หมาป่าเดียวดาย...ตามรอย "เหมืองแร่" ทรัพย์จากพื้นแผ่นดิน สินแห่งชีวิต ของอาจินต์ ปัญจพรรค์

รายงาน/รูป "สรุปทริป" จากที่ได้ปั่นมา
รูปประจำตัวสมาชิก
a lone wolf
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 446
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2010, 01:57
Bike: kona sutra

หมาป่าเดียวดาย...ตามรอย "เหมืองแร่" ทรัพย์จากพื้นแผ่นดิน สินแห่งชีวิต ของอาจินต์ ปัญจพรรค์

โพสต์ โดย a lone wolf »

Tin Mine
อารัมภกถา.....
หมาป่าเดียวดายนั้นมีหนังสือเป็น “เครื่องอยู่” มาตั้งแต่เด็กๆ

เด็กส่วนใหญ่มีการเล่น ขนม รายการโทรทัศน์เป็นเครื่องอยู่ เป็นอย่างนี้มานานแสนนาน หมาป่าก็ไม่ต่างออกไป

สมัยนี้เด็กๆอาจมีเกมคอมพิวเตอร์เพิ่มเข้าไปในรายการ ด้วยว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป คนรุ่นพ่อรุ่นแม่หมาป่าตอนเป็นเด็กเครื่องอยู่ก็คงไม่มีเจ้าสองรายการหลังที่ว่า

ในเวปจักรยานนี้ จักรยาน ต้องนับเป็นเครื่องอยู่ของสมาชิกหลายคน

เวลาผ่านไป โตขึ้นมาเครื่องอยู่ก็มีเยอะขึ้น แตกต่างกันไปแต่ละคน บางอย่างชอบอยู่สักพักแล้วก็เลิก บางอย่างก็อยู่กันยาวนาน

แต่หนังสือนั้นนับเป็นสิ่งสำคัญเสมอมาของหมาป่า

ไปไหนมาไหนก็มักมีหนังสือติดมือไว้อ่าน ยามกินข้าวคนเดียวก็ต้องมีหนังสือไว้อ่านไม่งั้นกินข้าวฝืดคอไม่รู้จะมองอะไร

หมาป่าเป็นคนค่อนข้างเก็บตัว ตอนเด็กยามปิดเทอมถ้าไม่ออกไปเล่นกับเด็กข้างบ้านหมาป่าก็ไม่เคยเหงาเพราะมีหนังสือเป็นเพื่อน อ่านไปจินตนาการไปกับตัวหนังสือ นึกภาพในหัวว่ามันจะเป็นยังไงหนอเจ้าสถานที่หรือผู้คนที่หนังสือบรรยายเอาไว้เนี่ย ตอนเด็กๆมีตังค์ไม่มากแต่หากเก็บออมไว้ซื้อหนังสือพ่อแม่หมาป่าไม่เคยบ่นว่าเป็นรายจ่ายที่สุรุ่ยสุร่าย มีญาติมีน้ามีป้าที่เขาอ่านหนังสือเขาก็ยินดีให้หยิบยืม ปิดเทอมใหญ่ไปเที่ยวบ้านญาติก็เที่ยวไปค้นหนังสือในบ้านเขาอ่าน เป็นเด็กเลี้ยงง่ายมากครับ มีข้าวให้กินมีหนังสือให้อ่านก็อยู่ได้สบายดีแทบไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย

ตอนเรียนมหาวิทยาลัยนั่นแหละหมาป่าถึงเริ่มชอบดูหนัง ดูค่อนข้างเยอะแต่ก็มาทิ้งไปในภายหลัง

สมัยนี้ถ้าให้ไปดูหนังตามโรง ติดจะขี้เกียจเพราะรถติดเบื่อวนหาที่จอดรถ ต้องเป็นหนังที่อยากดูจริงๆนั่นแหละครับถึงจะย้ายตัวไปดู

คนรุ่นวัยหมาป่าเราผ่านยุคอนาลอคผ่านมาถึงยุคดิจิตัล การเปลี่ยนแปลงมันเยอะมาก เราเขียนจดหมายส่งหาเพื่อนตอนปิดเทอม เดี๋ยวนี้เราใช้อีเมล์ใช้โปรแกรมแชท หรือทางกายภาพเองเรายังเป็นรุ่นที่ได้สัมผัสหน้าหนาวในกรุงเทพ หนาวแบบหนาวจริงๆ พูดแล้วมีควันออกมาจากปาก ตอนบ่ายในห้องเรียนเด็กๆรุ่นหมาป่าก็ยังต้องใส่เสื้อหนาว กลับบ้านแม่จะต้มน้ำใส่กาใบใหญ่เพื่อเอามาผสมน้ำอาบในกระถัง ตักราดตัวทีละขันเพราะสมัยโน้นที่บ้านไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น หนาวนานหนาวจริงมิใช่เย็นๆแค่อาทิตย์สองอาทิตย์แบบทุกวันนี้ คงด้วยว่าบ้านเมืองมีป่ามีเขา และในกรุงเทพยังไม่ระดมติดแอร์ปล่อยความร้อนออกมานอกบ้านกันจนเมืองร้อนอุ้ม

คนรุ่นเดียวกับหมาป่าไม่รู้ว่ามีกี่คนที่จะคล้ายกันนะครับ หมาป่ามีอารมณ์โหยหาและจินตนาการถึงบ้านเมืองสมัยอดีต ภาษาอังกฤษที่เขาบอกว่า Nostalgia Nostalgic และยังลามไปถึงสมัยก่อนที่หมาป่าเกิดด้วยซ้ำ เวลาเห็นภาพในหนังสือที่เป็นบ้านเมืองยุคโบราณ จะเป็นภาพถ่ายภาพวาดสมัยต้นรัตนโกสินทร์ มักทำให้หมาป่าสงสัยเสมอว่าตอนที่ป่าทางเหนือยังเขียวครึ้ม เดินทางขึ้นไปใช้เวลากันเป็นเดือน กรุงเทพที่เลยจากราชดำเนินไปก็เป็นทุ่งนา มีปลูกต้นหมาก พายเรือไปมาหาสู่กัน วันคืนที่ยังไม่มีแสงจากไฟฟ้ามากวนสายตาในคืนเดือนมืดที่เห็นดาวพราวเต็มฟ้านั้นมันเป็นเช่นไร หรือเอายุคใกล้ๆเช่นสมัยสงครามโลกครั้งที่สองหรือหลังสงครามเลิกไม่นาน ยุคที่พ่อแม่หมาป่าจีบกันตอนพศ. 2508 เห็นภาพถ่ายบ้านเมืองการแต่งตัวของผู้คน ฟังเพลงเก่าๆที่คนยุคนั้นฟังกัน อ่านตัวหนังสือที่บรรยายไว้หมาป่านึกเสียใจนิดๆที่เกิดไม่ทัน ถ้าได้เห็น ได้อยู่ ได้กลิ่น ได้สัมผัสก็คงจะดี

เล่ามานี้ด้วยธาตุของหมาป่าคงพอเรียกตัวเองได้ว่าเป็นนักอ่าน ไม่กล้าเรียกตัวเองว่าหนอนหนังสือ แต่เรียกได้เต็มปากว่าเป็นนักอ่าน อีกทั้งเป็นนักฝันโหยหาอดีต

แต่แปลกครับนักอ่านคนนี้ตอนเด็กๆกลับไม่เคยอ่านงานของอาจินต์ ปัญจพรรค์ นักเขียนศิลปินแห่งชาติปี 2534 เลย คุณลุงอาจินต์สร้างชื่อเสียงมาจากเรื่องสั้นชุด “เหมืองแร่” ตอนเด็กๆพ่อหมาป่าจะซื้อหนังสือฟ้าเมืองไทยรายสัปดาห์ติดมือเข้าบ้านมาเสมอเสมอ ฟ้าเมืองไทยที่มีคุณลุงอาจินต์เป็นบรรณาธิการและหุ้นส่วนเจ้าของ ท่านเป็นเจ้าของวลี “ตะกร้าสร้างนักเขียนมาทุกยุค” ในช่วงหลังท่านออกหนังสือฟ้าเมืองทองเป็นรายเดือนเสริมขึ้นมา พ่อหมาป่าก็ซื้อประจำ ตอนนั้นเหมือนว่าชื่ออาจินต์ดูเขียนเรื่องที่ไกลตัว เหมืองแร่อะไรก็ไม่รู้ เวลาท่านตอบจดหมายก็ดูว่าท่านซีเรียสเพราะท่านเป็นบรรณาธิการ อ่านงานของนักเขียนท่านอื่นสนุกกว่า งานของนิมิตร ภูมิถาวร งานของละเอียด นวลปลั่ง งานของคำพูน บุญทวี กลับเป็นงานที่หมาป่าอ่านแล้วจดจำ

โน่นแหละครับล่วงเข้าหมาป่าอายุ 37 ปี เมื่อปี 2548 ตอนที่บริษัทสร้างหนัง GTH โดยคุณจิระ มะลิกุลเป็นผู้กำกับผู้เขียนบทได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง มหา’ลัยเหมืองแร่ โดยซื้อลิขสิทธิ์จากเรื่องสั้นชุดเหมืองแร่ มีการทำประชาสัมพันธ์ มีบทสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้อง และมีการตีพิมพ์หนังสือชุดเหมืองแร่ขึ้นมาอีกครั้ง...ครั้งนี้แหละที่ทำให้หมาป่าได้หยิบเรื่องเหมืองแร่ซื้อมาอ่าน อ่านหลังจากไปดูหนังมาแล้ว....โอ้ว คุณลุงอาจินต์ครับ หมาป่านี้โง่จริงๆ งานชั้นเลิศระดับนี้หลงโง่ไม่อ่านได้อย่างไรก็ไม่รู้ ท่านเขียนดีสมกับตำแหน่งศิลปินแห่งชาติโดยแท้ ตัวละคอนที่มีพื้นฐานมาจากตัวตนจริงของคนในเหมือง เรื่องราวของพวกเขา “ข้าพเจ้า” ที่เป็นตัวอาจินต์ นิสิตรีไทร์ปีสองจากวิศวะจุฬาฯ “ไอ้ไข่” “นายฝรั่ง” “พี่จอน” “โกต๋อง” “พี่ก้อง” “พี่เหวง” “พี่บุญยิ่ง” “ตาหมา” เหล่านี้ล้วนทำให้ชีวิตในเหมืองกระโสม ทิน เดรดยิง ที่อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา จับอยู่ในหัวใจของหมาป่า

มันคงจะเสริมด้วยภาพของหนังมหา’ลัยเหมืองแร่ ที่กลั่นจากความตั้งใจของทีมงานผู้สร้างยิ่งทำให้จินตนาการถึงชีวิตของอาจินต์ ของผู้คน ของตัวเหมืองแร่ที่ดูราวกับมีชีวิตไปด้วย ยิ่งชัดเจนแจ่มจ้าในหัวของหมาป่า ด้วยมิเพียงพึ่งตัวหนังสือถ่ายเดียว หมาป่าเคยได้ยินว่าฝรั่งผู้ชายบางคนชอบดูหนังเรื่อง God Father ดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า และหยิบยกคำพูดเรื่องราวในหนังมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ชีวิตลูกผู้ชาย เหมือนถ้าเป็นคนแบบนี้พูดอะไรขึ้นมาคนประเภทเดียวก็จะต่อกันติด หมาป่าเองก็คล้ายคลึงกัน ช่วงปีหลังจากดูหนังและอ่านหนังสือเรื่องเหมืองแร่ หมาป่าจะหยิบหนังจากกล่อง DVD Box Set ที่ลงทุนซื้อไว้มาดูอยู่เนืองๆ ตัวหนังสือนั้นก็หยิบมาอ่านทวนอยู่บ่อยๆ หมาป่าไม่ได้เป็น God Father Mania แต่เป็น Tin Mine Mania แทน

ปี 2492 ถึง ปี 2496 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกไม่กี่ปี ทางหลวงสายใต้ยังไม่ได้สร้างต่อเนื่องกันครบทุกจังหวัดบางช่วงคงยังไม่ได้ลาดยางแต่เป็นถนนฝุ่น หรือถนนโคลนยามฝนตก คนอยู่พังงาก็คงบอก “กรุงเทพไกลเหลือเกิน” คนอยู่กรุงเทพก็บอกเหมือนกันว่า “พังงาไกลเหลือเกิน”.....

“ความเป็นเมืองไกลสุดหล้าฟ้าเขียวขนาดไปตายหรือไปสาบสูญนั้น กฏหมายโบราณปักป้ายไว้ว่า “แม้นว่าชายไปเมืองจีน ไปทะเล ไปพังงา ไปชวาฟ้าแดง ดังนั้นไซร้ ท่านให้หญิงยู่ (คอย) ท่า 3 ปี ถ้าพ้น 3 ปีแล้ว หญิงมีชู้ผัว มิให้มีโทษแก่หญิงชายนั้นเลย”” (อาจินต์ : อดีตของคนอื่น)....

“อยากจะให้ท่านได้เห็นฝนที่ตกพรำมา 10 วันติดต่อกัน มันตกเสียจนเราเบื่อและรำคาญ ไม่อยากให้ชีวิตของเราต้องเห็นฝนอีกเลย ภูเขาเปียกจนละลาย ใบไม้โงหัวไม่ขึ้น ดินเละเป็นโคลน แต่เราก็ต้องเดินไปทำงานและเดินกลับ เราทำเหมืองแร่จะสนิมสร้อยไม่ได้ เราต้องทำ เราต้องกิน” (อาจินต์ : เหมืองแร่โชว์)...

“เมื่อเพื่อนๆ ถามว่า ข้าพเจ้าหายหน้าไปอยู่ไหนมาหลายปี ข้าพเจ้าตอบเขาอย่างหยิ่งๆ ว่าไปปักษ์ใต้ ไปอยู่เหมืองแร่ ขณะที่ตอบเขานั้น ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเลือดทุกหยดในร่างกายแล่นพล่านเหมือนกำลังออกแรงทำงานอยู่ในโรงเหล็ก เหมือนกำลังเกร็งข้อมือยกของหนัก เหมือนกำลังเดินหอบอยู่ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนเปรี้ยงกลางป่าทราย เหมือนกำลังยกคอเสื้อขึ้นปิดหูเดินฝ่าหมอกตอนเช้ามืด...หมอกซึ่งเกาะเปียกโชกบนหมวก บนเกือก และปลายขนตา

เหล่านั้นเป็นชีวิตขรุขระในเหมืองดีบุก เหมืองซึ่งข้าพเจ้าคลุกคลีกับมันจนไม่รู้ว่าจะเล่าถึงมันด้วยเรื่องอะไร และจะเล่าถึงเรื่องอะไรเป็นเรื่องแรก เหมืองดีบุกสำหรับข้าพเจ้าไม่ใช่วิธีบอริ่งแร่...ไม่ใช่วิธีแก้เครื่องยนต์...ไม่ใช่วิธีเดินเรือขุด...แต่มันหมายถึงภาพภูเขาสลับซับซ้อน ซึ่งยอดของมันหายไปในหมอกสีเทา หมายถึงหมู่บ้านเล็กๆที่ชาวบ้านเกิด แก่ เจ็บ ตายกันอยู่ในนั้น หมายถึงความหนาวยะเยือกที่ไอเย็นจากหินผากระจายออกมาภายหลังฝนหนักๆ และกลับกลายเป็นร้อนอ้าวเมื่อได้แสงแดด หมายถึงโลกอีกลูกหนึ่ง เป็นคนละโลกกับภายนอกโดยมีระยะทางนับสิบๆ กิโล จากทางหลวงแผ่นดินเป็นพรมแดน

ข้าพเจ้ายังนึกเห็นภาพวันคืนซึ่งมืดมัวด้วยเค้าฝนอยู่เป็นนิจ ควันจากปล่องไฟเรือขุดเป็นสีหม่นลอยเนิบๆ ขึ้นไปตัดกับสีเทาทึบของท้องฟ้า ภาพเรือขุดซึ่งเคลื่อนที่ช้าๆ จนเหมือนกับจะอยู่นิ่ง ท่ามกลางความมืดมัวเหล่านี้ เมื่อมองดูมันด้วยสายตาของคนพลัดบ้านมันก็ไม่ผิดอะไรกับวัตถุที่ไร้ชีวิต แน่นิ่งอยู่ในความยาวนานของกาลเวลา ราวกับจะไม่มีวันคืบคลานไปถึงที่หมาย เช่นเดียวกับชีวิตพเนจรซึ่งเหน็ดเหนื่อยแล้ว แต่ยังต้องดิ้นรนต่อไปในความไม่รู้

ตลอดวันคืนเหล่านั้นมีหลายเวลาที่เรือขุดชำรุด คนงานต้องเร่งมือกันทำงานซ่อมแซมทั้งกลางวันหรือกลางคืน หลายเวลาที่น้ำบ่ามาจากภูเขาทำลายทำนบกั้นน้ำท้ายเรือ ตลอดจนสะพานและถนนสำหรับลำเลียงสิ่งของและแร่ดิบวินาศไปหมด คนงานถูกระดมกันซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ ท่ามกลางอันตรายจากน้ำที่เชี่ยวอย่างดุร้ายจากตลิ่งที่จะพังลงมาได้ทุกๆ วินาที และจากฟ้าซึ่งผ่าลงมาตามยอดไม้สูงๆ พวกเด็กลูกมือมีหน้าที่ผลัดกันไปซื้อกาแฟและขนมที่ทำด้วยแป้งหยาบๆ ปนน้ำตาลรวมทั้งบุหรี่หรือยาฉุนมวนใบจาก ห่อผ้าขาวม้ายัดใส่อกเสื้อเพื่อกันเปียกฝน ของเหล่านี้นำมาส่งเป็นเสบียงแก่พวกผู้ใหญ่ที่ทำงานกันเหมือนมด จนกระดูกสันหลังด้านชา ไม่มีเสียงลั่นไว้สำหรับบิดขี้เกียจ ข้าพเจ้าอยู่กับงานเหล่านี้ อยู่กับคนเหล่านี้ และอยู่กับอากาศรอบตัวเช่นนี้มา จนนึกรักและเกลียดมันไปพร้อมกัน” (อาจินต์ : แผลเล็ก)...

“เราต้องทำงาน ข้าพเจ้าชอบจริงๆ ไอ้ประโยคที่ว่า “เกิดเป็นคนต้องทำงาน เพื่อสำแดงให้โลกประจักษ์ว่าเรามิใช่คนหยิบโหย่ง เกียจคร้าน” ในเหมืองแร่เราต้องทำงานหนัก ใครได้โอเวอร์ไทม์คนนั้นคือดารา ใครตัวเปื้อนน้ำมันหรือโคลนตมคนนั้นสง่า” (อาจินต์ : ปรัชญาหน้าควันไฟ)

ที่ตัดยกข้อความข้างบนมานั้น ลุงอาจินต์บรรยายให้เราได้คิดตามว่าชีวิตในเหมืองแร่นั้นเป็นเช่นไร

ที่นั่นไม่มีวันหยุดราชการ ไม่มีฮอลิเดย์ ไม่มีวาเคชั่น คนทำงานในส่วนออฟฟิศของเหมืองแร่ได้หยุดวันอาทิตย์ แต่ในส่วนการทำงานของเรือขุดจะทำต่อเนื่องกันไปตลอดเวลา วันละ 3 ผลัด ต่อเนื่องกันไปทั้งวันทั้งคืนกลางแดดที่ร้อนอุ้ม หรือฝนที่สาดกระหน่ำ และความหนาวเย็นไอชื้นของหมอกในตำบลที่ไกลจากกรุงเทพจนแทบไม่มีจุดบอกตำแหน่งบนแผนที่ ตื่นเช้าสลัดความง่วงและเดินฝ่าความเย็นมากินกาแฟกับอาหารเช้าแล้วก็ต้องออกไปทำงานจนหมดกะ กลับมาหาเหล้าที่ร้านกาแฟเพื่อให้มันปลอบประโลมความเหงาและขับไล่ความเมื่อยล้า เข้านอนเพื่อจะตื่นขึ้นมาทำสิ่งเดียวกันซ้ำไปอีกจนครบสัปดาห์จนได้กำหนดเปลี่ยนกะไปทำตอนหัวค่ำ ผ่านไปอีกสัปดาห์ก็เปลี่ยนกะไปทำยามดึกจนถึงรุ่งเช้า...สี่ปีที่ลุงอาจินต์ใช้ชีวิตกรำอยู่ที่นั่น

นักเรียนมหาวิทยาลัยคณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬาฯแต่ถูกรีไทร์ตอนปี 2 ภูมิความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาแทบไม่มีแต้มต่อใดๆที่นั่น สังคมของคน 3-400 คนที่ทำงานอยู่ในเหมืองกระโสมเขาวัดคุณค่ากันที่การทำงานไม่ใช่จากวุฒิการศึกษา คุณต้องสู้กับงานหนักใช้แรง คุณต้องทำงานร่วมกับคนอื่นให้ได้ คุณต้องตรงต่อเวลา คุณต้องสู้กับสภาพอากาศที่สุดขั้ว คุณต้องสู้กับความคิดถึงบ้าน สู้กับความต่ำต้อยหากคิดเอาตัวเองไปเทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกันที่เรียนจบได้ปริญญาและได้ทำงานระดับจัดการในกรุงเทพ สู้กับความตัวคนเดียวที่ความล้มเหลวในกรุงเทพส่งคุณไปอยู่ในที่ที่ไม่มีใครมานั่งปลอบประโลมคุณหากคุณคิดจะเป็นลูกแหง่...ลูกแหง่ไม่มีความหมายที่เหมืองกระโสม ลูกผู้ชายต่างหากที่จะมีตัวตนที่นั่น

ตัวหนังสือจับใจถูกถ่ายทอดมาเป็นภาพในหนัง หมาป่าเอาตัวอย่างหนัง มหา’ลัยเหมืองแร่ มาให้เพื่อนนักขี่จักรยานดูกันครับ

[youtube]wrFGBdjL7pY/youtube]

นอกจากตัวหนังสือ ภาพในหนัง อีกสื่อที่ทำให้เหมืองแร่กระโสมและชีวิตลุงอาจินต์ ชีวิตที่พลัดบ้านไปบ่มความเป็นลูกผู้ชายอยู่ที่นั่นเมื่อยามสงครามโลกครั้งที่สองเลิกไม่นาน ชีวิตของคนคนหนึ่งในห้วงเวลาอันไกลโพ้นย้อนไปกว่า 60 ปียังทรงพลังอยู่ในใจของหมาป่า ก็เพราะเพลงประกอบหนังเรื่องนี้ครับ GTH ลงทุนแต่งเพลงใช้วงออเคสตร้าบรรเลงเป็นเพลงธีมของเรื่อง (เคยอ่านผ่านตาแต่ยังหาไม่เจอว่าแหล่งอ้างอิงชัดๆอยู่ตรงไหน ตอนนั้นจำได้เขาบอกว่าเพลงนี้เขาให้ชื่อว่า “กรุงเทพไกลเหลือเกิน”) เชิญฟังผ่านยูทูปเช่นกันครับ



คุณจิระ มะลิกุล ผู้กำกับผู้เขียนบทหนังเรื่องนี้เคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาทำหนังเรื่องนี้โดยมีแก่นของเรื่องที่ถ่ายทอดผ่านหนัง แก่นหรือธีมนี้คุณจิระนำเสนอว่า....”เกียรติยศต้องขุดเอง”

(จบอารัมภกถา)

ครับ เป็นบทเกริ่นนำที่ยาวยืดกว่าทุกสรุปทริปที่หมาป่าเคยเขียนมา

ผ่านไปสองปีนับจากทริปทางไกลขึ้นเชียงใหม่ไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพที่หมาป่าขี่ขึ้นไปรวม 800 กม.เมื่อปี 2555 หลังจากนั้นหมาป่าแทบไม่ได้ออกทริปทางไกลระดับนั้นอีกเลย ที่ได้ไปก็แค่สั้นๆแค่วันสองวัน

งานเยอะครับ ปี 2556 หมาป่างานชุกจริงๆ แทบไม่ได้ลาพักร้อนเลย บางทีเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดของบริษัทก็ต้องทำงาน หมาป่าได้สิทธิลาพักร้อน 15 วันต่อปี หมาป่าได้ใช้ไป 1 วัน....ใช่ครับ เกิดเป็นคนต้องทำงาน เหมือนที่ลุงอาจินต์เขียนไว้ เราต้องทำงานเพื่อไม่ให้ใครว่าได้ว่าเราเป็นคนเกียจคร้าน หยิบโหย่ง บางช่วงลูกน้องลาออกติดๆกันค่อนทีมหมาป่าก็ลงไปควงงานเอง เพื่อให้มันรันต่อไปได้ไม่ขาดตอน

ต้นปี 2557 ทีมใหม่เริ่มเข้าเสริมกำลัง หมาป่าเปิดปฏิทินเช็คความเป็นไปได้ที่จะออกเดินทางไกลอีกครั้ง งานใหญ่ๆที่เป็นการวางแผนเสร็จสิ้น งานปฏิบัติการตามแผนก็มีลูกน้องที่วางใจได้พร้อมหน้าพร้อมตา เชี่อมือเชื่อใจกันได้เต็มที่ อาห์เวลามาถึงแล้วสินะ

ไปไหน? มันอยู่ในใจมานานแล้วล่ะครับ คราวแล้วขึ้นเหนือ ถ้าให้สอดคล้องกันคราวนี้ก็ต้องล่องใต้

ล่องไปไหน?.... พี่จิระ มะลิกุล นำเสนอในหนังเหมืองแร่ว่า เกียรติยศต้องขุดเอง หมาป่าเป็นนักจักรยานทางไกล ทริปแต่ละทริปล้วนเป็นเกียรติยศประดับตัว ทริปนี้เกียรติยศต้องขี่ไปเอามา

และเป็นทริปที่หมาป่าขอทริบิวต์ให้กับลุงอาจินต์ด้วยในคราวเดียวกัน ขอขี่จักรยานลงไปเป็นเกียรติแด่ลุงอาจินต์ ไปตามหาร่องรอยของเหมืองกระโสม ทิน เดรดยิง ที่ลุงอาจินต์เคยฝากชีวิตไว้ที่นั่นสี่ปีเต็ม ไปซึมซาบรับรู้ว่าภูมิประเทศที่เราอ่านจากตัวหนังสือและดูจากหนังนั้นของจริงมันเป็นเช่นไร ไปตามหาร่องรอยของตัวละคอนในหนังสือเท่าที่จะหาได้ ที่อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา

และถ้ามีแรงเหลือ มีเวลาเหลือหมาป่าจะขี่ต่อจากพังงาไปหาเพื่อนที่เคยติดต่อกันทางตัวหนังสือในเวปนี้และเวปอีกเวปหนึ่ง ไปหานักขี่จักรยานทางไกลอีกท่านที่จังหวัดพัทลุง ครูสนั่น อันทเกตุ

เส้นทางคร่าวๆถูกกำหนดไว้ในใจครับ กูเกิลแมปช่วยได้ หมาป่าเป็นนักจักรยานที่มีแผนการขี่ค่อนข้างหยาบเสมอมา ไม่เคยจองที่พักก่อน ไม่เคยวางแผนล่วงหน้าก่อนออกเดินทางว่าแต่ละคืนในแผนที่พล๊อตเราจะนอนที่ไหน ต้องจองที่พักก่อนไหม? เพราะจริงๆเราอาจขี่ไม่ถึงก็ได้ เอาเป็นว่าถ้าเปิดแมปแล้วและดูพระอาทิตย์ดูนาฬิกาแล้ว อำเภอข้างหน้าจะขี่ไปไม่ทันก่อนพระอาทิตย์ตกหมาป่าก็หาที่นอนในอำเภอที่เปิดแมปดูนี่แหละครับ สมัยนี้ค่อนข้างสบายเพราะทุกอำเภอจะมีที่พักเป็นบังกะโล ม่านรูดหรือเรือนแถวราคาหลักร้อยให้นักเดินทางได้พักแรมทุกอำเภอแหละครับ ห้องพักที่เข็นจักรยานเข้าไปอยู่ด้วยกันในห้องได้ ถ้าเป็นโรงแรมตึกสูงเราก็จะเลี่ยงเพราะขี้เกียจแบกจักรยานและสัมภาระขึ้นบันไดครับ มันหนัก

เส้นทางคร่าวๆคือ ออกจากบ้านหมาป่าที่สวนหลวง ร.9 ซอยสุขุมวิท 103 อุดมสุข เอารถขึ้นเรือข้ามไปสมุทรปราการ หาทางเลาะริมฝั่งทะเลไปโผล่ที่สมุทรสาคร ไล่ต่อไปสมุทรสงคราม ไปเพชรบุรี ขี่ข้ามจังหวัดที่ยาวมากคือประจวบคีรีขันธ์ เข้าสู่ชุมพร จากนั้นก็ตบขวาออกจากจังหวัดริมอ่าวไทยข้ามไประนองซึ่งอยู่ฝั่งอันดามัน เลาะฝั่งอันดามันจากระนองเข้าสู่พังงา ก่อนถึงตัวจังหวัดพังงานั้นคืออำเภอตะกั่วทุ่งที่จะไปวนค้นหาเหมืองกระโสมและร่องรอยของผู้คน จากพังงาขี่ต่อไปกระบี่ ออกตรังบ้านนายกชวน และข้ามเขาพับผ้าไปหาครูสนั่น อันทเกตุหรือนิกเนมครูหมูที่อำเภอตะโหมด จังหวัดพัทลุงจังหวัดที่อยู่ริมอ่าวไทยอีกครั้ง จากพัทลุงจบทริปหมาป่าจะจับรถไฟขนอีเขียว Kona เพื่อนคู่ใจขึ้นตู้สัมภาระกลับกรุงเทพ

นับนิ้วมือแล้วถ้าไม่รวมกรุงเทพ ทริปนี้หมาป่าจะขี่ผ่านทั้งสิ้น 11 จังหวัดครับ ... นิ้วมือไม่พอแฮะ

การเตรียมการก่อนออกเดินทางหมาป่าเตรียมอยู่สองประการหลักๆ เรื่องแรกคือความรู้เรื่องเหมืองกระโสมของลุงอาจินต์ หมาป่าอ่านทวนหนังสือเหมืองแร่อีกครั้งเพื่อนึกภาพในหัวว่าจุดใดอยู่ตรงไหน ทางเนิน ทางลาด คนคนใดอยู่ที่ไหน บ้านนายฝรั่ง บริเวณที่ตั้งของโรงล้างแร่ ออฟฟิศ ร้านกาแฟ บ้านพักของอาจินต์ที่อยู่ใกล้กับป่าช้า ทวนย้อนไปมาเพื่อว่าเมื่อไปถึง ณ สถานที่จริงเราจะพอเดาได้ เปิดเน็ตเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม มีคนบางคนที่หลงใหลในตัวหนังสือของลุงอาจินต์เคยบันทึกเอาไว้เช่นกันถึงตัวละคอน ทำให้หมาป่ารู้ว่าลุงอาจินต์บิดชื่อตัวละคอนในหนังสือให้แตกต่างออกไป คงด้วยเพราะว่าพฤติกรรมตัวละคอนที่มีทั้งดีและไม่ดีอยู่ในตัวคนคนเดียวกัน ลุงอาจินต์จึงบิดชื่อเพื่อไม่ให้เจ้าตัวต้องเสียหน้าเสียตามากเกินไป หมาป่ารู้ว่าโกต๋องเจ้าของร้านกาแฟในเหมืองนั้นตัวจริงชื่อโกเตี๋ยน รู้ว่าพี่จอนหัวหน้าเรือขุดตัวจริงชื่อพี่เลียม เสมียนไทยที่ลุงอาจินต์เคารพในเรื่องชื่อพี่สวัสดิ์ แต่ตัวจริงชื่อบำรุง ณ นคร

หมาป่ารู้ตั้งแต่ก่อนเดินทางว่า 61 ปีผ่านไปนับจากที่เหมืองล่มลงเมื่อปี 2496 ทุกคนแตกกระฉานซ่านเซ็นออกไปหางานทำที่อื่น ลุงอาจินต์กลับกรุงเทพมาทำงานที่โทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหม และเริ่มอาชีพนักเขียนออกหนังสือ เป็นบรรณาธิการ เป็นเจ้าของหนังสือ สภาพเดิมของเหมืองจะไม่เหลืออะไรอีกแล้ว เรือขุดถูกถอดเป็นชิ้นนำเศษเหล็กไปขาย โรงล้างแร่ ออฟฟิศ บ้านนายฝรั่ง บ้านพักคนงาน เหล่านี้ไม่มีอะไรเหลือ สิ่งที่คงอยู่ก็เป็นเพียงคนบางคนและภูมิประเทศคร่าวๆ โดยแม้แต่สภาพอากาศ ความหนาวเหน็บในยามเช้า ภูเขาที่มีหมอกเคลียและจางไปยามใกล้เที่ยง เหล่านี้ก็คงไม่เหลือด้วยว่าหมาป่าเดินทางยามหน้าร้อนและประเทศไทยสภาพป่าเปลี่ยนแปลงไปมาก ฝนที่ตกกระหน่ำที่ตะกั่วทุ่ง จุดที่ฝนตกหนักที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทยก็คงจะไม่ได้เห็นได้สัมผัสได้เปียกกันในเดือนมีนาคม ลุงอาจินต์เองเมื่อปี 2518 ท่านเดินทางกลับไปเยี่ยมเหมืองและเขียนบันทึกไว้ในหนังสือ ณ ตอนนั้นก็แทบไม่มีอะไรเหลือเช่นกัน ต้นไม้ปกคลุมจุดที่หมาป่าเล่ามาจนหมดสิ้น จากปี 2518 ถึงปี 2557 นี้เวลาก็ล่วงมาอีก 39 ปี ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่คาดหวังได้ชัดเจนก่อนเริ่มทริปครับ

การเตรียมตัวประการที่สองคือการเตรียมรถครับ เพราะงวดนี้ดูแผนที่แล้วต้องไปไกลกว่าทริปเชียงใหม่อีกเยอะ

อีเขียว Kona Sutra รถคันแรกและคันเดียวของหมาป่านั้นถูกใช้งานในกรุงเทพค่อนข้างมาก หมาป่าขี่ไปทำงานเกือบทุกวัน สภาพถนนหลุมบ่อต่างๆ ฝนฟ้าที่เจอแล้วหมาป่าก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจดูแลสักเท่าไร หมาป่านำรถเข้าให้ช่างน้องหนึ่งนามกระเดื่องในเวป Thaimtb ของเรานี้เช็คก่อนเดินทาง ช่างน้องหนึ่งเปิดบริการที่ซอยสุขุมวิท 93 ใกล้บ้านหมาป่า หมาป่าผูกปิ่นโตกับช่างน้องหนึ่งเป็นประจำครับ หมาป่าชอบถามและช่างน้องหนึ่งก็ไม่เคยเหนื่อยที่จะอธิบาย ฟังเข้าหูซ้ายก็มักทะลุออกหูขวาไปเกือบหมดเพราะหมาป่าไม่ค่อยมีความรู้เรื่องเชิงช่างเชิงกลไก แต่สนุกและเพลิดเพลินกับคำอธิบายแบบให้คนไม่รู้เรื่องได้เข้าใจง่ายที่สุดของช่างน้องหนึ่งเสมอมา

งวดนี้ตอนเอารถเข้าเช็คหมาป่าก็รู้สึกเองว่าชุดกระโหลกด้านซ้ายมันเริ่มคลอนๆ ช่างน้องหนึ่งถอดออกมาแล้วก็พบว่าลูกปืนเสื่อม ตัวอื่นๆก็คือดุมล้อที่เยินแล้วเช่นกัน (ช่างน้องหนึ่งบอกไม่เคยเห็นใครขี่จนเยินเท่าหมาป่าเลย อันนี้วัดแบบมาตรฐานนักจักรยานในเวปเรานะครับ) เราก็เลยเปลี่ยนชุดกระโหลกกับดุมล้อหน้าหลังและขึ้นซี่ล้อกันใหม่ โซ่ที่หมาป่าใช้อยู่ 2 เส้นเริ่มยืด แต่เฟืองขับยังไม่สึกเท่าใด เราก็เลยเปลี่ยนโซ่ใหม่กัน ใบดิสก์เบรกหน้าหลังที่ใช้มา 3 ปีใช้เครื่องวัดแล้วสึกเกินลิมิตที่ควรจะเป็น หมาป่าก็เปลี่ยนครับ มีเปลี่ยนอะแดปเตอร์เบรกที่เกลียวน๊อตเยินแล้วอีกชิ้น หมาป่าไปซื้อผ้าเบรกแบบเมทัลมาให้ช่างใส่ล้อหน้าแทนของเดิมที่เป็นแบบออแกนิกเพื่อเสริมเพื่อให้มั่นใจมากขึ้นในการลงเนิน ก็เล่นเอากระเป๋าเบาไปพอควร

ความจริงช่างน้องหนึ่งทักว่าอานเบาะหมาป่าก็ดูจะหมดอายุแล้ว เพราะว่ายุบกลาง ใช้จักรยานมาสามปีกับสามเดือนพวกใยสังเคราะห์รับน้ำหนักมันคงหมดสภาพ หมาป่าไม่กล้าเปลี่ยนเบาะใหม่ก่อนเดินทางไกลครับ ไม่ได้เชื่อโชคลาง แต่กลัวว่าเบาะใหม่มันจะกัดเหมือนรองเท้าหนังคู่ใหม่ เดินทางไกลเบาะกัดตูดนี่อาจต้องเลิกทริปกลางทาง เลยจะฝืนขี่ไปก่อน อาศัยว่าเคยชินกันมาคงพอกล้อมแกล้มกันไปได้

หมาป่ากำหนดการเดินทางไว้ตอนเช้าวันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557 การตรวจตราซ่อมแซมเปลี่ยนอะไหล่ที่สึกหรอให้สมบูรณ์ที่สุดเสร็จคืนวันพฤหัสฯก่อนหน้าการเดินทางไม่ถึง 12 ชั่วโมง เวลาที่เหลือในการทดสอบว่าอะไหล่ที่เปลี่ยนไปทำงานได้ดีตามที่ออกแบบมาจึงเป็นแค่การขี่จากบ้านช่างน้องหนึ่งมาที่บ้านหมาป่าราว 11 กม. อาจจะดูน้อยเกินไปหากมีข้อบกพร่องที่รอดหูรอดตาไป แต่หมาป่าเชื่อใจช่างน้องหนึ่งครับ เรารู้กันตั้งแต่เริ่มตรวจสอบรถว่านี้เป็นการบำรุงรักษาก่อนเดินทางไกล และช่างน้องหนึ่งแสดงออกให้หมาป่ามั่นใจเสมอว่ารถตัวเองอยู่ในมือช่างที่รู้งานและใส่ใจ ตลอดทริปชิ้นอะไหล่และทักษะที่ช่างน้องหนึ่งใส่ไปในรถหมาป่าไม่เกิดปัญหาใดๆทั้งสิ้นครับ...นี้เป็นการเชื่อใจกันระหว่างนักจักรยานทางไกลต่อช่างของเขา คงคล้ายกับที่นักบินต้องเชื่อใจช่างซ่อมบำรุงของสายการบินตัวเองนะครับ นี่หมาป่าเทียบกันระดับนั้นเลย

คืนวันพฤหัสฯ เอาจักรยานเข้าบ้านก็เริ่มแพ็คสัมภาระครับ

ปกติรถหมาป่าจะติดกระเป๋าใหญ่สองข้างด้านหลังเพื่อใส่สัมภาระเสื้อผ้าไปเปลี่ยนที่ทำงานอยู่แล้ว เดินทางไกลก็จะติดใบเล็กเพิ่มอีกสองใบตรงตะแกรงหน้า รวมครบชุด 4 ใบ เป็นชุดเดียวกับสมัยขี่ขึ้นเชียงใหม่

เกร็ดที่เรียนรู้สมัยไปเชียงใหม่ อะไรใช้ได้ดีก็ทำเหมือนเดิม อะไรที่ขาดตกบกพร่องก็เอามาแก้ตัว

หมาป่าเอากางเกงขี่จักรยานแบบมีฟองน้ำไป 3 ตัว เสื้อยืด 4 ตัว กางเกงขายาวเนื้อบาง 1 ตัวไว้ใส่วันกลับรถไฟ เสื้อเชิ๊ตอีกตัว เผื่อว่าตู้นอนมันหนาว ถุงเท้า 3 คู่ กางเกงใน 3 ตัว ใช้จริงๆก็แค่กางเกงจักรยานกับเสื้อยืดถุงเท้าและกางเกงใน 2 ชุดนั่นแหละครับ ชุดที่ 3 สำรองไว้เผื่อว่าฝนตกตากผ้าไม่แห้ง ผ้าเช็ดตัวผ้าขาวม้าไม่ได้ติดไปเพราะใช้ตามที่พักแรมได้ แชมพู สบู่เอาขวดเล็กไปเผื่อว่าบางที่มีแต่สบู่แต่ไม่มีแชมพู หรือไม่มีแม้กระทั่งสบู่ ยาแก้ไข้ ยาใส่แผลสด ยาแก้ท้องเสีย ครีมกันแดด แปรงสีฟันยาสีฟัน เครื่องประทินผิวหน้าช่วยชะลอหน้าเหี่ยว โซ่ล๊อกจักรยาน ชุดซ่อมแซมเล็กน้อยจำพวกยางใน โซ่สำรอง ที่ตัดต่อโซ่ น้ำมันหยอดโซ่ ผงซักฟอกเอาไว้ซักผ้า รองเท้าแตะ ถุงใส่ผ้าที่ใช้กับเครื่องซักผ้าเอาไว้ใส่ผ้าห้อยไว้กับตะแกรงหลัง ที่หนีบผ้า (แบบเหล็กทนมือกว่าแบบพลาสติกราคาถูกที่มักชอบหักคามือ) ช้อนซ่อมและตะเกียบเผื่อจะซื้ออาหารเข้ามากินในห้องพัก สมุดบันทึกพร้อมปากกา กล้องคอมแพกต์ดิจิตัล แทปเล็ต สายชาร์จ กล้วยตากแก้หิวและขาดไม่ได้หนังสือรวมเล่มเหมืองแร่ชุด 2 เล่ม เอาไว้อ่านระหว่างทริปครับ

น้ำหนักสัมภาระไม่เยอะมากครับกระจายกันทั้งสี่กระเป๋า น๊อตตัวยึดหลังกระเป๋ากับตะแกรงจะได้ไม่รับภาระมากเกินไปใบใดใบหนึ่ง น๊อตตัวยึดกระเป๋าหลุดจากเบ้านี่เซ็งครับ สมาธิการขี่จะเสียเพราะกลัวมันจะหลุดเพิ่มทำให้กระเป๋าติดตะแกรงไม่ได้ ของพวกนี้หาที่ซ่อมระหว่างทริปไม่ได้แน่นอน หมาป่าใช้กระเป๋าของวินสิตา หากบรรทุกหนักๆแล้วเจอหลุมลึกๆในกรุงเทพบางทีก็น๊อตแยกฉีกจากตัวกระเป๋าเพราะแรงกระเทือน แต่ละใบมีน๊อตสี่ตัว หลุดไปตัวนึงตัวยึดมันจะแบะออก หลุดสองตัวนี่เชื่อว่ากระเป๋าจะติดกับตะแกรงไม่ได้แล้ว แต่วินสิตาบริการดีมากครับ รับซ่อมอัดน๊อตเข้าไปใหม่โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเสมอมา ส่งเงินไปให้เพราะกระเป๋าใช้มาเก่าแล้วและซ่อมมาหลายทีวินสิตาก็ไม่เคยรับครับ ส่งคืนกลับมาทุกครั้ง

เช้าวันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557 วันแรกของการเดินทาง

หมาป่าตื่นแบบไม่ต้องกดดันตัวเองให้ตื่นเช้ามากครับ ออกจากบ้านแปดโมงครึ่ง ทริปนี้มีลักษณะเด่นประการหนึ่งคือหมาป่ามีเวลาเหลือเฟือ โดยปกตินักจักรยานทางไกลมักตื่นเช้ากันเพื่อใช้เวลาช่วงที่แสงยังไม่แรงมากขี่ให้ได้ระยะทางตุนไว้ก่อน สมัยขี่ขึ้นไปเชียงใหม่หมาป่าตื่นตอนตีห้าแล้วหาข้าวเช้ากินในตลาดใกล้ที่พักเพื่อที่ว่าพอมีแสงปั๊ปก็ซัดกันเลย ด้วยตอนนั้นลางานได้ประมาณสัปดาห์เดียว และกะว่าควรจะขี่ให้ถึงเชียงใหม่ในเวลาไม่เกิน 5 หรือ 6 คืนเพราะเดี๋ยววันลาจะหมด แต่ทริปนี้หมาป่าลามากกว่าสองสัปดาห์เสียอีกครับ เลยโอ้เอ้ตอนเช้าเกือบทุกวัน

หมาป่าขี่ออกจากบ้านแถวสวนหลวง ร.9 ตั้งเข็มในใจว่าวันนี้จะเดินทางไปไม่เกินจังหวัดสมุทรสงคราม ทว่าเส้นทางจะแตกต่างจากสมัยที่เคยขี่ไปอัมพวาต่อไปราชบุรี สมัยนั้นหมาป่าเลือกใช้เส้นพระรามสองตั้งแต่ต้น พระรามสองน่าจะเป็นเส้นที่ระยะทางใกล้ที่สุดจากบ้านหมาป่าในการไปสมุทรสงครามหรือเพชรบุรี แต่มันมีสิ่งที่ต้องแลกคือความจอแจของรถใหญ่ครับ เสียงและความสั่นสะเทือนนั้นบางทีก็น่าเบื่อเหมือนกัน ยิ่งช่วงที่พระรามสองไปตัดกับวงแหวนรอบนอกที่ต้องขึ้นสะพานแล้วเราต้องขี่รถไปเบียดแทรกกับรถยนต์รถบรรทุกนี่สุดจะน่าเบื่อนะครับ หมาป่าขี่ในกรุงเทพประจำยังนึกเอียน แดดร้อนแจ๋ ขี่เลาะตรงเส้นกลางระหว่างรถสองคัน ชะลอ ทรงตัวไม่ให้ล้ม หยุด เอาเท้าแถกไถรถเคลื่อนที่ต่อ เสียงและไอร้อนจากเครื่องยนต์และท่อไอเสียอยู่รอบตัว ชะลอ หยุด แถกไถต่อ เหงื่อเหนียว หูอื้อ เฮ่อ

คราวนี้เราเลือกได้เพราะเรามีเวลาครับ ชีวิตขอให้มีโอกาสเลือกเหอะ ดีที่สุด

หมาป่าคุยกับช่างหนึ่งว่าจะหาทางที่เลาะไปทางสมุทรปราการแล้วก็เลาะริมฝั่งอ่าวไทยต่อไปสมุทรสาคร เอาแบบว่าให้ง้อเส้นพระรามสองน้อยที่สุด ไปโผล่เอาแถวสมุทรสาครเลย ช่างหนึ่งให้ชื่อวัดมาวัดหนึ่งชื่อวัดสาขลา บอกว่าเสือสมุทรปราการเขาขี่กันเส้นนั้น สวยสงบเงียบและเหมือนว่าจะมีเส้นทางต่อไปถึงสมุทรสาครได้ด้วย ให้ไปเปิดแผนที่กูเกิลดูเอาบวกกับถามชาวบ้านเอา

จากซอยอุดมสุขสุขุมวิท 103 หมาป่าขี่ไปเข้าถนนสรรพาวุธตรงแยกบางนา ไปข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยาตรงท่าเรือวัดบางนานอก เรือข้ามฟากพาไปฝั่งบางกระเจ้าตรงวัดบางน้ำผึ้งนอก ค่าเรือ 7 บาท เรือเป็นแบบเรือข้ามฟากเจ้าพระยาตรงท่าพระจันทร์ คือตัวเรือกว้างเอามอเตอร์ไซค์และจักรยานลงได้สะดวก เพราะชาวบ้านเขาก็เอารถข้ามไปมาตลอดเวลา หมาป่าจะขี่จากบางกระเจ้าไปแถวพระประแดง ไปหาถนนสุขสวัสดิ์ ตรงถนนสุขสวัสดิ์พระประแดงนี้หากจะรีบเดินทางมีเวลาน้อยก็เลี้ยวขวาไปหาทางเข้าพระรามสองอันจอแจได้เลย แต่หมาป่าเลือกเลี้ยวซ้ายย้อนขึ้นไปทางพระสมุทรเจดีย์ครับ

ถนนสุขสวัสดิ์นี้รถบรรทุกเยอะนะครับ เพราะว่าช่วงนั้นเป็นดงโรงงานอุตสาหกรรม รถบรรทุกวิ่งเข้าออกหรือกลับรถตลอดทาง หมาป่าขี่แซงรถเทรลเลอร์บรรทุกคาร์โก้ที่รอเลี้ยวกลับรถอยู่คันหนึ่ง รถจอดอยู่ริมฝั่งซ้ายของถนนเตรียมปาดออกขวาเมื่อรถหลังว่าง จังหวะกำลังแซงไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยยางหลังรถเทรลเลอร์คันนั้นก็ระเบิดขึ้นมาเฉยๆครับ หมาป่าสะดุ้งเพราะเสียงดังตึบ หูอื้อ มีฝุ่นปลิวขึ้นมาจากบริเวณที่ยางระเบิด รถมันคงหนักน่ะครับ คาดว่าคนโดนเอ็ม 79 ลงข้างๆตัวคงรู้สึกใกล้เคียงกัน แต่อันนั้นมีเจ็บด้วยเพราะมีสะเก็ดและแรงอัดฉีกเนื้อหนัง อันนี้ตกใจเฉยๆ แต่ความไม่คาดฝันนั้นคงใกล้เคียงกัน

จากถนนสุขสวัสดิ์ย้อนขึ้นไปเราจะไปเจอสามแยกที่ฝั่งขวาเป็นเส้นไปทางป้อมพระจุลจอมเกล้า ตรงนี้หมาป่าหยุดกินกะเตี๋ยวราดหน้าตรงร้านใกล้ๆกับธนาคาร ถือเป็นมื้อสายครับ กินแล้วก็มุ่งไปทางป้อมพระจุลฯแต่จะไม่ไปถึงป้อมนะครับ มันจะมีทางด้านขวาที่บอกให้ไปวัดขุนสมุทรจีน วัดที่น้ำทะเลท่วมเข้าแผ่นดินใหญ่เข้ามาถึงวัด มีรายการสารคดีเกี่ยวกับโลกร้อนมาถ่ายหลายรายการ ขี่เข้าไปผ่านย่านบ้านเรือนแล้วก็จะเป็นถนนสายเล็กที่ตัดผ่านนาเกลือและบ่อเลี้ยงกุ้ง เล็งหาป้ายบอกทางที่จะไปวัดสาขลา

ถนนสายสงบแทบไม่มีรถยนต์ มีนกกินปลาบินหรือเกาะอยู่ในทุ่งด้านซ้ายและขวามือของเรา ขี่ตามถนนเส้นนี้ทางฝั่งขวามือของเราห่างพ้นสายตาไปจะเป็นคลองขุดชื่อคลองสรรพสามิต เป็นคลองขุดตรงจากแถวสมุทรปราการไปยังสมุทรสาคร ซึ่งความจริงก็มีถนนเลียบคลองดังกล่าวเป็นเส้น 3243 หมาป่าจะไปเส้นนั้นก็ได้ครับ แต่เลือกไม่ไปเพราะเดาว่ารถราน่าจะเยอะกว่า อยากมาลองสัมผัสถนนเล็กๆตัดผ่านนาเกลือแทน มิผิดหวังมิผิดหวังจริงๆในเรื่องของความสงบครับ ระหว่างทางก็จะมีป้ายท่าเรือเพื่อขึ้นไปชมวัดขุนสมุทรจีนที่น้ำทะเลท่วมถึงโบสถ์ เป็นท่าเรือเอกชน มีสองสามท่า ให้ขึ้นเรือจากคลองเล็กๆและเรือจะพาแล่นตามคลองไปออกทะเลฝั่งซ้ายมือของถนน

ขี่ไปไม่นานมากก็จะมีทางแยกขวาครับ เป็นทางแยกเพื่อไปขึ้นสะพานข้ามคลองสรรพสามิต หมาป่าขี่เลยมานิดหน่อยเพราะไม่แน่ใจว่าใช่ตามแผนที่หรือไม่ กะว่าจะไปสอบถามคนพื้นถิ่น แป๊บเดียวเจอร้านเป็นเพิงข้างทางถามแม่ค้าๆบอกว่าใช่แล้ว ขี่ไปจะไปเจอสะพานข้ามคลองสรรพสามิต แม่ค้าเชิญชวนให้ขี่ไปเที่ยววัดสาขลาที่อยู่ข้างหน้าก่อนสิ บอกว่าให้ไปลอดโบสถ์เพื่อเป็นสิริมงคลชีวิต แกเล่าว่าเส้นทางนี้มีนักจักรยานมากันเยอะ มากันทุกวันมากันเป็นกลุ่ม หมาป่าบอกว่าคงยังไม่ไปวันนี้จ้ะ จะไปปักษ์ใต้เลยมาขี่หาทางไปสมุทรสาครก่อน แม่ค้าถามจะไปไหน...บอกจะไปพังงา (นาทีนั้นยังไม่แน่ใจว่าจะมีวันเหลือให้เดินทางต่อจากพังงาไปพัทลุงหรือไม่ เลยบอกแค่พังงาไว้ก่อน) แม่ค้าร้องโอ้ววววเลยครับ ตอนขี่ออกมาแกยกมือสองข้างชูแล้วตะโกนว่าโชคดีนะคะคุณ ซึ้งใจนะครับ ได้แรงใจมากมายจากการชูแขนเชียร์ของแม่ค้าใจดีแถบบ้านสาขลา

ขี่ย้อนกลับมาทางที่จะไปสะพานข้ามคลอง ถนนก็ยังสงบนะครับ มีช่วงหนึ่งที่ทางกำลังทำซ่อมแซมของเดิมอยู่ ถนนยางมะตอยกลายเป็นถนนลูกรังที่กำลังถม ยางรถหมาป่าเป็นยางทางเรียบครับ ขนาดกว้าง 37 มม. พอเจอกรวดเจอลูกรังก็ทำท่าทุลักทุเลพอควร ดีว่าระยะทางมันไม่ถึงกิโลเมตร ถ้าต้องขี่สักห้าหรือสิบกิโลเมตรบนทางอย่างนี้ก็คงกินแรงน่าดู

สะพานใหญ่ข้ามคลองมีสองสะพานใกล้ๆกัน ผ่านสะพานแรกซึ่งข้ามคลองย่อยแล้วก็มาสู่สะพานที่สองข้ามคลองสรรพสามิตใหญ่ จากนั้นหมาป่าก็เข้าสู่ถนน 3243 ที่เลียบคลองสรรพสามิต คราวนี้คลองจะอยู่ด้านซ้ายมือ คลองสรรพสามิตนั้นเป็นคลองขุดตรงเลียบแนวชายฝั่งอ่าวไทยจากสมุทรปราการไปทางสมุทรสาคร ความจริงถ้าถนนสาย 3243 ตัดเลียบคลองโดยไม่ขาดระยะก็จะขี่ไปถึงสมุทรสาครได้เลยเชียว แต่ดูจากแผนที่ถนนไม่ได้ตัดเลียบคลองตลอด มันวกขึ้นเหนือแล้วก็มีทางเชื่อมกลับลงมาเลียบคลองใหม่ ช่วงที่ขาดก็จะเป็นทุ่งหรือที่ทำการเกษตร หมาป่าขี่ขึ้นเหนือเพื่อไปหาทางวกลงใต้กลับมาเลียบคลองนี่แหละครับ ทางขึ้นเหนือมันจะโยงใยเป็นโครงข่ายผ่านชุมชน บ้านเรือน ทุ่งว่าง โรงงาน มีเส้นทางและแยกให้เลือกมากมาย คิดเป็นภาพในหัวง่ายๆก็คือตัดขึ้นเหนือไปหาทางตีซ้ายแล้วดิ่งลงใต้มาหาทางเลียบคลองอีกครั้ง แต่ทางมันก็ร้างผู้คนเป็นส่วนใหญ่นะครับ บ้านเรือนโรงงานอยู่ห่างๆกันไม่จอแจแออัด

หมาป่าวนอยู่ในโครงข่ายทางที่ว่านี่แหละครับ กูเกิลช่วยได้เยอะ จนมาอยู่ตรงทางแยกหนึ่งเพื่อตัดสินใจว่าจะขี่ลงใต้ไปหาเส้นถนนเลียบคลองได้หรือยัง เก้กังอยู่หน้าโรงงานที่มาอาศัยทำเลชานเมืองที่ราคาที่ดินถูก เปิดแทปเล็ตดูแผนที่กูเกิล แต่แดดแรงมากมองหน้าจอไม่ค่อยชัด เห็นแม่ค้าขายผลไม้เป็นรถพ่วงข้างกับมอเตอร์ไซค์มีร่ม หมาป่าก็ไปกระแซะแม่ค้าขออาศัยร่มลดความแรงของแดดเพื่อดูหน้าจอ ถามกับแม่ค้าว่าลงใต้ตรงแยกไปทางซ้ายจะไปเจอถนนเลียบคลองได้ใช่ไหม แม่ค้าบอกอย่าไปเลยค่ะคุณ...มันเปลี่ยว....แม่ค้าเจอปล้นมาแล้วค่ะ....เหวอล่ะครับ แม่ค้าบอกว่าขับรถไปกลางวันแสกๆเจอมอเตอร์ไซค์ใส่หมวกกันน๊อคเต็มหน้ามาแล้วมันก็เอามีดจี้ให้ส่งทรัพย์สินให้ แม่ค้าโดนไปร่วมสองหมื่นบาท แม่ค้าบอกคุณขี่ไปทางขวา (ขึ้นเหนือ) ไปอีกหน่อย จะเจอชุมชนตลอดทาง ไม่เปลี่ยว แล้วให้หาเส้นที่จะไปสภ. สาขลา ไปตามถนนนั้น จากนั้นตัดไปทางขวาจนไปเจอสถาบันพระจอมเกล้าพระนครเหนือแล้วค่อยลงใต้ไป อันนั้นไม่เปลี่ยวและปลอดภัยกว่าเยอะแม่ค้า highly recommend

ของอย่างนี้ไม่เชื่อเจ้าถิ่นก็จะเชื่อใครล่ะครับ หมาป่าขี่ตามที่แม่ค้าแนะนำแบบคนว่าง่าย ขี่ไปจนเจอเส้นถนนบางขุนเทียน-ชายทะเล ในที่สุด หักเลี้ยวซ้ายเข้าถนนนี้ก็ทางโล่งโปร่ง มันเป็นช่วงที่เลยพระจอมเกล้าพระนครเหนือมาแล้ว

เส้นนี้นักจักรยานคงรู้จักกันดีนะครับ จากบ้านมาถึง กม.ที่ 60 หมาป่าก็แวะกินข้าวผัดเป็นอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารชื่อบ้านปองพล แล้วขี่ต่อออกมาอีกหน่อยก็เจอทางเลียบคลองหักขวาออกมุ่งสู่สมุทรสาคร คลองก็เป็นคลองเส้นเดียวกับคลองสรรพสามิต แต่จากจุดแบ่งจังหวัดระหว่างสมุทรปราการเข้าสมุทรสาครคลองถูกเปลี่ยนชื่อเรียกเป็นคลองสหกรณ์ ยามบ่ายแดดแรงหมาป่าขี่เลียบคลองไปเรื่อยตรงไปข้างหน้าคือจังหวัดสมุทรสาคร

แดดจัด มีคลองอยู่ด้านซ้ายมือของถนน ระหว่างคลองกับถนนจะเป็นบ้านเรือน บางช่วงบ้านและต้นไม้บังคลอง บางช่วงมีที่ว่างเปิดให้เห็นคลอง ถัดคลองออกไปก็เป็นพื้นที่ลุ่มน้ำ เป็นบ่อกุ้ง ถัดเลยสายตาออกไปคืออ่าวไทย ต้นไม้ต้นไร่แถบนั้นเป็นตระกูลที่ทนน้ำกร่อยได้ดีน่ะครับ เช่นถ้าปลูกต้นตีนเป็ดมันจะขึ้นงอกงามดีแต่ถ้าไปหาญปลูกต้นทุเรียนก็อาจไม่รอดหรือถ้ารอดก็แกร็นไม่ออกผล ช่วงนี้หมาป่าแวะจิบกาแฟร้อนที่ร้านน่ารักข้างทางแล้วก็มุ่งต่อไปสมุทรสาคร

ขี่มาถึงกม. 80 นับจากบ้านหมาป่าก็มาถึงขอบเมืองสมุทรสาครครับ งานนี้ต้องเข้าตัวเมืองเพื่อไปหาที่ชาร์จแบตมือถือโนเกีย จัดของมาหลากหลายแต่ดันลืมที่ชาร์จมือถือ ร้านค้าย่อยที่ติดป้ายขายมือถือเดินเข้าไปก็ไม่มีของ ต้องไปห้างกลางเมืองแทน ยุคนี้ร้านย่อยขายอุปกรณ์พวกนี้ตั้งแบบ Stand alone ทำท่าจะรอดยากครับ ด้วยว่าคนจะเลือกไปแหล่งที่มีของให้เลือกมากกว่า ร้านเลยต้องไปกระจุกตัวอยู่ในห้าง ร้านที่เคยตั้งเดี่ยวๆถ้าไม่เข้าห้างก็ต้องหาของอื่นมาขายเสริม เช่นขายเสื้อผ้าเครื่องประดับกันไปถึงจะอยู่รอดแบบกำไรไม่ค่อยมี

จากห้างน้ำพุตรงวงเวียนได้ที่ชาร์จมือถือแล้วหมาป่าขี่หาทางออกไปถนนพระรามสอง ตอนนั้นเริ่มบ่ายแก่แล้วครับ เด็กนักเรียนเลิกเรียนเตรียมกลับบ้าน หมาป่าเปิดแผนที่แล้วงง ขี่ไปขี่มามันไปอยู่บนถนนเอกชัยด้วยทิศที่เหมือนจะมุ่งหน้าย้อนมากรุงเทพ สังหรณ์บอกว่าถนนพระรามสองนั้นอยู่ขนานกันแต่ถ้าจะไปใต้เราต้องหาทางตัดเข้าพระรามสองให้ได้แล้วขี่ย้อนกลับไปอีกทาง ใจคิดว่าคืนนี้ต้องนอนแถวสมุทรสาครนี่แหละ

หาทางตัดไปมาก็ไปเจอโรงแรมม่านรูดอยู่ในซอย เขาบอกว่าค่าห้องค้างคืนราคา 570 แต่ต้องรอหลัง 6 โมงเย็นจึงจะได้ราคานี้ หมาป่าก็ขี่ต่อไปเรื่อยจนมาออกพระรามสองได้ในที่สุด ถามคนพื้นถิ่นเขาบอกว่าแถวนี้โรงแรมเยอะ ให้มุ่งหน้าตรงไปยังสะพานที่จะข้ามแม่น้ำนั่นแหละโรงแรมเพียบ

ขี่ไปเจอโรงแรมม่านรูดแบบดีหน่อยถามบอกห้องละ 700 ใจหมาป่าว่าแพงไป เขาบอกว่าถ้าหลังเที่ยงคืนจะลดเหลือ 570 หมาป่ารอหลังเที่ยงคืนไม่ไหวก็เลยขี่ต่อไปหาเอาข้างหน้า....เหนื่อยครับ.....วันนี้ขี่ทั้งวันและได้ระยะทางน้อยมาก ล้าแดด อีกทั้งรู้สึกว่าร่างกายตัวเองไม่แข็งแกร่งเท่าสมัยขี่ขึ้นเชียงใหม่

กิโลที่ 98 ได้โรงแรมชื่อ New Friend เป็นโรงแรมทำนองบังกะโลเป็นหลังๆคืนละ 570 บาท อยู่ก่อนถึงสะพานข้ามแม่น้ำบนถนนพระรามสอง หมาป่าพักที่นี่และนึกเทียบกับสมัยที่ขี่ไปราชบุรีเมื่อตอนขี่จักรยานใหม่ๆ สมัยนั้นร่างกายแข็งแรงกว่านี้ ออกจากบ้านเช้า ข้ามเรือที่วัดบางน้ำผึ้งแล้วตัดไปทางพระรามสองเลย ไม่ไปตัดเข้าแถบนาเกลือช่วงต่อสมุทรปราการกับสมุทรสาคร ช่วงเที่ยงก็ขี่ถึงจังหวัดสมุทรสงครามแล้วล่ะครับ บ่ายแก่ๆหน่อยก็ถึงราชบุรี คราวนี้เวลามีเยอะแต่กำลังกายไม่เยอะ ขี่ทั้งวันได้ไม่ถึงร้อยกิโลแต่เนื้อยเหนื่อย ถึงแม้ระยะทางที่น้อยจะมาจากการวิ่งถนนเล็กใช้ความเร็วได้ไม่สูงมาก ทว่าเทียบดูจากความล้าของตัวเองเนี่ยเดาว่าจะซัดกันวันละ 170-180 กม.แบบเมื่อก่อนคงไม่ไหว ต้องค่อยๆไป

เสาร์ที่ 1 มีนาคม 2557 วันที่สอง

นับจากวันนี้ไปหมาป่าคงไม่ค่อยลงรายละเอียดของเส้นทางหรือการกินการอยู่มากนะครับ ด้วยว่าทริปมันยาว และวัตรปฏิบัตรมันก็ซ้ำๆกันคือการขี่จักรยาน เริ่มจากกินข้าวเช้าเสร็จ ขี่ไปสัก 20 ก.ม.ช่วงเช้ายังสดชื่นก็พักดื่มน้ำดื่มท่า พักเดินเล่นให้ตูดผ่อนคลายทุกๆ 20 กม. (หรือพอช่วงบ่ายเริ่มล้าๆก็พักทุกๆ 15 กม.แทน ขี้เกียจมากก็พักมันทุก 10 กม.เสียเลย)

พอสายๆสักสิบโมงกว่าๆเจอร้านข้าวร้านกะเตี๋ยวก็กินตุนไว้ก่อน เที่ยงหรือบ่ายต้นๆเจอร้านข้าวก็กินกลางวัน ตอนบ่ายๆหาพวกน้ำอัดลมน้ำเกลือแร่กินสลับน้ำเปล่าบ้าง ร้านน้ำมีตลอดทาง ช่วงไหนโหยๆก็กินพวกขนมปังที่ซื้อตุนไว้ในกระเป๋าเติมน้ำตาลในกระแสโลหิตให้หายโหย

พอใกล้ช่วงเย็นก็หาที่พักตามอำเภอริมเส้นทาง ซึ่งที่พักมีทุกอำเภอริมทางหลวงนั่นแหละครับ ทำนองห้องบังกะโลมีน้ำอุ่นมีแอร์มีทีวีราคาก็ไล่ๆอยู่แถว 4-5-600 บาท เข้าที่พัก ซักชุดขี่จักรยานที่ขี่หมมเหงื่อมาทั้งวันตากในห้อง ใส่ชุดขี่จักรยานที่จะใช้วันรุ่งขึ้นติดตัวตั้งแต่ตอนเย็น แล้วก็ขี่ออกมาหาข้าวเย็นแถวร้านข้าวต้มกิน เต็มความสดชื่นด้วยเบียร์สิงห์ 2 ขวด แล้วก็ขี่เข้าที่พักเป็นเช่นนี้ร่ำไปเกือบทุกวัน นอนอ่านหนังสือเรื่องเหมืองแร่สองเล่มใหญ่ที่ติดมา และเช็คข่าวสารในแทปเล็ต ข่าวช่วงนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไรมากกว่าการที่ม๊อบลุงกำนันและพี่น้องชาวนกหวีดปิดกรุงเทพ หมาป่าไปร่วมเดินร่วมปิดร่วมลุ้นกับเขามาตลอดสี่เดือน ขอไปพักด้วยการขี่ทางไกลฝากพี่น้องท่านอื่นที่อยู่และเดินทางเข้ามาในกรุงเทพเป่านกหวีดต่อไปก่อน ขี่มาจนปิดทริปก็ยังปิดเมืองกันอยู่ครับ สามทุ่มกว่าหรือไม่เกินสี่ทุ่มก็หลับสบายครับ

เพียงแต่ทริปนี้ไม่ต้องตื่นเช้ามากนัก ตื่นแล้วก็เก็บข้าวของ เอาเสื้อผ้าที่ผึ่งไว้ทั้งคืนพอหมาดๆเหน็บติดเหนือกระเป๋าและตะแกรงหลังให้แดดมันทำให้แห้งสนิทระหว่างวัน โอ้เอ้จิบกาแฟกินแถวที่พักก่อนจะออกเดินทาง แปรงฟันแต่ไม่ค่อยอาบน้ำเช้าด้วยไม่รู้จะอาบทำไมเดี๋ยวก็เหงื่อออกแล้ว ฮะฮะฮะ

ออกสายเกิน 8 โมงแล้วเกือบทุกวันทั้งทริปครับ อีกอย่างคือเส้นทางก็คือเพชรเกษมสายหลัก มีรถวิ่งข้างๆตลอดเวลาไม่มีเหงา ไม่มีหลงครับ โน่นแหละครับจะเปลี่ยนเส้นทางอีกทีก็ตอนเข้าจังหวัดชุมพรแล้วเพื่อจะเบี่ยงจากถนนเลียบอ่าวไทยไปออกทางฝั่งอันดามัน

ที่มหาชัยนี่กินข้าวเช้าที่ร้านข้าวแกงปักษ์ใต้ใกล้โรงแรม แกงรสจัดถึงใจ ลูกจ้างลูกออนในร้านเป็นพม่าเกือบทั้งหมด ความจริงก็เกือบทั้งจังหวัดนั่นแหละครับ สมแล้วที่ตอนออง ซาน ซูจีเธอมาเยี่ยมเมืองไทย เธอก็เลือกมาปราศรัยกับพี่น้องชาวพม่าที่มหาชัยนี้ นัยว่าเป็นแหล่งใหญ่ที่ชาวพม่าอยู่กันหนาแน่น ตลอดทริปนี้ทุกจังหวัดชาวพม่ามาทำงานอยู่กันแทบทุกร้านเลยครับ บางแห่งมีเมนูอาหารติดตรงฝาผนังเป็นภาษาพม่าเลยด้วยซ้ำ

วันนี้หมาป่ามุ่งเพชรบุรี ผ่านพระรามสอง ผ่านนาเกลือ ผ่านทางเข้าเมืองสมุทรสงครามแต่ไปต่อ ไปเลี้ยวซ้ายเข้าแยกวังมะนาว

ใกล้ๆเขาย้อยนี่หมาป่าแวะร้านอุปกรณ์วัสดุก่อสร้างเพื่อซื้อจุกยางปิดก้นอ่างล้างหน้าเตรียมไว้

เหตุคือเวลาเราไปต่างจังหวัดและเย็นลงต้องซักกางเกงซักเสื้อเนี่ย ตามห้องพักสมัยนี้เขามักไม่มีถังให้เราใช้ซักผ้ามีแต่อ่างล้างหน้า แต่อ่างล้างหน้าตามที่พักนี่จุกยางก็มักไม่มี มันก็จะยากเวลาเราจะกักน้ำไว้ขยี้ผ้าในผงซักฟอกหรือเวลาล้างน้ำเปล่าเพราะน้ำมันไหลลงรูหมด บางทีแก้ขัดได้ด้วยการเอาถุงพลาสติกที่บังกะโลชอบใส่ผ้าเช็ดตัวมาให้ในห้องพักวางทาบอ่างไว้กักน้ำ แต่มันก็ไม่ค่อยสะดวกครับ ซื้อจุกยางเตรียมไว้ใช้เองสะดวกกว่าครับ หมาป่าซื้อไว้ที่เขาย้อยแบบจุกยางใหญ่ แต่พอนำมาใช้กับบังกะโลแรกมันดันใหญ่เกินกว่ารูที่อ่างเลยได้เรียนรู้ว่ารูอ่างมันมีหลายไซส์ วันถัดมาซื้อขนาดย่อมลงมาซึ่งใช้ได้ดีเกือบทุกบังกะโลตลอดทาง ท่านนักจักรยานที่ชอบซักเสื้อและพักตามบังกะโลมีติดตัวไว้ก็ดีนะครับจุกอ่างน้ำทั้งสองไซส์เนี่ย ไม่กินที่กระเป๋ามากครับ

วันนี้หมาป่ามาหยุดพักที่ห้องพักชื่อกรีนวิลล์หลังเทสโก้ โลตัสอำเภอท่ายาง เลยทางเข้าเมืองเพชรมาพอควร ที่กม. 202 นับจากบ้าน วันนี้ได้ร้อยกิโลเศษๆครับ อาศัยกินข้าวเย็นที่ฟู้ดคอร์ทในโลตัสเสียเลย แถมซื้อเบียร์กระป๋องติดมือมาจิบที่ห้องพักด้วย

วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม 2557 วันที่สาม

วันนี้จากท่ายางหมาป่าเชื่ออย่างเต็มเปี่ยมว่าตัวเองต้องขี่เข้าเขตจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้แน่นอนเพราะมันใกล้นิดเดียวเอง เข้าเขตนะครับมิใช่เข้าตัวจังหวัด เพราะว่าพื้นที่ของจังหวัดประจวบในแผนที่เป็นจังหวัดที่ยาวมาก เรียวและยาว ออกจากท่ายางขี่เลยแยกที่เลี้ยวซ้ายจะเข้าชะอำ หมาป่าตัดขวาทางที่มุ่งประจวบ พอพ้นแยกไม่นานก็เริ่มรู้สึกถึงความชันของพื้นที่ครับ เริ่มให้อารมณ์เส้นทางปักษ์ใต้แล้วล่ะครับ

เส้นทางปักษ์ใต้นี้มันขึ้นเนินลงเนินกันตลอด ทางที่ทอดยาวไปข้างหน้าบางทีเราก็มองไม่ค่อยออกว่ามันเป็นตำแหน่งขึ้นหรือลงเนิน เพราะความชันมันค่อยๆไต่ขึ้นหรือทอดลง วัดด้วยตาไม่ได้แต่วัดด้วยขาได้ครับ ความเร็วเดินทางของหมาป่าทางราบนั้นที่จานใหญ่เฟือง 6 หรือ 7 จะอยู่ระหว่าง 25-28 กม.ต่อชม.เมื่อลมสงบ แต่หากเมื่อใดขึ้นเกิน 30 กม.ต่อชม. ก็แสดงว่าเป็นขาลงเนิน หากลงต่ำกว่า 20 อันนี้แม้ตามองไม่ออกแต่ขาบอกได้ว่าขึ้นเนิน

หมาป่ามาแวะกินข้าวสายๆที่ตรงปั๊มปตท. ตรงนี้เจอโมเมนต์ที่ชอบที่สุดโมเมนต์หนึ่งของการขี่จักรยานทางไกลคนเดียว....เจอกับกลุ่มนักบิด Big Bike ครับ ฮ่าฮ่าฮ่า
ไม่รู้ท่านนักจักรยานทางไกลแบบฉายเดี่ยวรู้สึกคล้ายๆกันไหมครับ เวลาที่เราขี่ไปรอที่แยกไฟแดงตามทางหลวงแล้วก็มีเสียงบรื้นๆของกลุ่มบิกไบค์เข้ามาจอดติดไฟแดงอยู่ข้างๆน่ะครับ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มช้อปเปอร์หรือกลุ่มไฮ-เพอร์ฟอร์มแมนซ์แบบรถซูเปอร์ไบค์พลังสูงก็ตาม เราจะหันไปมองเขาแล้วก็หันมายิ้มกับตัวเองนึกครึ้มในใจเพราะว่าเขาก็เป็นนักเดินทางไกลเหมือนกับเรา ต่างกันคือเขาไปด้วยเครื่องยนต์เกือบพันซีซีแต่เราไปด้วยขา แน่นอนครับการบิดเครื่องด้วยสองล้อที่ความเร็วร้อยกว่าหรือไปแตะสองร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงนั้นต้องอาศัยหัวใจดวงใหญ่ แต่ขี่จักรยานทางไกลก็อาศัยหัวใจดวงใหญ่ไล่เลี่ยกัน .... นี่หมาป่าว่าแบบเข้าข้างตัวเองนะครับ

ที่ปั๊มนี้หมาป่ามาแวะกินข้าว แต่ก่อนกินข้าวก็แวะขึ้นร้านอเมซอนไปหากาแฟสดกิน เห็นรถบิกไบค์จอดเรียงกันหน้าร้านก็เริ่มครึ้มใจครับ ถอดหมวกเดินถือขึ้นไปบนร้าน เสียงจ๊อกแจ๊กคุยกันของกลุ่มสิงห์นักบิดก็เงียบลง สักพักก็มีเสียงรำพึงของผู้อาวุโสในกลุ่มพูดดังๆทำนองว่ากำลังพูดถึงนักจักรยานผู้เดินหงอยเหงาเข้าร้านมา.... “กูก็เคยขี่ แต่ไม่ไหวว่ะมันเจ็บตูด” หมาป่าฟังแล้วก็ยิ้มสั่งอเมซอนร้อนทำตัวเหมือนไม่ได้ยินเสียงรำพึงที่ว่า

อ้อ ตอนที่กลุ่มพี่เขาเริ่มออกเดินทางใหม่นั้น พี่หัวหน้ากลุ่มขี่บีเอ็มดับเบิลยูสองล้อคันเบ้อเริ่มเหมือนรถฉลามบก แกบิดและเลี้ยวอีท่าไหนไม่รู้ตอนกำลังออกตัว รถล้มกลิ้งอยู่ตรงหน้าถังจ่ายน้ำมันนั่นแหละครับ ยกรถขึ้นใหม่คนเดียวไม่ไหว ต้องมีทีมมาช่วยยก ก็เฮฮากันไป ไม่ได้เจ็บอะไรครับ

หมาป่าขี่ทะลุลงใต้ไปเรื่อยๆผ่านปราณบุรีและเข้าสู่อำเภอกุยบุรี

อำเภอกุยบุรีนี้จะมีป้ายโปรโมทสัตว์ป่ามีชื่อเสียงของอุทยานแห่งชาติกุยบุรีอยู่ข้างทางเป็นระยะ มีสัตว์อยู่สี่ห้าชนิด เหมือนเป็นเธอะบิ๊กโฟว์บิ๊กไฟว์ ซึ่งหมาป่าจำไม่ได้หมดว่ามีอะไรบ้าง แต่ที่จำติดใจคือป้ายสุดท้ายที่บอกสัตว์ป่ามีชื่อเสียงที่สุดคือช้างครับ ป้ายนี้จะใกล้ตัวอำเภอมากที่สุด นอกจากป้ายไวนิลอิงค์เจทแล้วรู้สึกว่าจะมีรูปปั้นช้างป่าด้วย วันนี้หมาป่าขี่ได้ราว 110 กม. มาพักแรมคืนที่บังกะโลพรรักษา อำเภอกุยบุรี ไมล์นับจากบ้านได้ 312 กม. ขี่มาสามวันแล้ว เฉลี่ยวันละร้อยกิโล

จันทร์ที่ 3 มีนาคม 2557 วันที่สี่

หมาป่าออกจากที่พักสายมากครับ ออกตั้ง 10 โมงเช้า แวะเข้าไปกินข้าวมันไก่และกาแฟสดในตลาดกุยบุรี แม่ค้ากาแฟสดแนะนำว่าถ้าไม่อยากไปบนเส้นใหญ่เพชรเกษมให้ลองออกไปด้านหลังเลียบทะเลตั้งต้นจากสถานีรถไฟกุยบุรี ทางเลียบทะเลมันจะไปเลาะแถวตำบลบ่อนอก แล้วค่อยหาทางมาออกเส้นเพชรเกษมอีกที เส้นทางสวยงามร่มรื่นน่าขี่มาก ไปตามเส้น 1003 หลังสถานีรถไฟ แล้วมันจะไปต่อเส้น 1020 ที่เลียบทะเล ทะเลสีเขียวเทอร์คอย มีบังกะโลมีรีสอร์ทอยู่เรียงตามเส้นทางนี้เป็นระยะ มีที่ดินเปล่าติดทะเลขายด้วยนะครับ ไร่ละสี่ล้านสามเอ๊ง ขายทีละหลายไร่ไม่แบ่งขาย และเส้น 1020 มันก็จะกลับมาเชื่อมกับเพชรเกษมในที่สุดครับ เปิดแผนที่ทวนดูความจริงเราจะขี่จาก 1020 ที่มาจากปราณบุรีเลยก็ได้ ไม่ต้องจอแจกับรถยนต์ ไม่ผ่านตัวดาวน์ทาวน์ของกุยบุรีด้วย มันจะเลาะริมทะเลมาเรื่อย แต่กินเวลาครับ หมาป่าเลือกขี่ทางหลัก แล้วค่อยไปหย่อนใจทางย่อยแบบนี้ดูจะเหมาะกว่า

ถัดจากกุยบุรีมาก็เตรียมเข้าตัวจังหวัดประจวบแล้วล่ะครับ ทางเพชรเกษมช่วงก่อนถึงประจวบเริ่มมีเขาชันพอให้ได้ออกแรงและสนุกตอนรถวิ่งลงเขา ทางสวยโล่งกว้างโปร่งตาโปร่งใจ จากเพชรเกษมมีทางแยกเข้าตัวเมืองที่ต้องผ่านสะพานรถข้าม ลงสะพานมาก็เข้าสู่บริเวณย่านหน่วยราชการ ตลอดทางจากบ้านมาหมาป่าแทบไม่ได้ควักกล้องขึ้นมาถ่ายภาพเลยครับ บอกตรงๆว่าขี้เกียจเพราะทางช่วงที่มามันก็เป็นทางเส้นที่คุ้นชินเหมือนตอนจะขับรถยนต์มาหัวหิน ยังมานึกเสียใจว่าน่าจะถ่ายภาพแถวนาเกลือ ทุ่งโล่งริมทะเลตรงสมุทรปราการมาฝากเพื่อนนักจักรยานที่อาจยังไม่เคยขี่ไปแถวนั้นสักหน่อย รวมถึงแถวทางเลียบทะเลสวยแถวบ่อนอกด้วย อันนี้เป็นภาพแรกที่สั่งตัวเองว่าถ่ายภาพได้แล้ว ถ่ายที่ศาลหลักเมืองจังหวัดประจวบครับ

รูปภาพ

หมาป่าตั้งใจว่าคืนนี้จะขอพักที่ที่พักทหารอากาศในกองบิน 5 อ่าวมะนาว

ขี่จากดาวน์ทาวน์ประจวบฯไปแป๊บเดียวตรงปลายถนนเลียบหาดก็พุ่งเข้าประตูซุ้มกองบินเลย อ่าวทะเลแสนสวยงาม สงบร่มรื่นด้วยการดูแลอย่างดีของทหารอากาศและมีวีรกรรมของทหารอากาศและประชาชนชาวประจวบฯที่ต่อสู้ปกป้องฐานบินเมื่อคราวญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484

ที่อ่าวมะนาวนี่ทั้งไทยทั้งญี่ปุ่นตายกันหลายร้อยคนครับ ส่วนใหญ่เป็นญี่ปุ่นเพราะบุกขึ้นหาดมาหาปืนกลหนัก แต่ทหารไทยและคนไทยก็ตายกันหลายสิบ นี้รวมทั้งลูกเสือด้วยนะครับ น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เขายึดฐานบินได้แต่เราก็ขึ้นไปยันตั้งรับบนเขา ล่วงจนคำสั่งหยุดยิงมาจากกรุงเทพนั่นแหละจึงลงมาเก็บศพทำพิธีทางศาสนากัน

หมาป่าคืนนี้พักหรูหน่อยครับ ด้วยต้องไปพักของห้องพักโรงแรมสวัสดิการทหารอากาศเป็นตึกริมทะเล ค่าห้อง 1,100 บาทต่อคืนรวมอาหารเช้า มาหยุดที่กม. 367 วันนี้ขี่ได้จุ๋มจิ๋มราวๆ 55 กม.นับจากกุยบุรี

โรงแรมมีที่จอดจักรยานด้านล่างให้ล่ามโซ่ไว้กับท่อเหล็ก แต่หมาป่าขอแบกอีเขียวขึ้นไปพักบนตึกด้วยกันดีกว่าครับ ชั้นสามนี่กินแรงพอดู เอาจักรยานเข้าห้องพักกว้างใหญ่มีเตียงสองเตียงแล้วก็ลงมาทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารริมหาด นี้เป็นวิวมองจากหน้าร้านยามบ่ายแก่

รูปภาพ

คืนที่นอนโรงแรมที่วังมะนาวนี้มีเรื่องแปลกนิดนึงครับ ปกติหมาป่าไม่ค่อยฝันตอนนอน แต่คืนนี้ไม่รู้เพราะอ่านประวัติวีรกรรมทหารและจำนวนคนเสียชีวิตที่อ่าวนี้จำนวนมากด้วยหรือเปล่า หมาป่านอนเตียงที่อยู่ติดระเบียง แต่ในฝันนั้นเห็นจริงจังมากว่าตัวเองตื่นขึ้นมาตอนดึกไฟปิด ข้าวของในห้องก็อยู่แบบเดียวกับตอนที่หมาป่าเข้านอน แต่รู้สึกว่าเตียงข้างๆมีคนคนหนึ่งนอนอยู่ สักพักเขาก็ลุกขึ้นมาเป็นเงาจากเตียงเขาเดินอ้อมปลายเตียงหมาป่ามายืนจ้องมองหมาป่าตรงด้านซ้ายแล้วเขาก็ล้มลงนอนบนเตียงหมาป่านั่นแหละครับ เป็นเงาคนเหมือนคนไม่มีผม รูปเงานั้นเหมือนคนใส่ชุดรัดรูปแบบชุดมนุษย์แมงมุมแต่เป็นแค่รูปเงาร่างคนนะครับไม่มีรายละเอียดชุด ในฝันนั้นหมาป่าบอกตัวเองว่านี่ผีนี่หน่า แต่ว่าไม่ได้กลัวอะไร แถมนึกในใจตอนฝันด้วยว่าผีก็ผีเหอะ กูง่วง...กูหลับก่อนนะ แล้วหมาป่าก็หลับอีกครั้งในฝันจนเช้า การนี้ยังเชื่อว่าเป็นเรื่องความฝันที่เกิดจากความคิดในใจก่อนนอนว่าถ้าผีมีจริงอ่าวมะนาวก็คงผีเยอะ ไม่คิดว่าตัวเองเจอผีจริงๆครับ

อังคารที่ 4 มีนาคม 2557 วันที่ห้า

หมาป่าขี่ออกจากกองบิน 5 แต่ไม่ย้อนกลับไปทางตัวเมืองประจวบ เลือกเส้นทางหลังฐานบินเป็นถนนเล็กสองเลนสวนครับ ผ่านตำบลคลองวาฬ ผ่านหมู่บ้าน และขี่ไปสักพักจะมีทางรถไฟสายใต้เลียบทางอยู่ด้านขวามือ เส้นนี้มันจะไปผ่านพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์พระจอมเกล้าแห่งหว้ากอ ด้วยบริเวณนี้คือตำบลหว้ากอ ที่ ร.สี่ ท่านมาดูสุริยุปราคาเต็มดวง สมัยโน้นก็คงเป็นป่าริมทะเลรกกว่าสมัยนี้เยอะ ที่พิพิธภัณฑ์มีรถบัสพาเด็กนักเรียนมาทัศนศึกษาจำนวนมากครับ มีทั้งหัวรถจักรรถไฟสมัยเก่าตั้งแสดง มีอควาเรียม แล้วสักพักถนนก็ตัดทางรถไฟขึ้นไปบรรจบกับถนนเพชรเกษมสายหลักอีกที เป็นทางย่อยอีกเส้นทางที่สวยงาม ความจริงหมาป่าเดาว่าเส้นเล็กเลียบชายอ่าวไทยนี้น่าจะสวยสงบน่าขี่ตลอดนะครับเพียงแต่การเดินทางถ้าจะเอาเร็วก็ต้องไปเพชรเกษม

เส้นทางผ่านตำบลห้วยทราย แล้วก็ต่อไปตำบลแสงอรุณมุ่งสู่ทับสะแก ตรงแสงอรุณมีอารามของคณะสงฆ์และซิสเตอร์ภคินีแห่งสำนักกลาริสปูชินในพระศาสนจักรโรมันคาธอลิกอยู่ด้วยนะครับ หลายปีก่อนโน้นหนังสือสารคดีมีทำสกู้ปเรื่องชีลับที่ปฏิญานถวายตัวเข้าเงียบอยู่หลังกำแพงในอารามแทบไม่ติดต่อกับคนภายนอก มุ่งภาวนา และอิ่มเอมในความยากจนสมถะ เพื่อถวายตนเปรียบเป็นเจ้าสาวของพระเจ้า หมาป่าอ่านแล้วก็จำชื่อคณะได้อยู่ในหัวจนขี่มาเจอก็นึกขึ้นได้นี่แหละครับ

ทางขึ้นลงขึ้นลงต่อเนื่องมาโดยตลอด ผ่านรถซูเปอร์คาร์สีขาวคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทาง เจ้าของเป็นชายหนุ่มกำลังโทรศัพท์หน้าตาเครียดคงเพราะต้องตามช่างหรือเพื่อนมาช่วยจัดการรถที่เสีย เสียนี้ไม่ได้เครื่องเสียครับ แต่คงวิ่งเร็วมากจนทำให้แผงพลาสติกที่ครอบฝากระโปรงหน้าซึ่งคงจะมีรอยเงิงอยู่ด้วยความบกพร่องของการผลิตถูกลมตีจนเปิดและหลุดออกจากตัวฝากระโปรงโลหะ หมาป่าก็เพิ่งรู้ว่ามีซูเปอร์คาร์บางยี่ห้อใช้พลาสติกครอบฝากระโปรง มิได้ใช้สีพ่นน่ะครับ

วันนี้หมาป่ามาได้ถึงเขตอำเภอบางสะพานน้อยอำเภอท้ายสุดของจังหวัดประจวบฯก่อนที่จะเข้าสู่เขตชุมพร พักที่บังกะโล DD ค่าห้อง 400 อยู่ใกล้ปากทางแยกจากเพชรเกษมที่จะเลี้ยวซ้ายเข้าไปยังดาวน์ทาวน์ของบางสะพานน้อย ขี่ได้ 100 กม.พอดีเป๊ะ เลขในไมล์สะสมเป็น 467 กม.

พุธที่ 5 มีนาคม 2557 วันที่หก

หมาป่ากินข้าวเช้าแล้วขี่ออกมาจนถึงภูเขาเรียกว่าเขาโพธิ์ อยู่ตรงใกล้รอยต่อประจวบฯกับชุมพร ลงจากเขามีชุมชนข้างทาง และมีร้านขายของชำที่มีคนนั่งล้อมวงตรงม้าหินอยู่สามสี่คน คนหนึ่งขี่จักรยานเสือภูเขาคาดว่าคงไปขี่ออกกำลังช่วงเช้ามา เขาตะโกนเรียกให้หมาป่าจอดเพื่อขอดูรถอีเขียว ได้ความว่าน้องผู้ชายคนนึงกำลังอยากซื้อเสือหมอบ เผอิญทัวริงอีเขียวของหมาป่าแฮนด์มันเป็นแฮนด์แบบเดียวกับเสือหมอบเขาเลยอยากขอสอบถามเป็นความรู้ หมาป่าบอกว่านี้ทัวริ่งไม่ใช่เสือหมอบแท้จ้ะ น้องผู้ชายบอกว่าเปิดเนตดูพวกขายสินค้าแบบเป็นอีแคตตาล๊อค กำลังเล็งจะซื้อเสือหมอบตัวหนึ่งหนัก 13 กก. หมาป่าเองก็ไม่ค่อยมีความรู้แต่แค่รู้สึกว่าเสือหมอบมันน่าจะเบากว่านี้สักหน่อย ถามว่าเคยเข้าเวป Thaimtb ไหม ทั้งกลุ่มไม่มีใครเคยเข้าเลยครับ

หมาป่าเลยเปิดแทบเล็ตตัวเองเข้าเวปของพวกเรา แล้วก็ลองเสริชหาภาพเสือหมอบให้ดู โอ้โหทั้งกลุ่มครางกันฮือเลยล่ะครับ คันนั้นก็สวย คันนี้ก็งาม หมาป่าบอกว่าอย่าเพิ่งรีบซื้อ เข้ามาเปิดดูหาความรู้จากในเวปก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ ยี่ห้อ Trek Giant Specialized พวกนี้คุณภาพใช้ได้หมด เอาตามงบประมาณที่ตั้งไว้ในใจ น้องผู้ชายถึงกับโทรเรียกเพื่อนขับปิคอัพมาดูเวปและดูอีเขียว แนะนำทิ้งท้ายก่อนขี่ออกมาว่าไปดูที่ร้านจักรยานที่ชุมพรน่าจะดีกว่า หรือไม่ก็ย้อนกลับเข้ามาดูที่ตัวจังหวัดประจวบ เห็นตัวลองจับลองยกก่อนแล้วค่อยซื้อ โบกไม้โบกมือร่ำลากันด้วยความชื่นมื่นและทิ้งกิเลศก้อนเบ้อเร่อไว้ให้เอนจอยกันครับ

จากนั้นหมาป่าก็ผ่านปะทิวเข้าเขตอำเภอท่าแซะจะมุ่งเข้าชุมพร

ช่วงนี้เฟืองหลังเบอร์ 6 เริ่มออกอาการแปลกครับ คือถ้าเราขี่ที่เฟือง 7 จะดึงลงเฟือง 6 โซ่มันไม่เปลี่ยนตำแหน่งด้วย ต้องดึงชิฟเตอร์ปลายแฮนด์ลงเฟือง 5 โซ่ก็จะดีดข้ามจาก 7 มา 5 แล้วค่อยสับขึ้นเป็นเฟือง 6 อีกที โซ่จึงจะขึ้นกลับไปเฟือง 6 ที่ต้องการ

อาการแบบนี้ถ้าขี่พื้นราบและความเร็วเดินทางในกรุงเทพไม่เป็นปัญหามากครับ เพราะหมาป่าใช้จานหน้าจานสองจานกลาง อาจจะรำคาญหน่อยเป็นสักพักก็จะเอาเข้าร้านช่างน้องหนึ่งให้ปรับแต่งแก้ไขให้ ช่างน้องหนึ่งปรับแต่งแก้ไขนิดเดียวก็เป็นปกติ แล้วจานสองเนี่ยมันจะรับเหมาะกับพิสัยของเฟืองหลังที่กว้างกว่าจานใหญ่หรือจานเล็กคือเฟือง 7 6 5 4 และ 3

แต่เวลาขี่ทางไกลขึ้นเนินขึ้นเขาแบบปักษ์ใต้นี้กลับสร้างความหนักใจให้หมาป่าครับ เพราะหมาป่าเรียนมาว่าจานใหญ่ที่ให้ความเร็วสูงบนไฮเวย์มันจะรับกับเฟืองหลังเบอร์ 9 8 7 และ 6 (รถหมาป่ามี 9 เฟือง 3 จาน) ถ้าใช้จานใหญ่ลงเฟือง 5 นั้นไม่ดีงามเท่าไหร่ เพราะแนวโซ่จะเฉียงมากไป หากโซ่รับภาระหนักเช่นตอนขึ้นเขาพร้อมสัมภาระบรรทุกเต็มอาจขาดได้

คราวนี้ขี่ปักษ์ใต้เนี่ยเนินมันมีตลอดน่ะครับแล้วหมาป่าก็ใช้จานใหญ่ตลอดเพื่อความเร็วในการเดินทาง มักเป็นจานใหญ่เฟือง 7 ที่เป็นคู่ที่ใช้ประจำ สลับกับตอนขึ้นเนินที่จะเป็นเฟือง 6 (หมาป่าไม่ค่อยสับจานหน้าครับ เลือกสับเฟืองหลังง่ายกว่าเบาแรงกว่า สะดุดก็น้อยกว่า) ถ้าเฟือง 6 มีความเพี้ยนนั่นหมายความว่าหมาป่าต้องสับเฟืองลงจาก 7 เป็น 5 แล้วค่อยสาวลงที่ 6 ช่วงจานใหญ่เฟือง 5 นั้นเป็นตำแหน่งคู่เกียร์ที่เริ่มมีความเสี่ยง จะให้ไม่เสี่ยงก็คือปรับจานใหญ่ลงจานกลางแล้วค่อยเปลี่ยนเฟืองหลังจาก 7 เป็นเฟือง 5 ความเร็วก็จะตกหรือไม่ก็ต้องซอยขาถี่ขึ้นยามขึ้นเนินแล้วเปลี่ยนเฟืองเป็น 6 จากนั้นก็ค่อยสับจานกลางเป็นจานใหญ่เพื่อเพิ่มความเร็วกลับไปใกล้ของเดิม......

...... อ่านแล้วมึนหัวไหมครับ....หมาป่าก็มึนครับ ยิ่งตอนขี่ขึ้นเนินบนไฮเวย์ มีรถยนต์ความเร็วสูงแล่นผ่านยิ่งไม่อยากมึนสับจานสับเฟืองเปลี่ยนเกียร์ไปมา การขี่จักรยานทางไกลควรเป็นความรื่นรมย์ใช่ไหมครับ....มิใช่สับสวิทช์พร้อมคิดเสตปถี่ยิบแบบวิศวกรโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบนี้ ยิ่งเนินเยอะยิ่งวุ่นวายใจ

หมาป่าตั้งใจว่าเข้าเมืองชุมพรข้างหน้านี้ก็จะเอารถให้ช่างร้านจักรยานเมืองชุมพรปรับแต่งเกียร์ให้ดีดังเดิม

หมาป่าไปตัดเข้าเมืองชุมพรด้วยทางลัดไม่ไปทางท่าแซะ แยกซ้ายไปทางบ้านละมุ มีทางกำลังทำอยู่ใกล้ๆคาดว่าจะเป็นเส้นลัดแบบเป็นทางการในเวลาไม่นาน ทางลัดนี้ลาดยางสองเลนสวนกันแล้วไปโผล่เอาที่ภูเขาใกล้ๆกับศูนย์ราชการ ตัดลัดเลาะเข้าเมืองชุมพรได้

เข้าเมืองแล้วก็หาร้านจักรยานเพื่อซ่อมปรับแต่งเฟือง เปิดเวปเช็คดูก่อนเห็นมีสองร้านใหญ่คือ เอ็กพงษ์ กับ อี้พงษ์ ขี่วนๆหาทางในดาวน์ทาวน์ก็เจออยู่ใกล้กันนั่นแหละครับ

ร้านเอ็กพงษ์บอกช่วงนี้ไม่รับซ่อม

ร้านอี้พงษ์บอกลองเอามาดูกัน แต่ช่างของร้านอี้พงษ์วิเคราะห์อาการว่าเกิดจากกลไกในตัวชิฟเตอร์นั้นเริ่มกร่อนแล้วการเปลี่ยนเฟืองจึงทำได้ไม่สมบูรณ์ หมาป่านึกค้านในใจเพราะอาการนี้เคยเกิดแล้วช่างหนึ่งปรับแต่งให้ง่ายๆด้วยการปรับตัวดึงสลิงตรงเฟรมแป๊บเดียวก็หาย แต่ก็ไม่ได้เถียงกับช่างหรอกนะครับ สังเกตดูเห็นว่าทั้งร้านขายแต่เสือภูเขา กับจักรยานแม่บ้านและจักรยานเด็ก (เออ..ที่แนะนำพวกพี่น้องตรงเขาโพธิ์ว่าให้มาหาเสือหมอบในเมืองชุมพรนี่สงสัยจะเหลวนะครับ เสือชุมพรถ้าทราบว่ามีแหล่งเสือหมอบในตัวจังหวัดก็มาทิ้งความบอกกันไว้บ้างนะครับ) อย่างไรเสียก็ไม่มีอะไหล่ของชิฟเตอร์ปลายแฮนด์แบบของอีเขียวสำรองไว้แน่นอน ในใจนึกว่าเดี๋ยวจะโทรไปปรึกษาช่างน้องหนึ่งที่อยู่ห่างไป 500 กม. ดูว่าจะปรับแต่งด้วยตัวเองได้ไหม

ร้านอี้พงษ์แนะนำห้องพักให้ว่าเปิดใหม่อยู่หลังสนามกีฬาจังหวัดสภาพห้องดี และโทรบอกคนของโรงแรมให้มาพาหมาป่าขี่ตามไปเข้าพัก ห้องพักใหม่ดีคุ้มเกินราคาจริงๆครับชื่อ Room Place ราคา 420 บาท เทียบสภาพห้องกับราคาอาจพูดได้ว่าดีที่สุดสำหรับห้องพักที่ต้องจ่ายเงินทั้งทริปนี้เลยครับ

เข้าห้องพักช่วงบ่ายแก่ๆ วัดไมล์ได้ 549 กม. ขี่มาจากบางสะพานน้อยไม่ถึงร้อยกิโล

หมาป่าอาบน้ำซักเสื้อผ้าแล้วก็โทรหาช่างน้องหนึ่งบอกอาการ น้องหนึ่งนึกในหัวแล้วก็บอกให้หมาป่าลองบิดปุ่มตั้งความตึงสลิงตรงเฟรมแบบที่หมาป่าสังหรณ์ไว้นั้นแหละครับ ช่างบอกว่าสายมันหย่อน การปรับตั้งให้ตึงให้บิดลูกบิดทิศเดียวกับเวลาเราเปิดก๊อกน้ำ หมาป่าก็อือๆรับคำมา วางสายช่างหนึ่งแล้วก็บิดแต่ว่าดันบิดไปอีกทางด้วยเลอะๆลืมๆทิศทางที่ช่างหนึ่งบอก ใจคิดว่าจะให้ตึงก็ต้องบิดไปทิศตามเข็มนาฬิกาเหมือนเราไขเกลียวน๊อต บิดเท่าไรก็ไม่รู้ก็เลยบิดไปราวๆครึ่งเส้นผ่านศูนย์กลางของตุ่ม จากนั้นก็ลองขี่มาข้างนอกจะมาหาข้าวเย็นเกินด้วย อุแม่เจ้าเอ๋ยคราวนี้เฟืองมันรวนทั้งเฟือง 6 7 8 เลยครับ ซวยแล้วสิเพราะไหงมันแย่กว่าเดิม ช่างที่ชุมพรก็แก้ไม่ได้ ช่างที่แก้ได้ก็อยู่ห่างไกลเหลือเกิน คราวนี้หมาป่าตั้งสติใหม่กลั้นใจบิดมาอีกทางทิศทวนเข็ม บิดมันหนึ่งรอบเลย ฮ่าฮ่าฮ่า คราวนี้กลับไปดีเหมือนเดิมครับ เฟืองไหนๆทั้งเฟือง 6 เจ้าปัญหาและเฟืองอื่นก็ไม่มีปัญหาตลอดทริปเลย รอดไปได้ครับ

หมาป่ารักจังหวัดชุมพรเป็นพิเศษครับด้วยมีความหลังฝังใจ

สมัยเรียนประถมพ่อเคยพามาที่จังหวัดนี้ สมัยโน้นพ่อหมาป่าทำงานเป็น Auditor ของบริษัทประกันชีวิตศรีอยุธยา พ่อต้องไปตรวจสอบสำนักงานต่างๆทั่วประเทศ เดินทางด้วยรถไฟหรือไม่ก็รถทัวร์ ทริปหนึ่งพ่อหนีบหมาป่าลงมาชุมพรด้วยกัน

เราขึ้นรถไฟชั้นสามจากกรุงเทพมาตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้วก็มาเช้าที่ชุมพร มันนานน้านนานในความคิดของเด็ก เรียกว่านั่งกันตูดแฉะครับ

ความสุขคือการได้ไปนั่งในสำนักงานสาขาแล้วก็นั่งจิ้มพิมพ์ดีดเล่นพิมพ์โน่นพิมพ์นี่ไปเรื่อยเปื่อยเพราะที่บ้านไม่มีพิมพ์ดีดให้เล่น ตอนค่ำพ่อจะพาไปกินข้าวร้านข้างทางแล้วพอทุ่มกว่าๆก็จะพาไปดูหนังในโรงประจำจังหวัด สมัยนั้นทุกจังหวัดมีโรงหนัง ก่อนเข้าโรงหนังพ่อจะซื้อหนังสือให้หมาป่าเพื่อเอากลับไปอ่านที่โรงแรม หมาป่าดูหนังกับพ่อ พอหนังเลิกเราสองคนก็จะเดินกลับโรงแรมที่อยู่ในดาวน์ทาวน์นั่นแหละ เมืองหลังหนังเลิกจะเงียบร้านรวงปิดหมด มีแสงไฟหรู่ๆริมถนน อากาศเย็นๆ มีหนังสือที่พ่อซื้อให้ในมือพวกหนังสือเครื่องบินรบชื่อวีรกรรมกับการ์ตูนผีเล่มละบาท หมาป่าเข้าโรงแรมแล้วก็ดมกลิ่นหนังสือกรีดดูภาพเครื่องบินรบด้วยความอิ่มใจก่อนหลับไปบนเตียงเดียวกับพ่อ โรงแรมเป็นตึกสูงสามสี่ชั้นแบบที่เซลส์แมนชอบพักน่ะครับ ห้องพัดลมเพดาน มีน้ำฝักบัวแต่ไม่มีน้ำอุ่น มีผ้าขนหนูกับสบู่ก้อนเล็กๆ กลิ่นสบู่นี่เป็นเอกลักษณ์ครับ สมัยโน้นรีสอร์ทหรือบังกะโลยังไม่มีเพราะผู้คนไม่ได้เดินทางกันมากเหมือนสมัยนี้

ขี่มาคราวนี้เป็นครั้งที่สองในชีวิตที่ได้กลับมาเยี่ยมชุมพร จะไปตามหารอยเก่าที่มากับพ่อ แปลกนะครับพอเราทำงานแล้ว เคยเดินทางไปไกลกว่าชุมพร ไปสุราษฏร์ ไปหาดใหญ่ ไปภูเก็ต ไปกระบี่ นั่งเครื่องไป ไปนอนโรงแรมที่ดีกว่าโรงแรมไม่มีดาวพวกนั้นจมหู แต่ความตรึงใจกลับเทียบไม่ได้กับช่วงเวลาในวัยเด็ก

ดาวน์ทาวน์ชุมพรมีอาหารข้างทางมากมายครับ ผู้คนคึกคัก หมาป่าเลือกเข้าร้านที่เป็นสวนอาหารชื่อสวนอาหารรินทร์ เห็นเจ้าของคุณลุงคุณป้ามีอายุก็เข้าไปคุย ร้านเปิดมาตั้งแต่ปี 2518 ได้การล่ะเจอคนเก่าคนแก่ เลยเล่าว่าเคยมาชุมพรเมื่อสามสิบกว่าปีก่อนและกลับมาอีกครั้ง ถามเรื่องโรงหนัง ลุงเล่าว่าเมื่อก่อนชุมพรมีโรงหนัง 3 โรง อยู่แถวห้าแยกแต่เลิกกิจการกันไปหมดแล้ว หมาป่าดีใจกินอิ่มก็ขี่รถชมเมือง ผ่านห้าแยกแล้วก็พยายามนึกอดีตย้อนกลับไปสมัยมากับพ่อ เห็นโรงแรมทำนองเดียวกับที่เคยมาพักก็เดาว่ามันคงโรงแรมใดโรงแรมหนึ่งนั่นแหละ ขี่วนตอนกลางคืนแล้วก็กลับห้องพักหลังสนามกีฬาหลับสบายใจเป็นพิเศษ

พฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม 2557 วันที่เจ็ด

วันนี้หมาป่าจะขี่ตัดออกจากเพชรเกษมช่วงที่เลียบอ่าวไทยไปสู่จังหวัดระนองเป็นเพชรเกษมช่วงที่เลียบฝั่งอันดามันแทนครับ จุดแยกนี้อยู่ตรงแยกปฐมพร ออกจากที่พักหมาป่าก็แวะปั๊มปตท.ก่อนถึงสะพานข้ามแยก เจ้าของปั๊มท่าทางชอบของเก่า มีจัดมุมถ่ายรูปย้อนอดีตไว้ในปั๊มด้วย

รูปภาพ

รูปภาพ

ขี่ข้ามแยกมาสักพักก็เจอพระรูปกรมหลวงชุมพรตรงข้ามค่ายเขตอุดมศักดิ์ รถที่ผ่านไปผ่านมาบีบแตรเสียงแปร๊นๆตลอดเวลาเพื่อถวายสักการะ

รูปภาพ

ตรงจุดเริ่มต้นเส้นทางปาดพาดด้ามขวานนี้กรมทางหลวงท่านก็ติดป้ายเตือนผู้ขับขี่รถยนต์เอาไว้ว่าข้างหน้าจะเจออะไรบ้าง คนขี่จักรยานไม่ค่อยรู้สึกรู้สากับโค้งเท่าไรดอกนะครับ ความเร็วเราต่ำ แต่โค้งลงเขานั้นก็พอรู้สึกบ้าง

รูปภาพ
ความจริงเส้นที่จะตัดจากฝั่งอ่าวไทยไปอันดามันนั้นมีให้เลือกอีกเส้นครับ คือขี่ลงจากชุมพรเลาะอ่าวไทยไปก่อนแล้วไปตัดขวาขึ้นไปสู่พะโต๊ะ เส้นนั้นชันกว่าแต่รถก็น้อยกว่า ทางมันจะลงตรงเพชรเกษมเลียบอันดามันจุดที่เลยตัวเมืองระนองออกมาแล้วสามารถขี่ย้อนกลับขึ้นไประนองได้ หมาป่าเบื่อขี่ขึ้นเขาชันน่ะครับเลยมาเส้นนี้แทน เส้นนี้มีรถวิ่งตลอดแต่หมาป่าไม่ถือว่าจอแจมาก สงบกว่าเส้นที่ลงมาจากกรุงเทพสู่ชุมพรมาก

อีกแหละครับ....เส้นทางสวย อุดมด้วยเนินและความเขียวครึ้ม มีภูเขาเตี้ยๆตลอดทาง เกษตรกรปลูกปาล์มน้ำมัน ยางพารา และต้นหมากตลอดทาง ดูอุดมสมบูรณ์ ความอุดมสมบูรณ์ความชุ่มชื้นของปักษ์ใต้มาแสดงออกมากเป็นครั้งแรกตรงช่วงนี้

ช่วงที่ผ่านเข้าเขตจังหวัดระนองแล้วนั้นขี่ไปสักพักริมทางซ้ายมือจะมีป้ายหินสลักจารึกพระนามอักษรย่อ จปร. ของรัชกาลที่ห้าอยู่ตรงด่านของทหารกองกำลังเทพสตรี หมาป่าแวะกินข้าวช่วงสายตรงเพิงริมทางที่นี่ เมนูมีทั้งภาษาไทยและภาษาพม่า

พอขี่ไปอีกสักสิบห้ากิโลก็พักตรงปั๊ม PT ชื่อแสงฟ้าออยล์เพื่อหากาแฟสดร้อนจิบเรียกแรง บนร้านกาแฟมีพนักงานขายของบริษัทดอกบัวคู่สองคน คนหนุ่มกับคนมีอายุที่มาจอดรถพักทำงานเอกสารและส่งสินค้าที่ร้านคอนวีเนียนสโตร์ของปั๊ม หมาป่าเห็นเขาป้อนตัวเลขสต๊อกยอดขายผ่านแทปเลตแทนที่จะเป็นเอกสารปึ๊งๆแบบสมัยก่อน ขยับเข้าไปคุยแก้เบื่อ ได้ความรู้เกี่ยวกับเถ้าแก่ดอกบัวคู่ผู้ใจบุญและครอบครัว พนักงานรักเถ้าแก่และนายแม่มาก ได้รู้ด้วยว่าเถ้าแก่ผู้วายชนม์เป็นคนปากพนัง ส่วนนายแม่ภรรยาเป็นคนโคราช คุยเรื่องเณรคำ ทราบว่าการออกรอบส่งสินค้าด้วยรถคอนเทนเนอร์เล็กนี้เป็นวงรอบละ 24 วันต่อเดือนแล้วก็พักยาวที่กรุงเทพก่อนออกรอบใหม่

หมาป่าชอบแปรงสีฟันดอกบัวคู่รุ่นถ่านสีดำที่ขนแปรงมันเล็กและแข็งซอกซอนร่องเหงือกซอกฟันได้ดีก็ถามซื้อเอาเสียเลย คุณพนักงานบอกว่าเดี๋ยวจะเอาเข้าไปขายส่งในร้านคอนวีเนียนสโตร์ในปั๊มนั่นแหละ ขายกันสดๆโดยมีหมาป่าเป็นผู้ยืนยันกับเจ้าของร้านว่าแปรงใช้ดีน่าจะรับไว้สักโหลสองโหล เจ้าของร้านก็อือๆแล้วก็รับไว้ หมาป่าเลยซื้อปลีกจากเจ้าของร้านมาด้ามนึง ฮะฮะฮะ ช่วยกันขายช่วยกันซื้อ

โบกมืออำลาอวยชัยให้พรกันกับพนักงานขายดอกบัวคู่สองท่านนั้นและคิดว่าอาจจะเจอกันระหว่างทาง เขาขับนำไปก่อนแล้วหมาป่าขี่ตาม เขาแวะส่งสินค้าตามอำเภอรายทาง หมาป่าก็จะขี่นำไป แล้วก็ได้มาพบกันอีกทีช่วงตรงเลยตะกั่วป่าเลยเขาหลักออกมา มีเสียงแตรรถบีบปี้นๆด้านหลัง รถแซงไปก็รถดอกบัวคู่คันคุ้นเคย

ทางไประนองผ่านทับหลี ที่นี่ซาลาเปาขึ้นชื่อครับ ร้านข้างทางติดป้ายเจ้าเก่าทับหลีเลือกกันไม่หวาดไม่ไหว ซื้อติดมากินกลางทาง

จากนั้นก็มาเจอคอคอดกระ ส่วนที่แคบที่สุดของคาบสมุทรมาลายู หมาป่าแวะถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับป้าย ป้ายอยู่ด้านขวาของถนนที่มุ่งลงใต้ อีกภาพนั้นเอารถลงไปตรงริมแม่น้ำกั้นกลางระหว่างพม่ากับไทย ฝั่งตรงข้ามนั่นพม่านะครับ ส่วนอีกฝั่งของถนนเป็นค่ายตชด.ที่มาตั้งรักษาตรวจการดินแดนของเราเอาไว้

รูปภาพ

รูปภาพ

ทางต่อจากคอคอดกระก็ค่อนข้างขึ้นเขาครับ หนักแรงพอควรแต่ไม่เท่ากับขึ้นเหนือหรือขึ้นเขาใหญ่ ช่วงนี้ตอนที่หมาป่าไปกำลังทำทางขยายเป็นถนนสี่เลนให้รถวิ่งสะดวกขึ้น การขยายทางไม่ได้เริ่มจากด้านชุมพรแต่กลับเริ่มจากด้านระนองย้อนกลับมา มีฝุ่นเล็กน้อยด้วยบางช่วงยังถมทางด้วยลูกรังอยู่ บางช่วงก็ราดยางขี่สะดวกมาก ไต่เขาขึ้นไป แล้วพอลงมาก็ได้ความเร็วให้พอตื่นเต้นสนุกสนาน

หมาป่ามุ่งหน้าไปจวนจะถึงตัวเมืองระนอง ระหว่างทางแวะกินข้าว และก็แวะกินน้ำที่ร้านชำ ล่วงเข้ายามบ่ายแก่เห็นเสือระนองขี่จักรยานออกกำลังมาจากทิศของตัวเมืองสองสามท่าน

เจอท่านหนึ่งกินน้ำอยู่ที่ร้านเดียวกัน พี่เขาเข้ามาทักทายถามไถ่ว่ามาจากไหน แนะนำตัวกันท่านชื่อพี่ณพครับ อายุห้าสิบเศษทำธุรกิจค้าขายของเก่า ขี่เสือภูเขาท่าทางกว้างขวางในหมู่นักจักรยานของจังหวัดระนอง พี่ณพอาสาพาขี่เข้าเมืองระนองด้วยกันและจะไปแนะนำหาที่พักให้

เราขี่ขึ้นเขาสูงก่อนเข้าตัวเมืองระนองชื่อเขาน้ำตก มีโค้งหักศอกที่สิงห์รถบรรทุกระหว่างทางบอกหมาป่าไว้ว่ามันชันพอควร ก็หนักแรงใช้ได้ครับต้องสับลงจานเล็กเฟือง 4 ผ่านกันมา พี่ณพนั้นขี่สบายๆคงด้วยคุ้นชินขี่ออกกำลังเกือบทุกวัน หมาป่าต่างถิ่นแถมของพะรุงพะรังก็ค่อยๆไต่ตามหลังไป

พี่ณพเล่าว่าบนเขานี้รถทัวร์ที่วิ่งจากระนองเข้ากรุงเทพชอบมาถ่ายของเสียจากถังเก็บลงบนถนน ให้นักจักรยานต้องหลบเวลาจะขี่ผ่าน แกเล่าเห็นภาพและกลิ่นชัดเจนฟังแล้วขยะแขยงพอควร

จากเขาน้ำตกเราก็ดิ่งสู่ถนนสายใหญ่เข้าตัวเมือง ก่อนเข้าเมืองหมาป่าขอเลือกเช็คอินบังกะโลข้างทางชื่อ Tar Tar ราคา 350 บาท ราคาถูกที่สุดตลอดทริป เข้าซอยไปสามสี่ร้อยเมตร ห้องค่อนข้างเก่าหน่อยแต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร พี่ณพยังชวนว่าน่าจะไปหาเอาข้างหน้าที่ดีหน่อย แต่หมาป่าอยากเอาตรงนี้แหละครับ

พี่ณพรอจนจ่ายเงินจ่ายทองเอาของเก็บเข้าห้องแล้วแกก็บอกว่าเดี๋ยวเราไปบ่อน้ำร้อนประจำเมืองระนองกัน มาระนองต้องมาแช่น้ำพุร้อน

ขี่กันไปแล้วก็หักซ้ายขึ้นเขาเตี้ยๆไปน้ำพุร้อนที่สวนสาธารณะประจำเมือง หมาป่าตื่นตาตื่นใจมากครับ เมืองระนองทำได้ดีสะอาดน่าลงแช่น้ำ พี่น้องชาวระนองก็มาหย่อนใจที่นี่กันคึกคัก มีบ่อแช่ทั้งตัวและมีบ่อแช่แค่ขา หมาป่าลองแช่ขาดูก็ร้อนระอุครับ แช่ขาแต่เหงื่อตัวแตกพลั่ก คนพื้นถิ่นเขาจะมีน้ำดื่มเย็นๆติดมือขวดนึงไว้คอยจิบให้ร่างกายสบาย แช่สักพักพอสบายขาที่ขี่มาทั้งวันก็เตรียมขี่กลับห้องพักเพื่อไปอาบน้ำ พี่ณพแยกกลับไปตรงทางแยกที่มีลอดอุโมงค์ใต้ถนน ซึ้งน้ำใจพี่เขาที่เทคแคร์พาขี่พาเที่ยว เสือระนองท่านใดอ่านสรุปทริปนี้ฝากความระลึกจากหมาป่าถึงให้พี่ณพด้วยนะครับ

รูปภาพ

รูปภาพ

อาบน้ำอาบท่าซักเสื้อซักผ้าที่ห้องพักแล้วหมาป่าขี่ออกมาหาข้าวเย็นกินตอนค่ำๆ เปิดไฟติดหน้าติดหลังติดหมวกพร้อมพรั่ง แล้วก็ขี่ข้ามเพชรเกษมไปซอยที่จะไปเข้าตัวเมืองฝั่งตรงข้ามซอยบังกะโล Tar Tar

ไม่ได้ขี่เข้าตัวเมืองแต่แวะกินข้าวที่ร้านทำนองสวนอาหารมีคาราโอเกะชื่อร้านตาลเด่น ร้านนี้แขกที่มาร้องเพลงคาราโอเกะกันเก่งมากครับ น้องผู้หญิงที่นั่งร้องด้วยก็เก่ง ทุกคนร้องเพลงเก่าๆกันได้ไม่มีเพี้ยนไม่มีหลงเลย

เฮียเจ้าของร้านก็เล่นคีบอร์ดสดให้ขอเพลงได้แบบไม่ต้องเปิดโน้ต มีเพลงเก่าๆเพราะๆแบบ I’ll never dance again พอดึกๆมีแขกอีกท่านเข้ามา เป็นชายกลางคนผมยาวใส่แว่นท่าทางเป็นแขกประจำ เพราะน้องเด็กเสริฟประจำร้านไปถามภาษาอังกฤษ แกออกเสียงตัว R ของคำว่า marriedชัดเจนแบบคนเก่งอังกฤษ และแซวเด็กร้านว่าไม่ตั้งใจเรียน หมาป่าเดาว่าคงเป็นคนพม่าเพราะคนในระนองเป็นพม่าเยอะ และโดยเฉลี่ยพม่าจะเก่งอังกฤษกว่าคนไทย แต่สักพักแกก็ขอเพลงวอลซ์นาวี อันนี้ไม่ใช่พม่าแน่นอนแล้วล่ะครับ หมาป่าเลยเข้าไปทักว่านึกว่าเป็นคนพม่าแต่ขอเพลงนี้เลยรู้ว่าเข้าใจผิด แกเล่าว่าเป็นคนชุมพรข้ามมาทำมาหากินที่ระนองนี่ แกคิดถึงกรมหลวงชุมพรฯน่ะครับเลยขอเพลงวอลซ์นาวี ก่อนออกมาหมาป่าก็ขอให้เฮียเจ้าของร้านแกเล่นเปียโน (บนคีย์บอร์ด) ในเพลง สายทิพย์ มีความสุขมากกับอาหารเย็นและค่ำคืนของเมืองระนอง เมืองที่เคยมาเป็นครั้งแรกในชีวิต กลับเข้าที่พักเช็คไมล์วันนี้ขี่ได้ 136 กม. มาหยุดไมล์สะสมที่ 685 กม.

ศุกร์ที่ 7 มีนาคม 2557 วันที่แปด

วันนี้ก่อนออกจากเมืองระนองหมาป่าว่าจะแวะชมสถานที่สำคัญสักหน่อย ไม่อยากผ่านไปเฉยๆแบบเมืองผ่านครับ

เปิดเนตดูเขาแนะนำพระตำหนักที่ประทับจำลองที่สร้างเลียนแบบตัวจริงสมัยรัชกาลที่ห้า พระตำหนักนี้หมาป่าไปหลังจากกินข้าวเช้าแล้ว ประวัติว่าสมัยก่อนเจ้าเมืองระนองคนแรก พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซูเจี้ยง ณ ระนอง) ท่านสร้างไว้รับเสด็จรอห้าที่เสด็จประพาสเมืองระนอง ตอนหลังทรุดโทรมผุพังไป แล้วเมืองระนองยุคหลังก็มาสร้างใหม่ให้เป็นอนุสรณ์เหตุการณ์สำคัญของจังหวัดเมื่อครั้งกระโน้น

รูปภาพ

จากพระตำหนักนี้หมาป่าว่าจะไปจวนเจ้าเมืองระนองที่ตระกูลของท่านคอซูเจี้ยงอยู่

ถามทางนักเรียนชายประจำจังหวัดที่มาแอบสูบบุหรี่ตรงพระตำหนัก น้องๆบอกว่าให้ตัดขึ้นเนินเขาไปเลย หมาป่าบอกเหนื่อยขี้เกียจขึ้นเนิน น้องบอกงั้นให้ขี่ลงแล้วอ้อมไปทางโรงเรียนหญิง ตอนแรกนั้นน้องเขางงๆนะครับเมื่อถามถึงสถานที่จวนเจ้าเมือง น้องเขาบอกว่าเคยเห็นแต่วัดเก่าอยู่แถวนั้น แต่เมื่อหมาป่าไปถึงก็รู้ว่านั่นแหละคือจวนเจ้าเมือง คือบ้านเจ้าเมืองสมัยก่อนจะมีกำแพงมีค่ายหอประตูรบ ด้วยว่าสมัยก่อนหากมีการกบฏแข็งข้อของกุลีจีนที่มาขุดแร่ก็ต้องมีการปราบปรามกัน ตัวบ้านเจ้าเมืองก็เลยต้องมีกำแพงล้อมหนาแน่น เด็กๆด้วยความเป็นคนในพื้นที่เลยไม่ได้ใส่ใจประวัติของจังหวัดตัวเองเท่าไหร่เลยไพล่นึกว่าเจ้าอาณาเขตที่มีกำแพงศิลาแลงล้อมรอบนับสิบๆไร่นั่นเป็นวัดร้าง

ทุกวันนี้ลูกหลานของตระกูล ณ ระนอง บางคนก็ยังมีบ้านอยู่ในบริเวณของจวนเจ้าเมืองเก่านี้ครับ และก็มีคนนอกไปปลูกบ้านเรือนอยู่รอบนอกๆของบริเวณจวนด้วย มีอาคารเล็กๆติดรูปของสมาชิกประจำตระกูล มีป้ายชื่อให้ลูกหลานได้บูชาดังภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ
แก้ไขล่าสุดโดย a lone wolf เมื่อ 11 ก.ย. 2019, 13:31, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง
รูปประจำตัวสมาชิก
a lone wolf
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 446
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2010, 01:57
Bike: kona sutra

Re: หมาป่าเดียวดาย...ตามรอย "เหมืองแร่" ทรัพย์จากพื้นแผ่นดิน สินแห่งชีวิต ของอาจินต์ ปัญจพรรค์

โพสต์ โดย a lone wolf »

เสร็จจากบ้านเจ้าเมืองหมาป่าก็ขี่ออกนอกเมืองมุ่งลงใต้ วันนี้กะว่าจะไปให้ถึงเขตจังหวัดพังงา

แต่ก็ต้องหากาแฟสดกินเรียกแรงก่อนน่ะครับ ในเมืองระนองหาร้านกาแฟสดไม่เจอ ขี่มานอกเมืองมีร้านขายกาแฟสดแต่หมาป่าไม่ได้หยุดด้วยกะเอาจากประสบการณ์ว่าเมื่อเราขี่ออกนอกเขตดาวน์ทาวน์สักพัก เดี๋ยวก็ต้องเจอปั๊มปตท.ที่ต้องมีร้านกาแฟอเมซอนเปิดขายอยู่ก่อนเดินทางบนไฮเวย์ต่อไปยังอำเภอถัดไป แต่ ณ เวลานี้วันนี้ ระนองไม่มีปั๊มปตท.เขตริมเมืองที่มีร้านกาแฟสดครับ

กลั้นใจขี่มาเรื่อยเจอร้านติดป้ายขายกาแฟสด แวะเข้าไปคุณผู้ชายเจ้าของร้านบอกเมียที่เป็นคนชงกาแฟป่วยไม่ได้ขายมาสักพักนึงแล้ว ขี่ต่อเห็นร้านขายกาแฟโบราณกะว่าจะเล่นกาแฟชงแบบถุงโบราณนี่แหละ แต่มันสายแล้วแม่ค้าบอกเหลือแต่เนสกาแฟ โอยย...ขี่ต่อไปจนถึงปั๊มปตท.ตำบลหงาวนั่นแหละครับกว่าจะมีกาแฟสดให้กิน เพื่อนนักจักรยานที่ติดกาแฟสดหากจะขี่ลงมาทางนี้พึงเตรียมตัวรับภาวะขาดกาแฟสดไว้ให้ดีนะครับ

ทางที่ผ่านจากบ้านหงาวมาเริ่มแคบลงจากสี่เลนเป็นสองเลนสวน หมาป่าขี่ไปขี่ไปชักเริ่มล้าจนในที่สุดก็มาได้แค่ 67 กม. ต้องหยุดพักที่อำเภอกะเปอร์ของจังหวัดระนอง ไปไม่ถึงเขตพังงาดังที่ตั้งใจ หยุดกันตั้งแต่บ่ายสามล่ะครับ เข้าที่พักชื่อ ดีดี รีสอร์ท แยกเข้าซอยจากถนนใหญ่มีขึ้นเนินไปอีกพอได้เหงื่อ ระยะทางสะสมที่ 752 กม.

เสาร์ที่ 8 มีนาคม 2557 วันที่เก้า


ออกจากกะเปอร์สายๆ กินข้าวเช้าแล้วออกจากเขตดาวน์ทาวน์มานิดเดียวสักประมาณเจ็ดแปดกิโลเมตรก็เจอภูเขาเลยครับ ทางชันอืดหนืดยาวพอควรหมาป่าต้องเริ่มสับจานหน้าลงจานเล็กสุดส่วนเฟืองหลังลงไปเฟือง 4 เฟือง 3 บ้าง เหนื่อยกว่าเขาน้ำตกตรงก่อนเข้าเมืองระนองมากด้วยว่าทางชันมันยาวกว่า

กลั้นใจขี่มาถึงจุดสูงสุดของเขามีศาลมีศาลาที่พักริมทางมีโต๊ะม้าหิน ต้องหยุดแวะจิบน้ำและนั่งเย็นๆให้เหงื่อระเหย

หมาป่าล้วงกระเป๋าจะจดบันทึกปรากฏว่าหาสมุดที่จดรายละเอียดแรมทางมาร่วมสัปดาห์กว่าไม่เจอ ค้นควั่กเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มด้วยว่าถ้าขาดสมุด จะใช้แต่ความทรงจำสำหรับการสรุปทริปยาวขนาดนี้น่าจะใช้ได้กระพร่องกระแพร่งมาก

นึกย้อนไปตอนกินข้าวเช้าก็แน่ใจว่ายังควักสมุดจดขึ้นมาจดรายการอาหารกับราคา เลยเดาว่าลืมสมุดไว้ที่ร้านข้าวเช้านั่นเอง หัวคิดเป็นพัลวันว่าจะกู้สมุดคืนมาอย่างไร จะขี่กลับไปเอามั๊ย แต่ไอ้ความเหนื่อยตอนขี่ขึ้นเขามาก็ชวนให้ท้อจริงๆครับ เพราะหมายความว่าขี่ย้อนไปและขี่ขึ้นมาใหม่ก็ต้องเหนื่อยซ้ำเดิมคูณสอง

อีกทางเลือกหนึ่งคือโทรกลับไปที่พักกะว่าจะอ้อนวอนให้เขาเอามอเตอร์ไซค์ลงไปเช็คสมุดที่ร้านข้าวแล้วขี่ขึ้นมาให้บนเขา สงสัยต้องเอาทางนี้ก่อนล่ะ
แต่พอเดินวนไปมากลับมาที่โต๊ะหินในศาลาก็เจอสมุดวางอยู่ โอยดีใจจนตัวสั่นครับ แสดงว่าก่อนหน้านั้นควักสมุดออกมาแล้ววางไว้บนโต๊ะแต่เดินไปมาโดยขาดสติว่าทำอะไรทิ้งไว้ รอดไปได้อีกคราวนึงนะหมาป่าขี้ลืมตัวนี้

รูปภาพ

สักพักก็มีพระธุดงค์หนุ่มเดินเข้ามาแชร์ศาลาที่พักด้วย ด้วยความที่พระอ่อนวัยกว่าหมาป่ามากจะเรียกว่าหลวงน้องนะครับ หลวงน้องธุดงค์มาจากสวีเดินข้ามเขามา หลวงน้องบอกว่าเมื่อคืนค้างที่กะเปอร์เหมือนหมาป่านั่นแหละและออกมาแต่เช้าตรู่ ตอนนั่งศาลาริมทางก็เห็นหมาป่าขี่ผ่านมาแต่หมาป่าไม่เห็นหลวงน้อง แล้วหลวงน้องก็เดินขึ้นเขาตามถนนเรื่อยมาจนมาเจอหมาป่าพักเหนื่อยนี่แหละ

ท่านบอกว่าตอนเดินข้ามเขาจากฝั่งอ่าวไทยมานั้นเจอช้าง เจอวัวแดงในป่า แต่ที่ทำความเจ็บปวดมากที่สุดคือฝูงเห็บในป่า ท่านว่าจะไปคุระบุรีที่อยู่ข้างหน้าและต่อไปตะกั่วป่า หมาป่าถวายปัจจัยหลวงน้องเพื่อสนับสนุนการธุดงค์ครั้งนี้แล้วก็กราบลาขี่ต่อมาตอนสายมากแล้ว

ต่อจากเขากะเปอร์ก็มาถึงอำเภอสุขสำราญ นี้เป็นอำเภอสุดท้ายของระนองก่อนจะเข้าเขตจังหวัดพังงาครับ

หมาป่ามาถึงตอนเที่ยงกว่าๆ อำเภอนี้พี่น้องชาวมุสลิมอาศัยอยู่จำนวนมากครับ ร้านอาหารข้างทางเป็นอาหารมุสลิมหมดเลย หมาป่านั้นแพ้กลิ่นเครื่องเทศอาหารมุสลิมเลยต้องอาศัยอาหารไมโครเวฟที่ร้าน 7-11 ของปั๊มปตท. รองท้องไปก่อน

ระหว่างทางก่อนมาถึงสุขสำราญเจอนักจักรยานฝรั่งกลุ่มใหญ่ขี่แซงไป เป็นกลุ่มทัวร์ที่จัดเฉพาะการขี่จักรยาน มีรถเซอร์วิสขับตามมาด้วยดูจากสติกเกอร์ข้างรถเป็นธุรกิจที่ตั้งอยู่ในภูเก็ต คงจะนัดหมายกันลงเครื่องขี่จากระนองแล้วไปจบทริปที่ภูเก็ตด้วยการขี่ล่องลงมา มีจักรยานไปรอที่สนามบินระนอง ทั้งกลุ่มเป็นเสือหมอบครับ ขี่กันได้ความเร็วขนาด ตอนแซงหมาป่าเด็กหนุ่มฝรั่งยังหันมายิ้มพูดยั่วกับหมาป่าเป็นภาษาไทยว่า “เร็วๆ”

ด้านขวาตลอดทางจากกะเปอร์จะเป็นฝั่งทะเลอันดามันมีนากุ้งมาตลอดทาง

แล้วก็เข้าเขตพังงาในที่สุดครับ พังงาที่เป็นเขตของอำเภอคุระบุรี

รูปภาพ

เขตพังงานี้มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือเขาจะเรียกถนนเล็กแยกจากถนนเส้นประธานว่า “ซอย” ซอยนั้นซอยโน้นซอยนี้ บ้านหมาป่าที่กรุงเทพอยู่ซอยอุดมสุข ยังขี่มาเจอซอยตัวเองที่พังงา

รูปภาพ

ช่วงขี่เข้าพังงาตรงก่อนถึงคุระบุรีถ้านักจักรยานสูดอากาศจะได้กลิ่นปลาแห้งลอยอวลอยู่เป็นกลิ่นประจำถิ่นนะครับ บอกได้ว่าแถวนี้ทำมาหากินอะไรกันเป็นหลัก

หมาป่าพอถึงคุระบุรีก็ได้ห้องพักเป็นบังกะโลชื่อ บุญปิยะรีสอร์ต อยู่กลางดาวน์ทาวน์เลยแต่สงบเงียบ ราคาค่าห้องคนไทยมาเดี่ยวท่านคิด 500 บาท เทียบกับสภาพห้องแล้วก็ไม่แพง แถมตอนเย็นได้คำแนะนำให้ไปกินข้าวเย็นที่ร้านข้าวต้มโกศักดิ์ฝั่งตรงข้ามของถนน อาหารอร่อยทุกเมนูครับ วัตถุดิบค่อนข้างสดด้วย เรทติ้งนี้ได้จากการกินร้านเดิมสองคืนติด

ตัวอำเภอคุระบุรีจะมีท่าเรือที่จะไปหมู่เกาะสุรินทร์ ธุรกิจท่องเที่ยวคึกคัก

อาทิตย์ที่ 9 มีนาคม 2557 วันที่สิบ

วันนี้ที่คุระบุรีจะเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของทริปครับ หมาป่าจะไปตามรอยหนังเรื่อง มหา’ลัยเหมืองแร่ ตามรอยหนังนะครับ ยังไม่ใช่เหมืองแร่กระโสม ทิน เดรดยิง ของจริง
ความที่รักหนังเรื่องนี้มากหมาป่าทำการบ้านมาก่อนจะขี่ลงมา อ่านประวัติจากในหนังสือและตามเวปต่างๆที่มีการเขียนถึงไว้

GTH บริษัทที่สร้างไม่ได้เลือกโลเคชั่นถ่ายทำที่เหมืองกระโสมของจริง ด้วยว่าพอเวลาผ่านไปหลายสิบปีตัวเหมืองไม่มีอะไรเหลืออยู่อีกแล้ว เรือขุด เครื่องจักร หรือแม้แต่ภูมิประเทศรอบๆล้วนเปลี่ยนไปหมด ที่แน่ๆคือไม่มีเรือเหลืออยู่แน่นอน ถูกขายเป็นเศษเหล็กไปหมดแล้วตั้งแต่ประเทศเราเลิกขุดแร่ดีบุก

ทีมงาน GTH เคยลองไปสำรวจบริเวณอดีตเหมืองแร่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดพังงาที่อยู่ใกล้ๆกับตัวจังหวัดและพบว่าเป็นโลเคชั่นที่ค่อนข้างดีเพราะยังมีเครื่องจักรบางอย่างเหลือทิ้งเอาไว้ หากแต่ตัวเรือขุดยังต้องสร้างจำลองขึ้นใหม่ มีการลองสร้างแบบจำลองที่เหมืองเก่าแต่ก็พบอุปสรรคคือน้ำครับ ฉากบรรยายในหนังสือนั้นมันต้องมีฝนที่เป็นตัวละครเอกตัวหนึ่ง พอสร้างแบบจำลองในช่วงที่ฝนตกชุกหนักที่ปักษ์ใต้ น้ำป่าที่ทะลักเข้าบ่อที่เหมืองใหญ่นั้นกวาดฐานรากที่เตรียมไว้กะจะวางเรือขุดจำลองพังเรียบ อันตรายเกินไปสำหรับโลเคชั่นนี้

คุณพี่เก้ง จิระ มะลิกุล ผู้กำกับและคนเขียนบท รวมถึงผู้กำกับศิลป์ที่รับโจทย์ใหญ่ว่าต้องสร้างเรือขุดจำลอง และสถานที่ต่างๆในเหมือง ทั้งออฟฟิศ บ้านพัก ค้นไปค้นมาก็มาเจอโลเคชั่นที่คุระบุรีนี้

จากบทสัมภาษณ์นั้นคือเป็นโลเคชั่นที่หล่อมาก มันให้ภาพความยิ่งใหญ่ของภูเขา ความหนักอึ้งอั้นของความชื้นและสายฝน ความทึบรกของป่าเขียว อีกทั้งความเฉอะแฉะถนนโคลน ที่จะถ่ายทอดสปิริตของตัวหนังสือของชีวิตในเหมืองแร่ช่วงปี 2492-2496 ไปสู่ภาพในฟิล์มภาพยนตร์ เรียกว่าสมบูรณ์แบบ

หมาป่าต้องการหาพิกัดของโลเคชั่นถ่ายทำให้แน่นอนก่อนออกเดินทาง การรู้กว้างๆว่าถ่ายทำที่คุระบุรีนั้นออกจะกว้างเกินไปสักหน่อย

ทางที่นึกออกคือ GTH นั่นเองแหละครับ หมาป่าไม่รู้จักพี่จิระ และพอทราบมาว่าแกไม่เล่นโซเชียลมีเดียแบบเฟซบุ๊ค ก็คงจะหาทางติดต่อแกยากหน่อย ชื่ออีกชื่อที่คุ้นคือพี่จีนา พี่จีนา โอสถศิลป์ พี่จินาเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัท GTH ซึ่งทีมงานของ GTH นั้นมีบางส่วนที่มาจากโปรดักชันเฮาส์ถ่ายหนังโฆษณาหับ โห้ หิ้น หมาป่าทำงานในแวดวงบริษัทโฆษณาเคยได้ยินชื่อพี่จินาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว สิบกว่าปีก่อนเคยไปหัดเรียนเทนนิสก็เจอพี่จินาตีเทนนิสอยู่คอร์ทที่หมาป่าเรียนอยู่ พอจำได้ว่าพี่เขารูปร่างหน้าตาเช่นใด

หมาป่าลองเสิรชเฟซบุ๊คแล้วเจอแอคเคาน์ของพี่จินา ก็เลยเขียนโน๊ตไปแนะนำตัวเอาดื้อๆว่าอยากลงไปดูโลเคชันหนังมหา’ลัยเหมืองแร่ อยากขอว่าพี่พอจะบอกข้อมูลพิกัดที่ชัดๆ โดยการถามทีมงานให้ได้หรือไม่ ส่งไปก็นั่งรอว่าพี่เขาจะตอบโน้ตกลับมาหาคนขี่จักรยานที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนหรือไม่ พี่เขามีใจอารีย์ตอบครับ มีโทรคุยกัน พี่จินาเล่าว่าสอบถามทีมงานแล้วโลเคชั่นนั้นมันน่าจะร้างและโดนป่ารกทึบคลุมไปหมดแล้ว บอกพิกัดเป๊ะๆได้ยาก ยกเว้นจะได้คนที่เคยไปนั่งรถไปชี้จุด เรือขุดก็โดนรื้อเป็นเศษเหล็กขายไปหลังจากถ่ายหนังเสร็จ พี่ให้กำลังใจว่าถ้าจะลงไปก็ลองถามคนในพื้นที่ดูน่าจะแม่นยำกว่า เอาก็เอาครับหมาป่ายังมีแรงใจว่าเข็มทิศอยู่ที่ปากนี่แหละครับ

เช้าตื่นขึ้นมากินข้าวใกล้ที่พักเสร็จ หมาป่าไปยังที่ที่คิดว่าน่าจะมีคนจดจำทำเลถ่ายหนังได้ ที่นั้นคือสถานีตำรวจครับ ด้วยว่าหากมีกองถ่ายหนังขนาดใหญ่มีคนเป็นร้อยมาปักหลักกันหลายเดือน น่าจะต้องมีการประสานขอเจ้าหน้าที่ตำรวจไปช่วยดูแล หรือช่วยเคลียร์เส้นทางจัดการจราจรหากมีการปิดถนนถ่ายหนัง หมาป่ากะถามตำรวจว่ามีใครจำสถานที่ได้บ้าง

เดินขึ้นสถานีตำรวจยามเช้าวันอาทิตย์ตอนแปดโมงกว่านี้มันเงียบเหงามากครับ หมาป่าเดินเทิ่งๆขึ้นไปถอดหมวกนักจักรยานแล้วก็มองเข้าไปในสำนักงานที่เกือบร้างผู้คน เจอคุณตำรวจหนุ่มแต่งครึ่งท่อนอยู่ท่านหนึ่งนั่งพิมพ์งานในคอมพิวเตอร์อยู่ ท่านเห็นหมาป่าและเห็นหัวที่หงอกแล้วของหมาป่าท่านก็ยกมือไหว้แล้วพูดคุยกัน

หมาป่าเล่าว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ และถามด้วยความเกรงใจเพราะเห็นท่านยังหนุ่มอายุน่าจะยี่สิบปลายหรือสามสิบต้นๆเท่านั้น กองถ่ายมาที่คุระบุรีนี่ก็ร่วมสิบปีแล้วเกรงใจไม่แน่ว่าตอนนั้นท่านจะรับราชการตำรวจหรือยัง แต่ปรากฏว่าท่านจำได้ครับ

ท่านบอกให้ขี่ย้อนขึ้นไปหาทางซ้ายมือที่เขียนว่าถนนเทศบาล 1 อยู่ก่อนถึงปั๊มปตท.หากมาจากระนอง กองถ่ายเขาไปปักหลักถ่ายกันในสวนผลไม้สวนยางบนเส้นทางที่ว่า ให้เข้าไปสัก 5-6 กม. แล้วก็ถามคนท้องที่ดูให้ชัดอีกที หมาป่าขอบคุณและจับรถออกมามุ่งทิศตามที่คุณตำรวจบอก

จากปากทางเทศบาล 1 นั้นทางร่มรื่นมากครับ สองข้างทางเป็นสวนยางและปาล์มน้ำมัน อากาศเย็นสบายเพราะยังเช้าอยู่ ดังภาพครับ

รูปภาพ

ขี่ไปสักสามสี่กิโลเมตร ด้านขวามีสวนยางหมาป่าหยุดพักดื่มน้ำและถ่ายรูป เจอพี่ผู้ชายเจ้าของสวนท่านเดินชมสวนตัวเองอยู่ทักทายพูดคุยกัน ท่านก็ขี่จักรยานเช่นกัน หมาป่าเลยลองถามดูว่ารู้ไหมว่าเมื่อเกือบสิบปีก่อนเขาถ่ายหนังกันที่ไหน คุณพี่แกรู้ครับ แกบอกว่าขี่ตรงไปเรื่อยๆขึ้นเนินลงเนิน แล้วมันจะมีลงเนินหนึ่งที่มีแยกขวางอยู่ ให้เลี้ยวซ้ายเข้าไปอีกสักไม่เกินครึ่งกิโล ถามคนตรงนั้นดูอีกที กองถ่ายเคยปักหลักกันอยู่ตรงนั้นแหละ โอ้วววเจอตัวจริงเสียงจริงอย่างนี้แจ่มเลยครับ

หมาป่าขี่ตามที่พี่ผู้ชายบอกมาอีกไกลพอควรครับ คุณตำรวจกะให้ว่าสัก 5-6 กม.จากปากทาง แต่วัดแล้วได้ร่วม 10 กม. ที่หมาป่ามาเจอแยกดังที่พี่เขาบอก เลี้ยวซ้ายแล้วก็มองหาบ้านคนที่จะพอถามได้ เจออยู่หนึ่งหลังเป็นผู้หญิงกับลูก แกบอกว่าอยู่ด้านซ้ายของถนนถัดไปไม่กี่สิบเมตร มันจะมีทางล้อรถอยู่ อยู่ในสวนนั่นแหละจ้ะ

นี้เป็นทางเข้าโลเคชั่นครับ

รูปภาพ

ก่อนจะบุกป่าเข้าไปดูโลเกชั่น เรามาดูกันก่อนนะครับว่าหน้าตาเรือขุดที่ทีมกองถ่ายต้องสร้างจำลองขึ้นมานั้นของจริงสมัยก่อนหน้าตามันเป็นเช่นใด (ภาพบางภาพในสรุปทริปนี้หมาป่านำมาจากเวป ไม่ได้มีเจตนาละเมิดลิขสิทธิ์เพื่อการค้าแต่เพื่อบอกเล่าข้อมูลสู่กันฟังครับ ขออภัยท่านเจ้าของภาพที่อาจจะมาอ่านเจอไว้ ณ ที่นี้ครับ)

รูปภาพ

รูปภาพ

เรือขุดเหล่านี้จะมีบักเก็ตตักดินที่อยู่ด้านหน้าเรือขุด แล้วลำเลียงดินที่มีแร่ดีบุกเข้าไปในตัวเรือเพื่อแยกแร่ที่หนักกว่าและปล่อยดินปล่อยทรายออกทางท้ายเรือ ตัวกลไกเดินสายพานจะใช้เครื่องจักรไอน้ำ หรือบางลำก็ใช้ไฟฟ้าที่มีการปั่นมาจากเครื่องกำเนิดไฟอีกที เรือขุดของเหมืองกระโสมเป็นเครื่องจักรไอน้ำใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิง

เรือขุดนี่อาจขุดอยู่ริมทะเลหรือในทะเลก็ได้ แต่อย่างของเหมืองกระโสมเป็นการดัดแปลงเอาเรือขุดแล่นเข้าไปตามคลองลึกเข้าไปในแผ่นดิน บางช่วงที่ได้สัมปทานขุดแร่นอกแนวคลอง เจ้าหัวตักหน้าเรือขุดก็จะตักดินเหมือนการขุดคลองซอกซอนไปโกยดินราวกับการขุดคลองเพิ่ม

ส่วนการให้เรือลอยลำอยู่นั้นก็อาศัยน้ำในคลอง แต่หากน้ำตื้นก็จะทำทำนบหลังเรือขุดกักน้ำให้สูงพอที่เรือขุดจะลอยตัวเคลื่อนที่ได้ ทำเช่นนี้เรื่อยไปจนเซาะที่ดินในสัมปทานได้ทั่วถึงแล้วก็ขยับขึ้นไปต่อ ตรงไหนน้ำตื้นอีกก็ทำทำนบอีกที ทำต่อเนื่องกันหลายปี

ส่วนการทำให้เรือเคลื่อนที่ไปข้างหน้าหรือหักซ้ายหักขวาไม่ได้มีใบพัดเรืออยู่ข้างท้าย เพราะไม่ได้ต้องการความเร็ว หากใช้ลวดสลิงหลายเส้นไปโยงกับหลักยึดบนพื้นดิน แล้วก็ใช้เครื่องเรือกว้านสลิงดึงให้เรือเบ้ซ้ายเบ้ขวาหรือเดินหน้าแทนการใช้ใบพัดและหางเสือ

และจะมีการทำถนนขนานไปกับแนวขุดเพื่อขนแร่ที่แยกขั้นแรกจากในเรือไปที่โรงล้างแร่ที่อยู่ใกล้ออฟฟิศของเหมือง ที่โรงล้างแร่นี้ก็จะมีการใช้น้ำแยกเอาดินเอาทรายออกอีกรอบให้ได้เนื้อแร่ที่บริสุทธิ์ขึ้นเพื่อส่งขายนอกเหมืองต่อไป

การทำเรือขุดจำลองนี้ทำกันในบ่อน้ำในสวนนี่แหละครับ เรือจำลองเล็กกว่าของจริง แต่ด้วยมุมกล้องและการสูบน้ำเข้าไปตรงแอ่งเรือจำลองก็จะหลอกได้ราวกับเป็นเรือขุดจริงอยู่ในคลองขุดตามแนวสัมปทาน นี้เป็นภาพเรือจำลองจากในหนังครับ (และอยู่ในตัวอย่างหนังตอนต้นของสรุปทริป ให้ได้ดูกันว่าทีมงานของ GTH ทำได้โอฬารตระการตาขนาดไหน)

รูปภาพ

จากทางเข้าที่เห็นเป็นรอยล้อรถไปนี่หมาป่าขี่เข้าไปนิดนึงแล้วทางก็สลายตัวเป็นทางเดินเล็กๆ และเลอะเลือนหายไปอีกในเวลาอันรวดเร็วด้วยมีใบไม้ทับถม ต้องลงจูงจักรยานเดิน

บอกตรงๆว่ากลัวเหยียบพวกงูที่อยู่ตามสวนผลไม้หรือสวนยางปักษ์ใต้เหมือนกัน พวกงูกะปะที่กัดแล้วต้องตัดขาทิ้งน่ะครับ

หมาป่ามุ่งหาบ่อน้ำที่เป็นตำแหน่งของเรือขุดจำลอง อันนั้นน่าจะเป็นแลนด์มาร์คสำคัญที่สุดของโลเคชั่นถ่ายทำ

แล้วหมาป่าก็มาเจอบ่อนี้ อันนี้ถ่ายเป็นสีเพื่อให้เห็นความเขียวความรกของสภาพแวดล้อมที่หมาป่าลุยเข้าไปนะครับ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

เดาว่าท่านคงคิดคล้ายๆกับที่หมาป่าคิดตอนที่ยืนเก้ๆกังๆอยู่ริมบ่อนี้....ใช่ครับ บ่อมันเล็กจัง

หมาป่าคิดทบทวนกับภาพเรือขุดในหนัง คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าบ่อเล็กขนาดนี้เรือขุดมันจะอยู่ได้ยังไง แล้วทำไมภาพมันถึงดูใหญ่กว่านี้มาก หมาป่าเริ่มไม่เชื่อว่าบ่อนี้เป็นบ่อที่เรือขุดจำลองตั้งอยู่

ทางเดียวที่จะสิ้นสงสัยว่าตัวเองมาถูกบ่อหรือเปล่าคือการเข็นจักรยานย้อนกลับไปถามคุณผู้หญิงที่บอกทางให้ลุยสวนป่าเข้ามา แหมแค่คิดก็ท้อนะครับ มันไกลและรกพอควร แถมร่องรอยทางเดินก็หาไม่เจอ หมาป่าดูแดดเอาแล้วก็จูงจักรยานมั่วๆจะกลับไปหาแนวถนนที่ตรงทางออก

แต่พอหมาป่าเบี่ยงขวาออกมาหมาป่าก็เจอสิ่งที่ทำให้ดีใจมาก เจ้านี่แหละครับ

รูปภาพ

มันคือบักเก็ตตักแร่จำลองที่อยู่ตรงหัวเรือขุด ถูกวางทิ้งไว้ในรกของป่า เดินลุยเข้ามาอีกหน่อยเห็นมีวางทิ้งอยู่หลายอันเลยครับ

รูปภาพ

นี้บอกได้ว่าหมาป่าอยู่ตรงโลเคชั่นแน่นอน

เหตุที่บักเก็ตเหล่านี้ยังถูกทิ้งไม่ได้เก็บไปขายเพราะมันทำด้วยวัสดุพวกไฟเบอร์กลาส บักเก็ตจริงบนเรือขุดจริงนั้นจะเป็นเหล็กเพื่อให้ตะกุยดินได้ แต่ของถ่ายหนังเขาเอาแค่ลุคกับการติดบนสายพานให้มันหมุนเหมือนเรือขุดกำลังขุดแต่ไม่ได้ขุดจริง ตัวไฟเบอร์กลาสนี้จะน้ำหนักเบาด้วยเพื่อช่วยลดภาระของเครื่องที่เดินสายพานไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมีกำลังมากแบบเครื่องเรือขุดจริง พวกมันจึงถูกทิ้งไว้จากคนขายของเก่า

อาห์ได้การล่ะครับ หมาป่ามองข้ามกองบักเก็ตเหล่านี้ไปก็เห็นว่าต้นไม้ตรงหลังแนวนั้นมันหายไป เหมือนมีเสปซที่กว้างอยู่หลังแนวไม้นั่น เดินอ้อมมาก็เจอบ่อเรือขุดจำลองตัวจริงจนได้

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

เรือขุดจำลองในหนังนั้นถูกสร้างบนคานเหล็กที่วางบนเสาตอม่อเหล่านี้ แล้วใช้การสูบน้ำเข้าบ่อให้ท่วมคานเพื่อให้ดูเหมือนเรือลอยลำอยู่

หมาป่าถ่ายวิดีโอเพื่อเก็บภาพของบ่อน้ำและความสงบของพื้นที่มาฝาก (ชอบจังครับ เวปมีหลายสื่อให้เราได้เลือกมานำเสนอ) ถ่ายวิดีโอไม่ค่อยเป็นนะครับ ภาพมันอาจจะวูบวาบหน่อย ตรงท้ายๆวิดีโอซูมให้เห็นซากของสายพานบักเก็ตที่ถูกทิ้งเอาไว้มาด้วย



รอบๆบ่อน้ำมีสิ่งปลูกสร้างเป็นไม้ทิ้งร้างอยู่เช่นกัน เดาว่าอาจเป็นบ้านพักของอาจินต์ที่สร้างจำลองไว้ใช้ถ่ายหนังเพื่อไม่ต้องเคลื่อนย้ายกองไกลนัก

หมาป่าไม่แน่ใจว่าตัวออฟฟิศนั้นถูกสร้างอยู่ในบริเวณนี้หรือไม่ แต่ถ้าสร้างก็คงถูกรื้อไม้ทิ้งไปหมดแล้วเพราะหลังใหญ่มากเศษไม้น่าจะเอาไปขายได้เป็นกอบเป็นกำ นอกเหนือจากเหล็กที่ใช้สร้างเป็นเรือขุดที่ไปกับพ่อค้าของเก่าหมดแล้ว

ภารกิจหลักของวันนี้บรรลุแล้วล่ะครับ มาดูสถานที่ถ่ายทำหนังในดวงใจ เคยอ่านที่ทีมงานเล่าเอาไว้ก็มาเห็นภาพจริงบนสถานที่จริง แต่ตอนถ่ายทำเมื่อสิบปีก่อนโน้นมันจะทุลักทุเลกว่าหน้าแล้งที่หมาป่าเดินทางมามาก ทั้งฝนทั้งโคลนทั้งความหนาวความเย็น ทีมงานเล่าว่ารถขนปูนที่ขนเข้ามาเทโครงสร้างนั้นเจอความเย็นจากฝนที่ตกทำเอาปูนในถังแข็งเทไม่ออกเลยทีเดียวครับ

ก่อนออกมาหมาป่าจูงจักรยานเข้าไปถ่ายคู่กับกองซากบักเก็ตเรือขุดให้ได้อารมณ์ตามหนังมหา’ลัยเหมืองแร่อีกสักหน่อย แบบว่าตามรอยมาอยู่ข้างซากโลเคชั่น สังเกตหนามแหลมบนเถาวัลย์ตรงใกล้ล้อหน้าไหมครับ หนามแหลมแข็งและยาวมาก หมาป่ามาเอะใจเห็นตอนจอดจักรยานแล้ว ถ้าหมาป่าคึกกว่านี้ดันจักรยานเดินหน้าไปอีกนิดเดียวก็จักมีการปะยางหน้าฉลองการตามรอยหนังแน่นอน

รูปภาพ

จูงจักรยานออกมาจากสวนทึบโลเคชั่นหมาป่าก็ลองขี่ต่อไปตามทางถนนเข้าไปอีก อยากจะดูว่าทางสายสงบนี้มันจะไปที่ไหน

มันไปเรื่อยๆครับ มีผ่านที่ทำการย่อยของอุทยานหรือหน่วยพิทักษ์ป่าด้วย หมาป่าเห็นว่าจวนใกล้เที่ยงก็ขี่ย้อนกลับ กลับมาเห็นสะพานข้ามลำธารที่ตอนนี้น้ำค่อนข้างน้อย ก็เดาอีกนะครับว่าฉากถ่ายลำธารที่อาจินต์นอนอาบน้ำมองภาพถ่ายหญิงสาวคนรักที่อยู่กรุงเทพก็น่าจะถ่ายที่ลำธารนี้ แต่ทีมงานอาจลุยขึ้นไปถ่ายไกลจากสะพานขึ้นไปทางต้นน้ำอีกหน่อย ยิ่งตอนนั้นหน้าฝนน้ำคงมาเข้าฉากให้ได้สมใจ

รูปภาพ

ขี่กลับออกมาเพื่อจะไปออกปากทางเชื่อมถนนใหญ่ ตรงกลางๆทางถ้าเรามองไปด้านขวาจะเห็นภูเขาใหญ่ ภูเขานี้คุ้นตามากอีกเช่นกันครับ มันเป็นภูเขาที่อยู่ในฉากหนังตรงป้ายทางเข้าเหมืองกระโสมที่ทีมงานเขาสร้างขึ้นมา หมาป่าพยายามเล็งพิกัดให้ใกล้เคียงที่สุดแล้วก็ถ่ายรูปเทียบมา

มุมในหนังนั้นเหมือนกับต้องเข้าไปในทางข้างสวนยาง หักกล้องหันไปทางขวาแล้วถ่ายย้อนขึ้นไปเห็นภูเขาเป็นแบคกราวน์ สวนยางนี้ดูจากขนาดลำต้นก็คงปลูกขึ้นหลังจากการถ่ายทำ หมาป่าไม่กล้าลุยเข้าไปถ่ายให้ได้ภูเขามุมเดียวกันกับภาพจากในหนังนะครับ เกรงใจเจ้าของสวน อีกทั้งเกรงใจหมาเจ้าของสวนด้วย เอาเป็นว่าได้เก็บภาพภูเขาที่เป็นตัวละคอนเด่นของหนังเอาไว้ได้ด้วยนะครับ มุมเหลี่ยมเขาต่างนิดหน่อยแต่เขาเดียวกันแน่นอน

รูปภาพ

ช่วงบ่ายหมาป่าขี่กลับออกมาที่ตัวอำเภอคุระบุรีอีกที

เดิมนั้นตั้งใจว่าวันนี้หากดูโลเคชั่นหนังเสร็จก็จะขี่ต่อไปตะกั่วป่า ซึ่งดูได้จากว่าหมาป่าเก็บข้าวของเต็มอัตราออกมาจากบังกะโลที่พักเลย อยู่ในภาพต่างๆตอนไปลุยโลเคชั่นมา แต่ความอิ่มใจกับความขี้เกียจทำให้หมาป่าขอหยุดที่คุระบุรีพักที่เดิมกินข้าวต้มร้านอร่อยร้านเดิมอีกคืน เวลาเรามีเยอะไม่ต้องรีบมากครับ ฮะฮะฮะ

จันทร์ที่ 10 มีนาคม 2557 วันที่สิบเอ็ด


หมาป่าตื่นเช้าแพ็คข้าวของเรียบร้อยก็ออกมานั่งกินกาแฟตรงหน้าบังกะโลสุขสำราญ นั่งคุยกับเถ้าแก่เจ้าของบางกะโล ชมว่าห้องพักสบายจังเลยครับเฮีย

เฮียแกเล่าเรื่องธุรกิจบังกะโลปนบ่นๆให้ฟังว่าที่พักในคุระบุรีก็มีแข่งกันเยอะ อย่างบ้านข้างๆที่หมาป่าแวะเข้าไปดูก่อนแต่กลับมาเลือกบ้านของเฮียเพราะบ้านนั้นเป็นไม้ที่เก่าแล้วและดูโทรมๆไปหน่อย เฮียแกบอกว่าไม่เข้าใจว่าเขาขายในราคาคืนละ 350 บาทได้ยังไง ของแก 500 นั้นมีค่าใช้จ่าย fix cost ก็เยอะ ห้องพักถ้าไม่ใช่ ไฮ ซีซั่น ก็ไม่ค่อยมีคนพัก บังกะโลแกค่าที่ดินไร่ละ 4 ล้านบาท ต้องกู้แบงค์มาปลูกบังกะโลหลังละสามแสนบาท ดอกเบี้ยวิ่งทุกวัน ลูกจ้างสองคนค่าแรงคนละ 350 บาทต่อวัน ค่าสบู่แชมพูให้แขก แกบอกว่าช่วงหลังไม่ค่อยรับแขกที่เป็นคนขับรถตู้เพราะแกเอาสบู่แชมพูเหลวซื้อมาเป็นแกลลอนเทใส่ที่กดในห้องน้ำ และแกก็สังเกตว่าคนขับรถตู้ขี้งกบางคนกดใส่ขวดใส่ถุงกลับไปใช้ที่บ้านหมดเกลี้ยงฉาดเลยทีเดียว ค่าปลอกหมอน ผ้าปู ผ้าขนหนูที่เก่าแล้วก็ต้องเปลี่ยน ต้องกันเงินไว้ซ่อมดูแลเครื่องแอร์ถ้าเก่าก็ต้องเปลี่ยน หรือทาสีบังกะโลใหม่เมื่อถึงเวลา การนี้เก็บสำรองเงินก้อนเอาไว้ หมดเมษาก็เข้าโลว์ซีซั่น บ้านแกกองถ่ายหนังชอบมาพักกันเยอะ บริษัททัวร์ที่ทำทัวร์ไปหมู่เกาะสุรินทร์ก็เอาลูกค้ามาพักบ้านแก คงได้เรทพิเศษ แต่แกก็บ่นว่าพวกบริษัททัวร์บางที่ก็ชอบติดตังค์แล้วทวงย๊ากทวงยาก เดี๋ยวก็ต้องเสียภาษี อย่างป้ายหน้าบ้านแกแกก็บอกว่าค่าภาษีป้ายสี่พันบาท นี่อบจ.ก็มีดำริว่าจะขอเก็บภาษีหักเข้าจังหวัดจากรายได้อีก 1% เถ้าแก่รำพึงว่าบ้าแล้ว

...ฟังแล้วก็ได้รู้ว่าความทุกข์โศกก็มีกันทุกคนทุกอาชีพนะครับ

ลาเถ้าแก่บังกะโลแล้วหมาป่าก็ขี่ไปกินข้าวก่อนมุ่งหน้าต่อไปยังอำเภอตะกั่วป่า หมาป่าเริ่มขี่ที่กม.สะสมตรง 846 กม. ดูจากแผนที่คาดว่าคงขี่ไม่ไกลเท่าไหร่

สายแก่ๆไปพักตรงจุดที่อีก 10 กม.จะถึงตะกั่วป่านั่งกินน้ำตรงร้านชำหน้าศาลเจ้ามีเด็กนักเรียนประถมกางเกงสีกากีมาซื้อขนมกันและมุงดูรถหมาป่า มีคนที่กล้าหน่อยเอ่ยปากถามว่าลุงขี่มาจากไหน พอรู้ว่ามาจากกรุงเทพแกก็อวดว่าน้าผมอยู่หนองจอก ผมเคยไปกรุงเทพไปพักบ้านน้า ถามว่าโรงเรียนปิดเทอมใหญ่เมื่อไหร่หนุ่ม? เด็กบอกเรียนวันสุดท้ายวันพุธที่ 12 ครับ

ตอนราวๆเที่ยงก็ขี่มาถึงดาวน์ทาวน์ของตะกั่วป่า ตรงจุดนี้เป็นตะกั่วป่าที่เรียกว่าย่านยาว จำชื่อได้คุ้นๆไหมครับ สมัยที่มีสึนามิซัดเข้าชายฝั่งอันดามัน แถวตะกั่วป่าและต่อลงไปแถวเขาหลักเป็นจุดที่โดนกันหนักมาก วัดที่หน่วยงานกู้ภัยไปตั้งศูนย์พิสูจน์เอกลักษณ์ของร่างบุคคลที่ประสบภัยจนเสียชีวิต ศูนย์ที่คุณหญิงพรทิพย์ลงไปทำงานบัญชาการอยู่ก็ที่วัดย่านยาวนี้แหละครับ ถ้าช่วงนั้นดูข่าวคงจำชื่อกันได้

ย่านยาวสมัยก่อนมีผู้คนอยู่ไม่มากเป็นชุมชนเล็กๆ หากแต่ภายหลังคงด้วยมีการตัดถนนหลักผ่าบริเวณนี้เลยกลายเป็นย่านสำคัญขึ้นมา ตัวที่ว่าการอำเภอตะกั่วป่าก็มาตั้งอยู่ตรงย่านยาว ศูนย์ราชการสำคัญๆเช่นโรงพยาบาลก็มาอยู่ที่นี่

เมืองตะกั่วป่าเดิมที่อยู่ห่างออกไปก็เลยกลายเป็นเขตรอบนอกไป หมาป่าถามคนพื้นที่ว่าถ้าจะไปตัวตะกั่วป่าเดิมจะไปยังไง เขาบอกให้เลี้ยวซ้ายออกไปจากเพชรเกษมไปสัก 6 กม.ก็จะถึงตลาดใหญ่ตะกั่วป่าเมืองดั้งเดิม

สมัยปี 92-96 ที่คุณอาจินต์ทำงานในเหมืองที่อำเภอตะกั่วทุ่ง ตะกั่วป่ายังมีความสำคัญเชิงเศรษฐกิจอยู่มากครับ สมัยก่อนโน้นไปอีกตะกั่วป่าเองเคยได้รับการยกฐานะเป็นจังหวัดตะกั่วป่าด้วยซ้ำ ด้วยว่าเศรษฐกิจรุ่งเรืองจากการเป็นแหล่งขุดและแหล่งรับซื้อขายดีบุก

อ่านในหนังสือหากว่าผู้คนที่พังงาจะเดินทางไประนอง ก็จะขับรถตามทางหลวงขึ้นมาที่อำเภอตะกั่วป่าแล้วค่อยลงเรือล่องทะเลต่อไปที่ระนอง ถนนที่หมาป่าขี่ลงมาตลอดทางจากระนองนั้นยังไม่ได้สร้างครับ

เลี้ยวซ้ายมุ่งตลาดใหญ่ (เก่า) ตะกั่วป่า หมาป่าสังเกตร่องรอยความสวยงามของบ้านเมืองสมัยนั้นได้ตั้งแต่ศาลารอรถเลยล่ะครับ ดูที่ภาพนี้นะครับ ยิ่งเข้าไปที่ตัวตลาดใหญ่ต้องใช้คำว่าตึกรามบ้านช่องนั้นสวยเฉียบขาดครับ

รูปภาพ

เข้าไปตามทางด้านซ้ายมือจะมีสะพานเหล็กอยู่ อีกฝั่งของสะพานถามคนพื้นถิ่นได้ความว่าเป็นบริษัทที่เคยทำเหมืองแร่ดีบุกใหญ่ในเขตนี้ และน่าจะในเขตภูเก็ตด้วย เป็นของคุณจุติ บุญสูง นามสกุลนี้เศรษฐีภูเก็ตน่ะครับ หมาป่าเองนามสกุลก็คล้ายๆกันแต่ตกสระอูไปตัวนึงเลยไม่ได้มีโอกาสรวยครับ

ยามหน้าน้ำพื้นทรายนี้จะมีน้ำท่วมครับ เขาเล่าว่าด้วยความที่ทำมาหากินกับดีบุกที่นี่เคยมีบ้านหลังหนึ่งทำด้วยโลหะทั้งหลัง ฝนตกแล้วเสียงดังแปลกไม่เหมือนบ้านไม้บ้านตึก

รูปภาพ

พอขี่เข้าไปถึงตลาดใหญ่ตะกั่วป่าเราจะรู้สึกเหมือนที่นี่เป็นอำเภอที่บ้านเรือนถูกฟรีซไว้ในช่วงเวลาที่พุทธศักราชขึ้นต้นด้วยเลข 24 ครับ ถ้าไม่มียานพาหนะที่เป็นรถยุคปัจจุบันล่ะเหมือนเลย สามารถแต่งชุดย้อนยุคมาเดินได้เลย จะเข้ากันกับบ้านเมืองมาก

เราไปภูเก็ตอาจจะเห็นลักษณะตึกรามคล้ายกัน แต่เสกลของภูเก็ตนั้นใหญ่เป็นระดับจังหวัด ที่ตะกั่วป่าเก่านี้มันเหมือนภาพชวนฝันแบบหนังพีเรียดที่พระเอกเรียนจบรัฐศาสตร์แล้วก็ถูกส่งมาเริ่มชีวิตราชการในอำเภอรอบนอก อำเภอแบบนี้ในภาคอื่นสมัยก่อนคงเป็นเรือนแถวไม้ แต่ปักษ์ใต้ร่ำรวยกว่าด้วยปัจจัยจากแร่ผู้คนก็ปลูกตึก หมาป่าถ่ายรูปตึกมาประกอบคำบรรยายสองสามรูป

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

ที่ตะกั่วป่านี้สาเหตุหมาป่าอยากมานอกจากที่คุณอาจินต์เคยเขียนถึงในหนังสือเหมืองแร่ ก็เพราะหนังไทยอีกเรื่องหนึ่งชื่อ Wonderful Town เมืองเหงาซ่อนรัก

หนังไม่ได้เข้าฉายในโรงภาพยนต์หรือถ้าเข้าก็ออกจากโปรแกรมเร็วมาก ถึงจะไม่ทำเงินหรือคนรู้จักไม่มากแต่หนังเรื่องนี้ได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมสุพรรณหงษ์ของไทยเมื่อปี 2551 ครับ

จังหวะหนังนั้นเนิบนาบ จับความพระเอกที่เป็นสถาปนิกจากกรุงเทพต้องมาคุมงานซ่อมสร้างรีสอร์ทที่เพิ่งฟื้นตัวหลังสึนามิ และพบรักกับนางเอกที่เป็นเสมียนโรงแรมเก่าๆในเมืองตะกั่วป่า สองคนรักกันในเมืองที่ผู้คนรู้สึกถึงความพลัดพรากสูญเสียเพราะคลื่นยักษ์ที่ซัดกระหน่ำกวาดคนที่รักหรือทรัพย์สินปุปปับไปโดยไม่คาดคิดมาก่อน

ภาพเมืองเก่า โรงเรียน ศาลเจ้า ความเจ็บปวด ความหดหู่ หรือความระแวงว่าสิ่งที่รักจะถูกพลัดพรากสูญหายไปอีกไหมมันอวลอยู่ในบรรยากาศของหนัง บทเจรจา แววตาและการแสดงของตัวละคอน คนดูจะรู้สึกถึงเจ้าสิ่งที่ว่ามาแบบชัดเจนโดยตัวแสดงไม่ต้องพูดกันมาก

หมาป่าได้ดูหนัง และที่ติดใจมากนอกจากความนิ่งและความสวยแปลกๆของนางเอกก็คือตัวโรงแรมที่พระเอกไปเจอนางเอก และพักอยู่จนผูกพันและรักกัน

ตัวโรงแรมนั้นตัวตึกมันก็เป็นโรงแรมสมัยก่อนแบบที่เซลล์แมนเดินสายต่างจังหวัดชอบไปพักกันนั่นแหละครับ อยู่ต้นเรื่องจะเห็นพระเอกจอดรถเติมน้ำมันแล้วก็มองไปยังตึกโรงแรมที่อยู่ใกล้กัน แล้วพระเอกก็เดินเข้าไปถามหาห้องพักโดยนางเอกหลับฟุบอยู่ตรงเคาน์เตอร์ในยามบ่ายเหงาๆแสนเงียบ โรงแรมแบบที่หมาป่ามาพักกับพ่อที่เขียนไว้ตอนที่แวะที่ชุมพร ห้องพักก็แบบเดียวกัน เดินลากกระเป๋าขึ้นบันไดไม่มีลิฟท์

ดูในหนังแล้วก็ได้กลิ่นสบู่ก้อนเล็กๆที่คุ้นจมูกเป็นกลิ่นเฉพาะของโรงแรมแบบนี้ คือความทรงจำในวัยเด็กมันทำให้ดูหนังเรื่องนี้ได้อินน่ะครับ ฉากพระเอกจีบนางเอกด้วยการช่วยเก็บผ้าบนดาดฟ้าโรงแรมตอนเย็นนั้นก็ตรึงใจ ตัวแสดงทั้งสองไม่ใช่ดารามีชื่อเสียง แสดงเรื่องเดียวแล้วก็หายจากวงการกันไป แต่ความเป็นธรรมชาติของบทพูดของการแสดงนั้นทำให้ตรึงหมาป่าอยากติดตามเรื่องราวไปจนหนังจบ

รูปภาพ

รูปภาพ

หมาป่าขี่มาแวะตะกั่วป่าเก่าเพื่อจะมาดูตัวตึกโรงแรมในหนังเรื่องนี้เสริมกับการตามรอยในหนังสือเหมืองแร่แหละครับ

รูปภาพ

หมาป่ากินกะเตี๋ยวตรงตลาดแล้วกะจะไปขี่ตามหาโรงแรม คุยกับคนขายกะเตี๋ยวพี่เขาเล่าว่าเมื่อก่อนเคยทำงานกับบริษัททำเหมืองที่มีสะพานเหล็กตรงที่ขี่ผ่านมา คุยถึงความใจดีที่ลูกน้องรักของคุณจุติ บุญสูง ซึ่งสืบต่อมาถึงลูกชายคือคุณชาตา บุญสูง เลยได้รู้เรื่องความเป็นมาของสะพานเหล็กที่ว่า

แผงใกล้ๆกันขายขนมแม่ค้าเขาก็ทักว่าหมาป่าขี่มาจากไหน พอบอกว่าขี่มาจากกรุงเทพก็ตื่นเต้นเรียกผัวหนุ่มมาคุยด้วย พ่อหนุ่มเป็นคนโชคชัยสี่มาได้เมียอยู่ตะกั่วป่าก็เลยมาฝังรกรากอยู่ที่นี่ ตลกอีตรงที่น้องเขาขอให้เมียเอาโทรศัพท์ถ่ายรูปตัวเองที่ยืนคู่กับหมาป่าด้วยน่ะครับ ถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึก

ตรงมุมตลาดมีโรงแรมหนึ่งเก่าๆ แต่ไม่ใช่โรงแรมที่อยู่ในหนัง แม่ค้าบอกว่าในตลาดนี้เคยมีอยู่ 2 แห่งแต่ปิดไปแล้วหนึ่งแห่ง เหลือแต่โรงแรมผดุงเก่าๆที่ว่า หมาป่าเข้าไปคุยเจอเฮียแก่ๆนั่งเฝ้าเหงาๆอยู่ แกบอกว่าตอนนี้ไม่รับแขกนอกรับแต่แขกประจำซึ่งก็เป็นเซลล์แมนที่เดินสายอยู่ในเขตปักษ์ใต้และต้องมีธุระมาติดต่อค้างคืนแถวตะกั่วป่า ดูจากด้านล่างไม่ได้ขึ้นไปดูบนห้องพักก็เชื่อว่าห้องคงโทรมเต็มทีเหมือนกัน...เอ ว่าแต่ว่าโรงแรมในหนังเรื่อง Wonderful Town อยู่ไหนล่ะเนี่ย คนท้องที่เขาก็บอกว่าที่นี่เหลืออยู่โรงแรมเดียวแล้วนี่หน่า

หมาป่าขี่วนออกมา จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าในหนังนั้นฉากตากผ้าจีบกันมันอยู่บนดาดฟ้าตึกโรงแรม และที่ไกลๆออกไปเราจะเห็นหลังคาวัด

หมาป่าเลยขี่ไปดูแถวที่มีวัดตรงตลาดใหญ่ เล็งยังไงก็ไม่มีตึกที่ใกล้เคียงกับโรงแรมในหนัง ถามแม่ค้าขายน้ำหวานน้ำแข็งใสว่าเคยมีกองถ่ายมาถ่ายทำหนังแถวนี้ไหม เป็นหนังเกี่ยวกับเรื่องเมืองตะกั่วป่านี่แหละ เรื่องวันเดอร์ฟูลทาวน์ ดั๊นเจอแม่ค้าที่รู้จักหนังครับ แม่ค้าบอกเขามาถ่ายตามในตลาด ตามศาลเจ้าที่นี่ แต่ตัวโรงแรมนั้นเขาถ่ายกันที่พังงาคร่าคู๊น โอวววว จุกเล็กๆครับที่มาผิดจังหวัด ฮะฮะฮะ

ไม่เป็นไรครับ ยังไงหมาป่าก็ต้องไปจังหวัดพังงาในเส้นทางข้างหน้าอยู่ดี เดี๋ยวไปตามหาเอาที่นั่น วันนี้มาตะกั่วป่าเก่าก็ได้ดูบ้านดูเมือง ได้จินตนาการว่าสมัยคุณอาจินต์นั่งรถมาทำธุระที่นี่ยามค่ำคืนมันจะให้อารมณ์แบบไหน นี่ก็คุ้มมากแล้วเช่นกันครับ

ออกจากตลาดใหญ่ตะกั่วป่าตอนบ่ายแก่หมาป่ามาเข้าพักที่ห้องพักทรัพย์ทวีรีสอร์ทอยู่ใกล้ปากทางที่เป็นแยกขวาไปทางหลังวัดย่านยาว หากตรงต่อก็จะเจอย่านสำนักงานราชการและถนนเพชรเกษม

เอาของเข้าห้องพักเหนื่อยแล้วก็ขี่มาชมเมืองตะกั่วป่าตรงย่านยาว ระหว่างทางเจอร้านจักรยานเล็กๆขอเขาสูบลมยางเพราะว่าขี่มาจากกรุงเทพสิบเอ็ดวันยังไม่ได้เต็มลมยางเลย ชายหนุ่มที่อยู่ในร้านยกสูบมาให้และพูดคุยให้ความรู้เพิ่มเติม น้องเขาก็เป็นลูกหลานของคนที่เคยทำงานในบริษัทเหมืองแร่ของตระกูลบุญสูงนั้นอีกเช่นกันนะครับ แกยืนยันความมีใจดีใจบุญของคุณชาตาผู้ลูก น้องบอก "แกแต่งตัวปอนๆ แต่งขาสั้นเหมือนพี่นี่แหละ” (ฮะฮะ จริงใจครับ) แต่บางทีก็ซื้อปลาในตลาดทั้งถังมาปล่อย ทำบุญตลอดเวลา ยังดูแลทุกข์สุขลูกน้องเก่า

แล้วน้องก็เลยเล่าต่อถึงประวัติเมืองตะกั่วป่า เล่าว่าเจ้าเมืองตะกั่วป่าดั้งเดิมนั้นเป็นคนมีเชื้อสายมาเลย์ ตระกูล ณ นคร ณ นครนะครับ มิใช่ ณ ตะกั่วป่า ทำความเจริญให้กับเมืองตะกั่วป่า ปัจจุบันสุสานของเจ้าเมืองท่านนี้อยู่บนเกาะเสม็ดที่อยู่ในทะเลอันดามัน เกาะเล็กๆ มิใช่เกาะเสม็ดตรงระยอง น้องเขาเล่าด้วยความภูมิใจของประวัติบ้านเมืองตัวเองครับ

ลาจากกันมาด้วยความสำนึกในความอารีย์ของน้องหมาป่าก็ขี่ไปชมเมือง ไปข้างแม่น้ำ ไปชมวัดย่านยาว แล้วก็หาข้าวเย็นกินตรงแถวสนามที่คนมาเปิดปราศรัยกัน ค่ำนั้นเขาก็เปิดทีวีถ่ายทอดรายการของลุงกำนันจากกรุงเทพกัน คอการเมืองก็นั่งดูนั่งวิจารณ์กันไปแบบได้อารมณ์ แกงส้มปักษ์ใต้วันนี้เผ็ดได้ใจอร่อยมากครับ เข้าห้องพักนอนหลับสบาย วันนี้เลขไมล์มาอยู่ที่ 916 กม. จากคุระบุรีมานี่วันนี้ขี่ไปเจ็บสิบกิโล

อังคารที่ 11 มีนาคม 2557 วันที่สิบสอง


วันนี้กะระยะทางจากแผนที่หมาป่าจะขี่เข้าอำเภอตะกั่วทุ่งที่ตั้งของเหมืองกระโสม ทิน เดรดยิง เหมืองของอาจินต์ เป็นอีกวันที่รอคอย ถึงจะยังไม่เข้าบริเวณเหมืองแต่ตัวตะกั่วทุ่งเองก็มีบทบาทเด่นอยู่ในหนังสือชุดเหมืองแร่

เส้นทางจากตะกั่วป่าจะต้องผ่านย่านเขาหลัก ผ่านอำเภอท้ายเหมือง มุ่งทิศใต้และหักขึ้นด้านขวาตรงแยกที่มุ่งใต้ต่ออีกนิดก็จะไปจังหวัดภูเก็ต ชื่ออำเภอชื่อจังหวัดเหล่านี้เขียนซ้ำอยู่ในหนังสือที่อ่านจนเป็นชื่อคุ้นชินของหมาป่าครับ

ออกจากย่านยาวตะกั่วป่าเส้นทางเลียบใกล้กับชายฝั่งทะเลอันดามัน บริเวณนี้โดนสึนามิซัดหนักมากเมื่อปี 2547 เวลาผ่านไปเกือบสิบปี ป้ายเตือนว่าหากมีคลื่นยักษ์มาให้วิ่งขึ้นเส้นทางไหนเพื่อหลบภัยมีติดเป็นระยะ

จากระนองมาหมาป่าไม่ค่อยเห็นทะเลเท่าไหร่เพราะว่าทางหลวงนั้นไม่ได้เลียบทะเลแบบแถวๆระยอง หากจะแยกจากเพชรเกษมไปตามชายหาดก็ต้องขี่เข้าไปอีกเป็นกิโลกิโล

ผ่านป้ายนึงเขียนว่าหาดบางสัก หมาป่าเลยแวะเข้าไปดูทะเลอันดามันสักหน่อย ขี่เข้าไปจะผ่านทุ่งที่น้ำทะเลเคยกวาดเข้ามา ซากต้นไม้บางต้นที่ตายเพราะแช่น้ำเค็มที่ค้างในทุ่งก็มีให้เห็น จนมาโผล่ที่หาด ทะเลเรียบน้ำสีเขียวดูสบายตา ลมรำเพยสบายตัวครับ

รูปภาพ

ถามหนุ่มคนขับรถตู้ที่มาจอดรถรอรับแขกตามรีสอร์ทว่าสมัยคลื่นมานั้นมันสูงขนาดไหน น้องเขาบอกว่าก็ครึ่งต้นสนริมหาดแหละครับพี่ ขี่เล่นแถวชายหาดก็พบสถานที่หลบภัยที่ราชการมาสร้างไว้เผื่อในกรณีฉุกเฉินให้คนวิ่งขึ้นไปหลบ

รูปภาพ

จากหาดบางสักหมาป่าขี่ต่อมาจนเข้าเขตตำบลเขาหลัก แถบนั้นนักท่องเที่ยวคึกคักโรงแรมรีสอร์ทต่างๆซ่อมแซมและก่อสร้างใหม่เต็มไปหมด ร้านวัสดุก่อสร้างใหญ่ๆเปิดอยู่หลายเจ้า บางเจ้ามีรถพ่วงบรรทุกกระเบื้องปูพื้นปูผนังจอดลำเลียงคันเบ้อเริ่ม มันก็บอกได้ว่าคนมั่นใจและธุรกิจกลับมาเกือบเต็มร้อยหลังจากบาดแผลใหญ่ที่ทิ้งไว้เริ่มรักษาตัวเองจนเกือบหายสนิท ถนนในตำบลเขาหลักใหญ่สี่เลนบาร์เบียร์ร้านอาหารมีคึกคักครับ

หมาป่าผ่านอนุสรณ์ของเรือตรวจการตำรวจเรือต. 813 ซึ่งถูกพัดมาค้างบนฝั่งห่างหาดเป็นกิโลก็แวะเข้าไปเยี่ยมชม

รูปภาพ

ขี่ต่อมาขึ้นเขาหลัก บนนั้นเห็นทะเลสวยมากครับ เส้นทางกำลังถูกขยายจากเดิมมีรถบดอัดรถเกรดลูกรังและยางมะตอยราดใหม่ๆเป็นระยะ

หมาป่ามาถึงอำเภอท้ายเหมืองตอนเที่ยงแวะกินข้าวหมูกรอบกับบะหมี่ที่ร้านหน้า สภ.ท้ายเหมือง นั่งคุยกับคุณลุงคนหนึ่งในร้าน แกถามว่าขี่ทางไกลมาคนเดียวอย่างนี้เป็นตำรวจหรือเปล่า ตลกดีนะครับหน้าตาเนื้อตัวหมาป่าดูยังไง้ยังไงก็ไม่น่าเหมือนตำรวจ แม้แต่ตำรวจสายสืบนอกเครื่องแบบก็ไม่น่าจะใกล้เคียง

บนเส้นทางจากท้ายเหมืองมุ่งตะกั่วทุ่งก่อนถึงแยกที่จะลงใต้ต่อไปภูเก็ต เลขไมล์ทริปสะสมของอีเขียวขึ้นแตะที่ 1,000 กม. ก็เลยหยุดถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ทศนิยมตำแหน่งที่สองนี้มันจะเปลี่ยนทุกๆ 10 เมตร เพราะฉะนั้นต้องเล็งให้ดี ถ้าเผลอขี่เลยไปนิดเดียวหยุดไม่ทันมันจะเปลี่ยนจาก 999.99 ไปเป็น 0.00 ซึ่งไม่หล่อเท่าครับ

รูปภาพ

จากนั้นก็ถึงแยกที่ด้านซ้ายตัดออกไปตะกั่วทุ่งและพังงา ด้านขวาลงใต้ต่อไปเกาะภูเก็ตครับ

รูปภาพ

หักซ้ายเข้าทางไปตะกั่วทุ่ง ถนนเพชรเกษมช่วงนี้เป็นสี่เลน เส้นทางเส้นนี้อยู่ในหนังสือเหมืองแร่ที่คนอ่านจะคุ้นชิน อาจินต์นั่งรถนายฝรั่งไปข้ามฝากเรือแพยนต์เพื่อไปธนาคารในตัวเมืองภูเก็ตก็เส้นนี้ อาจินต์เข้าจังหวัดพังงาก็เส้นนี้ อาจินต์นั่งรถที่พี่จอนขับไปลืมหมวกและกลับเข้าไปเก็บหมวกกันสองคนช่วงยามดึกกับเจ้ร้านขายข้าวต้มที่อำเภอตะกั่วป่าก็ใช้ทางเส้นนี้ สมัยก่อนเป็นรถเลนสวนทางแคบกว่าสมัยนี้ แต่รถก็น้อยกว่าสมัยนี้มาก

รูปภาพ

ยิ่งเข้าใกล้ตะกั่วทุ่งและตำบลกระโสมหมาป่าก็ตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆครับ ระหว่างทางเป็นช่วงเวลาโรงเรียนเลิกเด็กๆเดินกลับบ้านหรือมีพ่อแม่ขี่มอเตอร์ไซค์มารับ บ้างก็นั่งรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างเป็นกลุ่ม เด็กทุกคนจะถือลังนมกล่องติดมือกลับบ้าน หมาป่าจอดถามว่าทำไมมีนมกันทุกคนเลย เด็กบอกวันนี้เรียนวันสุดท้ายก่อนปิดเทอมใหญ่ ครูแจกนมโรงเรียนให้กลับไปกินที่บ้านเพราะจะไม่ได้มาโรงเรียนกันอีกเป็นเดือน

และก็มาเจอป้ายเข้าเขต บ้านกระโสม ตำบลกระโสม อำเภอตะกั่วทุ่งในที่สุด เหมืองกระโสม ทิน เดรดยิง ได้ชื่อที่อิงจากบ้านนี้แหละครับ

รูปภาพ

ความสนุกของการตามรอยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ชีวิตใครคนใดคนหนึ่ง หากเจ้าตัวเขาไม่ได้มาอยู่ชี้จุดในที่ที่เขาเคยอยู่ตรงนั้นด้วยกัน คือการคาดเดาโดยใช้ข้อมูลที่รวบรวมมาและประมวลผลเพื่อชั่งใจและปักใจ

จุดพิกัดที่หมาป่าคาดเดา เกิดจากการใช้ข้อมูลทั้งอินเตอร์เนทที่มีคนเคยไปสำรวจสถานที่ตอนถ่ายทำหนัง และหนังสือชุดเหมืองแร่ที่ตีพิมพ์ล่าสุดเล่มสองตอนท้าย ที่คุณอาจินต์กลับไปหาเหมืองกระโสมเมื่อปี 2518 ในหลายบทที่อยู่ใต้หัวข้อว่า กลับไปสู่เหมืองแร่ ทำให้หมาป่าเห็นภาพชัดขึ้นในหัว อีกทั้งมีจุดที่ต้องระวังเทียบเคียงข้อมูลให้ดีดังนี้ครับ

เส้นทางเดิมที่เป็นทางหลวงเพชรเกษมจากตะกั่วป่ามาบรรจบกับทางแยกไปภูเก็ตและตัดวกขึ้นมามุ่งพังงาที่หมาป่าขี่มานี้ สมัยที่เหมืองยังดำเนินการอยู่ในช่วงปี 2492-2496 หรือแม้แต่ปี 2518 ยี่สิบสองปีให้หลังที่คุณอาจินต์กลับลงไปเยี่ยมบริเวณเหมืองและอำเภอตะกั่วทุ่ง ที่เดิมที่เคยมาใช้ชีวิตทำงานอยู่ ทางมันเป็นเส้นเล็กสองเลนสวน และสมัยนั้นทางหลวงจะตัดผ่านดาวน์ทาวน์ที่มีตลาดร้านรวงในอำเภอตะกั่วทุ่งเลย คราวนี้พอยุคหลังบ้านเมืองเจริญ รถรามีมากขึ้น กรมทางหลวงจะขยายถนนเป็นสี่เลนไม่ต้องวิ่งสวนกันบนทางแคบ ถนนเส้นใหญ่เหล่านี้จะตัดเบี่ยงออกจากดาวน์ทาวน์ของอำเภอต่างๆ เหมือนเป็นทางเลี่ยงเมือง อย่างตะกั่วทุ่งนี้หากเปิดแผนที่ดู หากเรามุ่งหน้าพังงา ด้านหลังของเราคือภูเก็ต ทางเลี่ยงเมืองมันจะปาดผ่านด้านซ้ายของย่านร้านรวงและสถานที่ราชการที่รวมกันเป็นดาวน์ทาวน์

ตอนคุณอาจินต์ลงมาเยี่ยมเมื่อปี 2518 และเขียนในหนังสือ เธอนั่งรถทัวร์ลงมาค้างคืนที่ภูเก็ตและต่อรถบัสมาที่ตะกั่วทุ่งในวันถัดมา รถบัสวิ่งตามทางหลวงที่ยังเป็นสองเลนสวนมาจากภูเก็ตและส่งเธอที่ดาวน์ทาวน์เลย สมัยปีนั้น ( 39 ปีมาแล้วหากนับในปี 2557) ยังไม่มีถนนสี่เลนและยังไม่มีถนนสายเลี่ยงเมืองที่ปาดผ่านด้านซ้ายของตัวอำเภอ คุณอาจินต์ลงรถตรงศาลเจ้าและเดินในเส้นหลักของตลาดห้องแถวขึ้นมาทางที่ทำการอำเภอ อีกทั้งแวะเยี่ยมบ้านโกต๋องตัวละครหลักที่เคยไปตั้งกระท่อมขายของชำ ขายเหล้า ขายกาแฟอยู่ในเหมืองที่อยู่ห่างอำเภอออกไปอีก

คุณอาจินต์เขียนว่าโกต๋องนั้นเมื่อเหมืองเลิกแล้วแกย้ายครอบครัวที่มีเมีย และลูกสาวตัวเล็กๆสองคนกลับมาอยู่ในตัวอำเภอ ลงทุนทำแร่แบบเล็กๆแต่ก็ขาดทุน เลยเปลี่ยนมาขายจันอับและอยู่ในห้องแถวเล็กๆ ใกล้ๆกับที่ทำการอำเภอและโรงพัก รวมถึงบ้านพักนายอำเภอ

อาจินต์เจอเมียโกต๋องก่อนซึ่งเธอดูเจ็บป่วยและเริ่มหลงเลอะเลือน แล้วก็ได้เจอตัวโกต๋อง คนอื่นๆบางคนที่อาจินต์เคยรู้จักตอนอยู่ที่เหมืองก็มาเจอกันในตลาด อาจินต์เหมารถสองแถวขนเพื่อนเก่าที่เจอจากตลาดเข้าวิ่งเข้าไปที่เหมืองซึ่งเป็นทางเล็กแยกออกจากตัวดาวน์ทาวน์ไปอีก มุ่งไปสู่ภูเขา สู่บริเวณที่เคยมีออฟฟิศ บ้านพักคนงาน บ้านพักนายฝรั่ง และเส้นทางคลองที่เรือขุดเคยขุดขึ้นไปทั่วบริเวณจนเหมืองล่มลง ที่ตรงบริเวณใกล้เหมืองนั้นก็มีคนที่เคยทำงานเหมืองยังอาศัยอยู่ และมาพบมาคุยกับอาจินต์ย้อนรำลึกความหลังกัน

หมาป่าขี่เข้าตัวอำเภอตะกั่วทุ่งโดยหักขวาจากทางหลักไม่ใช้เส้นเลี่ยงเมือง แต่ไปเข้าเส้นเก่าเข้าเมืองจากด้านท้ายผ่านศาลเจ้าขึ้นไป

จำภาพที่หมาป่าโพสต์ก่อนหน้านี้ที่เป็นป้ายบอกทางเข้าเหมืองกระโสมได้ไหมครับ ที่ข้างหลังเป็นภูเขาน่ะครับ กรุณาจำไว้อย่างหนึ่งว่าภาพป้ายนั้นเป็นป้ายที่กองถ่ายหนังทำขึ้นมาตรงอำเภอคุระบุรี เพื่อให้ตรงกับเนื้อความในตัวหนังสือ มิใช่ป้ายจริงที่ตั้งอยู่สถานที่จริง

หมาป่าก็อยากรู้ว่าป้ายจริงมันเคยตั้งอยู่ตรงไหน เพราะตรงนั้นคือทางเข้าเหมืองในสมัยหกสิบปีก่อนนี้ครับ ทางดินเข้าเหมือง ทางที่โกหองขี่จักรยานจากบ้านพักในตลาดและติดเอาเนื้อหมูสดไปขายคนเหมือง ทางที่คนเหมืองขี่ออกมาจับจ่ายซื้อข้าวของในตลาดตัวอำเภอ ทางที่อาจินต์นั่งรถออกมาเลี้ยวขวาไปทำธุระให้นายฝรั่งที่ภูเก็ต ทางที่ออฟฟิศบอยขี่จักรยานเลี้ยวซ้ายขึ้นไปเอาจดหมายและพัสดุที่ตัวจังหวัดพังงา

คุณอาจินต์เขียนว่าป้ายปากทางเข้าเหมืองนั้นตั้งอยู่ข้างๆใกล้ๆสถานีตำรวจ ตัวสถานีตำรวจอยู่ฝั่งตรงข้ามกับที่ทำการอำเภอโดยมีถนนคั่นกลาง อาจินต์เคยเขียนถึงบ้านพักนายอำเภอและตัวนายอำเภอที่เป็นนิสิตเก่าจุฬาฯรุ่นพี่ ตอนที่แกกลับมาตอน 2518 แกบอกว่าเห็นทางข้างสถานีตำรวจแล้วให้นึกถึงป้ายเก่าที่ชาวเหมืองลงแรงสร้างเพื่อบอกด้วยความภูมิใจแก่ผู้ผ่านทางว่าเหมืองกระโสมของพวกเขานั้นบนทางอยู่หลังป้ายนั่นออกไป

หมาป่าขี่มาถึงตัวที่ทำการอำเภอแล้วก็ลงไปถ่ายรูปครับ

รูปภาพ

แต่มีความงงอย่างหนึ่งครับ ในหนังสือปี 2518 ที่คุณอาจินต์เขียนว่าสถานีตำรวจอยู่ตรงข้ามที่ทำการอำเภอ แต่ ณ สถานที่จริงนี้ ตัวสถานีตำรวจกลับตั้งอยู่ข้างที่ทำการอำเภอเสียนี่ แถมข้างสถานีตำรวจก็มีซอยข้างๆ แต่ทุกอย่างมันกลับตาลปัตรจากที่หมาป่าคิดไว้ เพราะซอยข้างสถานีตำรวจมันไม่ได้มุ่งไปทางภูเขานี่ครับ ซอยที่หมาป่าเล็งไว้ตามพิกัดในหนังสือมันควรจะอยู่อีกฝั่ง ซึ่งคือซอยเทศบาล 4 ...เกิดอะไรขึ้น คุณอาจินต์ไม่น่าจำผิด

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

สถานีตำรวจแห่งนี้ก็ไม่ได้ถูกใช้งานแล้วนะครับ เป็นสถานีตำรวจเก่า แต่ทำไมมันตั้งผิดกับตัวหนังสือ

หมาป่าเอะใจจึงเดินมาถามคนที่ท่าทางมีอายุหน่อยแถวนั้น ถามว่าคุณน้าครับตรงข้ามที่ทำการอำเภอเคยมีสถานีตำรวจตั้งอยู่ไหมครับ คุณน้าตอบว่าใช่ สมัยก่อนมีสถานีตำรวจตั้งอยู่และย้ายไปอยู่ข้างอำเภอราวๆสามสิบปีแล้ว ตัวโรงพักที่ย้ายมาอยู่ข้างอำเภอปัจจุบันก็เลิกใช้งาน มีโรงพักแห่งใหม่กว่า (แห่งที่ 3) ไปตั้งอยู่นอกดาวน์ทาวน์ตรงริมถนนเลี่ยงเมืองออกไป

ตรงเลยป้ายซอยเทศบาล 4 เลยบ้านที่มีจานดาวเทียมออกไปนั่นแหละครับที่ตั้งโรงพักแห่งแรก โรงพักที่คุณอาจินต์อยู่ตอนปี 92-96 อยู่ตรงนี้ ตอนปี 2518 ที่คุณอาจินต์กลับไปใหม่ก็ยังอยู่ที่ตรงนี้ก่อนที่จะถูกย้ายไปข้างอำเภอในไม่กี่ปีหลังจากนั้น อืมม์ทุกอย่างกลับมาสอดคล้องกับตัวหนังสือแล้วครับ

บ้านพักนายอำเภอก็ยังอยู่ตรงตำแหน่งเดิมตามหนังสือครับ ปี 2518 คุณอาจินต์เขียนรำลึกความหลังไว้ว่าเป็นบ้านไม้หลังเก่า แต่ปี 57 นี้ถูกสร้างใหม่กลายเป็นบ้านปูนแล้ว

รูปภาพ

พอหมาป่าได้ความกระจ่างคลายสงสัยแล้วก็สบายใจครับ ถามคุณน้าคนเดิมว่ามีโรงแรมที่พักในอำเภอบ้างไหม คุณน้าแนะนำบังกะโลกระโสมอินน์ ทำนองม่านรูดประจำอำเภอให้ ซึ่งอยู่ถัดออกไปทางทางเข้าเหมือง ต้องขี่ตัดผ่านถนนสี่เลนเส้นเลี่ยงเมืองออกไป สามารถขี่ไปทางซอยเทศบาล 4 ได้ หมาป่าเข้าเช็คอินที่นี่ไว้ก่อนให้แน่ใจว่าคืนนี้มีที่นอน

สถานที่ต่างๆหมาป่าเขียนมาเป็นตัวหนังสือนั้นหมาป่าลองเขียนแผนที่คร่าวๆด้วยมือได้ออกมาดังนี้

รูปภาพ

จากแผนผังนี้มีอีกจุดที่หมาป่าเห็นขัดแย้งกับข้อมูลที่อ่านผ่านตาในเนตตอนวางแผนการเดินทาง คนเขียนเป็นคนที่เคยตามรอยเหมืองแร่อาจินต์มากับกองถ่ายหนัง GTH ท่านเขียนว่าทีมงานถ่ายทำคิดว่าปากทางเข้าเหมืองจุดที่เคยมีป้ายทางเข้าเหมืองกระโสมอยู่ตรงริมทางแยกจากถนนสี่เลน ซึ่งคือจุด B ในแผนที่ทำมือของหมาป่า แต่หมาป่าเชื่อว่าจากลักษณะการตัดถนน การทำทางเลี่ยงเมืองขึ้นในภายหลัง อีกทั้งตัวหนังสือย้อนอดีตของคุณอาจินต์เอง ป้ายทางเข้าเหมืองกระโสมที่คุณอาจินต์เขียนถึงและถูกจำลองไว้ในหนังนั้น ตัวจริงที่เคยมีต้องตั้งอยู่ตรงจุด A ปากซอยเทศบาล 4 ครับ

เอาของเข้าที่พักซักผ้าแล้ว หมาป่าขี่ออกจากกระโสมอินน์เข้ามาในตัวดาวน์ทาวน์ของตะกั่วทุ่งอีกครั้ง คราวนี้ลงไปแถวท่าเรือเพื่อหาข้าวเย็นกิน ท่าเรือนี้เป็นท่าเรือหางยาวที่นักท่องเที่ยวจะมาว่าจ้างเรือไปเที่ยวในตัวอ่าวพังงากัน

อ่าวพังงาเคยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องพยัคฆ์ร้าย 007 ตอนหนึ่งเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ตอนนั้นเขาตะปูเป็นแลนด์มาร์คที่ปรากฏในหนัง พังงาก็ยังยึดเขาตะปูไว้เป็นจุดขายนักท่องเที่ยวจนถึงทุกวันนี้ ตรงท่าเรือมีการทำเขาตะปูจำลองเอาไว้ให้ถ่ายรูปกันกำลังก่อสร้างกันเลยครับทำด้วยไฟเบอร์กลาส นี้เป็นภาพจากท่าเรือมองออกไปยังผืนน้ำที่จะไปต่อยังอ่าวพังงา

รูปภาพ

ทานข้าวเย็นตรงร้านอาหารใกล้ท่าเรือหมาป่าขี่กลับตอนมืดเข้ากระโสมอินน์ พักนอนรอเช้าวันรุ่งขึ้นที่จะแกะรอยไปยืนในที่ที่ลูกผู้ชายชื่ออาจินต์ใช้ชีวิตหนุ่มวิศวะรีไทร์จากจุฬาฯฟาดฟันกับงานหนักและสภาพภูมิประเทศดินฟ้าอากาศเมื่อหกสิบปีก่อน ขี่มาพันกว่ากิโลตอนนี้มันห่างออกไปไม่กี่กิโลนี่เองครับ

พุธที่ 12 มีนาคม 2557 วันที่สิบสาม

ตื่นตอนเช้าตั้งแต่ตีห้า หมาป่าเดินมานอกห้องพักเพื่อรับความเย็นของอากาศ ใจนั้นนึกอยากให้มันเย็นเหมือนสมัยที่เหมืองแร่ทำงานอยู่ คุณอาจินต์เขียนว่ายามเช้าเย็นจนต้องเอาปกเสื้อตั้งขึ้นให้คอและหูอุ่นและเดินฝ่าไอน้ำค้างไอหมอกไปร้านกาแฟ แต่ปีนี้ไม่เย็นขนาดนั้นหรอกครับ มีแค่พราวน้ำค้างที่จับเต็มรถยนต์ที่จอดในบังกะโล

หมาป่าเก็บของออกจากโรงแรมแต่ยังไม่มุ่งเข้าไปในทิศทางของภูเขาที่เหมืองเคยตั้งอยู่ แต่ย้อนเข้าตลาดกะจะไปตามหาร่องรอยของโกต๋อง

จากรูปโปสเตอร์หนังเหมืองแร่ โกต๋องเจ้าของร้านชำร้านกาแฟประจำเหมืองใส่โสร่งสวมเสื้อขาวยืนอยู่ซ้ายสุดของภาพ

รูปภาพ

ชาวเหมืองล้วนแต่ซื้อหาสินค้าจากโกต๋อง ทั้งเงินสดเงินเชื่อ อาจินต์ยามค่ำหลังการทำงานก็ดื่มเหล้าแก้เหงาที่อยู่ที่ร้าน ยามเช้าก่อนไปทำงานก็กินกาแฟไข่ลวกที่ร้านกระท่อมของโกต๋องนี้ ลูกเมียโกต๋องพักอาศัยอยู่ที่หลังร้าน

โกต๋องตัวจริงชื่อโกเตี๋ยนครับ หมาป่าแกะข้อมูลนี้มาจากในเนตจากท่านที่เขียนเรื่องการตามรอยเหมืองแร่ไปกับ GTH เหตุผลของการเปลี่ยนชื่อคนจริงยามเป็นตัวละคอนในหนังสือก็คงเป็นอย่างที่หมาป่าเกริ่นไว้ตอนต้นของสรุปทริปท่อนที่เขียนอารัมภบทถึงเนื้อความในหนังสือเหมืองแร่

หมาป่าแกะรอยจากบทเขียนเมื่อปี 2518 ว่าบ้านโกเตี๋ยนอยู่ในถนนย่านตลาด ไม่ห่างจากบ้านพักนายอำเภอนัก ข้อมูลนี้หมาป่าเชื่อว่าลูกหลานโกเตี๋ยนน่าจะยังมีอยู่ในตลาดนั่น นับปีแล้วถึงปี 2557 หมาป่าเชื่อว่าโกเตี๋ยนคงเสียชีวิตไปแล้ว ข้อมูลค่อนข้างน้อย แต่ย่านดาวน์ทาวน์ไม่ใหญ่กับพิกัดที่บีบแคบ หมาป่าเชื่อว่าปากของหมาป่าจะพาหมาป่าไปหาลูกหลานโกเตี๋ยนได้ครับ

หมาป่ามาอยู่แถวบ้านพักนายอำเภอเลือกถามคุณลุงผมขาวที่ยืนอยู่แถวนั้นว่ารู้จักโกเตี๋ยนหรือบ้านแกไหม คุณลุงบอกเคยมีโกเตี๋ยนอยู่ตรงท้ายถนนตรงข้ามกับศาลเจ้ามีลูกชายเป็นสท. หมาป่าขี่ลงไปแถวนั้นเล็งบ้านตรงข้ามศาล เห็นผู้ชายท่านนึงกำลังถอยรถปิคอัพออกจากห้องแถว ถามไถ่ได้ความว่าผมนี่แหละครับลูกโกเตี๋ยน หมาป่าไม่แน่ใจว่าทำไมลูกโกเตี๋ยนหนุ่มจัง ถามว่าโกเตี๋ยนคุณพ่อนั้นเคยไปตั้งร้านขายของในเหมืองเก่าแถวภูเขาไหม เขาบอกโกเตี๋ยนพ่อผมเป็นช่างไม้ครับ อืมม์แสดงว่าคนละโกเตี๋ยนครับ

เอาใหม่ครับ หมาป่ามาตั้งหลักใหม่ พยายามคิดว่าถ้าในหนังสือคุณอาจินต์บอกว่าบ้านโกเตี๋ยนอยู่ใกล้บ้านพักนายอำเภอ การไปตั้งหลักตรงบ้านพักนายอำเภอก็เมคเซนส์ แต่เราควรถามคนแก่ที่อยู่ในบ้านมากกว่าคนแก่ที่ยืนอยู่ข้างถนนเพราะจะค่อนข้างมั่นใจได้ว่าบ้านแถบนั้นต้องเป็นเพื่อนบ้านโกเตี๋ยน และถ้าเป็นคนมีอายุก็น่าจะเคยรู้จักโกเตี๋ยนตอนแกยังมีชีวิตอยู่

หมาป่าเลยย้อนขึ้นไปห้องแถวฝั่งตรงข้ามบ้านนายอำเภอ เห็นบ้านหนึ่งมีคุณน้าผู้หญิงนั่งเย็บผ้าก็ถามว่าบ้านโกเตี๋ยนอยู่แถวนี้ไหม แกตอบว่าใช่อยู่ถัดไปอีกไม่กี่หลังนั่นแหละ และนี่แหละครับบ้านโกเตี๋ยนคนที่เคยเปิดร้านชำในเหมืองแร่ บ้านนี้อยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆกับบ้านพักนายอำเภอ บ้านที่อาจินต์เคยมาเยี่ยมเมื่อปี 2518 ตอนนั้นโกเตี๋ยนขายจันอับ

รูปภาพ

ปัจจุบันไม่ได้เป็นร้านขายจันอับแล้ว แต่ขายน้ำมันเครื่องมอเตอร์ไซค์และขายเหล้า ใช้ชื่อว่าร้านโชคดี

รูปภาพ

คุณลุงที่อยู่ในร้านท่านอยู่คนเดียวตอนที่หมาป่าเข้าไปสอบถาม ท่านบอกว่านี่แหละบ้านโกเตี๋ยน เตี๋ยน ผลงาม หมาป่าถามว่าคุณลุงเป็นอะไรกับโกเตี๋ยนครับ ท่านเป็นลูกเขยโกเตี๋ยนครับ

หมาป่าควักหนังสือเหมืองแร่ตอนที่อาจินต์กลับมาเยี่ยมตะกั่วป่าและอ่านเนื้อความบางท่อนที่เขียนถึงบ้านโกเตี๋ยนให้ท่านฟัง ถามว่าตอนปี 18 นั้นภรรยาท่านที่เป็นลูกสาวโกเตี๋ยนมีลูกแล้วและเจอกับอาจินต์ คุณป้ายังอยู่ใหมครับ ท่านบอกว่ายังอยู่ดี ตอนนี้ออกไปหาหมอทำกายภาพบำบัดที่ตัวเมืองพังงาเพราะเพิ่งผ่าตัดหลังมา ไปกับลูกชายคนโตและลูกสะใภ้ สักพักจะกลับมา

หมาป่าขออนุญาตท่านเข้าไปถ่ายภาพในบ้าน ในบ้านมีรูปบรรพบุรุษและรูปของลูกหลานโกเตี๋ยนติดตามข้างฝา
และนี่คือภาพของโกเตี๋ยน ผลงาม หรือโกต๋องตัวจริงสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ครับ

รูปภาพ

หมาป่าถ่ายรูปและคุยกับคุณลุงอยู่สักพัก คุณป้าลูกสาวคนโตของโกเตี๋ยนก็กลับบ้านมาพร้อมลูกชายและลูกสะใภ้ ในหนังสือคุณอาจินต์เคยเขียนว่าบางครั้งที่นั่งอยู่ในร้านกินเหล้า กินกาแฟหรือดื่มชา ก็จะสอนการบ้านเด็กหญิงลูกสาวโกเตี๋ยนพร้อมหยอกล้อเล่น ตอนนั้นลูกสาวคนโตของโกเตี๋ยนอายุประมาณสิบขวบเศษๆ

คุณป้าสมศรี มีชื่อจีนที่พ่อและแม่ตั้งให้ว่า บีหยอก ตอนปี 57 นี้คุณป้าอายุ 76 แล้วครับ

รูปภาพ

คุณป้าสมศรีแต่งงานกับคุณลุงสมพงษ์ ณ ตะกั่วทุ่ง ที่ปัจจุบันอายุ 78 ปี ตอนแต่งทั้งสองท่านอายุ 29 และ 31 ปีตามลำดับ

รูปภาพ

หมาป่าสอบถามรายละเอียดชื่อลูกหลานโกเตี๋ยนจากคุณลุงสมพงษ์อย่างละเอียด คุณลุงยินดีให้ข้อมูลอย่างเต็มใจยิ่ง จดบันทึกมาแล้วหมาป่าก็อยากขอบันทึกไว้ในบทสรุปทริปนี้ครับ อาจจะดูห่างไกลจากเรื่องราวการขี่จักรยานของเวป thaimtb ของเรา แต่ถ้าวันหน้ามีคนเสิรชอินเตอร์เนทเข้ามาหาเกร็ดเกี่ยวกับหนังสือชุดเหมืองแร่ งานวรรณกรรมยิ่งใหญ่ชิ้นหนึ่งในภาษาไทย ประวัติและวงศ์วานว่านเครือของตัวละครหลักตัวหนึ่งคงช่วยเสริมต่อความรู้ให้กับคนที่รักเรื่องเหมืองแร่เหมือนกับหมาป่า หมาป่าได้ความรู้เพื่อใช้วางแผนในการตามรอยเหมืองแร่จากท่านอื่นๆที่ลงแรงเขียนบันทึกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ หมาป่าก็รู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องช่วยต่อภาพให้ชัดเจนแม่นยำยิ่งขึ้นไว้เช่นกันครับ

โกเตี๋ยน ผลงาม มีภรรยาชื่อเพ็กลี่ โกเตี๋ยนตายตอนอายุประมาณ 72 ปี ทั้งคู่มีลูกสาวสองคน คนโตชื่อจีนชื่อบีหยอก ชื่อไทยชื่อสมศรี ลูกสาวคนเล็กชื่อจีนชื่อบีอวด ชื่อไทยชื่ออรุณี

คุณป้าสมศรีแต่งกับคุณลุงสมพงษ์ มีลูก 3 คน ผู้ชายคนโตชื่อพิมลศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง เกิดปี 2511 (ปีเดียวกับหมาป่า) ปัจจุบันสืบทอดกิจการร้านมาจากโกเตี๋ยน ร้านสมัยก่อนชื่อร้านผลงาม ปัจจุบันชื่อร้านโชคดี ลูกผู้หญิงคนกลางชื่อสุรินี เกิดปี 2514 เรียนจบมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แต่งงานกับคนภูเก็ต ทำงานส่วนตัวขายมุกอยู่ที่ภูเก็ต และลูกชายคนสุดท้องชื่อพิมลชัย เกิดปี 2519 เรียนจบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปริญญาโทสาขาบริหารฯที่รามคำแหง ปัจจุบันรับราชการเป็นเกษตรจังหวัดภูเก็ต เสาร์อาทิตย์มีสอนหนังสือที่ราชภัฏฯภูเก็ต ได้ภรรยาจบปริญญาเอกสอนที่ราชภัฏฯเช่นกัน

ลูกสาวคนที่สองของโกเตี๋ยนคนที่ชื่ออรุณี แต่งงานและแยกบ้านออกไป มีลูก 3 คน คนโตผู้ชายชื่ออาจินต์ จิตรรัตนสมบัติ ปัจจุบันเป็นเจ้าของเรือหางยาวนำเที่ยวที่วิ่งอยู่ตรงท่าอำเภอตะกั่วทุ่ง เกิดปี 2514 ลูกชายคนที่สองชื่อเอกสิทธิ์ เกิดปี 2515 ลูกสาวคนสุดท้องเปิดปี 2521 ชื่อสมฤทัย ข้อมูลตรงนี้ได้จากลูกชายคนโตซึ่งมาที่ร้านในช่วงเวลาที่หมาป่าเข้าไปเยี่ยมครับ ชื่ออาจินต์ของลูกชายคนโตนั้นไม่สามารถยืนยันได้ว่าคุณป้าอรุณีตั้งโดยได้แรงบันดาลใจจากคุณอาจินต์ช่างแผนที่ของเหมืองที่คุณป้าเคยเจอตอนเด็กสมัยอยู่ในเหมืองหรือเปล่านะครับ เพราะคุณป้าอรุณีอยู่ต่างอำเภอออกไปไม่มีโอกาสถามครับ

นี่เป็นรุ่นหลานของโกเตี๋ยนครับ คนกลางคือคุณพิมลศักดิ์หลานชายคนโตพร้อมภรรยา ส่วนคนขวาคือคุณอาจินต์หลานอีกสายหนึ่ง

รูปภาพ

คุณพิมลศักดิ์ไปค้นหลังร้านเป็นป้ายร้านเดิมชื่อ ผลงาม ตามนามสกุลโกเตี๋ยน

รูปภาพ

ท้ายสุดก่อนจะอำลาออกจากบ้านของโกเตี๋ยน หมาป่าถ่ายภาพโต๊ะท้อปหินอ่อนที่อยู่หลังร้านมาเก็บไว้ เดาว่าน่าจะเป็นโต๊ะที่เคยอยู่ในร้านที่เหมืองแร่และมีเขียนถึงในหนังสือ คุณพิมลศักดิ์บอกว่าเกิดมาก็เห็นแล้ว จึงเชื่อว่าพอย้ายเข้าตลาดโกเตี๋ยนและคุณยายเพ็กลี่น่าจะหอบหิ้วกลับมาด้วย

รูปภาพ
แก้ไขล่าสุดโดย a lone wolf เมื่อ 11 ก.ย. 2019, 13:19, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง
รูปประจำตัวสมาชิก
a lone wolf
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 446
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2010, 01:57
Bike: kona sutra

Re: หมาป่าเดียวดาย...ตามรอย "เหมืองแร่" ทรัพย์จากพื้นแผ่นดิน สินแห่งชีวิต ของอาจินต์ ปัญจพรรค์

โพสต์ โดย a lone wolf »

ร่ำลาขอบคุณครอบครัวลูกหลานโกเตี๋ยน หมาป่าขี่ขึ้นไปทางแยกตัดถนนเลี่ยงเมืองผ่านโรงแรมกระโสมอินน์ที่นอนค้างเมื่อคืนมุ่งหน้าไปทางทิศภูเขาเตี้ยๆที่เห็นในสายตา นี้เป็นทางเข้าเหมืองกระโสม ทิน เดรดยิงครับ

รูปภาพ

หกสิบเอ็ดปีผ่านไปนับจากกิจการของเหมืองล่มลงด้วยว่าแร่ที่ขุดได้เริ่มไม่คุ้มกับทุนและบริษัทแม่ในออสเตรเลียสั่งการมาว่าให้ปิดกิจการ สภาพภูมิประเทศเปลี่ยนไป อากาศก็ร้อนแล้งกว่าเดิม ที่นาหรือทุ่งทรายที่เรือขุดปล่อยมาท้ายเรือกลายเป็นสวนยาง สวนปาล์มน้ำมัน

หากย้อนกลับไปอ่านข้อเขียนคุณอาจินต์ที่คัดลอกมาตอนต้นสรุปทริปสมัยนั้นฝนตก มีป่ามีต้นไม้หนาแน่น ความหนาวเย็นความชื้นมีมากพอๆกับความร้อน ฝนในหน้าฝนทุกวันนี้ก็ยังคงตกหนักอยู่เพราะเป็นเรื่องของลมมรสุมที่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ความหนาวเย็นจากป่าน้อยลง ความหินความหฤโหดของภูมิประเทศและอากาศน้อยลง

การทำเหมืองนั้นบริษัทฯได้สัมปทานจากรัฐบาลไทย ก่อนที่อาจินต์จะมาทำงานที่เหมืองในปี 2492 บริษัทฯเดินเรือขุดจากทะเลเข้ามาในคลองกระโสมซึ่งไหลมาจากทิวเขาลงทะเล แล้วมุ่งทิศตะวันตกเฉียงเหนือขึ้นมาเรื่อยๆ จากบ้านกระโสม ต่อขึ้นขุมมุด บางทราย ชีน้อย เลาะขุดขึ้นไปตามคลอง หากนอกแนวคลองออกไปมีแร่อยู่เรือก็จะหันหัวไปขุดจนได้ตามความต้องการแล้วก็วกกลับมาเดินเรือไปตามแนวคลองต่อ (เรือขุดต้องอาศัยน้ำเพื่อลอยตัว จึงต้องยึดแนวคลองหรือทำทำนบผันน้ำกักน้ำเพื่อไปยังจุดที่ต้องการขุด)

เดาจากข้อความในหนังสือตอนที่อาจินต์มานั้นเรือขุดน่าจะขุดเลยเขตต่อจากตำบลกระโสมและตำบลถ้ำแล้ว ด้วยว่าออฟฟิศและโรงล้างแร่ตั้งอยู่แล้วที่ตำบลถ้ำ และในเนื้อเรื่องอาจินต์ต้องนั่งรถจากบ้านพักไปตามถนนที่เหมืองทำเลาะแนวคลองแนวขุดเพื่อส่งฟืนให้เรือขุด ขนขนงานขึ้นไป ขนแร่กลับลงมาโรงล้างแร่

ถนนสายนี้เงียบนานๆจะมีรถผ่านมาสักคัน ผ่านเข้าไปในหมู่บ้านต่างๆที่เพิ่งเขียนชื่อไปอยู่ตามแนวคลองของเรือขุด ที่นี่อยู่กันมาตั้งแต่โบราณก่อนที่เหมืองจะเข้ามา ชาวบ้านก็ทำนา เกิด แก่ เจ็บ ตาย ออกลูกออกหลานอยู่เป็นชุมชนกันในนั้น

สมัยก่อนถนนเป็นถนนดิน ปี 2518 ที่อาจินต์กลับมาก็ยังไม่ได้ลาดยาง บางช่วงก็ขึ้นเนิน

รูปภาพ

หมาป่ามีเรื่องสารภาพว่าตั้งแต่ขี่จักรยานออกเดินทางไกลขึ้นเขาใหญ่ ไปเชียงใหม่มานั้นยังไม่เคยถีบไม่ไหวต้องหยุดกลางเนินจนต้องเข็นมาก่อน มีมาหยุดตรงเนินเขาที่นี่ครั้งแรกครับ ทางมันโค้งขึ้นแล้วไม่ได้เตรียมเปลี่ยนเกียร์รอไว้ก่อน เกิดเครื่องน๊อคปั่นขึ้นไม่ไหว มาเสียความบริสุทธิ์ต้องหยุดรถเข็นที่ใกล้เหมืองกระโสมเก่านี่เอง

ขี่ไม่นานมากหมาป่าก็มาอยู่ตรงคลองที่มีสะพานข้าม นี้เข้าเขตตำบลถ้ำแล้ว ด้านซ้ายมือก่อนถึงสะพานมีเมรุเผาศพแต่ไม่มีวัด ถัดจากเมรุมาก็เป็นที่ทำการของอบต.ตำบลถ้ำที่ตั้งบนตลิ่งสูงติดกับคลอง อาห์...จากข้อมูลที่หามาหมาป่าเพิ่งขี่เลยบริเวณที่เคยเป็นออฟฟิศและโรงล้างแร่

ในหนังสือบอกว่าข้างทางเคยมีเชิงตะกอนเผาศพเก่า เป็นเชิงตะกอนตั้งโดดๆไม่ได้มีวัดอยู่ด้วย ไม่เหมือนกรุงเทพหรือวัดภาคกลางที่ที่เผาศพมักอยู่ในวัด ทางเหนือที่เชียงใหม่ใกล้กับบ้านเก่าย่าหมาป่าก็เคยมีสุสานหายยาที่มีที่เผาศพแต่ไม่ได้อยู่ในวัด ที่นี่ก็เช่นกันครับ นายฝรั่งเคยนั่งรถผ่านตอนค่ำมีศพที่ถูกเผาอยู่แล้วก็มีสัปเหร่อนั่งกินเหล้ารอเลี้ยงไฟศพ แกเห็นแขนของศพหลุดออกมานอกกองไฟแกก็เก็บใส่เข้าไปในไฟใหม่พร้อมบ่นพวกสัปเหร่อว่าไม่ดูแลให้ดี ในหนังสือบอกว่าบ้านพักอาจินต์นั้นอยู่ใกล้กับที่เผาศพจึงเป็นบ้านที่ไม่ค่อยมีใครอยากอยู่จึงตกมาให้อาจินต์อย่างง่ายดาย

เมื่อเห็นเมรุเผาศพหมาป่าก็ปักใจเดาได้ทันทีว่านี่แหละคือสุสานเชิงตะกอนเก่าสมัยที่เหมืองยังอยู่ ปัจจุบันเปลี่ยนจากเชิงตะกอนเปลือยๆมาทำเป็นเมรุของชุมชน

รูปภาพ

ถัดจากเมรุไปก็เป็นที่ตั้งของอบต.ถ้ำ อยู่ตรงตลิ่งมีคลองและมีสะพานข้ามคลอง

รูปภาพ

รูปภาพ

นี่คือคลองครับ

รูปภาพ

เมื่อเห็นคลองด้านข้างและเห็นด้านหลังของที่ทำการอบต. ตรงด้านหลังที่ทำการอบต. ลึกลงตลิ่งด้านหลังไปตรงนั้นจะมีคลองอีกเส้นมาบรรจบกับคลองที่เรามองลงไปจากตรงสะพานนี้ คลองเส้นนั้นที่ปาดผ่านด้านหลังเนินที่ผ่านมา ผ่านด้านหลังของเมรุ ผ่านด้านหลังของอบต.

คลองเส้นนั้นจะเป็นคลองที่ใช้สูบน้ำขึ้นมาล้างแร่ตรงโรงล้างแร่ จากโรงล้างแร่ถัดขึ้นมาก็จะขึ้นมาสู่ออฟฟิศ มันเหมือนกับว่าย่าวดาวน์ทาวน์ของเหมืองมีคลองผ่านด้านล่างเหมือนเป็นฐาน จากคลองก็จะเป็นเนินขึ้นมา ที่ติดคลองก็เป็นโรงล้างแร่ ไล่ขึ้นมาเป็นออฟฟิศ และมีบ้านพักคนงานปลูกกระจายกัน มีถนนที่วิ่งจากตะกั่วทุ่งและผ่านเข้าไปในหมู่บ้านด้านในอยู่สูงถัดขึ้นมา

จุดที่จะบอกว่าเขตของออฟฟิศและย่านบ้านพักคนงานของเหมืองจบที่จุดใดก็น่าจะเป็นตรงเมรุครับ เพราะบ้านอาจินต์อยู่ใกล้เชิงตะกอนเผาศพที่สุด เป็นบ้านที่ไม่มีใครอยากพักเพราะกลัวผี

จากจุดนี้หมาป่าพอจะเดาเพิ่มได้อีกว่าข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามเมรุ ตรงเนินที่ผ่านมานั้นคือเนินที่บ้านของนายฝรั่งเคยตั้งอยู่บนยอดเนิน บ้านสีขาวมีสนามเทนนิสที่ตอนหลังกลายเป็นกรงไก่ เพราะคุณอาจินต์เคยเขียนว่าถนนดินสีแดงคือที่เขตกั้นระหว่างนายกับบ้านพักคนงาน ออฟฟิศ และโรงล้างแร่

รูปภาพ

ถ้ามองย้อนขึ้นไปตรงที่มีต้นไม้ฝั่งซ้ายไกลๆตรงนั้นเป็นเนินครับ ถ้าเราหาทางขึ้นบ้านนายฝรั่งเจอเราจะรู้ตำแหน่งสำคัญในหนังสืออีกสองสามจุดคือร้านโกต๋อง (โกเตี๋ยน นามจริง) ตำแหน่งบ้านพักพี่จอน และบ้านพักของพี่ยิ่งคนขับรถนายฝรั่งและช่างปั๊มน้ำประจำออฟฟิศ คนขับรถนายฝรั่งท่านนี้คุณอาจินต์นับถือมากเขียนไว้ก็หลายตอนในหนังสือ พิกัดนั้นจุดเป็นจุดตายอยู่ที่ทางขึ้นบ้านพักนายฝรั่ง หากหันหน้าขึ้นบ้านนายฝรั่ง ทางซ้ายมือของปากทางคือบ้านพี่จอนหัวหน้าเรือขุด ทางขวามือคือบ้านพี่ยิ่งคนขับรถ ถัดบ้านพี่ยิ่งไปทางขวามืออีกหน่อยคือกระท่อมร้านชำร้านเหล้าร้านกาแฟร้านแบบทรีอินวันของโกต๋อง

หมาป่าขี่ย้อนกลับไปดูแต่หาพิกัดชัดๆยาก มันมีทั้งสวนปาล์มน้ำมัน บ้านพักตำรวจ และป่าหญ้าขึ้นเต็ม บอกไม่ถูกว่าจุดไหนคือเนินที่นายฝรั่งอยู่ เขยิบขึ้นมาหน่อยมีการถากถางที่ มีป้ายติดว่าเป็นเรือนชั่วคราวบ้านกระโสมที่กรมราชทัณฑ์ท่านกำลังสร้างอยู่

รูปภาพ

หมาป่าจูงรถเข้าไปสอบถามเจ้าหน้าที่ที่อยู่ตรงกระท่อม มีอยู่สองท่านอายุสักสี่สิบกว่าๆกับสามสิบกว่าๆ เล่าว่ามาตามหาเหมืองแร่เก่าและหาเนินที่เคยเป็นบ้านพักผู้จัดการเหมือง แต่ก็เข้าใจว่าด้วยอายุของเจ้าหน้าที่ท่านคงตอบไม่ได้มาก ท่านยิ้มแย้มแจ่มใสอัธยาศัยดีครับ ท่านบอกว่าที่ตรงนี้กับอ้อมเนินไปด้านหลังเป็นที่ราชพัสดุ ตอนนี้กำลังถากถางก่อสร้างเรือนพักของนักโทษให้เป็นแบบเรือนจำเปิด คงใช้กักขังนักโทษที่จวนพ้นโทษแล้วไม่ต้องอยู่หลังกำแพงสูงแบบเรือนจำปกติ ท่านเองก็ไม่ทราบสิ่งที่หมาป่าตามหาเหมือนกัน หมาป่าเอ่ยปากขอลุยเข้าไปดูด้านหลังอีกได้ไหม เผื่อว่าจะเจอเนินบ้านนายฝรั่ง ท่านก็ตอบยิ้มแย้มเหมือนเดิมว่าไม่ได้ครับ...นี่เป็นเขตทัณฑสถานเป็นเขตหวงห้าม หากไม่ใช่ผู้คุมหรือนักโทษไม่สามารถผ่านได้ ฮะฮะฮะ หมาป่าก็ต้องขอบคุณและถอยออกมาสิครับ

จาก “กลับไปสู่เหมืองแร่” ที่คุณอาจินต์เขียนไว้เมื่อปี 2518 ท่านเหมาสองแถวจากตะกั่วทุ่งมายังจุดนี้และขอแวะลงคนเดียว ปล่อยให้เพื่อนๆคนรู้จักที่ติดรถมานำหน้าไปก่อนโดยให้ไปรวมกันที่สถานีอนามัยสร้างใหม่ (สมัยนั้น) ของตำบลถ้ำ ที่อยู่ข้างหน้า

ท่านขอลงเดินเงียบๆตรงนี้รำลึกความหลังอยู่คนเดียว ก่อนจะเดินไปสมทบกับเพื่อนภายหลัง ถนนตอนนั้นยังเป็นถนนดินไม่ได้ลาดยางเหมือนปี 2557 ตอนนั้นต้นไม้ปกคลุมทางขึ้นบ้านและเนินที่ตั้งบ้านนายฝรั่งหมดแล้ว ท่านคิดอะไรนั้นคงพอเดากันได้ ความหลังความทรงจำคงย้อนผ่านเข้าไปในห้วงคิดของท่าน เหมืองแร่ ผู้คนชาวเหมือง สภาพภูมิอากาศ งานหนัก ความเหงา ความทรงจำหลากหลายที่หลอมรวมกันเป็นวัตถุดิบให้ท่านนำไปเขียนหนังสือ เป็นเหมืองแร่แห่งงานเขียนที่ให้ท่านขุดใช้นานนับสิบๆปี หมาป่าผู้ตามรอยมาทีหลังนึกตื่นเต้นเช่นไรกับสถานที่จริงรอบตัวแต่ก็คงเทียบไม่ได้กับความหลังความอาวรณ์ความทรงจำที่ทะลักกลับมาในอารมณ์ของคุณอาจินต์ตอนที่ท่านกลับมาที่นี่ครั้งแรก

หมาป่าตั้งใจว่าจะขี่ขึ้นไปที่หน้าสถานีอนามัยตำบลถ้ำ ไปเริ่มแกะรอยตัวละคอนอีกคนตรงนั้นครับ

ปี 2518 คุณอาจินต์กลับไปตามรอยไอ้ไข่ ลูกน้องสนิทที่ถือข้าวของไปทำงานรังวัดแผนที่ด้วยกัน ยี่สิบสองปีผ่านไปหลังเหมืองล่มไอ้ไข่กลายเป็นช่างเครื่องยนต์ ทำงานตามเหมืองฉีดเล็กๆหรือที่เหมืองใหญ่ในภูเก็ต ไอ้ไข่ยังอยู่ดีตอนปี 2518 หรือแม้แต่ตอนปี 2546-47 ที่กองถ่ายหนังมหา’ลัยเหมืองแร่ ลงมาที่คุระบุรี และแวะพาคุณอาจินต์กับนายไข่ให้ได้มาพบกันอีกครั้ง

ภาพชายชราสองท่านเดินประคองกันไปในบริเวณที่เคยเป็นเหมืองยังอยู่ตอนท้ายของภาพยนตร์ครับ นี้เป็นโปสเตอร์หนังที่เน้นภาพอาจินต์และไอ้ไข่ ท่านที่เคยดูหนังหรืออ่านหนังสือ คงจำตัวละคอนหลักผู้ทะลึ่งและปากกล้าเรียกเสียงหัวเราะคนนี้ได้ดี

รูปภาพ

หมาป่ายังหวังลึกๆว่านายไข่ตัวจริงยังมีชีวิตอยู่

ข้อความจากในเนตที่ค้นหาดูเขียนโดยผู้ที่รักนิยายเหมืองแร่และออกเดินทางมาตามหาเขาเขียนเล่าว่าตัวจริงของนายไข่ไม่ได้ชื่อไข่ แต่คุณอาจินต์ได้บิดชื่อไปเช่นกัน ตัวจริงของนายไข่ชื่อ แอ้ม ครับ นายแอ้ม ทองสกุล

นั่งนับอายุเทียบกับในหนังสือนี้ลุงแอ้มน่าจะอายุแปดสิบกว่าแล้ว ประมาณแปดสิบเอ็ดนะครับ

อาจินต์เดินไปสมทบกับเพื่อนที่อนามัยตอนปี 2518 แล้วก็ไปตามหาจนเจอนายแอ้มลูกน้องเก่า นายแอ้มยังมีบ้านอยู่แถบนี้ หมาป่าคิดว่าถ้าเริ่มจากคนแถวสถานีอนามัยต้องมีคนเก่าแก่บางคนรู้จักลุงแอ้ม ทองสกุล และชี้ทางหมาป่าให้ไปหาได้แน่นอนครับ

ขี่ข้ามสะพานขึ้นมาไม่นานก็มาถึงสถานีอนามัยตำบลถ้ำ

รูปภาพ

หมาป่าขี่เลยไปก่อนเพราะอยากไปดูเส้นทางว่าทางลาดยางนี้จะไปถึงตรงไหน เส้นทางตัดขึ้นเขาสลับกับหมู่บ้านและวัด สงบเงียบครับ มีทางชันบ้างแต่ไม่หนักหนาใช้จานกลางก็ยังไปได้เรื่อย สองข้างทางกลายเป็นสวนยางสวนปาล์มน้ำมันหมดแล้ว ขี่เข้าไปลึกพอสมควรเริ่มมีภูเขาใหญ่ขึ้นและมีปากทางเข้าสู่นิคมสร้างตนเอง มีอาสาสมัครทำนองอพปร. นั่งคุยกันในเรือนพักทางเข้าหมาป่าถามว่าไปต่ออีกไกลไหม เขาบอกว่าไปได้เรื่อยๆ บางทีก็มีฝรั่งขี่จักรยานเข้ามาเหมือนกัน แต่หมาป่าพอแล้วล่ะครับ จึงขี่ย้อนกลับไปตั้งต้นตามหาลุงแอ้มที่หน้าอนามัยตำบลถ้ำ

ที่หน้าอนามัยหมาป่าหยุดที่ร้านชำฝั่งตรงข้าม นี้เป็นการแกะรอยคุณอาจินต์เมื่อปี 2518 เพราะท่านเขียนว่าหน้าอนามัยที่สร้างใหม่มีร้านชำ แกสั่งเหล้ามาเลี้ยงเพื่อนๆเก่าที่เคยทำงานด้วยกันในเหมืองที่ร้านนี้ หมาป่าสั่งเบียร์ลีโอทำนองตามรอยให้ใกล้เคียง (จะสั่งสิงห์แต่ร้านเขาไม่ได้สต๊อคไว้)

ถามหนุ่มเจ้าของร้านว่าร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 2518 เลยใช่ไหม น้องบอกเพิ่งเปิดมาไม่กี่ปีครับ อืมม์หมาป่านึกทวนและนึกขึ้นได้ว่าโรงพยาบาลสุขภาพชุมชนหรืออนามัยนี้ก็น่าจะสร้างใหม่ไม่กี่ปีมานี้เช่นกันเพราะทรงตึกยังไม่เก่ามาก มองย้อนลงไปก็เห็นอาคารเล็กที่เป็นอาคารอนามัยตำบลถ้ำที่สร้างขึ้นไม่นานช่วงปี 2518 ตอนนี้เก่าแล้วครับ กระทรวงสาธารณสุขย้ายตัวอนามัยมาสร้างใหม่และใช้อาคารเดิมเป็นที่ทำการอื่นที่มิใช่หมอและพยาบาลนั่งทำงานตรวจคนไข้ นั่นก็แสดงว่าร้านเหล้าเดิมและอนามัยเดิมอยู่ถัดลงไป ร้านเหล้าตอนนี้ไม่มีแล้วล่ะครับ คงเลิกกิจการไป

รูปภาพ

หมาป่าจิบเบียร์แล้วก็มีคุณลุงคนหนึ่งเข้ามาทักทายคุยด้วย บ้านแกอยู่ติดๆกับร้านชำครับ คุณลุงประสิทธิ์ ฉายแสง

รูปภาพ

ลุงประสิทธิ์พูดใต้เร็วรัวปรื้ดเหมือนจรวดเลยล่ะครับ สำเนียงใต้ที่เราฟังเวลาเอกชัย ศรีวิชัยพูดบนเวที หรือเวลาตลกเอามาเล่นตามทีวีนั้นถือว่าอ่อนเบามาก เจอของจริงนี้เข้าไปหมาป่าฟังออกสัก 30-40 % เท่านั้นแหละ

ถามแกว่านามสกุลเหมือนฉายแสงนี้เหมือนนักการเมืองแถบจังหวัดฉะเชิงเทรา คุณลุงมีญาติพี่น้องทางนั้นหรือครับ ลุงบอกว่าปู่หรือพ่อของลุงที่หมาป่าฟังไม่ชัดเป็นคนฉะเชิงเทราแล้วรับราชการทหารย้ายลงมาประจำที่ปักษ์ใต้ จากนั้นก็มีลูกมีเมียตั้งรกรากอยู่ที่พังงานี่ คุยกันเพลินแบบฝ่ายหนึ่งรู้เรื่องสี่สิบเปอร์เซ็นต์แต่ก็หัวเราะกันไปครับ

ถามลุงว่ารู้จักลุงแอ้ม ทองสกุลไหมครับ

ก็ได้การครับ ลุงประสิทธิ์บอกวันก่อนก็ยังเจอกัน ลุงแอ้มยังแข็งแรงดียังเอ่ยปากแซวสาวด้วยกันอยู่เลย บ้านลุงแอ้มอยู่ตรงขุมมุดให้ขี่ลงไปที่สะพานใกล้กับอบต.ถ้ำที่ขี่ขึ้นมาแล้วเลี้ยวขวาเลียบคลองไป มันจะตรงไปขุมมุด ไปถามคนแถวนั้นต่อใครๆก็รู้จักลุงแอ้ม

อาห์ได้การมากเลยครับ หมาป่ารู้สึกว่าภารกิจตามรอยเหมืองแร่วันนี้สมบูรณ์ได้ไม่ยากแน่นอน เบียร์หมดเอ่ยปากลาลุงประสิทธิ์แล้วก็ขี่ลงมาตามลายแทงจากปากลุงครับ

หักขวาก่อนถึงสะพาน (แต่ถ้ามาจากตะกั่วทุ่งนั้นต้องข้ามสะพานแล้วเลี้ยวซ้าย) หมาป่าขี่ไล่เลาะไปเรื่อย ถามทางคนข้างทางว่าขุมมุดไปข้างหน้าก็ขี่ต่อ สักพักก็มาเจอทางบอกเข้าขุมมุด

รูปภาพ

หมาป่าเบี่ยงขวาขี่เข้าไปในถนนชุมชนผ่านสวนยาง

รูปภาพ

แป๊บเดียวก็มาโผล่กลางหมู่บ้าน มีบ้านตั้งห่างๆกัน หลังหนึ่งมีช่างก่อสร้างต่อเติม เอ่ยปากถามบ้านลุงแอ้ม เขาบอกเมื่อกี้ยังเดินมาซื้อของแล้วก็ชี้ทางเลี้ยวไปเลี้ยวมา ในที่สุดก็มาถึงบ้านปิดเงียบหลังนี้แหละครับ บ้านนายแอ้ม ทองสกุล หรือไอ้ไข่ลูกน้องอาจินต์ช่างแผนที่ในหนังสือ

รูปภาพ

หมาป่าด้อมๆมองๆอยู่สักพักก็มีพ่อหนุ่มบ้านข้างๆมาถามว่ามาหาใคร ตอบว่ามาหาลุงแอ้ม หนุ่มบอกแกออกไปข้างนอกเดี๋ยวคงกลับมา มาหาทำไมหรือครับ? หมาป่าเลยแถลงว่ามาตามรอยหนังสือ มาหาลูกน้องเก่าอาจินต์คนที่เคยแสดงหนัง พ่อหนุ่มคงดูแล้วว่าหมาป่าไม่มีพิษมีภัยแน่จึงเดินไปเคาะประตูตะโกนเรียกลุงแอ้มซึ่งที่จริงแกก็นอนพักอยู่หลังบ้านนั่นแหละครับ มีคนแปลกหน้ามาถามหาคนที่บ้าน พ่อหนุ่มนี่ต้องไว้เชิงมีลีลาตั้งหลักตั้งท่าไว้ก่อน ซึ่งเข้าใจได้ครับ นี่ครับตัวลุงแอ้มกับบ้านลุงแอ้มแบบเห็นเต็มๆหลัง

รูปภาพ

ลุงแอ้มพอรู้ว่าหมาป่ามาด้วยแรงใจจากหนังสือแกต้อนรับอย่างดี เรานั่งคุยกันด้วยภาษากลางและภาษาใต้ สปีดภาษาใต้นั้นไม่น้อยหน้าลุงประสิทธิ์ตรงอนามัยเช่นกัน

เอาน้ำเอาท่ามาเลี้ยงดูกัน พ่อหนุ่มที่มาทักมาถามตอนแรกนั้นคือหลานชายลุงแอ้ม ลุงแอ้มตะโกนให้ลูกชายอีกคนไปหาซื้อเอ็ม 150 มาให้กินเพราะว่าเห็นขี่มาไกลนักหนา ลุงแอ้มคิดอะไรได้อย่างหนึ่งแล้วแกก็เดินไปเอากระเป๋าสตางค์ในบ้านมาควักนามบัตรอาจินต์ที่คุณอาจินต์ให้ไว้ตอนเจอครั้งหลังสุด แกเก็บติดกระเป๋าไว้ ชวนว่าเราโทรหาอาจินต์กันไหม

รูปภาพ

หมาป่ายั้งว่าโทรก็ไม่น่าจะเจอครับ เพราะหมาป่าอ่านเฟซบุ๊คคุณอาจินต์ ท่านมักไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านไร่ตากอากาศที่ปลูกไว้ที่เมืองกาญจน์เป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยได้อยู่บ้านกรุงเทพ

คุยกันครึกครื้นแบบหมาป่าเก็ทคำพูดใต้ได้ไม่ทุกคำ ลุงแอ้มเรียกคุณอาจินต์ว่าอาจินต์ ไม่ได้เรียกว่านายช่าง

มีช่วงหนึ่งของชีวิตหลังปี 2518 มาแล้ว ลุงแอ้มป่วยเป็นแผลหรือฝีที่ขาทำท่าจะติดเชื้อลุกลาม ลุงแอ้มก็ได้อาจินต์ช่วยให้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลในกรุงเทพ มาส่งข้าวส่งน้ำตอนอยู่โรงพยาบาลออกค่าใช้จ่ายให้หมด

ลุงแอ้มไปบวชอยู่ช่วงหนึ่งที่วัดกะไหล สึกมาได้สักหกปีกว่า ณ วันที่หมาป่ามาหา

ลุงแอ้มพูดเล่าเรื่องคุณอาจินต์หลายเรื่อง เสียดายหมาป่าฟังไม่ค่อยชัดน่ะครับเลยไม่ค่อยได้เรื่องอะไรเพิ่มเติมจากที่ถูกเขียนในหนังสือ

เมียลุงแอ้มก็ยังมีชีวิตอยู่แต่วันนี้ไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลในพังงาเพราะเบาหวานขึ้นตา ลูกๆหลานๆลุงแอ้มก็ปลูกบ้านอยู่ติดๆกัน ตอนนี้มีเหลนซึ่งเป็นลูกพ่อหนุ่มคนที่หมาป่าเจอเป็นคนแรกแล้วด้วยซ้ำ

คุยเรื่องการเมืองที่วุ่นๆกันทางกรุงเทพนิดหน่อย หลานชายถามว่าน้าไปม๊อบมาบ้างหรือเปล่า ผมตีรถขึ้นไปสองครั้งแล้ว หมาป่าไม่ได้ตอบมากครับแค่ปลิ้นนกหวีดที่คล้องติดตัวไว้ออกมาจากคอเสื้อให้ดูก็เป็นอันเข้าใจกัน

ลุงแอ้มชวนหลายครั้งว่าคืนนี้พักค้างคืนที่นี่นะมาตั้งไกล หมาป่าบอกว่าไม่เป็นไรดอกครับ ผมต้องเข้าพังงาตามที่กะไว้บ่ายนี้ เจอลุงนี้ก็ดีใจมากแล้ว

รูปภาพ

นี้เป็นคลองข้างบ้านลุงแอ้ม แกเล่าว่าเมื่อก่อนเรือขุดก็ขึ้นมาตามแนวคลองนี้ ต่อขึ้นไปบางทราย ชีน้อย ก่อนจะเลิกกิจการไป คนหนุ่มนั่นคือหลานชาย ผู้หญิงคือลูกสาวคนหนึ่งของลุงแอ้มอุ้มหลานชายลูกของพ่อหนุ่มและเด็กก็เป็นเหลนลุงแอ้ม คลองนี้หน้าน้ำน้ำจะขึ้นสูงกว่านี้มาก ไม่แห้งผากแบบในหน้าแล้งเช่นนี้ครับ

รูปภาพ

ก่อนร่ำลาลุงแอ้ม หมาป่าถามคำถามสำคัญที่ลุงแอ้มน่าจะตอบได้ดีที่สุด

หมาป่าเล่าว่าขี่ผ่านเมรุมาก็รู้ว่าผ่านบริเวณที่เคยเป็นออฟฟิศและโรงล้างแร่ที่อยู่ต่ำกว่าถนนลงไป ว่าแต่บ้านนายฝรั่งที่อยู่บนเนินนั้นอยู่ช่วงไหนนะ รู้เส้นทางบ้านนายฝรั่งก็พอจะกะสถานที่สำคัญในหนังสือได้เกือบหมด

ลุงแอ้มเฉลยว่าบ้านนายฝรั่งอยู่บนเนินที่ตอนนี้เป็นบ้านพักของตำรวจ สภ. ตะกั่วทุ่งนั่นแหละครับ ตอนนี้พิกัดต่างๆชัดเจนมากแล้วครับ

หมาป่าขี่ลาลุงแอ้มและครอบครัวออกมา และคราวนี้ก็มุ่งไปยืนไปเหยียบไปพล็อตจุดตรงทางที่ผ่านมาครับ

นี้แหละครับทางขึ้นบ้านพักตำรวจ จากปากคำลุงแอ้มบ้านพักนายฝรั่งขึ้นไปตรงนี้ หากเรานึกถึงว่าทำไมบ้านพักตำรวจมาตั้งตรงนี้ก็เห็นความสอดคล้องของข้อมูลนะครับ นั่นคือบริษัทเหมืองแร่ได้สัมปทานจากรัฐบาลไทย และได้อนุญาตให้ใช้ที่บริเวณนี้สร้างบ้านพักผู้จัดการเหมือง เมื่อเหมืองเลิกกิจการที่ดินก็คงกลับไปเป็นของรัฐบาล แล้วก็ตกทอดกลับมาให้เป็นที่สร้างบ้านพักตำรวจได้ในที่สุด สภ.ตะกั่วทุ่งนั้นอยู่ริมถนนใหญ่สายบายพาสส์แต่ตัวบ้านพักเข้ามาปลูกอยู่ในทางเข้าเหมืองนี้

รูปภาพ

ตรงก่อนปากทางเข้านั่นเป็นบ้านของพี่จอนชื่อจริงชื่อพี่เลียม ตรงจุดที่หมาป่าจอดรถเห็นไกลๆนั่นเป็นบ้านพี่ยิ่ง พี่บุญยิ่ง ธรรมมะ หมาป่าเขียนข้อความถามลุงอาจินต์ในเฟซบุ๊คหลังจากกลับจากทริปแล้วว่าพี่บุญยิ่งนี้เป็นนามจริงหรือนามแฝง ลุงอาจินต์บอกว่าชื่อนี้เป็นนามจริง ชื่อเดียวกันกับที่ใช้ในหนังสือ

นี่เป็นจุดบ้านพี่บุญยิ่งถ่ายใกล้ๆ เลยถัดไปหน่อยนั่นคือสถานที่สำคัญยิ่งอีกแห่งในหนังสือ ที่ตั้งร้านโกต๋องนามจริงโกเตี๋ยนที่หมาป่าไปเยี่ยมครอบครัวลูกหลานมาเมื่อช่วงเช้าครับ

รูปภาพ

เห็นโค้งที่เลยไปนั่นทอดลงเนิน ในหนังสือเขียนว่าเมื่อมีรถขนคนงานขึ้นมาก็ต้องเร่งเครื่องสู้แรงกับทะเลโคลนของผิวถนนในหน้าฝน แต่ห้ามบีบแตรเสียงดังเพราะเสียงจะไปกวนนายฝรั่งที่อยู่บนเนิน

หมาป่าขี่ขึ้นมาบนเนิน ตรงนี้เมื่อก่อนเป็นทุ่งหญ้ารายรอบเนินครับ นายฝรั่งจะประมูลให้มีคนมารับเหมาเผาหญ้าปีละครั้ง เมื่อเราอยู่บนเนินเมื่อมองลงไป ตรงข้ามถนนลงไปนั้นคือที่ที่ออฟฟิศเหมืองแร่ตั้งอยู่ โรงล้างแร่ก็อยู่ด้านล่างลงไปอีกติดกับคลองหรือลำธารด้านล่างซึ่งเรามองจากตรงนี้ไม่เห็นด้วยว่าต้นไม้มันบังอยู่ ตอนนี้สองจุดที่ว่าเป็นเขตบ้านคนกันหมดแล้วหมาป่าเลยไม่ได้ไปเดินลุยดู เกรงใจเขาน่ะครับ อีกอย่างก็เชื่อว่าไม่น่ามีซากอะไรหลงเหลืออยู่แล้วหลังจากผ่านมาหกสิบเอ็ดปี

รูปภาพ

รูปภาพ

ตรงที่ป่าหญ้าบนเนินนี้ เดาว่าคงเป็นบ้านที่ตั้งบ้านนายฝรั่งครับ

รูปภาพ

รูปภาพ

เอาล่ะครับ หมดจากจุดนี้ภารกิจตามรอยเหมืองกระโสม ทิน เดรดยิง ของหมาป่าบรรลุเรียบร้อย พันกิโลเมตรเศษๆที่ขี่มา เส้นทาง ผู้คน แสงแดด อากาศ ความเหนื่อยล้า เบียร์ตอนเย็นเป็นความอิ่มเอมหัวใจนักจักรยาน มาเจอสถานที่ตั้งของเหมือง เจอชาวเหมืองเก่า เจอร่องรอยของหนังสือเล่มโปรด ของหนังในดวงใจ นี้ก็อิ่มเอมหัวใจนักอ่านและแฟนหนังครับ คนรักหนังสือชุดเหมืองแร่ของอาจินต์เหมือนหมาป่าคงเข้าใจได้ว่าเช้าต่อจนบ่ายของวันที่ 12 มีนาคม 2557 นี้หมาป่ารู้สึกดีเช่นไรบ้างนะครับ

ที่เหลือจากนี้หมาป่าถือว่าเป็นโบนัสแล้วครับ ขี่ออกมายังปากทางเข้าเหมืองกระโสมต่อกับเพชรเกษม บ่ายแล้วและเริ่มหิว เลี้ยวซ้ายขี่ขึ้นไปทิศเข้าเมืองพังงา หมาป่าแวะกินกะเตี๋ยวราดหน้าตรงร้านฝั่งตรงข้ามสถานีตำรวจปัจจุบันของตะกั่วทุ่งที่ตอนนี้อยู่บนเส้นเพชรเกษมเส้นหลักเลี่ยงตัวอำเภอดังเดิมออกมา เป็นสถานีตำรวจแห่งที่สามของอำเภอแล้วล่ะครับ (เว้นแต่ว่าเมื่อโบราณก่อนหน้านั้นเคยมีสถานีตำรวจที่เคยตั้งอยู่ก่อนที่เดิมที่เคยอยู่ตรงข้ามที่ทำการอำเภอ นั้นก็จะทำให้ลำดับมากกว่าสาม)

รูปภาพ

กินมื้อเที่ยงเสร็จขี่อีกยี่สิบกว่ากิโลเมตรก็ถึงพังงาครับ

ข้างทางหมาป่าเห็นภูเขาหินปูนสวยสง่าแบบภาพเขียนภู่กันจีนแถบทะเลอันดามันเยอะขึ้น หมาป่าแวะหากาแฟจิบในเมืองพร้อมหาที่พักไปด้วย เจ้าของร้านกาแฟผู้หญิงแนะนำรีสอร์ทที่พี่ชายทำอยู่ ขี่มาแถวตัวเมืองที่มีเนิน ชื่อว่าพังงาเฮาส์ ห้องพักเก๋ผิดกว่าบังกะโลรายทางที่ผ่านมา เสียอยู่นิดสำหรับนักจักรยานขี้เกียจคือปากทางเข้าก็อยู่บนเนิน แต่ต้องขี่ขึ้นเนินขึ้นไปอีกสักสองสามร้อยเมตร ชันระดับจานสองเฟืองสี่ขี่หนืดๆขึ้นไปน่ะครับ

หมาป่าเอาของเข้าห้องแล้วจะขี่ลงมาหาข้าวเย็นกิน (นึกถึงตอนกินเสร็จแล้วต้องขี่ขึ้นอีกรอบก็ให้อยากสั่งผัดกระเพรามากินในห้องแทน)

ถามคนเฝ้าห้องว่ารู้จักโรงแรมเก่าที่ตั้งโดดอยู่นอกเมืองไหม คือจะไปตามหาโรงแรมในเรื่อง Wonderful Town ที่ค้างไว้จากตอนอำเภอตะกั่วป่าน่ะครับ คนเฝ้าห้องบอกมีโรงแรมนึงอารมณ์ใกล้ที่ว่ามา อยู่ขึ้นไปทางเหนือของตัวเมือง ชื่อว่าโรงแรมหลักเมือง 1 ติดกับปั๊มเชลล์ หมาป่าขี่ไปก็เจอโรงแรมในหนังจนได้ในที่สุดครับ

นี้เป็นมุมเดียวกับพระเอกมองเห็นโรงแรมตอนต้นเรื่องตอนที่กำลังเติมน้ำมันรถเลย ก่อนที่จะเดินเข้ามาถามหาห้องพักกับนางเอกที่ฟุบหลับกับเคาน์เตอร์อยู่

รูปภาพ

หมาป่าคุยกับคนเฝ้า ท่าทางจะมีแฟนหนังเคยมาตามหาโลเกชันนี้หลายคน แกเอื้ออารีย์บอกให้เดินขึ้นไปดูข้างบนได้เลย จะดูที่ดาดฟ้าเลยก็ได้
นี้เป็นโถงกะไดในโรงแรม

รูปภาพ

รูปภาพ

หมาป่าไต่ขึ้นมาจนถึงดาดฟ้าที่เป็นฉากพระเอกจีบนางเอกตอนเก็บผ้าน่ะครับ

รูปภาพ

อันนี้มุมใกล้เคียงกับโปสเตอร์หนังเลยเชียว

รูปภาพ

คุณอาทิตย์ อัสสรัตน์ผู้กำกับและคนเขียนบทเรื่องนี้ แกบอกว่า จุดที่ก่อประกายให้แกเขียนบทและหาทางสร้างหนังก็เพราะแกมาเห็นตึกโรงแรมนี้ แกชอบและทำให้นึกผูกเรื่องไปถึงเมืองเหงาๆที่ผู้คนมีบาดแผลในชีวิตที่เมืองตะกั่วป่า นั่นแหละครับที่หมาป่าอ่านเบื้องหลังหนังมา

ก็อิ่มเอมใจคนรักหนังแบบหมาป่ากันพอชุ่มชื่นครับ ได้มาเจอสถานที่ถ่ายทำหนังที่ชอบอีกเรื่อง หมาป่าลาคนเฝ้าโรงแรม ขี่ออกมาหาข้าวกินในเมืองและขี่ขึ้นเนินกลับไปนอนที่พังงาเฮาส์ตอนค่ำๆ เข้านอนหมดวันที่น่าจดจำที่สุดของทริปนี้ วันนี้ไมล์สะสมรวมอยู่ที่ 1,080 กม.

พฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม 2557 วันที่สิบสี่


เช้านี้หมาป่าตื่นเช้าเกินเหตุไปหน่อย ตื่นตั้งแต่ตีสามเข้าห้องน้ำแล้วก็นอนต่อไม่หลับ

วันนี้หมาป่าจะเริ่มขี่จากพังงามุ่งไปพัทลุงไปหานักจักรยานท่านหนึ่งในเวปนี้คือครูสนั่น อันทเกตุ หมาป่าเคยรู้จักครูสนั่นหรือครูหมูมาก่อนในเวปเฉพาะทางอีกเวปหนึ่งที่ไม่ใช่เวปจักรยาน เคยเขียนกระทู้แลกเปลี่ยนความรู้หรือแซวกันเล่นมาเรื่อย ต่อมาจนถึงเวป Thaimtb นี้

เคยตั้งใจว่าจะขี่ลงมาเยี่ยมครูหมูที่พัทลุง แต่ยังไม่ปักใจแน่นอนว่าจะรวบเป็นทริปเดียวกับทริปนี้ได้หรือไม่ เพราะไม่แน่ใจตัวเองว่าถ้าไปถึงเหมืองกระโสมแล้วสภาพร่างกายจะดีเลวแค่ไหน กะว่าถ้าโทรมมากก็จะตัดออกจากพังงาไปขึ้นรถไฟกลับที่สุราษฏร์ แต่ถ้ายังไหวก็จะลงไปถึงพัทลุงเสียในทริปเดียวกัน ด้วยวันข้างหน้านั้นไม่แน่ว่าช่วงเวลาที่จะลางานได้ยาวขนาดนี้จะมีอีกบ่อยๆหรือไม่ หรือไม่ก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะมีแรงหรือไม่ด้วย เช็คอาการตัวเองแล้วก็คิดว่าไปพัทลุงก็น่าจะไหว วันนี้หมาป่าเลยปักใจแน่แน่วว่าจะจบทริปขึ้นรถไฟกลับจากพัทลุง ขอขี่ไปเจอครูหมูเจอตัวเป็นๆให้สมศักดิ์ศรีนักจักรยานด้วยกัน

จากพังงาหมาป่าวางแผนไว้ว่าสองวันข้างหน้าจะเป็นสองฮอปก้าวกระโดดใหญ่ คือขี่ข้ามจังหวัดไปพักที่กระบี่ และจากกระบี่จะเข้าตรัง วันที่สามนั่นแหละจะขี่ผ่านเขาพับผ้าเข้าไปหาครูหมูที่บ้านพักตำบลแม่ขรี อำเภอตะโหมด จังหวัดพัทลุง ไม่พักอำเภอย่อยกันแล้ว

ก่อนออกนอกเมืองพังงาหมาป่ามาแวะถ่ายรูปที่ศาลากลางเก่าที่ข้างเขาช้าง ศาลากลางสวยเฉียบครับ จังหวัดบูรณะไว้อย่างดี

รูปภาพ

รูปภาพ

วันนี้ผลจากการตื่นเช้านอนน้อย หมาป่าขี่แล้วเพลียๆครับ ถนนกว้างใหญ่ขี่มาเจอแดดแรงลมแรงเพราะทางมันเปิดกว้างรับลม

เข้าทับปุดกินข้าวสายมื้อที่สองของวัน จากทับปุดถนนเริ่มแคบเป็นสองเลนสวน ช่วงที่เข้าเขตกระบี่แล้วนั้นเขาเริ่มชันกินแรงมากขึ้นอีก ข้างทางมีเขาหินปูนแบบที่ต่อเนื่องมาจากชายฝั่งพังงา เขาแบบนี้หมาป่าว่ามันสวยกินใจที่สุด เคยนั่งเรือออกไปกลางทะเลตรงชายฝั่งกระบี่ครั้งแรกเห็นเขาพวกนี้ตามเกาะตามชายฝั่งแล้วมันสดชื่นบอกไม่ถูกครับ ยิ่งอยู่กับทะเลสีเขียวมรกตแถบอันดามันยิ่งงาม หมาป่าว่าภูเขาหินปูนทรงแบบนี้สวยกว่าเขาแถบภาคเหนือนะครับ

รูปภาพ

เขาชันช่วงกระบี่กับพังงานี้จำได้ว่ามีแอ่งตัว U ด้วยนะครับ ขี่ลงมาสนุกมาก แต่จะเสี่ยงกว่าแอ่งตัว U บนเขาใหญ่เพราะรถที่วิ่งไปมามีเยอะกว่ามาก จะสนุกตอนทิ้งตัวลงมาต้องมองให้ดีว่าไม่มีรถ ไม่อย่างนั้นถ้ามีลมตัดข้างพัดเราเข้าหาตัวรถนี่ก็จบเกมส์ครับ

ยิ่งช่วงออกจากอ่าวลึก รถราเริ่มเยอะขึ้นจนเห็นได้ชัด หมาป่าแวะกินข้าวร้านแกนไม้ตรงอีกสัก 20 กม.ก่อนเข้าตัวเมืองกระบี่ร้านนี้อร่อยมากครับ แกงเผ็ดปลาดุก กินกับไข่เจียว เครื่องแกงข้นหนับเผ็ดได้ใจแบบปักษ์ใต้

และช่วงบ่ายแก่ก็ขี่ขึ้นทางกว้างที่ตัดผ่าขึ้นเขาตรงช่วงเลยสถานีวิจัยยางกระบี่มา ทางชันต้องสับเกียร์สับเฟืองลงรับสู้กับแรงดึงดูดโลกหนักที่สุดของวัน แต่ความพิเศษคือต้นไม้ใหญ่ป่าไม้สองข้างทางเขียวครึ้ม เขียวร่มเย็นทั้งกายทั้งสายตาและหัวใจ จนขี่ทิ้งตัวลงมาด้านล่างถึงเข้าใจว่าทำไมต้นไม้มันเขียวทึบดีจังเพราะด้านล่างนั้นเป็นสำนักงานป่าไม้กระบี่ที่ตั้งอยู่ด้านขวามือครับ

หมาป่าขี่เข้าเมืองกระบี่ ในตัวเมืองนั้นเนินก็ยังเยอะ จนมาถึงดาวน์ทาวน์ที่เลียบฝั่งทะเล

กระบี่เจริญขึ้นมากกว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนจนหมาป่าจำแทบไม่ได้ เมื่อราวปีช่วงปี 2530 กว่าๆ ถึงราวๆปี 2541-42 หมาป่าชอบลงมาเที่ยวกระบี่ช่วงหลังคริสต์มาสและอยู่ยาวไปจนหลังปีใหม่แทบทุกปี สมัยนั้นหมาป่ากับเพื่อนต้องขึ้นรถไฟหรือเครื่องบินไปลงที่ตรังแล้วต่อแท็กซี่ป้ายดำมาจากตรังด้วยว่ากระบี่ยังไม่มีสนามบิน

เราจะนั่งเรือหางยาวจากตัวเมืองกระบี่หรือไม่บางทีก็จากอ่าวนางไปพักที่หาดไร่เลย์กัน หาดไร่เลย์ตอนนั้นยังเป็นสวรรค์ของฝรั่งแบคแพคอยู่ แต่มายุคหลังนี่ความเจริญเยอะขึ้นบังกะโลอัพเกรดเป็นที่พักหรูกันไปหมด และหลังจากที่หมาป่ากลับไปหลังสุด ที่ขับรถลงมาเองและขับไปชนรถอีกคันที่แถวชุมพรก็ไม่ได้มาใช้เวลาช่วงปีใหม่ที่นี่อีกเลย

ดาวน์ทาวน์กระบี่สมัยนั้นมีแนวตึกไม่กี่แนว ห้างประจำจังหวัดเหงาๆ แต่ตอนนี้ย่านนั้นมีโรงแรมมีห้องพักให้นักท่องเที่ยวเต็มไปหมดเลยครับ คึกคักกว่าเดิมหลายเท่าตัว

หมาป่าขี่มาเรื่อยๆจนเห็นบังกะโลติดพื้นราคา 650 บาทชื่อ Flora ก็แวะเข้าไปถามห้องพัก ได้นอนที่นี่แหละครับ ว่าแต่ผนังห้องมันบางไปหน่อย นอนๆอยู่ตอนสักตีสองมีห้องข้างๆมีแขกมาเปิดห้องพัก เขามากันหลายคนเสียงจ๊อกแจ๊กดังข้ามมาหาหมาป่าผู้หลับกำลังเพลินๆ นึกในใจว่าจะหลับต่อได้ไหม แต่โชคดีว่าหลับได้ เสียงมีทั้งผู้ชาย หญิงแก่ หญิงวัยรุ่น รวมกันมากกว่าสี่คนแน่นอน จำได้ติดใจว่าเสียง LINE ในโทรศัพท์ของห้องข้างๆมันดังตึ๊งหน่องตึ๊งหน่องเกือบตลอดก่อนจะผลอยหลับไปอีกรอบ

มื้อค่ำนั้นหมาป่าไปกินข้าวร้านน้องเจนที่มาจากในเมืองก่อนถึง Tesco อาหารอร่อยมากแต่พ่อครัวค่อนข้างเสียงดัง เอ็ดตะโรลูกจ้างในร้านวุ่นไปหมด คงเป็นคาแรกเตอร์ประจำน่ะครับ หมาป่านั่งอ่านหนังสือรอกับข้าวอยู่แกก็ยังชี้หน้าหมาป่าตะโกนถามว่าต้มยำนายหัวน้ำข้นน้ำใส? เล่นเอาสะดุ้งเฮือก สั่งกุ้งมะขามเปียกเฮียก็ตะโกนว่าเอาคะน้าหมูกรอบเหอะนายหัว กุ้งมันช้านะ นายหัวหมาป่าก็หยวนครับ ร้านนี้คนท้องถิ่นกินกันเต็มร้านคงด้วยติดใจรสมือเจ้าของร้านครับ

ศุกร์ที่ 14 มีนาคม 2557 วันที่สิบห้า

วันนี้ตื่นแต่เช้าออกจากที่พักตั้งแต่หกโมงครึ่งครับ ดูระยะทางจากกระบี่ถึงตรังก็ไกลพอควรเลยรีบออกมา

ขี่ไปแวะกินกาแฟสดตามปั๊ม และพอสายก็กินขนมที่ซื้อมาจากในเมืองกระบี่เตรียมมากินเป็นอาหารเช้า เลยคลองท่อมออกมาถนนบีบเป็นเลนสวน และไปขยายเป็นสี่เลนก่อนถึงคลองพวน ลมแรงแดดจัดอีกวันครับ

หมาป่ากินข้าวเที่ยงที่คลองพวนแล้วต่อไปทรายขาว ช่วงนี้มีทำถนนรถเยอะ ขี่ไปเสียวไปเพราะข้างทางเขาถมเป็นลูกรังสูงระดับหู หมาป่าขี่บนถนนลาดยางเก่าที่อีกไม่นานก็คงถูกถมเช่นกัน รถบรรทุกวิ่งผ่านหูขวาไปตลอด เบี่ยงซ้ายก็ไม่ได้เพราะลูกรังข้างทางมันสูงมาก เนื้อยเหนื่อยจริงๆครับ

จนมาเจอแยกควนกุนตรงนี้แหละครับที่เลี้ยวขวามาแล้วค่อยขี่สบาย ทางเรียบมีต้นไม้สองข้างทางไม่โหดเหมือนช่วงเที่ยงต่อบ่ายที่ผ่านมา

รูปภาพ

เลยแยกควนกุนมาหมาป่าขี่ผ่านนักจักรยานสองท่านที่พักเหนื่อยอยู่ตรงศาลาริมทางเป็นชายและหญิงแต่ไม่ได้หยุดทักเพราะเพิ่งพักที่ปั๊มบางจากตรงเลยแยกมานิดเดียว

ขี่ไปอีกร่วมยี่สิบกม. ช่วงนี้อากาศแปลกๆเพราะว่าบางช่วงที่ทางทิ้งตัวลงในหุบด้านข้างๆมีเนินลูกรังเตี้ยๆเป็นระยะ หมาป่ารู้สึกได้ถึงไอร้อนวูบขึ้นมาจากถนนและอวลอยู่รอบตัว คือขี่แล้วมันร้อนอุ้มแบบเห็นได้ชัด ขี่ผ่านมาพักตรงร้านชำและซื้อน้ำจูงจักรยานไปกินตรงศาลาพักริมทางเจอนักจักรยานอีกท่านนั่งพักอยู่ก่อน ได้ความว่าเป็นกลุ่มเดียวกับสองท่านที่พักตรงเลยแยกควนกุน กลุ่มนี้เป็นนักจักรยานทีมเกษียณปั่นทั่วไทย ปั่นกันมาตั้งแต่ทางเหนือ ปั่นอึดยาวอย่างน่านับถือจากเหนือสุดลงมาถึงตรัง

ท่านเล่าว่าก่อนหน้านี้ท่านก็เจออากาศร้อนแบบหมาป่าจนต้องมาพักเหนื่อยตรงนี้นี่แหละครับ กลุ่มนี้จะไม่ขี่เกาะกลุ่มกันเป็นขบวนใหญ่แต่จะมีจุดนัดหมายกันว่าต่างคนต่างขี่ ใครใคร่แวะที่ไหนก็แวะก่อนแล้วค่อยไปเจอกันยังที่นัดหมาย อย่างเช่นคืนก่อนบางคนก็นั่งเรือไปพักที่เกาะลันตาน้อย บางท่านก็เข้าไปแวะน้ำตกร้อนที่คลองท่อม วันนี้ที่หมายที่จะไปรวมกลุ่มกันอีกก็ที่อุทยานแห่งชาติตรงสิเกา นั่งพักสักครู่ท่านก็ขอตัวออกไปขี่ต่อ

หมาป่ารอสักพักแล้วก็ขี่ตามมุ่งหน้าเข้าเมืองตรังต่อไป ก่อนเข้าเมืองมีขึ้นดอยอีกหน่อยพอให้เหนื่อยครับ ช่วงนี้ต้องพักทุกทุกสิบห้ากม. พอเข้าเมืองหมาป่าขี่วนไปรอบๆเมืองมองหาที่พักแบบบังกะโลติดพื้น มั่วๆไปเรื่อยจนมาถึงเย็นมากแล้วที่นอกเมืองที่เลยทางแยกไปพัทลุง ไปพักที่บังกะโลแนวรีสอร์ทชื่อ Light House

ห้องพักเพิ่งสร้างใหม่ เจ้าของชายหญิงทำแบบตั้งใจมากครับ หมาป่าเอาของเข้าห้องแล้วนั่งพักเล่นหน้าบ้านท่านเดินเอาเบียร์สิงห์มาให้หมาป่าหนึ่งกระป๋อง บอกว่าเห็นแฟนบอกว่าขี่มาจากบางกอกเลยขอฉลองขอบคุณที่มาเลือกพักที่นี่ อัธยาศัยท่านดีครับ ท่านบอกท่านขี่บิกไบค์ไม่ได้ขี่จักรยาน

พอค่ำหมาป่าขี่มากินข้าวต้มชื่อร้าน ส.ข้าวต้มแล้วก็ขี่กลับเข้านอน วันนี้ขี่ไปร้อยกว่ากิโลครับ


เสาร์ที่ 15 มีนาคม 2557 วันที่สิบหก


วันนี้หมาป่ามีเรื่องท้าทายพอควรจากการขี่จากตรังไปพัทลุง หมาป่าต้องขี่ข้ามเขาพับผ้าครับ เขาที่กั้นกลางระหว่างรอยต่อตรังและพัทลุง เขาที่สมัยก่อนคนขับรถยนต์บอกว่าขับยากเพราะทางแคบและชัน แต่สมัยนี้มีการตัดขยายทาง ดูในเวปเรานักจักรยานบอกว่าไม่โหดเท่าสมัยก่อนแล้ว แต่ก็นั่นแหละครับเจอภูเขานักจักรยานเมืองกรุงอย่างหมาป่าก็นึกครั่นคร้ามไว้ก่อนเสมอ เรามันคนพื้นราบครับ

จูงรถออกมาหน้าห้องพัก อ้าวยางหน้าแบนเสียนี่ คงจะโดนตะปูตอนกลับจากกินข้าวเมื่อคืน

ยางหมาป่านั้นเป็น Continental รุ่น Top Contact II หมาป่ากัดฟันซื้อรุ่นนี้ด้วยเป็นยางที่ดีที่สุดเท่าที่หมาป่าจะมีปัญญาซื้อ เส้นก่อนเป็นท้อปคอนแทกต์รุ่นแรก ใช้ได้ดีประทับใจมาก ใช้ไปหมื่นกว่ากิโลนั่นแหละครับถึงจะเสื่อมสภาพและเริ่มแตก ตัวรุ่น II นี้ก็ขี่ดีนะครับและทนเช่นกัน เพียงแต่ว่าเมื่อถอดยางหน้าแกะออกมาดูแผลเจอเศษเหล็กแข็งยาวแบบที่หน้ายางวัสดุพิเศษก็รับแรงทะลวงไม่ไหวเลยแตกครั้งแรกที่ระยะไม่กี่พันกม. ตลอดทางจากกรุงเทพหมาป่าขี่มาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม จุดที่แวะพักถ่ายรูปเขาหินปูนก่อนเข้ากระบี่ก็สังเกตเห็นหน้ายางเป็นรอยบั้งทางขวางแต่แผลตื้น แสดงว่าโดนของใหญ่เข้าไปเต็มๆแต่ไม่แตก อุปกรณ์ปะยางและยางในที่เตรียมติดกระเป๋ามาก็ได้ใช้เพื่อการนี้

แล้วหมาป่าก็ขี่ต่อไปยังสถานีรถไฟจังหวัดตรังก่อนเพื่อไปจองตั๋วรถไฟกลับจากพัทลุงล่วงหน้าไว้ก่อน จองกันข้ามจังหวัดด้วยระบบออกตั๋วคอมพิวเตอร์ ได้ขบวนรถ 38 มาจากสุไหงโกลก เข้าเทียบชานพัทลุงกำหนดทุ่มสี่สิบเจ็ดนาที จองตั๋วนอนปรับอากาศชั้นสองไว้ครับ

จองตั๋วเสร็จแวะจิบกาแฟสดร้านหน้าสถานี ร้านนี้ฝรั่งเยอะ มีฝรั่งคนนึงเดินมาถามหมาป่าว่าขี่มาแต่ใด พอบอกว่าจากกรุงเทพแกก็ขอถ่ายรูปหมาป่ากับรถหน่อยเพราะแกก็ขี่ตระเวนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่นกัน เป็นฝรั่งชาวอังกฤษชื่อ Bill

แกเล่าคร่าวๆว่าขี่มาเจอหมากัดต้องหยุดฉีดยากันโรคกลัวน้ำหลายเข็ม ท่าทางแกยังแหยงๆหมาและการฉีดยาอยู่เลยนะครับ แกบอกว่าไม่เห็นคนไทยทางไกลขี่แบบมีสัมภาระติดตัวเลย เห็นหมาป่าเป็นคนแรกเลยเข้ามาทัก หมาป่าบอกว่ามีเยอะแยะแต่แกคงไม่เจอนั่นแหละ

แกให้ URL ของบล็อกแกไว้ด้วยนะครับบอกว่าให้ติดตามเรื่องราวของแกได้แกเขียนบันทึกไว้ ชื่อfindingbill@blogspot.com หมาป่ากลับมากรุงเทพก็เข้าไปอ่านดูกะว่าเผื่อจะเห็นภาพตัวเองอยู่ในบล๊อกด้วย แต่ก็เห็นค้างอยู่หลายเดือนตรงประจวบคีรีขันธ์ครับ มิได้มีการเขียนต่อ ไม่แน่ใจว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร เพราะเห็นแกบอกว่าแกจะขี่ต่อเข้ามาเลเซีย

วันนี้ฟ้าครึ้มฝนพรำบางๆ หมาป่าขี่จากสถานีรถไฟมากินติ่มซำตรงย่านดาวทาวน์แล้วก็ขี่ย้อนออกไปทางแยกที่บอกว่าไปพัทลุง คืนก่อนหน้านั้นเขียนเมสเซจและโทรไปหาครูหมูนัดหมายกันว่าเย็นนี้เจอกันที่บ้าน ครูหมูบอกทางให้คร่าวๆที่จะให้ไปอำเภอตะโหมด ลงเขาพับผ้าแล้วค่อยหาทางตัดเข้าไปครับ

ทางมุ่งเขาพับผ้านั้นเริ่มมีฝนปรอย หมาป่าหยุดรถเก็บเสื้อกางเกงที่ตากไว้ตามคานตามแร็คหลังเก็บเข้ากระเป๋าก่อน เออหนอขี่มาเกินสองสัปดาห์ตั้งแต่กรุงเทพไม่เจอฝนเลย ข้ามคลองมาเป็นจะเกือบร้อยคลองก็เห็นแต่น้ำแห้งไม่ค่อยมีน้ำ คนทางใต้ที่ผ่านมาแม้แต่จังหวัดระนองเมืองฝนแปดแดดสี่ก็ล้วนแต่บอกว่าฝนไม่ตกมาหลายเดือนแล้ว นี่พอจะขึ้นเขาพับผ้าก็มีฝนมาเซ็ตฉากให้การขี่ขึ้นเขามันเร้าใจขึ้นอีกขะหนาดน้อเรา

รูปภาพ

ขี่มาตีนเขาพับผ้า ถ่ายหน้าป้ายบอกโครงการขยายถนนกันหน่อย ก่อนลุยขึ้นไปเจอของจริงครับ

รูปภาพ

ตรงทางขึ้นนี้ดูถนนแห้งนะครับ แต่ก่อนหน้านั้นฝนพรำมาตลอด และพอขึ้นบนเขาก็จัดเต็มครับ

ทางขึ้นเขาพับผ้ากำลังก่อสร้าง บางช่วงเห็นรอยยางมะตอยของถนนเส้นเดิม บางช่วงมีถมลูกรังทับและขยายเป็นสี่เลนวิ่งแยกกัน ต้นไม้สองข้างทางสวยมากครับ ป่าอุดมสมบูรณ์ ขึ้นไปสูงบางช่วงเมฆฝนเคลียยอดต้นไม้อยู่ ทางลาดยางส่วนใหญ่เสร็จไปฝั่งหนึ่งแล้วแต่ปิดยังไม่ให้ใช้

ทางที่หมาป่าขี่ขึ้นเป็นเลนสวนขี่ไปบนลูกรังแฉะน้ำฝนมีรถวิ่งตามและรถสวน ฝนตกหนักมากขึ้นมากขึ้นทุกที ลูกรังที่มีหินก้อนใหญ่ๆฝังปนอยู่ถูกฝนชะให้เห็นหน้าหินพอล้อขึ้นไปก็ลื่นปื้ดปื้ดปื้ดปื้ด ฝนสาดด้านหน้า ฝนสาดด้านหลัง สาดซ้าย แล้วย้ายมาสาดขวา ทางไม่ชันมากถึงขนาดขุนตาลหรือดอยสุเทพนะครับ แต่ไอ้ฝนกับทางลูกรังนี่แหละที่ทำให้ขี่ขึ้นยากกว่าขี่ขึ้นขุนตาล

ฝนสาดมากจนกระบังหมวกกันน๊อคเอาไม่อยู่ พอน้ำฝนเจือกับซันบล็อกที่หมาป่าทาฉาบหน้ามามันเข้าตาแสบจังเลยครับ แถมมีเรื่องของการเมาน้ำเสริมขึ้นมาด้วย เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ เวลาเราขี่ลงทางชันลูกรังที่ฝนตกลงมาชะ น้ำฝนมันจะไหลผ่านผิวหน้าลูกรังลงมาไปทิศเดียวกับล้อรถเรา เมื่อเราขี่ยามฝนตกหนักเรามองข้างหน้าได้ไม่ไกลเพราะต้องคอยมองแนวล้อที่จะไปตะกุยหิน น้ำที่ไหลผ่านทางยางมะตอยนั้นมันจะเป็นน้ำใสๆ แต่น้ำที่ผ่านทางลูกรังมันจะทำให้น้ำเป็นสีเหมือนชาเย็นใส่นมไหลผ่านล้อลงไป นอกจากน้ำสีชานมนั้นมันก็จะมีฟองลอยเป็นแพ เจ้าฟองนี่แหละครับที่ทำให้หมาป่าเมาน้ำ เพราะหมาป่าขี่ลงหมาป่าบีบเบรกล้อรถก็จะช้า ความเร็วของรถและของล้อมันเลยช้ากว่าความเร็วของฟองน้ำที่ไหลลงไป เพื่อนสมาชิกเคยนั่งรถทัวร์ที่กำลังเคลื่อนที่ออกตัวในท่ารถไหมครับ บางครั้งเราจะผ่านรถทัวร์อีกคันที่วิ่งไปในทิศเดียวกัน ถ้ารถคันนั้นจอดอยู่กับที่เราก็ไม่รู้สึกอะไรเพราะรถเราเพิ่งเคลื่อนตัวไปข้างหน้า แต่ถ้ารถคันนั้นดันวิ่งขึ้นไปด้วยความเร็วมากกว่าที่รถเรากำลังออกตัว เราจะเหวอเพราะมองรถด้านข้างแล้วจะเหมือนกับรถตัวเองกำลังวิ่งถอยหลัง แต่ประสาทการเคลื่อนไหวเราเพิ่งบอกตัวเราเองว่ารถเรากำลังเดินหน้า ฉันใดก็ฉันนั้นครับฟองน้ำที่ไหลลงไปเร็วกว่าความเร็วที่อีเขียวกำลังลงเนิน ประสาทและขาหมาป่าบอกว่ารถเราเดินหน้า แต่ภาพฟองน้ำมันหลอกสมองว่ารถกำลังถอยหลัง มองจ้องแนวล้อและน้ำอยู่สักวินาทีครึ่งในยามฝนตกหนักประสาทเครียดเกร็งกับการระวังไม่ให้รถล้ม บวกกับการหลอกของสมอง นี่มันร่ำๆจะทำให้อาเจียนได้เลยล่ะครับ

ก็วิ่งมาได้เรื่อยๆจนฝนซาครับ หมาป่าขี่มารู้สึกว่ามือกรอบแกรบเพราะเม็ดกรวด ขาแขน ในกางเกงก็มีเม็ดกรวดเพราะรถที่วิ่งแซงสาดน้ำขึ้นมาเต็มตัวหมาป่าและมีกรวดปนอยู่ในน้ำ แล้วก็เริ่มไปแห้งตรงจุดที่เขาเปิดให้วิ่งบนทางลาดยางแล้ว แต่ยังให้วิ่งข้างเดียวสวนกัน อีกฝั่งยังปิดอยู่ รถเก๋ง รถตู้ รถบรรทุกก็แซงหมาป่าไปเรื่อยๆ หมาป่าขี่ที่ระดับจาน 2 เฟือง 4 เฟือง 5 ขึ้นมาได้เรื่อยๆ

จนในที่สุดก็ไปหยุดตรงยอดเขาที่เป็นจุดแบ่งพรมแดนระหว่างตรังด้านหลัง และพัทลุงด้านหน้าลงเขาไป ตรงนี้มีหลักเขตปักอยู่ข้างบนครับ

รูปภาพ

รูปภาพ

ตรงฝั่งตรงข้ามหลักเขตมีศาลพ่อปู่ หมาป่าปีนขึ้นไปถ่ายมุมมองจากศาลลงมาที่ถนนด้วย

รูปภาพ

รูปภาพ

ขี่ลงมาถึงตีนเขาฝั่งพัทลุง ฝนเริ่มตกใหม่ ตกหนักอีกแล้ว หมาป่าหยุดแวะกินข้าวที่ร้านข้างทาง ถ่ายภาพขาและรองเท้าของตัวเองมา เยินเชียวล่ะครับด้วยน้ำฝนน้ำโคลน

รูปภาพ

ขี่ตรงต่อมาอีกเรื่อยๆ ฝนก็ยังฉ่ำฟ้ามาด้วยกัน ครูหมูบอกว่าถึงอำเภอศรีนครินทร์แล้วให้หาทางข้ามถนนใหญ่มาเข้าถนนด้านขวาสาย 4122 ที่ตรงไปกงหรา และโหล๊ะจังกระ เส้นนี้จะพาไปถึงอำเภอตะโหมดบ้านครูหมูได้ครับ เป็นเส้นทางที่น่าขี่จักรยานด้วย

ตรงนี้ตรงใกล้ถัดจากปากทาง 4122 ก่อนขี่ลึกเข้าไปครับ

รูปภาพ

แหมมันเป็นถนนสายสงบงดงามอีกสายหนึ่งครับ บ้านเรือนมีสวนเขียวตลอดทาง หมาป่าไม่เคยมาพัทลุง มาครั้งนี้ครั้งแรกก็จับใจว่าบ้านเมืองดูอุดมสมบูรณ์ดีจริงๆ ขี่วันไม่มีฝนก็คงดี แต่ขี่วันฟ้าฉ่ำฝนนี้ก็เยี่ยมครับ บางช่วงฝนหยุดหมาป่าก็หยุดกดภาพ เห็นเมฆที่เคลียภูเขานั่นไหมครับ ง้ามงาม

รูปภาพ

ถนนไม่เปลี่ยวมากนักนะครับ มีบ้านเรือนคลออยู่ตลอดทาง ช่วงไหนเป็นเขตชุมชนถนนก็กว้างหน่อย ช่วงไหนบ้านเรือนห่างถนนมันก็แคบ

ที่ว่าไม่เปลี่ยวเพราะพอหมาป่าขี่ตากฝนมาไกลอากาศเย็นก็เริ่มปวดปัสสาวะ จำได้ว่าหาที่หยุดปัสสาวะข้างทางยากมาก ด้วยพอเลยบ้านริมถนนฝั่งซ้าย จะแวะลงป่ายืนแอ่น ก็จะเหลือบเห็นบ้านด้านขวาตั้งอยู่ในสายตา พอจะแอ่นด้านขวา ก็เห็นบ้านอยู่เฉียงทางซ้าย เป็นอย่างนี้สลับซ้ายขวาไปเรื่อย จนท้องน้อยเริ่มปวดแล้วล่ะครับ แหมกว่าจะหาที่ที่ไม่มีบ้านมาตั้งวางสนุ๊กได้นี่ก็ต้องขี่ไกลมากครับ

ฝนพร่ำฉ่ำตลอด ไม่หนักเหมือนบนเขาพับผ้า แต่ก็ไม่ซาถึงขั้นว่าตกหยิมๆ หมาป่ายังเปียกไปทั้งตัวอยู่ครับ ผ่านทางเข้าน้ำตกมาสองสามแห่ง คิดว่าฝนแรกอย่างนี้เข้าไปคงไม่มีน้ำ แต่พอมาถามครูหมูตอนคืนนั้นครูหมูบอกว่าทางใต้นี้เขาเที่ยวน้ำตกหน้าแล้งกัน เข้าไปเหอะมีน้ำงดงามตาทุกแห่งแหละ หน้าฝนจัดๆเขาจะไม่เที่ยวกันเพราะมีโอกาสเจอน้ำป่า

ขี่มาเรื่อยแวะจิบน้ำเกลือแร่บ้าง ช่วงหลังบ้านเรือนเริ่มห่างกันขึ้นครับ เลยกงหรามาแล้วก็ขี่ต่อไปเรื่อยตามที่ครูหมูบอกทิศทางให้ไว้ ไปถึงแยกโหล๊ะจังกระ ตรงจุดนี้แหละครับหมาป่าหลง

หยุดรถเปิดโทรศัพท์เห็นมิสส์คอลล์ของครูหมู โทรกลับถามครู ครูบอกผมรออยู่ที่บ้านนี่แหละถึงไหนแล้ว หมาป่าบอกจวนแล้วเห็นป้ายบอกทางไปตะโหมด กับแม่ขรีข้างหน้าแล้ว เดี๋ยวขี่เข้าไปหา ครูหมูบอกมามาเข้ามาเลยรออยู่ ครูหมูบอกว่าเข้ามาสัก 300 เมตรจะเห็นบ้านครูหมูอยู่ขวามือ

หมาป่าขี่เข้าไปตั้งไกลก็ไม่เห็นบ้านไหนจะใกล้เคียงบ้านครูหมูเลยครับ ขี่เข้าขี่ออก ช่วงที่เข้าไปลึกที่สุดนั้นร่วมสักสองกิโลเห็นจะได้ มีเห็นบ้านนึงที่ดูใกล้เคียงที่สุดจากภาพโปรไฟล์ของครูในเวป หมาป่าเข้าไปในบ้านชั้นล่างไม่มีคน ต้องตะโกนถาม แต่ก็เอะใจว่าเอเห็นครูหมูบอกว่าตัวเองเป็นคนอีสาน แต่ในบ้านมีภาพประดับเป็นภาษาอารบิกแบบข้อเขียนในพระคัมภีร์กุรอ่าน อืมม์คนอีสานส่วนใหญ่ที่เจอไม่เคยมีใครนับถือศาสนาอิสลาม เอ๊ะหรือเมียครูหมูเป็นมุสลิมหว่า ตะโกนจนเจ้าบ้านออกมาถามว่าบ้านครูหมูหรือเปล่า เขาบอกไม่ใช่และไม่รู้จักครูหมูด้วยครับ

จนโทรถามอีกรอบ ครูหมูบอกว่ากลับไปรอตรงแยกแหละเดี๋ยวจะขับปิคอัพมารับ รออยู่นานพอควรเกินกว่าที่คาดไว้ จนเห็นครูหมูขับรถมาและขนจักรยานขึ้นรถท้ายรถ ตอนแรกหมาป่าจะขอขี่ตามครูหมูไป แบบว่าขี่มาตลอดทางแล้วก็อยากขี่เข้าบ้านครูหมูให้โอ่อ่าสมศักดิ์ศรี ไหนๆฟ้าท่านก็เซตซีนส่งฝนมาทำให้การเดินทางมาอลังการในความรู้สึกมากแล้ว ครูหมูบอกว่าเอาเหอะน่าอย่าไปถือเรื่องพรรค์อย่างนี้เลย จักรยานคือยานพาหนะ ปิคอัพก็คือพาหนะ นั่งอะไรไปก็ถึงเหมือนกัน

นั่งรถไปเรื่อยๆก็ร่วมสิบกิโลนะครับ ก่อนจะไปหักขวาเข้าบ้านครูหมู หมาป่าออกจะเริ่มเห็นงามกับครูหมูว่าถ้าจะขี่ตามรถมาคงอีกร่วมครึ่งค่อนชั่วโมง แถมเหนื่อยและเย็นอย่างนี้คงลำบาก

คือหมาป่ากะพิกัดผิดน่ะครับ เหมือนกับว่าถ้าเราขี่มาตามเส้น 4122 มันจะมาเจอถุงกาแฟข้างหน้า แยกที่หมาป่าหลงเข้าไปนั่นเป็นปลายขอบปากถุงกาแฟข้างหนึ่ง ก้นถุงกาแฟคือตะโหมด แต่เส้นที่ที่ครูพาหมาป่านั่งปิคอัพบรรทุกจักรยานไปนั้นมันจะเลาะตรงปากถุง และเมื่อถึงบ้านครูหมูก็จะเป็นปลายขอบปากถุงกาแฟอีกข้างหนึ่ง

ถึงบ้านครูหมูเย็นมากแล้วครับ ฝนหยุดสนิทอากาศค่อนข้างเย็น ขนรถขึ้นบนบ้าน

บ้านครูหมูอยู่กันสี่คนคือครูหมู และแฟนครูหมูชื่อครูเกียบ พ่อและแม่ครูเกียบ มีบ้านน้องสาวและน้องเขยครูเกียบอยู่ติดในบริเวณเดียวกัน ครูหมูกับแฟนไม่มีลูกครับ
ครอบครัวครูจัดเตรียมผ้าเช็ดตัวและน้ำอุ่นในห้องน้ำให้หมาป่าเข้าไปสระสรงล้างกรวดตามเนื้อตามตัวจากที่โดนฝนมาจากเขาพับผ้าและตลอดบ่ายวันนี้ ครูบอกให้ถอดเสื้อผ้าและเอาของที่ต้องการซักออกมาให้หมด จะเข้าเครื่องซักและเข้าเครื่องอบผ้าให้คืนนี้เลย พรุ่งนี้เช้าสบายเพราะว่าเครื่องอบผ้าอบผ้าแห้งผากไม่ต้องตาก จังหวัดฝนชุกอย่างพัทลุงนี้มีเครื่องอบผ้าแล้วสบายใจครับ ส่วนรองเท้านี้ต้องถอดกองไว้นอกบ้านและใส่รองเท้าแตะแทนครับ เข้าเครื่องไม่ได้ หมาป่าต้องห่อใส่ถุงพลาสติกกลับมา ถึงกรุงเทพความชื้นฝนที่หมมมาก็กลิ่นเน่าโชยครับ

ครูหมูกับครูเกียบพาหมาป่ามาเลี้ยงข้าวเย็นที่ในตัวตำบลแม่ขรี โรงเรียนที่ครูหมูสอนก็อยู่ที่นี่ครับ มื้อค่ำอาหารถูกปาก วันนี้หมาป่างดเบียร์แต่รับบรั่นดีรีเยนซีที่ครูหมูหอบติดมือมาผสมกับโซดาแทน นั่งฟังครูหมูเล่าให้ฟังถึงชีวิตวัยเด็ก ความรักดนตรี พี่สาวที่ส่งเสริมให้เรียนดนตรี จนสอบติดที่หนึ่งครูดนตรีของประเทศ เรื่องคุณแม่ที่เลี้ยงลูกมาสี่คนหลังจากคุณพ่อครูหมูเสียตั้งแต่ครูหมูอายุแค่ 6 ขวบ เรื่องครูหมูเจอกับครูเกียบที่อีสานและแต่งงานกัน ครูหมูย้ายจากอีสานมาตั้งครอบครัวอยู่กับบ้านครูเกียบที่พัทลุงนี่ ครูหมูเป็น handyman ครับ ชอบซ่อมชอบประกอบเครื่องยนต์กลไกต่างๆ จักรยาน หรือแม้แต่รถยนต์ครูหมูก็ลงแรงซ่อมเอง อันนี้ครูหมูเป็นคนละไฟลั่มกับหมาป่าครับ เพราะหมาป่านั้นแค่ปรับจูนเกียร์จักรยานเองก็ทำไม่ได้เสียแล้ว

สามทุ่มกว่าเราก็กลับบ้านกันครับ นั่งคุยกันสักพัก งัดอุปกรณ์ติดตัวที่เปียกน้ำฝนระหว่างทางแต่ธรรมชาติไม่ชอบความชื้นออกมาเช็ด หมาป่าก็ต้องขอน้ำมันของครูมาชะโลม สักพักก็ง่วง ครูหมูจัดให้หมาป่านอนในห้องรับแขกเลย อากาศเย็นสบาย นี้เป็นความอารีย์ของมิตรบนเวป ที่หมาป่าได้มารู้จักตัวจริงหลังจากคุยกันแต่ตัวหนังสือมาหลายปี

อาทิตย์ที่ 16 มีนาคม 2557 วันที่สิบเจ็ด วันปิดทริปเพื่อขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพ

หมาป่าตื่นมาจิบกาแฟที่ครูหมูเตรียมไว้ให้แต่เช้า นั่งคุยกันและกินข้าวเช้าที่ครูเกียบเตรียมไว้ให้เช่นกัน อาหารใต้และผักหลายเมนูครับ นี้รูปครูหมูบนระเบียงหน้าบ้านยามเช้า

รูปภาพ

เสร็จข้าวเช้าแล้ว ครูเกียบจะขับรถปิคอัพพาคุณพ่อเข้าไปฟอกไตที่ต้องฟอกประจำที่โรงพยาบาลในตัวจังหวัดพัทลุง หมาป่าจะติดรถไปลงที่โรงพยาบาลและแยกกันตอนสาย ช่วงบ่ายนั้นจะเที่ยวเล่นอยู่ในเมืองพัทลุงรอรถไฟเที่ยวค่ำกลับกรุงเทพ ครูหมูมาร่ำลาส่งหน้าบ้าน ขอบคุณนะครับครูหมูและครอบครัว ขอบคุณอีกครั้ง ณ ที่นี้ ขอบคุณครับที่ต้อนรับหมาป่าเป็นอย่างดี

แยกจากครูเกียบและคุณพ่อที่โรงพยาบาล หมาป่ามีเวลาอีกตั้งแต่สายถึงเย็นน่ะครับ ครูหมูแนะว่าควรไปขี่รถเล่นที่หาดแสนสุขลำปำ หาดใกล้เมืองที่คนพัทลุงชอบไปเที่ยวรับลมกัน หมาป่าขี่เข้าไปที่หาดห่างจากเมืองราว 8 กม.

ก่อนถึงหาดมีวัดเก่าวัดหนึ่งชื่อวัดวิหารเบิกสร้างมาตั้งแต่ปี 2353 สองร้อยกว่าปีแล้ว สัดส่วนและลวดลายปูนปั้นของโบสถ์เก่าของวัดนี้สวยงามมากครับ

รูปภาพ

ขี่ต่อเข้าไปถึงหาดลำปำ วันนี้ลมแรงมากครับ น้ำทะเลฝั่งอ่าวไทยออกสีขุ่นใกล้สีโคลนเลยครับ ลมพัดฝอยน้ำปลิวขึ้นมาถึงบนเขื่อนเลย เห็นไปไกลๆในทะเลนั้นเป็นสะพานยาวไปในทะเลของวัดป่าลิไลย์ที่อยู่ติดๆกับเขื่อนของหาด

รูปภาพ

จากเขื่อนริมหาดหมาป่าเลยขี่เข้าไปในวัดป่าลิไลย์ วัดนี้เน้นต้นไม้สงบร่มเย็นมากครับ

รูปภาพ

เข้าวัดมาก็กะจะมาดูสะพานที่ทอดยาวไปในทะเลที่เห็นจากริมเขื่อนไกลๆครับ บนกระเบื้องหลังคาต้นทางสะพานเขียนว่าสร้างเป็นที่ระลึกเมื่อคราวในหลวงมีพระชนมายุ 72 พรรษา

รูปภาพ

รูปภาพ

ศาลาปลายสะพานมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ คนน้อยครับ มีหนุ่มสาวมานั่งดูทะเลกันอยู่หนึ่งคู่เท่านั้น รวมกับหมาป่าก็เป็นแค่สามคนในช่วงเวลานั้น กันสาดศาลาโดนคลื่นลมซัดเปิดหมดอาจจะดูไม่ค่อยงามตาเท่าไหร่นะครับ

รูปภาพ

เสร็จจากสะพานวัดป่าลิไลย์หมาป่าขี่มาหาข้าวทานตรงร้านแถวแนวเขื่อน กินรอเวลาให้บ่ายแก่ๆหน่อยแล้วหมาป่าก็ลาจากหาดลำปำขี่เข้าตัวเมืองพัทลุง

ยามบ่ายนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไรทำแล้วล่ะครับ ขี่ชมเมืองแล้วก็มานั่งจิบกาแฟรอแถวสถานี วนไปดูในเมืองอีกรอบ เห็นมีห้างชื่อโคลีเซียม แล้วพอใกล้ๆห้าโมงหมาป่าก็พาอีเขียวมาซื้อตั๋วสัมภาระให้ตัวอีเขียวเพื่อเอาขึ้นตู้สัมภาระกลับกรุงเทพด้วยกัน ตั๋วอีเขียวราคา 146 บาทครับ

รถไฟไม่ได้เริ่มต้นออกเดินทางจากพัทลุงแต่จะวิ่งขึ้นมาจากสุไหงโกลก กำหนดนั้นจะถึงพัทลุงตอนทุ่มกว่า หมาป่าซื้อเบียร์มาจิบรอตรงชานชาลา จิบเบียร์ก็ปวดห้องน้ำเข้าห้องน้ำอยู่ 5 รอบกว่ารถไฟจะมา รถเสียเวลาไปราวๆสองชั่วโมงน่ะครับ กว่าจะเข้าชานชาลาจริงๆก็ร่วมสามทุ่มกว่า ตอนที่มาอยู่บนชานชาลาหมาป่าถ่ายรูปไมล์อีเขียวเอาไว้ เลขขึ้น 423 กม. รวมกับที่ขึ้น 1,000 กม. ตรงก่อนเข้าตะกั่วทุ่ง ทริปนี้หมาป่าขี่ไป 1,423 กม.ครับ

รูปภาพ

รูปภาพ

หมาป่าถ่ายรูปถุงมือไว้เป็นรูปปิดท้ายของทริปนี้ ถุงมือนี้ใส่มาตั้งแต่เริ่มหัดขี่จักรยาน ไปกับหมาป่ามาทุกทริปทางไกล ความจริงตอนนี้มีสำรองอีกคู่หนึ่งใส่สลับกันเวลาขี่ไปทำงานในกรุงเทพ แต่เจ้าเพื่อนยากชิ้นเก่านี้ขึ้นเหนือไปเชียงใหม่มาด้วยกัน เลยเอามาใช้กับทริปลงใต้ด้วยเพื่อให้ได้ชื่อว่า ขึ้นเหนือล่องใต้ถึงไหนถึงกัน จบทริปนี้ก็ต้องปลดระวางเอาเก็บไว้ลูบคลำเป็นที่ระลึก สภาพนั้นเหมือนทหารผ่านศึกมีบาดแผลรอบกายครับ

รูปภาพ

หมาป่ากลับถึงกรุงเทพตอนใกล้เที่ยงวันรุ่งขึ้น มีสวัสดิภาพมานั่งเขียนสรุปทริปนี้ให้อ่านกัน เป็นสรุปทริปที่ยาวมากกว่าที่เคยเขียนมา ยาวกว่ามากจริงๆ ขอบคุณทุกท่านที่อุตส่าห์อ่านมาถึงตรงนี้ คงมีหลายท่านเลิกกลางทางไปเสียก่อน เพราะฉะนั้นท่านที่อดทนอ่านมาจนจบหมาป่าขอขอบคุณอีกครั้งครับ

ท้ายสุดหากจะมีเพื่อนนักจักรยานท่านใดที่ไม่เคยอ่านหนังสือชุดเหมืองแร่ หรือไม่เคยดูหนังมหา’ลัยเหมืองแร่ แต่หลังจากอ่านสรุปทริปนี้แล้วไปหยิบหามาลองอ่านลองดูจนติดใจเหมือนกับที่หมาป่าเคยเป็นและยังเป็นอยู่ กลายเป็นอีกคนที่ประทับใจกับเหล่าชีวิตในเหมืองกระโสม ทิน เดรดยิง และงานหนังสืออันยิ่งใหญ่ของลูกผู้ชายชื่ออาจินต์ ปัญจพรรค์....แม้สักแค่ท่านเดียว...นี้หมาป่าก็จะดีใจเป็นที่สุดครับ
แก้ไขล่าสุดโดย a lone wolf เมื่อ 25 พ.ย. 2014, 10:07, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง
ธีรวุฒิ ชูศิริรักษ์
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 392
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2012, 14:02
Tel: 0891447012
team: ทั่วไป
Bike: dahon
ติดต่อ:

Re: หมาป่าเดียวดาย...ตามรอย "เหมืองแร่" ทรัพย์จากพื้นแผ่นดิน สินแห่งชีวิต ของอาจินต์ ปัญจพรรค์

โพสต์ โดย ธีรวุฒิ ชูศิริรักษ์ »

บรรยายได้ละเอียดมากเลย เป็นวรรณกรรมในรูปแบบบันทึกการเดินทางครับ
ครับ งานเหมืองแร่เป็น "ชิ้นเอก" ของลุงอาจินต์ เรื่องสั้นหักมุมที่เหนือชั้นไร้เทียมทานในห้วง 50 ปี
หนังสือชุดนี้สร้างนักเขียนมาแล้วนักต่อนัก เป็นมรดกทางความคิดให้กับนักเขียนรุ่นต่อมา
รูปประจำตัวสมาชิก
เสือ Spectrum
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4450
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 12:58
Tel: -
team: 99 City Bike
Bike: LA Spectrum

Re: หมาป่าเดียวดาย...ตามรอย "เหมืองแร่" ทรัพย์จากพื้นแผ่นดิน สินแห่งชีวิต ของอาจินต์ ปัญจพรรค์

โพสต์ โดย เสือ Spectrum »

:D หายไปนานนนน แต่กลับมาแบบ "เต็มอิ่ม" เลยนะครับ :mrgreen:
เมื่อพ้นไปจากการ "แพ้" หรือ "ชนะ" เราก็จะได้อยู่ในที่ที่ไม่มี "ความทุกข์ใจ"
สนั่น อันทเกตุ
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2802
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2009, 14:51
ติดต่อ:

Re: หมาป่าเดียวดาย...ตามรอย "เหมืองแร่" ทรัพย์จากพื้นแผ่นดิน สินแห่งชีวิต ของอาจินต์ ปัญจพรรค์

โพสต์ โดย สนั่น อันทเกตุ »

รอสรุปซะนาน ครับ :lol: :lol: :lol:
ต้องกลับไปปั่นซ่อมช่วงสุดท้ายก่อนเข้าบ้านผม :lol: :lol: :lol:
"ลูกอิสานพลัดถิ่น จากแดนดินไหปลาแดก เร่ร่อนรอนแรมเดินทางดั้นด้น มาสู่โคนต้นสะตอ ณ เรือนเวียงวิมาน(รูปประจำตัว)คือที่มั่นสุดท้ายของข้าฯ"
รถก็ไม่แพง-แรงก็ไม่มี เลยรั้งท้ายทีม หึ หึ


คลิ๊ก ทริป "บินเดี่ยว ทางไกล ตามใจฝัน"
สนั่น อันทเกตุ
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2802
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2009, 14:51
ติดต่อ:

Re: หมาป่าเดียวดาย...ตามรอย "เหมืองแร่" ทรัพย์จากพื้นแผ่นดิน สินแห่งชีวิต ของอาจินต์ ปัญจพรรค์

โพสต์ โดย สนั่น อันทเกตุ »

รูปภาพ
เรือนเวียงวิมาน
ยินดีต้อนรับหมู่มวลนักปั่นท่องเที่ยวทุกท่าน ครับ
"ลูกอิสานพลัดถิ่น จากแดนดินไหปลาแดก เร่ร่อนรอนแรมเดินทางดั้นด้น มาสู่โคนต้นสะตอ ณ เรือนเวียงวิมาน(รูปประจำตัว)คือที่มั่นสุดท้ายของข้าฯ"
รถก็ไม่แพง-แรงก็ไม่มี เลยรั้งท้ายทีม หึ หึ


คลิ๊ก ทริป "บินเดี่ยว ทางไกล ตามใจฝัน"
Akkhawi
สมาชิก
สมาชิก
โพสต์: 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2013, 23:15
Bike: Dahon Bullet , Coratec Mayon Disc , Trek 2.1(2014)

Re: หมาป่าเดียวดาย...ตามรอย "เหมืองแร่" ทรัพย์จากพื้นแผ่นดิน สินแห่งชีวิต ของอาจินต์ ปัญจพรรค์

โพสต์ โดย Akkhawi »

อ่านบันทึกการเดินทางของพีแล้วอิ่มเอมใจครับ เพราะทั้ง เหมืองแร่ ของ คุณอาจินต์ และ มหาลัย'เหมืองแร่ ของ จิระ มะลิกุล ล้วนแล้วแต่เป็นงานที่ผมชื่นชอบครับ
มีโอกาส ขับรถผ่านไปแถวๆพังงา ตะกั่วป่า ตะกั่วทุ่ง หรือ กะโสม ครั้งใด ก็ต้องเมียงมองเข้าไปในแนวป่า ทิวเขา ข้างทางและนึกถึง เหมือง เรือขุด นายฝรั่ง ไอ้ไข่ โกต๋อง ฯลฯ ที่ คุณอาจินต์ บรรยายไว้เสียทุกที

ขอบคุณที่พาไปชมทั้งสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ และ สถานที่จริง รวมถึง พบปะกับตัวละครอันมีชีวิตอยู่จริง และนำมาถ่ายทอดให้ฝังอย่างสนุกสนานครับ
รูปประจำตัวสมาชิก
ครูหาด
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 814
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 พ.ค. 2014, 15:58
Tel: 0910489183
team: นาหม่อม
Bike: TREK / ARAYA / PANASONIC

Re: หมาป่าเดียวดาย...ตามรอย "เหมืองแร่" ทรัพย์จากพื้นแผ่นดิน สินแห่งชีวิต ของอาจินต์ ปัญจพรรค์

โพสต์ โดย ครูหาด »

สุดยอดครับ
ขอบคุณสำหรับภาพสุดคลาสสิค

---------------------------
HS 9 LMZ
ยังไม่ลอง รู้ได้ไงว่าทำไม่ได้
HS 9 LMZ
ยังไม่ลอง รู้ได้ไงว่าทำไม่ได้
737
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 909
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ส.ค. 2008, 11:29
Tel: -
team: KMITL
Bike: Fisher, M1, Giant 760, Neo-Cot, Ground Control, GT, Pana Grand canyon, SoloistUltra,Miyata
ติดต่อ:

Re: หมาป่าเดียวดาย...ตามรอย "เหมืองแร่" ทรัพย์จากพื้นแผ่นดิน สินแห่งชีวิต ของอาจินต์ ปัญจพรรค์

โพสต์ โดย 737 »

สุดยอดมากครับพี่หมาป่า นับถือ เป็นหนังไทยเรื่องนึงที่ได้ดูหลายครั้งแล้วได้ดำดิ่งเหมือนว่าตัวเองได้เข้าไปอยู่ในเหมืองนั้นเลย ตอนจบก็ใจหายนิดๆ ที่ทุกคนแยกย้ายกันไป
รูปประจำตัวสมาชิก
nut109
สมาชิก
สมาชิก
โพสต์: 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 พ.ค. 2014, 21:16
Tel: -
team: -
Bike: Bianchi

Re: หมาป่าเดียวดาย...ตามรอย "เหมืองแร่" ทรัพย์จากพื้นแผ่นดิน สินแห่งชีวิต ของอาจินต์ ปัญจพรรค์

โพสต์ โดย nut109 »

ขอบคุณพี่หมาป่ามากๆ ครับ ผมอ่านเเล้วรู้สึกดีจริง ๆ ขอบคุณในน้ำใจที่นำมาแบ่งปันประสบการณ์ที่ผ่านพบมานะครับ
ติดตามทริปต่อไปของพี่หมาป่านะครับ เป็นกำลังใจให้ เเล้วเขียนงานดีๆ แบบนี้มาให้อ่านอีกนะครับ

ขอบคุณมาก ๆ ครับ
khokae
สมาชิก
สมาชิก
โพสต์: 58
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 พ.ย. 2014, 16:13
Bike: LA

Re: หมาป่าเดียวดาย...ตามรอย "เหมืองแร่" ทรัพย์จากพื้นแผ่นดิน สินแห่งชีวิต ของอาจินต์ ปัญจพรรค์

โพสต์ โดย khokae »

ขอขอบคุณครับสำหรับเรื่องราวดีๆ
noi tranngeon
สมาชิก
สมาชิก
โพสต์: 21
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ม.ค. 2014, 21:06
Tel: 021740751
team: หลง ลืม เลย
Bike: bianchi พับไจแอนท์

Re: หมาป่าเดียวดาย...ตามรอย "เหมืองแร่" ทรัพย์จากพื้นแผ่นดิน สินแห่งชีวิต ของอาจินต์ ปัญจพรรค์

โพสต์ โดย noi tranngeon »

เรื่องราวบางเรื่องผ่านตัวอักษร อ่านแล้วเหมือนอยู่ในเหตุการณ์หรือว่าผมมโนไปเอง? แอบติดตามอยู่เรื่อยๆขอบคุณนะครับคุณตำหนวด :D :D :D
"ถ้าประชาธิปไตยหรือเสียงส่วนใหญ่ แปลว่าความถูกต้องเสมอไป.........ป่านนี้โลกคงยังแบนอยู่"
รูปประจำตัวสมาชิก
bus 68
สมาชิก
สมาชิก
โพสต์: 65
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 เม.ย. 2012, 14:20
Tel: -
team: ไปไหนไปด้วย
Bike: Dahon Bw, Bt, Bf, Dhc, F-Frame

Re: หมาป่าเดียวดาย...ตามรอย "เหมืองแร่" ทรัพย์จากพื้นแผ่นดิน สินแห่งชีวิต ของอาจินต์ ปัญจพรรค์

โพสต์ โดย bus 68 »

ขอบคุณมากครับที่นำเรื่องราวดีมาเล่าแบ่งปันกัน :)
ได้ทั้งความรู้และความสนุกสนาน..และที่สำคัญศึกษาข้อมูลมาดีมากครับ
การเขียนเล่าเรื่องราวทำได้ธรรมชาติน่าติดตาม..อ่านแล้วเพลินมาก
"Steel is Real"
รูปประจำตัวสมาชิก
tony_tingnongnoy
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 170
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 มิ.ย. 2009, 14:51
Tel: 0841006543
Bike: จักรยานเก่าๆ

Re: หมาป่าเดียวดาย...ตามรอย "เหมืองแร่" ทรัพย์จากพื้นแผ่นดิน สินแห่งชีวิต ของอาจินต์ ปัญจพรรค์

โพสต์ โดย tony_tingnongnoy »

อ่านรวดเดียวจบ ต้องไปหาเหมืองแร่อ่านแล้วกลับมาอ่านสรุปทริปอีกครั้ง ให้อิ่ม
จริงหรือ
ตอบกลับ

กลับไปยัง “สรุปทริป / รายงานการปั่น”