้ามแดนฝั่งไทย ไม่มีอะไรวุ่นวาย กรอกเอกสารเข้าและออกราชอาณาจักร จากนั้นไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่พร้อมหนังสือเดินทาง หากคุณไม่เป็นบุคคลต้องห้าม ก็ใช้เวลาไม่เกิน 3 นาที ก็จะออกจากด่านตรวจคนเข้าออกเมืองฝั่งประเทศไทยได้

พอออกมาถึงก็จะต้องโดยสารรถชัตเตอร์ บัส (รถบัสโดยสารนั่นละครับ) และเราก็ต้องนำจักรยานขึ้น ชัตเตอร์ บัส ด้วย โดยค่าธรรมเนียมสำหรับจักรยานอยู่ที่คันละ 100 บาท รวมกับค่าธรรมเนียมในการผ่านแดนจากไทย และ ค่าทิปสำหรับเด็กที่ช่วยยกจักรยานขึ้นรถบัสให้ ก็ตกคนละ 150 บาท

จากด่าน ตม. ของฝั่งไทย ไปยัง ตม. ของ สปป.ลาว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 นาที พอถึง ตม. สปป.ลาวแล้วก็ต้องทำการกรอกเอกสารเข้าและออก สปป.ลาวให้เรียบร้อย จากนั้นก็ไปยื่นให้เจ้าหน้าที่ของ ตม.สปป.ลาว ตรวจสอบ หากไม่มีอะไรผิดปรกติ ก็จะเสร็จเรียบร้อยในเวลาไม่เกิน 5 นาทีครับ ตอนนี้เมื่อได้คำอนุญาตให้เข้าประเทศ (วีซ่า) ได้แล้ว เราก็จะสามารถอยู่ สปป.ลาวได้เป็นระยะเวลา 30 วัน หากต้องการจะอยู่นานกว่านั้น ก็ต้องออกจากด่าน ตม.สปป.ลาว ก่อน และขออนุญาตเข้าประเทศอีกครั้ง

รูปภาพ

คณะฯ ของพวกเราได้ติดต่อประสานงานกับบริษัททัวร์ฯ ของ สปป.ลาวเป็นที่เรียบร้อย และได้ส่งรายชื่อของพวกเราให้กับ ตม. แล้วว่าวันนี้จะมีคณะเดินทาง โดยมีรายชื่อและหมายเลขหนังสือเดินทางตามนี้ เดินทางเพื่อเข้ามาใน สปป.ลาว โดยมีเขาเป็นผู้ให้บริการ การผ่านแดนของพวกเราเลยเป็นที่รวดเร็วและไม่ยุ่งยากแต่อย่างไร (กฎระเบียบใหม่ในการเข้าเดินทางไปปั่นจักรยานใน สปป.ลาว หากมีมากกว่า 4 คน ควรจะทำการติดต่อ บ.ทัวร์ใน สปป.ลาว ก่อนเป็นการล่วงหน้าเพื่อให้ประสานงานกับ ตม. ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดปัญหาไม่สามารถผ่านเข้า สปป.ลาวได้)

10.30 น. คือเวลาโดยประมาณที่พวกเราทั้งคณะฯ เสร็จสิ้นพิธีการทางราชการในการเข้าและออกประเทศ และตอนนี้พวกเราพร้อมจะเดินทางกันแล้ว อากาศวันนี้แจ่มใสมาก ในตอนนี้ยังไม่ร้อนเท่าไหร่นัก ก่อนเดินทางผมได้แจ้งให้พวกเราทุกท่านทราบว่า วันนี้จะเป็นวันเดินทางที่หนักที่สุด และเราคงจะไปไม่ถึงเมืองเวียงภูคาอย่างแน่นอน ดังนั้นเราจะพักกันที่บ้านดอนไชย แล้วจะเดินทางไปเมืองหลวงน้ำทาในวันรุ่งขึ้น และที่สำคัญ ใน สปป.ลาว เราต้องปั่นจักรยานชิดขวา แล้วนะครับ ซึ่งต่างจากบ้านเราจะชิดซ้าย ส่วนใครต้องการจะแลกเงินกีบ ให้แลกได้ที่ธนาคารในด่านให้เรียบร้อย เพราะหากเราใช้เงินบาทจ่ายออกไป หากต้องมีทอนเป็นเงินกีบ มันจะลำบาก และอีกอย่างชาวลาว ต้องการเงินกีบมากกว่าเงินบาท

รูปภาพ

เมื่อพูดคุยกันเรียบร้อยแล้ว เดินทางกันเลยครับ แรกๆ สภาพเส้นทางเป็นทางเรียบๆ มีเนินบ้างนิดหน่อย เด็กๆ ที่พบเห็นพวกเราจะส่งเสียงทักทายพวกเราเป็นภาษาอังกฤษตลอดเส้นทาง เหมือนกับเป็นกำลังใจให้กับพวกเราว่า เอ้ย ไงทริปนี้ผ่านได้อย่างตลอดรอดฝั่งแน่นอน

30 กิโลเมตรแรก สบายๆ ครับ ปั่นชมทิวทัศน์สองข้างทาง ซึ่งเป็นหมู่บ้านของชาวลาว ก็แปลกตาไปอีกแบบ ร้านขายของชำของพวกเขาส่วนใหญ่ก็จะเป็นสินค้าจากบ้านเรานี่ละครับ น้ำดื่มและน้ำอัดลม ถ้าเราไปซื้อนี่ราคาแทบจะเหมือนกันหมดเลยคือ 20 บาทหรือ 5,000 กีบ ดังนั้น ไป สปป.ลาว พยายามแลกแบงค์ 20 บาทไปเยอะๆ ครับ เป็นแบงค์ที่ได้ใช้บ่อยมาก
อาหารกลางวันของพวกเราวันนี้คือ เฝอ หรือ ก๊วยเตี๋ยว นั่นเอง ราคาอยู่ที่ 40 บาทไทย

รูปภาพ

ถึงตรงนี้พี่พิฑูร ไปซื้อซิมโทรศัพท์มาเพื่อต้องการจะใช้โทรและใช้บริการอินเตอร์เน็ตสำหรับมือถือ การให้บริการโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตผ่านทางมือถือของทาง สปป.ลาวจะแตกต่างกับของบ้านเราครับ ของบ้านเรานั้นซิมเดียวสามารถใช้ได้ทั้งโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต แต่ใน สปป.ลาวไม่ใช่นะครับ ถ้าจะใช้บริการโทรศัพท์ก็ต้องเป็นซิมที่ใช้สำหรับโทรศัพท์ และเช่นเดียวกันหากต้องการจะใช้บริการอินเตอร์เน็ตก็ต้องเป็นซิมชนิดที่ให้บริการอินเตอร์เน็ตเท่านั้น และอินเตอร์เน็ตผ่านมือถือแบบ 3G ก็จะมีเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ เท่านั้น

รูปภาพ

หลังจากจัดการเรื่องโทรศัพท์เรียบร้อย เราก็เดินทางต่อกันเลย เพราะไม่ทราบเหมือนกันว่าจะพบอะไรในระหว่างการเดินทาง เพราะผ่านมา 30 กม. ยังสบายๆ อยู่ แต่อีก 40 กิโลเมตรที่เหลือจะเป็นอย่างไร ยังเป็นคำถามที่เรากำลังจะได้รับคำตอบในเวลาไม่นานนี้

การเดินทางช่วงบ่ายถือว่าเป็นการเดินทางที่หินสุดหินจริงๆ เป็น 40 กม.ที่ทดสอบทั้งร่างกายและจิตใจอย่างแท้จริง เพราะเป็นการปั่นขึ้นภูเขาอย่างเดียวครับ ไม่มีการลงเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ขึ้นและขึ้น ขึ้นแบบพวกเราต้องนึกกันในใจ มันจะไม่ลงเลยหรือวะเนี่ยะ ทางว่ายากแล้ว มาบวกกับสภาพอากาศที่ร้อนสุดๆ ผสมกับระหว่างเส้นทางไม่มีที่ให้แอบพักโดยที่ไม่ถูกแดดเผาเลย นั่นก็คือถ้าเหนื่อยและต้องพัก ก็ต้องยืนหรือนั่งอยู่กลางแดดนั่นละครับ บวกกับความร้อนที่สะท้อนมาจากพื้นผิวถนนอีก รวมสามประการรุมถล่มพวกเราซะย่ำแย่ ตัวผมเองนั้นไม่ต้องห่วงละครับ รั้งท้ายอย่างแน่นอนอยู่แล้ว

รูปภาพ

ระยะทาง 25 กิโลเมตร ใช้เวลาไปถึงเกือบ 5 ชั่วโมงครึ่ง มีผู้ร่วมเดินทางบางท่านเริ่มจะไม่ไหวกับสภาพเส้นทาง และความร้อนที่เจอมาตลอดห้าชั่วโมง แล้วจากจุดนี้ยังอีกเกือบ 20 กิโลเมตรถึงจะเดินทางถึงบ้านดอนไชย

โชคช่วยจริงๆ ครับ ระหว่างทางเราได้เจอรถปิ๊กอัพป้ายเป็นของจังหวัดเชียงราย เอ้ย คนไทยเรานิ พอเจอน้องเขาก็บอกว่า รบกวนหน่อยเถอะคณะฯ ผมมีบางท่านเดินทางไม่ไหวแล้ว อยากรบกวนไปส่งผมที่บ้านดอนไชยได้ไหมครับ เรื่องค่าใช้จ่ายผมยินดีที่จะมอบให้ด้วยความเต็มใจครับ น้องเขาก็บอกว่าเรื่องเงินไม่สำคัญหรอกครับ แต่ผมขอทำธุระให้เรียบร้อยก่อน แล้วจะไปส่งให้ที่บ้านดอนไชย

พอทราบเช่นนั้นแล้ว ผมจึงไปบอกคณะเดินทางเดินทางที่รออยู่ข้างหน้าไม่ไกลนักว่า ผมกับพี่ที่เดินทางไม่ไหวจะนั่งรถยนต์ล่วงหน้าไปก่อน และจะไปจัดที่พักรอด้วย ใครต้องการเอาสัมภาระฝากรถ ให้เอามารวมกันไว้แล้วผมจะบรรทุกรถไปพร้อมกัน
คณะเดินทางเดินนำสัมภาระมารวมกัน และเดินทางล่วงหน้าไปก่อนเลย เพราะผมเดินทางตามหลังด้วยรถยนต์ อย่างไรก็ต้องถึงก่อน

ช่วงนี้สำหรับผมสบายแล้วเพราะนั่งรถยนต์ แต่ระหว่างที่เดินทางก็นึกในใจว่า แม่เจ้า ยังมีอีกสองดอยใหญ่ คณะเดินทางจะถึงกี่โมงเว้ย

ผมไปรอที่บ้านดอนไชย จนถึงเวลาเกือบ 20.00 น. คณะเดินทางจึงเดินทางมาถึงจุดที่ผมไปรออยู่ จากนั้นพาเข้าที่พักครับ อาหารเย็นก็ทำกันเองแบบง่ายๆ ใช้ชุดสนามที่นำไปปรุงอาหารและหุงข้าวทานกัน

วันนี้ทุกคนเหนื่อยกับการเดินทางมาก พูดคุยกันนิดๆ หน่อยๆ ก็เข้าไปพักผ่อนเลยครับ ที่นี่อากาศไม่ร้อนเหมือนบ้านเรา ตอนดึกๆ นี่หนาวขนาดต้องห่มผ้าห่มเลย และที่สำคัญไม่มียุงด้วยครับ วันนี้นอนกันแบบสบายอารมณ์บรรยากาศแบบชาวบ้านชนบทเลย

รูปภาพ

ค่าที่พักตกคนละ 250 บาทไทยครับ (50,000 กีบ) ที่พักคุณภาพใช้ได้ตามอรรถภาพ
ส่วนผมทานเบียร์ลาวซะ สองขวด นอนสบายแล้ว หลับเก็บแรงไว้ก่อน พรุ่งนี้เจอกันหลวงน้ำทา

วันที่ 7 เมือหลวงน้ำทา (ระยะทางโดยประมาณ 110 km)

วันนี้พวกเราตื่นกันแต่เช้า ช่วยกันทำอาหารง่ายๆ ทานกัน ส่วนหนึ่งที่พวกเราทำอาหารทานกันก็เพราะบ้านดอนไชย ยังเป็นชนบทอยู่ ในตอนเช้าที่พวกเราตื่นกัน ร้านค้าที่ทำอาหารขายยังไม่เปิด และอีกอย่างส่วนใหญ่ชาวลาวจะทานข้าวเหนียวกัน ดังนั้นร้านอาหารที่ขายจะไม่มีข้าวสวยเลย จะเป็นข้าวเหนียวซะ 98% ที่เหลืออีก 2% ก็จะเป็นพวกเฝ๋อ

รูปภาพ

แผนการเดินทางของเราวันนี้ จะต้องผ่านเมืองเวียงภูคา จากนั้นก็จะเดินทางต่อไปยังเมืองหลวงน้ำทา และพักแรมกันที่นั่น ระยะทางก็ประมาณ 100 กว่านิดๆ

พวกเราออกเดินทางจากบ้านดอนไชยในเวลา 7.00 น. เดินทางกันมาได้นิดเดียว เจอภูเขาเสียแล้ว และก็เป็นการปั่นจักรยานขึ้นภูเขาไปกันจนถึงเวลาเกือบ 13.00 น.เลยทีเดียวสำหรับในช่วยแรกของการขึ้นเขา พอหลังจากนั้นก็จะเป็นการลงเขายาวๆ สลับกับทางเรียบๆ ไปจนถึงเวียงภูคา

รูปภาพ

หากใครที่ต้องการจะเดินทางมาตามเส้นทางที่ผมเดินทางอยู่นี้ ผมขอแนะนำให้แวะพักแรมที่เมืองเวียงภูคา สาเหตุเพราะกว่าจะถึงเมืองเวียงภูคาก็เกือบบ่ายสามโมงแล้ว และระยะทางอีก 60 กว่ากิโลเมตรที่จะไปเมืองหลวงน้ำทา ถึงแม้ว่าจะไม่ขึ้นเขาสูงชันมากเท่ากับวันที่ผ่านมา แต่ก็มีให้ขึ้นๆ และลงๆ ตลอด ที่สำคัญช่วงสุดท้ายก่อนที่จะเข้าเมืองหลวงน้ำทา จะมีภูเขาลูกใหญ่ๆ ชันๆ อีกหนึ่งลูก ให้ต้องพิชิต ก่อนที่จะลงเขายาวๆ สลับกับทางเรียบไปจนถึงเมืองหลวงน้ำทา ตรงทางลงนี่ละครับ ต้องระมัดระวังให้มากๆ เพราะสภาพพื้นผิวถนนย่ำแย่เอามากๆ ยิ่งถ้ามาถึงค่ำแล้ว การลงต้องลดระดับความเร็วให้เหมาะสม จะทิ้งดิ่งลงมาไม่ได้ เพราะอาจจะตีลังกาคอหักตายได้

รูปภาพ

ตรงเมืองหลวงน้ำทานี่ ต้องนัดแนะกันให้ดีว่าจะเจอกันที่ไหน หากเดินทางเป็นหมู่คณะฯ และมีทั้งคนนำหน้าและหลัง เนื่องจากว่าตรงป้ายที่บอกทางที่จะไปหลวงน้ำทา จะทำให้หลงไปได้ หากไม่มีการนัดพบกันที่แน่นอน จุดนัดพบในเมืองหลวงน้ำทา ที่ผมขอแนะนำคือ

1) ที่สถานีขนส่งเมืองหลวงน้ำทา
2) ร้านอาหารครัวไทย ซึ่งเป็นที่พบปะและพูดคุยกันของเหล่าคนไทยที่ทำงานอยู่ในเมืองหลวงน้ำทาและพื้นที่ใกล้เคียง

ที่พักในเมืองหลวงน้ำทา มีให้เลือกพักได้เยอะครับ แต่ราคาก็ไม่แตกต่างกันเลย ซึ่งผมว่าก็ดีอย่างทำให้ธุรกิจเรือพักของพวกเขาสามารถอยู่ได้โดยไม่แข่งขันกันด้วยด้านราคา จนสุดท้ายก็อยู่ไม่ได้ (เป็นวิธีการทำดำเนินทางธุรกิจแบบที่ตอนนี้บ้านเรานิยมใช้กันเหลือเกิน)

เมืองหลวงน้ำทา เป็นเมืองใหญ่ หากใครต้องการจะใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ตเพื่อติดต่อกับเมืองไทย ตรงนี้น่าจะเป็นจุดสุดท้ายที่เราสามารถจะใช้อินเตอร์เน็ตได้แล้ว เพราะหลังจากนี้ไปซึ่งเป็นการเดินทางในประเทศจีน มีอินเตอร์เน็ตก็จริง ก็การใช้งานยากลำบากกว่า สปป.ลาวเสียอีก

รูปภาพ

วันนี้เรามีเรื่องปัญหาในการเดินทางนิดหน่อย เนื่องจากมีการพลัดหลงกันที่เมืองหลวงน้ำทา แต่สุดท้ายก็สามารถแก้ไขกันลุล่วงไปได้

รูปภาพ

ผมฝากนิดนึง การเดินทางไกลแบบนี้ โอกาสจะเกิดปัญหาและกระทบกระทั่งกันสูง หากเราสามารถอะลุ้มอะล่วย และหาจุดที่ถอยให้ระหว่างกันได้ ก็จะทำให้การเดินทางสามารถเดินทางต่อไปกันได้อย่างมีรอยยิ้ม กฎระเบียบมีก็จริงแต่ก็จะยึดกับกฎระเบียบซะตรงเผงไม่ได้เพราะบางครั้งในสถานะการณ์จริงๆ มันมีรายละเอียดและเหตุผล รวมถึงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องทำ
พักกันที่หลวงน้ำทา วันนี้นอนห้องแอร์ ราคาคนละ 250 บาทเหมือนเดิม พรุ่งนี้จะข้ามแดนไปเมืองจีนแล้วจ้า

วันที่ 8 ข้ามชายแดน สู่ประเทศจีน จุดหมายแรก เมืองเมิงลา

รูปภาพ

ตื่นกันแต่เช้าเหมือนเดิมครับ ใครที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางเมื่อวาน และต้องนอนแต่เช้า ก็ตื่นมาส่งข่าวคราวให้ทางเมืองไทยได้รับรู้ว่า ตอนนี้มาถึงไหนแล้ว เพราะอย่างที่บอกตอนต้นครับ ว่าเลยจีนไปแล้ว ทั้งเฟสบุ๊ค และ ไลน์ ทางรัฐบาลจีนทำการบล็อกไว้เรียบร้อย เข้าได้ แต่ได้แต่มองตาปริบๆ

รูปภาพ

วันนี้ออกสายครับ เพราะแผนการเดินทางเราจะไปบ่อเต็น จากนั้นข้ามแดนไปเมืองโมฮาน (ทางคนลาวจะเรียกว่าเมืองบ่อหาน) ระยะทางก็แค่ 32 km ซึ่งประเมินว่าออกสายนิดก็น่าจะถึงไม่เกินเที่ยง ถึงแม้การเดินทางในช่วงแรกจะเป็นทางขึ้นเขาเช่นเดิม แต่ก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสไปกว่าวันแรกที่เจอใน สปป.ลาว แดดจะร้อนและแล้ง แต่ก็ยังอยู่ในสภาวะที่ทนได้เนื่องจากยังเป็นแดดตอนหัวรุ่ง

รูปภาพ

ถึงบ่อเต็นมาตามเวลาที่คาดไว้ครับ แต่เจอปัญหาแสบสันต์ คือ จากเมืองบ่อเต็นไปชายแดนเพื่อข้ามไปเมืองเมิงลา ของจีน ต้องปั่นไปอีกประมาณ 20 km ครับ และสภาพเส้นทางสุดติ่งกระดิ่งแมวเลย ขึ้นๆ ลงๆ นี่ละครับ หลุม ก้อนหิน สิบล้อ (โคตรสิบล้อ) เพียบ ที่มีรถบรรทุกเยอะ มีการนำพืชผลทางการเกษตรจากเมืองลาวได้แก่กล้วยหอม ไปส่งขายยังเมืองคุนหมิง

รูปภาพ

ที่สำคัญตรงนี้ต้องจำให้แม่นนะครับ เวลาในเมืองจีน จะเร็วกว่าในประเทศลาว 1 ชม. ดังนั้นที่ด่านทราบว่าด่าน ตม. ของฝั่งจีนเปิดบริการถึง 17.00 น. นั่นคือเวลาในประเทศจีนนะครับ

ดังนั้นเมื่อเราทานข้าวเสร็จและเดินทางไปจนถึงด่านชายแดนประเทศลาวก็เป็นเวลา 15.20 น. ซึ่งก็คือเวลา 16.20 น. ของเมืองจีน ดังนั้นเหลือเวลาอีก 40 นาทีเท่านั้นที่จะต้องข้ามแดนให้เรียบร้อย ไม่อย่างนั้นก็ต้องนอนพักข้างแรมกันที่ชายแดนนี่ละ (ไม่ต้องกังวลครับ ที่พักนะมีให้แน่นอน แต่ก็ตามอรรถภาพนะครับ)

การข้ามด่านที่ลาวค่อนข้างคลุกคลักนิดหน่อย เพราะเจ้าหน้าที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนกะ แต่ในด้านของเมืองจีน สะดวกมากครับ เพราะเราได้วีซ่าเพื่อเข้าประเทศจีนจากสถานฑูตประเทศจีนในประเทศไทยเรียบร้อยแล้วครับ

รูปภาพ

ผ่านแดนจีนมาเรียบร้อย ก็ประมาณ 17.00 น. (ตอนนี้เวลาเราจะพูดถึงเวลาในประเทศจีนแล้วนะครับ เร็วกว่าเรา 1 ชม.) ระยะทางไปเมืองเมิงลา ก็ประมาณ 50 กิโลเมตร เลยตัดสินใจเดินทางต่อไม่พักที่เมืองโมฮาน ช่วงระยะทางจากเมืองโมฮานมาประมาณ 15 กิโลเมตรนี่สุดยอดครับ ลงเขาอย่างเดียว แทบไม่ต้องปั่นเลย สภาพถนนดีมาก ยังคุยกันเล่นๆ ว่าสาธุ ให้ลงเขาแบบนี้ไปถึงเมิงลาเลยเถอะ

รูปภาพ

แต่แล้วคำอธิษฐานก็ไม่เป็นจริง เริ่มได้ปั่นขึ้นเขาแล้ว ขออธิบายถนนของประเทศจีนนิด คือเขาจะไม่ทำถนนให้มีความชันเกิน 7% และจะไม่ทำถนนที่เส้นทางคดเคี้ยวด้วย ดังนั้น งานนี้เราจึงได้เจออุโมงค์ลอดภูเขา และถนนที่สูงจากระดับพื้นดินขนาดตึก 20 ชั้นกันเป็นว่าเล่น

ที่น่าสนใจสุดๆ ของเมืองจีนคือเขานำเอาแนวคิดตามพระราชดำริของพระเจ้าอยู่หัวฯ ไปใช้ในการสร้างถนนด้วย นั่นคือการปลูกหญ้าแฝกตามเข้าข้างถนน เพื่อป้องกันดินถล่มและรักษาหน้าดินเอาไว้

ปั่นเข้ามาในจีนนี่แปลกใจอย่าง ต้นยางพาราจำนวนมากมายมหาศาล ไม่รู้ได้น้ำมาจากไหนหล่อเลี้ยง ใบงี้เขียวสดใส ไม่มีใบไหม้เลย ส่วนสวนกล้วยหอม ก็ใหญ่สุดลูกหูลูกตา (การปลูกกล้วย ถ้าน้ำไม่ถึง ปลูกไม่ได้นะครับ) เขียวชอุ่มไปหมด ทราบว่ากล้วยที่ปลูกในลาว และในจีนนี่นำไปจำหน่ายเพียงแค่ในเขตเมืองคุนหมิงเท่านั้น เล่นเอานึกในใจว่า นี่ถ้าตรูเป็นผู้บริหารในรัฐบาลจีน แค่หาอาหารเลี้ยงคนในประเทศให้พอเพียงก็ปวดหัว ปวดกะโหลกเอามากๆ

รูปภาพ

ขึ้นเขา ลงเข้า ลอดอุโมงค์กันเรื่อยๆ จนถึงทางแยกเลี้ยวซ้ายจะไปเมิงลา เมืองนี้เป็นเมืองคาสิโนครับ แต่ก่อนนี้คึกคักกว่านี้มาก พอรัฐบาลพม่าออกคำสั่งห้ามคนพม่าเข้ามาเล่นการพนันในเมิงลา ก็เลยส่งผลให้เมืองคาสิโนแห่งนี้เงียบเหงาไปถนัดใจ แต่เมืองนี้ก็ยังคึกคักอยู่ โดยเฉพาะช่วงกลางคืน ถือว่าเป็นเมืองแห่งแสงสีอย่างแท้จริง

ทางคณะฯ เดินทางมาถึงเมิงลากันในเวลาประมาณ 19.30 น. แต่ละคนหิวข้าวกันทั้งนั้น ที่พักเดี่ยวค่อยหาทานข้าวกันก่อน เราหาร้านอาหารแบบข้างทางได้ครับ ราคาอาหารของที่นี่จะประมาณ 35-50 หยวน แล้วแต่ว่าจะเป็นอาหารประเภทไหน ประกอบด้วยอะไรบ้าง จะทานอะไรก็เดินไปข้างในตู้แช่เย็น แล้วชี้วัตถุดิบเอา เช่น เอาผักนี้ทอด เอาปลานี้ต้ม อะไรประมาณนี้ละครับ แต่ปัญหาคือผมพูดภาษาจีน ไม่ได้ ทางเขาก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ก็ต้องมั่วกันจนเข้าใจกันละครับ เอิ๊กๆ

รสชาติอาหารของทางนี้ค่อนข้างเผ็ดร้อนทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะชอบใส่ผงชูรสอย่างมากเอาเป็นพิเศษ ใครแพ้ผงชูรสไม่แนะนำทางอาหารตามสั่ง ควรต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทานเองจะปลอดภัยกับการแพ้ผงชูรสมากกว่า

เมืองจีนนี่ เบียร์ถูกกว่าบ้านเรามาก ตกขวดละประมาณ 5-7 หยวน แล้วแต่ประเภทและยี่ห้อของเบียร์ แต่เบียร์รสชาติจะอ่อนกว่าเบียร์ไทยนะครับ ทาน 4 ขวดเท่ากับเบียร์ช้างไทย 1 ขวด

ทานเสร็จแล้วก็ต้องหาโรงแรมพักแรมกันแล้ว เอาละดิ ภาษาจีนว่าไงวุ้ย ไม่รู้เหมือนกัน ถามภาษาอังกฤษ เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน เลยทำท่าคนกำลังนอนหลับ ได้ผลเว้ย เขาบอกเดินตรงไป แล้วเลี้ยวซ้าย ตรงนั้นมีโรงแรม

ผมก็เดินตามที่เขาบอกนั่นละครับ แต่พอไปถึงโรงแรมมันอยู่ตรงไหนวุ้ย ไม่มีคำว่า hotel, guesthouse หริอ hostel ให้เห็นเลย มีแต่ภาษาจีนหมด เลยไปถามคนที่อยู่แถวนั้น ปรากฎว่าโรงแรมที่เราพักอยู่ข้างหน้านั่นเอง มีตัวเดียวที่ผมอ่านออกคือเลข 24 สันนิษฐานว่าน่าจะมาจาก 24 ชม.

ตกลงราคาเรียบร้อยเสร็จสรรพ เขาจีน ผมอังกฤษ เอาจนรู้เรื่องกันนั่นละ ได้ห้องพักคู่ จำนวน 4 ห้อง เป็นห้องแอร์ พอมาถึงก็ต่างแยกย้ายกันเข้าห้องใครห้องมัน เพราะเหนื่อยอ่อนกับการเดินทาง แถมทานอาหารแล้วหนังท้องตึงในตาหย่อนด้วย
พักผ่อนแล้วครับ พรุ่งนี้เดินทางต่อ แล้วเจอกันนะ เมิงลูน

วันที่ 9 เขามีเอาไว้เข็น อุโมงค์มีเอาไว้ลอด เมืองเมิงลูน

รูปภาพ

วันนี้ออกเดินทางสายหน่อยครับ ประมาณ 10.00 น.ของเมืองจีน เพราะต้องการให้เวลาในช่วงเช้าเป็นช่วงสำหรับชมบรรยากาศของเมิงลาว่าเป็นอย่างไรบ้าง

สำหรับผมตื่นเช้าก็หาอาหารทานก่อนเลย เพราะเริ่มหิวแล้ว ปรากฏว่าข้างๆ โรงแรมที่พักมีเฝ๋อขายอยู่เจ้าหนึ่ง ท่าทางจะอร่อย เพราะมีคนมารอคิวซื้อเพียบ ราคาของเฝ๋ออยู่ที่ชามละ 6 หยวน ทานชามเดียวอิ่มครับ ไม่ต้องมีสอง

เฝ๋อเมืองจีน ผมชอบเส้นเขานะ มันอร่อยกว่าเส้นก๊วยเตี๋ยวบ้านเราเยอะเลย แถมยังนุ่มดีด้วย ไม่แน่ใจว่าแต่ละร้านเขาจะทำด้วยมือ เพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละร้านหรือเปล่า ไม่แน่ใจครับ

อ้อ เกือบลืมเรื่องสำคัญ เรื่องการแลกเงินเพื่อใช้จ่ายในประเทศจีน การแลกเงินหยวนเพื่อใช้จ่ายในประเทศจีน หากจะสะดวกที่สุดให้แลกจากร้านรับแลกเงินที่อยู่เมืองโมฮานเลยครับ เพราะเลยจากนั้นมาแล้วจะไม่มีร้านรับแลกเงินอีกเลย ต้องกดเงินหยวนจากตู้เอทีเอ็มเท่านั้น ได้ครั้งละประมาณ 10,000 บาทไทย ค่าบริการครั้งละ 250 บาท แต่ถ้าจำเป็นต้องแลกเงินจริงๆ จะสามารถแลกได้ที่ Bank of China ที่เดียวเท่านั้น จะไม่สามารถแลกเงินได้จากธนาคารอื่น และร้านรับแลกเงินก็ไม่มีให้เห็นด้วย ส่วนคิดจะไปหาร้านแลกเงินใต้ดิน เลิกคิดได้เลย ไม่มีให้เห็น เพราะรัฐบาลจีนค่อนข้างจริงจังกับเรื่องนี้เอามาก

ที่สำคัญหากต้องการจะจับจ่ายใช้สอยโดยใช้บัตรเครดิต สำหรับในเมืองจีน ยังไม่สะดวกครับ อย่างไรก็ต้องเงินสด และเป็นเงินหยวนเท่านั้น ไม่รับเงินบาท

ออกจากเมิงลามาก็ปั่นขึ้นเขาทันที ค่อยๆ ซึมขึ้นเขาทีละนิดไปเรื่อยๆ การเดินทางช่วงนี้ ไฟรถจักรยานต้องพร้อมทั้งไฟหน้าและหลังนะครับ ถ้าไม่พร้อม ห้ามปั่นเด็ดขาด อันตรายมาก เนื่องจากต้องมีการลอดอุโมงค์ผ่านภูเขาระยะทางเกือบ 4 กิโลเมตร และต้องลอดอุโมงค์ยาวๆ หลายช่วงทีเดียว ในอุโมงค์มืดมากครับ แถมมีรถใหญ่วิ่งไปมาตลอด เรื่องไฟที่ติดบนจักรยานจึงจำเป็นอย่างมาก (เรื่องรถบรรทุกของที่นี่ไม่ต้องห่วงครับ เขาขับห่างจากพวกเราเยอะ ปลอดภัยกว่าปั่นจักรยานถนนบ้านเราเสียอีก จะปวดหัวหน่อยก็ตรงเรื่องบีบแตรนี่แหละ คือเขาจะบีบแตรบอกเราตลอดว่า เอ้ย มีรถใหญ่ข้างหลังนะ จะแซงแล้ว)

รูปภาพ

ตั้งแต่เช้าที่เริ่มออกเดินทาง จนถึงบ่ายสามโมงโดยประมาณ คือการปั่นขึ้นเขา และ ลอดอุโมงค์อย่างเดียวครับ ไม่มีทางให้ลงเลย ทางสายนี้จะมีสถานีน้ำ เพื่อคอยเติมน้ำให้กับรถบรรทุกที่วิ่งไปมาตลอด โดยน้ำเหล่านี้จะเอาไปเป็นตัวหล่อเย็นให้กับระบบเบรกและยางรถยนต์ นึกเอาแล้วกันว่าเป็นทางลงและขึ้นเขาที่ยาวขนาดไหน

ระหว่างเดินทางมีผู้ร่วมเดินทางท่านหนึ่ง ไม่สามารถทนสภาพอากาศที่ร้อน รวมไปถึงการปั่นขึ้นเขาเกือบตลอดทั้งวันที่ผ่านมาได้ ตัดสินใจจะหยุดรอที่สถานีพักรถโดยสารและหาโบกรถหรือขึ้นรถโดยสารไปยังแยกทางเข้าเมืองลูนรอเรา

ส่วนผมและคณะเดินทางต่อครับ เลยจากจุดที่เป็นที่พักรถโดยสารมาอีกประมาณสองชั่วโมง (ปั่นขึ้นเขาอีกนั่นละ) ก็เจอของขวัญจากความพยายามตลอดทั้งวันของเรา เป็นการลงเขาระยะทางเกือบ 25 กิโลเมตร ตั้งแต่ปั่นจักรยานมาไม่เคยเจอทางลงเขาที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้เลยครับ ทั้งทิวทัศน์ที่สวยงาม สภาพพื้นผิวถนนที่ยอดเยี่ยม รวมไปถึงการออกแบบถนนที่ทำให้การปล่อยลงเขามันสนุกและปลอดภัยอย่างมาก

เราเดินทางจนถึง เมิงลูน ประมาณทุ่มนิดๆ มีปัญหาเกิดขึ้นคือพี่ที่จะโบกรถเพื่อที่จะรอเราล่วงหน้า ไม่ได้มาตามนัดหมาย แต่นี่ก็เย็นแล้ว พวกเราควรต้องหาที่พักก่อน เพื่อจะได้รู้ว่าควรทำอะไรกันต่อไป

รูปภาพ

ที่พักในเมิงลูน ก็อยู่ในราคาตามมาตรฐานครับ แต่ห้องกว้างมาก ไม่ได้เขียนเป็นภาษาอังกฤษ เป็นภาษาจีนเหมือนเดิม เราอาศัยดูจากเลข 24 แล้วก็อาศัยภาษามือถามว่าใช่ไหม ฮาๆ ปรากฎว่าใช่ เลยตกลงพักเลย
ส่วนพี่ที่ต้องโบกรถมานั้น เราสันนิษฐานเบื้องต้นว่าที่ไม่ได้พบกันคือ

1) โบกรถไม่ได้ เลยต้องนอนค้างที่อยู่ที่จุดแวะพักรถโดยสาร
2) โบกรถได้ แต่เห็นว่าทางขึ้นเขาลงเขาเยอะ เลยไปรอเราที่สิบสองปันนาเลย เพราะทราบอยู่แล้วว่าเราจะเข้าพักที่ไหน

ผมไม่ค่อยห่วงมากนักเพราะพี่เขามีประสบการณ์ในการเดินทางในต่างประเทศมากมาย อีกทั้งพี่เขาก็ทราบว่าที่สิบสองปันนาเราพักที่ไหน และอีกอย่างเงินสดที่เป็นเงินหยวนก็มีพอใช้จ่ายในเบื้องต้น และที่สำคัญที่พี่เขาแรงหมด เป็นเพราะนี่คือการปั่นแบบท่องเที่ยวครั้งแรก ปรกติพี่เขาจะปั่นจักรยานแบบเน้นความเร็ว เลยกะระยะการใช้แรงผิดพลาด ซึ่งความจริงในกลุ่มนี้คนที่ทักษะในการปั่นจักรยานอ่อนสุดนะคือผม ปิดก้นตล๊อด ถ้าพี่เขาไม่เร่งปั่นแบบสบายๆ เห็นวิวตรงไนสวยๆ ก็ถ่ายภาพ ไปเรื่อย พร้อมผม รับรอง สบายพี่เขาละ ดังนั้น หากอยู่ในกรณีที่ 1 พี่เขาปั่นตามหลังเราได้แน่ๆ

พรุ่งนี้จะไปถึงสิบสองปันนาแล้วจ้า นอนก่อนนะคร้าบ อ้อ ก่อนนอน จัดไป เทอร์เบิร์ก 2 ขวด เพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย เอิ๊กๆ

วันที่ 10 ถึงแล้วสิบสองปันนา (เมืองจิงหง)

รูปภาพ

เช้านี้พวกเราตื่นกันมาแบบกระปรี้กระเปร่ากันเลยทีเดียว เพราะอีกไม่ถึง 100 กิโลเมตรเราจะเดินทางถึงจุดหมายปลายทางของการเดินทางในครั้งนี้ นั่นคือ 12 ปันนา

มีพี่ๆ ส่วนหนึ่งออกไปทานอาหารเช้าในตัวเมิงลูน ก็ต้องเป็น เฝ๋อ ละครับ แต่ทราบว่า เฝ๋อ ที่นี่อยู่ในแบบจัดเต็มมากคือ ชามใหญ่ เครื่องถึง ราคาแพงไปนิดแต่ก็ถือว่าคุ้มค่ากับราคาเป็นอย่างมาก พอเก็บของเสร็จและเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินทางต่อกันละครับ

ออกมาแยกเมืองลูนที่พวกเราเลี้ยวเข้ามาเมื่อวาน เลี้ยวขวาเพื่อออกเส้นทางหลักและเดินทางต่อ เดินทางมาได้สัก 3 กิโลเมตร ก็เป็นการปั่นขึ้นเขาแบบเดิม การเดินทางครั้งนี้ถือว่าเป็นการเดินทางปั่นขึ้นเขาที่ยาวนานทีเดียว นี่ดีนะครับว่าถนนเป็นแบบนี้ เลยเดินทางง่าย ถ้าไม่มีอุโมงค์ลอดภูเขา สงสัยยังวนเวียนๆ อยู่แถวๆ เมิงลานั่นละ

ขึ้นแล้วก็ขึ้น ค่อยๆ ปั่นไปเรื่อยๆ ระหว่างทางมีร้านผลไม้วางขายให้เห็นเป็นระยะๆ ครับ แต่ร้านอาหารนี่หายากหน่อย ถ้าเป็นไปได้วันนี้ถ้าเดินทางออกมาจากเมิงลูน ให้เตรียมอาหารสำหรับมื้อกลางวันมาด้วยจะดีมาก

ขึ้นภูเขาและลอดอุโมงค์กันจนมาสักบ่ายสองโมงกว่า ตรงนี้ละครับ ไฮไลท์เลย ลงเขาปรู๊ดมาถึงแยกเลี้ยวซ้ายไปจิงหง เขาจะมีภาษาอังกฤษเขียนให้เห็นเลย

เราจอดรอกันให้สมาชิกพร้อมเพรียงกัน จากนั้นก็ปั่นไปจิงหงพร้อมกันเลย ปั่นมาได้สัก 5 กม. ก็เป็นทางลงเขาครับ ลงนี่คือลงอย่างเดียวเลย ยาวเหยียดกันถึงเกือบ 20 กม. ได้

ตอนนี้เรามาถึงจิงหงกันเรียบร้อยแล้ว คราวนี้จะไปที่พักกันอย่างไร การสื่อสารกับชาวจีนมีปัญหาหนักมาก คือ เขาพูดจีน เราพูดอังกฤษ และต่างฝ่ายต่างก็ไม่รู้เรื่อง เขาอยากจะช่วยก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร สุดท้ายได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าของปั๊มน้ำมัน ช่วยติดต่อกับทาง hostel ที่เราพัก และเรียกมอเตอร์ไซต์รับจ้างนำทางเราไปจนถึงที่พัก

ใครที่เดินทางตามหลังพวกเราและมาตามเส้นทางเดียวกันนี้ ให้จำไว้เลยครับ ว่าพอลงเขามาถึงจิงหงแล้ว ปั่นช้าๆ มาเรื่อย จะมีป้ายบอกว่าเลี้ยวซ้ายไปสะพานฯ อันนั้นละครับ เลี้ยวไปเลย แล้วคุณจะเห็นสะพานข้ามแม่น้ำโขง ให้ข้ามสะพานมา ตรงนั้นละครับ คือตัวเมืองของจิงหง ที่พักมีอยู่กระจัดกระจายหลายแบบหลายราคา ถ้าเป็นช่วงปรกติราคาไม่แพงครับ แต่ถ้าช่วงสงกรานต์นี่ราคาจะกระโดดมาเกือบ 4-5 เท่าตัว และเขาก็บอกเราตรงๆ ด้วยว่าที่แพงเพราะวันสงกรานต์ ที่อื่นราคาขึ้นกันตามนี้ และหาที่พักไม่ได้หากไม่มีการจองล่วงหน้า เต็มหมด (คนจีนที่เป็นนักท่องเที่ยว เยอะจริงๆ ครับ)

มาถึงที่พัก พอจัดการอะไรเรียบร้อยแล้ว ผมก็ถามทันทีว่ามีคนโทรศัพท์ฝากโน้ตถึงเราหรือมีเพื่อนคนไทยของผมมาก่อนหน้านี้หรือไม่ คำตอบคือ ไม่มีเลย

เอาละสิ เกิดอะไรขึ้นกับพี่ที่แยกกับเราเพื่อโบกรถ เพราะถ้ามาถึงจิงหงแล้ว อย่างไรก็ควรจะโทรมาบอกเราหน่อยว่าเป็นอย่างไร เพราะพี่เขามีที่อยู่และเบอร์โทรของที่พักของเราอยู่แล้ว

ปรึกษาหารือกันสักพัก เลยตกลงกันว่า เอางี้ รอให้ครบ 72 ชม.ก่อน ถ้าขาดการติดต่อ ค่อยไปแจ้งความให้ทางตำรวจจีนช่วยติดตามให้ แต่พวกเราก็คาดว่าวันนี้อย่างไรต้องมีการติดต่อจากพี่เขาแน่นอน

ช่วงระหว่างรอก็ขึ้นห้องพักไปจัดการธุระส่วนตัวของแต่ละท่าน จนถึงเวลาอาหารเย็น ซึ่งเราตัดสินใจทานกันที่ hostel เพราะมีอาหารจำหน่ายและราคาก็ถือว่ารับได้ไม่แพง ขณะที่รออาหารอยู่ ปรากฎเจ้าหน้าที่ของทาง hostel มาแจ้งเราว่ามีโทรศัพท์เข้ามาหา ผมก็เลยไปคุยด้วยปรากฎว่าเป็นพี่ที่ขาดการติดต่อจากเรานั่นเอง พอได้ยินเสียงและทราบว่าตอนนี้เป็นอย่างไร ก็สบายใจแล้ว และแจ้งให้พี่เขาทราบว่าเราถึงที่พักแล้ว พี่เข้ามาได้เลย พวกเรารออยู่

ผมกลับมาแจ้งให้ทางคณะฯ ทราบว่า ได้รับข่าวคราวของพี่ที่ขาดการติดต่อจากพวกเราแล้ว ก็เลยยิ้มกันได้ทั้งคณะฯ พอพี่เขามาถึง เราถึงได้รู้ว่า หาโบกรถยนต์ไม่ได้เลย เพราะในจีนหาคนที่ใช้รถปิ๊กอัพยากมาก ส่วนใหญ่จะใช้รถเก๋งหรือเอสยูวี กันซะเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากในสังคมจีนหากใครขับรถปิ๊กอัพ นั่นคือพวกชนชั้นล่างสุดๆ รถโดยสารประจำทางก็ไม่ยอมรับให้จักรยานขึ้น แถมพูดกันไม่รู้เรื่องอีก สุดท้ายเลยต้องนอนอยู่ที่สถานีพักรถแห่งนั้น พอวันรุ่งขึ้นก็ตื่นแต่เช้ามืด เดินทางตามหลังพวกเรามาเรื่อยๆ

พี่เขาบอกว่า ต้องเตือนคนไทยเราว่า มาเมืองจีน อย่าหวังว่าจะโบกรถได้ เพราะไม่มีรถให้โบกจริงๆ ไม่ใช่คนจีนไร้น้ำใจ แต่เขาไม่ได้ใช้ปิ๊กอัพ และท่ำสำคัญเรื่องการสื่อสาร ไม่รู้เรื่องด้วยกันทั้งคู่

ส่วนเรื่องห้องน้ำห้องท่า หากเป็นห้องน้ำสาธารณะ ต้องทำใจนานๆ เลยนะครับ คือตอนนี้มันก็ดีกว่าแต่ก่อนเยอะ แต่ถึงจะดีขึ้น แต่ก็ยากที่จะทำใจในทันทีทันใด ต้องยืนทำใจสัก 5 นาที

ทานอาหารเย็นเสร็จ พวกเราเดินชมบรรยากาศของเมืองจิงหงในยามราตรีกันครับ จิงหงวันนี้ต่างจากเมื่อก่อนมากมาย แต่ถึงเจริญมาก แต่เมืองของเขาต้องยอมรับว่าน่าเดินเล่นมาก สายไฟ สายโทรศัพท์และสายต่างๆ ไม่มีระโยงรยางค์ให้เห็นรกไปมาบนถนนเลย เพราะเขาวางไว้ใต้ดินหมด

เดินเล่นกันสักพักก็กลับที่พักครับ พรุ่งนี้ค่อยเดินชมบรรยากาศของเมืองตอนเช้ากันว่าเป็นอย่างไร รวมถึงจะต้องวางแผนด้วยว่า “เราจะกลับกันอย่างไร”
แก้ไขล่าสุดโดย jackal2008 เมื่อ 02 พ.ค. 2016, 17:12, แก้ไขแล้ว 9 ครั้ง
รูปประจำตัวสมาชิก
e21smn
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 1501
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2011, 22:02
Tel: JACK
team: Shinozawa Team
Bike: Salsa Ala Carte , Fourteen , Dahon Boardwalk , Winspeed LR II

Re: บันทึกการเดินทาง เชียงใหม่ ไป สิบสองปันนา (จิงหง) ประเทศจีน

โพสต์ โดย e21smn »

เห็นรถกับสัมภาระแล้วต้องยกนิ้วให้เลย เป็นผมมีลากเทรลเล่อแบบนี้ปั่นไม่ออกแน่ ยอดเยี่ยมครับ
พม่าตรึงใจ ธค 2559
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=56&t=1559891
สบายดีหลวงพระบาง กพ 59
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=56&t=1407851
รูปประจำตัวสมาชิก
ว่าวต้องลม
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 715
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ค. 2013, 18:27
Bike: Focus Cayo Evo 4.0

Re: บันทึกการเดินทาง เชียงใหม่ ไป สิบสองปันนา (จิงหง) ประเทศจีน

โพสต์ โดย ว่าวต้องลม »

สุดยอดครับ
งานพิมพ์ด่วน รอรับได้เลยยยยยยยย บริการรับพิมพ์สิ่งพิมพ์ทุกชนิด http://www.thaiutsaha.com
รูปประจำตัวสมาชิก
tom_issara
สมาชิก
สมาชิก
โพสต์: 96
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2015, 18:02
Tel: -0932255811
team: -
Bike: fuji

Re: บันทึกการเดินทาง เชียงใหม่ ไป สิบสองปันนา (จิงหง) ประเทศจีน

โพสต์ โดย tom_issara »

ขอตามไปด้วยคน ขอเก็บเป็นข้อมูลวางแผนเดินทางแต่หาเพื่อนเดินทางร่วมไม่ได้ ขอบคุณครับ
โอ๊ก
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 1227
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ส.ค. 2008, 10:20
Tel: 0875897608
team: ไปเรื่อยๆ
Bike: เมริด้า แลนด์เกียร์
ตำแหน่ง: ซ.อ่อนนุช 46
ติดต่อ:

Re: บันทึกการเดินทาง เชียงใหม่ ไป สิบสองปันนา (จิงหง) ประเทศจีน

โพสต์ โดย โอ๊ก »

ขอบคุณครับ รอติดตามชม :lol: :lol: :lol:
ปั่นไกลแค่ตามองเห็น
เสือหมอบ Bianchi DAMA-BIANCA She Alu7000 เป็นรถสำหรับผู้หญิง ขนาด 44
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=3&t=1479426
รูปประจำตัวสมาชิก
pol noenpijit
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 605
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2013, 16:34
Tel: 093-7328041
team: นาหม่อม

Re: บันทึกการเดินทาง เชียงใหม่ ไป สิบสองปันนา (จิงหง) ประเทศจีน

โพสต์ โดย pol noenpijit »

ติดตามด้วยคนคับ
ปั่นสบายๆ ไปกับสองล้อคู่ใจ http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 5&t=351111

ปั่นสบายๆ ไปกับสองล้อคู่ใจ ตอน อพยพตามความฝันhttp://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... &t=1361518
รูปประจำตัวสมาชิก
ลม ลำเพย
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 404
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2014, 13:47
team: Free

Re: บันทึกการเดินทาง เชียงใหม่ ไป สิบสองปันนา (จิงหง) ประเทศจีน

โพสต์ โดย ลม ลำเพย »

เข้ามาติดตามครับ
ติดต่อเบอร์นี้ครับ ** 089--556--4322 ** (เบอร์อื่นๆโจร)

วัยรุ่น......... มีเวลา มีแรง แต่ไม่มีเงิน
วัยทำงาน... มีแรง มีเงิน แต่ไม่มีเวลา
วัยชรา....... มีเงิน มีเวลา แต่ไม่มีแรง
รูปประจำตัวสมาชิก
ครูหาด
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 814
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 พ.ค. 2014, 15:58
Tel: 0910489183
team: นาหม่อม
Bike: TREK / ARAYA / PANASONIC

Re: บันทึกการเดินทาง เชียงใหม่ ไป สิบสองปันนา (จิงหง) ประเทศจีน

โพสต์ โดย ครูหาด »

ติดตามครับ สุดยอดบรรทุก
HS 9 LMZ
ยังไม่ลอง รู้ได้ไงว่าทำไม่ได้
raiarj
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2095
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ส.ค. 2010, 08:31
Tel: 086-797 8949
Bike: รถเหล็ก สนิ่มสนิ่ม สีเดิมเดิม

Re: บันทึกการเดินทาง เชียงใหม่ ไป สิบสองปันนา (จิงหง) ประเทศจีน

โพสต์ โดย raiarj »

เยี่ยมมากครับ
ตอบกลับ

กลับไปยัง “สรุปทริป / รายงานการปั่น”