............พาคุณนาย ไปทัวริ่ง ..... โดย พี่แดงสารภี ..............

จำหน่ายจักรยาน(เก่าญี่ปุ่น) เสือภูเขาโครโมลี-อลูมิเนียมแบบตะเกียบ พร้อมซ่อมและโมดิฟายด์เสือภูเขาทางเรียบ-จักรยานเดินทางไกล โทร. 0814881440

ผู้ดูแล: เอ็ม.เจ.ไบค์ นครปฐม

กฏการใช้บอร์ด
จำหน่ายจักรยาน(เก่าญี่ปุ่น) เสือภูเขาโครโมลี-อลูมิเนียมแบบตะเกียบ พร้อมซ่อมและโมดิฟายด์เสือภูเขาทางเรียบ-จักรยานเดินทางไกล โทร. 0814881440
Merida1611
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 112
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 พ.ค. 2011, 17:16
team: MJ นครปฐม
Bike: Merida Matt 40;Miyata
ติดต่อ:

Re: ............พาคุณนาย ไปทัวริ่ง ..... โดย พี่แดงสารภี ..............

โพสต์ โดย Merida1611 »

อีกหนึ่งคนที่ยังติดตามและคอยเป็นกำลังใจให้ครับ :P
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ............พาคุณนาย ไปทัวริ่ง ..... โดย พี่แดงสารภี ..............

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

T_lek เขียน:ยังติดตามอยู่ครับ... :D
Merida1611 เขียน:อีกหนึ่งคนที่ยังติดตามและคอยเป็นกำลังใจให้ครับ :P


:lol: :lol: ขอบคุณมากครับ
เมธา เปรมแสง เขียน:ข้างหลังผมจะไม่มีคุณลุงอีกแล้ว ...........


รูปภาพ
รูปภาพ
รูปภาพ
เมธา เปรมแสง เขียน:วันที่เป็นวันที่สิ้นสุดพิธีทาง ศาสนาเรียบร้อยสมบูรณ์แล้ว หลังจากนั้นทางโรงพยาบาลศิริราชก็ได้มารับร่างกายของคุณลุงโกซิ่นไปเรียบร้อยแล้วตามความประสงค์ของคุณลุงโกซิ่น ที่ท่านได้ตั้งใจใว้ครับ.......................

รูปภาพ[/size][/color]
:) :D กฏแห่งพระไตรลักษณ์ได้ทำงานตามหน้าที่ (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป) M.J.Bike ได้ศูนย์เสียบุคคลากรคนสำคัญอย่างไม่มีวันกลับมา ซึ่งได้ยังความโศรกเศร้าให้กับหลาย ๆ คนที่รู้จักมักคุ้นกับคุณลุงโกซิ่น คุณลุงโกซิ่นเป็นคนดีศรีสังคมของชาว เอ็มเจไบค์ ขณะนี้ในกระทู้ "อาลัยคุณลุงโกซิ่น" กำลังดำเนินการเล่าประวัติความเป็นมาย้อนหลังของคุณลุงกับความผูกพันที่มีต่อ M.J.Bike เรียกว่าน่าสนใจและควรค่าแห่งการติดตามเป็นอย่างยิ่งครับ (ห้ามพลาดครับ)

คำว่า "ฟ้าหลังฝน" ที่ผมทิ้งไว้เหมือนเป็นปริศนา ความจริงแล้วไม่มีอะไรหรอกครับ มันช่างประจวบเหมาะกับเหตุการณ์เสียเหลือเกินมากกว่า ผมไม่ได้เข้ามาอ่านกระทู้หลายวันเนื่องจากติดภารกิจที่ "ภูแสงจันทร์" (เชียงราย) ซึ่งเป็นสถานที่ ๆ พูดไว้ว่าจะสร้างให้เป็น Hub รองรับคนคอเดียวกัน ก่อนที่เตรียมการเดินทางก็ได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของคุณลุง โกซิ่น ผมก็เพียงได้โพสต์แสดงความรู้สึก และเพื่อเป็นการรำลึกถึงท่าน ผมและคุณนายทุกคืนจะสวดมนต์นั่งภาวนาแผ่อุทิศบุญกุศล ถึงคุณลุงโกซิ่นทุกวันไม่ได้ขาดจนถึงวันที่ ๒๙ ซึ่งเป็นวันที่คุณลุงได้ไปพำเพ็ญประโยชน์เป็นครั้งสุดท้ายที่โรงพยาบาล ศิริราช

"ข้างหลังผมจะไม่มีคุณลุงอีกแล้ว" เป็นคำพูดที่กินใจพอสมควรแสดงถึงความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ชนิดที่ลืมไม่ได้ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาแห่งพายุกำลังโหมกระหน่ำ

หนึ่งราตรี......นี้นานเนิ่น......เกินจะกล่าว

กับความเหงา......เศร้าใจ......สุดเฉลย

แถมความทุกข์......รุมเร้า......เราอย่างเคย

ชีวิตเอ๋ย......ช่างอาภัพ......และอับจน


หวังวันใหม่......จะสดใส......กว่าวันเก่า

ชีวีเรา......คงเฉกเช่น......ฟ้าหลังฝน

เมื่อพายุ......โหมมา......ฟ้ามืดมน

เมื่อผ่านพ้น......คงสดใส......ได้อีกครา

อภินันทนาการจาก M Thai Poem มาเขียนกลอนกันเถอะ ... (ขอบคุณมากครับ)


:) :D ผมเชื่อ...ฟ้าหลังฝน...คุณลุงโกซิ่นจะยังคงตามหลัง M.J.Bike เพื่อสร้างความยิ่งใหญ่และเป็นปึกแผ่นของชาวเอ็มเจ เหมือนดังเริ่มต้นที่คุณลุงได้ร่วมสร้างมา ฟ้าหลังฝน..ของชาว M.J.จะต้องสดใส แช่มชื่น รื่นรมณ์สมดังปณิธาน คุณลุงโกซิ่น จะตามไปทุกหนแห่งเหมือนเดิมตลอดไป ขอเพียงให้รักและรำลึกถึงคุณลุงอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง..ขอร่วมแสดงความเสียใจและรำลึกถึงคุณลุงโกซิ่น อีกครั้งครับ

จากใจ แดง-สารภี ครับ :) :D
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ............พาคุณนาย ไปทัวริ่ง ..... โดย พี่แดงสารภี ..............

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

:) :D สองคนตากับยายปั่นตามหลังคนหนุ่ม (ผอ.+อ.ภมร) ที่ล่วงหน้าไปแล้วเป็นชั่วโมง คงไปไกลลิบ แต่ก็ต้องไปรอ ณ จุดสำคัญ ๆ ที่ใดที่หนึ่งเพราะเราทราบเป้าหมายกันแล้วว่ามุ่งสู่ จ.สระแก้ว เข้า กบินทร์บุรี ไปวังน้ำเขียว คงประมาณถึงใกล้ ๆ อ.วังน้ำเขียวนั่นแหละ เช้านี้ที่บอกไว้ว่าเป็น ฟ้าหลังฝน ปั่นสบาย ๆ ลมเย็น ๆ กับละอองฝนปรอย ๆ เป็นไอเย็นเรียกความสุขสดชื่นได้มากโข เราปั่นไปก็ชมธรรมชาติสองข้างทางไปเรื่อย ๆ แต่ไม่ถึงกับช้า คุณพอดีก็แสนจะวิเศษ ไม่มีงอแงตั้งแต่ได้มายางรั่วหนเดียวเมื่อครั้งไปสันกำแพงแค่นั้น จากนั้นมาไม่ได้ทำอะไรเลย สุดยอดจริง ๆ ครับ

คุณนายนั้นตื่นตาตื่นใจกับป้ายข้างทาง เช่น ตลาดโรงเกลือ ปราจีนบุรี กบินทร์บุรี สระแก้วอย่างนี้เป็นต้น ได้เห็นเขาฉกรรจ์แบบเต็มตาเพราะมาก็ตั้งหลายครั้งไม่เคยเห็นเลยได้แค่ผ่าน ๆ จักรยานนี่เรียกว่าสนองใจนายได้เป็นอย่างดี คุณนายไม่ได้นึกหรือฝันเลยแม้แต่น้อยว่าจะได้มาสัมผัสกับวิถีแห่ง Touring กับจักรยาน ชีวิตแต่ไหนแต่ไรมาเป็น คุณน๊าย-คุณนาย บัดนี้คราบของคุณนายไม่เหลือแล้ว มีแต่คราบของผู้เสียสละ หมายถึงการ ลด ละ เลิก สิ่งฟุ่มเฟือยต่าง ๆ ของชีวิต จากการปั่นจักรยานไปในที่ต่าง ๆ กับคุณพอดี ชีวิตเรียบง่ายมากขึ้น ๆ จักรยานเปลี่ยนแนวความคิดได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ปั่นไปได้สักประมาณสองชั่วโมงกว่า ๆ ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาเราต้องรีบหาที่หลบฝน เป็นจังหวะพอดีที่เราปั่นเข้าถึงตลาดเจอร้านขายอาหารที่พอทำมัง ฯ ให้เราได้จึงได้สั่งอาหารเป็นผัดไทยเจ แม่ค้าก็แสนดีตั้งใจทำให้อย่างสุดฝีมือ นาน ๆ ทีจะเห็นคนไม่กินเนื้อสัตว์เข้ามาในร้าน ถือเป็นบุญ (บุญทั้งเขาและเรา ๕๕) ความที่ตั้งใจทำผัดไทยวันนั้นเรียกว่าเรา ๒ คนจะไม่ลืมเลยล่ะครับ พักทานอาหารเกือบชั่วโมงรอฝนซาเม็ด เราก็ออกเดินทางต่อมุ่ง จ.สระแก้วต่อไป :) :D


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

:o :o เราปั่นจนถึง จ.สระแก้วผ่านทะลุกลางเมืองเลี้ยวซ้ายไปทาง อ.กบินทร์บุรี ซึ่ง ผอ.+อ.ภมร กำลังรอเราอยู่ที่ด่านตำรวจทางหลวง เมื่อเราไปสมทบและนั่งพักกันสักครู่ก่อนจะออกเดินทาง จำได้ว่า ทาง เสธ ฯ มหิงสา ณ กำแพงเมืองนครเวียงจันทร์ ได้ โทร ฯ มาหา ท่าน ผอ. แนะนำให้พวกเราปั่นเข้าไปนอนที่ อช.ทับลาน บ.นาดี อ.กบินทร์บุรี จะได้บรรยากาศกว่ามุ่งไป อ.วังน้ำเขียว จึงตกลงกันว่าเราจะไปนอนกันที่ อช.ทับลาน รุ่งเช้าถึงจะแยกจากกันโดยทาง ท่าน ผอ.+ อ.ภมร จะย้อนปั่นมา อ.กบินทร์บุรีเพื่อเข้า กทม.ไปเอารถยนต์ที่ฝากไว้ ส่วนผมกับคุณนายจะปั่นต่อไป อ.วังน้ำเขียวเข้าไป จ.สระบุรี เพื่อเยี่ยมเพื่อนเก่าที่นั่น เมื่อตกลงกันเรียบร้อย ท่าน ผอ.+อ.ภมร ก็ล่วงหน้าไปก่อนเพราะทานข้าวมื้อเที่ยงเรียบร้อยแล้ว ส่วนผม ๒ คนยังต้องหาร้านเพื่อจะเติมพลังก่อนเดินทางต่อ

ก่อนที่จะเจอกับท่าน ผอ.และ อ.ภมร ที่ด่านทางหลวง ผมผ่านป้ายโรงเรียนแห่งหนึ่งชื่อ กาสรกสิวิทย์ ผมแปลกใจมาก ๆ ชื่อมันเต๊ะตาเต๊ะใจจริง ๆ เป็นโรงเรียนประถมหรือโรงเรียนมัธยม แต่คงไม่ใช่มหาวิทยาลัยแน่ ๆ เมื่อเราปั่นออกจากด่านทางหลวงผมจึงพยายามคอยจับตามองไม่ให้คลาดสายตาอยากจะเห็นว่าสวยงาม หรือน่าสนใจดังชื่อหรือไม่อย่างไร :lol: :lol:


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

:lol: :lol: :lol: ผมปั่นตามหลังคุณนายมาเรื่อย ๆ แบบว่าช้ากว่าคุณนายเป็น ครึ่งกิโลเพราะมัวพะวงหากับโรงเรียนกาสรกสิวิทย์ ในที่สุดก็พบครับ อยู่ข้างทางขวามือ ผมจอดเก็บภาพ หัวเราะดัง ๆ ในใจ นึกว่าเป็นโรงเรียนอะไร ที่แท้โรงเรียนสอนควายให้ทำนา เห็นมีรถนักท่องเที่ยวเข้าไปชมหลายคัน ผมไม่มีเวลาเข้าไปชมแล้วเพราะคุณนายล่วงหน้าไปไกลแล้วอีกอย่าง ความหิวเริ่มคืบคลานเข้ามาแล้วครับ แม้ไม่ได้เข้าชมแต่พอรู้พื้นฐาน ลุงกูตอบได้ทุกเรื่อง มาดูคำตอบคุณลุง กู ครับ

:idea: :idea: "กาสรกสิวิทย์" โรงเรียนสอนคน-สอนควายให้ไถนาเป็น
โรงเรียนกาสรกสิวิทย์ เป็นโครงการพระราชดำริในมูลนิธิชัยพัฒนา ตั้งอยู่ที่ตำบลศาลาลำดวน อำเภอเมือง จังหวัดสระแก้ว เมื่อวันจันทร์ที่ 28 มกราคม 2551 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์และได้พระราชทานชื่อว่า "โรงเรียนกาสรกสิวิทย์" โดยให้เป็นศูนย์การอบรมกระบือในการทำนา ทำการเกษตร และกิจกรรมต่างๆ และให้ความรู้แก่เกษตรกรที่สนใจจะใช้ประโยชน์จากกระบือในการประกอบอาชีพ รวมทั้งจัดทำแปลงสาธิตทางการเกษตรรูปแบบต่างๆ

โดยทุกปีจะมีการคัดเกษตรกรและกระบือจากธนาคารโค-กระบือ มาเข้ารับการฝึกจากโรงเรียนกาสรกสิวิทย์ ให้เกษตรกรสามารถนำกระบือไปใช้ในการทำการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในแต่ละปีจะมีการจัดพิธีไหว้ครูก่อนทำการเปิดการศึกษา พิธีนี้ทำเพื่อเป็นการขอขมาแม่พระธรณีและขอพรจากพระแม่โพสพ เนื่องจากเมื่อคันไถพลิกพื้นดินเหมือนการลบกวนแม่พระธรณีจึงได้มีพิธีนี้เพื่อขอขมาและเป็นการขอพรพระแม่โพสพให้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์


รูปภาพรูปภาพ

รูปภาพรูปภาพ

รูปภาพรูปภาพ

:o :o โรงเรียนนี้มีบุญมากนะ พระเทพมานั่สีซอให้ฟังด้วย เออ..เอาซิ ใครยังไม่เคยไปหาเวลาไปซะนะครับ สุดยอดจริง ๆ :lol: :lol:
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ............พาคุณนาย ไปทัวริ่ง ..... โดย พี่แดงสารภี ..............

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

รูปภาพ

:lol: :lol: ราชบัณฑิตห่วง'สังคมคำหยาบ'เกลื่อนเฟซบุ๊ก ชี้รายการทีวี-ละครยังพูดคำสบถ เตรียมดึงพระว.-แอ๊ดร่วมรณรงค์การใช้ภาษาไทย

เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม น.ส.กนกวลี ชูชัยยะ เลขาธิการราชบัณฑิตยสถาน เปิดเผยว่า ราชบัณฑิตยสถานมีความเป็นห่วงการใช้ภาษาในสื่อโซเชียลมีเดียเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเฟซบุ๊กพบว่า ใช้คำหยาบ และใช้ภาษาที่รุนแรงกันมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าการสื่อสารในเฟซบุ๊กผู้ที่โพสต์ไม่ต้องแสดงความรับผิดชอบ จึงไม่ระมัดระวังการใช้คำหยาบ การแสดงความคิดเห็น หรือ คอมเม้นท์ ที่รุนแรง บางครั้งเมื่อเข้าไปอ่านรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องต่อว่ากันด้วยถ้อยคำรุนแรงขนาดนั้น โดยเฉพาะช่วงที่มีสถานการณ์การเมืองเกิดขึ้น การใช้ภาษาดูมีความก้าวร้าว

เลขาธิการราชบัณฑิตยสถาน กล่าวต่อว่า ไม่เฉพาะการใช้คำหยาบในโซเชียลมีเดียเท่านั้น แม้แต่ในรายการโทรทัศน์ หรือละคร ก็ใช้คำหยาบเพิ่มขึ้น ตัวละครพูดคำสบถ หรือบางครั้งพิธีกรในรายการเผลอนำคำสบถที่พูดหยอกล้อในหมู่เพื่อนฝูงมาพูดในรายการ เพราะฉะนั้นราชบัณฑิตยสถานจึงเป็นห่วงว่า หากใช้คำหยาบกันบ่อยๆ ก็จะเห็นคำเหล่านี้เป็นคำธรรมดา และนำมาพูดกันในชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดความเคยชิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและเยาวชนที่ปัจจุบันมักใช้คำหยาบกันอย่างมาก


:( :( Oh ! My God it's too late. วัวหายล้อมคอกเป็นประจำสังคมไทย น่าอนาถ ! ทั้ง ๆ ที่ท่านพุทธทาสพูดมานานนับ ๓๐ ปี "ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ" แต่ก็ยังดีถึงจะสายไปก็ยังมี "แสงที่ปลายอุโมงค์"

:lol: :lol: ก่อนจะเดินทางต่อ ผมยังติดใจภาพของพระเทพ ฯ สีซอกล่อมควายอยากรู้จังว่า "วันนั้นพระองค์ทรงบรรเลงเพลงอะไร" เดาเอานะคงจะเป็นเพลง เขมรไล่ควาย เพลงนี้เพราะและดังมากสมัยที่ผมยังเป็นนักดนตรี ชอบที่จะเอามาบรรเลงเล่นกันเรียกว่ามันได้อารมณ์ เร้าใจ และสนุกครึกครื้นมาก ๆ ใครเล่นผิดก็จะถูกปรับเป็น เบียร์หรือเหล้าเอามานั่ซดกัน นี่พูดถึงช่วงซ้อมกันนะครับ

เรามาเดินทางต่อกันครับผมเสียใจนิด ๆ ที่ไม่ได้แวะเข้าไปชมกิจการของโรงเรียนสอนควาย เนื่องจากคุณนายแกปั่นล่วงหน้าไปเรียกว่าไม่เห็นก้นแล้ว จำเป็นเหลือเกินที่จะต้องปั่นไล่หลัง พอได้เหนื่อยครับ เมื่อไปทันคุณนายก็กระซิบว่าผมชักหิวข้าวแล้วล่ะ (มื้อเที่ยง) นิสัยผมเรื่องของการกินข้าวผมชอบกินเป็นมื้อ พอถึงมื้อท้องมันฟ้องเมื่อท้องร้องยกนาฬิกาดูได้ + - ไม่เกิน ๑๐ นาทีเป็นแบบนี้มาตั้งสมัยทำงาน ปั่นไปก็หาร้านอาหารที่โฆษณาว่า "อาหารตามสั่ง" เพื่อจะได้สั่งเขาทำอาหารมังสวิรัติ(เจ) มันก็แปลกหาไม่ได้เลยเพราะเป็นช่วงที่เราปั่นออกไกลจากเมืองแล้ว แต่ในที่สุดก็เจอข้างทางใต้ต้นไม้ร่มรื่น สั่งผัดไทยเจ + ข้าวเปล่า อร่อยพอใช้ รอดตายครับ


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

:lol: :lol: ไปอีสานเที่ยวนี้ผมผิดหวังนิดนึงคือ ผมอยากเห็นแดนอีสานเป็นแดนแห่งพุทธภูมิอย่างแท้จริง แต่ป้จจุบันอีสานบ้านเฮากับเหนือบ้านฮา เป็นแดนพาณิชย์พุทธอย่างเต็มรูปแบบ วัดแต่ละวัดต่างแข่งขันกันเบ่งบารมีการก่อสร้างสิ่งทีเรียกกันว่า "ถาวรวัตถุ" มากขึ้น ๆ ที่สำคัญมาก ๆ การสร้างอะไรที่ใหญ่ที่สุดในโลกช่างเป็น ฮอต-ฮิต กันเหลือเกิน เราอาจจะประเมินด้วยตาได้ว่าในปัจจุบันคนส่วนใหญ่ของชาวพุทธนิยมการให้ ทาน มากกว่าการรักษา ศีล ยิ่งเรื่องของการ ภาวนา เลิกพูดกันได้

พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ ท่านย้ำผมเสมอ ๆ และกำชับอีกว่าจงไปนำศีลธรรมให้กลับมา แต่ก่อนผมเรียกว่าไร้เดียงสา "แล้วเราจะไปทำอะไรได้" วันนี้รู้แล้วและตระหนักในความห่วงใยบ้านเมืองของ พอ่ แม่ ครูบาอาจารย์ ผมจะทำอย่างเต็มที่แต่ก็ทำเท่าที่ทำได้ วันนี้สิ่งที่ผมประทับใจและเห็นชัดว่า "โลกกำลังเดินทางไปสู่ความเสื่อม" คงอีกไม่นานต้องเป็นไปตามกฏของพระไตรลักษณ์ คือ "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ในขณะที่เราทำตามที่ครูบาอาจารย์สั่ง เราก็ต้องปฏิบัติที่ตัวเราด้วย เพื่อมิให้ ใจของเราต้องตกต่ำตามไปกับกระแส วันนี้เวลานี้ชัดเจนครับ "ผู้ประพฤติธรรมเท่านั้นที่จะอยู่เป็นสุข" :lol: :lol:
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
T_lek
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 627
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2011, 07:40
Tel: 0818914972
team: TEPSATREE CYCLING CLUB (รถถีบค่ายเืทพ)
Bike: PEUGEOT Black Rock Cromo By MJ
ตำแหน่ง: นครศรีธรรมราช

Re: ............พาคุณนาย ไปทัวริ่ง ..... โดย พี่แดงสารภี ..............

โพสต์ โดย T_lek »

:D เข้าพรรษาแล้ว.....ยังคงติดตามอยู่เหมือนเดิมครับ... :D
ปั่นไม่ไว แต่จะ ไปให้ถึง
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ............พาคุณนาย ไปทัวริ่ง ..... โดย พี่แดงสารภี ..............

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

T_lek เขียน::D เข้าพรรษาแล้ว.....ยังคงติดตามอยู่เหมือนเดิมครับ... :D
:) :D ทำไมต้องมีวันเข้าพรรษา?

รูปภาพ ประเพณีเข้าพรรษาเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธกาล แรกๆ ยังไม่มีประเพณีนี้ แต่ตอนหน้าฝน ชาวนาทำนากัน เวลาพระเดินก็ไปเหยียบโดนข้าวกล้าบ้าง เหยียบแมลงตายโดยไม่รู้ตัวบ้าง จนชาวบ้านเขาติเตียน ต่อมามีคนไปกราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์จึงทรงบัญญัติให้มีการจำพรรษาในช่วงหน้าฝน 3 เดือน คือ ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ช่วง 3 เดือนนี้ พระภิกษุสงฆ์จะอยู่อาวาสเดียวตลอด 3 เดือน ไม่จาริกไปในที่ต่างๆ ประเพณีเข้าพรรษาจึงเกิดขึ้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน


:idea: :idea: อธิษฐานเข้าพรรษา

ในสมัยพุทธกาล เมื่อถึงเทศกาลเข้าพรรษา พระเถระรูปหนึ่งชื่อว่า พระมหาปาละ เมื่อเทศกาลเข้าพรรษาใกล้เข้ามา ได้ชวนพระภิกษุเพื่อนสหธรรมิกด้วยกันสามสิบรูปเดินทางไปหาสถานที่สงบจำพรรษาในถิ่นชนบทเพื่อจะได้เป็นสถานที่บำเพ็ญสมณธรรมได้อย่างเต็มที่ เมื่อพระมหาปาละเดินทางถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งได้บอกความประสงค์กับท่านผู้ใหญ่บ้านว่า ท่านจะขอจำพรรษาที่หมู่บ้านแห่งนี้สามเดือน ผู้ใหญ่บ้านได้เรียกประชุมชาวบ้านแล้วแจ้งเรื่องดังกล่าวให้ชาวบ้านทราบ

เมื่อชาวบ้านได้ทราบข่าวดีดังนั้น จึงได้ชวนการสร้างสร้างศาลามุงบังด้วยใบไม้แบบง่ายๆ เพื่อกันร้อน กันหนาว กันเหลือบ กันยุง กันริ้น กันไร เหมาะสำหรับบำเพ็ญภาวนา ที่เรียกว่า บรรณศาลา ให้แก่ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นได้พักอาศัย

เมื่อถึงวันอธิษฐานพรรษา พระมหาปาละหัวหน้าสงฆ์ ได้ประชุมพระสงฆ์และถามว่า ในพรรษานี้ พวกเราทั้งหลายจะปฏิบัติธรรมด้วยอิริยาบถเท่าไร

พระสงฆ์ส่วนใหญ่ก็ตอบว่า จะปฏิบัติธรรมด้วยอิริยาบถสี่ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน ด้วยสติสัมปชัญญะ

สำหรับพระมหาปาละได้กล่าวคำอธิษฐานแก่ พระภิกษุทั้งหลายว่า จะปฏิบัติธรรมด้วยอิริยาบถสาม คือ ยิน เดิน นั่ง เท่านั้น จะไม่ยอมแม้แต่เอนกายลงขนานกับพื้น

พระภิกษุเหล่านั้น ต่างปฏิบัติธรรมตามคำอธิษฐานอย่างเต็มที่เพื่อหวังได้บรรลุธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งภายในพรรษานี้

เวลาผ่านไปเพียงสองเดือน พระมหาปาละเจริญสติภาวนาอย่างจริงจังมิได้หลับนอนแต่อย่างใด ตาของท่านเริ่มปวด มีน้ำตาไหลเยิ้มออกมาอยู่เสมอ

ภิกษุทั้งหลายจึงบอกกับอุบาสกอุบาสิกาที่ปวารณาไว้ว่า ให้ไปหายาหยอดตามาถวายแก่พระพระมหาปาละ

หมอตามาตรวจตาของท่านแล้ว พบว่า หากจะหยอดตาให้ได้ผล ท่านจะต้องนอนหงาย หรือ เอนกายลงแล้วหยอดตา แต่พระมหาปาละยังยืนยันที่จะเจริญภาวนาด้วยอิริยาบถสาม ไม่เอนกายลงขนานกับพื้นเด็ดขาดตามที่ได้อธิษฐานไว้

การนั่งหยอดตา ทำให้น้ำยาที่หยอดเข้าสู่ดวงตาได้ไม่เต็มที่ เมื่อหมอตาเห็นว่า พระมหาปาละหยอดตาไม่ถูกวิธี และขอร้องอย่างไรก็ไม่เป็นผลจึงกลับมาบอกพระเถระว่า ขอยุติการรักษา เพราะถ้านั่งหยอดตาอย่างนี้ รักษาเท่าไรก็ไม่หาย

พระเถระยอมรับการตัดสินใจยุติรักษาของหมอตาอย่างสงบ โดยไม่มีการต่อรองใดๆ แต่ท่านได้มุ่งมั่นภาวนามากขึ้น ยิ่งใกล้วันออกพรรษา น้ำตาก็ไหลออกไม่หยุดอาการเจ็บก็กำเริบขึ้นตามลำดับ จนถึงคืนวันออกพรรษาทันทีที่ดวงตาของท่านบอดสนิท ท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์หมดกิเลสอันเป็นเหตุแห่งทุกข์สิ้นเชิง

เมื่อดวงตานอกดับไป ดวงตาในก็สว่างไสวมาทดแทน

ขณะที่ดวงตานอกยังสว่างไสว เมื่อดู หรือ เห็นสิ่งใดด้วยความไม่สำรวม จนเกิดความชอบ ชังหรือ ความเพลิดเพลินก็อาจนำมาก่อเหตุแห่งทุกข์นานัปประการ แต่ความสว่างไสวแห่งตาในเป็นความสว่างไสวอันนำความสุขสงบเป็นนิรันดร์มาให้นับว่า ความสูญเสียตานอกเพื่อให้ได้ตาในมาของพระมหาปาละคุ้มค่ายิ่งนัก

เมื่อออกพรรษาแล้ว พระภิกษุก็ทยอย เดินทางมาเฝ้าพระพุทธเจ้าที่เชตวันมหาวิหารเมืองสาวัตถี แต่เนื่องจากพระมหาปาละยังคอยหลานชายมารอรับจึงต้องกลับเมืองสาวัตถีล่าช้า ไม่นานนักหลานชาย เดินทางมาถึงในเพศสามเณรเพื่อป้องกันอันตรายจากโจรผู้ร้ายระหว่างทาง นั่นก็หมายความว่า เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของโจรผู้ร้ายทั่วไปในสมัยนั้นว่า จะไม่ปล้นหรือทำร้ายพระภิกษุสามเณร

สามเณรจูงพระเถระออกเดินทางมุ่งหน้าสู่กรุงสาวัตถีซึ่งจะต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ เจ็ดวัน แต่เมื่อสามเณรเดินทางไปเพียงไม่นานนักได้ยินเสียงจากสาววัยรุ่นสิบห้าหยกๆ สิบหกหย่อนๆ ร้องเพลงไปพลาง เก็บไม้ฟืนไปพลาง บริเวณป่าละเมาะริมทางเดิน สามเณรรู้สึกรันจวนใจหวั่นไหวยิ่งนัก จึงออกอุบายบอกพระเถระว่า ขออนุญาตไปทำธุระริมทางหน่อย

พระเถระก็อนุญาตด้วยดี

สามเณรหายไปครู่ใหญ่แล้วเดินออกมาชวนพระเถระว่า เราออกเดินทางกันเถิดขอรับ

พระเถระรู้ว่า สามเณรแวะริมทางไปทำมิดีมิร้ายกับหญิงสาวแบบชายหนุ่มหญิงสาวที่กระสันรัญจวนพึงกระทำกันในที่เปลี่ยวแล้ว จึงบอกสามเณรว่า บัดนี้เธอกลายเป็นคนเลวเสียแล้ว เธอสละเพศแห่งสามเณรเสียเถอะ ไม่ต้องจูงฉันอีกแล้ว อย่าได้มาแตะไม้เท้าฉันอีกต่อไป เธอกลับไปบ้านตามทางของเธอเถิด

หลายชายของพรเถระรู้สึกสลดใจในพฤติกรรมของตน จึงเปลื้องจีวรออกจากกายนุ่งห่มผ้าแบบเพศคฤหัสถ์แล้ว วิ่งหนีพระเถระไปอย่างไม่เหลียวหลัง

ส่วนพระมหาปาละก็ใช้ไม้เท้าคลำทางเดินเรื่อยๆ ไปทีละเล็กทีละน้อย เพราะยังไม่คุ้นเคยกับชีวิตใหม่ในโลกมืด แต่ก็มิได้มีความทุกข์ใจแต่อย่างใด

กล่าวกันว่า อาสน์ของท้าวสักกะเทวราชที่เคยอ่อนนุ่มบัดนี้แข็งกระด้างขึ้นมาเพราะพระเถระผู้ทรงคุณธรรมอันสูงส่งได้รับความลำบากอยู่ในหนทาง จึงแปลงกายเป็นชายหนุ่มเดินทางผ่านมาแล้วถามว่า

พระคุณเจ้าจะเดินทางไปไหนขอรับ

พระมหาปาละตอบว่า จะไปยังกรุงสาวัตถี

ชายหนุ่มอาสาสมัครว่า ถ้าอย่างนั้น กระผมขออาสานำพระคุณเจ้าเดินทางไปกรุงสาวัตถีเองขอรับ

พระเถระทราบว่า ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนดีมีน้ำใจหรือท่านสัมผัสได้ว่า ชายหนุ่มคนนี้มิใช่คนธรรมดาจึงอาสามานำท่านเดินทางไกลอย่างนี้ ท่านจึงยินยอมแต่โดยดี

กล่าวกันว่า ระยะทางจากจุดที่พระเถระกำลังเดินอยู่ไปถึงกรุงสาวัตถีต้องใช้เวลาเดินทางเจ็ดวันเต็ม แต่ท้าวสักกะเทวราชได้ย่นทางจากระยะทางเดินเจ็ดวันให้เหลือเพียงวันเดียว เพราะฉะนั้น เย็นวันนั้น ท้าวสักกะจึงนำพระเถระถึงเมืองสาวัตถีเข้าพำนักใน เชตวันมหาวิหารโดยสวัสดิภาพ

เมื่อท่านเดินทางถึงเชตวันมหาวิหาร เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ยังไม่ได้เฝ้าพระพุทธเจ้า พระสงฆ์เจ้าหน้าที่ฝ่ายที่พักได้จัดที่พักให้แล้ว ท่านก็เข้าที่พัก เพื่อพักผ่อนด้วยความอ่อนล้าจากการเดินทางไกล คืนนั้นฝนตกหนัก หลังจากฝนซาแล้ว แมลงเม่า ขึ้นมาจากพื้นดิน บ้างก็บินไปได้ไกล บ้างก็ปีกหลุด บินไม่ไหว คลานยั้วเยี้ยอยู่โดยทั่วไป

เวลาเช้าตรู่พระมหาปาละแม้ว่าบรรลุพระอรหันต์แล้ว ก็ตื่นขึ้นมาเดินจงกรมรอบๆบริเวณที่พัก เนื่องจากท่านตาบอดมองไม่เห็นแมลงเม่าเหล่านั้น หลังจากท่านเดินจงกรมเสร็จแล้ว พระสงฆ์เดินผ่านมาเห็นแมลงเม่า ตายเกลื่อนอยู่บนทางจงกรมเป็นจำนวนมาก จึงพากันโจทย์จันว่า มีพระอาคันตุกะ มาจากไหนก็ไม่รู้ ตื่นมาเดินจงกรมเหยียบแมลงเม่าตายเป็นจำนวนมาก เวลาเดินก็ขาดสติมิได้ดูเส้นทางที่เดินจึงเหยียบแมลงเม่าตายเกลื่อนทางเดินจงกรม

พระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมา ตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า เธอสนทนากันอยู่ด้วยเรื่องอะไร

พระภิกษุเหล่านั้นกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า กำลังสนทนาเรื่องพระภิกษุรูปหนึ่ง เดินซุ่มซ่ามเหยียบแมลงเม่าตายเป็นเบือบนที่เดินจงกรมเลยพระพุทธเจ้าข้า

พระพุทธเจ้าทราบความนั้นแล้ว จึงให้พระภิกษุไปตามพระภิกษุรูปนั้นมาแล้วตรัสถามว่า เธอเดินจงกรมเจตนาที่ฆ่าแมลงเม่าหรือไม่

พระเถระตอบว่า ข้าพระพุทธเจ้าเดินจงกรมพระพุทธเจ้าข้ามิได้มีเจตนาเหยียบแมลงเม่าแต่อย่างใด

พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า เธอเห็นแมลงเม่าไหม

พระเถระตอบว่า ไม่เห็นพระพุทธเจ้าข้า

พระองค์ตรัสถามต่อไปว่า ทำไมจึงไม่เห็น

พระเถระตอบว่า เพราะข้าพระพุทธเจ้าตาบอดพระพุทธเจ้าข้า

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า การที่พระภิกษุรูปนี้เหยียบแมลงเม่าตายเป็นอันมากจะบาปไหม

พระองค์ทรงทราบความทั้งหมดด้วยพระองค์เองแล้ว แต่ต้องการซักถามให้ภิกษุทั้งหลายได้ประจักษ์ถึงเรื่องนั้นอย่างชัดเจนว่า เป็นเช่นไร เมื่อภิกษุทั้งหลายทราบแล้ว พระองค์จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย พระภิกษรูปนี้ เป็นพระอรหันต์แล้ว เจตนาของเธอที่จะคิดฆ่าสัตว์แม้น้อยนิดก็ไม่มีเหลือ เธอจึงไม่บาปเพราะไม่มีเจตนาจะฆ่า

ภิกษุทั้งหลายทูลถามต่อว่า เมื่อพระภิกษุรูปนี้มีบุญญาบารมีพร้อมจนถึงบรรลุพระอรหันต์แล้ว ทำไมจึงตาบอด

พระองค์จึงตรัสว่า ที่เป็นอย่างนี้เพราะพระอรหันต์รูปนี้ยังมีบุพพกรรมที่เหลืออยู่ต้องชำระสะสาง แต่เธอมีความเพียรมากจึงบรรลุพระอรหันต์ในวันที่ตาบอดสนิท

พระองค์จึงเล่าบุพพกรรมให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีแม่และลูกสาวอยู่ด้วยกันสองคน ลูกสาวรูปร่างหน้าตาดี มีความกตัญญูต่อแม่มาก ต่อมาแม่ตาบอด ลูกสาวแสนสวยและแสนดีคนนี้ก็เที่ยวหายาหยอดตามาให้แม่ แทนที่ยิ่งหยอดยิ่งสว่าง กลายเป็นยิ่งหยอดยิ่งมืดลง อยู่มาวันหนึ่งลูกสาวแสนดีคนนี้ จึงไปหาหมอตาชั้นดี แล้วบอกว่า ถ้าคุณหมอรักษาแม่ของหนูให้หายได้ หนูจะให้เงินคุณหมอตามที่เรียกร้องหากเงินไม่พอจะยอมเป็นภรรยาของคุณหมอ เนื่องจากลูกสาวคนนี้ดีและสวยพร้อม คุณหมอจึงเลือกที่จะขอเธอมาเป็นภรรยาแทนค่ารักษาถ้าคุณหมอรักษาดวงตาแม่หายสนิท หมอจึงมาดูอาการทางตาแล้ว ปรุงยาเพียงขนานเดียว หยอดไม่กี่ครั้งดวงตาของแม่ก็สว่างไสวในทันใด สร้างความปลื้มใจให้แก่ลูกสาวเป็นอันมากที่ได้ตอบแทนบุญคุณของแม่ แต่แม่เองพอหายจากอาการตาบอดแล้วเกิดความโลภขึ้นมาไม่อยากจะมอบลูกสาวให้หมอตามสัญญา จึงแกล้งโกหกหมอไปว่า ยาที่คุณหมอนำมารักษาดวงตานั้น ดวงตายังไม่สว่างเลย

หมอรู้ว่า นางโกหก เพราะยาขนานนี้เป็นยาชั้นเยี่ยม รักษาเพียงครั้งเดียวก็หาย จึงบอกกับนางว่า ถ้าอย่างนั้นจะปรุงยาขนานใหม่ให้อีก หมอรู้ว่า นางจะไม่ยอมให้ลูกสาวตามสัญญาที่มีต่อกัน จึงบอกว่า ยาที่หยอดนั้นไม่ช่วยให้ดวงตาเห็นชัดขึ้น จึงปรุงยาที่หยอดแล้วทำให้ตาบอดสนิทมอบให้แก่นาง เมื่อนางหยอดยาแล้ว ตากลับบอดดังเดิมแล้วหมอก็จากไป

ด้วยบุพพกรรมนี้ หมอคนนั้น ได้เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์นับไม่ถ้วน และแต่ละชาติก็ต้องใช้หนี้กรรมที่ทำไว้กลายเป็นคนตาบอดจนถึงชาติสุดท้ายจึงได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ที่ตาในสว่างไสว แต่ตานอกบอดสนิท

พระพุทธเจ้าจึงจบบทสนทนาด้วย พระพุทธพจน์บทธรรมที่ว่า

ธรรม(สิ่งทั้งหลาย) มีใจเป็นหัวหน้า มีใจถึงก่อน สำเร็จแล้วด้วยใจ

หากใจถูกกิเลสเข้าไปประทุษยร้าย(ผสม) การทำและการพูดก็จะคล้อยตามใจไปเหมือนล้อเกวียนย่อมติดตามรอยเท้าโคไปอย่างใกล้ชิดฉะนั้น

การรักษาใจมิให้กิเลสประทุษร้ายจึง เป็นทางแห่งการรักษากายวาจาให้ปลอดภัยไม่เบียดเบียนตนเองไม่เบียดเบียนผู้อื่น

ในวโรกาสเข้าพรรษามาถึงนับเป็นวาระพิเศษที่พุทธบริษัททั้งหลายจะได้ขวนขวายสร้างสรรค์ความดีเพิ่มพูนคุณภาพกาย คุณภาพจิตให้มากขึ้นอีกหนึ่งพรรษา จึงควรมาร่วมกันอธิษฐานว่า ในวาระพรรษากาลนี้ พวกเราจะร่วมกัน คิดดี พูดดี ทำดี คบคนดี ไปสู่สถานที่ดีๆ สร้างครอบครัวให้ดี ทำงานให้ดี รักษาสุขภาพกายและสุขภาพจิตให้ ทำธุรกิจการงานดี ได้รับเงินดี กายดี จิตดี ไม่มีโรคกาย ไม่มีโรคจิต ชีวิตเป็นสุขสงบเย็น

ขอความปรารถนาที่ดีงามเหล่านั้นของท่านสาธุชนทั้งหลายจงสำเร็จโดยพลันด้วยการพากันปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามสมควรแก่ธรรมทุกท่านทุกคนเทอญ

วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 8.30 น.

วัดพุทธปัญญา เมืองโพโมน่า มลรัฐแคลิฟอร์เนีย

ดร.พระมหาจรรยา สุทธิญาโณ

เจ้าอาวาสวัดพุทธปัญญาและวัดลอยฟ้า
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ............พาคุณนาย ไปทัวริ่ง ..... โดย พี่แดงสารภี ..............

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

:lol: :lol: เมื่อเรา ๒ คนเติมพลังเต็มอิ่ม พักให้ข้าวเรียงเมล็ดสักครู่ จึงออกเดินทางตาม ๒ หนุ่มซึ่งไม่ทราบว่าป่านชะนี้ปั่นไปถึงไหนแล้ว แต่ไม่นานครับก็ได้รับ โทร ฯ จากท่าน ผอ.ว่าถึงตรงนั้นตรงนี้ สุดท้ายท่าน ผอ. + อ.ภมรก็มารอเรา ๒ คนที่ปั๊ม ปตท.ก่อนถึงทางเข้า อ.กบินทร์บุรี เมื่อมาทันกันตรงที่เขานั่งรอ คุณนายรีบเข้าไปหาซื้อเสบียงเพื่อเตรียมสำหรับมื้อเย็นใน 7-11 มีขนม เครื่องกระป๋องสำหรับข้าวต้ม ฯ

ณ ที่จุดนี้ท่าน ผอ.ได้แจ้งให้ทราบว่าตามที่ เสธ ฯ มหิงสาจาก กำแพงพนครเวียงจันทร์แนะนำให้ไปพักที่ อช.ทับลาน ก่อนเข้า อ.วังน้ำเขียว ท่าน ผอ.แจ้งว่าได้รับ โทร ฯ เรื่องงานที่ยังคั่งค้างอยู่มีความจำเป็นต้องรีบกลับไป Clear จึงตกลงใจกับ อ.ภมรว่า ทั้ง ๒ ท่านจะตรงเข้า กทม.เลยคงต้องแยกกันตรงจุดนี้ ปล่อยให้ผม + คุณนายเดินทางไป อ.วังน้ำเขียวกัน ๒ คน เพื่องานของท่าน ผอ.ผมก็เห็นด้วยเพราะถ้าเข้าไปนอนที่ อช.ทับลานรุ่งเช้าต้องปั่นย้อนกลับมาอีกตั้งไกลช้าโดยใช่เหตุ

คุณนายเมื่อทราบว่าต้องมีการแยกทางกัน ณ จุดนี้ คนซึ่งเพิ่งฝึกทัวร์ริ่งทางไกล ๆ เกิดอาการตกใจนิด ๆ แต่ยังควบคุมสติ อารมณ์ไว้ได้ คุณนายรีบแบ่งสิ่งของที่จัดซื้อพวกขนมต่าง ๆ แบ่งให้ทั้งท่าน ผอ.และ อ.ภมร เป็นเสบียงติดตัวไปเนื่องจากจะแยกจากกันแล้ว ผอ.ครั้งแรกจะไม่ยอมรับคุณนายแกขยั้นขยอจน ผอ.อ่อนใจต้องจำยอม ในที่สุดเราก็อำลาจากกัน ณ ที่ปั๊ม ปตท.โดยทาง ผอ.และ อ.ภมร ออกเดินทางก่อน ส่วนผมกับคุณนายออกตามหลัง

ปั่นได้ซักไม่ถึง ๓ กม.สังเกตุเห็นคุณพอดี (จักรยานของคุณนาย) วิ่งผิดสังเกตุคือไปเอื่อย ๆ เหมือนไม่มีแรงปั่นก็ได้ประกบสอบถามเป็นไรไหม คำตอบคือไม่เป็นอะไร แต่แววตามีความกังวล ประกอบกับช่วงนั้นท้องฟ้าร้อนผิดปรกติ โดยประสบการณ์ทราบโดยอัติโนมัติยังไง ๆ เจอฝนแน่นอน ตามไปครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น :lol: :lol:


รูปภาพ

รูปภาพ

:( :( ตั้งแต่ผมได้ไปเห็นโรงเรียนฝึกควาย ผมเกิดติดใจและอยากรู้จังควายไทยทุกวันนี้มันไม่ค่อยได้เห็นกันแล้ว ถ้าไม่ออกไปบ้านนอกจริง ๆ อย่าหวัง เมื่อครั้งไปที่ จ.น่านเพื่อร่วมงานฌาปนกิจเพื่อนร่วมรุ่นได้รับหนังสือเสน่ห์น่านฉบับเดือน ก.ค.มาเล่มหนึ่งมีเรื่องควายให้อ่านด้วยจึงได้ทราบว่าประชากรควายไทยลดลงน่าใจหาย ในขณะที่เพื่อนบ้านส่วนใหญ่ควายเขาจะเพิ่มขึ้น ๆ อย่างมาเลเซียพื่นที่เขาเล็กว่าเมืองไทยหลายเท่าแต่มีควายถึงสองแสนตัว เขมร ๘๔๐,๐๐๐ ลาว ๑,๔๐๐,๐๐๐ พม่า ๑,๘๐๐,๐๐๐ เวียตนาม ๒,๒๐๐,๐๐๐ อินโดนีเซีย ๒,๘๐๐,๐๐ ตัว

เชื่อหรือไม่ปี ๒๕๒๓ ไทยมีควายมากที่สุดในโลกจำนวน ๖ ล้านตัว ปี ๔๐ เหลือ ๒ ล้านและปี ๕๑ เหลือ ล้านสาม ล่าสุดสำรวจปี ๕๔ เหลือ ล้านสอง น่าเป็นห่วงมาก เพราเดี๋ยวนี้ปั่นผ่านไปยังทุ่งนาแถบบ้านนอกไม่ว่าที่ไหน ๆ จะใช้ควายเหล็กกันหมดแล้ว ควายไว้ใช้เป็นสัตว์อาหารเลี้ยงโลกไปซะแล้ว ในขณะที่ปัจจุบันนี้ยังไม่การส่งเสริมการเลี้ยงเพื่อบริโภค อีกไม่ช้าควายจะหมดประเทศ :( :(
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
nakabike
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 580
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2011, 11:20
Tel: 0810522800
team: Phonphisai Cycling Team
Bike: Wheeler 7900zx + KHS Cromo

Re: ............พาคุณนาย ไปทัวริ่ง ..... โดย พี่แดงสารภี ..............

โพสต์ โดย nakabike »

สวัสดีครับพี่แดง
ยังติดตามอย่างใกล้ชิดครับ
ช่วงนี้มีแต่ฝนกับงานราชการ
ไม่ได้ว่างปั่นไกลๆ อาศัยรอบๆเมืองเพื่อสร้างภาพ
ขอให้พี่ๆมีความสุขในการออกทริปนะครับ
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ............พาคุณนาย ไปทัวริ่ง ..... โดย พี่แดงสารภี ..............

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

nakabike เขียน:สวัสดีครับพี่แดง
ยังติดตามอย่างใกล้ชิดครับ
ช่วงนี้มีแต่ฝนกับงานราชการ
ไม่ได้ว่างปั่นไกลๆ อาศัยรอบๆเมืองเพื่อสร้างภาพ
ขอให้พี่ๆมีความสุขในการออกทริปนะครับ
:) :D สวัสดีครับ ท่าน ผอ. ขอบพระคุณมากครับที่ยังติดตาม (ใกล้ชิด) และอวยพรให้พวกเรามีความสุข คงเช่นกันที่อยากจะให้ท่าน ผอ.ได้รับความสุขเหมือนที่พวกเราได้รับ แม้จะเป็นเพียงทริปสั้น ๆ รอบเมืองแต่ได้สาระ ผมไม่คิดว่าเป็นการสร้างภาพ แต่ผมกลับคิดว่า ท่าน ผอ.เป็นอีกหนึ่งที่ได้จุดประกายให้กับคนรอบข้างหรือผู้ที่พบเห็นได้ตระหนักถึงสุขภาพ ตลอดจนแนวทางการเดินทางโดยจักรยาน เพราะปัจจุบันจักรยานเริ่มจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ๆ จากภาพที่ท่านคิดว่าท่านกำลังสร้างนี่แหละครับคือประกายไฟที่จะไปสันดาป ให้เกิดการลุกไหม้ใน อ.โพนพิสัย อีกหน่อยโพนพิสัยอาจกลายเป็นเมืองจักรยานอีกเมืองหนึ่ง ใครจะรู้ ยินดีกับกิจกรรมของท่านครับ ขอให้มีความสุขกับกิจกรรมนี้อย่ารู้คลายนะครับ สวัสดีครับ :) :D

:idea: :idea: เกร็ดความรู้ 10 วิธีจัดการความวิตกกังวลอย่างได้ผล

ไม่เคยมีใครเลยในโลกนี้ ที่ไม่มีความวิตกกังวล แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถรับมือกับความวิตกกังวลได้อย่างชาญฉลาด

มีงานวิจัยระบุว่า คนทั่วไป 1 ใน 10 คน มีปัญหาเรื่องความวิตกกังวล จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพ เพราะความกังวลเรื้อรังจะส่งผลเสียต่อสภาพร่างกายและจิตใจ รวมทั้งความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง การทำงาน และชีวิตครอบครัว

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ถูกความกังวลเข้าครอบงำเสมอ และบางครั้งก็ไม่อาจหยุดยั้งมันได้ วิธีการต่อไปนี้อาจช่วยให้คุณจัดการกับมันอย่างได้ผล

1. ทุกปัญหามีทางแก้

เมื่อมีเรื่องยุ่งยากที่เป็นปัญหาเกิดขึ้น คนทั่วไปมักวิตกกังวล ส่งผลให้การแก้ไขปัญหาไร้ประสิทธิภาพ

ฉะนั้น อย่าเอาแต่กังวล นั่งจมกองทุกข์ แต่ต้องระลึกเสมอว่า ทุกปัญหามีทางแก้ และควรคิดหาหนทางแก้ไขปัญหาจะดีกว่า เช่น ค้นหาข้อมูลตามเว็บไซต์ หรือขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้มีประสบการณ์ในเรื่องนั้น

2. อย่าหลอกตัวเอง

หากคุณเป็นคนขี้กังวล มีแนวโน้มจะหลอกตัวเองว่า ที่กังวลใจเพราะกำลังคิดหาวิธีจัดการกับปัญหา ซึ่งในความเป็นจริง ความวิตกกังวลไม่ได้ช่วยให้จัดการปัญหาอย่างได้ผล

ในทางตรงกันข้าม กลับส่งผลร้ายให้มากกว่า เพราะทุกครั้งที่คุณเกิดความกังวล ความเครียดก็จะตามมาติดๆ และเจ้าความเครียดนี่เองที่เป็นบ่อเกิดของสารพัดโรคร้าย

3. อย่าวิตกจริต

ควรเอาสมองไว้คิดในเรื่องที่เป็นประโยชน์ มากกว่าที่จะเสียเวลาตั้งคำถาม “ถ้าหาก....?”

แม้การตั้งคำถามดังกล่าว ดูเหมือนเป็นการไม่ประมาท แต่เมื่ออยู่ในสภาวะวิตกกังวล เรามักคิดในแง่ลบเสมอๆ ซึ่งทำให้เกิดอาการวิตกจริตตามมา ดังนั้น จึงไม่ควรเสียเวลาในการคาดเดาล่วงหน้ากับเรื่องที่ไร้สาระ

4. ยอมรับความไม่เที่ยง

หนึ่งในกฎไตรลักษณ์ ซึ่งเป็นหลักธรรมทางพุทธศาสนา คือ อนิจจัง หมายถึงความไม่เที่ยง ทุกสิ่งในโลกย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา

บุคคลจึงควรตั้งอยู่ในความไม่ประมาท และเรียนรู้ที่จะอยู่และอดทนกับความไม่แน่นอน เพราะการยอมรับในสิ่งไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นในชีวิต จะช่วยให้ไม่ทุกข์จนเกินไป และความวิตกกังวลก็น้อยลง ส่งผลให้มีความสุขมากขึ้น

5. อย่าเก็บกดความวิตกกังวล

เมื่อเริ่มรู้สึกวิตกกังวลในบางเรื่อง อย่าพยายามต่อสู้หรือฝืนที่จะไม่เก็บมันมาคิด เพราะเมื่อพยายามกดไว้ ที่สุดแล้วมันจะกระเด้งกลับเข้ามาแรงยิ่งกว่าเดิม

วิธีที่ควรทำคือเผชิญหน้ากับมัน ด้วยการเฝ้ามองและรับรู้ แต่ไม่เอาใจเข้าไปผูกพัน หรือเอาจิตเข้าไปปรุงแต่ง และก็ข้ามผ่านไปทำกิจกรรมอื่นๆที่เป็นประโยชน์ และช่วยให้ใจเบิกบาน เช่น รดน้ำต้นไม้ ให้อาหารสัตว์ ฯลฯ

6. อย่าอยู่กับอารมณ์ด้านลบ

อารมณ์ด้านลบที่เกิดขึ้น อาทิ ความกระวนกระวาย ความเศร้าโศก ความโกรธ ความรู้สึกผิด ความละอายใจ หรือแม้แต่อาการที่เกิดขึ้นทางร่างกาย เช่น ความเหนื่อยล้า ความเจ็บปวด เหล่านี้ล้วนเป็นตัวเร่งให้ความวิตกกังวลเพิ่มมากขึ้น

และหากไม่อาจหยุดยั้งความวิตกกังวลให้เกิดขึ้นได้ อย่างน้อยที่สุด พยายามอย่าให้มันเกิดขึ้นในช่วงที่คุณอยู่ในสภาพอารมณ์แย่ๆ เพราะความรุนแรงจะยิ่งเพิ่มขึ้นและยากที่จะควบคุมไว้ได้

7. แบ่งเวลาจัดการเรื่องที่กังวล

ในเมื่อมีสิ่งที่ยังต้องครุ่นคิดเป็นกังวล ควรหาทางรับมือกับมันอย่างชาญฉลาด ด้วยการแบ่งเวลาให้กับเรื่องนั้นๆโดยเฉพาะ เช่น อาจให้เวลา 1 ชม. หลังเลิกงาน เพื่อจัดการกับปัญหา ส่วนจะแก้ไขสำเร็จหรือไม่นั้น เมื่อครบเวลาที่กำหนดไว้ ก็ควรหยุด และพาตัวเองออกจากสถานการณ์นั้น แล้วกลับบ้าน อาบน้ำพักผ่อนให้คลายเครียด วันรุ่งขึ้นค่อยหาหนทางใหม่แก้ไขกันต่อไป

8. อยู่กับปัจจุบันขณะ

การใช้เวลาหมกมุ่น เฝ้ากังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต ทำให้เหลือเวลาน้อยลงกับความสุขที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน ดังนั้น อย่าจดจ่ออยู่กับเรื่องที่เป็นกังวล ขอให้โฟกัสในสิ่งที่กำลังทำอยู่ในเวลานั้น เช่น ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ ทำสวน ฯลฯ ซึ่งจะทำให้ลืมความวิตกกังวลไปได้บ้าง

9. หยิบความกังวลออกจากสมอง

บ่อยครั้งที่ความวิตกกังวลอาจทำให้นอนไม่หลับ เพราะสมองมัวแต่ครุ่นคิดถึงปัญหาและหนทางแก้ไข จนกระทั่งร่างกายอยู่ในสภาพอิดโรย เพราะนอนหลับไม่เพียงพอ

วิธีหนึ่งที่จะจัดการได้ คือ เตรียมปากกาและกระดาษไว้บนหัวเตียง เมื่อรู้สึกนอนไม่หลับ ให้เขียนสิ่งที่ต้องทำในวันรุ่งขึ้น รวมถึงเรื่องที่วิตกกังวล การกระทำเช่นนี้เปรียบเหมือนการหยิบความกังวลออกจากสมองมาวางไว้ข้างนอก ซึ่งจะช่วยให้หลับได้ง่ายขึ้น

10. เปลี่ยน “ถ้าหาก...” เป็น “ฉันจะ...”

การจะจัดการกับความวิตกกังวลได้ ต้องรู้จักหน้าตาพวกมันเสียก่อน ขอแนะให้จดเรื่องวิตกกังวลที่เกิดขึ้น อย่างย่อๆลงในสมุดบันทึกทุกครั้ง ทำเช่นนี้ประมาณ 1-2 สัปดาห์ จากนั้นลองอ่านทบทวนดูว่า สิ่งที่กังวลส่วนใหญ่นั้นเป็นเรื่อง “ถ้าหาก...” หรือไม่ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า ความกังวลเช่นนี้ไม่มีประโยชน์

คุณสามารถเปลี่ยนมันให้กลายเป็น “ฉันจะ...” ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ปัญหา และทำให้ไม่เครียด เช่น เปลี่ยนจากความกังวลที่ว่า “ถ้าหากฉันหาเงินไม่ได้ในวันนี้ ฉันคงต้องอดข้าวเป็นแน่” เป็น “ฉันจะไปรับจ้างทำงานเล็กๆน้อยๆพอให้ได้เงินมากินข้าวก่อน”

เครดิตจาก : สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

:lol: :lol: บอกแล้วครับหลังจากที่เราแยกกัน ณ ปั๊ม ปตท.ท่าน ผอ.และ อ.ภมร ปั่นออกปราจีนบุรี ส่วนเราสองคนปั่นเพื่อจะไปนอนที่ อช.ทับลาน และเข้า อ.วังน้ำเขียว ไปสระบุรี เยี่ยมเพื่อนตามโปรแกรมและประมาณว่าจะเจอกับท่าน T-Lex ที่กำลังปั่นเข้า อ.วังน้ำเขียว เมื่อท่าน ผอ.และ อ.ภมรเดินทางออกไปก่อนไม่นานเราสองคนก็ออกเดินทาง ตุณนายเกิดมีอาการกังวล คนเคยร่วมเดินทางด้วยกันเมื่อมาจากกันระหว่างทางคนที่ไม่เคยฝึกมา จะเกิดความวิตกกังวล เรื่องนี้เป็นธรรมดา ผมเข้าใจจิตใจของคุณนายและยิ่งเห็นอาการปั่นที่ช้าลง ๆ ยิ่งเข้าใจว่าอาการวิตกกังวล (เหงา) กำลังครอบงำจิตใจ แต่คุณนายเป็นคนใจแข็งจะไม่ปริปากพูดครับ(เกรงใจผม)

เมื่อถึง อ.กบินทร์บุรี แยกขวามุ่งไป อ.วังน้ำเขียว ผมเห็นสถานีขนส่งผมตัดสินใจเลี้ยวเข้าไปทันทีโดยไม่พูดอะไรให้คุณนายทราบ ไปสอบถามเที่ยวรถเข้าโคราช บังเอิญเหลือเกินว่ามีรถและสามารถบรรทุกจักรายานโดยไม่ต้องถอดประกอบเหลือเวลาอีกแค่ ๓๐ นาทีก็จะออก ผมเร่งให้คุณนาย(คะยั้นคะยอ) ให้ขึ้นรถครั้งแรกคุณนายไม่ยอมบอกยังปั่นไหวไม่มีปัญหาอะไร ผมเลยต้องอ้างว่าถ้าเราไปต่อคงเจอฝนแน่นนอน ขึ้นรถไปโคราชแล้วค่อยว่ากันเราอาจปั่นจากโคราชไปสระบุรียังได้เลย ตกลงตามนั้น ๕๕

เมื่อถึงโคราชรถก็พาไปจอดใกล้ ๆ กับ บริษัทนครชัยทัวร์ ลงรถปุ๊บผมก็ดิ่งไปต่อรถกลับเชียงใหม่ทันที คุณนายตกใจนิดนึงขอร้องผมว่าคุณนายอยากปั่นไปกราบหลวงพ่อคูณ ผมบอกว่าเอาไว้วันหลังค่อยมาใหม่ ตอนนี้ตั๋วเรียบร้อยแล้ว เป็นอันว่าเราได้ต่อรถกลับสารภีทันที ถึงสารภี ก็ขอคนรถให้จอดที่ ป้อมตำรวจ ป่าแดด แล้วปั่นเข้าบ้าน คุณพอดีสะสมไมล์ตั้งแต่ได้รับมาจาก เอ็มเจไบค์ สีพันกว่ากิโลเมตร สร้างความแข็งแรง ความสุขและเปลี่ยนวิถีชีวิตคุณนายไปได้ อย่างไม่น่าเชื่อ :lol: :lol:
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ............พาคุณนาย ไปทัวริ่ง ..... โดย พี่แดงสารภี ..............

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

รูปภาพ

:idea: :idea: ศึกษากรณี'สภาทหาร2502' : มนุษย์สองหน้า โดยแคน สาริกา

เมืองไทยมีรัฐประหารหลายครั้ง โรดแม็พของทหารแต่ละคณะ ก็ไม่แตกต่างกัน หลังจากประกาศใช้ธรรมนูญปกครอง ตามมาด้วยการแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และตั้งนายกรัฐมนตรี สนช.ใต้เงาปืน ก็เป็น "สภาแต่งตั้ง" และผู้ที่จะเข้ามานั่งเก้าอี้ สนช. ซึ่งกว่าครึ่งสภาก็หนีไม่พ้น "ทหาร" จะแปลกแตกต่างไปบ้าง ตรงที่ สนช.ปี 2549 ที่เป็นสถานการณ์พิเศษ ตรงที่ก่อนเกิดรัฐประหาร มีฝ่ายต้านระบอบทักษิณเคลื่อนไหวชุมนุมใหญ่ต่อเนื่อง เสมือนเป็นเงื่อนไขให้ทหารก่อการยึดอำนาจ จึงมีตัวแทนของฝ่ายต้านทักษิณเข้าไปเป็น สนช.จำนวนหนึ่ง ต่อมา สนช.กลุ่มนี้ ได้กลายเป็น ส.ว. และมีบทบาทชัดเจนว่ายืนอยู่ตรงข้ามกับกลุ่มอำนาจ "ระบอบทักษิณ"

สำหรับปีนี้ มีข่าวว่า จะกลับมาเป็น "สภาทหาร" อีกครั้ง วันก่อน พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ตอบคำถามนักข่าวเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า บ้านเมืองขณะนี้ไม่ได้อยู่ในภาวะปกติ คนที่เข้ามาใน สนช.ได้รับการคัดเลือกอย่างดี กองทัพเองจะส่งใครเข้ามาใน สนช.ก็ต้องกลัวเสียชื่อ ดังนั้นคนที่ส่งเข้าไป ต้องทำการบ้านอย่างหนัก และเป็นคนที่มีความรู้ หลายคนเรียนจบปริญญาโทและปริญญาเอก ด้านรัฐศาสตร์

สนช.ปี 2557 จะคล้ายกับสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2502 เพราะน่าจะเป็นสภาทหารเต็มรูป

ย้อนไปเมื่อรัฐประหาร 20 ตุลาคม 2501 ภายใต้การนำของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ประกาศชัดว่าระบบการเมืองใหม่หรือ "ระบอบปฏิวัติ" ก็คือ ระบอบที่อาศัยรัฐสภาที่มาจากการแต่งตั้งทั้งหมด โดยไม่มีการเลือกตั้งเลย เนื่องจากสภาแต่งตั้งมาจากทหารและข้าราชการประจำนั้น มีวินัย และสามารถควบคุมได้

ต่อมา มีการประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2502 และได้มีการจัดตั้ง "สภาร่างรัฐธรรมนูญ" ซึ่งจะทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และเป็นสภานิติบัญญัติไปด้วย

3 กุมภาพันธ์ 2502 คณะปฏิวัติประกาศตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 240 คน เป็นสภาทหารและข้าราชการเกือบทั้งหมด เพราะมีนายทหารประจำการ เป็นสมาชิกสภามากถึง 150 คนในจำนวนนี้เป็นทหารบก 104 คน ที่เหลืออีก 46 คน เป็นทหารอากาศ ทหารเรือ และตำรวจ เนื่องจากกำลังหลักในการยึดอำนาจมาจากทหารบก ฉะนั้นสัดส่วนในสภาฯ ย่อมมากกว่าเหล่าทัพอื่น สภาร่างรัฐธรรมนูญ ได้เลือก พล.อ.สุทธิ สุทธิสารรณกร รองผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ และมีรองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ 2 คนคือ สัญญา ธรรมศักดิ์ และ ทวี บุณยเกตุ

9 กุมภาพันธ์ 2502 สภาร่างรัฐธรรมนูญ ลงมติให้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หัวหน้าคณะปฏิวัติเป็นนายกรัฐมนตรี

10 กุมภาพันธ์ 2502 จอมพลสฤษดิ์ ตั้งคณะรัฐมนตรีซึ่งมีจำนวน 14 คนโดยไม่มีการแต่งตั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการ รัฐมนตรีเป็นข้าราชการทั้งหมด มีรัฐมนตรีคนเดียวที่เคยเป็น ส.ส. คือ โชติ คุณะเกษม ซึ่งในขณะนั้นเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยโดยได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ส่วน พล.อ.ถนอม กิตติขจร (ยศขณะนั้น) เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.ท.ประภาส จารุเสถียร (ยศขณะนั้น) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หนึ่งเดียวในสยามประเทศ พ.ศ.โน้น จอมพลสฤษดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมกับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก และอธิบดีกรมตำรวจ

นัยว่า สนช.ปี 2557 จะมี "ทหารประจำการ" พาเหรดเข้าสภากันนับร้อยคน รวมถึง "นายพล" มากกว่าสิบนายที่จะนั่งเก้าอี้ รมต. ทั้งที่เป็นนายทหารประจำการและนายทหารนอกราชการ อีกไม่กี่วันข้าง ก็คงได้รู้กันว่า "สนช." และ ครม.ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จะเดินตามรอยคณะปฏิวัติ 2502 กี่มากน้อย


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

:) :D ทริป "เลาะอันดามันฝั่งตะวันออก กับ ถนน เฉลิมบูรพาชลทิต" เริ่มแต่ ๑๘ - ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๗ ก็เป็นอันสุดสิ้นด้วยความสุขสันต์หรรษาผลลัพธ์กับผลสำเร็จตรงตามประสงค์เกินคุ้มเป้าหมายหลักของการไปครั้งนี้อยู่ที่ การได้ไปปั่นในถนนที่มีชื่อเรียกว่า "เฉลิมบูรพาชลทิต" ซึ่งหลาย ๆ คนปรารถนาเหลือเกินที่จะต้องไปสัมผัสกับบรรยากาศแถบนั้นให้ได้สักครั้งหนึ่ง (โดยเฉพาะคนห่างไกลทะเล) เป้าหมายรองคือการได้ขึ้นเขาคิชฌกูชเพื่อกราบสักการะสิ่งศักดิ์กับขอพร ทั้งเป้าหมายหลักและเป้าหมายรองพวกเราก็ได้รับครบ ไม่มีขาดตกบกพร่อง

นอกเหนือจากเป้าหมายหลักและรองแล้ว พวกเรายังได้รับของแถมเพิ่มเติมเป็นกำไรให้อีก นั่นคือความอัศจรรย์ใจที่บังเกิดขึ้นในใจของแต่ละคนแต่ละท่าน ในส่วนของผมเองนั้นได้พยายามสอดแทรกและบรรยายมาโดยตลอด ในส่วนของคุณนายแล้วสิ่งที่เกินคาดหมายคือ คุณนายได้รับการฝึกจิตฝึกใจ เข้าใจบริบทของจักรยานทางไกลเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเด็นของ "การพลัดพราก การรอคอย " ซึ่งต้อง "ทำใจ" คุณนายสามารถผ่านได้ถึง ๗๐ % ก็นับว่าดีมาก คงต้องฝึกอีก และที่สำคัญเป็นครั้งแรกในชีวิตกับการปั่นเลาะฝั่งชายทะเล คุณนายมีความสุขมาก ๆ (น่าอิจฉานะครับ)

ในส่วนของจักรยานนั้นคุณนายรู้สึกถึงความพึงพอใจที่มีต่อ "คุณพอดี" มาก คุณพอดีไม่มีงอแง จุกจิกกวนใจ ตั้งแต่ได้รับมาจาก M.J. คุณพอดียางรั่วเพียงหนเดียวเท่านั้น ขณะนี้วิ่งได้ ๕๐๐๐ กม.แล้วยังไม่มีอุปสรรคใด ๆ เรียกได้ว่า คุณพอดี เป็นจักรยานคู่ใจของคุณนาย ในอนาคตข้างหน้าเราคงจะได้เห็นคุณพอดีกับคุณนายเดินทางไกลไปต่างแดน เช่น สิบสองปันนา คุณหมิง อย่างแน่นอน ปัจจุบันคุณนายให้คุณพอดีได้สลับพักผ่อนกับจักรยานคันอื่น (เจ้าหญิง ขี้เหล่ ตัวเล็ก) ออกกำลังประจำวันในขณะที่ไม่ออกทริป การปั่นจักรยานทำให้สุขภาพจิต สุขภาพกายแข็งแรง กระปี้กระเปร่า กระฉับกระเฉง ไม่เป็นเป็นคนง่วงเหงาเศร้าซึม

เมื่อเราปั่นจักรยานเดินทางจนกระทั่งเป็นวิถีชีวิต การที่จะอยู่นิ่งเฉยไปวัน ๆ คงไม่ใช่ เช่นกันครับคุณนายเป็นแบบนั้นจริง ๆ กลับมาอยู่บ้านได้สัก ๕ - ๖ วันก็เกิดอาการครั่นเนื้อครั่นตัวต้องหาทริปออกปั่นนัยเพื่อต้องการสำรวจเส้นทางต่าง ๆ กับสัมผัสธรรมชาติให้ใกล้ชิด หนีความสับสนวุ่นวายของสังคมเมือง นอกเหนือจากนั้นได้ถือโอกาสปฏิบัติธรรม เป็นการชาร์ทแบตเตอรี่ชีวิตอีกด้วย ในครั้งต่อไปจะได้พาท่านที่สนใจไปเที่ยวสัมผัสกับธรรมชาติแถบ ๆ แม่วาง ตามไปนะครับ :lol: :lol:
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ............พาคุณนาย ไปทัวริ่ง ..... โดย พี่แดงสารภี ..............

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

รูปภาพ

:lol: :lol: คุณนายระยะนี้ตั้งแต่มีคุณพอดีเข้ามาอยู่ในความครอบครอง หยุดปั่นสัก ๒ - ๓ วันจะมีอาการเหมือนคนติดยาครับ ผมจะเลือกทริปที่คิดว่าน่าสนใจนำมาเล่าสู่กันฟังเผื่อว่ามีใครเข้ามาเยี่ยมชมอาจจะเกิดปิ๊ง จะได้เป็น Guide Line ในการเดินทางก็จะเกิดบุญกุศลร่วมกัน ผมได้เกริ่นไว้แล้วว่าจะพาเที่ยวเขต อ.แม่วาง ซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวชอบไปกันมาก มีทั้งการล่องแพ ชื่นชมธรรมชาติ และการไปปฏิบัติธรรม หลากหลาย ช่วงนี้ขออนุญาตุลำดับเรื่องราวก่อนนะครับ แต่ขอนำเสนอน้ำจิ้มเพื่อให้ได้ติดตามกันไปพลาง ๆ ก่อนละกันครับ :lol: :lol:

รูปภาพ
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ............พาคุณนาย ไปทัวริ่ง ..... โดย พี่แดงสารภี ..............

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอแม่วางเป็นอำเภอมาก่อนเมื่อปี พ.ศ. 2461 ต่อมาในปี พ.ศ. 2477 ทางราชการประกาศยุบอำเภอแม่วาง และอำเภอบ้านแม ตั้งอยู่ที่บ้านเปียง ม.13 ต.บ้านแม อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ และต่อมาวันที่ 4 มิถุนายน 2482 ได้ย้ายที่ทำการอำเภอไปตั้งอยู่ที่บ้านสันป่าตอง ม.10 ต.ยุหว่า และเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอสันป่าตองมาจนถึงปัจจุบัน

ปี พ.ศ. 2533 กระทรวงมหาดไทย ได้ประกาศตั้งกิ่งอำเภอแม่วางขึ้น และได้มีพระราชกฤษฎีกาตั้งกิ่งอำเภอแม่วาง เป็นอำเภอแม่วาง เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2538
อำเภอแม่วางตั้งอยู่ทางทิศใต้ของจังหวัดเชียงใหม่ สามารถเดินทางโดยรถยนต์ใช้เส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108 ผ่านอำเภอหางดง และแยกเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1013 ที่หน้าตลาดอำเภอสันป่าตอง มีรถยนต์โดยสารประจำทางจากประตูเชียงใหม่ อ.เมืองเชียงใหม่ บริการทุกวัน ระยะทางจากจังหวัดเชียงใหม่ ถึงอำเภอแม่วาง ประมาณ 37 กิโลเมตร

คำขวัญอำเภอ แดนหอมหัวใหญ่ พฤกษาลือไกล ท่องไพรแม่วิน งามถิ่นแม่วาง

ข้อมูลการปกครอง

1.ตำบล.......5.... แห่ง 3.เทศบาล..1.....แห่ง
2.หมู่บ้าน....57.... แห่ง 4.อบต........5 ... แห่ง

ข้อมูลด้านเศรษฐกิจ

1.อาชีพหลัก ได้แก่ ทำนา ทำสวน ทำไร่
2.อาชีพเสริม ได้แก่ รับจ้าง ทำอุตสาหกรรมในครัวเรือน
3.จำนวนธนาคาร มี 2 แห่ง ได้แก่ ธนาคาร ธกส. โทร. 0-5383-0434 ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด มหาชน
4.จำนวนห้างสรรพสินค้า มี - แห่ง


ด้านสังคม

1.โรงเรียนมัธยม ได้แก่ ร.ร.บ้านกาดวิทยาคม โทร. 0-5348-9170
2.มหาวิทยาลัย ได้แก่ -


ด้านทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญของอำเภอ

อุทยานแห่งชาติแม่วาง
อุทยานแห่งชาติออบขาน
อุทยานแห่งชาติอินทนนท์


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

:) :D สนองและต่อเนื่องมือใหม่ติดใจกับการเดินทางด้วยจักรยาน (คุณนาย) ปรึกษากันหลายวันระหว่าง ลุดม + ลุงป๊อก เนื่องจากเวลาว่างที่ไม่ตรงกัน ในที่สุดตกลงกันว่าจะออกทริปสั้น ๆ เพื่อชาร์ทแบตเตอรี่ชีวิต ไปเขต อ.แม่วาง ซึ่งเป็นสถานที่ ๆ นักท่องเที่ยวชอบพากันไปเที่ยว และเป็นสถานที่เหมาะที่สุดเนื่องจากพรรคพวกเพื่อนฝูงต่างพากันไปซื้อที่ดินหลบภาวะเมืองไปหาความสงบอยู่แถบนั้นหลาย ๆ คน ถ้าประจวบเหมาะเราคงได้แวะเยี่ยมเยียน

นัดหมายกันเป็นที่เรียบร้อยถึงวันนัด ลุงป๊อกซึ่งมีนิวาสถานในตัวเมืองเชียงใหม่ ต้องปั่นมาสมทบกับเรา ที่ บ.ปากกองสารภี (ต้นยางที่ ๕๘) ในวันนี้เราใช้เส้นทางลัดไปทางวัดอุโมงค์ เลาะเส้นในเข้าไปทาง บ.หนองช้างคืน ไม่ลืมที่จะแวะรับ ลุงชัย เราไม่ได้นัดหมายล่วงหน้าประมาณว่า ทดสอบว่าความพร้อมและความฟิตของ ลุงชัย จะกลับคืนมาละยัง หลังจากที่ ทริปตลุยหลังเขาอินทนนท์ ลุงชัย "เดี้ยง" หลังจากนั้นเกือบ ๓ เดือนที่ลุงชัยไม่ได้ออกทริปกับพวกเรา ปรากฏว่าเมื่อไปถึงบ้านลุงชัย ไปสวนลำไย โทร ฯ หาด้วยความใจถึงแกบอกให้พวกเรารอ ขอเวลาครึ่งชั่วโมงพร้อมออก แต่ลุงป๊อกแจ้งให้ทราบว่า "ขอให้ทำงานให้เสร็จครั้งต่อไปค่อยไป" เป็นอันว่าลุงชัยอดไปครับ :lol: :lol:
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ............พาคุณนาย ไปทัวริ่ง ..... โดย พี่แดงสารภี ..............

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

รูปภาพ

:o :o สุขสันต์นอกบ้านในวันหยุด

ไม่ว่าจะสำรวจกี่ครั้ง สำหรับสวิตเซอร์แลนด์นั้น World Database of Happiness จะระบุว่าคนสวิสมีความสุขมาก และเคยเป็นประเทศที่ดีสุดในโลกเมื่อปี 2007 คือ 8.3 จากคะแนนเต็ม 10 ซึ่งแม้ผลสำรวจล่าสุดของ The World Database of Happiness ประจำปี 2013 ถึง "ความสุข" ของคนในแต่ละชาติ พบว่าคนที่มีความสุขมากที่สุดคือชาว Costa Rica แต่ชาวสวิสก็ยังติดท็อปไฟฟ์ คืออยู่อันดับ 4 ต่อจาก Denmark และ Iceland

เคยผ่านตาว่า "ความสุข" ของคนเรานั้นอยู่ที่ 4 อ. คือ อากาศ อาหาร ออกกำลังกาย และอารมณ์

ใน สวิตเซอร์แลนด์ พบว่าชาวสวิส "เลือก" ที่จะอยู่กับ 4 อ.อย่างเต็มที่ เพราะ "อากาศดี" นั้น เป็นที่ยอมรับกันอยู่แล้วว่าที่นี่ท้องฟ้าโปร่ง อากาศแจ่มใส ขณะที่คนสวิสก็ยัง นิยมปั่นจักรยาน เพื่อไปไหนมาไหนโดยรถไฟ รวมทั้งออกกำลังกายโดยการปีนเขา ซึ่งทุกเนินเขา เห็นชาวสวิสมากับครอบครัวเพื่อท่องป่าปีนเขากันมากมาย

ความสวยงามของสวิตเซอร์แลนด์ ... จึงเชื่อว่าเป็นหนึ่งในจุดหมายที่หลายคนอยากไปสักครั้ง และไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราเห็นชาวสวิสและนักท่องเที่ยวชาติต่างๆ ทั้งคนตะวันออกและคนตะวันตกนั่งรถไฟสวิส รวมทั้งสถานีรถไฟทุกแห่งที่ ก็จะพบเห็นรถจักรยานจอดที่สถานีมากมาย เพราะชาวสวิสจะขี่จักรยานมาขึ้นรถไฟไปเที่ยวตามเมืองต่างๆ ขณะที่บางคน (และบางขบวน) ก็อนุญาตให้นำรถจักรยานขึ้นรถไฟไปด้วย

บอกแล้ว...ชีวิตคนสวิสมีความสุขเพราะเขาชอบ 4 อ. ขอยืนยันอีกครั้งว่า เชื่ออย่างที่กล่าวข้างต้น ที่ว่า "ความสุข" ของคนเรานั้นอยู่ที่ 4 อ. คือ อากาศ อาหาร ออกกำลังกาย และอารมณ์จริง ๆ จึงอยากให้วันหยุดนี้...คุณลองออกจากบ้าน ปั่นจักรยานหรือเดินไป...อยากไปไหนก็ขึ้นรถประจำทาง โดยหยุดขับรถสักวัน เชื่อว่าคุณก็จะมี "ความสุข" แน่นอน เหมือน คนสวิสมีความสุขกับการใช้วิตอยู่กลางแจ้งนอกบ้าน ไม่ใช่คิดอะไรไม่ออก ก็ไปห้าง

เครดิต : ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมจาก : 3คืน4วันสุขสันต์นอกบ้านที่สวิตเซอร์แลนด์ ใน คม ชัด ลึก On Line


:lol: :lol: ที่สวิตเซอร์แลนด์ คืออีกหนึ่งฝันที่วันหนึ่งเราจะพากันไปปั่นพักผ่อนที่นั่น แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ :lol: :lol:

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

:) :D เราปั่นผ่านบ้านลุงชัย แวะเพื่อจะชวนแกไปด้วยโดยที่เราไม่บอกล่วงหน้าเพื่อตรวจสอบความพรร้อม หลังจากที่ไม่เคยออกทริปด้วยกันเกือบ ๓ เดือนจาก กุมภาพันธ์ หลังอินทนนท์ครานั้นลุงชัยอาการไม่ดีต้องนั่งรถกลับ และเข้ารับการรักษาตัวเนื่องจากการอ่อนซ้อมปล่อยปละละเลย แล้วมาหักโหมจึงเป็นอุทาหรณ์ว่าการปั่นจักรยานถ้าจะไม่ต้องซ้อมเลยก่อนการออกทริป ต้องใช้จักรยานให้เป็นวิถีชีวิต คือไปไหนมาไหนใช้แต่จักรยาน ถ้าแบบนี้ไม่จำเป็นต้องซ้อมอยากไปก็ไปได้เลย ถ้านาน ๆ จับระวังครับ "เดี้ยง" แน่นอน

ในวันนั้นลุงชัยแกไปตัดแต่งกิ่งและใส่ปุ๋ยลำไย เราไปไม่เจอจึง โทร ฯ ตาม ลุงชัยแกพร้อมและยืนยันจะไปด้วยเพียงแต่ขอเวลาแค่ชั่วโมงเดียวเพื่อกลับมา จัดรถและอุปกรณ์เครื่องใช้ แต่ลุงป๊อกพิจารณาแล้วเกรงว่าจะพาให้เสียงานจึงไม่อนุญาตุให้ลุงชัยกลับมา คงให้ปฏิบัติภารกิจดูแลสวนลำไยต่อไป ไว้ครั้งต่อไปจะแจ้งล่วงหน้า เป็นอันว่าเราได้ทราบแล้วว่าลุงชัยน่ามีร่างกายที่พร้อมออกทัวร์กับพวกเราได้อีกครั้ง

เราเดินทางต่อเลาะลำน้ำปิงจากบ้านลุงชัย ทะลุออกสะพานศรีวิชัย เลี้ยวขวาไปทาง อ.สันป่าตอง ถึงสันป่าตองแวะ ๗ - ๑๑ หาน้ำเย็นดื่มพร้อมซื้อของขบเคี้ยวติดรถ โดยเฉพาะคุณนายเห็น ๗ - ๑๑ เป็นไม่ได้ต้องเข้าประจำ (เป็นตัวตายตัวแทน อ.โอ๊ค) ซึ่งอ.โอ๊ค รักรถรักธรรมทีม ตั้งชื่อให้ฉายาว่า "โอ๊ค ๗ - ๑๑" คือเห็นไม่ได้ว่างั้น :lol: :lol:

ในขณะที่นั่งรอคุณนายหาซื้อของใน ๗ - ๑๑ ผมสังเกตุเห็นมีรถปิคอัพขนเข่งใส่ เมี้ยง ซึ่งเป็นภาพที่หายไปจากความทรงจำแต่ก่อนสมัยเป็นเด็ก ๆ ภาพนี้จะเห็นบ่อยมาก อาจจะเป็นคนสมัยใหม่ไม่นิยมอมเมี้ยงกันแล้ว นาน ๆ จึงจะเห็นรถขนเมี้ยงสักที อาจจะเป็นได้


รูปภาพ :idea: :idea: ใบเหมี้ยง (ใบชา) แต่โบราณชาวลานนา จะนิยมเก็บแล้วนำนึ่ง นึ่งเสร็จก็นำมาหมักดองจนออกรสเปรี้ยว นำมาทำเป็นกำ ๆ ออกขายชาวบ้านนิยมทำเป็นอม ๆ กับเกลือ อม หลังอาหาร มีกันให้เห็นทุกบ้าน ยามที่มีแขกมาเยือน เหมี้ยง ก็จะเป็นของว่างสำหรับรับแขก สูบบุหรี่ขี้โย อมเหมี้ยงเรียกว่า ชาวลานนาแท้

รูปภาพ เหมี้ยงที่นึ่งและหมักแล้วพร้อมทำเป็นเหมี้ยงอม

รูปภาพ ใบเมี้ยง(ยอดอ่อน) สามารถนำมาทำยำเหมี้ยงเป็นอาหารอร่อยมาก ๆ ใครไปพระบาทสี่รอย ไม่ได้กินยำเหมี้ยงเสียหายนะครับ :lol: :lol:


รูปภาพ :) :D อีก ๑ เมนูเช้านี้ผมจะนำท่านไปชิม น้ำเหมี้ยงครับ น้ำเหมี้ยง เป็นตำรับอาหารที่ใช้หัวน้ำเหมี้ยง ซึ่งได้จากน้ำที่ใช้นึ่งเหมี้ยง แล้วนำไปเคี่ยวไฟอ่อน ๆ จนงวดและข้น แล้วเก็บใส่กระบอก เก็บไว้ปรุงอาหาร มีรสฝาด

ส่วนผสม

1. หัวน้ำเมี้ยง 1/4 ช้อนชา
2. เนื้อหมูบด 50 กรัม
3. ข้าวคั่ว 3 ช้อนโต๊ะ
4. ข่าอ่อนซอย 2 ช้อนโต๊ะ
5. กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
6. ปลาร้าต้มสุก 1/2 ช้อนโต๊ะ
7. เกลือ 1/2 ช้อนชา
8. กระเทียมเจียว 1 ช้อนโต๊ะ
9. ผักชี 1 ช้อนโต๊ะ
10. ต้นหอม 1 ช้อนโต๊ะ
11. กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
12. น้ำมันพืช 1/2 ถ้วย

วิธีการทำ

1. เจียวกระเทียมพอเหลือง ใส่ กะปิ ปลาร้า เนื้อหมูบด ผัดจนหอม
2. เติมน้ำ 2 ถ้วย ใส่ข้าวคั่ว คนให้เข้ากัน ใส่หัวน้ำเหมี้ยงละลายน้ำ
3. คนไปเรื่อยๆ จนข้าวคั่วสุก ใส่ขิงซอย และกระเทียมเจียว ปิดไฟ

เคล็ดลับในการปรุง/เลือกส่วนผสม

เมื่อใส่ข้าวคั่วแล้ว ต้องคนด้วยไฟอ่อนๆ เพื่อไม่ให้ข้าวคั่วติดหม้อ

น้ำเหมี้ยง. ใน สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ (เล่ม 7, หน้า 3269). กรุงเทพฯ: มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์.


รูปภาพ รูปภาพ

รูปภาพ รูปภาพ
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ............พาคุณนาย ไปทัวริ่ง ..... โดย พี่แดงสารภี ..............

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:lol: :lol: ผมนั่งชมรถบรรทุกเหมี้ยงปล่อยใจให้ไหลไปตามความคิด เชื่อไหมครับคิดย้อนไปในอดีตความทุกข์ก็เข้ามาเยือน "ไม่อยากให้บรรยากาศเก่า ๆ ประเพณีเดิม ๆ หายไป" (คนสูบขี้โย อมเหมี้ยงไม่มีให้เห็นแล้วครับ) อดีตเป็นทุกข์อนาคตก็จะเป็นทุกข์ ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดแค่นี้พอ เสร็จจากซื้อของใน ๗ - ๑๑ เราก็ออกเดินทางเลย ๗ - ๑๑ ไปอีกสัก ๑๐๐ กว่าเมตร ก็มีทางแยกขวาเข้า อ.แม่วาง เราเลี้ยวไปตามเส้นทางปั่นต่อไปมุ่งสู่จุดหมาย ไปสะดุดที่ป้ายข้างทางว่า "ไข่ไก่อร่อยที่สุดในโลก" ความคิดผุดขึ้นมาว่า สิทธิเสรีภาพของคนไทยนี่ มันกว้างใหญ่ไพศาลเสียจริง ๆ เมืองนอกเมืองนาป้ายพวกนี้หมดสิทธิ์มาตั้งโชว์ มันไร้สาระจริง ๆ

ป้ายเมืองไทยทุกวันนี้นะ มันเต็มไปหมดไม่รู้ป้ายอะไรเป็นป้ายอะไร เรียกว่าปนเประเนระนาด ป้ายเก่าก็ไม่ยอมเก็บทิ้งป้ายใหม่ก็เอามาเติม เรียกว่า ขยะทางสายตา :( :(


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

:lol: :lol: เลยไข่โม้โฆษณาเราก็มาพบศิลปินข้างถนน แกรับหล่อสิงห์เป็นตัว แกมานั่งทำข้างถนนทุกวันเข้าไปคุยด้วยแกก็เล่าว่า มีคนสนใจมาสั่งให้ทำเรียกว่ามี Order ไม่ขาด เข้าท่าอย่างนี้น่าชื่นชม ต่อจากนั้นเราก็ปั่นไปเรื่อยจนได้เวลาที่ต้องเติมพลัง ลุงดมเป็นไกด์เสาะหาที่ ๆ จะปลดกระเป๋าเอาอาหารที่เตรียมมาออกมากินกัน ก็ได้วัดที่เรียกว่าสงบ ร่มรื่น ใช้ได้ก็พากันแวะเข้าไป อยากจะคุยกับพระแต่วันนั้นไม่มีพระอยู่วัดสักองค์คงติดธุระ เราก็วิสาสะเข้าใช้บริการโดยไม่ต้องขออนุญาตุ :lol: :lol:
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
T_lek
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 627
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2011, 07:40
Tel: 0818914972
team: TEPSATREE CYCLING CLUB (รถถีบค่ายเืทพ)
Bike: PEUGEOT Black Rock Cromo By MJ
ตำแหน่ง: นครศรีธรรมราช

Re: ............พาคุณนาย ไปทัวริ่ง ..... โดย พี่แดงสารภี ..............

โพสต์ โดย T_lek »

เห็นตอนที่พี่เลี้ยวขึ้นรถบัสไปโคราช และต่อไปเชียงใหม่ ให้นึกถึงตัวผมเอง..
วันที่ไปสัมมนาที่ระนอง เอาเจ้านิลไปด้วย แผนแรกคิดไว้ว่าจะปั่นจากระนองผ่านพะโต๊ะกลับสุราษฎร์ธานี..แต่
ก่อนวันกลับนั่งเรือจากเกาะพยามตามฝนมาเกือบ 2 ชั่วโมง เช้าขึ้นมา เมฆครึ้มฝน และรู้สึกถึอาการของตัวเองไม่ค่อยจะเหมาะกับการปั่นเส้นทางนั้น จึง
เปลี่ยนแผนเป็นนั่งรถกับคณะที่จะเดินทางกลับ กทม. มาลงที่แยกปฐมพร จ.ชุมพร ...จะเริ่มปั่นกลับสุราษฎร์ธานีจากจุดนี้แหละ..แต่..
พอปั่นไปได้ซักพัก ฝนเริ่มตกลงมา เส้นทางข้างหน้ามืดครึ้ม ทำไงดี อย่ากระนั้นเลย วันข้างหน้าค่อยว่ากันดีกว่า วันนี้ขอเลี้ยวหัวกลับไปขึ้นรถบัสดีกว่า..แต่
รถบัสที่จะไปสุราษฎร์ หมดแล้ว มีแค่ อ.หลังสวน เท่านั้น สรุปเลยขึ้นรถจาก บขส. ชุมพร ไปลงที่ อ.หลังสวน ..
ตลอดทางมีฝนตกหนัก มองทางแทบไม่เห็น ลมสวนทางก็แรง นี่ถ้าปั่นมาเองจะเป็นไงบ้างนะ :P
พอถึงหลังสวน ก็ปั่นต่อไป ได้อีกประมาณ 47 กม. ถึง อ.ท่าชนะ จ.สุรษฎร์ธานี เหลือระยะทางอีก ประมาณ 50 กม. จะถึงบ้าน แต่.
ฟ้าข้างหน้ามืดครึ้มมาอีก ฝนท่าทางจะหนักกว่าเดิม จึงตัดสินใจแวะศาลาริมทาง โทรไปบอกให้พี่ขับรถมารับดีกว่า
พอพี่มาถึงขึ้นรถเรยบร้อยเท่านั้นเอง ฝนก็เทลงมา... :lol: :lol:
อยู่รอดปลอดภัย เพราะไม่ดื้อดึง.. :lol: :lol:

วันนั้นพี่ตัดสินใจถูกแล้วครับ เพราะเส้นทางจากปราจีนบุรี ผ่านทับลาน วังน้ำเขียว ไปโคราช ผมเคยปั่นผ่านมาแล้ว ตามที่บอกว่าเราอาจปั่นสวนกันกลางทางก็ได้..
และคิดว่าเส้นทางนี้ มันไม่เหมาะที่จะปั่นไปเสี่ยงถ้ามีฝน..เพราะถนนก็ไม่ดี ไหล่ทางบางช่วงไม่เรียบ มีรถบรรทุกขนาดใหญ่วิ่งมาก เส้นทางขึ้นเนินสูงเวลาลงอันตรายกว่าปั่นทางเหนือมาก..
ฝากเรียนบอกพี่อ๋อยด้วยว่าคิดถึงครับ วันนี้เอาตัวรอดก่อน คราวหน้าไปใหม่ก็ได้..... :lol: :lol:
ปั่นไม่ไว แต่จะ ไปให้ถึง
ตอบกลับ

กลับไปยัง “เอ็ม.เจ.ไบค์-นครปฐม”