แนวคิดเริ่มต้นบนความปรารถนาที่ต้องการจะพัฒนา Fenix SL
1. ต้องการความยืดหยุ่น การให้ตัวของตัวถัง และการตอบสนองที่ได้มาในเรื่องของมุมองศาในการการสปริ้น เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ
2. เป็นจักรยานที่สมบูรณ์แบบในเรื่องน้ำหนักภายใต้กฎของ UCI
3. สามารถใส่ยางได้ถึงขนาด 30C ในขณะที่ยังสามารถควบคุมรถด้วยความมั่นใจบนทางวิบาก
4. มุมองศาและการขับขี่เหมือนกับ Noah SL และ Helium SL สามารถสับเปลี่ยนรถและขับขี่ด้วยความเชื่อมั่นได้เสมือนหนึ่งเป็นรถคัดเดียวกัน
5. ตำแหน่งที่นั่งขี่จะถูกกำหนดไว้ในจุดที่ยืดหยุ่น แม้ว่าจะมีปัจจัยอื่นเปลี่ยนไปเช่นระยะทาง การขับขี่ก็ตาม
6. ตัวถังในตระกูล Fenix ยอมรับได้ในเรื่องความทนทาน ความสบาย และให้การตอบสนองในเรื่องความเร็ว เป็นที่ยอมรับมาโดยตลอด
7. บรรดานักขี่ไขว่ขว้าที่จะขับขี่มัน
วิศวกรได้เริ่มออกแบบใน Computer Modeling ตัดสินใจที่จะเลือก Shape และขึ้น Mold เพื่อสร้างเฟรมตัวอย่างว่ามีความแข็งแรง และเบา แต่ Computer Modeling ก็ไม่อาจตอบโจทย์ ถึงความเบาและมั่นคง หรือความยืนหยุ่น และการให้ตัวแค่ไหนที่นักขี่จะยอมรับได้ รวมทั้งการสปริ้นและเลือกมุมองศาที่เค้าจะมั่นใจ
35 เฟรมตัวอย่างได้ถูกทำขึ้นมา 25 มุมองศาได้ถูกวางเพื่อคัดเลือก 30 จุดสำคัญที่ได้กำหนดไว้ จนในที่สุดเฟรมที่สมบูรณ์ก็สำเร็จ เพื่อเข้าแข่งขันใน Spring Classics 2015
15% เบากว่าเดิม 8% Stiff กว่าเดิม 5% ที่ยอมรับว่าดีกว่าเฟรมเดิม ทีมงานจึงตัดสินใจที่จะเข้าสู่ขบวนการผลิต
แล้วนักขี่ว่าอย่างไร? นักขี่ยิ้ม...
Andre' Greipel ผมไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนักกับรถใหม่ แต่ยอมรับว่าขี่สนุก
StigBroeckx ผมชอบ Ridley คันใหม่นี้มาก ผมยังขี่มันจนทุกวันนี้ เพราะผมใช้มันแข่งใน Spring Classics มันพัฒนา Stiff ได้มากขึ้นกว่า Helium SL น้ำหนักเบากว่า สามารถทำน้ำหนัก 6.8 กก.โดยใช้อะไหล่มาตรฐานธรรมดา ผมขอใช้มันจนกว่าจะหมดฤดูกาลแข่ง มันเหมาะกับทุกภูมิประเทศ ผมชอบมัน
Sean De Bie เป็นรถที่สุดยอด ออกแบบมาเพื่อเอาชนะ โดยเฉพาะถนนหินโบราณ (พารี รูเบ) สามารถผ่านได้โดยง่ายไม่สูญเสียกำลัง ในขณะที่รถคันอื่นยังคงลำบาก ยางขนาด 30 เหมาะกับเฟรมอย่างไม่มีปัญหา นั่นย่อมเป็นประโยชน์สำหรับมือโปรที่จะผ่านถนนหินโบราณ (พารี รูเบ) ไปได้โดยสะดวก และก็จะช่วยให้นักขี่แบบ Endurance ผ่านไปได้อย่างสบายเช่นกัน
เมื่อบรรดานักขี่ระดับโปรยืนยันเช่นนี้ เราจึงเริ่มผลิตตัวถัง Fenix SL อย่างเต็มที่ ขณะที่บริษัทต่าง ๆ มีทีมแข่งที่ล้วนมีค่าใช้จ่ายสูงและร่ำรวย แต่ Fenix SL กลับยืนอยู่ได้ในทีมแข่งระดับ Pro Tour ที่มีราคาระดับพันเหรียญ ในขณะที่ทีมอื่น ๆ ต้องจ่ายค่ารถในราคาแพงแสนแพง จนพูดได้ว่า Fenix SL คุณภาพระดับ Pro Tour Performance แต่ราคาสามารถจับต้องได้
ยังมีอีกนะครับ สำหรับ Fenix SL ติดตามต่อได้ที่
http://www.asiabike.com/articles/?article=ROzOCQGw5E
*******************************************************************
